Saturday, 7 June 2025
นายกรัฐมนตรี

นายกฯ เซ็นตั้ง ‘วิษณุ' นั่งที่ปรึกษานายกฯ 'ด้านกฎหมาย-ระเบียบราชการ' คอยตรวจสอบกลั่นกรอง กม.ก่อนเข้าครม. - ให้คำปรึกษาทางกม.แก่นายกฯ

(30 พ.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงาน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้ลงนามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 204/2567 เรื่อง การแต่งตั้งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ด้านกฎหมายและระเบียบปฏิบัติราชการ มีเนื้อหาสรุปว่า เพื่อให้การบริหารราชการ การขับเคลื่อนนโยบายสำคัญเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะทางเพื่อให้คำปรึกษา เสนอความเห็น และประสานความร่วมมือกับหน่วยราชการต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น อาศัยอำนาจตามมาตรา 11(6) แห่ง พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน สมควรแต่งตั้ง นายวิษณุ เครืองาม เป็นที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีด้านกฎหมายและระเบียบปฏิบัติราชการ เพื่อให้คำปรึกษาและพิจารณาเสนอความเห็นหรือข้อเสนอแนะต่าง ๆ ในส่วนที่เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.)ในฐานะที่ปรึกษาของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี

โดยมีหน้าที่และอำนาจ ตรวจสอบและกลั่นกรองร่างกฎหมาย และร่างอนุบัญญัติที่เสนอต่อคณะรัฐมนตรีร่วมกับ ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายหรือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี(สลค.)ร้องขอ  ให้คำปรึกษาและเสนอความเห็นทางกฎหมายแก่นายกรัฐมนตรีตามที่มอบหมาย เชิญเจ้าหน้าที่ส่วนราชการ ผู้แทนหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมหรือให้ข้อมูลรายละเอียดหรือจัดทำเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานได้ตามที่เห็นสมควร ให้ข่าวสารในประเด็นที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างความเข้าใจต่อสาธารณชนได้ตามความจำเป็น ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย และ แต่งตั้งคณะทำงานหรืออนุกรรมการเพื่อช่วยเหลือการปฏิบัติงานได้ตามความจำเป็น

โดยให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.)สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (กพ.)สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ(ก.พ.ร.) และสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี(สปน.)สนับสนุนการดำเนินการ สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามที่กระทรวงการคลังกำหนด โดยให้เบิกจ่ายจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ทั้งนี้ ถือว่านายวิษณุ มีอำนาจหน้าที่เทียบเท่ากับรองนายกรัฐมนตรี คนหนึ่ง

‘นายกฯ’ บันทึกรายการ ‘คุยกับเศรษฐา’ เล่าภารกิจใน-นอกประเทศ ออนแอร์เทปแรก 22 มิ.ย.นี้ ช่อง NBT2HD เวลา 08.00-08.30 น.

(14 มิ.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาล ว่า สืบเนื่องที่รัฐบาลโดย นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มีแนวคิดจัดรายการนายกฯ พบประชาชน เบื้องต้นมีรายงานว่า จะใช้ชื่อรายการ ‘คุยกับเศรษฐา’ โดยจะออกอากาศในวันเสาร์ที่ 3 ของทุกเดือน ใช้เวลาประมาณ 30 นาที เริ่มเวลา 08.00 - 08.30 น. ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่ง (NBT2HD) ซึ่งได้มีการบันทึกเทปแรกไว้แล้วเมื่อวันที่ 12 มิ.ย.ที่ผ่านมาที่ทำเนียบรัฐบาล โดยมีนายธีรัตถ์ รัตนเสวี อดีตโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ดำเนินรายการเทปแรก 

นอกจากนี้ยังได้มีการวางผู้ดำเนินรายการมาสลับกันทำหน้าที่ อาทิ ‘หมวย’ อริสรา กำธรเจริญ ผู้ประกาศข่าว, อั๋น ภูวนาท คุนผลิน พิธีกรชื่อดัง เป็นต้น

สำหรับรูปแบบรายการ นายกรัฐมนตรีจะเล่าสรุปภารกิจจากการลงพื้นที่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ อัปเดตผลการดำเนินงานของรัฐบาล ส่วนรายการครั้งต่อ ๆ ไป จะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบตามความเหมาะสมและสถานการณ์ เช่น การจัดรายการนอกสถานที่ระหว่างการลงพื้นที่ทั้งในและต่างประเทศ 

ร้อยเอ็ด..นายกฯ เศรษฐา ลงพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ด ติดตามการแก้ปัญหายาเสพติด ในพื้นที่อำเภอธวัชบุรี

วันนี้( 28 มิถุนายน 2567 ) เวลา 13.20 น. ที่ วัดโกศลรังสฤษฎี ตำบล อุ่มเม้า อำเภอธวัชบุรี ร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ ลงพื้นที่จังหวัดร้อยเอ็ดศึกษาต้นแบบ การบูรณาการจัดการปัญหายาเสพติดในพื้นที่ อำเภอธวัชบุรี

โดยมี นายทรงพล ใจกริ่ม ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด พรอ้มด้วย ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และประชาชน เข้าร่วมติดตาม โดยจังหวัดร้อยเอ็ด บูรณาการร่วมกับ ทหาร ตำรวจ สาธารณสุขจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้กำหนดพื้นที่อำเภอธวัชบุรี เป็นพื้นที่ต้นแบบในจัดการปัญหายาเสพติดในพื้นที่ ซึ่งผลจากการ Re x-ray พื้นที่ 12 ตำบล 147 หมู่บ้าน มีจำนวน 26,72 คน มีผลปัสสาวะเป็นบวก 1,538 คน เป็นสีแดง 8 คน สีส้ม 3 คน สีเหลือง 63 คน และสีเขียว 1,464 คน ซึ่งผู้ที่ตรวจพบจะได้รับการบำบัดรักษาฟื้นฟู

โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน มีการวางระบบบริหารจัดการผู้เสพยาเสพติดตั้งแต่เข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษา ไปจนถึงการติดตามช่วยเหลือฟื้นฟูสภาพทางสังคม ที่คำนึงถึงความเหมาะสมกับแต่ละบุคคล เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้บำบัดให้กลับมาใช้ชีวิตในสังคมได้ดังเดิม รวมทั้งมีแนวทางที่จะขยายหน่วยบริการบำบัดให้ครอบคลุมในทุกอำเภอ

จากนั้น นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปยัง โรงเรียนธวัชบุรีวิทยาคม ตำบลนิเวศน์ อำเภอธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด เพื่อเยี่ยมชมการเรียนการสอน และได้พบปะกับน้องๆนักเรียน พร้อมบอกว่า เยาวชนซึ่งกำลังเติบโตไปเป็นกำลังสำคัญของชาติ อย่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับวงจรของยาเสพติด ซึ่งผู้ปรกครองและครูต้องดูแลและอธิบายให้เด็กเข้าใจ และรับรู้ถึงโทษจากการใช้ยาเสพติด

ทั้งนี้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้เห็นถึงความมุ่งมั่น ความตั้งใจของเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน ในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด พร้อมขอบคุณและเป็นกำลังใจให้ผู้ปฏิบัติงานทุกคน ให้ทำงานด้วยความระมัดระวัง ถึงแม้ผลการจับกุมจะมียอดที่สูง แต่ปัญหานี้ยังไม่หมดสิ้น ขอให้พยายามมุ่งมั่นทำงานต่อไป และเน้นย้ำว่ารัฐบาลทำงานแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างต่อเนื่อง ได้พูดคุยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่เป็นประจำ ขอให้ส่วนราชการร่วมกันทำงานอย่างบูรณาการ รวมกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ถ้าเกิดติดปัญหาขาดแคลนเรื่องใด ขอให้บอกมารัฐบาลพร้อมสนับสนุนอย่างเต็มที่

โกสิทธิ์/ร้อยเอ็ด(ห)
081-377-2689

ยายชาวสุรินทร์ หลั่งน้ำตา ดีใจได้เจอ ‘เศรษฐา’  เผย!! ไม่เคยมี ‘นายกฯ’ มาที่นี่เลย

(30 มิ.ย.67) ภารกิจ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในการลงพื้นที่อีสานใต้ เป็นวันที่ 3 โดยหลังจากพักค้างคืนที่ จ.ศรีสะเกษ เช้าวันนี้ นายกฯ ก็ได้เดินทางต่อมายัง จ.สุรินทร์ เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำในพื้นที่ จ.สุรินทร์ ณ อ่างเก็บน้ำห้วยแก้ว ต.รัตนบุรี อ.รัตนบุรี จ.สุรินทร์ พร้อมด้วย นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกฯ และรมว.คมนาคม นางมนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม และคณะ

นอกจากนี้ยังมีนายพรเทพ พูนศรีธนากูล สส.สุรินทร์ เขต 4 พรรคเพื่อไทย และนายคุณากร ปรีชาชนะชัย อดีตสส.สุรินทร์ เขต 3 พรรคเพื่อไทย ร่วมลงพื้นที่ด้วย

ทันที่นายกฯ เดินทางมาถึงได้ทักทายประชาชน โดยมีประชาชนขอจับมือนายกฯ พร้อมบอกว่า ‘โอ๊ย มือนิ่มจังเลยนายกฯ’ นอกจากนี้ยังมีชาวบ้านเข้ามาขอโอบกอดและถ่ายรูป รวมถึงนำผ้าขาวม้าสุรินทร์มาผูกให้ที่เอวและมอบพวงมาลัยให้ ขณะเดียวกันยังมีชาวบ้านนำเสื่อที่สานด้วยตัวเองมามอบให้นายกฯ ด้วย ทำให้นายกฯ ถึงกับยิ้มปลื้มใจ ก่อนรับเสื้อเป็นที่ระลึก

จากนั้นนายกฯ รับฟังบรรยายสรุปโครงการขุดลอกอ่างเก็บน้ำห้วยแก้วบ้านสร้างบก ต.หนองบัวบาน อ.รัตนบุรี จ.สุรินทร์ จากนายชูชาติ รักจิตร อธิบดีกรมชลประทาน ซึ่งโครงการดังกล่าวใช้ระยะเวลาดำเนินการ 180 วัน งบประมาณ 15 ล้านบาท

โดยนายกฯ ได้สอบถามความคืบหน้า ก่อนเดินดูพื้นที่โครงการ รวมทั้งขอให้เจ้าหน้าที่กรมชลประทานและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการ เนื่องจากฤดูฝนใกล้เข้ามาแล้วและอนาคตจะได้มีแหล่งกักเก็บน้ำไว้ให้ประชาชนใช้เพื่ออุปโภคและบริโภค

และก่อนที่จะเดินทางไปจุดต่อไป นายกฯ ได้แวะทักทายและถ่ายรูปกับประชาชนอย่างเป็นกันเองอีกครั้ง โดยชาวบ้านขอให้นายกฯ มีสุขภาพแข็งแรง พร้อมบอกว่า 

‘รักนายกฯ เศรษฐา ดีใจที่นายกฯ มาใกล้ชิดประชาชน นายกฯ มาวันนี้อากาศเย็นสบาย ดีใจจังเลย เป็นขวัญใจประชาชนชาวรัตนบุรี’

ขณะที่คุณยายท่านหนึ่งถึงกับร้องไห้ด้วยความดีใจที่ได้เจอนายกฯ พร้อมกล่าวว่า ที่ผ่านมาไม่เคยมีนายกฯ คนใดลงมาในพื้นที่นี้เลย ดีใจหลายๆ

‘เศรษฐา’ ชี้!! ปมพื้นที่ ‘ทับลาน’ เป็นมติจากรัฐบาลก่อนใต้ปีก 'บิ๊กป้อม' แต่ยืนยัน!! นายทุนจะถือสิทธิ์ไม่ได้ ทุกอย่างต้องเดินตามกฎหมาย

(9 ก.ค.67) ณ ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) กรณีปัญหาข้อพิพาทพื้นที่ทับซ้อนในอุทยานแห่งชาติทับลาน ในเรื่องพื้นที่อนุรักษ์กับพื้นที่ทำกินของประชาชน ว่า เรื่องนี้ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ ได้ชี้แจงไปแล้ว ตนคงไม่มีอะไรนอกจากจะบอกว่าเรื่องนี้เป็นมติจากรัฐบาลที่แล้ว ซึ่งมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เป็นอดีตรองนายกรัฐมนตรี ที่เคยกำกับดูแล เป็นเรื่องของสำนักงานคณะกรรมการที่ดินแห่งชาติ (สคทช.) ที่ต้องไปตรวจสอบข้อเท็จจริง และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

“สิ่งสำคัญต้องรับฟังความคิดเห็นจากพี่น้องประชาชนก่อนจะมีการเพิกถอน ซึ่งมีหลายกระบวนการที่จะต้องดำเนินการตามกระบวนการกฎหมาย และนำเสนอ ครม.ต่อไป” นายเศรษฐา กล่าว

เมื่อถามว่าสังคมอ่อนไหวกับข่าวที่มีนายทุนเข้าไปครอบครองพื้นที่ทับซ้อนดังกล่าว นายกฯ กล่าวว่า ก็ต้องเป็นไปตามกฎหมาย หากจะมาทำอย่างนั้นก็ไม่ได้ ตนเข้าใจว่าพื้นที่ทับลานมีประชาชนที่เข้าไปอยู่กันอยู่แล้ว

เมื่อถามว่าจำเป็นต้องยกเลิกมติครม.ปี 2566 หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ยังไม่มี อยู่ระหว่างการศึกษา ต้องดูให้ครบขั้นตอนก่อน และเรื่องของ One Map ก็เป็นส่วนสำคัญที่ต้องนำมาพิจารณาตรงนี้ด้วย

‘นายกฯ’ รับมอบรางวัล ‘The President’s Award of Service’ ปฏิญาณตน “จะตั้งใจทำงานในหน้าที่นายกฯ ให้ดีที่สุด”

เมื่อวานนี้ (9 ก.ค. 67) ที่ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้พบคณะผู้บริหารและผู้แทนจากมหาวิทยาลัยบัณฑิตศึกษาแคลร์มอนต์ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา (Claremont Graduate University) และรับมอบรางวัล The President’s Award of Service ในฐานะศิษย์เก่าที่ทำคุณประโยชน์แก่สาธารณะ ส่งเสริมการพัฒนาของมนุษยชาติ และสนับสนุนสิทธิมนุษยชน

โดยนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน เป็นศิษย์เก่าคนแรกที่ได้รับรางวัลนี้ ซึ่งในวันนี้มีคณะผู้แทนจากมหาวิทยาลัย เข้าร่วมหารือรวม 14ท่าน และมีศิษย์เก่าชาวไทยที่มีชื่อเสียงและประสบความสำเร็จมากมายหลากหลายวงการเข้าร่วม

นายกฯ เปิดเผยความรู้สึกหลังจากได้รับรางวัลว่า รู้สึกแปลกใจ และแน่นอนว่ารู้สึกดีใจด้วย เนื่องจากไม่เคยได้รับรางวัลเหล่านี้มาก่อน ซึ่งการที่มาเป็นนายกฯ และได้รางวัลนี้ถือว่าเป็นรางวัลที่มีคุณค่ามากอย่างหนึ่ง แต่ส่วนตัวมองว่าการที่จะได้รับการยอมรับ เราจะต้องได้ทำอะไรมาบ้างพอสมควรแล้ว ซึ่งผมเองก็ต้องมีความซื่อตรงต่อตัวเองว่าภารกิจเรายังอยู่ระหว่างการดำเนินการ เนื่องจากเราเพิ่งเป็นรัฐบาลได้เพียงแค่ปีเดียว ก็หวังว่า หลังจากช่วงที่จบเทอมแล้ว ในเรื่องของความรู้สึกที่ได้รับรางวัลนี้คงจะมีความภูมิใจ มากกว่านี้

นายเศรษฐา เล่าย้อนความหลังสมัยที่ศึกษาที่ Claremont Graduate University ว่าช่วงนั้นหากใครที่จบปริญญาตรีแล้ว หลาย ๆ ท่านจะพยายามที่จะออกไปหาประสบการณ์ไปทำงานก่อน เพื่อจะได้มาสมัครเรียนมหาวิทยาลัยที่ดี ๆ ต่อ เนื่องจากอยู่ในข้อกำหนดของมหาวิทยาลัยว่าต้องมีประสบการณ์การทำงาน แต่ตัวผมเองในตอนนั้นผมอยู่ที่ต่างประเทศมานานมากแล้ว แล้วผมก็ไม่อยากที่จะทำงาน แล้วค่อยกลับไปเรียนต่อ ผมอยากกลับบ้าน กลับประเทศไทยทีเดียว

ผมเลยเลือกที่จะศึกษาต่อให้จบ ผมก็สมัครมาที่ Claremont Graduate University ซึ่งถือว่าเป็นสถาบันการศึกษาที่ดี และในข้อกำหนดของทางมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้กำหนดว่าจะต้องทำงานมาก่อน ก็ถือว่าเป็นโชคที่ดีในตอนนั้นที่เขารับและให้เข้าศึกษาได้

สำหรับบรรยากาศตอนนั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี และถือว่าเป็นสถาบันการศึกษาที่ดี อยู่นอกเมืองอยู่ห่างไกลจากย่านความเจริญแถบลอสแอนเจลิสถึงประมาณ 45 นาที ทำให้เราซึมซับบรรยากาศการใช้ชีวิตในโรงเรียนได้อย่างเต็มที่ ได้ใช้ชีวิตนักเรียนที่เหมาะสม ไม่ต้องอยู่กับแสงสีเสียง 

ที่สำคัญในย่านดังกล่าวเป็นจุดที่มีสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียง 5 แห่งอยู่ในย่านใกล้ ๆ กัน ซึ่งแต่ละแห่งมีนักเรียนประมาณ 2-3 พันคน ซึ่งเป็นจำนวนที่กำลังเหมาะสม และถือว่าเป็น Ivy League of the west หรือกลุ่มของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงระดับแนวหน้าของสหรัฐอเมริกา ในย่านดังกล่าวอีกด้วย

ผมจำได้ว่าการตั้งชื่อถนนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อถนนอาทิ Cornell, Harvard, Yale เป็นต้น โดยถือว่าเป็นโรงเรียนที่มีสภาพแวดล้อมที่น่ารักและอบอุ่น ซึ่งในช่วงนั้นที่ผมได้เข้าไปศึกษาถือว่ายังเป็นเด็กอยู่ อายุประมาณ 22 ปี รู้สึกได้ว่าเป็นบรรยากาศที่ดีอบอุ่น รู้สึกถึงความเป็นครอบครัว ที่เราสามารถเข้าถึงศาสตราจารย์ คณาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ ได้เต็มที่ ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดี และความอบอุ่นนี้ทำให้เราปรับตัวได้ในตอนเรียนอย่างดีมาก ๆ

จากการหารือกับคณาจารย์ที่มาพบในวันนี้ก็เล็งเห็นว่า อยากให้มีการส่งเสริมนักเรียน-นักศึกษาไทยไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศมากขึ้น ผมเชื่อว่า ชื่อเสียงของ Claremont Graduateโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้าน MBA ที่มีสำนักของ Peter F Drucker ซึ่งเป็นปรมาจารย์ด้านการจัดการบริหารองค์กรธุรกิจสมัยใหม่ ที่มีชื่อเสียงมาก ผมเชื่อว่าที่สถาบันแห่งนี้จะผลักดันนักเรียนได้อย่างดียิ่ง

ด้าน นาง Michelle Bligh ตำแหน่ง Executive Vice President Claremont Graduate University ระบุว่าเรามีศิษย์เก่าที่มีชื่อเสียงมากมายทั่วโลก ประมาณ 24,000 คน แต่เห็นได้ชัดว่าการทำงานของนายกรัฐมนตรี (นายเศรษฐา ทวีสิน) เป็นการทำงานที่ยอดเยี่ยม เขากำลังแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง ที่เราต้องการให้บัณฑิตของเราทุกคนมีในจุดนี้ คือในเรื่องของการตอบแทนสังคม และนั่นคือความสำคัญของรางวัล the president’s award of service

ซึ่งพวกเรารู้สึกภาคภูมิใจในนายกฯ เศรษฐา ที่ถือเป็นตัวอย่างที่ดีของการขับเคลื่อน เปลี่ยนแปลงสังคม และถือเป็นผู้นำระดับโลก ในการพัฒนาด้านสิทธิมนุษยชนได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเราภาคภูมิใจมาก และเราภูมิใจกับนักเรียนไทยที่ได้ศึกษาที่ Claremont Graduate University ทุกท่าน

จากนั้น นายเศรษฐา เปิดเผยอีกครั้งว่า ดีใจและเป็นเกียรติมาก ๆ ที่ได้รับรางวัล President’s Award of Service จาก Claremont Graduate University และตนจะตั้งใจทำงานในหน้าที่นายกฯ ให้ดีที่สุด ให้ควรค่าแก่รางวัลที่ได้รับจากมหาวิทยาลัย และคู่ควรกับโอกาสที่ได้มาทำงานเพื่อพี่น้องคนไทยทุกคน

‘เศรษฐา’ ย้ำ!! ต้องดูแลความปลอดภัย ให้เจ้าหน้าที่ ระบุ ‘รัฐบาล’ พร้อมสนับสนุน ทางด้านอุปกรณ์

(22 ก.ค.67) ที่วัดยางสุทธาราม พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วยผบ.ตร.เปิดเผยหลังการพูดคุยกับนายกรัฐมนตรี ว่า นายกได้เน้นย้ำ เรื่องความปลอดภัย เพราะเป็นห่วง การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งนายกฯ พร้อมสนับสนุนอุปกรณ์ที่ขาดเหลือพร้อมที่จะจัดสรรให้ รัฐบาลมีนโยบายที่จะมอบค่าตอบแทนสำหรับการจับกุมโดยเฉพาะเรื่องยาเสพติด โดยนายกฯได้เร่งรัดเรื่องนี้ให้ด้วย นอกจากนั้นได้เน้นย้ำยุทธวิธีในการเข้าควบคุมระงับเหตุ ต้องมีความปลอดภัยสูงสุด

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึง กรณีที่โลกโซเชียล เผยแพร่ภาพเสื้อเกราะที่ภายในเป็นไม้อัด ได้หารือกับนายกฯในเรื่องนี้หรือไม่ พลตำรวจโทสำราญกล่าวว่าประเด็นนี้ยังไม่ได้พูดคุยเนื่องจากเห็นผ่านจากโลกโซเชียลเท่านั้น

และเมื่อถามว่ากรณีที่กรรมาธิการตำรวจสภาผู้แทนราษฎรเตรียมเสนอกฎหมายการเข้าระงับเหตุหรือควบคุมสถานการณ์ ตำรวจได้พูดคุยกันเรื่องนี้หรือไม่ พล.ต.ท.สำราญ กล่าวว่า ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะสำเร็จหรือผิดพลาด จะถอดบทเรียนและนำไปอบรมผู้ใต้บังคับบัญชาที่ปฏิบัติหน้าที่

เมื่อถามว่าจะต้องแก้กฎระเบียบการปฏิบัติงานและการเผชิญเหตุหรือไม่ ผู้ช่วยผบ.ตร. กล่าวว่า การปฏิบัติงานทุกครั้งมีแผนรองรับ และทบทวนทุกครั้งไม่ว่าผลจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จก็ตาม

‘นายกฯ มาเลย์’ ควันออกหู!! ‘เฟซบุ๊ก’ ลบโพสต์ไว้อาลัยผู้นำฮามาส ประณาม ‘Meta’ เลิกเป็นเครื่องมือให้ ‘ไซออนิสต์อิสราเอล’ เสียที

เมื่อวานนี้ (1 ส.ค.67) นายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮิม แห่งมาเลเซีย ออกมาประณาม เมตา แพลตฟอร์มส (Meta Platforms) บริษัทแม่ของเฟซบุ๊ก (Facebook) อย่างดุเดือดว่าทำตัว ‘ขี้ขลาดตาขาว’ หลังถูกเฟซบุ๊กลบโพสต์ที่ตนเองแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเหตุลอบสังหาร อิสมาอีล ฮานิเยห์ ผู้นำกลุ่มฮามาส

มาเลเซียซึ่งมีพลเมืองส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามถือเป็นชาติที่แสดงจุดยืนสนับสนุนปาเลสไตน์อย่างแข็งขันเรื่อยมา และนายกฯ อันวาร์ ก็ได้โพสต์คลิปวิดีโอบันทึกการสนทนาระหว่างตนกับเจ้าหน้าที่ฮามาสคนหนึ่ง เพื่อแสดงความโศกเศร้าอาลัยต่อการจากไปของฮานิเยห์ ก่อนที่โพสต์ดังกล่าวจะถูกเฟซบุ๊กลบออกไป

เหตุลอบสังหารอุกอาจครั้งนี้เกิดขึ้นระหว่างที่ ฮานิเยห์ เดินทางไปยังกรุงเตหะรานของอิหร่าน เพื่อเข้าร่วมพิธีสาบานตนรับตำแหน่งของประธานาธิบดี มาซูด เปเซสเคียน ผู้นำอิหร่านคนใหม่

หลายฝ่ายมองว่า นี่คือการเติมเชื้อไฟให้กับความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่รุนแรงอยู่แล้ว และอาจทำให้การสู้รบในกาซาลุกลามขยายวงกว้างจนกลายเป็นสงครามระดับภูมิภาค

อันวาร์ ซึ่งมีโอกาสได้พบ ฮานิเยห์ ที่กาตาร์เมื่อเดือน พ.ค. ระบุว่า ตนมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้นำทางการเมืองของฮามาส แม้มาเลเซียจะไม่ได้เข้าไปมีส่วนสนับสนุนฮามาสในด้านการทหารก็ตาม

“ขอให้นี่เป็นการส่งสารที่ชัดเจนแจ่มแจ้งถึงเมตา : หยุดแสดงอาการขี้ขลาดตาขาวแบบนี้เสียที และเลิกทำตัวเป็นเครื่องมือให้กับระบอบไซออนิสต์อิสราเอล!” อันวาร์ โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก

ทั้งนี้ เมตา ยังไม่ออกมาตอบคำถามสื่อมวลชนในวันที่ 1 ส.ค.67 ขณะที่กระทรวงสื่อสารของมาเลเซียระบุว่า จะมีการเปิดแถลงข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ก่อนหน้านี้ รัฐบาลมาเลเซียเคยประท้วงเมตามาแล้วหลายครั้งเรื่องการปิดกั้นคอนเทนต์ต่าง ๆ รวมถึงข่าวที่ อันวาร์ ไปพบกับ ฮานิเยห์ ครั้งสุดท้าย ซึ่งต่อมาทางเมตาก็ได้ยอมปลดบล็อกโพสต์ดังกล่าวให้

โดย เมตา ออกมาอธิบายในตอนนั้นว่า ‘ไม่ได้มีเจตนา’ ปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นบนเฟซบุ๊ก และก็ไม่เคยใช้มาตรการจำกัดเนื้อหาที่สนับสนุนชาวปาเลสไตน์ด้วย

อย่างไรก็ตาม เมตา ถือว่าฮามาสซึ่งเป็นขบวนการอิสลามิสต์ที่ปกครองฉนวนกาซาคือหนึ่งใน ‘องค์กรอันตราย’ (dangerous organization) และห้ามการเผยแพร่เนื้อหายกย่องเชิดชูคนกลุ่มนี้ นอกจากนี้เมตายังใช้ระบบตรวจจับอัตโนมัติร่วมกับทรัพยากรบุคคลในการลบโพสต์หรือติดป้ายคำเตือนภาพกราฟิกต่าง ๆ ที่เข้าข่ายผิดกฎของแพลตฟอร์มด้วย

รัฐบาลมาเลเซียประกาศจุดยืนสนับสนุนทางออกแบบ 2 รัฐควบคู่ (two-state solution) เพื่อสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์

'สภากาแฟ' เห็นพ้อง!! 14 ส.ค. 'นายกฯ นิด' น่าจะรอด 'ดิจิทัลหมื่น' ไปต่อ สวนทางห้ามบินดูไบ เพราะ 'ธรรมะจัดสรร' ความชอบธรรมเหนือถุงขนม

“อีกทั้งความผิดของผู้ถูกร้องที่ 2 ยังเสมือนเป็นความผิดประธาน ซึ่งในขณะที่มีการเสนอชื่อแต่งตั้งผู้ถูกร้องที่ 2 ให้เป็นรัฐมนตรี ยังไม่ได้มีการวินิจฉัยความผิดประธานโดยศาลรัฐธรรมนูญ กรณีผู้ถูกร้องที่ 1 ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นความผิดอุปกรณ์ จึงไม่อาจมีไปด้วยได้”

ที่ยกมาข้างต้นคือเศษเสี้ยวคำชี้แจง 32 หน้าของนายเศรษฐา ทวีสิน ผู้ถูกร้องที่ 1 เมื่อ 7 มิ.ย.2567 ซึ่งได้ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ และ 'เล็ก เลียบด่วน' ได้มีโอกาสทอดทัศนาแล้ว สรุปสั้นสุดไม่เกิน3บรรทัดเพิ่มเติมจากข้อความข้างต้นก็คือ...

'เศรษฐา' อ้างว่า ผู้ที่จะชี้ขาดว่า...ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์และมาตรฐานทางจริยธรรมหรือไม่นั้น  คือ ศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่กรรมการกฤษฎีกาหรืออดีต 40 สว.ผู้ร้อง...พร้อมยืนยันว่า การตรวจสอบคุณสมบัติลักษณะต้องห้ามผู้ถูกร้องที่ 2 (พิชิต  ชื่นบาน) ดำเนินการโดยชอบทุกประการ...

ครับประมาณนั้น...หากใครสังเกต 'นายกนิด' พักนี้จะเห็นว่า แม้ปมใหญ่ 'ดิจิทัลวอลเล็ต' อนาคตยังน่าหวาดเสียว...แต่ภาษากายนั้นดูผ่อนคลายราวกับรู้อนาคตวันพุธที่ 14 ส.ค.ว่า 'น่าจะรอด' คือ ไม่พ้นจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรค หนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160(4) และ (5) ที่อดีต 40 สว.ร้องต่อศาล...

ถ้ารอดก็ทำงานต่อไป...เดินหน้าปรับใหญ่ครม.ตามจันทร์ส่องหล้าลิขิตหรือใครลิขิตก็ว่ากันไป...แต่ถ้าหลุดจากตำแหน่งหนนี้ ขอเคลียร์ไว้ที่ตรงนี้ว่า หมดสิทธิที่ถูกเสนอชื่อชิงนายกฯ อีก เพราะเป็นปัญหาประเด็น 'ขาดคุณสมบัติ' ต่างจากกรณี สมัคร สุนทรเวช ที่หลุดเพราะคดี 'ชิมไปบ่นไป' กระทำการขัดรัฐธรรมนูญ...แต่ สมัคร แค่โชคร้าย กลับมาเป็นนายกฯ อีกรอบไม่ได้ เพราะประเด็น 'เลือดข้นกว่าน้ำ' ตอนนั้นทักษิณดันน้องเขย...สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ขึ้นเป็นนายกฯ แทน...แต่ สมชาย ก็เป็นนายกฯ ได้แค่ 57 วัน

แต่ไม่ว่าจะอย่างไร...ตอนนี้สภากาแฟบางวง ที่ประกอบด้วยนักวิชาการ, สื่อมวลชน, นักการเมือง, นักสังเกตการณ์ ค่อนข้างจะมีทั้งข้อมูลเก่า ข้อมูลใหม่ตรงกันแล้วว่า...โอกาสเศรษฐา 'รอด' ได้ไปต่อนั้น มีมากกว่าไม่รอด...โดยศาลอาจจะมองในประเด็นไม่มีเจตนา...หรือบกพร่องโดยสุจริต คล้ายกรณีทักษิณเมื่อปี 2544 แต่จะเป็นตามนี้หรือไม่ก็รอดูกันอีกที...

อนึ่ง สำหรับกรณี ทักษิณ ชินวัตร ขอเดินทางไปดูไบแต่ศาลยกคำร้องไม่อนุญาตให้ไปนั้น ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันสนั่นลั่นเมืองว่า มีอะไรในกอไผ่...ซึ่งน่าสังเกตว่า ทีมทนายไปยื่นคำร้องในวันเสาร์ที่ 27 ก.ค.

คอลัมน์ 'เลียบการเมือง' ขออนุญาตฟันธงหมากเกมความน่าจะเป็น 3 ประการ...

1) ทดสอบ ตรวจเช็กอุณหภูมิท่าทีของศาลหลังการเปลี่ยนตัวอธิบดีศาลอาญาเมื่อเดือน ก.ค.
2) ไปเคลียร์ธุรกิจสำคัญ และพบยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว
3) แก้เคล็ดดวงชะตาด้วยการย้ายที่พัก...และเผื่อเหลือเผื่อขาด หากมีความวุ่นวาย ก็อาจขอหลบภัยอยู่ต่างประเทศยาวอีกครั้ง และอาจตรวจรักษาสุขภาพตามที่อ้างว่านัดหมอไว้ 2 ครั้งด้วยก็ได้

ตามคำร้องทักษิณขอลา 1-16 ส.ค.ขณะที่คดีความผิดมาตรา 112 ศาลนัดตรวจเอกสารหรือนัดพร้อมวันที่ 19 ส.ค.  

ดังนั้น...สมมติ...หากทักษิณได้รับการอนุญาตออกนอกประเทศ...ภาพของทักษิณก็จะยิ่งถูกตอกย้ำความเป็น 'นักโทษเทวดา' ความเป็นผู้ทรงอิทธิพล ทว่า หากบังเอิญวันที่ 14 ส.ค.2567 เศรษฐา 'รอด' ก็อาจจะเคลมมั่ว ๆ ได้ว่า ไม่ใช่เพราะบารมีอิทธิพลของเขาเพราะเขาอยู่ต่างประเทศ!!

ต้องบอกกล่าวกันตรงนี้ว่า คำสั่งของศาลที่ไม่อนุญาตหนนี้นั้นได้รับการอนุโมทนาสาธุ ว่าชอบด้วยเหตุด้วยผลเป็นยิ่งนัก...หากจำกันได้ก่อนหน้านี้ร่วมเดือนเศษ...ศาลอาญาเพิ่งเปลี่ยนตัวอธิบดี  เหตุเพราะคนเก่าที่ถูกปล่อยข่าวเรื่อง 2 พันล้านนั้น มีเหตุอื้อฉาวบนรถไฟจนถูกย้าย ดังที่สำนักข่าวอิศราเคยนำเสนอไว้...แต่ทั้งนี้ท่านที่มาทำหน้าที่รักษาการอยู่ปัจจุบันและจะอยู่ชั่วคราวก็ทำหน้าที่เป็นอย่างดีโดยเฉพาะกรณีล่าสุดนี้ ก่อนที่เดือน ต.ค.ปีนี้ จะมีอธิบดีท่านใหม่มารับตำแหน่งเป็นทางการ...

ธรรมะจัดสรร...ถุงขนม หรือ ผลประโยชน์ หลายสิบล้าน หลายร้อยล้าน ไม่สามารถชนะความถูกต้องชอบธรรมได้ในท้ายที่สุด!!

นราธิวาส-นายกฯ เศรษฐา บินลงใต้ พบนายกฯ มาเลเซีย ร่วมหารือแนวทางเพิ่มปริมาณการค้า และความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน มุ่งส่งเสริมความเชื่อมโยง พัฒนาเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว

วันนี้ (3 สิงหาคม 2567) เวลา 10.30 น. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่อำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส หารือ ดาโตะ เซอรี อันวาร์ บิน อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย โดยในเวลา 11.25 น. นายกรัฐมนตรีทั้งสองฝ่ายได้พบหารือกันที่ ด่านศุลกากรสุไหงโก-ลก โดยนายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยสาระสำคัญจากการหารือ ดังนี้

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การลงพื้นที่ร่วมกันครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน (Common Peace and Prosperity) และแสดงให้เห็นถึงความเป็นเอกภาพ ความจริงจังและเจตนารมณ์ทางการเมืองของผู้นำทั้งสองประเทศในการร่วมมือกันเพื่อรักษาความสงบในบริเวณชายแดน ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณมาเลเซียสำหรับการขับเคลื่อนความร่วมมือ ผ่านการจัดประชุมคณะทำงานด้านการค้าชายแดน และการค้าการลงทุน และหวังว่าทั้งสองฝ่ายจะได้ร่วมกันจัดประชุมคณะทำงาน working group ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองประเทศจะหารือกันในกรอบความร่วมมือ JC และ JDS พร้อมกันนี้ ทั้งสองฝ่ายตกลงร่วมกันในความร่วมมือเกี่ยวกับสินค้าและมาตรฐานฮาลาลระหว่างทั้งสองประเทศเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน

ในโอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือเพื่อความร่วมมือในการขุดลอกแม่น้ำโก-ลก ที่ตื้นเขิน ทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วม โดยฝ่ายมาเลเซียขอความช่วยเหลือ ในการหารือนายกรัฐมนตรีได้แจ้งว่าจะสั่งการกระทรวงการต่างประเทศจัดการประชุมร่วมกับ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อพิจารณาความร่วมมือต่อไป

ในช่วงท้ายของการหารือนายกรัฐมนตรีทั้งสองฝ่ายรับฟังบรรยายสรุปเกี่ยวกับโครงการก่อสร้างสะพานคู่ขนานสุไหงโก-ลก ก่อนจะเดินทางไปยังประเทศมาเลเซีย ซึ่งทางนายกรัฐมนตรีมาเลเซียเป็นเจ้าภาพในการเลี้ยงอาหารกลางวัน และนายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีมาเลเซียสำหรับการต้อนรับที่อบอุ่นถือเป็นเครื่องสะท้อนว่าทั้งสองประเทศมีมิตรภาพที่แน่นแฟ้น สะพานคู่ขนานสุไหงโก-ลกจะอำนวยความสะดวกให้ประชาชนของทั้งสองประเทศได้เป็นอย่างดี เป็นโอกาสที่ได้หารือกันเรื่องเขตการค้าพิเศษระหว่างกัน นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าการหารือในครั้งนี้จะเป็นโอกาสด้านการค้าการลงทุนระหว่างกัน ซึ่งนายกรัฐมนตรีจะเดินทางกลับมายังพื้นที่นี้อีกครั้งหนึ่งเพื่อชื่นชมพัฒนาการที่เกิดขึ้น

ข่าว.แวดาโอ๊ะ หะไร จ.นราธิวาส


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top