Saturday, 7 June 2025
ท่อนHookการเมือง

จาก 'คนคลั่งแดง' สู่การ 'ชูสามนิ้วคลั่งส้ม' เปลี่ยนข้างด้วยเหตุผลเดียวในใจคือ 'ไม่เอาสถาบัน'

(4 มี.ค. 68) คุณลองสังเกตคนรอบ ๆ ตัวของคุณดู จะมีจำนวนไม่น้อยที่แต่ก่อนคือคนที่เลือก “พรรคเผาเมือง” หรือพรรคที่เริ่มต้นการ “จาบจ้วงสถาบัน” อยู่เป็นนิจ ถึงกับเคยป่าวประกาศให้คนไทยภาคอิสาน “ปลดรูปในหลวงรัชกาลที่ ๙” ออกจากข้างฝา ยังกล้าเผาห้าง เผาศาลากลางจังหวัด เรียกว่าเผาผลาญประเทศจนย่อยยับ ถูกขับไล่ด้วยข้อกล่าวหาอภิมหาคอรัปชั่นชาติ จนที่สุดหัวหน้าพรรคทั้งสองคน และเป็นอดีตนายกทั้งคู่ ต้องหนีคดีออกนอกแผ่นดินไทย 

เมื่อภาพการ “หนีคดี” เกิดขึ้นซ้ำ ๆ สะท้อนถึงความสั่นคลอน ไม่มั่นคง ภารกิจของ “เศรษฐีล้มเจ้า” ที่น่าจะไปต่อไปจึงค่อย ๆ เฟดลงตาม กลายเป็นภาพการหมอบคลาน การยอมรับความผิด ยอมกลืน “น้ำลายเน่า ๆ" จากคนปากดีที่จะนำ “การล้มเจ้า” เพื่อเปลี่ยนประเทศไทยเป็นระบอบอื่น  กลายเป็น “พรรครักสถาบัน” ขึ้นมาหน้าตาเฉย ทั้งหมดก็เพื่อจะได้ลดทอน “ความเกลียดชัง” ของสังคมคนส่วนใหญ่ที่ยังคงเชิดชูสถาบันไว้สูงสุด กลุ่มคนที่ชังเจ้าชนิดฝังหุ่น ที่เคยกาเลือก “พรรคเผาไทย” มาตลอด จึงต้องหา “พรรคล้มเจ้าพรรคใหม่” ไว้เป็นที่พึ่งทางใจ

คนป่วยเหงาเหล่านี้ “เปลี่ยนจากแดงมาสู่ส้ม” ก็ด้วยเหตุผลเดียวคือ “แอบเป็นคนที่ไม่เอาสถาบัน” แต่ไม่กล้าปริปากบอกใครตรง ๆ ใช้ชีวิตแบบ “ตีสองหน้า” ไปเรื่อย ๆ ไม่ใช่ถอยห่างจาก “พรรคแดง” เพราะปัญหาเรื่องการทุจริตคอรัปชั่น หรือการหนีคดี แต่เพราะได้กลายเป็นพรรคที่ไม่แน่ใจแล้วว่า “จะล้มเจ้า” ได้จริง ๆ จึงเกิดความไม่แน่ใจ เมื่อมี “พรรคส้มสามกีบ” โผล่ขึ้นมา โฆษณาว่าเป็น “คนรุ่นใหม่” มีแผนการร้ายที่จะ “ล้มล้างการปกครอง” กล้าบ้าบิ่นด้วยเล่ห์เพทุบายโฉดชั่ว จึงโดนใจ “คนเกลียดเจ้า” ที่ผิดหวังจาก “พรรคหนีคดี” ต่างกระโจนไปสนับสนุน “พรรคสามนิ้ว” โดยไม่ดูความสามารถในเรื่องการบริหารบ้านเมืองแม้แต่น้อย 

สังเกตดี ๆ พฤติกรรมคนเหล่านี้ ไม่เคยกล้าตำหนิการทุจริตคอรัปชั่น หรือข้อเสียใด ๆ ของ “พรรคเผาเมือง” หรือ “พรรคส้มสามกีบ” ที่ตนเองสนับสนุน มักจะทำเป็นมองไม่เห็น ตราบที่ยังคงยึดแนวทางการ “ล้มล้างการปกครอง” ให้เห็นดังเดิม เพราะแค่นี้ก็เพียงพอสำหรับเหล่า “คนแอบเกลียดเจ้า” ที่แอบซุกตัวใช้ชีวิตอยู่ในสังคมไทยแล้ว

คนไทยที่แอบเกลียดชังสถาบัน และคอยมองหาพรรคการเมืองที่คอยดูหมิ่น จาบจ้วง กัดเซาะ ล้มล้างการปกครอง เพื่อที่จะสนับสนุน ถือเป็นคนไทยที่เป็น “อันตรายต่อชาติ” และต่อ “รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย” ไม่ต่างจาก “พรรคการเมืองล้มล้างการปกครอง” 

‘ประเทศไทย’ อุดมไปด้วย ‘นักการเมืองห่วย’ สะท้อน ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศยังเบาปัญญา

(25 มี.ค. 68) เราได้นักการเมืองแบบไหน นั่นเพราะเรามีประชาชนที่มีคุณภาพในแบบนั้น

ประโยคเด็ดที่ถือว่าเป็นอีกหนึ่งความจริงของสังคมก็คือ ประเทศใดมีนักการเมืองแบบไหนเข้ามาบริหารประเทศ นั่นก็เพราะเรามีประชาชนที่ส่วนใหญ่ ๆ เป็นคนแบบนั้นเลือกเข้ามา ถ้าเรามีรัฐบาลที่ทั้งโง่ เซ่อ และทุจริตคอรัปชั่นเป็นอาชีพ ก็เพราะเรามีประชาชนที่ตาถั่ว อ่านนักการเมืองไม่ออก มัวแต่หลงเชื่อในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง เป็นคนเปิดทางให้เข้ามา ที่ประเทศชาติต้องอับอายขายขี้หน้าชาวโลก และสุ่มเสี่ยงต่อภัยอันตรายทุกด้าน ก็มาจากน้ำมือของ “คนเลือกนักการเมือง” ทั้งสิ้น 

ถ้าประชาชนมีสติปัญญาที่ฉลาดเฉลียวจริง พรรคการเมืองที่กระทำแต่เรื่องแย่ ๆ กับประเทศไทยคงไม่ได้ผลคะแนนที่สูง เราก็คงไม่ได้ “นายกหุ่นเชิด” ที่อดีตมีข่าวเรื่อง “โกงข้อสอบ” แถมยังมาจาก “ตระกูลหนีคดี” และเราคงไม่ได้รัฐบาลที่ทำงานไม่เป็น ปัญหาของประเทศไทยที่มี “นักการเมืองเลว ๆ” มากกว่า “นักการเมืองน้ำดี” จึงอยู่ที่ “คนเลือก” ไม่ใช่อยู่ที่ “ตัวนักการเมือง” 

ทุกประเทศ ถ้า “คนเลือก” เป็นคนที่ขาดความรู้ ไม่หัดลงลึก ไม่ติดตามข่าวสารบ้านเมือง ต่อให้เรามีนักการเมืองที่ดีกับประเทศจริง ๆ “เหล่าประชาชนคนโง่เขลา” ก็จะดูไม่ออกอยู่ดี 

เพราะ “ประชาชนผู้เบาปัญญา” ชื่อก็บอกอยู่แล้ว จะกาเลือกตามกระแส เลือกตามสื่อ เลือกตามเพื่อน เลือกตามแฟน เลือกตามน้ำคำที่ปลิ้นปล้อนของนักการเมืองที่ตนเองแอบนิยมชมชอบ เราจึงได้แต่นักการเมืองห่วย ๆ ไร้ประสิทธิภาพ ผลัดเปลี่ยนกันมากระทืบประเทศไทย

คนไทยจำพวก “เลือกส่งเดช” เหล่านี้ ไม่เคยรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตนเองเลือกเข้ามา เช่นคนจำนวนไม่น้อยเลือกนักการเมืองจากพรรคที่ตั้งหน้าตั้งตา “ล้มล้างสถาบัน” แถมยังมีกรณีหนีการเกณฑ์ทหาร, ใช้บุหรี่ไฟฟ้า, เมาสุรา, แอบเคลมของบริจาค, มีพฤติกรรมล่วงละเมิดทางเพศ, เอาเวลาที่ต้องเข้าสภาไปทำงานส่วนตัว, คุกคามประชาชน, ใช้ข้อมูลมั่วในการอภิปราย, แสดงความโง่ในการนับเลข และผลาญเงินภาษีพากันบินไปดูงานต่างประเทศ ถามว่า “นักการเมืองชั้นเลวเหล่านี้” มีประโยชน์ตรงไหนกับชาติบ้านเมือง และประชาชนคนไทย? 

คำตอบคือ..ไม่มี 

แล้วคนที่พากันเลือกสิ่งที่เลว ๆ จำพวกนี้เข้ามา จะมีประโยชน์กับสังคมไทยได้อย่างไร?

โลกกำลังเดินทางสู่...ขาลง เพื่อจัดระเบียบมนุษย์ ด้วยผู้คนไร้ศีล ไร้สามัญสำนึก สนับสนุนสิ่งเลว ๆ เหยียบย่ำสิ่งดี ๆ

(1 เม.ย. 68) สังคมไทยเปลี่ยนไปแล้วโดยสิ้นเชิง เมื่อสถานศึกษาไม่ได้ช่วยให้คนไทยฉลาด คนจบการศึกษาสูง ๆ มาจากเมืองนอกเมืองนาก็ไม่ได้หมายความว่าจะมี “สามัญสำนึก” หรือ “คิดเป็น” ผู้คนจำนวนมากยังแยกแยะดีชั่วไม่ออก มองหาแต่ “ความสุขสบายส่วนตัว” โดยไม่คิดโอบกอดสังคมส่วนรวม 

หนำซ้ำผู้คนจำนวนไม่น้อยยังเคารพคนที่เปลือก นับถือเศรษฐีโดยไม่สนที่มาของเงิน กอดคอยิ้มหวานกับเหล่าอาชญากรเพียงเพราะเป็นคนที่ร่ำรวย แสดงความนอบน้อมต่อผู้มีอิทธิพลแม้เบื้องหลังจะใหญ่โตมาจากสิ่งเทา ๆ ก็ถึงเวลาที่โลกต้องออกแรงจัดระเบียบมนุษย์กันสักครั้ง

ความรุนแรงของธรรมชาตินับจากนี้ไปจะไม่มีคำว่า “เบา” 

เมื่อพลังงานเลว ๆ ที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ แผ่กระจายปกคลุมท้องฟ้า จนดำมืดไปด้วยอากาศพิษ โลกก็จำต้องออกแรงขยับเขยื้อนดูดกลืนสิ่งสกปรกให้หายไปจากแผ่นดิน เพื่อความสว่างไสวของ “ความดีงาม” เกิดขึ้นอีกคราว และดำรงอยู่อย่าง “ยั่งยืน” เพื่อมวลมนุษยชาติที่ตั้งมั่นในศีลสืบไป 

ผู้คนจำนวนมาก ไร้ความเชื่อเรื่องการ “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ต่างไม่เกรงกลัวต่อบาป โดยเฉพาะบาปที่มาจากการทำร้ายชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เอาเปรียบสังคมที่ร่วมอาศัย รวมถึงไม่ดูแลใส่ใจธรรมชาติที่เกิดและเติบโตมาจากโลกใบเดียวที่เรามี หมักหมมจนเหม็นเน่า กลายเป็นขยะที่มาจาก “พฤติกรรมเลว ๆ ของมนุษย์” ความชั่วช้าที่ถูกปกปิดไว้ จะถูกธรรมชาติช่วยเผยอเปิดออกให้ผู้คนที่ยังหลับใหล โง่งมงายแต่ของใหม่ ยินดีแต่สิ่งที่ตนเองได้ประโยชน์ ได้รับรู้จนกระจ่างต่อหัวใจ 

เมื่อคำเตือนจากฟ้า คำบัญชาจากสวรรค์ “ส่งจดหมายเตือนผู้คน” ด้วยการ “สั่นสะเทือนแผ่นดิน” ใครที่คิดได้ ตระหนัก ยอมรับ และกล้าหาญที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง “เพื่อโลกเพื่อสังคม” ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ก็ถือว่าเป็น “มนุษย์หัวใจงาม” ส่วนคนที่ขนาด “บาปมนุษย์” ไล่ล่ามาถึงปลายจมูก ทั้งน้ำท่วม โรคระบาด ฟ้าถล่ม แผ่นดินสะเทือน ก็ยังมองเป็นเรื่องขำขัน ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ยังเดินหน้าให้ราคาสนับสนุน “มนุษย์ที่เลว ๆ บนผืนแผ่นดินไทย” ก็คงต้องปล่อยไปตามกรรม 

โปรดจำไว้ว่า ธรรมชาติมีไว้ให้ผู้คนหวงแหน รักษา มิใช่การอยู่เพื่อเอาชนะ หรือทำลาย

คน..ก็เช่นกัน เมื่อมีบุญได้เกิดเป็นคนก็ควรกล้าหาญปกป้องคนดี มิใช่การหลับหูหลับตาสนับสนุนคนเลว ๆ ที่ทำร้ายชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และเพื่อนพ้องประชาชน 

ปากบอกจะกำจัดความเหลื่อมล้ำ กล้าทุกอย่าง แต่ปอดแหกกับชั้น 14 เราจะเรียกว่าเป็น “พรรคการเมืองขี้ข้านักโทษ” ได้ไหม?

(6 พ.ค. 68) ด้วยเพราะเกลียดสถาบันกษัตริย์เป็นทุน มีอคติสุมอยู่ในใจอย่างร้อนรุ่ม มุ่งคิดร้าย อาฆาต พยาบาท  จึงพร้อมใจกันทำทุกวิถีทางที่จะเซาะกร่อน ทำลายความน่าเชื่อถือ แม้กระทั่งการยอมเป็น “เด็กเช็ดรองเท้าให้กับตะวันตก” เพื่อมาล้มล้างสถาบันแห่งแผ่นดินเกิดของตนเองก็ยังทำ

ยอมกระทั่งเหยียบศักดิ์ศรีความเป็นคนของตัวเอง ด้วยการสุมหัววางแผนกัน “หลอกต้มเด็ก” ที่ไร้ความคิด เด็กที่อยากเด่น อยากเท่ อยากมีที่ยืนโง่ ๆ ในสังคมให้ออกมาสู้รบแบบก้าวร้าวแทนตัวเอง คอยปลุกปั่นด้วยวาทกรรมเลว ๆ ว่าเมื่อเกิดมาเป็นคนแล้วทุกชีวิตต้องได้รับความเสมอภาค เท่าเทียมโดยถ้วนทั่ว ทั้งหมดก็เพื่อหวังผลทางการเมือง ทำให้เด็กบ้องตื้น และผู้ใหญ่ที่ “คิดไม่เป็น” จำนวนไม่น้อยเห็นคล้อยตาม ตกเป็นเหยื่อจนโดนคดี “112” มหาศาล บางส่วนต้องหนีลี้ภัย ที่เหลือก็ติดคุกยาว ๆ หมดอนาคตนับไม่ถ้วน

ถือเป็น “ตราบาป” ที่พรรคการเมือง “สามกีบ” สร้างไว้ให้กับสังคมไทย

แต่ที่สุดก็วงแตก ไปกันไม่รอด เหยื่อก็คือเหยื่อ กระจัดกระจายหนีหายกันไปคนละทิศละทาง นักการเมืองผู้แอบชักใยอยู่ใต้กระโปรงเด็กจึงเปลี่ยนวิธี เมื่อหลอกใช้เด็กไม่สำเร็จ ก็คิดแผนชั่วแบบอื่น เพื่อจะลบคำว่าสถาบันให้หายไปจากความรู้สึกดี ๆ ของคนไทยให้ได้ ถือเป็นพรรคที่ยืนหนึ่งในเรื่อง “ล้มล้างการปกครอง” เท่านั้น อย่างอื่นเป็นเพียงอาหารว่างคั่นเวลาโจร

คำโฆษณาที่ว่าความเหลื่อมล้ำจะหมดหายไป จึงเป็นได้เพียงคำโป้ปด ที่คอยหลอกต้ม “ด้อมส้มผู้เบาปัญญา” เพื่อให้มาเป็นแรงหนุนและตายแทน เพราะกว่าสองปีที่ “นักโทษเทวดา” กลับไทยมาแล้วเหาะเหินไปนอนนอกคุก ทำตัวมีอภิสิทธิ์เหนือกว่าประชาชนคนเดินดิน เช่นนี้เรียกว่า “โคตรของโคตรความเหลื่อมล้ำ” แต่พรรคการเมืองที่อวดอ้างว่าจะมาต่อสู้ให้สังคมไทยเกิดความเท่าเทียม นับตั้งแต่หัวถึงหางกลับไม่มี สส. ที่เคยปากดีสักตัวแสดงความกล้าหาญที่จะทักท้วง หรือเป็นปากเป็นเสียงแทนประชาชนให้สมกับชื่อ “พรรคประชาชน” ของตนเอง

เปลี่ยนชื่อไปเป็น “พรรคขี้ข้านักโทษ” ดูจะเหมาะสมกว่ามากมาย

หรือใครว่าไม่จริง?

ถึงเวลาที่ผู้คนตื่นรู้ รีบคายส้มเน่าออกจากปาก หันมาปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์

(20 พ.ค. 68) คนไทยเรา ถ้าเกิดและเติบโตมาบนผืนแผ่นดินไทย ถือว่ายังมีเป็นส่วนน้อยที่จะเป็นคนใจคด ทรยศต่อชาติแผ่นดินของตนเอง ด้วยเนื้อแท้ของคนไทยดั้งเดิมนั้นจะเป็นคนที่มีความกตัญญูต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และพร้อมจะปกปักรักษาเท่าชีวิต แม้กาลเวลาจะหมุนเปลี่ยนไปสู่ยุคใหม่ ยุคที่ผู้ใหญ่ขาดการพร่ำสอนอย่างเข้มงวด เพื่อให้เด็กรุ่นใหม่รับรู้ถึงความดีงามของสถาบัน แต่สายใยของความรัก ความผูกพัน ความเชื่อ และข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ ก็ยังทำให้คนไทยจำนวนมากยังคงมอบความศรัทธาต่อ “สถาบันเบื้องสูง” ไม่เสื่อมคลาย 

คำว่าไทย ผูกร้อยสถาบันกษัตริย์ไว้จนยากจะหลุดขาดออกจากกัน ต่างเกื้อกูล หล่อหลอม ให้ประเทศชาติแข็งแรง สถาบันคือศูนย์รวมใจ มิใช่เป็นเพียงพระมหากษัตริย์ไทยเพียงพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง แต่คือราก คือแก่นของชาติ สถาบันจึงไม่ต่างจากศรัทธาแห่งชีวิตที่เหล่าประชาชนมีไว้ยึดเหนี่ยว มิใช่แยกส่วนหันเหไปคนละทิศละทางเหมือนประเทศอื่น ๆ

ประเทศไทย คือสัญลักษณ์ของการมีสถาบันกษัตริย์ที่มั่นคง คอยปกป้องดูแลประชาชนคนไทย มิใช่จะผลัก หรือล้มล้างทำลายสถาบันให้เหลือเพียงสัญลักษณ์ตามความนึกคิดของผู้ไม่หวังดี 

หลายปีที่ผ่านมา มีคนไทยจำนวนไม่น้อย เบื่อพรรคการเมืองเก่า เบื่อระบบเดิม ๆ เบื่อการบริหารชาติในแบบที่เน่าเฟะ จึงหันไปหลงเชื่อพรรคการเมืองที่โฆษณาว่าเป็น “คนรุ่นใหม่” จะเข้ามาเพื่อเปลี่ยนแปลงทุกอย่างไปในทางที่ดีขึ้น 

แต่สิ่งที่ได้กลับตรงกันข้าม 

พรรคการเมืองพรรคนี้มีแต่เรื่องมัวหมองไม่เว้นวัน นอกจากมีพฤติกรรมย้อนแย้งอย่างน่าไม่อาย ยังมีพฤติกรรมบ้ากาม คุกคามประชาชน ข่มขืนชาวต่างชาติ เคลมผลงานของคนอื่น ปกป้องคนพม่า หนีการเกณฑ์ทหาร กัดเซาะ จาบจ้วง ดูหมิ่นสถาบัน สมคบคิดกับต่างชาติเดินหน้าล้มล้างการปกครอง ทำให้ประชาชนหลายล้านคนที่ “ไม่เบาปัญญาจนเกินไป” เริ่มฟื้นตื่นจากอาการหลงผิด พากันถอยห่างออกจาก “พรรคการเมืองล้มสถาบัน” พรรคนี้ เพราะมองเห็นแล้วว่าเป็น “คนรุ่นใหม่หัวใจโจร” 

คนจำนวนมากที่เคยนิยมกินส้ม ก็เริ่มคายทิ้งออกจากปาก เพราะรู้รสชาติที่แท้จริงแล้วว่าคือ “ส้มเน่า” แม้กากส้มจะหล่นลงพื้นดินแล้ว บางคนที่เจ็บปวดเพราะถูกหลอกยังใช้เท้าบดขยี้จนจมดิน

ถึงเวลาแล้วที่ “คนไทยเคยหลงส้ม” จะกลับตัว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top