Monday, 21 April 2025
ท่อนHookการเมือง

พระดัง พิธีกร นางฟ้า เทวดา ดารา รัฐมนตรี ใครร่วมทำผิดล้วนต้องติดคุก..ไม่มีข้อยกเว้น!!

(22 ต.ค. 67) มหากาพย์แชร์ลูกโซ่ “ดิไอคอน” ที่ “กลุ่มบอสโจร” สุมหัวกันหลอกปล้นผู้เสียหายไปนั้น กำลังเปลือยให้เห็นถึง “ความเน่าเหม็นของสังคมไทย” ชนิดหมดไส้หมดพุง 

ใครก็ตามทั้งพระดัง พิธีกร นางฟ้า เทวดา ดารา หรือรัฐมนตรีที่ตั้งใจ และไม่ตั้งใจ ทั้งที่ละเอียดรอบคอบมาดีมากพอแล้ว หรือไม่เคยศึกษาลงลึกให้ถ้วนถี่ใด ๆ เลย เมื่อเข้าไปเกี่ยวข้องกับ “แชร์นรกแสนล้าน” ทางใดก็ตาม บัดนี้ก็ได้เวลาแล้วที่ “เงาบาป” กำลังไล่ล่าให้ต้องร่วมรับผิดชอบชีวิตน้อย ๆ ของผู้เสียหาย

บาปที่เกิดจากการร่วมเสพสุขบนความทุกข์ระทมใจของผู้บริสุทธิ์นั้น ไม่ต่างจากการจุดไฟเผาให้เขาต้องดิ้นตายทั้งเป็นต่อหน้าต่อตา กรรมรูปแบบนี้ไม่ต้องรอชาติอื่นมาลงทัณฑ์ ทำกับใครเขาไว้ในชาติใด ก็ชดใช้โดยเร็วในชาติชีวิตนั้นทันที 

ส่วนใครเป็นมวย และมีบารมีมาก ก็อาจจะดึงเกมให้ตัวเองอยู่นอกคุกได้นานหน่อย แต่ค่อนข้างแน่ใจว่างานนี้ไม่ช้าก็เร็วใครที่เคยมีเอี่ยวในการโฆษณาชวนเชื่อ คอยพูดชม เชียร์ หรือช่วยชักจูงให้ผู้คนมาเป็น “ทาสแชร์” จนหมดเนื้อหมดตัว ย่อมจะมีปัญหากับชีวิตไม่มากก็น้อยแน่นอน  

บางคนที่เคยตีกินจากความมั่งคั่งของ “บอสนักต้มตุ๋น” เหล่านี้ เงินบาปเหล่านั้นกำลังย้อนศรชีวิตตนเอง หันมาทิ่มแทงให้แต่ละวันต้องหนาว ๆ ร้อน ๆ หลายคนที่คิดว่าตัวเองอาจจะโดนแน่ ๆ จึงคิดหาวิธีตีตัวออกห่างในสารพัดรูปแบบ บ้างก็เก็บตัวเงียบ บ้างทำไม่รู้ไม่ชี้ บ้างก็ไปซ่อนตัวต่างประเทศ แม้สื่อจะไล่ขุดเอาหลักฐานเก่า ๆ มาโปรยให้สังคมเห็นรายวัน แต่คนที่เก๋าเกมก็ยังไม่หลงกลสื่อง่าย ๆ หลายรายจึงยังต้องไล่บี้ในข้อกฎหมายต่อไป 

แต่ไม่ว่าจะมีใครเข้าปิ้งตาม “บอสอวดรวย” ที่ไปนอนรับกรรมในตะรางแล้วหรือไม่ อย่างไร คดีนี้ก็เปลือยให้เห็นล่อนจ้อนถึง “ความเบาปัญญา” ของสังคมไทยอีกครั้ง 

คนดัง คนมีชื่อเสียงแทบจะทุกวงการ ต่างกระโจนเข้าหาเงินก้อนโต ช่วยกันพูดเชียร์ สนับสนุน ส่งเสริม ผลักดัน ให้เหล่ามหาโจรซึ่งก็ไม่ได้ดูฉลาด กลายเป็นกลุ่มคนที่ดูน่าเชื่อถือในสังคม จนเกิดเหยื่อผู้น่าสงสารเต็มบ้านเต็มเมือง อย่าลืมว่าเหยื่อจำนวนมากไม่ได้มาเพราะ “บอสโนเนม” แต่มาหมดตัวเพราะมีคนที่น่าเชื่อถือทำให้ “บอสมหาโจร” เหล่านี้มันโด่งดัง

แล้วเวลานี้จะบอกว่าตัวเองไม่เกี่ยวได้อย่างไร?

‘สื่อไม่เอาไหน ทนายขี้โกง ตำรวจขี้ฉ้อ นักตบทรัพย์’ ผุดโผล่ขึ้นเป็นดอกเห็ด จนยากจะแก้ไขได้ทันแล้ว

สำหรับประเทศไทย คงไม่มีช่วงเวลาไหนที่ 'ความโฉดชั่ว' จะปรากฏจนเบ่งบานเท่าสี่ห้าปีมานี้อีกแล้ว บ้านเมืองเรามีแต่ข่าวเทา ๆ ดำ ๆ ของเหล่าทนายขี้โกง ตำรวจขี้ฉ้อ นักตบทรัพย์ นักการเมืองคอรัปชัน ผุดโผล่ขึ้นมาให้สังคมไทยได้รับรู้กันราวดอกเห็ด และที่น่าเศร้ากว่าใด ๆ 'คนดีในคราบโจร' เหล่านี้ ยังลอยหน้าลอยตาในสังคม อยากจะไปออกสื่อไหน ก็มีคนต้อนรับขับสู้ คอยเชื้อเชิญ เรียกท่าน เรียกคุณ ราวกับว่าคอนเทนต์ และยอดคนดู จะสำคัญกว่าเรื่องความย่อยยับของสังคมไทย

สื่อดังหลาย ๆ สำนักไม่จดจำใส่ใจ ไม่กล้าแสดงการ 'บอยคอต' บุคคลที่เป็นอันตราย หรือมีตำหนิติดตัวที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข พอข่าวลบ ๆ จางหายไป ทั้ง ๆ ที่ยังไร้การพิสูจน์ความจริง ก็เชื้อเชิญให้มานั่งหน้าสลอนในรายการ พูดเรื่องใหม่เพื่อให้ลืมเรื่องแย่ ๆ ที่เคยทำไว้ในอดีต ถือเป็นการ 'ช่วยฟอกความผิด' ที่ติดตัวมาช้านาน 

สังคมไทยจึงผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาแต่คนแย่ ๆ หน้าเดิม ๆ ที่ไม่ต้องรับโทษ เพราะมีสื่อที่สนิทชิดเชื้อคอยเก็บกวาดพื้นที่ให้สะอาดจะได้มีที่ยืนใหม่ ๆ ได้ตลอดเวลา จึงพูดได้ว่าสื่อไทยบางสำนักขาดวิสัยทัศน์ และไร้ความหวังดีกับสังคมไทย ด้วยมุ่งหวังแต่การทำมาหากิน กลายเป็นสื่อที่ไร้จรรยาบรรณ ไร้มาตรฐาน ไร้จริยธรรมอย่างรุนแรง 

เรื่องนี้ยังรวมถึงคนสื่อที่มีชื่อเสียงมายาวนาน สามารถยืนระยะมาได้ถึงปัจจุบัน แต่น่าเสียดายที่บางสื่อถึงกับเคยเปิดพื้นที่ในรายการให้คนที่ทำมาหากินแบบเทา ๆ หรือคนคดโกงผู้คนไม่ต่างจาก 'อาชญากร' มาออกรายการเพื่อนำเสนอธุรกิจที่แฝงการหลอกต้มผู้คน เท่ากับสื่อที่มีคนดูมากมาย ลงมือช่วย 'การันตีโจร' ให้ผู้คนร่วมยินดีไปโดยปริยาย ความเสียหายของสังคมไทยจึงเกินคณานับ 

เหล่ามหาโจรในคราบ 'คนดีของสังคม' จึงปรากฏออกมาให้เห็นบนจอสื่อแทบทุกช่อง เมื่อสื่อคิดแค่ว่าต้องหารายได้ คำว่าสื่อน้ำดีจึงมีเหลืออยู่น้อยเต็มทีในปัจจุบัน เพราะทันทีที่สื่อเปิดใจต้อนรับคนเทาดำอย่างขาดสติ ขาดอุดมการณ์ที่จะช่วยพยุงให้สังคมไทยนั้นดีขึ้น ชั่วโมงนี้เราจึงเห็น 'คนที่ไม่น่าไว้วางใจ' เล่นบทคนดีมานั่งเสนอหน้าในหลาย ๆ รายการเสมอ 

ขณะที่คนไทยส่วนใหญ่ยัง 'คิดกันไม่เป็น' สื่อไทยก็ช่วยให้ 'คนเบาปัญญา' มองเห็นคนเลว ๆ เป็นแบบอย่างที่ดี ที่ควรเดินตาม 

บรรลัยล่ะครับ..ประเทศไทย

ชิงเก้าอี้นายกฯอบจ.สงขลา ‘นิพนธ์-นายกฯชาย’ จับมือหนุน ‘สุพิศ’ ปล่อย ‘ไพเจน’ หลังพิงเชือกแลกหมัดสู้

(29 ต.ค. 67) ‘ไพเจน มากสุวรรณ์’ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา กล่าวยืนยันว่า จะไม่ลาออกจากตำแหน่งก่อนหมดวาระแน่นอน ยังคงเดินหน้าทำงานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากประชาชนจนวันสุดท้ายอย่างขยันขันแข็ง

“นายกฯไพเจนจะลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกฯอบจ. สงขลาอีก 1 สมัยแน่นอน” แหล่งข่าวใกล้ชิดนายกฯไพเจน กล่าว

ที่ต้องมาตอกย้ำกันอีกครั้ง เนื่องจากว่ามีการปล่อยข่าวว่า นายกฯไพเจนถอดใจแล้ว จะไม่ลงเลือกตั้งในสมัยที่สอง ซึ่งเป็นการปล่อยข่าวด้วยเจตนาร้ายของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่ได้ประโยชน์จากข่าวนี้ ซึ่งต้องหมายถึงฝ่ายการเมืองในสงขลาที่กำลังฟาดฟันกันอยู่

ปล่อยข่าวหนักถึงขนาดว่า ถ้านายกฯไพเจนไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกฯอบจ.สงขลา จะเปิดทางให้ไปลงสมัคร สส.เขต 7 สงขลา (นาทวี จะนะ เทพา สะบ้าย้อย)ในนามพรรคประชาธิปัตย์ ที่ ‘ศิริโชค โสภา’ เคยเป็น สส.อยู่ แต่ปี 2562 พ่ายแพ้ให้กับ ‘ณัฐชนนท ศรีก่อเกื้อ’ จากพรรคภูมิใจไทย และมาแพ้ซ้ำในการเลือกตั้งปี 2566 และเมื่อเกิดวิกฤตทางการเมืองในพรรคประชาธิปัตย์ ศิริโชคก็ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เท่ากับว่า เขต 7 สงขลา ของพรรคประชาธิปัตย์ว่างอยู่ จึงมีความพยายามปล่อยข่าวว่า นายกฯไพเจนจะไม่ลงสมัครรักษาแชมป์แล้ว โดยจะโยกไปลงสมัคร สส.เขต 7 แทน

ถามว่า มีการพูดคุยกันจริงไหม มีการพูดคุยกันจริง ผ่านทาง ‘นายกฯชาย - เดชอิศม์ ขาวทอง’ เลขาธิการพรรคประชาธิปัต์ แต่นายกฯไพเจนไม่ได้ตอบรับต่อข้อเสนอนี้ เพราะในสถานการณ์ปัจจุบันต้องยอมรับความจริงว่า ประชาธิปัตย์ขาลงอย่างสุดๆ หากไปลงสมัคร สส.เขต 7 จึงมีโอกาสสูงมากที่จะพ่ายแพ้ให้กับ ‘เดอะหนุ่ย-ณัฐชนนท’ ที่ฐานเสียงค่อนข้างหนาแน่น ผลงานในพื้นที่ก็ชัดเจน และเสี่ยงยิ่งกว่าลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกฯอบจ.อีก

ไม่ผิดหรอกที่นายกฯไพเจนจะตัดสินใจลงรักษาแชมป์อีกสมัย 4 ปี ผลงานมีชัดเจน เพียงแต่ด้อยด้านการประชาสัมพันธ์ ทีมงานประชาสัมพันธ์ที่มีฝ่ายประชาสัมพันธ์เป็นตัวยืน กับสถานการณ์สู้รบ ไม่เพียงพอ

รบกับใคร นายกฯไพเจนกำลังรบกับ ‘สุพิศ พิทักษ์ธรรม’ ที่มั่นใจในตัวเองสูงมาก ลาออกจากอธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กับความอู้ฟู้ ใจถึง มาลงชิงนายกฯอบจ.สงขลา อย่าลืมว่า สุพิศไม่ใช่แค่อดีตข้าราชการระดับอธิบดี เขายังมี ‘นิพนธ์ บุญญามณี’ อดีตรัฐมนตรีช่วยมหาดไทย ที่แตกหน่อแทงกอ ไปหนุนช่วย ‘สุพิศ’ แถมยังมี ‘นายกฯชาย-เดชอิศม์ ขาวทอง’ อีกคนเข้าไปเสริมทัพ

แต่ถามว่า ทั้ง ‘นิพนธ์-นายกฯชาย’ จะช่วยให้ ‘สุพิศ’ ชนะการเลือกตั้งแบบง่ายๆ ก็คงไม่ใช่ ‘นายกฯชาย’ เป็นเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ที่ร่วมกันนำพาพรรคประชาธิปัตย์ เข้าร่วมรัฐบาลของแพทองธาร ชินวัตร ที่สังคมทั่วไปรับรู้กันอยู่ว่ามี ‘ทักษิณ ชินวัตร’ ชักใยอยู่เบื้องหลัง ‘ทักษิณ ชินวัตร’ ที่คนใต้รับไม่ได้ในหลายเรื่อง ทั้งเล่นพรรคเล่นพวก ทุจริตคอร์รัปชัน แถมยังไม่พัฒนาพื้นที่ที่ไม่เลือกพรรคเขา

พรรคประชาธิปัตย์ที่ตกต่ำอยู่แล้วก็ยิ่งตกต่ำหนักเข้าไปอีก เมื่อถึงหน้าเลือกตั้งนายกฯชายจะรับมือไหวไหมกับกระแสไม่เอาประชาธิปัตย์ และจะช่วยดันหลัง ‘สุพิศ’ ไหวหรือเปล่า เอาเป็นว่านายกฯชายกำลังวางแผนบางอย่าง เพื่อเอาตัวให้รอดในการเลือกตั้งครั้งหน้า และต้องมี อบจ.เป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อน เข้าถึงหันหัวเรือเข้าจอดเทียบท่า กับท่าเรือที่อู้ฟู้กว่า

สำหรับนิพนธ์ เมื่อหันหัวเข้าหาสุพิศ ก็ต้องเตรียมตัวตั้งรับดีๆกับการถูกลากไปสู่มุมมืด นิพนธ์ควรสงวนท่าที สิงห์ก็ต้องเป็นสิงห์ จริงๆนิพนธ์ควรจะยืนอยู่นิ่งๆ หรืออยู่ข้างไพเจน เพราะสนับสนุนช่วยเหลือกันมาตั้งแต่สมัยแรก ที่สำคัญ ‘นิพนธ์-ไพเจน’ คือเลือด ‘น้ำเงิน-ขาว’ จากมหาวชิราวุธด้วยกัน ‘เลือดควรจะข้นกว่าน้ำ’ น้ำที่มาจากโรงเรียนแจ้งวิทยา แต่ด้วยเหตุผลใดไม่อาจทราบได้ที่ทำให้นิพนธ์ หันหัวไปช่วยสุพิศ

ที่ต้องจับตากับท่าทีที่นิ่งๆของ ‘ถาวร เสนเนียม’ อดีตรัฐมนตรีช่วยคมนาคม ว่าท้ายที่สุดแล้ว ยังจะนิ่งต่อไป หรือหันไปช่วยใคร ‘ถาวร’ คงจะกระอักกระอ่วนใจไม่น้อย ถ้าจะไปช่วยสุพิศ เพราะมีนิพนธ์ที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกันมาตลอดจองหัวคิวไว้ก่อนแล้ว แม้ ‘ถาวร’ กับนายกฯชายจะไม่ได้มีปัญหาอะไรกันก็ตาม

ศึกชิงเก้าอี้นายกฯอบจ.สงขลา ครั้งใหม่นี้ ถือว่าเป็นศึกคนกันเอง เพราะ ‘สุพิศ-ไพเจน’ ต่างก็โตมาจากสายกรมชลประทานด้วยกัน แม้ระหว่างทางจะมีปัญหากันบ้างก็เหมือนลิ้นกับฟัน

แต่ศึกชิงนายกฯอบจ.สงขลา ให้จับตา ‘ศึกชิงเลือดน้ำเงินขาวด้วย

สส. โกงเกณฑ์ทหาร-ใช้ สด. 43 ปลอม อีกหนึ่งความมัวหมองของนักการเมืองไทย

(5 พ.ย. 67) คนไทยที่มีหัวใจเป็น “ลูกผู้ชายตัวจริง” ถ้าไม่ได้ผ่านการเรียน รด. ครบ 3 ปี เมื่อถึงเวลาก็ต้องไปเกณฑ์ทหารตามปกติเฉกเช่น “ผู้ชายไทย” ทั่วไป จึงจะถือว่าเป็นผู้ชายที่ไม่เอาเปรียบเพื่อนชายไทยด้วยกัน และยังได้ชื่อว่าเป็นคนไทยที่มีความกล้าหาญ มีความสุจริตใจ พร้อมที่จะปฏิบัติตนตามกฎกติกาของสังคม   

บางคนร่างเป็นชาย กายอยากเป็นหญิง แม้ร่างกายจะซ่อนความตุ้งติ้งไว้ภายใน แต่เมื่อมีหัวใจที่เข้มแข็งไม่แพ้ชายไทยแท้ ก็มีทั้งเลือกเรียน รด. ตอนชั้นมัธยมปลาย และมีทั้งรอไปเกณฑ์ทหารเสี่ยงจับใบดำใบแดง ก็ต้องยกย่องว่าเป็น “คนดีของสังคมไทย” ในแบบหนึ่ง

ส่วนผู้ชายไทย ที่ รด. ก็ไม่เรียน ขณะที่เพื่อน ๆ ต้องลงทุนแต่งชุด รด. อดทนถือหนังสือคู่มือนักศึกษาวิชาทหารเล่มหนาเกือบครึ่งฝ่ามือ โหนรถเมล์ไปฝึกสัปดาห์ละหนึ่งวันเป็นเวลายาวนานถึงสามปี และในตอนใกล้จบหลักสูตรก็ต้องไปฝึกภาคสนามที่ “เขาชนไก่” จังหวัด กาญจนบุรี อีกเจ็ดวันเต็ม ๆ แล้วพอถึงเวลาที่ตนเองต้องเข้ารับการเกณฑ์ทหาร ก็ยังหนี หรือโกงอีก นอกจากจะมีความผิดทางกฎหมาย ยังมองเห็นความผิดปกติในเรื่องของ “นิสัยใจคอ” สะท้อนออกมาอย่างเด่นชัดถึงการเป็นคนที่ชอบ “โกงเวลาชีวิตของคนอื่น” คนประเภทนี้ขาดความเสียสละ แล้งน้ำใจ ขาดความเคารพนับถือทั้งต่อตนเอง และสังคมส่วนรวม ถือเป็นคนที่ไม่น่าคบค้าสมาคม

ผู้ชายที่แค่การเกณฑ์ทหารยังหนี ยังโกง ไม่จำเป็นต้องมีอาชีพที่สูงส่งหรอก แค่มีอาชีพ “หาเช้ากินค่ำ” ก็ยังไม่พ้นข้อหาน่ารังเกียจไปได้ เพราะถือว่าเป็นผู้ชายที่มีพฤติกรรมที่เอาเปรียบสังคม 

แต่ถ้ามีอาชีพเป็นถึง “นักการเมือง” ได้กินเงินเดือนจากภาษีอันเหนื่อยยากของประชาชน แต่มาถูกขุดคุ้ยว่าเคยหนีการเกณฑ์ทหาร แถมยังโกหกสังคมด้วยการโชว์ใบ สด.43 ปลอมอีก ต้องถือว่าเป็นนักการเมืองในระดับ “ชั่วเรียกพี่” นอกจากสมควรต้องได้รับโทษทางกฎหมาย เงินเดือนที่ได้รับจากภาษีของประชาชนมาตลอดการเป็น ส.ส. สมควรต้องคืนหลวงให้ครบทุกบาททุกสตางค์ 

ถ้าไม่มีเงิน ก็ลองไปขอเรี่ยไรจาก “คน 14 ล้าน” ที่ยังหูหนวกตาบอดอยู่ หรือไม่ก็ไปปรึกษา “ทนายนักต้มตุ๋นสังคม” ที่กำลังเป็นข่าวดู ถามเขาว่าเมื่อถูกผู้คนจับได้ไล่ทันแล้วว่าเป็นคนที่ “ปลิ้นปล้อน” สถานการณ์แบบนี้ควรทำตัวอย่างไรดี 

เพราะถึงอยู่ ก็ไม่สู้ตายดีกว่า อยู่แบบหมา มันเสียชาติชาย

สังคมไทย สุดป่วยด้วย 'โรคอวดรวย' ระบาด สุดท้ายหลงภาพลักษณ์จนตกเป็นเหยื่อนักต้มตุ๋น

สังคมไทยกำลัง 'ติดโรคอวดรวย' ที่ได้เงินมาจากการต้มตุ๋นผู้คน แพร่เชื้อโรคมาจากคนเด่นดังทางสังคม

คนไทยยุคนี้ได้ชื่อว่า 'ขยันเข้าสังคมเก่ง' แต่กลับขาดทักษะในการเรียนรู้นิสัยใจคอของคนอย่างรุนแรง ส่วนใหญ่ยังมีความคิดในเชิงโลกสวย เชื่อคนง่าย มองคนแค่เปลือกนอก จึงมักถูกหลอก ถูกชักจูงไปในทางที่ผิด จนเกิดความสูญเสียตามมาเสมอ

ยิ่งเวลาเห็นข่าวคนดังทางสังคม โผล่ออกมาหน้าจอทีวี เห็นหน้าตาเขาดี พูดจาดี ฉายโชว์แต่เรื่องราวดี ๆ และดูร่ำรวยออกสื่อ ก็จะกระโจนเข้าหา หลงชื่นชม ติดตาม และนิยมชมชอบแบบขาดสติ ไร้วิจารณญาณในการวิเคราะห์ สำรวจ ศึกษาที่มาที่ไปของคนให้ถ่องแท้ ยิ่งสื่อช่องดังแต่ละช่องขยันเชิญมาแบบขาดการไตร่ตรองให้ครบด้าน คนดูก็ยิ่งตายใจ คิดไปเองว่าทั้งหมดนั้นคือแบบอย่างที่ดี ที่ถูกสื่อคัดกรองมาดีมากพอแล้วที่จะให้สังคมอ้าแขนต้อนรับ

คนดังทางสังคมเหล่านี้เมื่อร่ำรวยขึ้นมา ก็จะโชว์เสื้อผ้าแบรนด์เนม นาฬิกาหรู บ้าน รถ ภาพการกินหรูอยู่โรงแรมคืนละหลักแสน เที่ยวต่างประเทศ กลายเป็น 'ภาพจำโง่ ๆ' ที่คล้าย 'โรคระบาด' ใครมีความร่ำรวยขึ้นมาก็จะติดทำตาม ๆ กันให้เห็นอย่างรวดเร็ว เราจึงพบเห็นคนดัง คนรวย แสดงแต่สิ่งที่กลวงโบ๋ทางปัญญา บ้าบอแต่วัตถุ ความฟุ้งเฟ้อ เป็นภาพลวง ๆ แม้ไม่จีรังแต่ก็ยังสามารถดึงดูด 'คนคิดไม่เป็น' ที่มีอยู่มากมายในสังคมไทยให้มาหลงเชื่อได้ไม่น้อยเลย 

'โรคอวดรวย' ได้กลายเป็นหนึ่งใน 'โรคระบาด' ที่กำลังแพร่กระจายในสังคม 'เศรษฐีใหม่' ที่มักจะมีรายได้มาโดยวิถีทางที่ไม่สะอาด เบื้องหลังมักทำสิ่งที่ผิดกฎหมาย ซ่อนเร้นไปด้วยเล่ห์เพทุบาย บางคนก็หลอกต้มทุกคนไม่ขวางหน้า ไม่สนบาปบุญคุณโทษ หรือแม้แต่ผู้มีพระคุณ 

ประเทศไทยยุคนี้มีคนที่ 'ติดโรคอวดรวย' แทบจะทุกอาชีพแล้ว เช่นดารานักแสดง นักร้อง พิธีกร แม่ค้าขายทอง ตำรวจ ทนาย หรือแม้แต่เจ้าของค่ายมวยที่หน้าฉากกับหลังฉากราวขาวกับดำ แม้จะเกมไปนอนคุกแล้วบางส่วน แต่ที่ยังรอดเล่นบทตีสองหน้ากับสังคมยังมีอีกไม่น้อยเลย 

จับตาดูให้ดี ๆ 

ตื่นธรรม ต้องตื่นที่ใจ มิใช่ตื่นเพราะลืมตา แต่ยังหลงวนในดงคนบาป ปั้นตัวให้ดูแตกต่างเพื่อต้มตุ๋นเงินทอง

เหตุการณ์ต่าง ๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นชัดว่า 'คนไทยยุคใหม่' ขาดความเข้าใจในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงอ่อนแอ เปราะบาง พร้อมจะโอนเอนเข้าหาการโน้มน้าวจาก 'ของปลอม' ที่คอยปักธงปล้นเงินในกระเป๋าไว้อย่างรัดกุม ด้วยเพราะรู้ใน 'จุดอ่อน' ของ 'คนหลับธรรม' จำนวนมากในสังคมไทย 

สังคมไทยยุคใหม่ เป็นสังคมแห่งการถือดีแต่ไม่มีดี อวดฉลาดแต่ก็โง่เขลาเบาปัญญา จึงพร้อมใจกันสาละวนอยู่กับการถูกหลอกลวงจากคนรูปลักษณ์ใหม่ ๆ ในวิธีการลวงล่อที่ไม่ต่างจากอดีต แต่ด้วยเพราะสังคมขาดความรู้ ขาดการลงลึกเพื่อจดจำประวัติศาสตร์ ขาดการติดตามข่าวสารบ้านเมืองอย่างจริงจัง และไม่ชอบ 'อ่านหนังสือ' ซึ่งถือเป็นเรื่องพื้นฐานของคนในชาติที่เจริญแล้ว เมื่อชาติใดมีประชากรที่ฉลาด ชาตินั้นก็จะมีความเข้มแข็งตามมา โจรก็จะน้อยลงเป็นเงาตามตัว

แต่สังคมไทยให้ความสำคัญแต่กับเปลือกปลอม ข่าวซุบซิบเรื่องของชาวบ้าน สอดส่องแอบดูความร่ำรวยของผู้คน และการศัลยกรรมเปลี่ยนแปลงหน้าตาของตัวเอง เป็นเปอร์เซ็นต์ที่น้อยถึงน้อยมากที่จะให้เวลาหมดไปกับการ 'ศึกษาเรียนรู้' เพื่อที่จะไม่เป็นเหยื่อโจร ซึ่งแปลงโฉมมาต้มตุ๋นสังคมในรูปแบบต่าง ๆ ไม่เว้นวัน ยุคนี้จึงมุ่งมาหากินกับกลุ่มคนที่ยัง 'หลับธรรม' เพราะเป็นผู้คนที่ 'หลอกง่าย' ด้วยไร้แสงสว่างทางใจแบบฝังลึก

มองมุมหนึ่งกลุ่มคนที่โอนเงินไปบริจาคให้กับ 'นักต้มตุ๋น' ไม่ว่าจะเคยเป็นมาในรูปแบบใด ก็อดไม่ได้ที่จะบอกว่าน่าสงสาร เห็นใจ แต่ถ้ามองในมุมใหญ่ก็จะพบว่ายังคงเป็น 'คนกลุ่มเดิม' ที่ยังเดินหน้าให้โจรหลอกซ้ำหลอกซาก แค่โจรเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนหน้า เปลี่ยนวิธีมาดึงดูดเงินทองของเหยื่อที่ไม่เคยคิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง  

ตราบที่สังคมไทยยังคงหลับใหล ไม่ตื่นในรสพระธรรมคำสอนที่จริงแท้ของพระพุทธเจ้า ก็จะมองคนสะอาดเป็นคนที่สกปรก และมองคนที่ประสงค์ร้ายต่อสังคมเป็นคนที่ปรารถนาดีต่อผู้คน สมควรต้องยกย่อง สรรเสริญ และนำเงินทองไปประเคนร่วมบุญตามคำชวน โดยไม่คิดจะตั้งคำถาม หรือสงสัยเส้นสายการเดินทางของเงินอภิมหาบุญเหล่านั้นผ่านช่องทางใคร? ไปหยุดอยู่ที่ตรงไหน? และนำไปทำสิ่งใดเพื่อสังคมบ้าง? 

ที่สุดก็ไม่พ้นกลุ่มคนที่มีสติ ซึ่ง 'ตื่นธรรม' อยู่ก่อนแล้วโดยที่ไม่ต้องรอคนขึ้นมึง ขึ้นกู มาสั่งสอน ต่างลงแรงช่วยกัน “ยุติโจรในคราบนักบุญ” เสียทุกราย 

คนกลุ่มนี้นี่ต่างหาก สมควรเรียก 'คนตื่นธรรม' โดยแท้จริง

จากคอลเซ็นเตอร์ ฟอเร็กซ์ 3d ดิไอคอน จนถึง “คนตื่นธรรม” ที่ทำคนไทยไม่น้อยหลับต่อความจริงสนิท จนยากที่จะฟื้นตื่น

(14 ม.ค. 68) ว่ากันว่า “คนที่มีนิสัยย้อนแย้ง” นำมาซึ่งหายนะต่อคน ๆ นั้นนับครั้งไม่ถ้วน คนเราถ้าขาดซึ่ง “ความชัดเจน” บนฐานรากของความถูกต้อง ก็จะเผยให้เห็นความคิด และการกระทำที่ผิดเพี้ยนตามมาในไม่ช้าก็เร็ว สิ่งเหล่านี้จะเปลือยภาพความไม่มั่นคง, ไม่น่าเชื่อถือ และเป็นอันตราย จึงไม่ต่างจากความชั่วร้ายที่เป็นพิษภัยต่อสังคม จุดจบของคนเหล่านี้ถ้าไม่ติดคุก ก็ตายทั้งเป็นด้วยชื่อเสียงที่เน่าเหม็นยากจะมีใครกล้าเข้ามาคบค้าสมาคม 

เหล่ามิจฉาชีพ นักต้มตุ๋น นักลวงหลอกผู้คน มักมีคุณสมบัติคือ “ความย้อนแย้ง” เป็นส่วนประกอบหลัก ย้อนแย้งในคำพูด ย้อนแย้งในการกระทำ พูดจากลับไปกลับมา กลิ้งกลอกหลอกล่อผู้คนไปในทิศทางต่าง ๆ เพื่อหวังทรัพย์สิน เงินทอง ความนับถือ โดยปราศจาก “แก่นแท้ทางธรรม” ให้ผู้คนรู้สึกเลื่อมใสใด ๆ  

แต่ที่ยังคงลวงหลอกผู้คนให้ไป “ติดกับดัก” ได้มากมาย สร้างความเสียหายทั้งทรัพย์สิน เงินทอง และความรู้สึกชนิดที่ยากจะประเมินได้นั่นก็เพราะคนไทยจำนวนไม่น้อยไม่เคยเรียนรู้อดีต ไม่ลงลึกเพื่อจดจำเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ ที่สำคัญคือ “ไม่ใช้ปัญญาในการดำเนินชีวิต” แต่ละวันโหยหาแต่ “สิ่งที่ถูกใจ” มากกว่า “สิ่งที่ถูกต้อง” ก็เลยกลายเป็น “เหยื่อคนคดโกง” ที่แค่เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนหน้า เปลี่ยน “ลีลาโจร” มา “ต้มตุ๋น” ซ้ำใหม่ได้ง่าย ๆ 

เพียงแต่ “คนมีบุญขนานแท้” เกาะติดกายใจไปทุกชั่วขณะก็จะ “อ่านโจร” ออก จึงรอดปลอดภัยทุกสถานการณ์ ซึ่งยังโชคดีที่ว่ายังเป็น “คยไทยส่วนใหญ่” ของประเทศ แต่ใครที่คล้ายเป็น “คนไร้บุญไร้กุศล” ก็จะมืดบอดด้วยปัญญา ต่อให้ “โจรโง่แสนโง่” สักเท่าไหร่ ก็จะพ่ายแพ้ทางโจรวันยังค่ำ 

การที่สังคมไทยเกิด “อาชีพนักต้มตุ๋น” มากเป็นดอกเห็ด คงจะโทษใครไม่ได้ ต้องกลับไปที่เรื่องของ “ความละเอียดในการใช้ชีวิต” เรื่องแบบนี้ไม่เกี่ยวกับอายุ เพศ การศึกษา หรือนามสกุลจะใหญ่โตหรือต่ำเตี้ยสักเพียงไหน เพราะถ้าโง่ ก็รอดยาก 

คนไม่โง่ หรือโง่เพียงระยะสั้นเท่านั้น ที่จะปลอดภัยในระยะยาว 

คนที่ไม่เอาตัวเองไปข้องเกี่ยว หรือหลงแสดงความชื่นชม “นักต้มตุ๋น” คนเหล่านี้ต่างหากที่เป็น “ผู้ตื่นธรรม” โดยแท้จริง 

ทิ้งไว้ให้คิด ปริศนาธรรมจากคนที่ตื่นต่อความจริง 

เมื่อมีรัฐบาลขายแผ่นดิน - ฝ่ายค้านล้มล้างสถาบัน แล้วเราจะอยู่กันอย่างไร? อย่าคิดว่าประเทศไทยจะไม่ล้ม

(21 ม.ค. 68) ปีสองปีมานี้ คนไทยจำนวนไม่น้อยหันไปทำอาชีพค้ายาเสพติดกันมากขึ้น ไล่ตั้งแต่ตัวเล็ก ๆ แบบแอบขายปลีกตามซอกซอย ไปจนถึงนักค้ารายใหญ่ อาชีพรองลงมาก็คือเป็นเจ้ามือหวย มีตั้งแต่หวยเถื่อนปกติที่หนึ่งเดือนมีสองครั้ง กับหวยเถื่อนแบบตั้งวงเล่นในหมู่บ้าน มีให้คนหาเช้ากินค่ำแทงเล่นได้ทุกวันทั้งเช้าและเย็น และส่วนใหญ่ชาวบ้านก็จะหมดตูดกันถ้วนหน้า

รัฐบาลเด็กอมมือนอมินีในสายเลือดของ “นักโทษเทวดา” ก็ยังสนับสนุนให้ประชาชน “รอเงินแจก” เมื่อไร้สมอง และไม่มีวิสัยทัศน์ในการบริหารชาติให้ก้าวหน้าก็กลับมาเล่นแผน “ประชานิยม” ตามสูตรเดิม ส่งเสริมให้คนไทยที่กำลังขี้เกียจให้ขี้เกียจทำงานหนักขึ้นกว่าเก่า 

ยังไม่นับการเดินหน้าสนับสนุนให้มีบ่อน เพื่อตอกย้ำการมอมเมาผู้คนให้สิ้นเนื้อประดาตัวในระยะยาว และที่ชั่วได้คลาสสิคที่สุดก็คือการเอื้อให้เขมรได้อณาเขตทางทะเลไทยไปหากินแบบง่าย ๆ ดีที่ยังมีคนไทยส่วนมากตื่นรู้ กล้าหาญออกมาปกป้องแผ่นดินของเราเอง รัฐบาลที่มีแผลอยู่เต็มตัวจึงไม่กล้าออกอาวุธส่งเดช ทุกอย่างจึงยังไปไม่สุด ก็ต้องจับตากันไปมาแบบไม่กะพริบ 

รัฐบาลไทยยามนี้มีแต่ “ความโลภ” จึงเดินหน้าดึงชาติให้ตกต่ำเพื่อ “ผลประโยชน์” ของตนเองเท่านั้น แทบไม่มีผลงานใดที่จะโชว์ให้สังคมโลกเห็นว่าเป็นความปรารถนาดีต่อคนไทยได้เลย แต่ถึงจะบริหารประเทศได้ย่ำแย่ ตกต่ำกว่าทุกยุคสมัยแค่ไหน แต่ฝ่ายค้านของเราก็ยังนิ่งเฉย ไม่ทุกข์ไม่ร้อน ยังคงวางแผนเดินเกมลับเพื่อล้มสถาบันดังเดิม เพียงแต่หนนี้หันไปเล่นเกมในสภา เพราะถ้าจะหลอกใช้เด็กวัยรุ่นให้ไปติดคุกแทนด้วยการแตะ 112 ด้วยการ “เขียนกำแพงวัดพระแก้ว” อีก แผนชั่วนี้คงใช้ไม่ได้ผล เด็ก ๆ ตื่นจากความโง่จนรู้เท่าทัน “กลลวงของพรรคส้มเน่า” แล้ว การมีพรรคฝ่ายค้านในเวลานี้ก็ไม่ต่างจากการเอาเงินภาษีของประชาชนไปจ่ายให้นักการเมืองที่ไม่ทำหน้าที่ ถ้านำเงินไปเลี้ยงหมาจรจัดตามข้างถนน เรายังจะได้ “ความซื่อสัตย์จากสุนัข” มากกว่า 

ถึงวันนี้ เราจึงมีแต่นักการเมืองโลภ ไร้คุณภาพ และไร้วิสัยทัศน์ จึงยากที่ประเทศไทยจะอยู่อย่างประเทศที่ประสบความสำเร็จ ที่พึ่งสุดท้ายคือประชาชนแบบเรา ๆ ถ้ายังอ่านคนไม่ขาด ดูนักการเมืองไม่ออก ยังคงหลงกลนักการเมืองซ้ำ ๆ เดิม ๆ ก็ตายหมู่แน่นอน 

ปล่อยไว้แบบนี้ อย่าคิดว่าประเทศไทยจะไม่ล้ม 

ช้าหรือเร็ว เท่านั้นเอง

ศิลปินนักร้อง จำพวกเกลียด 112 จ้องล้มเจ้า ถึงคราวตัวเองฟ้องหมิ่นทันที - แถมใช้เพลงพระราชนิพนธ์หากิน

(28 ม.ค. 68) ข่าวโด่งดังในสังคมไทยเมื่อสัปดาห์ก่อน คงหนีไม่พ้นประเด็นศิลปินนักร้องชายชื่อดัง “แอบคบชู้” จนนำไปสู่การฟ้องร้อง และถึงแม้ฝ่ายถูกฟ้องจะยอมความพร้อมชดใช้ค่าเสียหายในที่สุด แต่เรื่องราวเชิงลึกกลับไม่จบลงแค่นั้น เพราะมีประเด็น 112 โผล่ขึ้นมากลาง “สนามรักสนามแค้น” 

สำหรับสังคมไทย คนเป็นศิลปินนักร้องที่มีชื่อเสียง แค่ถูกจับได้ว่า “นอกใจภรรยา” ก็สร้างความมัวหมองให้กับอาชีพของตนเองได้แล้ว แต่หากสืบพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการดูหมิ่น เหยียดหยาม หรือมีแนวคิด “ล้มล้างสถาบัน” ก็ย่อมจะถูกสังคมไทยต่อต้าน ก่นด่า และเลิกติดตามสนับสนุน ชีวิตอาจจะดับมืดลงทันทีถ้าชื่อเสียงและบารมีไม่แข็งแรงพอ ด้วยสถาบันกษัตริย์ยังคงเป็นศูนย์รวมใจคนไทยทั้งชาติ สมควรต้องปกปักรักษาเอาไว้ 

หากมองย้อนกลับไปในอดีต เราจะเห็นว่าศิลปินนักร้องไทยยุคสมัยก่อน จะรักและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์เหนืออื่นใด จึงไม่ค่อยมีประเด็นที่ศิลปินนักร้องเข้าไปเฉียดใกล้คดี 112 ให้ภาพลักษณ์และชื่อเสียงของตัวเองต้องมีตำหนิ ซึ่งผิดกับศิลปินนักร้องจำนวนไม่น้อยในยุคสมัยนี้ นอกจากจะไม่จงรักภักดี ไม่คิดว่าการที่ประเทศไทยอยู่อย่างมั่นคงมาได้ยาวนานส่วนสำคัญก็เพราะเรามีสถาบันพระมหากษัตริย์ ยังไปสนับสนุนพรรคการเมืองที่มีแนวคิดล้มล้างสถาบัน หรือไม่ก็แอบติฉินนินทาด้วยภาษาหยาบ ๆ คาย ๆ ทั้งในที่แจ้งและที่ลับ จนบางคนเข้าข่ายผิด 112 

สังคมไทยเรียกขาน “ศิลปินนักร้องล้มเจ้า” เหล่านี้ว่า “นักร้องสามกีบ” มีพฤติกรรมเด่นคือ ชอบแอบด่า แอบกัดเซาะ แสดงตนดูหมิ่นสถาบัน แต่พอจะถูกดำเนินคดีในมาตรา 112 ซึ่งเป็นคดีหมิ่นประมาทที่มีไว้ปกป้องพระมหากษัตริย์ ก็เที่ยวโห่ร้องตะโกนว่า 112 เป็นภัยต่อสังคม เป็นคดีทางการเมือง ถูกเจ้าหน้าที่บ้านเมืองใช้มาตรานี้มารังแกตนเอง 

ทางกลับกัน พอถูกใครมาดูหมิ่น เหยียดหยาม ก่นด่า หรือใส่ร้ายตนเองบ้าง ก็เที่ยวไปฟ้องร้องดำเนินคดีคน ๆ นั้นในข้อหา “หมิ่นประมาท” ทันที พฤติกรรมเช่นนี้จึงดูย้อนแย้ง เอาแต่ได้ และเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจที่สุด ยังไม่นับที่นักร้องบางคนออกตัวว่า “เกลียดเจ้า” แต่กลับนำ “บทเพลงพระราชนิพนธ์” ไปร้องเพื่อทำมาหากิน เจอนักร้องแบบนี้ที่ไหน อย่าไปสนับสนุนให้เสียเวลาชีวิตเลย 

มันเป็นได้แค่ “ขี้กากมนุษย์” ไร้หลักการ ไร้อุดมคติ ไร้ความนับถือใด ๆ แม้แต่ตัวเอง 

ต้องเป็นคนไทยแบบไหน ถึงกล้าแอบรับเงินต่างชาติ มาเผาระบบ ทำลายความมั่นคงภายในประเทศของตัวเอง

(18 ก.พ. 68) ความแตกแยกของคนในชาติ คืองานหลักของ “ทุนตะวันตก” ที่อยากเห็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์พร้อมในด้านทรัพยากรแบบไทยเรา กลายเป็นประเทศที่สามารถครอบครอง บังคับ หรือจับซ้ายหันขวาหันได้ตามอำเภอใจ แต่การจะเกิดเรื่องเช่นนี้ได้ ก็ต้อง “ซื้อคนไทยกระหายเงิน” ให้ได้ก่อน แล้วใช้ “คนไทยขี้ข้าฝรั่ง” เหล่านี้ เดินเกมล้มชาติตัวเองให้สำเร็จด้วยกลวิธีสกปรกที่เตรียมไว้  

การเคลื่อนไหวผ่าน “คนไทยหัวใจคด” ที่แสดงออกถึงการไม่เอาสถาบันในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งการตั้งม็อบ การแต่งกายเลียนแบบกษัตริย์ในเชิงเสียดสี ประชดประชัน หรืองานแสดงศิลปะที่เปลือยให้เห็นตรง ๆ ถึงการทำลายชาติ ศาสน์ กษัตริย์ของไทย แม้จะมีมาในสังคมไทยนานกว่า 10 ปีแล้ว แต่ที่เห็น “หางโผล่” แบบชัด ๆ ก็ในวันที่ประเทศไทยมี “พรรคส้มสามกีบ” เกิดขึ้นมา

แบ่งงาน แยกกันตี กระจายกำลังกันไปเพื่อจะสั่นสะเทือนถึงระบบ ความเป็นอยู่ ความเชื่อดั้งเดิม และความภักดีของคนไทยส่วนใหญ่ที่มีต่อสถาบันกษัตริย์ไทย ช่วยกันทำทุกวิถีทางเพื่อให้ “คนไทยสมองน้อย” คล้อยตามว่าสถาบันกษัตริย์คือสิ่งที่น่ารังเกียจ เป็นอันตรายต่อชีวิตและความเป็นอยู่ ทำให้ประเทศชาติไม่เจริญ ซึ่งทั้งหมดนั้นล้วนเป็นเรื่องโกหก ปั้นแต่งเรื่องราวขึ้นมาเพื่อต้องการให้ “ศูนย์รวมใจของคนไทยทั้งชาติ” สั่นคลอน 

อีกหนึ่งเหตุผลของ “คนไทยชังชาติตัวเอง” ก็จะชูคำพูดสวยหรูว่าที่พวกเขาทำอยู่นั้นก็เพื่อให้ประเทศไทยได้มีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบ เราจึงเห็น “กลุ่มคนล้มเจ้าด้วยทุนฝรั่ง” เรียกร้องให้มีการนิรโทษกรรมคดีเกี่ยวกับ 112 ที่ผ่านมาทั้งหมด เห็นชัดว่าแนวคิดเช่นนี้เป็นอันตรายต่อสังคมไทย และบ้านเมืองเราจะไร้ความสงบสุขแบบยั่งยืน 

ทุนต่างชาติที่หวัง “ฮุบประเทศไทย” ถ้าจะทำสำเร็จได้ก็ต้อง “ล้มสถาบันกษัตริย์” ให้ได้ก่อน หรือทำให้อ่อนแอลง ก็จะง่ายที่จะทำเรื่องเลว ๆ ตามแผนในลำดับถัดไป จึงจำเป็นต้องอาศัยพรรคการเมืองที่แอบกัดเซาะสถาบันอยู่ในสภาด้วย แผนล้มเจ้าด้วยทุนฝรั่งถึงจะเรียกว่าคืบหน้า ออกอาวุธทุกที่เมื่อมีโอกาส แอ็คชั่นให้ “คนออกทุน” เห็นผลงานแบบเนื้อ ๆ ไม่เช่นนั้นท่อน้ำเลี้ยงจะหยุดไหล แล้วจะเอาเงินที่ไหนมาซื้อรถ ซื้อบ้าน ซื้อที่ดิน ร่ำรวยอู้ฟู่ในเวลาอันรวดเร็ว 

เมื่อได้ชื่อว่าเป็น “คนไทยขี้ข้าตะวันตก” ก็ต้องเดินหน้า “ชูสามนิ้วล้มสถาบัน” ให้สุดซอย ทำครึ่ง ๆ กลาง ๆ ระวังแหล่งทุนจะรู้ทันว่าก็แค่ “รับจ้างล้มเจ้า” ไปวัน ๆ นายทุนหมดเงินเมื่อไหร่ ก็พร้อมกลับหลังหันได้ตลอดเวลา ตามประสานักการเมืองไทย 

ฝันไปเถอะคำว่า “อุดมการณ์”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top