Saturday, 7 June 2025
ทรัมป์

รัฐบาลทรัมป์ เปิดโครงการให้เงิน 1,000 ดอลลาร์ แก่ผู้เข้าเมืองแบบผิดกฎหมาย แลกความสมัครใจออกจากสหรัฐฯ กลับประเทศบ้านเกิด…โดยไม่ต้องถูกจับ

(7 พ.ค. 68) รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศโครงการใหม่เสนอเงิน 1,000 ดอลลาร์ (ราว 34,000 บาท) ให้แก่ผู้อพยพที่อยู่ในประเทศอย่างผิดกฎหมาย หากยินยอมเดินทางกลับประเทศบ้านเกิด โดยจะได้รับเงินหลังเดินทางถึงประเทศปลายทางและยืนยันผ่านแอปพลิเคชัน CBP Home ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิพัฒนาขึ้นใหม่

โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อลดต้นทุนของกระบวนการจับกุมและเนรเทศผู้อพยพ ซึ่งโดยเฉลี่ยมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 17,000 ดอลลาร์ต่อคน ขณะที่การสมัครใจเดินทางกลับโดยได้รับเงินช่วยเหลือ จะช่วยลดต้นทุนได้มากถึง 70% ทั้งยังช่วยลดจำนวนผู้ต้องกักขัง พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมโครงการสามารถกลับเข้าสหรัฐฯ อย่างถูกกฎหมายในอนาคตได้

โฆษกกระทรวงฯ เปิดเผยว่ามีผู้อพยพรายแรกที่เข้าร่วมโครงการแล้ว โดยได้รับตั๋วเครื่องบินจากชิคาโกกลับฮอนดูรัส พร้อมมีการจองเที่ยวบินเพิ่มเติมให้กับผู้สมัครใจเดินทางกลับในเร็วๆ นี้ ขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์ระบุว่า รัฐบาลจะให้โอกาสแก่ “คนดี” ที่จากไปอย่างสมัครใจ ได้กลับเข้ามาอีกครั้ง

โครงการนี้ต่อยอดมาจากแอปฯ CBPOne ที่ริเริ่มในยุครัฐบาลโจ ไบเดน โดยถูกทรัมป์สั่งปิดและดัดแปลงใหม่เป็น CBP Home ซึ่งเน้นใช้เพื่อการเดินทางออกนอกประเทศ มากกว่าการอำนวยความสะดวกในการเข้ามาอย่างถูกกฎหมายตามแบบเดิม

ทรัมป์จัดทัพ ‘เบสเซนต์-กรีเออร์’ ลุยเจนีวา ถก ‘เหอ หลี่เฟิง’ ฟื้นสัมพันธ์เศรษฐกิจ ‘สหรัฐ-จีน’ หนแรกในรอบเดือน

(7 พ.ค. 68) สก็อตต์ เบสเซนต์ (Scott Bessent) รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์กับรายการ The Ingraham Angle ของ Fox News เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม ย้ำว่าการพบเจ้าหน้าที่จีนในสวิตเซอร์แลนด์ที่กำลังจะเกิดขึ้น “ไม่ใช่ข้อตกลงการค้าครั้งใหญ่” แต่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นในการคลี่คลายความตึงเครียด พร้อมระบุว่า รัฐบาลทรัมป์ไม่ต้องการแยกตัวทางการค้าจากจีน ยกเว้นในบางอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น เซมิคอนดักเตอร์ ยา และเหล็กกล้า

เบสเซนต์และจามิสัน กรีเออร์ (Jamieson Greer) ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ มีกำหนดเดินทางไปเจนีวาในวันที่ 8 พฤษภาคม เพื่อพบกับคารีน เคลเลอร์-ซัทเทอร์ ประธานาธิบดีสวิตเซอร์แลนด์ และเจรจากับเหอ หลี่เฟิง (He Lifeng) รองนายกรัฐมนตรีจีน ซึ่งดูแลด้านเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศ โดยถือเป็นจุดเริ่มต้นของความพยายามในการสื่อสารอย่างตรงไปตรงมาระหว่างสองมหาอำนาจ

เหอ หลี่เฟิง วัย 70 ปี มีบทบาทโดดเด่นในเวทีระหว่างประเทศมากขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา โดยมีรายงานว่าเขาจัดการประชุมกับชาวต่างชาติมากถึง 60 ครั้งในรอบปี เพิ่มขึ้นจาก 45 ครั้งก่อนหน้านั้น เขาถูกมองว่าเป็นบุคคลที่สามารถ “ทำให้สิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นได้” และได้รับคำชื่นชมจากนักธุรกิจต่างชาติที่พบปะกับเขาในกรุงปักกิ่ง

กระทรวงพาณิชย์จีนออกแถลงการณ์ยืนยันว่า จีนตกลงกลับเข้าสู่การเจรจากับสหรัฐอีกครั้ง โดยอิงจาก “ผลประโยชน์ของจีน ความคาดหวังจากทั่วโลก และความต้องการของอุตสาหกรรมกับผู้บริโภคในสหรัฐฯ” พร้อมเตือนว่า จีนจะไม่ยอมให้การเจรจาถูกใช้เป็นเครื่องมือกดดันหรือข่มขู่ โดยอ้างสุภาษิตจีนว่า “จงฟังสิ่งที่พูด และเฝ้าดูการกระทำ”

เบสเซนต์กล่าวเพิ่มเติมต่อสภาคองเกรสว่าสหรัฐกำลังเจรจาการค้ากับพันธมิตร 17 ประเทศ โดยการเจรจากับจีนยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น และอาจมีการประกาศข้อตกลงกับบางประเทศ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอินเดีย ภายในสัปดาห์นี้ ขณะที่ยังไม่มีความชัดเจนว่าการหารือกับจีนครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเจรจาอย่างเป็นทางการหรือไม่

สถานการณ์ปัจจุบันระหว่างสหรัฐและจีนยังเปรียบได้กับ “เกมแมวไล่จับหนู” ที่ทั้งสองฝ่ายพยายามรักษาท่าทีของตน ไม่ยอมเป็นฝ่ายถอยก่อนในสงครามภาษีที่สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อเศรษฐกิจโลกและห่วงโซ่อุปทานระหว่างประเทศ

‘ทรัมป์’ เตรียมประกาศ ‘ข้อตกลงการค้าใหม่’ กับประเทศพันธมิตร สัญญาณแรกของการคลี่คลาย ‘สงครามภาษี’ ที่กระทบเศรษฐกิจโลก

(8 พ.ค. 68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยผ่าน Truth Social ว่าจะมีการแถลงข่าวใหญ่ในเช้าวันพฤหัสบดี (เวลา 23.00 น. ตามเวลาในไทย) เกี่ยวกับข้อตกลงการค้าฉบับสำคัญกับ “ประเทศใหญ่ที่น่าเคารพนับถือ” ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการผ่อนคลายภาษีศุลกากรระดับสูงที่เคยสร้างความตึงเครียดในเศรษฐกิจโลก

แม้ทรัมป์จะไม่ได้ระบุชื่อประเทศ แต่ฝ่ายบริหารชี้ว่าอยู่ระหว่างการเจรจากับหลายชาติ รวมถึงสหราชอาณาจักร อินเดีย เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น โดยที่ปรึกษาด้านการค้า ปีเตอร์ นาวาร์โร ชี้ว่าสหราชอาณาจักรอาจเป็นชาติแรกที่ลงนามข้อตกลงกับสหรัฐฯ

แหล่งข่าวจาก Financial Times ระบุว่า ข้อตกลงกับสหราชอาณาจักรอาจครอบคลุมถึงการยกเว้นสหรัฐฯ จากภาษีบริการดิจิทัล และในทางกลับกัน สหรัฐฯ อาจลดภาษีนำเข้าเหล็ก อลูมิเนียม และรถยนต์จากอังกฤษ ซึ่งจะเป็นก้าวแรกของการคลี่คลายมาตรการกีดกันทางการค้า

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เตือนว่าข้อตกลงที่ทรัมป์จะประกาศอาจยังไม่ใช่ “ข้อตกลงการค้าอย่างเป็นทางการ” แต่เป็นเพียงบันทึกความเข้าใจ ซึ่งไม่อาจให้ประโยชน์ระยะยาวเทียบเท่าข้อตกลงที่ผ่านขั้นตอนทางกฎหมายครบถ้วน

การประกาศครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางการเจรจาระหว่างสหรัฐฯ และจีนในเจนีวา โดยรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ระบุว่าการพบปะครั้งนี้จะช่วยลดความตึงเครียด แม้ยังไม่มีสัญญาณว่าจะมีข้อตกลงชัดเจน ขณะที่ทรัมป์ยืนยันจะไม่ลดภาษีนำเข้าสินค้าจีนล่วงหน้า

ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่าหากไม่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย สหรัฐฯ อาจเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหากยังคงอัตราภาษีที่สูงซึ่งกระทบทั้งผู้บริโภคและภาคธุรกิจทั่วโลก

‘อังกฤษ’ บรรลุข้อตกลงการค้ากับ ‘สหรัฐฯ’ ลดภาษีนำเข้ารถยนต์เหลือ 10% พร้อมผ่อนคลายภาษีเหล็ก–เอทานอล แต่ยังคงภาษีสินค้าสำคัญหลายรายการ

(9 พ.ค. 68) สหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรบรรลุข้อตกลงการค้าทวิภาคีในขอบเขตจำกัด โดยยังคงอัตราภาษีนำเข้าสินค้าของอังกฤษไว้ที่ 10% แต่เปิดทางให้ทั้งสองประเทศสามารถเข้าถึงตลาดสินค้าเกษตรได้มากขึ้น พร้อมลดภาษีศุลกากรสำหรับรถยนต์และสินค้าอุตสาหกรรมบางรายการ

ข้อตกลงนี้ถือเป็นก้าวแรกของชุดความร่วมมือทางการค้าหลายฉบับที่รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ วางแผนจะประกาศในเร็วๆ นี้ เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ โดยทรัมป์ชื่นชมความร่วมมือจากอังกฤษ ขณะที่นายกรัฐมนตรีคีร์ สตาร์เมอร์ ย้ำว่านี่คือ 'วันประวัติศาสตร์' ที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและการจ้างงานของทั้งสองชาติ

สำหรับข้อตกลงนี้จะช่วยลดภาษีนำเข้ารถยนต์อังกฤษในสหรัฐฯ จาก 27.5% เหลือ 10% สำหรับโควตา 100,000 คัน และยกเลิกภาษีนำเข้าเหล็กและเอทานอลบางส่วน พร้อมเปิดตลาดเนื้อวัวแบบแลกเปลี่ยน โดยอังกฤษจะได้โควตาปลอดภาษีครั้งแรกสำหรับเนื้อวัว 13,000 เมตริกตัน แต่ยังคงห้ามนำเข้าเนื้อวัวอเมริกันที่ใช้ฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโต

ภาคธุรกิจบางส่วนในอังกฤษแสดงความผิดหวังที่ยังคงมีอัตราภาษี 10% สำหรับสินค้าหลายประเภท โดยเฉพาะรถยนต์ ขณะที่บริษัทในสหรัฐฯ เช่น เดลต้าแอร์ไลน์และผู้ผลิตเครื่องยนต์โรลส์-รอยซ์ ได้รับประโยชน์ทันทีจากการลดภาษี และรัฐบาลอังกฤษย้ำว่าการเจรจายังไม่จบ โดยมีหลายประเด็นสำคัญ เช่น ภาษีบริการด้านดิจิทัล ที่ยังต้องหารือเพิ่มเติม

แม้จะมีข้อจำกัด แต่ข้อตกลงนี้ถูกมองว่าเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือทางการค้าที่ลึกซึ้งขึ้นในอนาคต โดยรัฐบาลอังกฤษพยายามรักษาสมดุลระหว่างความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ จีน และสหภาพยุโรป หลังเบร็กซิต (Brexit) หรือการถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร ในช่วงที่เศรษฐกิจภายในประเทศกำลังเผชิญความท้าทายจากต้นทุนการส่งออกที่สูงและการเติบโตที่ชะลอตัว

‘ทรัมป์’ จ่อเก็บภาษีนำเข้าภาพยนตร์ต่างชาติ 100% อ้างปกป้อง ‘ฮอลลีวูด’ จากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม

(9 พ.ค. 68) โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เปิดเผยว่า เขาเตรียมเรียกเก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 100% สำหรับภาพยนตร์ที่ผลิตจากต่างประเทศ โดยอ้างว่าเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภาพยนตร์อเมริกันที่ “กำลังจะตายอย่างรวดเร็วมาก” และมอบหมายให้สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ดำเนินการทันที

ทรัมป์วิจารณ์ประเทศอื่น ๆ ว่ามีความพยายามร่วมกันในการเสนอแรงจูงใจดึงดูดผู้สร้างภาพยนตร์ ซึ่งเขาเชื่อว่าเป็น “ภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ” พร้อมระบุว่าภาพยนตร์จากต่างประเทศมักแฝงข้อความโฆษณาชวนเชื่อ พร้อมย้ำผ่านแพลตฟอร์มทรูธโซเชียล ว่า “เราต้องการให้ภาพยนตร์สร้างขึ้นในอเมริกาอีกครั้ง!”

นับตั้งแต่กลับสู่ทำเนียบขาวเมื่อต้นปี ทรัมป์ได้เดินหน้านโยบายภาษีศุลกากรอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะกับจีน ซึ่งถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 145% และอาจพุ่งถึง 245% สำหรับสินค้าบางรายการ ส่งผลให้จีนตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ 125% ท่ามกลางความกังวลว่าการเผชิญหน้าทางภาษีอาจซ้ำเติมเศรษฐกิจโลก

ล่าสุด ทรัมป์เผยระหว่างเดินทางบนเครื่องบินแอร์ ฟอร์ซ วัน ว่า เขากำลังเจรจาการค้ากับหลายประเทศ รวมถึงจีน แต่ยังไม่มีแผนพบปะกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ในสัปดาห์นี้ และกล่าวเพียงว่า “อาจจะมีข้อตกลงเกิดขึ้นก็ได้” โดยไม่เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติม

‘เจ้าสัวธนินท์’ เตือน ‘ทรัมป์’ นโยบายภาษีอาจทำสหรัฐฯ ชนะระยะสั้น แต่เสียศูนย์ระยะยาว ชี้หากประเทศต่าง ๆ ถอนทุนจากพันธบัตร จะกระทบสถานะมะกัน จากผู้นำเศรษฐกิจโลก

(13 พ.ค. 68) นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ให้สัมภาษณ์กับนิกเกอิญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 9 พ.ค. ที่ผ่านมา เตือนว่า มาตรการภาษีศุลกากรสูงของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจส่งผลให้สหรัฐฯ สูญเสียบทบาทผู้นำโลก หากประเทศต่าง ๆ ร่วมมือกันถอนการลงทุนในพันธบัตรสหรัฐเพื่อตอบโต้

เขาระบุว่าสงครามการค้าส่งผลกระทบต่อกลุ่มซีพีเพียงเล็กน้อย พร้อมเตือนว่านโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” ของทรัมป์ทำลายความร่วมมือระหว่างประเทศ และเป็นชัยชนะระยะสั้นที่อาจส่งผลเสียในระยะยาวต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ

แม้หนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ จะสูงกว่า 36 ล้านล้านดอลลาร์ เจ้าสัวธนินท์ยังเห็นว่าพันธบัตรสหรัฐฯ ยังคงเป็นการลงทุนที่น่าเชื่อถือ แต่เตือนว่าหากสหรัฐฯ ทำลายความเชื่อมั่น ประเทศอื่นอาจจับมือกันเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตน และลดการถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ

สำหรับประเทศไทย แม้จะเผชิญภาษีตอบโต้สูงถึง 36% ซีพีได้รับผลกระทบน้อย เนื่องจากรายได้ส่วนใหญ่ของ CPF มาจากการดำเนินงานในต่างประเทศ โดยเฉพาะเวียดนามและจีน ขณะที่สินค้าเน้นการผลิตและจำหน่ายในแต่ละประเทศเป็นหลัก

ในช่วงท้าย เจ้าสัวธนินท์แนะนำให้ญี่ปุ่นมองอาเซียนเป็น “ตลาด” และสนับสนุนธุรกิจท้องถิ่นในภูมิภาค พร้อมระบุว่า แม้ญี่ปุ่นมีเทคโนโลยีสูง แต่ยังขาดความกล้าในการขยายธุรกิจระหว่างประเทศ เพราะเป็นประเทศที่ “ลังเลที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง”

‘ทรัมป์’ เยือนซาอุดีอาระเบีย ปิดดีลขายอาวุธ 1.4 แสนล้านดอลลาร์ พร้อมประกาศยกเลิกคว่ำบาตรซีเรีย หวังฟื้นบทบาทอเมริกาในตะวันออกกลาง

(14 พ.ค. 68) โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ให้คำมั่นยกเลิกคว่ำบาตรซีเรีย พร้อมลงนามข้อตกลงอาวุธ 142,000 ล้านดอลลาร์ ระหว่างเยือนซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นจุดหมายแรกในการเดินทางต่างประเทศของเขาในวาระที่สอง โดยย้ำว่าสหรัฐฯ “ไม่มีพันธมิตรใดที่แข็งแกร่งกว่า” ซาอุดีอาระเบีย

การเยือนครั้งนี้ประกอบด้วยพิธีต้อนรับอย่างหรูหรา พร้อมการประกาศข้อตกลงด้านการลงทุนระหว่างประเทศมูลค่ารวมอาจแตะ 1 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 33.29 ล้านล้านบาท) โดยทรัมป์ยังร่วมเวทีฟอรั่มการลงทุนกับผู้นำธุรกิจระดับโลกอย่างอีลอน มัสก์ และเจนเซ่น หวง CEO ของ Nvidia ที่ประกาศขายชิป AI กว่า 18,000 ชิ้นให้กับบริษัทซาอุฯ

ทรัมป์ย้ำจุดยืนใช้การค้าและการลงทุนแทนความขัดแย้ง พร้อมระบุว่าเขาจะยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรซีเรีย เพื่อสนับสนุนรัฐบาลใหม่ของประเทศ โดยบอกว่าเป็น “จุดเริ่มต้นใหม่” สำหรับซีเรียที่เพิ่งเปลี่ยนผู้นำหลังการโค่นล้มระบอบอัสซาด

นอกจากนี้ในคำปราศรัย ทรัมป์กล่าวถึงประชาชนในกาซาว่าสมควรมี “อนาคตที่ดีกว่า” แต่ไม่ได้เสนอแผนการชัดเจนในการแก้ไขปัญหาระหว่างอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ขณะที่ซาอุฯ ยืนยันจะไม่เข้าร่วมข้อตกลงอับราฮัมจนกว่าสงครามในกาซาจะสิ้นสุดลงและมีหนทางสู่รัฐปาเลสไตน์

การเดินทางของทรัมป์ยังรวมถึงจุดแวะพักที่กาตาร์และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งมีแผนลงทุนรวม 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ในสหรัฐฯ ท่ามกลางความพยายามผลักดันเศรษฐกิจอเมริกันและเสริมบทบาทในตะวันออกกลางอีกครั้ง

'อลงกรณ์-ประชาธิปัตย์' วิเคราะห์งบประมาณ 2569 ชี้งบประจำลดลงส่งสัญญาณบวกแต่กังวลงบลงทุนหดมากกว่า ห่วงผลกระทบ 'ทรัมป์2.0' ทำรายได้ประเทศลด แนะทำแผนงบสมดุลควรเริ่มระบบงบประมาณฐานศูนย์ปี 2570

นายอลงกรณ์ พลบุตร รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคประชาธิปัตย์ ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ.และอดีตกรรมาธิการพิจารณาร่างพรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีของสภาผู้แทนราษฎร โพสต์เฟซบุ๊กวันนี้เรื่อง “วิเคราะห์ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 : งบประมาณในภาวะผันผวน“

โดยชี้ว่าเป็นงบประมาณที่มีเปอร์เซ็นของงบประจำลดลงเล็กน้อย1%ซึ่งอย่างน้อยก็เป็นแนวโน้มที่ดีแต่งบลงทุนลดลงมากกว่าคือ 7.3 %ในขณะที่งบชำระคืนเงินกู้เพิ่มขึ้น0.7%เป็นการชำระดอกเบี้ยมากกว่าเงินต้นและยังไม่ปรากฏว่าแนวทางว่าจะเริ่มจัดทำงบประมาณสมดุลอย่างไรเมื่อใดซึ่งต้องรอฟังคำแถลงนโยบายงบประมาณของนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง

โดยนายอลงกรณ์เขียนบทความ“วิเคราะห์ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 : งบประมาณในภาวะผันผวน“ ดังนี้

“บทวิเคราะห์นี้จะกล่าวถึงโครงสร้างของงบประมาณปี2569ในด้านงบประจำงบลงทุนงบชำระหนี้เงินกู้กับการเตรียมงบประมาณรับมือนโยบาย 'ทรัมป์ 2.0' และปัจจัยเสี่ยงโดยมีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะประกอบการพิจารณา

ทั้งนี้ไทม์ไลน์ของกระบวนการพิจารณาร่างพรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 มีกำหนดที่จะเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี 20 พ.ค  2568 จากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการของสภาผู้แทนราษฎรวาระที่ 1 วันที่ 28–30 พ.ค. 2568 และวาระที่ 2-3 วันที่ 13–15 ส.ค. 68 (เป็นกำหนดการเท่าที่ยืนยันขณะนี้)

ประเด็นสำคัญของร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2569 มีดังนี้
1. โครงสร้างและวงเงินงบประมาณวงเงินรวม 3.78 ล้านล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 27,900 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น
1.1 รายจ่ายประจำ 2.65 ล้านล้านบาท (ลดลง 1%)  
1.2 รายจ่ายลงทุน 864,077 ล้านบาท (ลดลง 7.3%)  
1.3 รายจ่ายชำระคืนเงินกู้ 151,200 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 0.7%)   
1.4 งบขาดดุล 860,000 ล้านบาท

ภายใต้โครงสร้างงบประมาณเช่นนี้มีข้อสังเกตที่ควรไตร่ตรอง
1. การลดรายจ่ายลงทุนอาจกระทบโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล และพลังงาน ซึ่งเป็นหัวใจหลักของแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังวิกฤต   
2. การเพิ่มวงเงินชำระหนี้สะท้อนภาระหนี้สาธารณะที่สูงขึ้นซึ่งต้องจับตาการบริหารจัดการเพื่อไม่ให้กระทบความมั่นคงทางการคลังระยะยาว  
3. การเตรียมงบประมาณรับมือวิกฤต เศรษฐกิจจากผลกระทบของนโยบาย “ทรัมป์ 2.0”

จากกรณีสหรัฐขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากไทย 36% ส่งผลให้ภาคส่งออกและอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบหนัก โดยคาดว่า GDP จะปรับลดเหลือ 2.1% หรือต่ำกว่า 2.0%ทั้งนี้ขึ้นกับผลการเจรจาระหว่างไทยกับสหรัฐฯในเร็ว ๆ นี้

ซึ่งเป็นไปได้สูงที่รัฐบาลจะใช้กลไกคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพรบ.งบประมาณปี2569ของสภาฯ ปรับโอนงบประมาณจากรายการไม่จำเป็นเข้างบกลาง 25,000 ล้านบาท (ตามที่ปรากฏเป็นข่าว) เพื่อรับมือความผันผวนทางเศรษฐกิจ 
อย่างไรก็ตามการไม่ปรับแก้ในชั้น ครม. อาจทำให้ขาดรายละเอียดแผนรองรับที่ชัดเจน เช่น การจัดสรรงบประมาณเพื่อช่วยเหลือ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากภาษีสหรัฐ   
และอาจถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่างบกลางที่เพิ่มขึ้น25,000 ล้านบาทจะเป็นการ 'ตีเช็คเปล่า' ไม่มีแผนและรายละเอียดในการตรวจสอบโดยรัฐสภาระหว่างการพิจารณางบประมาณซึ่งรัฐบาลและสำนักงบประมาณควรสร้างความชัดเจนให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ข้อสังเกตและข้อเสนอแนะ
ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2569 เป็นงบประมาณขาดดุลต่อเนื่อง มุ่งเน้นการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจระยะสั้นผ่านการกระตุ้นการใช้จ่ายภาครัฐเป็นงบประมาณในภาวะผันผวนซึ่งมีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะได้แก่  
1. งบกลาง
การจัดสรรงบกลางเพื่อรับมือวิกฤตยังคลุมเครือสามารถแก้ไขได้โดยเพิ่มความโปร่งใสด้วยการเปิดเผยข้อมูลงบประมาณแบบ Real-time ผ่านแพลตฟอร์ม Open Data 
2. งบประจำ
รายจ่ายงบประจำลดลงแม้เพียง1%ก็ถือเป็นสัญญาณบวกควรดำเนินการต่อในปีงบประมาณถัดไปอย่างต่อเนื่อง
3. งบลงทุน
การลดลงของงบลงทุนอาจกระทบการเติบโตระยะยาว  
4. งบประมาณที่ไม่คุ้มค่าควรชะลอไว้ก่อน
ได้แก่โครงการลงทุนที่ไม่เร่งด่วน
เช่น โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ยังไม่จำเป็นต้องดำเนินการทันทีหรือไม่สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจเพื่อรอให้เศรษฐกิจฟื้นตัวก่อน   
และโครงการที่ยังไม่มีแผนรองรับการใช้งานอย่างชัดเจน หรือโครงการที่ใช้งบประมาณสูงแต่มีผลตอบแทนทางเศรษฐกิจต่ำ  
5. หนี้สาธารณะ 

หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ปี 2564 มีสัดส่วน62.44% ของ GDP และปี 2569 จะเพิ่มใกล้แตะเพดาน 70 % ของ GDP   ทั้งนี้หนี้สาธารณะรวมเมื่อถึงปี 2569 คาดว่าจะสูงถึง 13.6 ล้านล้านบาท  เป็นภาระหนักของประเทศเสมือนโคลนติดล้อ
6. ความเสี่ยงของประเทศ
ความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกเช่น ภูมิรัฐศาสตร์ ภูมิอาการเปลี่ยนแปลง และภูมิเศรษฐศาสตร์ เช่นสงครามการค้า ความผันผวนทางเศรษฐกิจ เงินเฟ้อและอัตราแลกเปลี่ยนผันแปรเร็วและแรงมากขึ้นอาจทำให้รายได้ประเทศจากภาษีและการพาณิชย์ลดลงและกดดันให้ต้องกู้หนี้สาธารณะเพิ่มจึงควรเตรียมงบประมาณให้พร้อมสำหรับการรับมือและปรับตัว
7. ความยั่งยืนของงบประมาณและการคลัง 
7.1 ควรมีแนวทางการจัดทำงบประมาณแบบสมดุลในคำแถลงนโยบายงบประมาณต่อสภาฯ.
7.2 ตัดงบประมาณรายจ่ายที่ไม่จำเป็นและไม่คุ้มค่า
7.3 ปรับลดงบประจำและเพิ่มงบลงทุน
7.4 ควรเริ่มเตรียมแผนการการปฏิรูประบบงบประมาณแบบใหม่โดยจัดทำงบประมาณฐานศูนย์(Zero based budgeting)ถ้ามีความพร้อมควรเริ่มในปีงบประมาณ 2570

หากรัฐบาลสามารถบริหารงบประมาณในภาวะผันผวนด้วยความโปร่งใส ใช้เทคโนโลยีและเพิ่มการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน จะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งบประมาณได้อย่างคุ้มค่าภาษีของประชาชนมากขึ้น.”

ผู้เขียน :
นายอลงกรณ์ พลบุตร
รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคประชาธิปัตย์และประธานสถาบันเอฟเคไอไอ. อดีต สส.6 สมัย
อดีตกรรมาธิการพิจารณาร่างพรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี
อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
อดีตรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศและอดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ

‘ปูติน-ทรัมป์’ ไม่ร่วมวงเจรจาสันติภาพที่อิสตันบูล ทิ้ง ‘เซเลนสกี’ ผู้นำยูเครนผิดหวัง…มองรัสเซียไม่จริงใจ

(16 พ.ค. 68) แผนการเจรจาสันติภาพระหว่างผู้นำยูเครนและรัสเซียในนครอิสตันบูล ประเทศตุรกี เมื่อวันพฤหัสบดีต้องล่มไม่เป็นท่า หลังประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย และโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ตัดสินใจไม่เข้าร่วม แม้ก่อนหน้านี้ปูตินเคยส่งสัญญาณว่า “พร้อมเจรจาโดยไม่มีเงื่อนไข” ขณะที่ทรัมป์กดดันให้ยูเครนเข้าร่วมการพูดคุยทันที

ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครนระบุว่าเขาจะยินดีเข้าร่วมก็ต่อเมื่อผู้นำรัสเซียเข้าร่วมด้วยตนเอง แต่สุดท้ายรายชื่อของปูตินไม่ปรากฏในคณะผู้แทนของรัสเซีย โดยมีเพียงวลาดิมีร์ เมดินสกี ผู้ช่วยประธานาธิบดีเป็นหัวหน้าคณะ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ระดับรองของกระทรวงกลาโหมและการต่างประเทศ

เซเลนสกี แสดงความผิดหวังพร้อมกับเผยว่า ระดับของคณะผู้แทนรัสเซียสะท้อนว่ามอสโกว์ยังไม่จริงใจ และตั้งคำถามถึงอำนาจในการตัดสินใจของตัวแทนดังกล่าว “เราทุกคนรู้ว่าใครเป็นคนตัดสินใจในรัสเซีย” เขากล่าว พร้อมเสริมว่าคณะผู้แทนของยูเครนประกอบด้วยรัฐมนตรีต่างประเทศ เจ้าหน้าที่ข่าวกรองทหาร และที่ปรึกษาประธานาธิบดี

ด้านสหรัฐฯ ส่งตัวแทนระดับสูง ได้แก่ สตีฟ วิตคอฟ, คีธ เคลล็อก และรัฐมนตรีต่างประเทศ มาร์โก รูบิโอ เข้าร่วมการเจรจาแทนทรัมป์ โดยก่อนหน้านี้ทรัมป์ได้โพสต์เรียกร้องให้ยูเครน “มีการเจรจาเดี๋ยวนี้” เพื่อให้รู้แน่ชัดว่า ข้อตกลงสันติภาพเป็นไปได้หรือไม่ และให้ชาติตะวันตกเตรียมรับมือในทุกกรณี

‘มูดี้ส์’ ปรับลด!! อันดับความน่าเชื่อถือของ ‘สหรัฐฯ’ หลังหนี้สาธารณะพุ่งสูง อยู่ในภาวะที่ควบคุมไม่ได้

(17 พ.ค. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘Jaroensook Limbanchongkit Pone’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ...

มูดี้ส์ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ เนื่องจากหนี้สาธารณะพุ่งสูง

Moody's เพิ่งโจมตีชื่อเสียงทางการเงินของอเมริกาอย่างรุนแรง ด้วยการลดอันดับความน่าเชื่อถือเครดิตของสหรัฐฯ จาก AAA เหลือ Aa1 โดยเข้าร่วมกับคู่แข่งอย่าง S&P และ Fitch ในการประกาศให้สถานะหนี้ของสหรัฐฯ อยู่ในภาวะที่ควบคุมไม่ได้อย่างเป็นทางการ

สำนักงานจัดอันดับเครดิตที่มีอายุ 116 ปีกล่าวโทษ "การขาดดุลงบประมาณจำนวนมหาศาล" และต้นทุนดอกเบี้ยที่พุ่งสูงขึ้น ส่งผลให้การขาดดุลการคลังแตะระดับ 1.05 ล้านล้านดอลลาร์ในปีนี้ เพิ่มขึ้นร้อยละ 13 จากปีที่แล้ว

“รัฐบาลและรัฐสภาสหรัฐฯ ชุดต่อๆ มาล้มเหลวในการตกลงกันเกี่ยวกับมาตรการเพื่อพลิกกลับแนวโน้มของการขาดดุลงบประมาณรายปีจำนวนมากและต้นทุนดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น”

จังหวะเวลาไม่สามารถแย่ไปกว่านี้ได้อีกแล้ว - การปรับลดระดับดังกล่าวเกิดขึ้นขณะที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรครีพับลิกันปฏิเสธวาระการประชุมใหญ่ของทรัมป์ ซึ่งรวมถึงการขยายเวลาการลดหย่อนภาษีปี 2017

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรพุ่งขึ้นทันที 3 จุดพื้นฐานเป็น 4.48% ขณะที่กองทุน ETF พันธบัตรร่วงลง เนื่องจากนักลงทุนรับรู้ความจริงที่ว่าความน่าเชื่อถือทางการเงินของอเมริกาไม่ได้แข็งแกร่งอีกต่อไป

Peter Boockvar จาก Bleakley Financial สรุปไว้ดังนี้

"นี่คือหน่วยงานจัดอันดับเครดิตหลักที่ออกมาประกาศว่าสหรัฐฯ มีหนี้สินและการขาดดุลที่ตึงตัว"


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top