Tuesday, 2 July 2024
ททท

‘ททท.’ รับเทรนสายมู ทำ E-Book โปรโมตสถานที่ 60 แห่งทั่วไทย หวังสร้าง Soft power เปิดตลาดกลุ่มใหม่ ดึงนทท.เข้าประเทศมากขึ้น

เมื่อวานนี้ (24 ก.ย.66) การท่องเที่ยวเชิงศรัทธากำลังเป็นที่สนใจในตลาดโลก ตามรายงานข้อมูลจาก Future Market Insight ในปี 2566 ได้รายงานว่า การท่องเที่ยวมีแนวโน้มการเติบโตอย่างก้าวกระโดด และคาดการณ์ว่าการท่องเที่ยวเชิงศรัทธาจะสร้างมูลค่าเศรษฐกิจทั่วโลกเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่า ในอีก 10 ปีข้างหน้า

ททท. เล็งเห็นโอกาสจากกระแสการท่องเที่ยวเชิงจิตวิญญาณและการเติบโตของ ‘เศรษฐกิจสายมู’ ซึ่งกำลังได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศ หันส่งเสริมกระแสการท่องเที่ยวสายมูในประเทศไทยสนับสนุนการจัดทำหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ‘Connecting to Spiritual Thailand’ โปรโมทสถานที่ท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องกับศรัทธาและวัฒนธรรม 60 แห่งสร้าง Soft power เปิดตลาดกลุ่มใหม่เพื่อดึงความสนใจของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจากหลากหลายประเทศ

ทั้งนี้ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ‘Connecting to Spiritual Thailand’ จัดทำขึ้นเพื่อสร้างความเข้าใจและอธิบายถึงความเชื่อ ของสถานที่ท่องเที่ยวเชิงจิตวิญญาณต่างๆ แก่ชาวต่างชาติ ให้เข้าใจถึงประวัติความเป็นมาของความศักดิ์สิทธิ์และความศรัทธา รวมถึงประวัติศาสตร์ของสถานที่นั้น

ขยายความหมายและเหตุผลว่าทำไมนักท่องเที่ยวชาวไทย ถึงให้ความศรัทธาและเดินทางไปบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ หรือสถานที่นั้นๆ ในแง่วัฒนธรรมที่หลอมรวมกลายเป็นวิถีชีวิต ประเพณี และวัฒนธรรมท้องถิ่นในแต่ละภูมิภาค ของประเทศไทยที่น่าสนใจในความแตกต่างและความหลากหลาย สะท้อนถึงพหุวัฒนธรรมที่ผสมผสานกันระหว่าง ความเชื่อกับศาสนานำมาเชื่อมโยงกับสถานที่ท่องเที่ยว เพื่อสร้างประสบการณ์การเดินทางในเส้นทางแห่งความศรัทธาให้ นักท่องเที่ยว

โดยรวบรวมข้อมูลของสถานที่ท่องเที่ยวสายมูเตลูตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันรวม 60 แห่ง โดยเน้นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงทั้งในเมืองหลัก และจังหวัดเมืองรอง เพื่อส่งเสริมให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนจากการท่องเที่ยวในเขตเมืองรองเพิ่มขึ้น โดยเน้นการนำเสนอข้อมูลที่น่าสนใจและมีคุณค่า พร้อมทั้งภาพถ่ายที่งดงามเพื่อให้ผู้อ่านได้สัมผัสประสบการณ์อย่างใกล้ชิด

โดยเนื้อหาประกอบด้วยการแนะนำสถานที่ด้วยภาพถ่ายประกอบแผนที่การเดินทาง และสร้างเนื้อหาบรรยายเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อสร้างความเข้าใจในแต่ละสถานที่ และทำให้นักท่องเที่ยวสามารถวางแผนในการไปเยี่ยมชมได้ง่าย ได้รับข้อมูลที่สร้างความเข้าใจที่มากขึ้นในแง่ประวัติศาสตร์และความเป็นมาว่าทำไมสถานที่นี้จึงถือว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ ประกอบกับรายละเอียดวิธีการเคารพบูชา การอธิษฐานขอพร หรือการภาวนาที่ถูกต้อง ณ สถานที่แต่ละแห่งนั้น

ทั้งนี้ สถานที่ท่องเที่ยวสายมูที่แนะนำภายใน E-book เล่มนี้ ได้แก่

ศาลหลักเมือง ศาลพระพรหมเอราวัณ วัดศรีมหามาเรียมมัน (วัดแขก) ศาลแม่นาคพระโขนง ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร
วัดพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี
วัดสมานรัตนาราม วัดโพรงอากาศ (พระอาจารย์สมชาย) อุทยานพระพิฆเนศ องค์ยืน ในจังหวัดฉะเชิงเทรา
ปราสาทสัจธรรม พัทยา จังหวัดชลบุรี
วัดเจดีย์หอย จังหวัดปทุมธานี
วัดจุฬามณี จังหวัดสมุทรสงคราม วัดทับศิลา จังหวัดกาญจนบุรี วัดป่าพุทธาราม จังหวัดราชบุรี
ศาลพุ่มพวง จังหวัดสุพรรณบุรี
สวนสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์
พระมหาธาตุนภเมทนีดล-นภพลภูมิสิริ และวัดพระธาตุดอยคำ จังหวัดเชียงใหม่
วัดบ้านปาง (วัดครูบาศรีวิชัย) จังหวัดลำพูน
ศาลหลักเมือง จังหวัดเชียงราย
อุทยานไทรงาม พิมาย จังหวัดนครราชสีมา
ศาลปู่พญานาค อนันตนาคราช จังหวัดมุกดาหาร
พระธาตุพนม จังหวัดนครพนม
สะดือแม่น้ำโขง วัดภูทอก และถ้ำนาคา จังหวัดบึงกาฬ
คำโชนด จังหวัดอุดรธานี
วัดถ้ำเอราวัณ จังหวัดหนองบัวลำภู
ถ้ำพระยานคร เขาสามร้อยยอด จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
หอพระอิศวร วัดเจดีย์ไอ้ไข่ หลวงปู่ทวด เกาะนุ้ยนอก จังหวัดนครศรีธรรมราช
วัดถ้ำเสือ จังหวัดกระบี่

‘นักท่องเที่ยวจีน’ ปลื้ม!! ‘ททท.’ จัดพิธีต้อนรับอบอุ่น รับฟรีวีซ่า เผย ขั้นตอนรวดเร็ว-สะดวก คาดยอดทัวร์เยือนไทย เกือบ 3 ล้านคน

เมื่อวันที่ 25 ก.ย. 66 สำนักข่าวซินหัว, คุนหมิง รายงานข่าว วันแรกที่รัฐบาลไทยบังคับใช้นโยบายฟรีวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวชาวจีนอย่างเป็นทางการ โดยมีเที่ยวบินปฐมฤกษ์พร้อมผู้โดยสาร 180 คน โบยบินจากนครคุนหมิง มณฑลอวิ๋นหนาน (ยูนนาน) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน มายังท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง กรุงเทพมหานคร

รายงานระบุว่า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้จัดพิธีต้อนรับเหล่านักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางมาไทยภายใต้นโยบายฟรีวีซ่า ชุดที่ 1 อย่างอบอุ่น ณ ท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง, ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ, ท่าอากาศยานนานาชาติเชียงใหม่ และท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต

ก่อนหน้านี้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีไทย ประกาศการอนุมัตินโยบายฟรีวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวจากบางประเทศ รวมถึงจีน ณ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันพุธ (13 ก.ย.) โดยนโยบายดังกล่าวบังคับใช้ระหว่างวันที่ 25 ก.ย. 2023-29 ก.พ. 2024 และนักท่องเที่ยวสามารถพำนักอยู่ในไทยได้ไม่เกิน 30 วัน

สถิติจากหน่วยงานตรวจคนเข้าเมืองของคุนหมิงระบุว่า เมื่อวันจันทร์ (25 ก.ย.) มีเที่ยวบินจากคุนหมิงสู่ไทย 5 เที่ยว แบ่งเป็นเส้นทางคุนหมิง-กรุงเทพฯ (3 เที่ยว) คุนหมิง-เชียงใหม่ และคุนหมิง-ภูเก็ต (อย่างละ 1 เที่ยว) โดยมีผู้โดยสารรวม 700 คน ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับช่วงก่อนนโยบายฟรีวีซ่า

หน่วยงานตรวจคนเข้าเมืองของนครคุนหมิงเสริมว่า ตั้งแต่จีนกลับมาอนุญาตการเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ จำนวนผู้โดยสารที่เดินทางจากท่าอากาศยานนานาชาติคุนหมิง ฉางสุ่ย สู่ไทยนั้นเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากเฉลี่ยราว 280 คนต่อวันในเดือนกุมภาพันธ์ และราว 420 คนต่อวันในเดือนมีนาคม เป็นราว 560 คนต่อวันในช่วงวันที่ 1-24 ก.ย.

‘สายการบินลักกี แอร์’ (Lucky Air) ของอวิ๋นหนาน เผยว่ามีการจัดสรรบริการเที่ยวบินสู่ไทยวันละ 1 เที่ยว ระหว่างช่วงหยุดยาวเนื่องในวันชาติจีนในเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งเป็นช่วงที่มีผู้จองบัตรโดยสารเที่ยวบินล่วงหน้าแล้ว 1,569 คน และคาดว่าจำนวนผู้โดยสารจะเพิ่มแตะ 2,070 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับช่วงก่อนนโยบายฟรีวีซ่า

‘จูหงอิง’ ประธานบริษัท อวิ๋นหนาน จิ่นอ้าย ทัวริซึม กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่าปริมาณการจองการท่องเที่ยวไทยแบบหมู่คณะหรือกรุ๊ปทัวร์ของบริษัทฯ ช่วงวันที่ 30 ก.ย.-20 ต.ค. นั้นเต็มทุกวัน โดยนโยบายฟรีวีซ่านี้ ช่วยกระตุ้นความคึกคักของการเดินทางท่องเที่ยวไทยในหมู่นักท่องเที่ยวชาวจีนอย่างมาก

ข้อมูลจากบริษัทฯ ระบุว่า ปริมาณการจองการท่องเที่ยวไทยแบบหมู่คณะหรือกรุ๊ปทัวร์ ช่วงเดือนเมษายน-สิงหาคม เฉลี่ยอยู่ที่มากกว่า 600 คนต่อเดือน โดยปริมาณดังกล่าวพุ่งสูงสุดในเดือนมีนาคมอยู่ที่ 1,500 คน และคาดว่ามีแนวโน้มสูงแตะ 2,000 คน ในเดือนตุลาคมนี้

นักท่องเที่ยวหญิงชาวจีน แซ่หลี่ ซึ่งร่วมเดินทางมายังกรุงเทพฯ เมื่อวันจันทร์ (25 ก.ย.) เล่าว่าเธอใช้สิทธิเดินทางมาไทยด้วยนโยบายฟรีวีซ่าเป็นครั้งแรก การผ่านขั้นตอนต่างๆ ของการเดินทางขาเข้าสะดวกรวดเร็ว ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งนาที ส่วนพิธีต้อนรับทำให้รู้สึกว่าไทยให้ความสำคัญกับนักท่องเที่ยวชาวจีนและมิตรภาพระหว่างสองประเทศ

อนึ่ง สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยประจำนครคุนหมิง คาดการณ์ว่า จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางเยือนไทยอาจสูงถึงราว 2.88 ล้านคน ระหว่างการดำเนินนโยบายฟรีวีซ่า ระยะ 5 เดือนนี้

‘ททท.’ จับมือพันธมิตร นำเสนอจุดเด่นการท่องเที่ยวภาคตะวันออก ผ่านซีรีส์วาย 6 เรื่อง หวังปลุกกระแสรับนทท.รุ่นใหม่ หนุนเที่ยวยั่งยืน

เมื่อวานนี้ (26 ก.ย.66) นายอัครวิชย์ เทพาสิต ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคตะวันออก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ททท. ร่วมกับ บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท ฮาล์ฟ โทสท์ จำกัด เปิดตัวโครงการ ‘Y JOURNEY (STAY LIKE A LOCAL)’ ยกคอนเซปต์ ‘Amazing 5F and More’ โดยเฉพาะ F-Food และ F-Film กำลังได้รับความนิยมจากกลุ่มนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ Gen X Y และ Millennial และ SDGs ถ่ายทอดผ่านมินิซีรีส์ 6 เรื่อง นำแสดงโดย 12 นักแสดงวัยรุ่นชื่อดังที่จะชวนทุกคนไปสัมผัสเสน่ห์และอัตลักษณ์ของการท่องเที่ยวภาคตะวันออกอย่างยั่งยืน พร้อมสร้างแรงบันดาลใจสู่การท่องเที่ยวจริง

นายอัครวิชย์ กล่าวว่า เราจะนำเสนอจุดเด่นของการท่องเที่ยวภาคตะวันออก อาทิ แหล่งท่องเที่ยว อาหาร สินค้าและกิจกรรมท่องเที่ยว ผนวกเข้ากับแนวคิดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการออกเดินทางท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ (Experience-based-Tourism) ตามรอยภาพยนตร์ สร้าง Meaningful Relationship รับประสบการณ์ท่องเที่ยวที่มีคุณค่าและความหมาย และนำไปสู่การกระจายรายได้สู่เศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืนต่อไป

นายอัครวิชย์ กล่าวว่า โครงการประชาสัมพันธ์ ‘Y JOURNEY (STAY LIKE A LOCAL)’ ได้รับการสนับสนุนจาก บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท ฮาล์ฟ โทสท์ จำกัด เป็นผู้สร้างสรรค์ผลงานมินิซีรีส์ทั้ง 6 เรื่อง โดยมี 12 นักแสดงวัยรุ่นชื่อดังร่วมถ่ายทอดเรื่องราวการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนตามอัตลักษณ์ของแต่ละจังหวัดในภาคตะวันออก ทั้ง 6 จังหวัด โดยแต่ละเรื่องจะมีรูปแบบการท่องเที่ยวที่แตกต่างกันออกไป โดยมีรายละเอียดดังนี้

มินิซีรีส์ 1 เรื่อง ‘เพื่อนรักแอบรักเพื่อน’ นำแสดงโดย ‘แฟรงค์-ธนัตถ์ศรันย์ ซําทองไหล’ และ ‘หล่งซื่อ ลี’ ถ่ายทอดเรื่องราวการท่องเที่ยวสายมู เส้นทางแหล่งท่องเที่ยวจังหวัดฉะเชิงเทราและสมุทรปราการ วัดหงษ์ทอง วัดอโศกการาม วัดจีนประชาสโมสร ตลาดบ้านใหม่ ผสมผสานกับวัฒนธรรมอาหารถิ่น เช่น ข้าวห่อใบบัว ขนมเกสรลำเจียก ขนมเปี๊ยะสดนายเล้ง ผัดไทนายแกละ ออกอากาศเป็นตอนแรกในวันเสาร์ที่ 14 ตุลาคม 2566

มินิซีรีส์ 2 เรื่อง ‘คำสารภาพ’ นำแสดงโดย ‘เน็ต-สิรภพ มานิธิคุณ’ และ ‘เจมส์-ศุภมงคล วงศ์วิสุทธิ์’ ถ่ายทอดเรื่องราวการลดขยะอาหาร Zero Food Waste ด้วยการแปรรูป ผ่านเส้นทางท่องเที่ยวจังหวัดจันทบุรี ชุมชนตลาดเก่าริมน้ำจันทบูร น้ำตกพลิ้ว ศาลเจ้าตั้วเล่าเอี๊ย และเพ็ญทิวาทุเรียนทอด และอาหารท้องถิ่น เช่น ยำมังคุดกุ้งสด กวยจั๊บป้าไหม แกงหมูใบชะมวง ไอติมจรวด แกงมัสมั่นทุเรียน ออกอากาศในวันอาทิตย์ที่ 15 ตุลาคม 2566

มินิซีรีส์ 3  เรื่อง ‘เฮียไม่ปลื้ม’ นำแสดงโดย ‘ฟลุ้ค-ณธัช ศิริพงษ์ธร’ และ ‘ยูโด-ธรรม์ธัช ธารินทร์ภิรมย์’ ถ่ายทอดเนื้อหาวิถีชีวิตและการจ้างงานชุมชนท้องถิ่น ผ่านเส้นทางท่องเที่ยวจังหวัดตราด ชุมชนท่าระแนะ ประภาคารแหลมงอบ หาดตาลคู่ สะพานวัดใจ พร้อมสอดแทรกอาหารท้องถิ่น เช่น ข้าวผัดพริกเกลือ อาหารซีฟู้ด ปลาโคกหว่น ปลาทราย-ปลาซิวทอด  เป็นต้น ออกอากาศในวันเสาร์ที่ 21 ตุลาคม 2566

มินิซีรีส์ 4 เรื่อง ‘คู่กัดออกทริป’ นำแสดงโดย ‘แม้ก-กรธัสส์ รุจีรัตนาวรพันธุ์’ และ ‘ณฐ-ณฐสิชณ์ เอื้อเอกสิชฌ์’ ถ่ายทอดเนื้อหาการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ ผ่านเรื่องราวของเส้นทางท่องเที่ยวจังหวัดนครนายก อ่างเก็บน้ำทรายทอง-เขาช่องลม และจังหวัดปราจีนบุรี น้ำตกเขาอีโต้-วัดพระใหญ่-ศูนย์ส่งเสริมการควบคุมไฟป่าปราจีนบุรี ผสมผสานอาหารท้องถิ่น ได้แก่ ไผ่ตงหวาน ต้มหน่อไม้ ส้มตำไผ่บงหวาน ออกอากาศในวันอาทิตย์ที่ 22 ตุลาคม 2566

มินิซีรีส์ 5 เรื่อง ‘สมมติว่าเป็นแฟน’ นำแสดงโดย ‘มอส-ภาณุวัฒน์ โสประดิษฐ’ และ ‘แบงค์-มณฑป เหมตาล’ ถ่ายทอดเนื้อหาของการรีไซเคิลพลาสติกที่มาจากทะเล ผ่านเส้นทางท่องเที่ยวจังหวัดระยอง เขาแหลมหญ้า สะพานคู่หาดแม่รำพึง วิสาหกิจชุมชนแยกขยะวัดชากลูกหญ้า และอาหารท้องถิ่น เช่น ยำผักกระชับ แกงส้มปู แกงคั่วเล เส้นหมี่น้ำแดงโบราณ ต้มหมูชะมวง เป็นต้น  ออกอากาศในวันเสาร์ที่ 28 ตุลาคม 2566

มินิซีรีส์ 6 เรื่อง ‘ตามหาความทรงจำ’ นำแสดงโดย ‘ยุ่น-ภูษณุ วงศาวณิชชากร’ และ ‘ดิว-นิติกร ปานคร้าม’ ถ่ายทอดเนื้อหาการใช้พลังงานทดแทน ผ่านเรื่องราวจังหวัดชลบุรี ในแหล่งท่องเที่ยวสถาบันวิทยาศาสตร์ทางทะเล ม.บูรพา หาดบางแสน อ่างเก็บน้ำบางพระ แกรนด์แคนยอนชลบุรี และอาหารถิ่น เช่น ข้าวหลามหนองมน ข้าวเกรียบอ่อน ไก่ย่างบางแสน เป็นต้น ออกอากาศในวันอาทิตย์ที่ 29 ตุลาคม 2566

ทั้งนี้ มินิซีรีส์ดังกล่าว มีกำหนดเผยแพร่ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 17.00 น. เริ่มตั้งแต่วันเสาร์ที่ 14 ตุลาคม 2566 ผ่านช่องทาง แอปพลิเคชัน AIS PLAY, YouTube ของ AIS และ YouTube Channel : Amazing Thailand

‘ททท.’ เร่งเครื่องดันซอฟต์พาวเวอร์ ส่ง ‘ซีรีส์วาย’ บุกตลาดญี่ปุ่น  กระตุ้น ‘นทท.ต่างชาติ’ ต้องเดินทางมาเยือนไทยสักครั้งในชีวิต

(1 ต.ค. 66) ถึงแม้ ยุทธศักดิ์ สุภสร จะอำลาตำแหน่งผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ตามวาระแล้ว แต่ยังคงทำหน้าที่อย่างแข็งขันในทุกวินาทีจนพ้นตำแหน่งตามวาระ

โดยนำทีมเจ้าหน้าที่ ททท. พร้อมสื่อมวลชน บินไปนครโอซากา ประเทศญี่ปุ่น เมื่อช่วงปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ร่วมงาน ‘Amazing Thailand Fest 2023 in Osaka’ ณ ศูนย์การค้า Abeno Q’s Mall ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดขึ้น เพื่อเดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นและกระตุ้นตลาดนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ ปลุกพลังการท่องเที่ยวด้วย ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ (Soft Power) ของไทย

ปฏิเสธไม่ได้ว่า หัวเรือหลักในการขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยวไทย ภายใต้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ก็ต้องเป็น ‘ททท.’ หน่วยงานหลักในการทำตลาดท่องเที่ยว ทั้งการประชาสัมพันธ์ กำหนดเป้าหมาย และวางกลยุทธ์เพื่อเดินหน้าไปตามเป้าหมายที่วางไว้

โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลมีนโยบายในการกระตุ้นการท่องเที่ยวไทย ให้กลับมาเป็นเครื่องจักรสำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยต่อไป

ททท.จึงเฟ้นหาจุดขายในการโปรโมตภาคการท่องเที่ยวไทย ดึงซอฟต์พาวเวอร์ 5F ได้แก่ Food-อาหาร, Film-ภาพยนตร์, ซีรีส์ Fashion-เครื่องแต่งกายร่วมสมัย, Festival-คอนเสิร์ต เฟสติวัล และ fight-ศิลปะการต่อสู้ของไทย

โดยเน้นเป็น Film-ภาพยนตร์ ซีรีส์ เนื่องจากเป็นซอฟต์เพาเวอร์ ที่สามารถแทรกซึมเข้าถึงคนได้ทุกเพศทุกวัย ผ่านการชมภาพยนตร์ หรือซีรีส์ ที่ถือเป็นสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์แบบกลับมาวนใหม่ได้เรื่อยๆ

ความพิเศษอยู่ที่ประเทศไทยในขณะนี้ ภาพยนตร์หรือ ‘ซีรีส์วาย’ (ความรักระหว่างผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ) กำลังได้รับความนิยมสูงมาก สะท้อนได้จากซีรีส์วาย ที่เป็นซีรีส์ความรักระหว่างเพศเดียวกัน ทั้งชาย-ชายและหญิง-หญิง สามารถเติบโตสวนทางกับอุตสาหกรรมอื่นๆ ในช่วงโควิด-19 โดยซีรีส์วายสามารถทำเงินได้กว่า 1,000 ล้านบาทจากทั่วโลกในช่วงโควิด มีฐานคนดูที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นธุรกิจใหม่คือ ‘วายอีโคโนมี’ หรือธุรกิจวาย ซึ่งมีตัวเลขที่น่าสนใจคือ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ พบว่า เมื่อหลายปีที่ผ่านมา ซีรีส์วายมีการผลิตอยู่ไม่กี่เรื่อง แต่ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมานี้ อัตราการผลิตซีรีส์วายเติบโตขึ้นกว่า 270% ถือว่ารวดเร็วมาก สะท้อนให้เห็นถึงฐานคนดูที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

รวมถึงจากข้อมูลยังชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่ผลิตซีรีส์วายของเอเชีย เป็นฮับที่หลายประเทศจับตามองมากที่สุด โดยซีรีส์วายไปบุกตลาดต่างประเทศ และได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม และจีน ที่ซีรีส์วายไทยได้ฉายบนแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ของจีน ที่มีสมาชิกนับร้อยล้านคน

จึงเป็นที่มาของการจัดงาน ‘Amazing Thailand Fest 2023 in Osaka’ เมื่อวันที่ 21-23 กรกฎาคมที่ผ่านมา ที่อดีตผู้ว่า ททท.นำคณะไปโอซากา พาชมงานด้วยตัวเอง โดยการจัดงานครั้งนี้ของ ททท. เพื่อต้องการส่งมอบประสบการณ์การท่องเที่ยวผ่านสินค้าและบริการของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง หลังได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดีจากการจัดงาน 2 ครั้งที่ผ่านมา ที่มหานครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา และนครบาร์เซโลนา ราชอาณาจักรสเปน

โดย ททท.มุ่งเดินหน้าส่งมอบประสบการณ์การท่องเที่ยวที่มีความหมาย (Meaningful Travel) อย่างต่อเนื่อง ผ่านซอฟต์พาวเวอร์ไทย ให้ผู้ที่เข้ามาร่วมงานได้สัมผัสประสบการณ์จริงอย่างใกล้ชิดกับบรรยากาศและกิจกรรมที่สนุกสนาน สะท้อนเอกลักษณ์ความเป็นไทยที่จะสร้างความประทับใจให้แก่ผู้มาเยือน เนื่องจากเมื่อมีการจัดงานแบบนี้ ททท.จะขนกิจกรรมพิเศษไปให้ผู้ร่วมงานได้ลองประสบการณ์สุดพิเศษด้วยตัวเอง อาทิ การสาธิตทำอาหารไทย แสดงศิลปะมวยไทย รวมถึงการเปิดตัวศิลปินดาราซีรีส์วายที่กำลังได้รับความนิยมสูงในญี่ปุ่นด้วย

ทั้งนี้ ททท.ตั้งเป้าหมายทั้งปี 2566 จะต้องมีชาวญี่ปุ่นเข้ามาเที่ยวไทยไม่น้อยกว่า 5 แสนคน เพื่อผลักดันจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติรวมของทั้งปีนี้ อยู่ที่ 25-30 ล้านคน และสร้างรายได้จากตลาดต่างประเทศ ให้กลับมาในอัตรา 80% ของปี 2562 ที่ 1.5 ล้านล้านบาท พร้อมมุ่งสู่เป้ารายได้รวม 2.38 ล้านล้านบาทให้ได้ หากในช่วง 3 เดือนสุดท้ายนี้ (ตุลาคม-ธันวาคม) ซึ่งเข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (ไฮซีซัน) มีการเดินทางเข้ามาของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ 3 ล้านคนต่อเดือน ก็น่าจะเห็นภาพถึงแนวโน้มดังกล่าวว่าเป็นไปได้ และหวังกระแสการเดินทางดีต่อเนื่องไปจนถึงปี 2567 ซึ่งตั้งเป้าดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทย 35 ล้านคน ปูทางสู่ภารกิจสร้างรายได้รวมการท่องเที่ยวให้ได้ถึง 25% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ในปี 2570 ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยถึง 80 ล้านคน

ซึ่งหากประเมินจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-25 กันยายน 2566 รวมอยู่ที่ 19,499,116 คน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้ว 815,597 ล้านบาท ก็เท่ากับว่าเหลืออีกประมาณ 8-10 ล้านคน ที่ต้องเร่งสปีดให้ได้ในอีก 3 เดือนที่เหลือของปีนี้ เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายท้าทายสูงสุดที่ 30 ล้านคน

การตีเหล็กจะต้องตีตอนร้อนๆ ททท.จึงไม่พลาดช่วงเวลาที่ดี โดยได้ร่วมกับ บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท ฮาล์ฟ โทสท์ จำกัด เปิดตัวโครงการ ‘Y JOURNEY (STAY LIKE A LOCAL)’ ยกคอนเซ็ปต์ ‘Amazing 5F and More’ โดยเฉพาะ F-Food และ F-Film กำลังได้รับความนิยมจากกลุ่มนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ Gen X, Y และ Millennial และ SDGs ถ่ายทอดผ่านมินิซีรีส์ 6 เรื่อง นำแสดงโดย 12 นักแสดงวัยรุ่นชื่อดังที่จะชวนทุกคนไปสัมผัสเสน่ห์และอัตลักษณ์ของการท่องเที่ยวภาคตะวันออกอย่างยั่งยืน พร้อมสร้างแรงบันดาลใจสู่การท่องเที่ยวจริงด้วย

เรียกได้ว่าเป็นการบุกตลาดซีรีส์วายทั้งในประเทศและต่างประเทศไทยไปพร้อมกัน แบบไม่มีการปล่อยให้ฝั่งใดฝั่งหนึ่งต้องน้อยเนื้อต่ำใจ

ภาพตลาดซีรีส์วายที่ขยายใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นโอกาสที่ใช้ต่อยอดในการสานต่อกิจกรรมเชิงการท่องเที่ยวอีกมากมาย อาทิ การตามรอยซีรีส์ ทั้งการเดินทางตามสถานที่ต่างๆ และเส้นทางอาหาร ลิ้มชิมรสเมนูที่เห็นผ่านหน้าจอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีการจัดงานที่นำศิลปินนักแสดงซีรีส์วายเข้าร่วมงาน ก็จะเห็นการพร้อมใจเข้าร่วมของแฟนคลับอย่างเหนียวแน่น อย่างที่เห็นเป็นปรากฏการณ์ห้างสรรพสินค้าแตกกันมาหลายต่อหลายครั้ง โดยเฉพาะตลาดวายในต่างประเทศ ทั้งญี่ปุ่น เกาหลี และจีน ก็มีเหมือนไทยเช่นกัน อาทิ มังงะ หรือการ์ตูน รวมถึงซีรีส์วายของต่างประเทศก็เข้ามาโด่งดังในไทยด้วย

ยิ่งในปัจจุบัน ดารานักแสดงซีรีส์วายที่กำลังโด่งดังทั้งในประเทศและต่างประเทศ ไม่ได้มีจำนวนหลักหน่วยเท่านั้น แต่มีจำนวนหลักหลายสิบคนด้วย ยิ่งเป็นโอกาสในการทำตลาดที่มากขึ้นอีก ทำให้ในอนาคต คาดว่าจะมีการประชาสัมพันธ์และทำตลาดท่องเที่ยวไทยผ่านมิติในด้านภาพยนตร์ หรือซีรีส์วายมากขึ้น

สิ่งที่มองข้ามไม่ได้และควรใช้เป็นหัวใจหลักในการทำตลาดคือ การสนับสนุนกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศอย่างแท้จริง มีพื้นที่ให้คนกลุ่มนี้สามารถใช้ชีวิตในประเทศไทยได้อย่างเท่าเทียมกัน เพื่อให้ประเทศไทยมีภาพลักษณ์เชิงบวกกับกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ มีความสบายใจที่จะอยู่อาศัย ซึ่งจะเป็นส่วนช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ ให้เกิดความอยาก หรือต้องการเข้ามาสัมผัสประสบการณ์ที่ดีในประเทศไทยด้วยตัวเอง

เป็นโจทย์ที่ภาคการท่องเที่ยวไทยตั้งไว้ จะต้องเดินหน้าทำให้นักท่องเที่ยวคิดว่า “ครั้งหนึ่งในชีวิตจะต้องได้มาเที่ยวประเทศไทยสักครั้งให้ได้”

‘การบินไทย’ เผย เที่ยวบินจากจีนเต็มแล้วกว่า 90% รับ ‘ฟรีวีซ่า’ คาด ปลายปีท่องเที่ยวคึกคัก หนุนเงินสะพัดกว่า 1.4 แสนล้านบาท

เมื่อวันที่ 2 ต.ค. 66 นายกรกฎ ชาตะสิงห์ ประธานเจ้าหน้าที่สายการพาณิชย์ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวบลูมเบิร์กเมื่อวันที่ 2 ต.ค. ว่า ขณะนี้ยอดจองเที่ยวบินของการบินไทยจากประเทศจีนเต็มกว่า 90% แล้ว หลังรัฐบาลไทยออกมาตรการยกเว้นการตรวจลงตรา (Visa Exemption) เพื่อการท่องเที่ยวแก่นักท่องเที่ยวจีนและคาซัคสถานเป็นเวลาชั่วคราวจนถึง เดือน ก.พ.ปีหน้า

“เราเห็นการเติบโตอย่างมากในแง่ของปริมาณการเดินทางจากจีนสู่ไทย” นายกรกฎ ระบุ

ปัจจุบัน ประเทศไทยพึ่งพานักเดินทางจีนเป็นตัวแปรหลักในการฟื้นการใช้จ่ายท่องเที่ยวในประเทศ หลังจากผ่อนคลายนโยบายวีซ่าและขยายอาคารโดยสารแห่งใหม่ในสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งเปิดให้บริการเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

ขณะที่การบินไทย ซึ่งอยู่ระหว่างปรับโครงสร้างหนี้หลังเผชิญวิกฤติโควิด-19 เปิดเผยเมื่อเดือน ก.ย.ว่า มีแผนที่จะเพิ่มเที่ยวบินไปยัง 5 เมืองของจีน เป็น 56 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ จากเดิมที่มี 49 เที่ยวบิน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.นี้

ทั้งนี้ ตั้งแต่ 25 ก.ย. 2566 ถึง 29 ก.พ. 2567 นักเดินทางจากจีนสามารถเข้าประเทศไทยโดยไม่ต้องใช้วีซ่า ขณะที่ไทยในฐานะจุดหมายปลายทางช่วงหยุดยาวยอดนิยมของชาวจีน ก็กำลังหาทางกระตุ้นจำนวนนักท่องเที่ยวจากประเทศเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในเอเชีย

นายกรกฎ เปิดเผยว่า ช่วง 8 เดือนของปี 2566 ยอดนักเดินทางจากจีนเข้าไทย อยู่ที่เพียง 50% ของช่วงก่อนโควิด-19 ระบาด แต่เขายังคงมั่นใจว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจีนจะฟื้นตัวในระยะยาว และการบินไทยยังเตรียมพิจารณาเพิ่มเที่ยวบินไป-กลับจีนให้เท่ากับระดับช่วงก่อนโควิดระบาดด้วย

“เราพยายามจะคาดการณ์ล่วงหน้าว่าตัวเลขนี้ (นักท่องเที่ยวจีน) จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งหรือไม่ แต่เราเชื่อว่าเราสามารถกลับไปสู่ระดับที่เคยเป็นในปี 2562 ได้” นายกรกฎ เสริม

ด้านการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดการณ์ว่า มาตรการ ‘Visa Exemption’ นี้ จะกระตุ้นตลาดนักท่องเที่ยวจีน ให้เดินทางเข้าประเทศไทยรวมประมาณ 4.01-4.4 ล้านคนในปี 2566 และในช่วง 5 เดือนที่มีมาตรการยกเว้นการตรวจลงตราจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวจีนประมาณ 2,888,500 คน สร้างรายได้ให้ประเทศราว 140,313 ล้านบาท

‘AIS’ ใจป้ำ!! จับมือ ‘ททท.’ กระตุ้นท่องเที่ยวไทยช่วงไฮซีซัน แจกฟรี 1 ล้านซิมให้นทท. ตั้งแต่ 17 ต.ค.66 จนถึง 31 มี.ค.67

(11 ต.ค.66) รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชีย และแปซิฟิกใต้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. ฉัททันต์ กุญชร ณ อยุธยา ระบุ ปี 2566 ประเทศไทยต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้วกว่า 20.3 ล้านคน การฟื้นตัวที่สำคัญมาจากนักท่องเที่ยวตลาดเอเชีย และแปซิฟิกใต้ จำนวนถึง 14.7 ล้านคน เช่น จีน มาเลเซีย อินเดีย 

ททท. จึงเพิ่มแรงส่งอย่างต่อเนื่องด้วยการอำนวยความสะดวกด้านระบบสื่อสารและบริการดิจิทัลที่จะสนับสนุนพฤติกรรมการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวยุคใหม่ให้สะดวกสบายผ่านโลกออนไลน์ได้มากยิ่งขึ้น รวมทั้งถือเป็นกลยุทธ์ที่ดีในการกระตุ้นการท่องเที่ยวไทยรับไฮซีซันส่งท้ายปลายปี 2566

หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไป AIS ปรัธนา ลีลพนัง ระบุ จากพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวในปัจจุบัน นิยมใช้บริการทุกด้านผ่านทาง Digital Channel ทั้งการทำธุรกรรมทางการเงิน, การจองที่พัก, ช้อปปิ้ง รวมไปถึงการใช้บริการของภาครัฐเอง นอกจากนี้ ยังมีกลุ่ม Digital Nomad ที่นิยมเดินทางท่องเที่ยว พร้อมกับ Work From Anywhere จากทุกมุมโลก 

โดยร่วมกับ ททท. เปิดตัวแคมเปญ Welcome Back to Thailand ผ่าน Amazing Thailand SIM ที่มีแพ็กเกจการใช้งานและสิทธิพิเศษที่ครอบคลุมทุก Lifestyle ให้กับนักท่องเที่ยว

รวมถึงทำงานร่วมกับภาครัฐเพื่อเตือนภัยผ่านทางเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ให้กับนักท่องเที่ยวสร้างความมั่นใจว่า สามารถเที่ยวเมืองไทยได้อย่างปลอดภัย ซึ่งเป็นมาตรการเบื้องต้นที่ภาคเอกชนพร้อมจะสนับสนุนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย ให้เป็น Key Driver หลักในการพลิกฟื้นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้

สำหรับแคมเปญ ‘TAT x AIS 5G: Welcome Back to Thailand’ จะมอบแพ็กเกจซิมโทรศัพท์มือถือ จำนวน 1 ล้านซิม พร้อมสิทธิพิเศษจากพันธมิตรในรูปแบบ e-voucher ให้แก่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางมาประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม 2566 - 31 มีนาคม 2567 โดยแจกจ่ายผ่านสำนักงาน ททท. ภูมิภาคเอเชีย และแปซิฟิกใต้ ให้เป็นเครื่องมือทำการตลาดร่วมกับบริษัทนำเที่ยว OTA สายการบิน สมาคมต่าง ๆ ในต่างประเทศ ตั้งแต่ก่อนนักท่องเที่ยวเดินทางมาประเทศไทย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่จะอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวได้รับประสบการณ์การเดินทางที่น่าประทับใจมากยิ่งขึ้น

‘ท่องเที่ยว’ จัดเต็มอีเวนต์ Q4 ชู ‘เคานต์ดาวน์’ หวังดึงต่างชาติ ปักหมุด 'กรุงเทพฯ' อวดโฉมพระปรางค์วัดอรุณฯ และ 'โคราช'

(18 ต.ค. 66) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) รุกทำการตลาดและจัดกิจกรรมอีเวนต์เพื่อกระตุ้นบรรยากาศการเดินทางท่องเที่ยวให้คึกคักในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ เต็มไปด้วยสีสันแห่งการเฉลิมฉลอง ชูไฮไลต์งานเคานต์ดาวน์ในประเทศไทยให้ติดอันดับแลนด์มาร์กโลก หวังผลักดันจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติตลอดปี 2566 ไปสู่ระดับ 28-30 ล้านคน

นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2566 ซึ่งเข้าสู่ไฮซีซัน ทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เตรียมแผนงานทำการตลาด ประชาสัมพันธ์ และจัดอีเวนต์งานเทศกาล เพื่อกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวทั้งตลาดในและต่างประเทศ ไฮไลต์สำคัญคือการจัดงานเคานต์ดาวน์ 2566 ในประเทศไทยให้เป็นอีเวนต์ระดับโลก ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ และสร้างแรงส่งต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาส 1-2 ปีหน้า ซึ่งจะมีอีเวนต์ใหญ่งานเทศกาลตรุษจีนและสงกรานต์

“ททท.ได้ยื่นของบกลาง 600 ล้านบาท เพื่อนำไปทำการตลาด ประชาสัมพันธ์ และจัดอีเวนต์งานเทศกาลทั้งตลาดในและต่างประเทศช่วงไฮซีซันนี้ ผ่าน 4 โครงการ คาดว่าจะก่อให้เกิดรายได้การท่องเที่ยวกลับมาไม่น้อยกว่า 31,660 ล้านบาท โดยงานเคานต์ดาวน์ทั้งที่กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เป็นอีเวนต์หลักในโครงการ ไทยแลนด์ เฟสติวัล เอ็กซ์พีเรียนส์ (Thailand Festival Experience) ที่จะมีการจัดอีเวนต์ต่างๆ กระจายทั่ว 5 ภูมิภาค ใช้งบประมาณ 200 ล้านบาท ผลที่คาดว่าจะได้รับคือก่อให้เกิดรายได้ไม่น้อยกว่า 1,100 ล้านบาท”

โดยสาเหตุที่ต้องยื่นของบกลาง เพราะงบจากร่าง พรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ที่อยู่ระหว่างการจัดทำ กว่าจะใช้ได้ต้องรอไปถึงเดือน มี.ค. 2567

สำหรับข้อเสนอรวม 4 โครงการ ได้แก่

1. อะเมซิ่ง ไทยแลนด์ พาสปอร์ต พริวิเลจส์ (Amazing Thailand Passport Privileges) งบประมาณ 150 ล้านบาท ผลที่คาดว่าจะได้รับคือการรับรู้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยเป็นจุดมุ่งหมายของการชอปปิงเพิ่มขึ้น และขยายลูกค้าใหม่จากตลาดต่างประเทศให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยว
2. ไทยแลนด์ เฟสติวัล เอ็กซ์พีเรียนส์ (Thailand Festival Experience) ใน 5 ภาค งบประมาณ 200 ล้านบาท ผลที่คาดว่าจะได้รับ ก่อให้เกิดรายได้ไม่น้อยกว่า 1,100 ล้านบาท
3. มาร์เก็ตติง แอนด์ พีอาร์ ฟอร์ซ-มูฟ (Marketing & PR Forced-move) งบประมาณ 150 ล้านบาท ผลที่คาดว่าจะได้รับจากตลาดทั่วโลกทุกทวีป 30,000 ล้านบาท
4. เดอะ ลิงก์ โลคอล ทู โกลบอล (The Link Local to Global) งบประมาณ 100 ล้านบาท ก่อให้เกิดรายได้ไม่น้อยกว่า 560 ล้านบาท

>> ททท.จัดเคานต์ดาวน์ใหญ่ 2 จุด ‘กรุงเทพฯ-โคราช’

นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ ททท. กล่าวเสริมว่า งานเคานต์ดาวน์ 2566 ที่ ททท.เป็นเจ้าภาพจัดงานเองจะมี 2 จุด ได้แก่ กรุงเทพฯ ปักหมุดวัดอรุณราชวรารามเหมือนงานเคานต์ดาวน์ปีที่ผ่านมา แสดงพลุหน้าพระปรางค์วัดอรุณฯ ซึ่งเป็นแลนด์มาร์กสำคัญของภาคการท่องเที่ยวไทย พร้อมฉายภาพทัศนียภาพความสวยงามของคุ้งน้ำเจ้าพระยา ส่วนอีกจุดคือ จ.นครราชสีมา ซึ่งทางจังหวัดนครราชสีมาเตรียมจัดงานอีเวนต์ใหญ่ช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่นาน 10 วัน บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดฯ นอกจากนี้ ททท.ยังคงสนับสนุนภาคเอกชนจัดงานเคานต์ดาวน์อย่างต่อเนื่อง เช่น ไอคอนสยาม และเซ็นทรัลเวิลด์ ด้วย

ส่วนอีเวนต์อื่นๆ เช่น เทศกาลลอยกระทง เดือน พ.ย.นี้ ททท.เป็นเจ้าภาพจัดงานครั้งยิ่งใหญ่ที่คลองผดุงกรุงเกษม และงานวิจิตรเจ้าพระยา แสดงแสงสีเสียงตามแหล่งท่องเที่ยวเลียบริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่วันที่ 1-31 ธ.ค. 2566 หลังจากเคยจัดปีที่แล้วเป็นระยะ 2 สัปดาห์เพื่อต้อนรับการเป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปค ได้รับเสียงตอบรับดีจากนักท่องเที่ยว

>> คาด Q4/66 ทัวริสต์ต่างชาติ 7 ล้านคน

สำหรับแนวโน้มตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยในช่วงไตรมาส 4 ปี 2566 คาดว่ามีจำนวนรวมไม่น้อยกว่า 7 ล้านคน เฉพาะเดือน ต.ค. น่าจะมีไม่ต่ำกว่า 2 ล้านคน ส่วนเดือน พ.ย.-ธ.ค. คาดมีเกิน 2.5 ล้านคนต่อเดือน หลังจากภาพรวมปริมาณเที่ยวบินระหว่างประเทศช่วงตารางบินฤดูหนาว 2566/2567 ปัจจุบันพบว่ากลับมากว่า 60% แล้ว

“ตลาดที่ฟื้นตัวกลับมาอย่างโดดเด่นเกิน 80-90% เทียบกับเมื่อปี 2562 ก่อนโควิด-19 ระบาด มีนักท่องเที่ยวมาเลเซีย อินเดีย เกาหลีใต้ และรัสเซีย ส่วนตลาดอื่นๆ ที่มีการเติบโตดีกว่ายุคก่อนโควิดคือ ซาอุดีอาระเบีย รวมถึงอิสราเอลที่ประเมินว่าจะได้จำนวนนักท่องเที่ยวตามเป้าหมาย 2 แสนคนในปีนี้”

>> ‘เศรษฐา’ บุกจีน หนุน ททท. ผนึก 8 พันธมิตร

นางสาวฐาปนีย์ กล่าวว่า ด้านนักท่องเที่ยวจีนซึ่งเป็นตลาดหลักเดินทางเข้าไทยมากเป็นอันดับ 1 ในปี 2562 ด้วยจำนวนกว่า 11 ล้านคน จากสถิติล่าสุดช่วง 9 เดือนครึ่งของปี 2566 ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 15 ต.ค. พบว่ามีจำนวนนักท่องเที่ยวจีนสะสม 2,645,885 คน ส่วนเป้าหมายนักท่องเที่ยวจีนตลอดปี 2566 ททท.ยังตั้งเป้าไว้อย่างน้อย 4 ล้านคน

ภายในสัปดาห์นี้ ททท.จะมีการลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent: LOI) ว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ร่วมกับ 8 พันธมิตรชั้นนำของจีน ได้แก่ 1. Trip.com 2. Ant International (Alipay) 3. Meituan 4. Huawei 5. Spring Airlines 6. Xinhua Net 7. iQIYI และ 8. JegoTrip ในวันที่ 19 ต.ค.นี้ ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน

พันธมิตรทั้งหมดล้วนเป็นผู้ประกอบการท่องเที่ยวและบริการรายใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทท่องเที่ยวออนไลน์ (Online Travel Agents: OTA) สายการบิน และผู้ให้บริการเพย์เมนต์ เกตเวย์ (Payment Gateway) เพื่อทำโปรโมชันและโปรโมตการท่องเที่ยวร่วมกัน ประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์เชิงบวก โดยเฉพาะการสร้างความเชื่อมั่นเรื่องความปลอดภัย ส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศไทยในตลาดจีน

“ทางนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งมีกำหนดการไปร่วมประชุมเวทีข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (Belt and Road Forum for International Cooperation: BRF) ครั้งที่ 3 วันที่ 17-18 ต.ค. ณ กรุงปักกิ่ง และการเดินทางเยือนจีนอย่างเป็นทางการในวันที่ 19 ต.ค.นี้ที่เมืองจีนอยู่แล้ว จะเดินทางมาร่วมเป็นสักขีพยานในงานนี้ด้วย” ผู้ว่าการ ททท.กล่าว

>> ‘ต่างชาติเที่ยวไทย’ 9 เดือนครึ่ง ทะลุ 21 ล้านคน

นางสาวสุดาวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า กองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุถึงสถิตินักท่องเที่ยวต่างชาติตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-15 ต.ค. 2566 มีจำนวนสะสม 21,019,800 คน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้ว 882,450 ล้านบาท โดยนักท่องเที่ยวจาก 5 ประเทศที่เดินทางเข้าไทยสูงสุด ได้แก่ อันดับ 1 มาเลเซีย 3,431,287 คน อันดับ 2 จีน 2,645,885 คน อันดับ 3 เกาหลีใต้ 1,255,769 คน อันดับ 4 อินเดีย 1,230,125 คน และอันดับ 5 รัสเซีย 1,038,036 คน

ทั้งนี้ เมื่อดูเฉพาะสถานการณ์ท่องเที่ยวในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ตั้งแต่วันที่ 9-15 ต.ค. มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ 470,299 คน คิดเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยเฉลี่ยวันละ 67,186 คน โดย 5 อันดับแรกของประเทศที่เดินทางเข้ามาสูงสุด ได้แก่ มาเลเซีย 74,233 คน จีน 61,094 คน อินเดีย 30,170 คน เกาหลีใต้ 27,264 คน และรัสเซีย 22,018 คน

“สัปดาห์ที่ผ่านมามีกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวยุโรปเพิ่มขึ้น 6.71% จากสัปดาห์ก่อนหน้า หรือเพิ่มขึ้น 5,227 คน เนื่องจากเข้าสู่ช่วงไฮซีซัน ประกอบกับสายการบินเริ่มปรับเพิ่มจำนวนเที่ยวบินของนักท่องเที่ยวภูมิภาคยุโรป โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวรัสเซีย ส่งผลให้สัปดาห์ที่ผ่านมาในภาพรวมประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งสิ้น 470,299 คน ลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้า 27,226 คน คิดเป็น 5.56%”

สำหรับสัปดาห์ถัดไป ตั้งแต่วันที่ 16-22 ต.ค. คาดว่านักท่องเที่ยวจะปรับตัวลดลงเล็กน้อยจากการสิ้นสุดวันหยุดยาว โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวภูมิภาคเอเชียตะวันออกและภูมิภาคโอเชียเนีย ความกังวลต่อภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัยของไทย รวมถึงการเข้าสู่ภาวะสงครามของอิสราเอล นอกจากนั้นการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวระหว่างประเทศและในประเทศ ยังคงได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น และอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากเหตุความขัดแย้ง ตลอดจนภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว

‘สธ.-สสส.-MBK’ รวมพลังปลุกกระแส ‘อาหารไทยถิ่น กินเป็นยา’ กระตุ้นท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ-เพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจ-ดึงเม็ดเงินเข้าประเทศ

(9 พ.ย. 66) นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เป็นประธานเปิดงานเสวนาวิชาการและนิทรรศการอาหารเป็นยาครั้งที่ 1/2566 ภายใต้แนวคิด ‘อาหารไทยถิ่น กินเป็นยา’ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 9-12 พฤศจิกายน 2566 ที่ลาน MBK Avenue A ศูนย์การค้าเอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ กรุงเทพมหานคร โดยมี นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รักษาราชการแทนรองปลัด สธ. นพ.ขวัญชัย วิศิษฐานนท์ รองอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ผู้บริหาร สธ.ภาคีเครือข่ายร่วมงาน พร้อมทั้งมอบป้ายโลโก้อาหารเป็นยา ให้กับสถานประกอบการ ทั้ง 20 แห่ง ที่ผ่านเกณฑ์การคัดเลือกผู้จำหน่ายอาหารที่มีเมนูสุขภาพจากวัตถุดิบในท้องถิ่น ปลอดสารพิษ

นายสันติกล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายที่จะสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว เพื่อกระตุ้นภาคเศรษฐกิจและสร้างงานให้กับประชาชน โดยเฉพาะการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพด้านอาหารที่สร้างรายได้ให้กับประเทศนับแสนล้านบาท

ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ข้อมูลจากกรมการท่องเที่ยว ระบุว่า ประเทศไทยมีสัดส่วนรายได้จากการท่องเที่ยวด้านอาหาร ถึงร้อยละ 20 ของรายได้การท่องเที่ยวทั้งหมด และในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา รายได้จากอาหารและเครื่องดื่มจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 5.74 สธ.จึงเห็นโอกาสในการขับเคลื่อนนโยบายอาหารเป็นยา เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ ความเชื่อมั่น ให้กับประชาชนเกี่ยวกับการสร้างเสริมสุขภาพด้วยการบริโภคอาหาร นำไปสู่สร้างเศรษฐกิจให้กับประเทศ

“อาหารไทยได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวอย่างแพร่หลาย ซึ่งรัฐบาลได้กำหนดรายการอาหารยอดนิยมของนักท่องเที่ยวไว้ จำนวน 6 รายการ ได้แก่ ผัดไทย ต้มยำกุ้ง แกงเขียวหวาน ส้มตำ มัสมั่น ต้มข่าไก่ และยังมีรายการอาหารไทยที่ควรส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวได้รู้จักมากยิ่งขึ้น เช่น ผัดกะเพรา ผัดฉ่า เครื่องดื่มสมุนไพรซึ่งมีสรรพคุณตามรสยา เพื่อช่วยให้ร่างกายแข็งแรง และบรรเทาอาการเจ็บป่วยเบื้องต้น” นายสันติกล่าว

นพ.สุรโชค กล่าวว่า การจัดงานในครั้งนี้ เป็นความร่วมมือของ สธ.สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ศูนย์การค้าเอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ และภาคีเครือข่าย เพื่อขับเคลื่อนการนำอาหารไทย สมุนไพรไทย มาช่วยสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ ภายใต้แนวคิด ‘อาหารไทยถิ่น กินเป็นยา’ เป็นการสร้างกระแสให้ประชาชนหันมาใส่ใจการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพเพิ่มมากขึ้น รวมถึงเยาวชนรุ่นใหม่จะได้ตระหนักรู้ว่าอาหารไทย สมุนไพรไทยมีคุณค่า เป็นการผสม ‘ศาสตร์’ การดูแลสุขภาพด้วยภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย กับ ‘ศิลป์’ ความพิถีพิถัน ความละเอียดอ่อนในการปรุงอาหาร ที่ช่วยสร้างคุณค่าและมูลค่าให้กับอาหารไทย คาดว่าการจัดงานในครั้งนี้จะทำให้เศรษฐกิจเกิดการหมุนเวียนจากการจับจ่ายใช้สอยของนักท่องเที่ยวที่เข้ามาชมงานประมาณ 5-6 หมื่นคนต่อวัน

ด้าน นพ.ขวัญชัยกล่าวว่า ที่ผ่านมากรมการแพทย์แผนไทยฯ ได้จัดกิจกรรมอาหารเป็นยาโดยนำร่องจังหวัดที่เป็นเมืองสมุนไพร อาทิ สงขลา อุดรธานี จันทบุรี สระบุรี เชียงใหม่ เป็นต้น ซึ่งได้การตอบรับเป็นอย่างดี รวมถึงได้ร่วมมือกับ ‘การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย’ (ททท.) มอบป้ายโลโก้ให้ผู้ประกอบการ สตรีทฟู้ด ร้านอาหารเครื่องดื่ม และโรงแรม แล้วกว่า 200 ร้านค้า เพื่อเป็นเครื่องหมายรับรองคุณภาพ และเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงว่ามีเมนูสุขภาพที่ใช้วัตถุดิบในท้องถิ่น ปลอดสารพิษ เป็นการช่วยสร้างรายได้ให้ชุมชนอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ กิจกรรมภายในงานประกอบด้วย เวทีเสวนาวิชาการ ให้ความรู้เกี่ยวกับสรรพคุณทางสมุนไพรที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย กิจกรรมอาการเป็นยา เช่น กินยังไง? ไม่ให้ป่วย, กินสร้างสุข, กินลดโรค การออกร้านจำหน่ายอาหาร-เครื่องดื่มจากชุมชนทั่วประเทศ

‘นายกฯ’ ยัน!! ไม่ได้สั่งให้ ‘ตร.จีน’ ลาดตระเวนไทย ชี้ ผู้ว่าการททท. อาจสื่อสารเรื่องนี้ผิดพลาด

เมื่อวานนี้ (13 พ.ย.66) ที่ รร.เดอะริทซ์ คาร์ลตันนครซานฟรานซิสโก สหรัฐฯ (เวลาท้องถิ่นซานฟรานซิสโก ช้ากว่ากรุงเทพฯ 15 ชั่วโมง) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์กรณี น.ส.ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ​ระบุรัฐบาลมีแนวคิดให้ตำรวจจีนลาดตระเวนเมืองท่องเที่ยวหลักและเมืองรอง ว่า เรื่องนี้ถึงอย่างไรตำรวจไทยต้องเป็นคนดูแล แต่ถ้ามีความร่วมมือเกิดขึ้นในแง่ของการประสานข้อมูลกับทางตำรวจจีน เชื่อว่าจะให้ความมั่นใจกับนักท่องเที่ยวจีนมากขึ้น ไม่ได้หมายความว่ามีตำรวจจีนมาเดินบนถนนเมืองไทย เรื่องนี้คงเป็นการสื่อสารที่มีความผิดพลาดมากกว่า

ผู้สื่อข่าวถามว่า ทางผู้ว่าฯ ททท.อ้างว่าเป็นการดำเนินการต่อเนื่องจากที่นายกฯ เดินทางไปเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้มีข้อสั่งการหรือพูดคุยในเรื่องนี้ หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ไม่ได้ลงรายละเอียดว่าต้องมีตำรวจจีนมาอยู่ที่เมืองไทย แต่เป็นการหารือที่ทั้งสองหน่วยงาน คือสถาบันตำรวจ ที่ต้องพูดคุยเพราะทุกคนกลัวเรื่องจีนสีเทา และเรื่องที่คนจีนมาทำอะไรผิดกฎหมายกับคนจีนในเมืองไทย จึงต้องมีการประสานเรื่องข้อมูลให้ชัดเจน อย่าให้เกิดความสับสน และหากมีอาชญากรรมเกิดขึ้น จะได้จัดการบำบัดได้ทันที

เมื่อถามย้ำว่า นายกฯ ไม่ได้สั่งให้ประสานกับทางจีนในเรื่องนี้ ใช่หรือไม่ นายกฯ ส่ายหน้า และกล่าวว่า "ไม่ได้สั่งเลยครับ ไม่มีการสั่งครับ เรื่องนี้ต้องให้ความเป็นธรรมกับผม ใครจะไปสั่ง ผมไม่เคยพูดว่าต้องเอาตำรวจจีนมากี่คนๆ "

เมื่อถามว่าเรื่องนี้มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นเรื่องอธิปไตยของไทย ทำไมต้องเอาจีนเข้ามา นายเศรษฐา กล่าวย้ำว่า ไม่เคยมี ไม่เคยพูด ถามคนใกล้ชิดตนได้ว่าไม่เคยมี เรื่องนี้ต้องให้ความเป็นธรรมด้วยเหมือนกันเพราะไม่ใช่

‘ไทย’ หนุนเส้นทางท่องเที่ยว-โชว์มนต์เสน่ห์ ‘ภาคอีสาน’ ชูวัฒนธรรม-ยกระดับผลิตภัณฑ์-งานหัตถศิลป์สู่ตลาดจีน

(20 พ.ย. 66) สำนักข่าวซินหัว, คุนหมิง รายงานว่า คุณสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และคุณฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้นำคณะผู้แทนบริษัทผู้ประกอบธุรกิจการท่องเที่ยวของไทยมากกว่า 20 แห่ง เข้าร่วมงาน ‘ไชน่า อินเตอร์เนชันแนล ทราเวล มาร์ต’ (China International Travel Mart) ปี 2023 ซึ่งจัดขึ้นที่นครคุนหมิง มณฑลอวิ๋นหนาน (ยูนนาน) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน เมื่อวันที่ 17-19 พ.ย. ที่ผ่านมา

คุณฐาปนีย์ กล่าวว่า การเข้าร่วมงานครั้งนี้ มุ่งนำเสนอเส้นทางการท่องเที่ยวใหม่สู่ตลาดจีน ภายใต้แนวคิด ‘ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ยิ่งเที่ยวยิ่งสนุก’ โดยนักท่องเที่ยวชาวจีนสามารถโดยสารรถไฟจีน-ลาว มาท่องเที่ยวภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือภาคอีสานของไทย ขณะเดียวกันการท่องเที่ยวฯ ยังจัดการแสดงรำไทย การนวดแผนโบราณ และการทำงานหัตถศิลป์ ที่พาวิลเลียนไทย เพื่อนำเสนอขนบธรรมเนียมและมนต์เสน่ห์วัฒนธรรมภาคอีสานด้วย

คุณสุดาวรรณ เผยว่า ไทยให้ความสำคัญกับความร่วมมือกับจีน ในด้านการลงทุนทางเศรษฐกิจ การศึกษา และการท่องเที่ยว ขณะที่งานนี้ถือเป็นนิทรรศการจัดแสดงขนาดใหญ่ที่สุดของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของจีน รวมถึงเป็นเวทีสำหรับบริษัทผู้ประกอบธุรกิจการท่องเที่ยวของไทย ได้ติดต่อสื่อสารกับบรรดาผู้มีบทบาทในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของจีน ส่งเสริมผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวของไทยแก่นักท่องเที่ยวชาวจีน และขยายส่วนแบ่งในตลาดจีน

ทั้งนี้ คุณสุดาวรรณ เสริมว่า ไทยดำเนินมาตรการฟรีวีซ่าแก่นักท่องเที่ยวชาวจีน ระยะ 5 เดือน ตั้งแต่วันที่ 25 ก.ย. เป็นต้นมา พร้อมกับพยายามยกระดับคุณภาพของผลิตภัณฑ์และการบริการทางการท่องเที่ยว ดำเนินมาตรการรักษาความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวอย่างแข็งขัน เพื่อรับประกันความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวชาวจีนในไทย ช่วยให้นักท่องเที่ยวชาวจีนได้สัมผัสประสบการณ์ท่องเที่ยวอันยอดเยี่ยม สร้างความประทับใจที่ดีแก่นักท่องเที่ยวชาวจีน

การท่องเที่ยวฯ ระบุว่า จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางเยือนไทยในปีนี้รวมอยู่ที่ 2.86 ล้านคน เมื่อนับถึงวันที่ 9 พ.ย. ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวคนหนุ่มสาวที่เดินทางมาท่องเที่ยวด้วยตนเอง โดยการท่องเที่ยวฯ จะเดินหน้าสร้างสรรค์ภาพลักษณ์เชิงบวกของการท่องเที่ยวไทย เพื่อมอบประสบการณ์การเดินทางท่องเที่ยวแก่นักท่องเที่ยวชาวจีนได้ดียิ่งขึ้น


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top