Saturday, 7 June 2025
ญี่ปุ่น

นายกฯ ญี่ปุ่น เตรียมบินเยือน ‘เวียดนาม-ฟิลิปปินส์’ 27 เมษายนนี้ เพื่อกระชับความร่วมมือด้านความมั่นคง กับกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

(17 เม.ย. 68) ชิเงรุ อิชิบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น มีกำหนดเดินทางเยือน เวียดนามและฟิลิปปินส์ เป็นระยะเวลา 4 วัน ตั้งแต่วันที่ 27 เมษายนนี้ เพื่อกระชับความร่วมมือด้านความมั่นคงกับชาติสมาชิกอาเซียน ท่ามกลางการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทวีความเข้มข้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

การเดินทางครั้งนี้เกิดขึ้นในจังหวะสำคัญที่ จีนภายใต้การนำของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กำลังเพิ่มบทบาทและเสนอมาตรการเป็นมิตรต่อประเทศในภูมิภาค ขณะที่ความเชื่อมั่นต่อสหรัฐฯ เริ่มสั่นคลอนจากมาตรการภาษีที่เข้มข้นของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งส่งผลต่อเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

ในเวียดนาม นายอิชิบะมีกำหนดพบกับ โท ลัม เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ รวมถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูง เพื่อหารือเรื่องการบรรจุเวียดนามเข้าสู่กรอบความช่วยเหลือด้านความมั่นคงอย่างเป็นทางการของญี่ปุ่น (Official Security Assistance หรือ OSA) ซึ่งครอบคลุมการจัดหาอุปกรณ์ป้องกันประเทศให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถให้แก่ประเทศที่มีแนวคิดสอดคล้องกัน

ญี่ปุ่นคาดหวังว่าจะสามารถร่าง บันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงกับเวียดนามให้แล้วเสร็จภายในเดือนมีนาคมปีหน้า อีกทั้งยังมีกำหนดเยี่ยมชม มหาวิทยาลัยเวียดนาม-ญี่ปุ่น ในกรุงฮานอย ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือระดับชาติเพื่อส่งเสริมการศึกษาระหว่างสองประเทศ

ขณะเดียวกัน ในฟิลิปปินส์ อิชิบะจะหารือกับ ประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ โดยมีเป้าหมายเพื่อเริ่มต้นการเจรจาเกี่ยวกับ ข้อตกลงด้านความมั่นคงทั่วไปของข้อมูลทางทหาร (GSOMIA) ซึ่งจะเป็นก้าวสำคัญในการแบ่งปันข่าวกรองทางทหารระหว่างสองประเทศ

นอกจากนี้ คาดว่าทั้งสองประเทศจะตกลงที่จะเริ่มเจรจาเกี่ยวกับ ข้อตกลงในการซื้อกิจการและการให้บริการข้ามกัน (Acquisition and Cross-Servicing Agreement หรือ ACSA) เพื่อให้สามารถจัดหากระสุนและเชื้อเพลิงให้กันและกันในกรณีที่จำเป็น

ระหว่างการเยือนฟิลิปปินส์ อิชิบะยังจะตรวจสอบ ระบบเรดาร์เฝ้าระวังชายฝั่ง และอุปกรณ์ความมั่นคงอื่น ๆ ที่ญี่ปุ่นได้จัดหาให้ภายใต้กรอบ OSA โดยมีเป้าหมายเพื่อเน้นย้ำความสัมพันธ์กึ่งพันธมิตรระหว่างทั้งสองประเทศ

นอกจากนี้ เขายังแสดงความตั้งใจที่จะพบกับกลุ่มผู้ไร้รัฐที่เป็นลูกหลานของชาวญี่ปุ่นซึ่งอพยพมายังฟิลิปปินส์หลังสงครามโลกครั้งที่สอง เพื่อแสดงการสนับสนุนของโตเกียวในการพิจารณาให้สัญชาติญี่ปุ่นแก่บุคคลเหล่านี้

อิชิบะซึ่งมีจุดยืนชัดเจนในเรื่องความสัมพันธ์กับ สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) เคยเดินทางเยือนมาเลเซียและอินโดนีเซียแล้วเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา เพื่อวางรากฐานความร่วมมือระยะยาวในภูมิภาค

นักวิเคราะห์มองว่าการเคลื่อนไหวของญี่ปุ่นสะท้อนถึงยุทธศาสตร์ “เสริมอิทธิพลผ่านความร่วมมือ” เพื่อตอบโต้การขยายบทบาทของจีนในภูมิภาค พร้อมส่งสัญญาณถึงความมุ่งมั่นของโตเกียวในการเป็นพันธมิตรที่ไว้วางใจได้สำหรับประเทศในอาเซียน

ไทยพาวิลเลี่ยน ‘ดีไซน์เอกชน คอนเทนต์ราชการ’ ชาวเน็ต ฟาด!! ผิดหวัง เทียบ ‘ชัยวุฒิ’ อดีต รมว.ดีอี ยุค ‘ลุงตู่’ ปั้นขึ้นอันดับ 4 ทะลุ 2.35 ล้านคน ที่ดูไบ

(19 เม.ย. 68) ‘World Expo’ หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า ‘International Registered Exhibitions’ ถือเป็นงานเมกะอีเวนท์ที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก ซึ่งทุกๆ ชาติจะมารวมตัวกัน และจัดแสดงความรู้ ความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี เศรษฐกิจ และสังคม โดยเป็นเวทีระดับโลก ที่ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างรัฐบาล บริษัท องค์กรระหว่างประเทศ และประชาชน ในการพยายามแสวงหาความรู้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อที่จะให้มนุษยชาติ มีการพัฒนาไปสู่ชีวิตที่ดียิ่งขึ้น 

งานนี้จัดขึ้นครั้งแรกที่ลอนดอน เมื่อปี 1851 และก็ได้จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกๆ 5 ปี ซึ่งในปี 2020 นั้น มีการจัดขึ้นที่ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยใช้ชื่องานว่า ‘World Expo 2020 Dubai’ 

งานในครั้งนั้น ‘ประเทศไทย’ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ได้รับความนิยมเป็นอันดับที่ 4 รองจากซาอุดิอาระเบีย ปากีสถาน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (จากการเก็บข้อมูลสถิติของ Google Public) มีผู้คนจากทั่วทุกสารทิศ หลั่งไหลกันเข้ามาเยี่ยมชม ‘บูธนิทรรศการของคนไทย’ ทะลุ 2.35 ล้านคน ได้รับคำชมจากทั่วโลก รวมทั้งได้รับรางวัล Honorable Mention ประเภท Editor's Choice Award จากนิตยสาร Exhibitor Magazine ที่ได้รับการยอมรับในแวดวงอุตสาหกรรมการจัดแสดงนิทรรศการต่าง ๆ ทั่วโลก งานในปี 2020 นั้น ได้จัดขึ้นโดยมี นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เป็นแม่งาน ภายใต้นโยบายของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พร้อมทั้งการสนับสนุนจากหน่วยงานภาคเอกชน ในการจัดแสดงนวัตกรรมดิจิทัล เทคโนโลยีดิจิทัล สินค้าฝีมือคนไทย โดยนำเสนอศักยภาพในทุกมิติของประเทศไทย เน้นสร้างความเชื่อมั่นให้ นานาประเทศได้เห็นถึงความพร้อมด้านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล การพัฒนา โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล นวัตกรรมดิจิทัลของไทย รวมทั้งศักยภาพของผู้ประกอบการวิสาหกิจดิจิทัล และผู้ประกอบการท่องเที่ยวไทย ในการเปลี่ยนผ่าน สู่ยุคดิจิทัล (Digital Transformation)

และเมื่อวันที่ 13 เม.ย. ที่ผ่านมา งานนี้ก็ได้จัดขึ้นอีกครั้งในชื่อ ‘World Expo 2025 Osaka Kansai’ ที่ นครโอซากา ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งรัฐบาลของนางสาวแพทองธาร ก็ได้มอบหมายให้ กระทรวงสาธารณสุข เป็นหน่วยงานหลักในการรับผิดชอบจัดงาน 

จากความสำเร็จที่ผ่านมา โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งมีนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ เป็นหัวเรือหลัก ย่อมส่งผลให้คนทั้งโลกคาดหวังกับประเทศไทย ในการจัดบูธนิทรรศการ 

แต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น ...

‘อาคารนิทรรศการไทย’ (Thailand Pavilion) ในพื้นที่ A13 โซน Connecting Lives ซึ่งปีนี้มาภายใต้ธีม ‘Thailand Empowering Lives For Greatest Happiness’ สร้างสรรค์ชีวิตเพื่อความสุขที่ยิ่งใหญ่ ในการจัดแสดงนิทรรศการ ‘วิมานไทย (VIMANA THAI)’ นำเสนออัตลักษณ์ความเป็นไทยผ่านภูมิปัญญาท้องถิ่น และนวัตกรรมที่มีรากฐานมาจากภูมิปัญญาไทยในแนวคิด ‘SMILE’

เมื่องานนิทรรศการได้เริ่มต้นขึ้น หลายคน ‘อึ้ง’

เพราะภาพที่ได้เห็น มันคืองานที่ ‘ต่ำกว่ามาตรฐาน’ หลายคนเริ่มตั้งคำถาม นี่คือ การใช้เงินงบประมาณของชาติ ‘เกือบพันล้านบาท’ แต่กลับได้เหมือนงานโอท็อป (OTOP) เป็น ‘ดีไซน์เอกชน คอนเทนต์ข้าราชการ’

โดยผู้ใช้เฟซบุ๊ก ‘ดร.อัญชลิน พรรณนิภา’ ประธานกรรมการบริหาร และประธานบริษัท บริษัท TQM โพสต์วิพากษ์พาวิลเลียนไทยใน Expo 2025 ว่า …

Osaka Expo & Thai Pavillion
เมื่อวานได้เขียนถึง การไปเยี่ยมชมบูธของไทย ( พร้อมความผิดหวังอย่างแรง ) กับ เพื่อน ๆ ครอบครัว และ คนไทย ( ที่มีเสียงบ่น ) อีกมากมายว่า
….ทำได้แค่นี้เองหรือ ??
…เหมือนงาน นิทรรศการโรงเรียน
… หน่วยงานใดรับผิดชอบ ใครอนุมัติงบ 900 ล้านบาท 
##มีการตรวจสอบ การใช้เงิน ว่า รั่วไหลไหม ?? อย่าปล่อยให้ผ่านไป
…Theme งาน เป็น Future world, แต่เรา เล่าเรื่องในอดีต, ธรรมชาติ, อาหาร , สาธารณสุข. แทบทั้งหมด
ผิด Theme ไหม ??

นอกจากนี้ ก็ยังมีความคิดเห็นอื่นๆ อีก อาทิเช่น ในฐานะคนไทย รู้สึก เสียใจ และเสียดาย โอกาสอย่างมาก เพราะ งาน Expo เป็นงานระดับโลก มีคนจากทั่วโลก หลายสิบล้านมาเยี่ยมชม เป็นงานโชว์ศักยภาพของประเทศนั้นๆ ต่อหน้าชาวโลก นั่นหมายถึงว่า ถ้าทำได้ดี ทำถึง ( งบ 900 ล้านบาท ) คุ้มค่าเงินที่ลงไป จะเป็นหน้าตาของประเทศอย่างดียิ่ง เป็นการประชาสัมพันธ์ ดึงนักท่องเที่ยว นักลงทุน … เข้าประเทศ นำเงินเข้าประเทศ ในภาวะเศรษฐกิจย่ำแย่เช่นนี้

แม้แต่ประเทศเล็ก ใน Africa, South America ..ที่ไม่มีงบ มีพื้นที่ ไม่กี่ ตารางเมตร แต่โชว์ความน่าสนใจ น่าไปเที่ยว มีคนให้ความสนใจอยู่ไม่น้อย

เดินออกจากงานอย่างท้อแท้ ผิดหวัง ก่อนทางออก เห็น ต้นกล้วยเหี่ยว ๆ ที่นำมาโชว์ ได้แต่ ถอนหายใจ

อย่าล็อคสเปค เพื่อผลประโยชน์!!

เขาจะจดจำ ภาพลักษณ์ของประเทศไทย ไปอีกนาน

ทางด้าน นายธนา เธียรอัจฉริยะ ก็ได้โพสต์เฟซบุ๊กบัญชีรายชื่อ Thana Thienachariya รีวิวงาน EXPO 2025 โอซาก้า แบบชาวบ้าน โดยใช้วลีเด็ดที่กำลังเป็นไวรัลในโซเชียลอยู่ในขณะนี้ คือ ‘ดีไซน์เอกชน คอนเทนต์ข้าราชการ’ โดยได้ระบุว่า …

ในพาวิลเลียนมีความสนุกและหลากหลายแบบไทย ๆ ที่มีมันตั้งแต่นวดไทย อาหารไทย ขายของไทย กางเกงช้าง ในตีม wellness ซึ่งเข้าใจว่ากระทรวงสาธารณสุขเป็นเจ้าภาพ ผมชอบว่ามันมั่ว ๆ หลากสีสันแบบไทยดี ดูมีชีวิตชีวา ที่ต้องชมคือน้องๆสตาฟที่ active และ friendly มาก ๆ เป็นตัวแทน hospitality แบบไทยได้ดีมากเลย

แต่ที่ให้คะแนน 2 เต็ม 10 คือห้องโถงหลักที่หลอกล่อผู้ชมชาวต่างชาติมาสักพักให้เข้ามาใจจดใจจ่อรอดูไฮไลต์ vdo presentation บนจอขนาดไม่ใหญ่นัก มีความ immersive ปนอยู่หน่อย ยืนรอดูกันหลายสิบคน

แต่สิ่งที่ฉายคืออีเหละเขละขละมาก ปนกันมั่วตั้งแต่หาดทราย wellness ภาพเก่ามั่ง ใหม่มั่ง เหมือนโหลดจากอินเทอร์เน็ต ไม่มีความสม่ำเสมอใดๆ เหมือนงานเกรด C ส่งคุณครูในคลาสทำ vdo 101 ปนๆไปกับเพลงคนไทยไม่เป็นไร สบายๆ และอะไรอีกไม่รู้จนจับใจความไม่ได้เลยว่าจะเล่าว่าอะไร อันนี้คือเสียดายเป็นที่สุด อุตส่าห์หลอกล่อผู้คนมาตั้งใจฟังได้เต็มห้อง

ที่ให้สองคะแนนคือมีน้อง ๆ สามคนออกมารำเซิ้งสนุก ๆ พยายามบิ๊วอารมณ์คนดูแบบสู้ตาย เห็นแล้วได้แต่เอาใจช่วยจริง ๆ

พอเดาได้ว่าคนอนุมัติ vdo ชุดนี้น่าจะเป็นข้าราชการระดับสูงที่มีแต่อำนาจแต่ไม่ได้เข้าใจ storytelling หรือบริบทใด ๆ ของงาน แต่เป็นคนเคาะว่าเอาแบบนี้แหละ มันครบดี มีอะไรใส่มันให้หมด ไม่ได้มีศิลปะ มีเทสต์อะไรใด ๆ เลย นึกถึงการที่ทำเอาเสร็จไม่ได้สำเร็จเหมือนกับชุดนักกีฬาโอลิมปิคไทยยังไงก็ไม่รู้

ทำให้เพื่อนผมทุกคนที่มางานสองวันแรกผิดหวังไปตามๆกัน เพราะคอนเท้นท์ชุดนี้แหละ แถมเดินออกมาซ้ำเติมด้วยบอร์ดเล่าเรื่องระดับงานมัธยมที่ไม่ได้มีอะไรเป็น story ที่ร้อยเรียงได้เลย เป็นที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง ภรรยาผมสรุปได้ในประโยคเดียวบน FB ว่า “ดีไซน์เอกชน คอนเทนต์ข้าราชการ”

ตัดภาพมาที่ ทีมงานชาวไทย กระทั่งแม้แต่ น้อง Staff เจ้าหน้าที่ ก็ยังเอ่ยปาก ด้วยน้ำเสียงเบาๆ อายๆ เลยว่า “ผมก็ถูกหลอก ให้มาทำงานนี้ครับ”

งานนี้ ไม่ใช่ประเด็นทางการเมือง ที่จะนำมาโจมตีกันโดยไร้เหตุผล แต่เป็น ‘การติ เพื่อก่อ’ ตำหนิด้วยความรักประเทศไทยของเรา งานนี้ต้องจัดยาวไปถึงเดือนตุลาคม ‘ยังพอมีเวลา ให้ปรับปรุงแก้ไข’ 

อย่าให้อาย อย่าให้ขายหน้า!! ต้องสร้างความประทับใจ ให้คนชอบ ให้สมกับ ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ ตามนโยบายของ ‘รัฐบาลแพทองธาร’

22 เมษายน พ.ศ. 2485 มิตรภาพทางเศรษฐกิจในยามสงคราม วันที่เงินบาทผูกพันกับเงินเยนญี่ปุ่น ข้อตกลงค่าเงินที่เปลี่ยนทิศเศรษฐกิจไทยกลางพายุ ‘สงครามโลกครั้งที่ 2’

​เมื่อวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2485 (ค.ศ. 1942) ประเทศไทยได้ลงนามในข้อตกลงทางการเงินกับจักรวรรดิญี่ปุ่นว่าด้วยเรื่อง “ข้อตกลงค่าเงินเยน-บาท” ซึ่งถือเป็นหนึ่งในข้อตกลงความร่วมมือทางเศรษฐกิจในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง 

ข้อตกลงนี้มีผลต่อความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการเงินระหว่างสองประเทศในขณะนั้น และสะท้อนถึงบทบาทของไทยในสงครามโลกครั้งที่สองและพัฒนาการของระบบการเงินระหว่างประเทศของไทยในศตวรรษที่ 20​

สาระสำคัญของข้อตกลง ได้แก่

1. การกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเยนกับเงินบาท: กำหนดอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเยนกับเงินบาทให้คงที่ตามข้อตกลงที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับ ซึ่งเป็นการปรับค่าเงินบาทให้มีมูลค่าน้อยลงจากอัตราเดิมที่ 155.7 เยน ต่อ 100 บาท เป็น 100 เยน ต่อ 100 บาท

2. การใช้เงินเยนเป็นสื่อกลางในบางธุรกรรม: ข้อตกลงนี้อนุญาตให้ใช้เงินเยนเป็นสื่อกลางในบางธุรกรรมในเขตที่ญี่ปุ่นมีอิทธิพลหรือควบคุมอยู่ ซึ่งช่วยให้การค้าและการขนส่งสินค้าระหว่างไทยกับญี่ปุ่นในช่วงสงครามเป็นไปได้อย่างสะดวก​

3. การสนับสนุนให้เกิดความสะดวกในการค้าและการขนส่งสินค้า: ช่วยสนับสนุนให้เกิดความสะดวกในการค้าและการขนส่งสินค้าระหว่างไทยกับญี่ปุ่นในช่วงสงคราม ซึ่งเป็นการส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสองประเทศในขณะนั้น

การผูกเงินบาทกับเงินเยนจึงไม่ใช่เพียงมาตรการทางเทคนิคด้านการเงิน หากแต่สะท้อนถึงการเลือกเชิงยุทธศาสตร์ของรัฐบาลไทยในการปรับตัวเข้ากับโครงสร้างอำนาจใหม่ที่ญี่ปุ่นได้กลายเป็นผู้นำของ “ระเบียบใหม่ในเอเชีย” หรือ Greater East Asia Co-Prosperity Sphere

อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงดังกล่าวก่อให้เกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์ในภายหลังเกี่ยวกับความเป็นกลางของไทยในสงคราม ตลอดจนสร้างข้อผูกพันที่ส่งผลต่อการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจและการเงินในลักษณะพึ่งพิงคู่ค้าเพียงฝ่ายเดียว ทั้งนี้ เมื่อสงครามสิ้นสุดลงและข้อตกลงดังกล่าวถูกยกเลิก ความจำเป็นเร่งด่วนในการฟื้นฟูความน่าเชื่อถือของระบบการเงินไทยในเวทีระหว่างประเทศจึงกลายเป็นวาระสำคัญของภาครัฐในช่วงหลังสงคราม

ประสบการณ์จากการลงนามในข้อตกลงค่าเงินเยน–บาทในครั้งนั้น กลายเป็นบทเรียนสำคัญที่หล่อหลอมทิศทางของนโยบายการเงินระหว่างประเทศของไทยในยุคสงคราม และมีอิทธิพลต่อวิธีคิดของหน่วยงานด้านเศรษฐกิจการคลังไทยในเรื่องของ “ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ” ซึ่งไม่ใช่เพียงเรื่องของตัวเลข แต่เป็นการวางยุทธศาสตร์ในฐานะประเทศขนาดกลางที่ต้องดำรงอยู่ท่ามกลางแรงดึงจากมหาอำนาจโลก

BYD เตรียมส่งรถไฟฟ้ารุ่นใหม่สู้ศึกรถยนต์ขนาดเล็กในญี่ปุ่น ตั้งเป้าเปิดตัวภายในปี 2026 ราคาเริ่มต้น 2.5 ล้านเยน

(22 เม.ย. 68) BYD ยักษ์ใหญ่ด้านยานยนต์ไฟฟ้าของจีน เตรียมเดินหน้ารุกตลาดรถยนต์ขนาดเล็กในญี่ปุ่นภายในปี 2026 ด้วยรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่พัฒนาขึ้นโดยเฉพาะสำหรับตลาดท้องถิ่น ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของบริษัทจีนในการแข่งขันในตลาดที่มีข้อกำหนดเฉพาะทางสูง และถูกครอบครองโดยผู้ผลิตญี่ปุ่นมายาวนาน

รถยนต์ขนาดเล็กที่เรียกว่า 'เคคาร์' (Kei Car) หรือในภาษาญี่ปุ่นว่า 'Kei-jidosha' เป็นยานยนต์ประเภทที่เล็กที่สุดตามกฎหมายของญี่ปุ่น โดยมีข้อจำกัดด้านขนาด เช่น ความยาวไม่เกิน 3.4 เมตร และความกว้างไม่เกิน 1.48 เมตร 

ทั้งยังต้องเสียภาษีและค่าธรรมเนียมที่ต่ำ โดยรถกลุ่มนี้ครองส่วนแบ่งตลาดราว 40% ของอุตสาหกรรมรถยนต์ในญี่ปุ่น จึงเป็นเป้าหมายสำคัญของผู้ผลิตที่ต้องการเจาะเข้าสู่ตลาดแดนอาทิตย์อุทัย

แหล่งข่าวระบุว่า BYD ได้ออกแบบรถยนต์ Kei Car ไฟฟ้ารุ่นใหม่เสร็จเรียบร้อยแล้ว และมีแผนเปิดตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2026 โดยตั้งราคาขายไว้ราว 2.5 ล้านเยน (ราว 560,000 บาท) ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มราคาต่ำของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กในญี่ปุ่น

นี่จะเป็นครั้งแรกที่ BYD พัฒนารถยนต์สำหรับตลาดประเทศใดประเทศหนึ่งโดยเฉพาะ ต่างจากก่อนหน้านี้ที่บริษัทเลือกนำรุ่นรถจากตลาดจีนมาจำหน่ายในต่างประเทศโดยตรง ความเคลื่อนไหวครั้งนี้จึงสะท้อนถึงความตั้งใจในการเจาะตลาดญี่ปุ่นอย่างจริงจัง

ปัจจุบัน BYD เข้าสู่ตลาดญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 2023 และมียอดขายสะสมเพียง 4,530 คัน (ณ เดือนมีนาคม 2025) จึงจำเป็นต้องเร่งสร้างการยอมรับในตลาดที่มีการแข่งขันสูง และมีความต้องการเฉพาะทางอย่างมาก

ในตลาด Kei Car ไฟฟ้าของญี่ปุ่นปัจจุบัน มีคู่แข่งสำคัญอย่าง Nissan Sakura และ Mitsubishi ek X EV ซึ่งเป็นรถยนต์ที่ได้รับความนิยมจากชาวญี่ปุ่นด้วยความคุ้นเคยกับแบรนด์และระบบบริการหลังการขายในประเทศ

ทั้งนี้ การเปิดตัวรถรุ่นใหม่โดย BYD จึงอาจเป็นบททดสอบสำคัญของบริษัทจีนในสนามที่เต็มไปด้วยอุปสรรค ทั้งด้านมาตรฐานรถยนต์ที่เข้มงวดและพฤติกรรมผู้บริโภคที่ภักดีต่อแบรนด์ท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวนี้ยังแสดงให้เห็นถึงเป้าหมายระยะยาวของ BYD ในการขยายฐานการผลิตและยอดขายอย่างต่อเนื่องในระดับโลก โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออก

'โตโยต้า' ทุ่ม 6.6 หมื่นล้าน ผุดโรงงาน EV ในเซี่ยงไฮ้

เซี่ยงไฮ้, 22 เม.ย. (ซินหัว) — วันอังคาร (22 เม.ย.) โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ป (Toyota Motor Corp.) ผู้ผลิตยานยนต์ของญี่ปุ่น ได้ลงนามข้อตกลงก่อตั้งโรงงานผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าที่โตโยต้าเป็นเจ้าของทั้งหมดในเทศบาลนครเซี่ยงไฮ้ทางตะวันออกของจีน

ข้อตกลงความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับรัฐบาลเทศบาลนครเซี่ยงไฮ้ระบุว่าโตโยต้าจะลงทุนโครงการยานยนต์พลังงานใหม่ (NEV) ในเขตจินซาน มูลค่ารวม 1.46 หมื่นล้านหยวน (ราว 6.64 หมื่นล้านบาท) ซึ่งมุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนา การผลิต และการจำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้าเลกซัส (Lexus) และแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้า

ทั้งนี้ นี่เป็นโครงการยานยนต์พลังงานใหม่ที่มีอิทธิพลระดับโลกอีกหนึ่งโครงการในนครเซี่ยงไฮ้ ต่อจากโรงงานเซี่ยงไฮ้ กิกะแฟคทอรี ของเทสลา ซึ่งสะท้อนความมุ่งมั่นของเซี่ยงไฮ้ในการขยายการเปิดกว้างระดับสูงและเร่งสร้างกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานใหม่ระดับโลก

นาวิกโยธินสหรัฐฯ 2 นายถูกสอบสวนข่มขืนหญิงญี่ปุ่นในโอกินาวา ซ้ำเติมความไม่พอใจชาวบ้านในพื้นที่ต่อฐานทัพอเมริกัน

(24 เม.ย. 68) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สมาชิกหน่วยนาวิกโยธินสหรัฐฯ 2 นาย กำลังถูกสอบสวนในข้อหาข่มขืนหญิงชาวญี่ปุ่น 2 รายในจังหวัดโอกินาวา โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเดือนมกราคมและมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นคดีล่วงละเมิดทางเพศล่าสุดที่จุดชนวนความไม่พอใจของชาวบ้านในพื้นที่ต่อการมีฐานทัพสหรัฐฯ ตั้งอยู่

ตำรวจท้องที่เปิดเผยว่า นาวิกโยธินสหรัฐฯ วัย 20 ปีเศษต้องสงสัยว่าข่มขืนหญิงชาวญี่ปุ่นที่ฐานทัพอเมริกันในเดือนมีนาคม และยังถูกกล่าวหาว่าทำร้ายผู้หญิงอีกราย ขณะที่นาวิกโยธินอีกนายในวัยเดียวกันถูกกล่าวหาว่าข่มขืนหญิงชาวญี่ปุ่นอีกคนหนึ่งที่ฐานทัพเดียวกันเมื่อเดือนมกราคม โดยตำรวจญี่ปุ่นได้ส่งสำนวนคดีให้อัยการแล้ว

เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำญี่ปุ่น จอร์จ กลาส (George Glass) ยืนยันว่าสหรัฐฯ พร้อมให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่กับการสอบสวนของทางการญี่ปุ่น และให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อความไว้เนื้อเชื่อใจและความเป็นหุ้นส่วนอันยาวนานกับญี่ปุ่น พร้อมให้คำมั่นว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อป้องกันการกระทำที่บ่อนทำลายความสัมพันธ์นี้

สำหรับเหตุการณ์ล่าสุดนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดที่สั่งสมมานานระหว่างชาวโอกินาวากับทหารสหรัฐฯ ที่ประจำการอยู่ในพื้นที่ ซึ่งมีจำนวนประมาณ 54,000 นายทั่วญี่ปุ่น โดยส่วนใหญ่อยู่ที่ฐานทัพบนเกาะโอกินาวา ผู้ว่าการจังหวัดโอกินาวาได้ออกมาประณามการกระทำดังกล่าวว่า "เลวทราม" และเรียกร้องให้กองทัพสหรัฐฯ มีมาตรการป้องกันที่เข้มงวดเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย

ญี่ปุ่นเตือนแรง มาตรการภาษี ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ กำลังเขย่าพันธมิตร ชี้อาจเป็นบูมเมอแรงทำเอเชียตีตัวออกห่างสหรัฐฯ ซบอกจีนแทน

(29 เม.ย. 68) อิตสึโนริ โอโนเดระ (Onodera Itsunori) หัวหน้าฝ่ายนโยบายของพรรครัฐบาลญี่ปุ่น (LDP) แสดงความกังวลว่า มาตรการภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจทำให้หลายประเทศในเอเชียที่เคยมีท่าทีใกล้ชิดกับสหรัฐฯ และญี่ปุ่น หันไปสร้างสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นขึ้นกับจีน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพในภูมิภาค

คำเตือนดังกล่าวมีขึ้นระหว่างที่โอโนเดระร่วมงานที่สถาบันฮัดสัน กรุงวอชิงตัน โดยเขาระบุว่าหลายประเทศในเอเชียเริ่มไม่สบายใจกับนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะมาตรการภาษีของทรัมป์ที่อาจสร้างแรงจูงใจให้พันธมิตรเดิมเปลี่ยนทิศทางทางยุทธศาสตร์

โอโนเดระยังเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการเสริมความร่วมมือด้านกลาโหมกับสหรัฐฯ ท่ามกลางภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นจากจีน โดยเฉพาะการขยายอิทธิพลในช่องแคบไต้หวัน การซ้อมรบเชิงรุก และการกดดันด้านจิตวิทยาในประเด็นดินแดนพิพาท

ขณะเดียวกัน ญี่ปุ่นเตรียมเปิดเจรจาการค้ารอบใหม่กับสหรัฐฯ โดยมีรายงานว่าทรัมป์พยายามผลักภาระค่าใช้จ่ายด้านการป้องกันให้ญี่ปุ่นมากขึ้น โอโนเดระเสนอให้ทั้งสองฝ่ายพิจารณาความร่วมมือในการผลิตและส่งออกอาวุธ เช่น กระสุน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายใหม่ของญี่ปุ่นที่เปิดทางสู่การส่งออกยุทโธปกรณ์มากขึ้นในอนาคต

ผลสำรวจชี้ ‘ชาวญี่ปุ่น’ เชื่อสงครามในเอเชียมีแนวโน้มเกิดขึ้นจริง ท่ามกลางความไม่มั่นใจต่อจีนและพันธมิตรอย่างสหรัฐฯ

(2 พ.ค. 68) ผลสำรวจล่าสุดของ Asahi Shimbun เผยว่าชาวญี่ปุ่นกังวลเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับโอกาสที่ประเทศจะเข้าไปพัวพันกับสงครามครั้งใหญ่ในเอเชีย โดยร้อยละ 62 ของผู้ตอบแบบสอบถามมองว่ามีแนวโน้มที่จะเกิดความขัดแย้ง เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 50 ในการสำรวจเมื่อ 10 ปีก่อน

ประชาชนราวร้อยละ 12 เชื่อว่าสงคราม “มีความเป็นไปได้สูงมาก” ขณะที่ร้อยละ 50 ระบุว่า “มีแนวโน้ม” ที่จะเกิดขึ้น ในทางตรงข้าม มีเพียง 5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่มองว่า “ไม่มีโอกาส” ที่จะเกิดความขัดแย้งดังกล่าว ซึ่งสะท้อนถึงความวิตกที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

ผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนมากชี้ว่า ความตึงเครียดด้านความมั่นคงในภูมิภาค โดยเฉพาะกับจีน มีส่วนสำคัญต่อความรู้สึกนี้ โดยในกลุ่มที่มองว่าจีนเป็นภัยคุกคาม (ประมาณสามในสี่ของผู้ตอบทั้งหมด) มีถึงร้อยละ 22 ที่เชื่อว่าญี่ปุ่นอาจทำสงครามกับจีน ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยโดยรวมเกือบสองเท่า

ขณะเดียวกัน ความไม่มั่นใจต่อพันธมิตรกับสหรัฐฯ ยิ่งซ้ำเติมความกังวล โดยมีเพียงร้อยละ 15 เท่านั้นที่เชื่อว่าสหรัฐฯ จะ “ปกป้อง” ญี่ปุ่นอย่างแน่นอน หากเกิดวิกฤต ในกลุ่มที่ไม่มั่นใจในพันธมิตรนี้ มีถึงร้อยละ 67 ที่เชื่อว่าญี่ปุ่นมีแนวโน้มจะทำสงคราม

นอกจากนี้ สงครามในยูเครนที่ยืดเยื้อเข้าสู่ปีที่ 4 ยังส่งอิทธิพลต่อมุมมองของสาธารณชนญี่ปุ่น โดยผู้ที่ติดตามความขัดแย้งระดับโลกอย่างใกล้ชิด (ประมาณหนึ่งในสามของกลุ่มตัวอย่าง) ถึงร้อยละ 72 เชื่อว่าสงครามครั้งใหญ่ในเอเชียอาจเกิดขึ้นได้ในอนาคตอันใกล้

ตำรวจรวบเจ้าหน้าที่คนสนิทวัย 20 ยักยอกเงินจากสมเด็จพระจักรพรรดิญี่ปุ่น มูลค่ากว่า 3.6 ล้านเยน สารภาพสิ้นเพราะติดปัญหาทางการเงินส่วนตัว

(2 พ.ค. 68) พระราชวังอิมพีเรียลญี่ปุ่นเผยว่าเจ้าหน้าที่วัย 20 ปี ถูกไล่ออกจากราชการ หลังยอมรับว่ายักยอกเงินส่วนพระองค์ของสมเด็จพระจักรพรรดิและครอบครัว รวมมูลค่ากว่า 3.6 ล้านเยน (ราว 864,000 บาท) ตลอดระยะเวลาหนึ่งปี

การกระทำผิดถูกตรวจพบหลังเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสำนักงานราชสังเกตเห็นความไม่ตรงกันของเงินสดในตู้เซฟและบัญชีรายรับ-รายจ่าย โดยเบื้องต้นผู้ต้องสงสัยให้การรับสารภาพทันทีหลังถูกสอบถาม และอ้างว่าเกิดจากปัญหาทางการเงินส่วนตัว ซึ่งล่าสุดชายผู้ก่อเหตุได้ชดใช้เงินคืนทั้งหมดแล้วเมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา 

สำหรับเงินที่ถูกขโมยเป็นส่วนหนึ่งของงบประมาณ ปีละ 324 ล้านเยน ที่จัดสรรไว้สำหรับค่าใช้จ่ายของสมเด็จพระจักรพรรดิ พระจักรพรรดินี เจ้าหญิงไอโกะ และพระบรมวงศ์อื่น ๆ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติระบุว่าได้ยื่นเรื่องร้องเรียนทางอาญาแล้ว ขณะที่เจ้าหน้าที่ระดับผู้จัดการผู้ตรวจพบความผิดปกติ ได้รับโทษลดเงินเดือน 10% เป็นเวลา 1 เดือน ฐานละเลยหน้าที่ในการควบคุมดูแลบัญชี

ยาสุฮิโกะ นิชิมูระ ประธานสำนักงานราชสำนัก กล่าวแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในยุคสมัยใหม่ พร้อมขอโทษสมเด็จพระจักรพรรดิและครอบครัว และให้คำมั่นว่าจะเพิ่มความเข้มงวดมากยิ่งขึ้น

ญี่ปุ่นเริ่มสร้าง MGM Osaka ‘รีสอร์ตคาสิโนแห่งแรก’ บนเกาะเทียมยูเมะชิมะ มูลค่า 1.27 ล้านล้านเยน หวังปั้นโอซาก้าเป็นฮับท่องเที่ยว-บันเทิงระดับเอเชีย

(7 พ.ค. 68) เมื่อเดือนเมษายน 2025 ญี่ปุ่นได้เริ่มต้นการก่อสร้าง 'MGM Osaka' รีสอร์ตครบวงจรแห่งแรกของประเทศ บนเกาะเทียมยูเมะชิมะ เมืองโอซาก้า โครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง MGM Resorts International จากสหรัฐฯ และ Orix Corporation จากญี่ปุ่น มูลค่ารวมกว่า 1.27 ล้านล้านเยน (ราว 311,500 ล้านบาท)

MGM Osaka ได้รับอนุมัติภายใต้กฎหมาย IR ปี 2018 ซึ่งอนุญาตให้สร้างรีสอร์ตคาสิโนแบบถูกกฎหมายได้สูงสุด 3 แห่งทั่วประเทศ โดย MGM Osaka เป็นโครงการแรกที่ผ่านการอนุมัติอย่างเป็นทางการ นับเป็นก้าวสำคัญของญี่ปุ่นในการเปิดตลาดคาสิโน และส่งเสริมการท่องเที่ยวในภูมิภาคคันไซ

โครงการประกอบด้วยคาสิโน โรงแรม 3 แห่งกว่า 2,500 ห้อง ศูนย์ประชุม พื้นที่แสดงสินค้า โรงละคร ร้านอาหาร และค้าปลีก โดยคาดว่าจะสร้างรายได้จากการเล่นเกมราว 5.9 พันล้านดอลลาร์ต่อปี และสร้างงานนับหมื่นตำแหน่ง ทั้งทางตรงและทางอ้อม

แม้จะมีศักยภาพทางเศรษฐกิจสูง แต่โครงการต้องเผชิญกับเสียงคัดค้านจากประชาชนบางกลุ่มที่กังวลเรื่องปัญหาการพนัน การฟอกเงิน และผลกระทบทางสังคม โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายด้านความมั่นคงและกระบวนการยุติธรรม โครงการจึงมีการจำกัดการเข้าคาสิโนของคนญี่ปุ่น และเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเพื่อควบคุมความเสี่ยง

ในด้านโครงสร้างพื้นฐาน โครงการกระตุ้นการพัฒนาเมืองอย่างชัดเจน เช่น การเปิดสถานีรถไฟใต้ดินใหม่ในต้นปี 2025 และการขยายสายรถไฟเชื่อมเกาะยูเมะชิมะ ขณะเดียวกัน การก่อสร้างจะถูกปรับแผนช่วงงาน Expo 2025 ซึ่งจัดบนเกาะเดียวกัน เพื่อลดผลกระทบต่อผู้เข้าร่วมงาน

MGM Osaka จึงไม่เพียงเป็นโครงการคาสิโนแห่งแรกของญี่ปุ่น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนผ่านเชิงนโยบาย มุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมบันเทิงและการบริการอย่างยั่งยืน และเป็นต้นแบบการจัดสมดุลระหว่างโอกาสทางเศรษฐกิจและความรับผิดชอบต่อสังคม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top