Saturday, 7 June 2025
ญี่ปุ่น

‘ทรัมป์’ ปรับนโยบาย!! ตัดงบทหารในญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ ลด คชจ.กว่า 1.1 พันล้านดอลลาร์ ผู้เชี่ยวชาญ ชี้!! เป็นกลยุทธ์ กดดันพันธมิตร เพิ่มค่าใช้จ่าย ด้านความมั่นคงมากขึ้น

(22 มี.ค. 68) IMCT News Thai Perspectives on Global News ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ...

กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (เพนตากอน) กำลังพิจารณาปรับลดขนาดกองทัพอย่างมีนัยสำคัญ ตามนโยบายของรัฐบาลทรัมป์ที่ต้องการลดขนาดรัฐบาลกลาง โดยข้อเสนอสำคัญรวมถึงการระงับการขยายกองกำลังสหรัฐฯ ในญี่ปุ่น (USFJ) ซึ่งจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ประมาณ 1.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แม้เอกสารจะระบุถึงความเสี่ยงทางการเมืองที่อาจเกิดขึ้น 

แผนการนี้สอดคล้องกับนโยบายที่ผลักดันให้พันธมิตรในอินโด-แปซิฟิกใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศมากขึ้น นักวิเคราะห์ชี้ว่าแผนดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า 'กลุ่มเหยี่ยวงบประมาณ' อาจมีอิทธิพลเหนือกว่า 'กลุ่มเหยี่ยวจีน' ในรัฐบาลทรัมป์ โดยอาจส่งผลให้ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ต้องเพิ่มงบประมาณด้านการป้องกันประเทศและเพิ่มขีดความสามารถทางทหารของตนเอง ซึ่งจะเกิดความท้าทายในการประสานงานกับสหรัฐฯ ท่ามกลางภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นจากจีนและเกาหลีเหนือ 

ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า การกระทำดังกล่าวอาจบั่นทอนการยับยั้งร่วมกันของพันธมิตรสหรัฐฯ ที่มีต่อจีน ทำให้ภูมิภาคนี้ไร้เสถียรภาพมากขึ้นเมื่อจีนดำเนินปฏิบัติการในพื้นที่สีเทามากขึ้น ในขณะที่จีน เกาหลีเหนือ และรัสเซียอาจใช้สถานการณ์อันละเอียดอ่อนนี้เพื่อสร้างความแตกแยกระหว่างพันธมิตร

‘จีน-ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้’ เห็นพ้อง!! เสริมสร้างความไว้วางใจ กระชับความร่วมมือ เน้น!! สร้างเสถียรภาพ การพัฒนาระดับภูมิภาค ท่ามกลาง เศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวช้า

(22 มี.ค. 68) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า ‘หวังอี้’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน กล่าวว่าจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้เห็นพ้องที่จะเสริมสร้างการสื่อสาร เพิ่มความไว้วางใจซึ่งกันและกัน และกระชับความร่วมมือให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

หวังกล่าวถ้อยคำข้างต้นขณะพบปะกับสื่อมวลชนร่วมกับทาเคชิ อิวายะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่น และโช แทยูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของเกาหลีใต้ หลังจากเข้าร่วมการประชุมระดับไตรภาคีของรัฐมนตรีต่างประเทศจีน-ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ ครั้งที่ 11 ในกรุงโตเกียวของญี่ปุ่น

หวังระบุว่าทั้งสามประเทศเห็นพ้องถึงความคืบหน้าเชิงบวกที่เกิดขึ้นในความร่วมมือ นับตั้งแต่การประชุมสุดยอดไตรภาคีจีน-ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ ครั้งที่ 9 และตระหนักถึงความจำเป็นและความรับผิดชอบในการเสริมสร้างการสื่อสาร เพิ่มความไว้วางใจซึ่งกันและกัน กระชับความร่วมมือ และจัดสรรปัจจัยที่เอื้อต่อการสร้างเสถียรภาพสำหรับสันติภาพและการพัฒนาระดับภูมิภาค ท่ามกลางฉากหลังของภูมิทัศน์ระหว่างประเทศที่สลับซับซ้อนและปั่นป่วน กอปรกับเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวช้า

ประการแรก หวังกล่าวว่าทั้งสามฝ่ายตกลงเสริมแกร่งแนวโน้มความร่วมมือ จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้จะยึดมั่นในเจตนารมณ์เดิมของความร่วมมือ มุ่งเน้นที่วิสัยทัศน์ความร่วมมือไตรภาคีสำหรับทศวรรษหน้า (Trilateral Cooperation Vision for the Next Decade) รวมถึงขยับขยายพื้นที่ใหม่ บ่มเพาะแรงขับเคลื่อนการเติบโตใหม่ และสร้างจุดเด่นใหม่ของความร่วมมือ บนพื้นฐานของความร่วมมือที่มุ่งเน้นประเด็นสำคัญ 6 ด้านซึ่งกำหนดโดยการประชุมผู้นำเมื่อปีที่แล้ว อีกทั้งมีการหารือถึงการจัดการประชุมสุดยอดไตรภาคีจีน-ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ ครั้งที่ 10 ภายในปีนี้ และจะมุ่งมั่นสร้างเงื่อนไขและบรรยากาศที่เอื้ออำนวยเพื่อจุดประสงค์ข้างต้น

ประการที่สอง ทั้งสามฝ่ายตกลงส่งเสริมการบูรณาการทางเศรษฐกิจในภูมิภาค โดยจะเดินหน้าติดต่อสื่อสารเกี่ยวกับการเริ่มต้นการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีไตรภาคีใหม่ ส่งเสริมการขยายตัวของความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) พร้อมรักษาเสถียรภาพและความราบรื่นของห่วงโซ่การผลิตและอุปทานในภูมิภาค จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้จะก้าวตามยุคสมัยเพื่อสร้างพื้นที่ด้านนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในเอเชีย และส่งเสริมการพัฒนาพลังการผลิตใหม่ที่มีคุณภาพ

ประการที่สาม ทั้งสามฝ่ายตกลงกระชับการแลกเปลี่ยนและการเรียนรู้ร่วมกันอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น โดยจะจัดปีแห่งการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างจีน-ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้อย่างราบรื่นในปี 2025-2026 มุ่งมั่นเพิ่มการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนเป็น 40 ล้านคนภายในปี 2030 และส่งเสริมฐานความคิดเห็นสาธารณะสำหรับความร่วมมือไตรภาคี อีกทั้งเล็งเห็นว่าการเสริมสร้างความร่วมมือด้านสวัสดิการสังคม การพัฒนาสีเขียวและคาร์บอนต่ำ และด้านอื่นๆ จะเอื้อประโยชน์มากขึ้นแก่ประชาชนของสามฝ่าย

ประการที่สี่ ทั้งสามฝ่ายตกลงเสริมสร้างความร่วมมือพหุภาคี โดยจะยกระดับการประสานงานและความร่วมมือภายใต้หลายกลไก เช่น อาเซียนบวกสาม และการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก ส่งเสริมความร่วมมือไตรภาคีร่วมกับภูมิภาคโดยรอบ และขับเคลื่อนการพัฒนาร่วมกันในภูมิภาค พร้อมสนับสนุนกันและกันในการเป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปค ส่งเสริมภูมิภาคนิยมแบบเปิด ยึดมั่นในพหุภาคีและการค้าเสรี ทั้งผลักดันโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจที่เป็นประโยชน์และครอบคลุมมากขึ้น

หวังกล่าวเสริมว่าจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้เห็นพ้องกับการทำงานของสำนักงานเลขาธิการความร่วมมือไตรภาคี และตกลงขยายระยะเวลาดำรงตำแหน่งของคณะกรรมการที่ปรึกษาสำนักงานฯ โดยหวังว่าสำนักงานเลขาธิการจะมีบทบาทมากขึ้นในการส่งเสริมความร่วมมือไตรภาคี

ร้านอาหารชื่อดังญี่ปุ่น ออกแถลงการณ์ขอโทษ หลังลูกค้าพบ ‘หนู’ ลอยอยู่ในถ้วยน้ำซุปมิโซะ

(24 มี.ค. 68) ร้าน ซูกิยะ (Sukiya) ร้านข้าวหน้าเนื้อชื่อดัง  ที่มีสาขามากกว่า 2,000 แห่งทั่วประเทศญี่ปุ่น และหลายสาขาในเอเชีย 

ร้านซูกิยะ แถลงของโทษ และ ยอมรับ ว่าพบหนูลอยอยู่ในชามซุปมิโซะที่ร้านแห่งหนึ่งในเมืองทตโตริ ประเทศญี่ปุ่น

กระแสไวรัล และ ถกเถียงในสื่อออนไลน์  หลังจาก ลูกค้ารายหนึ่งโพสต์รูปถ่ายถ้วยซุปมีหนู บน Google Reviews โดยอ้างว่าพบหนูตัวดังกล่าวขณะรับประทานอาหารเมื่อ  21 มกราคม  ที่ผ่านมา 

หลายคนแสดงความเห็นว่าเป็น ภาพตัดต่อ  หรือทำขึ้นจากเอไอ โพสต์ถ้วยซุปถูกแชร์ไปอย่างกว้างขวาง ในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย และผู้โพสต์ยังใช้วันที่  21/1/2028 ซึ่งเป็นปีอนาคต  ผู้คนจึงตั้งคำถาม จริง หรือ เท็จ 

วันที่ 22 มีนาคม ร้านซูกิยะ ได้ออกแถลงการณ์ขอโทษต่อสาธารณชนเพื่อยืนยัน เหตุการณ์ดังกล่าว โดยบริษัทแจ้งว่าลูกค้ารายหนึ่งได้แจ้งว่าพบสิ่งแปลกปลอมในถ้วยซุปมิโซะเมื่อวันที่ 21 มกราคม หลังจากการตรวจสอบภายใน พบว่าอาจมีหนูเข้าไปอยู่ในซุปโดยไม่ได้ตั้งใจ เนื่องจากพนักงานไม่ได้ตรวจสอบด้วยสายตาระหว่างการเตรียมอาหาร   

ร้านซูกิยะ ยืนยันว่าว่าไม่มีการเสิร์ฟอาหารปนเปื้อนในลักษณะเดียวกันให้กับลูกค้าท่านอื่น  และได้ปิดร้านที่เกิดเหตุเป็นเวลา 2  วัน เพื่อทำความสะอาด ทบทวนมาตรการ ฝึกอบรมพนักงาน 

ร้านซูกิยะ  ยังแจ้งทุกสาขาต้องตรวจสอบอาหารอย่างละเอียดก่อนเสิร์ฟให้ลูกค้า เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นอีกในอนาคต

ญี่ปุ่นยุคใหม่ เตรียมพึ่งพาแรงงานจากต่างแดนมากขึ้น คาด 10% ของประชากรจะเป็นชาวต่างชาติใน 20 ปี

(26 มี.ค. 68) รายงานล่าสุดจากสื่อญี่ปุ่นระบุว่า ในอีก 20 ปีข้างหน้า ประเทศญี่ปุ่นกำลังเปลี่ยนผ่านสู่สังคมที่มีชาวต่างชาติคิดเป็น 10% ของประชากรทั้งหมด ท่ามกลางวิกฤติประชากรลดลงและแรงงานขาดแคลน

ญี่ปุ่นกำลังเผชิญปัญหาการลดลงของจำนวนประชากรอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากอัตราการเกิดต่ำและประชากรสูงวัยเพิ่มขึ้น รัฐบาลจึงต้องปรับนโยบายเพื่อเปิดรับแรงงานต่างชาติมากขึ้น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ขาดแคลนแรงงาน เช่น การดูแลผู้สูงอายุ ก่อสร้าง และเทคโนโลยี

ข้อมูลจากนักวิชาการด้านประชากรศาสตร์ชี้ว่า หากแนวโน้มนี้ยังดำเนินต่อไป ภายในปี 2045 ชาวต่างชาติอาจมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจญี่ปุ่น และเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมของประเทศ

แม้ว่าญี่ปุ่นจะเป็นประเทศที่มี วัฒนธรรมแบบเอกลักษณ์และค่อนข้างปิดต่อแรงงานต่างชาติในอดีต แต่สถานการณ์ปัจจุบันบีบบังคับให้ต้องเปิดรับแรงงานจากต่างประเทศมากขึ้น รัฐบาลได้ดำเนินมาตรการต่าง ๆ เช่น ขยายโครงการวีซ่าทำงาน และผ่อนปรนกฎระเบียบสำหรับแรงงานทักษะสูง เพื่อดึงดูดคนจากทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม แม้การเพิ่มขึ้นของชาวต่างชาติจะช่วยบรรเทาปัญหาขาดแคลนแรงงาน แต่ก็อาจนำไปสู่ความท้าทายด้านการปรับตัวทางสังคมและวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นระบบสวัสดิการ การศึกษา และการอยู่ร่วมกันของคนหลายเชื้อชาติ

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์มองว่า หากญี่ปุ่นสามารถปรับตัวได้ดี ประเทศอาจกลายเป็นสังคมที่เปิดกว้างมากขึ้น และใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางวัฒนธรรมเพื่อสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและสังคมในอนาคต

สื่อดังเผยญี่ปุ่นเตรียมร่วงจาก 10 อันดับแรก GDP โลก ต่ำกว่า เกาหลีใต้ และรัสเซีย รายได้ต่อหัวลดลงเป็นประเทศรายได้กลางใน 50 ปี

(28 มี.ค. 68) สื่อเศรษฐกิจชื่อดังของญี่ปุ่น Nikkei ได้เผยรายงานจาก ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ เมื่อวานนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่ไม่สดใสของเศรษฐกิจญี่ปุ่นในอนาคต โดยคาดการณ์ว่า ในอีก 50 ปีข้างหน้า รายได้ต่อหัวของคนญี่ปุ่นจะร่วงลงอย่างรวดเร็วจนทำให้ประเทศตกไปอยู่ในกลุ่มประเทศที่มี รายได้ปานกลาง

รายงานระบุอีกว่า GDP รวมของประเทศญี่ปุ่น จะลดลงอย่างรวดเร็วและ หลุดจาก 10 อันดับแรกของโลก ในอีก 50 ปีข้างหน้า คาดว่า GDP ที่แท้จริงโดยรวมของญี่ปุ่น จะลดลงจากอันดับที่ 4 ในปี 2024 (3.5 ล้านล้านดอลลาร์) ไปอยู่อันดับที่ 11 ในปี 2075 (4.4 ล้านล้านดอลลาร์) แม้ว่าจะสามารถหลีกเลี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ แต่คาดว่าอัตราการเติบโตเฉลี่ยในช่วงปี 2071–2075 จะอยู่ที่เพียง 0.3% เท่านั้น

และจะตกจาก อันดับที่ 29 ปัจจุบัน ไปยัง อันดับที่ 45 หมายความว่าญี่ปุ่นจะตกต่ำกว่า เกาหลีใต้และรัสเซีย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความมั่งคั่งของประเทศอย่างรุนแรง

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจได้ชี้ให้เห็นว่า การขาดความสามารถในการพัฒนาเทคโนโลยี AI เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ญี่ปุ่นไม่สามารถตามทันประเทศอื่นๆ ในการพัฒนาเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจขาดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก

นอกจากนี้ การลดลงของประชากร โดยเฉพาะกลุ่มประชากรที่มีอายุสูงขึ้นและขาดแรงงานรุ่นใหม่ เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ ญี่ปุ่นจะต้องเผชิญกับปัญหาของการขาดแคลนแรงงานและความยากลำบากในการรักษาฐานการผลิตในประเทศ

ผลการวิจัยนี้เตือนให้ญี่ปุ่นต้องเตรียมตัวรับมือกับความท้าทายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยการไม่สามารถพัฒนาเทคโนโลยี AI และการลดลงของประชากร อาจนำไปสู่การลดลงของการผลิตและการขยายตัวทางเศรษฐกิจ รวมถึงการเสียสมดุลในระบบเศรษฐกิจของประเทศ

สิ่งที่น่ากังวลคือ ความสามารถในการแข่งขันของญี่ปุ่นในระดับโลก ที่จะลดลงตามลำดับ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนจากต่างชาติ การจ้างงาน และการสร้างความมั่งคั่งในประเทศในระยะยาว

แม้จะมีการทำนายสถานการณ์เศรษฐกิจที่น่าเป็นห่วง แต่รายงานยังระบุว่า ญี่ปุ่นยังคงมีโอกาสในการปรับตัว โดยการลงทุนในนวัตกรรม AI และการพัฒนานโยบายการขยายฐานแรงงาน รวมถึงการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ในการแก้ไขปัญหาด้านการผลิตและการจัดการทรัพยากรของประเทศ

อย่างไรก็ตาม หากญี่ปุ่นไม่สามารถปรับตัวได้ทันเวลา อาจทำให้ประเทศเผชิญกับการถดถอยทางเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาวที่ยากจะกลับตัวได้

ญี่ปุ่นออกคำเตือน ภูเขาไฟเกาะคิวชูส่งสัญญาณปะทุ ประกาศห้ามประชาชนเข้าใกล้พื้นที่เสี่ยงภูเขาไฟ

(30 มี.ค. 68) เจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นได้ออกคำเตือนระดับกลางเกี่ยวกับภูเขาไฟแห่งหนึ่งทางตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะคิวชู โดยแนะนำให้ประชาชนอย่าเข้าใกล้พื้นที่เสี่ยง เนื่องจากมีสัญญาณว่าอาจเกิดการปะทุขึ้นในเร็วๆ นี้

สำนักงานอุตุนิยมวิทยาของญี่ปุ่น (JMA) รายงานว่ามีการตรวจพบแรงสั่นสะเทือนที่เพิ่มขึ้นบริเวณภูเขาไฟ พร้อมทั้งพบควันพวยพุ่งจากปล่องภูเขาไฟอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงการเคลื่อนตัวของแมกมาใต้พื้นดิน เจ้าหน้าที่จึงได้ประกาศเตือนให้ประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงเพิ่มความระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้บริเวณที่อาจได้รับผลกระทบจากเถ้าภูเขาไฟและหินร้อน

นอกจากนี้ หน่วยงานด้านภัยพิบัติของญี่ปุ่นยังเตรียมมาตรการฉุกเฉินเพื่อรับมือหากมีการปะทุเกิดขึ้น รวมถึงการเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อแจ้งเตือนประชาชนล่วงหน้า

ทั้งนี้ ญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในประเทศที่มีภูเขาไฟจำนวนมาก และมีระบบเตือนภัยล่วงหน้าที่พัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อลดความเสียหายจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ

ญี่ปุ่นทุ่มงบ 20 ล้านล้านเยน เสริมโครงสร้างสู้ภัยพิบัติใหญ่ใน 5 ปี พร้อมรับมือภัยเงียบใต้ดิน ‘รอยเลื่อนนังไก’ ที่อาจรุนแรงถึง 9 แมกนิจูด

(1 เม.ย. 68) รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศแผนลงทุนกว่า 20 ล้านล้านเยน (ราว 4.564 ล้านล้านบาท) ภายในระยะเวลา 5 ปี เริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ 2569 เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ โดยเฉพาะ แผ่นดินไหวขนาดใหญ่ที่อาจเกิดจากรอยเลื่อนนังไก (Nankai Trough Earthquake)

ตามรายงานของสำนักข่าวท้องถิ่น มาตรการที่รัฐบาลเตรียมดำเนินการประกอบด้วย การเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การปรับปรุงตึกสูง โรงพยาบาล และสะพานให้มีความทนทานต่อแรงสั่นสะเทือนมากขึ้น พัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้า เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่แม่นยำและสามารถอพยพได้ทันเวลา เสริมศักยภาพหน่วยกู้ภัยและเครือข่ายฉุกเฉิน เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อภัยพิบัติได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

นายกรัฐมนตรี ชิเงรุ อิชิบะ เน้นย้ำความสำคัญของมาตรการลดความเสียหายจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ ระหว่างการประชุมของสำนักงานส่งเสริมความสามารถในการรับมือภัยพิบัติแห่งชาติ โดยกล่าวว่า “เราจำเป็นต้องดำเนินมาตรการเพื่อลดความเสียหายอย่างต่อเนื่อง”

นายอิชิบะยังกล่าวถึง ความเสี่ยงจากแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ที่อาจเกิดขึ้นจากรอยเลื่อนนังไก (Nankai Trough) ซึ่งคาดการณ์ว่าอาจทำให้มีผู้เสียชีวิตสูงถึง 298,000 คน นอกจากนี้ยังแสดงความกังวลเกี่ยวกับ โครงสร้างพื้นฐานที่เสื่อมสภาพ โดยเฉพาะระบบท่อระบายน้ำใต้ดิน ซึ่งเป็นสาเหตุของเหตุการณ์ หลุมยุบในเมืองยะชิโอ จังหวัดไซตามะ ที่ทำให้รถบรรทุกพร้อมคนขับตกลงไปเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา

สำหรับ รอยเลื่อนนังไกถือเป็นหนึ่งในเขตที่มีความเสี่ยงสูงต่อแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดสึนามิรุนแรงและสร้างความเสียหายอย่างมหาศาลต่อเมืองชายฝั่งของญี่ปุ่น โดยนักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่า หากเกิดแผ่นดินไหวขนาด 9.0 แมกนิจูด ในบริเวณนี้ อาจมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก และเศรษฐกิจของประเทศได้รับผลกระทบอย่างหนัก

ทั้งนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับการป้องกันและลดความเสียหายจากภัยพิบัติเป็นลำดับแรก และหวังว่าการลงทุนครั้งนี้จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับประชาชน พร้อมทั้งลดผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต 

จีน-เกาหลีใต้-ญี่ปุ่น จับมือร่วมต้านแรงกดดันภาษีทรัมป์ เพื่อรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ ไม่ยอมถูกบีบจากมาตรการการค้าสหรัฐฯ

(2 เม.ย. 68) สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า ประเทศจีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น จับมือกันในด้านเศรษฐกิจเพื่อรับมือกับนโยบายทางการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะสร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายการเก็บภาษีศุลกากรที่มีผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศ

ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา จีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่นได้เริ่มเจรจาเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้า โดยมีเป้าหมายในการลดผลกระทบจากภาษีที่สหรัฐฯ เรียกเก็บ โดยเฉพาะในภาคการผลิตและการส่งออก ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจทั้งสามประเทศ

ทั้งสามประเทศประกาศเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า พวกเขาตกลงที่จะเร่งการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีไตรภาคีและเพิ่มความร่วมมือในการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานและการควบคุมการส่งออก ตามที่กระทรวงพาณิชย์ของจีนเปิดเผย

การเจรจาครั้งนี้คาดว่าจะครอบคลุมหลายด้าน เช่น การพัฒนาความร่วมมือในเทคโนโลยีขั้นสูง การสร้างเครือข่ายการค้าทั่วภูมิภาค และการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางการเงินและการลงทุนระหว่างกัน เพื่อหลีกเลี่ยงการพึ่งพาการตลาดของสหรัฐฯ ที่มีความผันผวน

นโยบายการเก็บภาษีสินค้าส่งออกของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ทำให้หลายประเทศในเอเชียตื่นตัว และเริ่มมองหากลยุทธ์ใหม่ในการเพิ่มประสิทธิภาพทางการค้าและลดความเสี่ยงจากการขึ้นภาษี ซึ่งมีผลกระทบต่อการผลิตในหลายภาคส่วน

จีน ซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการที่สหรัฐฯ เพิ่มภาษีศุลกากรและกำหนดข้อจำกัดทางการค้ากับสินค้าจีน ในขณะที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ต่างก็มีการส่งออกสินค้าหลายประเภทไปยังสหรัฐฯ ที่ได้รับผลกระทบเช่นกัน

การรวมตัวครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสำหรับทั้งสามประเทศในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก โดยเฉพาะในกรอบการค้าเอเชียแปซิฟิก โดยการสร้างพันธมิตรทางเศรษฐกิจอาจช่วยให้สามประเทศนี้สามารถตอบโต้ผลกระทบจากนโยบายการค้าและเพิ่มความแข็งแกร่งในการแข่งขันกับมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างสหรัฐฯ

ลู่ ฮ่าว นักวิจัยจากสถาบันญี่ปุ่นศึกษาแห่งสถาบันสังคมศาสตร์จีน กล่าวว่าความสัมพันธ์ทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดระหว่างจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ เป็นความจริงที่ชัดเจน ความพยายามของสหรัฐฯ ที่จะกดดันให้ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ “ลดความเสี่ยง” หรือแยกตัวจากจีนนั้นไม่น่าจะประสบความสำเร็จ เนื่องจากเศรษฐกิจของเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้ง

“นโยบายของทำเนียบขาวเมื่อเร็วๆ นี้ ทำให้พันธมิตรในเอเชียของวอชิงตัน โดยเฉพาะญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เกิดความกังวลมากขึ้น” ลู่กล่าว และเสริมว่าทั้งสองประเทศควรกลับมาสู่เส้นทางของการเสริมสร้างความร่วมมือในภูมิภาคและปรับปรุงการมีส่วนร่วมกับจีน เพื่อรับมือกับแรงกดดันจากสหรัฐฯ

สำหรับการเจรจายังอยู่ในขั้นตอนเริ่มต้น โดยมีความคาดหวังว่าความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยลดผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ และขยายฐานเศรษฐกิจในภูมิภาคให้มีความหลากหลายและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ การร่วมมือครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคเท่านั้น แต่ยังส่งสัญญาณถึงการปรับตัวของสามประเทศในเอเชียที่มีเศรษฐกิจใหญ่อย่างจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ เพื่อตอบโต้การเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมการค้าระหว่างประเทศที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว

ม.โตเกียว เปิดคณะใหม่ครั้งแรกในรอบ 70 ปี คณะ ‘วิทยาลัยการออกแบบ’ หลักสูตรควบตรี-โท สอนอังกฤษล้วน รับต่างชาติครึ่งรุ่น

(8 เม.ย. 68) มหาวิทยาลัยโตเกียว (University of Tokyo) ประกาศเปิดตัวคณะใหม่ในชื่อ “วิทยาลัยการออกแบบแห่งมหาวิทยาลัยโตเกียว” (UTokyo College of Design) ซึ่งมีกำหนดเปิดการเรียนการสอนในเดือนกันยายน ปี 2027 โดยใช้ ภาษาอังกฤษในการเรียนการสอนทุกชั้นปี ถือเป็นการปฏิรูปการศึกษาครั้งสำคัญที่มุ่งสร้างผู้นำรุ่นใหม่ให้สามารถรับมือกับปัญหาและความท้าทายระดับโลกที่ซับซ้อน

คณะใหม่นี้จะเปิดสอนใน หลักสูตรควบระดับปริญญาตรีและปริญญาโท ระยะเวลา 5 ปี โดยแบ่งออกเป็น การเรียนระดับปริญญาตรีใน 4 ปีแรก และ ระดับบัณฑิตศึกษาในช่วง 1 ปีสุดท้าย 

เนื้อหาหลักสูตรจะครอบคลุมสาขาวิชาหลากหลาย เพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษา สำรวจและเลือกเรียนตามความสนใจของตนเอง เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความหลากหลายทางชีวภาพ การออกแบบระบบนโยบายสาธารณะ และความยั่งยืนในระดับโลก

จำนวนรับนักศึกษาอยู่ที่ 100 คน โดยสงวนที่นั่งสำหรับนักศึกษาต่างชาติไว้ถึงครึ่งหนึ่ง เพื่อส่งเสริมความหลากหลายและการเรียนรู้ข้ามวัฒนธรรม นอกจากนี้หัวหน้าคณะจะเป็นศาสตราจารย์ชาวต่างชาติประจำมหาวิทยาลัยโตเกียว และมีคณาจารย์ร่วมสอนจากทั้งในประเทศญี่ปุ่นและต่างประเทศ รวมถึงนักวิจัยชั้นนำในหลากหลายสาขา

ศาสตราจารย์เทรุโอะ ฟูจิอิ อธิการบดีมหาวิทยาลัยโตเกียว กล่าวว่า “มหาวิทยาลัยจะสร้างพื้นที่การเรียนรู้รูปแบบใหม่ ที่เปิดกว้างและยืดหยุ่น เพื่อให้นักศึกษาสามารถ เปลี่ยนความฝันให้เป็นจริง โดยใช้ทรัพยากรและศักยภาพของมหาวิทยาลัยอย่างเต็มที่”

สำหรับการเปิดวิทยาลัยการออกแบบในครั้งนี้ นับเป็นการก่อตั้งคณะใหม่ครั้งแรกของมหาวิทยาลัยโตเกียวในรอบเกือบ 70 ปี นับตั้งแต่การจัดตั้งคณะเภสัชศาสตร์เมื่อปี 1958 และสะท้อนถึงแนวทางใหม่ของการศึกษาระดับสูงที่ผสมผสานระหว่างศาสตร์ต่างๆ เพื่อรองรับโลกอนาคตที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

รัฐบาลญี่ปุ่นเตือน หากเกิดแผ่นดินไหว 9 แมกนิจูด ที่ร่องลึกนันไค เกิดแน่ ‘สึนามิ-อาคารถล่ม’ ซึ่งอาจคร่าชีวิตผู้คนกว่า 298,000 ชีวิต

(8 เม.ย. 68) รัฐบาลญี่ปุ่นเปิดเผยรายงานประเมินภัยพิบัติฉบับใหม่เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา โดยระบุว่าหากเกิดแผ่นดินไหวขนาดรุนแรงประมาณ 9 แมกนิจูด บริเวณร่องลึกนันไค (Nankai Trough) ซึ่งทอดตัวตามแนวชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกของประเทศ อาจมีผู้เสียชีวิตสูงถึง 298,000 คน

รายงานฉบับนี้จัดทำขึ้นโดย คณะผู้เชี่ยวชาญด้านภัยพิบัติและการป้องกันภัยของรัฐบาลญี่ปุ่น ซึ่งระบุว่า สาเหตุหลักของการสูญเสียชีวิตจำนวนมากมาจาก “คลื่นสึนามิ” ที่จะพัดถล่มชายฝั่งภายในเวลาไม่กี่นาทีหลังเกิดแผ่นดินไหว รวมถึงการพังถล่มของอาคารและโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ

สำหรับร่องลึกนันไค เป็นพื้นที่ที่นักวิทยาศาสตร์จับตามองมานาน เนื่องจากมีประวัติการเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในอดีตหลายครั้ง และมีศักยภาพที่จะปลดปล่อยพลังงานสะสมขนาดมหาศาลในอนาคต

ส่งผลให้ รัฐบาลญี่ปุ่นเตรียมลงทุนกว่า 20 ล้านล้านเยน (ราว 5 ล้านล้านบาท) ภายในระยะเวลา 5 ปี นับตั้งแต่ปีงบประมาณ 2569 เพื่อเสริมความสามารถในการรับมือภัยพิบัติทางธรรมชาติ

รัฐบาลเตือนว่า หากเกิดเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าวขึ้นจริง หลายเมืองใหญ่ในภูมิภาคคันไซและชูโงกุ รวมถึงบางส่วนของภูมิภาคโทไก อาจได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ทั้งจากคลื่นยักษ์ ความเสียหายของระบบคมนาคม และการหยุดชะงักของโครงข่ายสาธารณูปโภค

ด้าน คณะรัฐมนตรี รัฐบาลกล่าวว่าแผ่นดินไหวจะผลักดันให้การผลิตและบริการภายในประเทศลดลงสูงถึง 45.4 ล้านล้านเยน ซึ่งเกือบครึ่งหนึ่งจะมาจากอุตสาหกรรมยานยนต์และการผลิตอื่น ๆ จึงเรียกร้องให้ผู้ผลิตกระจายฐานการผลิตและซัพพลายเออร์ เพื่อบรรเทาความเสี่ยงและปรับปรุงความต้านทานแผ่นดินไหวของโรงงาน

โดย บริษัทโตโยต้ากำลังพิจารณาความเป็นไปได้ในการย้ายสายการผลิตบางส่วนในภูมิภาคโทไกซึ่งเป็นภูมิภาคหลัก ซึ่งคาดว่าจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากแผ่นดินไหวนันไก ไปยังภูมิภาคโทโฮกุและเกาะคิวชู

ขณะที่ บริษัทฮอนด้า มอเตอร์ ถูกบังคับให้ลดการผลิตรถยนต์มินิวีครุ่นเรือธง N-Box เป็นการชั่วคราว หลังจากที่ซัพพลายเออร์ได้รับผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงที่เกิดขึ้นในคาบสมุทรโนโตะในปี 2567

“เรากำลังสร้างการจำลองเพื่อให้แน่ใจถึงความปลอดภัยของพนักงานเป็นอันดับแรก และเพื่อรักษาการดำเนินงานให้ได้มากที่สุด แม้ว่าการจัดหาชิ้นส่วนจะหยุดชะงักก็ตาม” เจ้าหน้าที่ของฮอนด้ากล่าว

นอกจากนี้ บริษัท Panasonic Holdings ได้สร้างกำแพงกั้นน้ำทะเลสำหรับโรงงานแห่งหนึ่งในเมืองมัตสึชิเกะ จังหวัดโทคุชิมะ โดยที่โรงงานในเมืองสึ จังหวัดมิเอะ สายการผลิตแปรรูปโลหะที่สำคัญได้ถูกย้ายจากชั้น 1 ไปยังชั้น 3 เป็นที่เรียบร้อย

ทั้งนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นเตรียมลงทุนกว่า 20 ล้านล้านเยน (ราว 5 ล้านล้านบาท) ภายในระยะเวลา 5 ปี นับตั้งแต่ปีงบประมาณ 2569 เพื่อเสริมความสามารถในการรับมือภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหวขนาดใหญ่จากรอยเลื่อนนังไก ตามร่างแผนฉบับใหม่ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2568


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top