Saturday, 29 June 2024
ชาวต่างชาติ

‘รองโฆษกรัฐบาล’ เผย 7 เดือนแรก ‘ต่างชาติ’ ลงทุนไทย พุ่ง 17%  เม็ดเงินลงทุน 58,950 ล้านบาท ทำให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น 9% 

(20 ส.ค. 66) น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ความคืบหน้าการลงทุนในประเทศไทย ช่วง 7 เดือน ปี 2566 (ม.ค.-ก.ค.) มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 จำนวน 377 ราย เพิ่มขึ้น 17% เป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว จำนวน 122 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว จำนวน 255 ราย เม็ดเงินลงทุนทั้งสิ้น 58,950 ล้านบาท ลดลง 20% เกิดการจ้างงานคนไทย 3,594 คน เพิ่มขึ้น 9% โดยชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุน 5 อันดับแรก ได้แก่ ญี่ปุ่น 84 ราย เงินลงทุน 19,893 ล้านบาท สหรัฐฯ 67 ราย เงินลงทุน 3,044 ล้านบาท สิงคโปร์ 61 ราย เงินลงทุน 12,925 ล้านบาท จีน 28 ราย เงินลงทุน 11,663 ล้านบาท และเยอรมนี 16 ราย เงินลงทุน 1,298 ล้านบาท

น.ส.รัชดา กล่าวว่า ส่วนการลงทุนในพื้นที่ EEC ของนักลงทุนต่างชาติ ในช่วง 7 เดือน ปี 2566 (ม.ค.-ก.ค.) นางสาวรัชดา กล่าวว่า มีนักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 73 ราย คิดเป็น 19% ของจำนวนนักลงทุนทั้งหมด มูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC 12,348 ล้านบาท คิดเป็น 21% ของเงินลงทุนทั้งหมด เป็นนักลงทุนจากญี่ปุ่น 31 ราย ลงทุน 5,379 ล้านบาท จีน 12 ราย ลงทุน 893 ล้านบาท เกาหลีใต้ 5 ราย ลงทุน 287 ล้านบาท และประเทศอื่น ๆ อีก 25 ราย ลงทุน 5,789 ล้านบาท โดยธุรกิจที่ลงทุน เช่น บริการให้คำปรึกษาแนะนำด้านการบริหารจัดการกระบวนการผลิตในอุตสาหกรรมต่าง ๆ บริการทางวิศวกรรมและเทคนิค เช่น การออกแบบเครื่องจักร เครื่องกล เครื่องมือและอุปกรณ์ บริการรับจ้างผลิตเครื่องจักร และชิ้นส่วนของเครื่องจักรสำหรับอุตสาหกรรม บริการรับจ้างผลิตชิ้นส่วนยานพาหนะ และบริการออกแบบแม่พิมพ์โลหะสำหรับผลิตชิ้นส่วนยานยนต์

น.ส.รัชดา กล่าวว่า เฉพาะเดือน ก.ค. 2566 มีการอนุญาตให้คนต่างชาติประกอบธุรกิจในประเทศไทย จำนวน 51 ราย เป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว จำนวน 20 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว จำนวน 31 ราย เม็ดเงินลงทุนทั้งสิ้น 10,023 ล้านบาท จ้างงานคนไทย 372 คน ส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนจากญี่ปุ่น สิงคโปร์ และสหรัฐฯ 

น.ส.รัชดา กล่าวว่า จากนโยบายของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เน้นส่งเสริมสนับสนุนการลงทุน พร้อมอำนวยความสะดวกในทุก ๆ ด้านให้นักลงทุนชาวต่างชาติ ทำให้นักลงทุนเกิดความเชื่อมั่น สนใจลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ผลจากการขับเคลื่อนนโยบาย นอกจากจะมีรายได้เข้าสู่ประเทศไทยแล้ว คนไทยยังได้รับประโยชน์จากการถ่ายทอดเทคโนโลยีอันเป็นองค์ความรู้เฉพาะด้านโดยตรงจากประเทศผู้เข้ามาลงทุนให้แก่คนไทย เช่น องค์ความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาโปรแกรมแอปพลิเคชันเพื่อความปลอดภัยและการจัดการข้อมูลส่วนตัว องค์ความรู้เกี่ยวกับเทคนิคการพัฒนาเว็บไซต์ และ Data Analysis เพื่อการพัฒนาเว็บไซต์และวิเคราะห์ข้อมูลในการทำการตลาด และองค์ความรู้เกี่ยวกับการทดสอบสมรรถนะของรถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์เพื่อการวิจัยและพัฒนา

‘สนาม ONE ลุมพินี’ เวทีมวยไทยระดับโลก 'กำลังโด่งดัง-เป็นที่นิยม' ‘นักชกต่างชาติ’ อยากขึ้นสังเวียนสักครั้งเป็นเกียรติประวัติในชีวิต

(26 ส.ค.66) สนามมวยเวทีลุมพินี สังเวียนการแข่งขันมวยของ ONE Championship เวทีมวยในตำนานของเมืองไทย ที่ปัจจุบันขึ้นชั้นระดับ World Class (ระดับโลก) เทียบชั้น Madison Square Gaden ของโลกตะวันตก

มวยไทยกำลังเป็นที่นิยมของเยาวชนคนไทยรวมถึงชาวต่างชาติทั่วโลกที่หันมาเล่นกีฬามวยไทยกันจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะการจัดแข่งขันของ เป็นที่ชื่นชอบของทั้งนักกีฬามวยไทยและต่างชาติ เป็นกีฬาที่เผยแพร่ไปทั่วโลก 

‘สนาม ONE ลุมพินี’ กำลังโด่งดังและเป็นที่รู้จักของชาวต่างชาติ ทุกคนต่างอยากขึ้นชกบนเวทีนี้เพื่อเป็นเกียรติประวัติ

นอกจากนี้ สนาม ONE ลุมพินี เวทีมวยไทยระดับโลก ยังมีโรงเรียนมวยไทยลุมพินี ที่มี พล.ท.นรินทร์ มีสมบูรณ์ เป็นหัวหน้าโรงเรียน กับผลงานการฝึกอบรมหลักสูตรผู้ฝึกสอนมวยไทย ระดับ C Licence (รุ่นที่ 2) สำหรับกำลังพลของกองทัพบก ภายใต้ศูนย์พัฒนากีฬากองทัพบก (มวยไทยลุมพินี)

‘อินโดฯ’ เสนอ ‘Golden Visa’ ไม่ต้องยื่นใบพำนักชั่วคราว หวังดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ ทั้งสถาบัน-รายย่อยเข้าประเทศ

เมื่อไม่นานนี้ ประเทศอินโดนีเซีย ประกาศโครงการ ‘Golden Visa’ เพื่อดึงดูดนักลงทุนชาวต่างชาติทั้งประเภทบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลพำนักเป็นระยะเวลา 5 - 10 ปีโดยไม่จำเป็นต้องยื่นขอใบอนุญาตพำนักชั่วคราวอีกต่อไป

▪️ เงื่อนไขสำหรับนักลงทุนประเภทบุคคลธรรมดา ที่ประสงค์ขอรับวีซ่าพำนักเป็นระยะเวลา 5 ปี ต้องมีการตั้งบริษัทในอินโดนีเซียด้วยวงเงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 2.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และกรณีพำนักระยะเวลา 10 ปี ต้องมีการลงทุนอยู่ที่ 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐขึ้นไป

▪ ในกรณีที่ไม่ต้องการจัดตั้งบริษัทใด ๆ ในประเทศอินโดนีเซีย มีเงื่อนไขต้องลงทุนในกองทุนที่สามารถใช้ซื้อพันธบัตรรัฐบาลวงเงินตั้งแต่ 350,000-700,000 ดอลลาร์สหรัฐ

▪️ นักลงทุนประเภทนิติบุคคลกำหนดต้องลงทุน 25 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยผู้อำนวยการและคณะกรรมการจะได้รับวีซ่าพำนักเป็นระยะเวลา 5 ปี และวีซ่าพำนักเป็นระยะเวลา 10 ปี จะต้องลงทุนเพิ่ม 2 เท่า หรือ 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

▪️ ล่าสุดประกาศ นักลงทุนต่างประเทศที่ได้รับสิทธิ Golden Visa เป็นคนแรกของอินโดนีเซีย คือ ‘Sam Altman’ ซึ่งเป็น CEO ของบริษัท Open AI เจ้าพ่อธุรกิจ Chat Bot เจ้าของแพลตฟอร์ม ChatGPT

▪️ ประเทศอื่น ๆ ที่มีโครงการ Golden Visa ในลักษณะเดียวกันนี้ เพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนและบรรดาผู้ประกอบการให้เข้าไปลงทุนและพำนักอาศัยอยู่ในประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ไอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ และสเปน 

‘รองเจ้าอาวาสวัดเชียงมั่น’ แจง ปม 2 สาวต่างชาติ นุ่งสั้นอาบแดดข้างวิหาร รับ!! บางครั้งสอดส่องไม่ทั่วถึง เหตุทั้งวัดมีพระแค่ 7 รูป แต่ได้รีบตักเตือนแล้ว 

รองเจ้าอาวาสวัดเชียงมั่น แจงภาพ 2 นักท่องเที่ยวสาวชาวต่างชาติ สวมสปอร์ตบาร์ นุ่งกางเกงขาสั้นตัวจิ๋ว นอนอาบแดด กลางสนามหญ้าข้างวิหารอายุเก่าแก่กว่า 700 ปี เกิดเหตุเพียงช่วงเวลาสั้นๆ หลังทราบแล้วให้ลูกศิษย์รีบเข้าไป ตักเตือนทันที เชื่อเกิดจากความรู้เท่าไม่ถึงการ รับบางครั้งสอดส่องไม่ทั่วถึงเพราะทั้งวัดมีพระเพียง 7 รูป วอนขอทุกฝ่ายเกี่ยวข้องช่วยกันเป็นหูเป็นตา

ความคืบหน้ากรณีเมื่อวานนี้ (14 ม.ค.67) พบหญิงสาวชาวต่างชาติ 2 คนสวมเสื้อสปอร์ตบราและนุ่งกางเกงขาสั้นตัวจิ๋ว นอนอาบแดด อยู่บนสนามหญ้าข้างวิหาร ภายในวัดเชียงมั่น อำเภอเมืองเชียงใหม่ และมีผู้ถ่ายภาพนำไปเผยแพร่ทางโซเชียลมีเดีย ซึ่งก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก เนื่องจากมองว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วัดเชียงมั่นถือเป็นวัดแห่งแรกตั้งแต่ก่อตั้งเมืองเชียงใหม่ ที่ปีนี้อายุ 728 ปีแล้ว

ล่าสุดวันนี้ (15 ม.ค.67) จากการสอบถามที่วัดเชียงมั่น ซึ่งเป็นจุดเกิดเหตุ เบื้องต้นทางรองเจ้าอาวาสวัดให้ข้อมูลว่า ประเด็นดังกล่าวเกิดขึ้นช่วงเช้าวานนี้ โดยที่คนขับรถตุ๊กตุ๊กบริการเที่ยวเป็นผู้มาแจ้งเรื่องให้ทางวัดทราบและดำเนินการ ซึ่งไม่ทราบเรื่องแล้วได้ให้ลูกศิษย์วัด ไปตรวจสอบและตักเตือนพร้อมอธิบายนักเที่ยวทั้งสองคนให้ทราบว่าไม่เหมาะสม โดยเมื่อนักท่องเที่ยวทราบแล้วได้ลุกขึ้น แล้วเดินออกจากวัดไป

ทั้งนี้ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเชื่อว่าน่าจะเกิดจากที่นักท่องเที่ยวต่างชาติรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และไม่รู้ถึงวัฒนธรรมประเพณี จึงกระทำการดังกล่าว ซึ่งที่จริงแล้วเกิดขึ้นเพียงช่วงเวลาแค่ไม่นานเท่านั้น จึงไม่คิดว่าจะเกิดกระแสวิจารณ์อย่างกว้างขวางเช่นนี้ โดยยอมรับว่าทางวัดอาจจะสอดส่องดูแลได้ไม่ทั่วถึง แม้ว่าจะมีการเขียนป้ายแนะนำการปฏิบัติตัวให้กับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติไว้แล้ว เนื่องจากทางวัดมีพระอยู่เพียง 7 รูปเท่านั้น รวมทั้งเจ้าอาวาสที่แก่ชราและอาพาธด้วย

อย่างไรก็ตาม ตั้งข้อสังเกตว่า ทางคนขับตุ๊กตุ๊กที่เป็นคนมาแจ้งเรื่องให้ทางวัดทราบและเป็นผู้ถ่ายภาพเอาไว้ได้พร้อมนำไปเผยแพร่ น่าจะช่วยเข้าไปแนะนำตักเตือนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติตั้งแต่แรกเพื่อช่วยกันเป็นหูเป็นตา แทนที่จะเอาภาพไปเผยแพร่ให้เกิดกระแสวิจารณ์และทำให้เสื่อมเสียภาพลักษณ์

ด้านนางรุ่งฟ้า ศรีปัญญา ซึ่งเป็นชาวบ้านชุมชนเชียงมั่น และเป็นลูกศิษย์วัดขายของในวัดมานาน เปิดเผยว่าเหตุการณ์เกิดเร็วมาก โดยช่วงเกิดเหตุการณ์ตัวเองกำลังเปิดร้านอยู่ที่ประตูทางเข้าวัด ก็ไม่ได้ทราบเรื่องจนกระทั่งมีการแชร์ภาพและเรื่องราวนี้ลงในโซเชียล แล้วเพื่อนตัวเองที่อยู่ทางภาคใต้ได้โทรมาบอกถึงได้รู้ข่าว ซึ่งที่ผ่านมาก็ช่วยกันดูแลความเรียบร้อยในวัดเป็นอย่างดี เพราะพระในวัดมีไม่กี่รูป แต่นักท่องเที่ยวเยอะมากเพราะเป็นวัดเก่าแก่ของเมืองเชียงใหม่ ก็จะมีนักท่องเที่ยวที่ไม่เข้าในวัฒนธรรมประเพณีมาบ้าง ก็ช่วยกันตักเตือน

โดยเฉพาะเรื่องแต่งกายไม่เหมาะสมจะมีมากที่สุด ซึ่งทางวัดเองก็มีผ้าถุง ผ้าคลุมไหล่ไว้บริการ โดยนอกจากชาวต่างชาติแล้ว บ่อยครั้งคนไทยเองก็ยังนุ่งสั้นเข้าไปในวิหาร ทำให้ต้องคอยช่วยกันแนะนำไป นอกจากนี้แล้วก็ยังมีแปลกๆ อย่างมาร่ายรำมวยจีนเหมือนมาออกกำลังกายก็มี แต่ก็ไม่ได้ทำท่าทางที่ไม่เหมาะสมหรือไม่ให้เกียรติสถานที่ จึงได้แต่ดูๆ เท่านั้น ต่อจากนี้ก็ต้องช่วยกันดูแลให้มากขึ้น ไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงของวัด ขณะผู้ที่มาทำมาหากินกับนักท่องเที่ยวเองทั้งรถขับรถรับจ้าง หรือไกด์ ก็ต้องช่วยกันดูแลด้วยเช่นกัน

ฝรั่งทุกคนที่ดังในประเทศไทยเป็น ‘loser’ กันหมดจริงหรอ?

(16 ม.ค.67) จากเพจเฟซบุ๊ก ‘David William’ หรือที่รู้จักกันในนาม ‘ครูเดวิด วิลเลียม’ ซึ่งเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ ที่รู้จักกันบนโลกโซเชียลมีเดียจากการที่เขาสามารถใช้สำเนียงการพูดได้หลากหลายเพื่อทำคอนเทนต์สนุก ๆ บนโลกโซเชียล จนยอดผู้ติดตามในเพจเฟซบุ๊กสูงถึง 1.5 ล้านคน 

โดยล่าสุดนั้น ‘ครูเดวิด วิลเลียม’ ได้โพสต์คลิปวิดีโอหัวข้อ ‘ฝรั่งทุกคนที่ดังในประเทศไทยเป็น ‘loser’ กันหมดจริงหรอ?’ หลัง ‘เต๋า ทีวีพูล’ กล่าวว่า “ฝรั่งจะมีหลายเกรด ฝรั่งเนิร์ด ยูทูบเบอร์ไรนี้อยู่ในประเทศตัวเองก็ไม่มีวันดัง จึงมาหากินในเมืองไทย ซึ่งถ้าเกิดมองหน้าและเป็นพวกเนิร์ด ฝรั่งที่แบบว่าแจ่ม ๆ ที่เริ่ด ๆ ส่วนใหญ่ก็จะอยู่ในอเมริกา ไม่ค่อยมาหรอก มันก็มาเที่ยวแปป ๆ แล้วก็กลับไป”

โดย ‘ครูเดวิด วิลเลียม’ ได้อธิบายเพิ่มเติมในคลิปว่า “อันนี้แรงมาก ขออนุญาต…ไม่เคยดูคลิปไหนตั้งแต่เกิดมาที่ทําให้รู้สึกโกรธขนาดนี้มาก่อน กับการที่คุณจะบอกว่าฝรั่งทุกคนที่อยู่ในประเทศไทย ฝรั่งทุกคนที่มาหากินที่นี่คือเขาเป็น ‘Loser’ กันหมดอย่างงี้เหรอ? สิ่งที่งงคือคุณรู้จักทุกคนเหรอ? ขออนุญาตอีกเรื่องหนึ่งเลยคือผมเป็นฝรั่งแล้วอยู่ในประเทศไทย ซึ่งผมเจ๋งมากมายอย่างแน่นอน 

คือข้อแรก…การที่คุณจะสําเร็จไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่ ไม่ได้เป็นเรื่องง่ายทุกคน และนี่คือข้อแรกที่เราต้องเข้าใจกันก่อน ยิ่งเฉพาะในวันที่คุณย้ายไปอยู่ประเทศใหม่ มันต้องเรียนภาษาใหม่ตั้งแต่ต้น ต้องเข้าใจสังคมใหม่ วัฒนธรรมใหม่ ความคิดของคน ซึ่งแตกต่างจากที่คุณเจอมา แต่ไม่ว่าคุณจะเหนื่อยแค่ไหนก็ตาม ไม่ว่าคุณจะดิ้นรนแค่ไหนก็ตาม คุณยังสามารถดังในประเทศนั้นได้ด้วยการพูดภาษาที่ไม่ใช่ภาษาตัวเอง 

ก็ขออนุญาตเลยนะผมไม่ได้บอกว่าใครดีกว่าใครเลย แต่อย่างน้อยเราต้องยอมรับกันก่อนว่านี่ไม่ได้เป็นเรื่องง่ายอย่างแน่นอน แล้วอีกอย่างที่อยากจะพูดคือการที่คุณบอกว่ามีแต่ฝรั่ง ‘Loser’ มาที่นี่…ข้อแรกก่อนนั้นคือการเหยียดประเทศตัวเองนะ กับการที่คุณบอกว่าประเทศไทยมันไม่น่าอยู่ หรือมันเป็นอะไรที่ประหลาด จนกระทั่งมีแต่ ‘Loser’ มา ดังนั้น นี่จึงเป็นสิ่งที่ไม่โอเคมากทุกคน เพราะผมไม่ใช่ ‘Loser’ แล้วผมจะพูดอย่างเต็มปากเต็มคําว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าอยู่มากสําหรับตัวเอง แถมยังมีบริษัทระดับโลกอีกมากมายที่เลือกมาทําธุรกิจที่นี่ ถามว่าทําไม? เขาเป็น ‘Loser’ เหรอ? ซึ่งไม่ใช่ เพราะประเทศไทยเป็นหนึ่งประเทศที่น่าสนใจมากในการทําธุรกิจอย่างแน่นอน

ดังนั้นขออนุญาตสรุปคลิปนี้ ซึ่งพูดจนไม่รู้จะพูดยังไงแล้วในการที่คุณไม่ควรต่อว่าเขา ไม่ควรที่จะเหมารวมคนอื่น ไม่ควรที่จะดูถูกคนอื่น ยิ่งเฉพาะสําหรับผม คือผมเป็นคน ๆ หนึ่ง ที่ออกมาปกป้องคนไทยตลอด เมื่อเจอชาวต่างชาติมาดูถูก แต่เมื่อผมซึ่งเป็นชาวต่างชาติกลับเจอคนไทยมาเหมารวมใส่ เจอคนไทยมาพูดแบบนี้ใส่ผม จึงรู้สึกเฮิร์ทมาก…

ถ้าคุณอยากสําเร็จสิ่งที่คุณต้องเลิกทําคือการต่อว่าและดูถูกคนอื่นแบบนี้ และสิ่งที่คุณต้องเริ่มทําคือการลุกขึ้นมาสู้ ลุกขึ้นมาทํางาน เพราะนี่คือวิธีที่ดีที่สุดในการสำเร็จอย่างแน่นอน”

'ฝรั่ง' งอแง!! ตกหลุมรักเมืองไทยสุดหัวใจ โพสต์ภาพอ้อน ไม่อยากอำลากลับบ้านเกิด

(18 ม.ค.67) กลายเป็นไวรัลชั่วข้ามคืน เมื่อนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติคนหนึ่งได้เดินทางมาใช้ช่วงเวลาสุดพิเศษไปกับการท่องเที่ยวเมืองไทย มีความสุขแฮปปี้ แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันต้องเลิกรา เมื่อวันที่ต้องเดินทางกลับมาถึง โดยคุณ Paul O'Connor ได้อัปรูปภาพตัวเองกำลังทำหน้างอแงลงในกลุ่ม ‘Love Thailand’ พร้อมกับแคปชัน “Don’t wanna go home” (ยังไม่อยากกลับบ้าน) 

ก่อนที่อีกภาพถัดมาจะเป็นภาพสนามบินสุวรรณภูมิ พร้อมกับแคปชัน Most painful thing to see wen leaving Thailand 🇹🇭 (สิ่งที่เจ็บปวดที่สุดก็คือต้องเห็นการจากลาประเทศไทย 🇹🇭) แสดงให้เห็นว่านักท่องเที่ยวรายนี้ตกหลุมรักประเทศไทยมากแค่ไหน จนไม่อยากกลับประเทศบ้านเกิดของตัวเองเลยทีเดียว

'กรมพัฒนาธุรกิจฯ' เผย!! ปี 66 ต่างชาติลงทุนไทยเฉียด 1.3 แสนล้าน พบ!! 'ญี่ปุ่น-สิงคโปร์' มาแรง ส่วนเม็ดเงินสะพัดอยู่ในธุรกิจรับจ้างผลิต

(23 ม.ค.67) นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์เปิดเผยว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้าจะนำข้อมูลของปีที่ผ่านมาจากคลังข้อมูลธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย DBD DataWarehouse+ มาทำการวิเคราะห์และประมวลผลภาพรวมการลงทุนในประเทศ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจประเทศในสายตานักลงทุนทั้งคนไทยและต่างชาติ รวมทั้ง นักลงทุนสามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลเบื้องต้นสำหรับวิเคราะห์คู่แข่งทางการตลาดก่อนตัดสินใจลงทุน ทำให้เกิดความมั่นใจและพร้อมลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง  

สำหรับภาพรวมการลงทุนในประเทศไทยตลอดปี 2566 ประมวลผลออกมาเป็น ‘ที่สุดแห่งปี 2566 ด้านการลงทุนในประเทศไทย’ พบว่า ในส่วนของการลงทุนของคนไทยในประเทศไทย : การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ในประเทศ พบว่า ปี 2566 เป็นปีที่มียอดการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่สูงสุดในรอบ 10 (ปี 2557-2566) โดยปี 2566 มีนักลงทุนจดทะเบียนฯ จำนวนรวมทั้งสิ้น 85,300 ราย เพิ่มขึ้นจากปี 2565 จำนวน 8,812 ราย หรือ 12% มูลค่าทุน 562,469.64 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2565 จำนวน 132,640.83 ล้านบาท หรือ 31% (ปี 2565 จัดตั้ง 76,488 ราย ทุน 429,828.81 ล้านบาท)

เมื่อทำการวิเคราะห์การจัดตั้งนิติบุคคลปี 2566 พบว่า จำนวนการจดทะเบียนจัดตั้งเพิ่มขึ้นกว่า 12% ได้รับปัจจัยสนับสนุนหลักจากธุรกิจในภาคต่างๆ ทั้งธุรกิจภาคบริการ ภาคค้าส่ง/ค้าปลีก และภาคการผลิต โดยในส่วนของภาคบริการ คิดเป็น 58% ของจำนวนการจัดตั้งทั้งหมด โดยมีธุรกิจหลักที่ขับเคลื่อนให้เกิดการขยายตัวของการจดทะเบียนเพิ่มขึ้น คือ ธุรกิจกิจกรรมเกี่ยวกับแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ 366 ราย เติบโต 1.46 เท่า ธุรกิจกิจกรรมของสำนักงานจัดหางานหรือตัวแทนจัดหางาน 43 ราย เติบโต 1.39 เท่า และ ธุรกิจกิจกรรมบริการที่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยได้รับค่าตอบแทนหรือตามสัญญาจ้าง 707 ราย เติบโต 1.36 เท่า

ภาคค้าส่ง/ค้าปลีก คิดเป็น 32% ของจำนวนการจัดตั้งธุรกิจทั้งหมด มีธุรกิจหลักที่ขับเคลื่อนให้เกิดการขยายตัวของการจดทะเบียนเพิ่มขึ้น ได้แก่ ธุรกิจการขายปลีกเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ชนิดใช้ในครัวเรือนบนแผงลอยและตลาด 16 ราย เติบโต 2.20 เท่า ธุรกิจการขายส่งข้าวเปลือกและธัญพืช 203 ราย เติบโต 1.51 เท่า และธุรกิจการขายส่งอิฐหินปูนทรายและผลิตภัณฑ์คอนกรีต 66 ราย เติบโต 1.06 เท่า และเมื่อพิจารณาในส่วนของ

ภาคการผลิต คิดเป็น 10% ของจำนวนการจัดตั้งธุรกิจทั้งหมด โดยมีธุรกิจหลักที่ขับเคลื่อนให้เกิดการขยายตัวของการจดทะเบียนเพิ่มขึ้น ได้แก่ ธุรกิจการผลิตเครื่องมือกล 18 ราย เติบโต 2.60 เท่า ธุรกิจการผลิตแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ 17 ราย เติบโต 2.40 เท่า และ ธุรกิจการผลิตส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ 88 ราย เติบโต 1.59 เท่า

สำหรับการจัดตั้งธุรกิจทั่วประเทศมีจำนวนทั้งสิ้น 85,300 ราย เป็นการจัดตั้งธุรกิจในพื้นที่กรุงเทพมหานคร 25,120 ราย (29%) และ ภูมิภาค 60,180 ราย (71%) หากพิจารณาตามเขตภูมิภาค แบ่งออกเป็น 6 ภาค คือ ภาคกลาง มีสัดส่วนการจัดตั้งธุรกิจสูงสุด 17,581 ราย (20.61%) ภาคใต้ 11,675 ราย (13.69%) ภาคตะวันออก 10,948 ราย (12.83%) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 8,942 ราย (10.48%) ภาคเหนือ 8,604 ราย (10.09%) และภาคตะวันตก 2,430 ราย (2.85%) โดยทุกภาคมีอัตราการเติบโตของจำนวนการจัดตั้งที่เพิ่มสูงขึ้นจากปี 2565 ที่ผ่านมา ยกเว้น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่มีอัตราการเติบโตลดลงในปี 2566

ขณะที่พื้นที่การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจในเขตภูมิภาค ปี 2566 จังหวัดที่มีการจัดตั้งนิติบุคคลสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ จ.ชลบุรี 7,370 ราย จ.ภูเก็ต 4,983 ราย และจ.นนทบุรี 4,583 ราย โดยจังหวัดที่มีอัตราการเติบโตของจำนวนการจัดตั้งสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ จ.ภูเก็ต เติบโต 40.82% จ.สุราษฎร์ธานี เติบโต 32.16% และ จ.พังงา เติบโต 21.99% ซึ่ง 3 จังหวัดดังกล่าวอยู่ในพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญ ทั้งด้านการท่องเที่ยว การลงทุน

>> การเลิกประกอบธุรกิจ ปี 2566

ปี 2566 มีจำนวนธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการทั้งสิ้น 23,380 ราย เพิ่มขึ้นจากปี 2565 จำนวน 1,500 ราย (7%) มูลค่าทุนเลิกประกอบกิจการ 160,056.48 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2565 จำนวน 33,008.08 ล้านบาท (26%) (ปี 2565 เลิกประกอบธุรกิจ 21,880 ราย ทุน 127,048.39 ล้านบาท)

ประเภทธุรกิจที่มีการเลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1. ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 2,166 ราย (9.26%) 2. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 1,146 ราย (4.90%X และ 3. ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร เลิกประกอบธุรกิจ 699 ราย (2.99%)

นายอรมน ยังกล่าวถึงที่สุดแห่งปี 2566 ด้านการลงทุนของชาวต่างชาติในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542

ปี 2566 อนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 รวมทั้งสิ้น 667 ราย เงินลงทุนรวม 127,532 ล้านบาท จ้างงานคนไทยรวม 6,845 คน เป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 228 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) 439 ราย

>> 10 ประเทศที่เป็นที่สุดของการลงทุนในประเทศไทย

‘ญี่ปุ่น’เป็นประเทศที่เข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทยเป็นอันดับ 1 ทั้งจำนวนนักลงทุนและจำนวนเงินลงทุน โดยมีนักลงทุนจำนวน 137 ราย (20.5 %) เงินลงทุนรวม 32,148 ล้านบาท (25.2%) และลำดับอื่นๆ ที่ไล่ลงมามีดังนี้

อันดับที่ 2 สิงคโปร์ มีนักลงทุน 102 ราย (15.3%) และทุน 25,405 ล้านบาท (19.9%)
อันดับที่ 3 สหรัฐอเมริกา มีนักลงทุน 101 ราย (15.1%) และทุน 4,291 ล้านบาท (3.4%)
อันดับที่ 4 จีน มีนักลงทุน 59 ราย (8.9%) และทุน 16,059 ล้านบาท (12.6%)
อันดับที่ 5 ฮ่องกง มีนักลงทุน 34 ราย (5.1%) และทุน 17,325 ล้านบาท (13.6%)
อันดับที่ 6 เยอรมนี มีนักลงทุน 26 ราย (3.9%) และทุน 6,087 ล้านบาท (4.8%)
อันดับที่ 7 สวิตเซอร์แลนด์ มีนักลงทุน 23 ราย (3.5%) และทุน 2,960 ล้านบาท (2.3%)
อันดับที่ 8 เนเธอร์แลนด์ มีนักลงทุน 20 ราย (3.0%) และทุน 911 ล้านบาท (0.7%)
อันดับที่ 9 สหราชอาณาจักร มีนักลงทุน 19 ราย (2.9%) และทุน 433 ล้านบาท (0.3%)
อันดับที่ 10 ไต้หวัน มีนักลงทุน 18 ราย (2.7%) และทุน 1,125 ล้านบาท (0.9%)

>> 10 ประเภทธุรกิจที่นักลงทุนต่างชาติสนใจเข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศไทย

อันดับที่ 1 บริการรับจ้างผลิต จำนวน 136 ราย (20.4%) และทุน 42,644 ล้านบาท (33.4%)
อันดับที่ 2 บริการด้านคอมพิวเตอร์ จำนวน 68 ราย (10.2%) และทุน 1,434 ล้านบาท (1.1%)
อันดับที่ 3 บริการให้คำปรึกษา จำนวน 62 ราย (9.3%) และทุน 7,803 ล้านบาท (6.1%)
อันดับที่ 4 ค้าส่งสินค้า จำนวน 58 ราย (8.7%) และทุน 7,873 ล้านบาท (6.2%)
อันดับที่ 5 บริการทางวิศวกรรม จำนวน 46 ราย (6.9%) และทุน 2,756 ล้านบาท (2.2%)
อันดับที่ 6 บริการให้เช่า จำนวน 45 ราย (6.8%) และทุน 16,096 ล้านบาท (12.6%)
อันดับที่ 7 ค้าปลีกสินค้า จำนวน 41 ราย (6.2%) และทุน 1,635 ล้านบาท (1.3%)
อันดับที่ 8 บริการทางการเงิน จำนวน 23 ราย (3.5%) และทุน 6,805 ล้านบาท (5.3%)
อันดับที่ 9 คู่สัญญาเอกชน จำนวน 22 ราย (3.3%) และทุน 689 ล้านบาท (0.5%)
อันดับที่ 10 นายหน้า จำนวน 20 ราย (3.0%) และทุน 1,697 ล้านบาท (1.3%)

'หญิงต่างชาติ' ไม่มีเงิน หิวโซ ขอกินข้าวเหลือ เจ้าของร้านคนไทยใจดี ให้กินฟรี เติมเพิ่มให้จนอิ่ม

จากกรณีผู้โซเชียลรายหนึ่งได้โพสต์คลิปวิดีโอชาวต่างชาติรายหนึ่งที่มาขอข้าวกินที่ร้าน จนกลายเป็นโมเมนต์สุดประทับใจ

ล่าสุด (25 ม.ค. 67) น.ส.รัตนธร กำเนิดไทย เจ้าของโพสต์ เปิดเผยว่า ปกติตนไปช่วยลูกชายเลี้ยงหลานอยู่ที่ร้าน ช่วงเย็นเมื่อวานนี้ ตนทำอาหารไปให้ลูกชาย และวางไว้บนโต๊ะ โดยตนและลูกสะใภ้ทานเสร็จแล้ว เหลือแต่ลูกชายที่กำลังวุ่นกับการขายของ ระหว่างนั้นตนออกมาก็พบว่ามีหญิงต่างชาติรายหนึ่ง มานั่งกินกับข้าวอยู่ที่โต๊ะ

ลูกชายเล่าให้ฟังว่า ชาวต่างชาติรายนี้เข้ามาขอทานอาหารที่เหลืออยู่บนโต๊ะ เนื่องจากไม่มีเงิน เมื่อตนเข้าไปจะพูดคุย ก็พบว่ากินข้าวและพะโล้หมดเกลี้ยง แต่แกงส้มยังเหลืออยู่ ตนจึงถามไปว่า ไม่กินเผ็ดเหรอ แต่ตนก็ไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษ จึงใช้การพูดคุยผ่านภาษากายแทน

ตนเห็นดังนั้นจึงนำข้าวและพะโล้ไปเติมให้อีก ยังมีลูกค้าชายโต๊ะอื่นนำน้ำมาให้เธออีกด้วย หลังทานเสร็จ ชาวต่างชาติรายนี้ได้ขีดเขียนอะไรบางอย่าง ตนก็คิดกับลูกสะใภ้ว่าเขาคงเขียนบันทึกไดอารี่ แต่ปรากฏว่า เขานำกระดาษใบนั้นมายื่นให้ตน

เป็นภาพวาดของตนที่กำลังอุ้มหลาน ลูกชายที่กำลังวุ่นวายกับการเสิร์ฟกับข้าว และลูกสะใภ้ที่กำลังชงน้ำ ตนเข้าใจว่านี่เป็นการขอบคุณที่ตนได้ช่วยเหลือ

ทั้งนี้หลังจากที่ตนลงคลิปไปก็มีหลายคนเป็นห่วงว่าชาวต่างชาติจะมาหลอกหรือไม่ แต่ตนก็ไม่กังวล เพราะจากภาพที่เห็นคือเขาหิวโซ กินจนหมดเกลี้ยง และไม่ได้มาขอเงินอะไร

อีกทั้งยังมาตัวคนเดียว พร้อมกับกระเป๋าสัมภาระมากมาย ตนและลูกชายเป็นคนใจอ่อนเห็นแบบนี้ก็อดที่จะไม่ช่วยไม่ได้ และดีใจที่ได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเดินหน้าปราบปรามจับกุมชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ล่าสุดแถลงจับกุม 3 คดีสำคัญ

วันนี้ (29 ก.พ.67) พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รองผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) แถลงผลการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม.,ตามนโยบายของสำนักงานตารวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. , พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศูนย์ปราบปรามคนร้ายข้ามชาติและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย สำนักงานตารวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้ สตม. สกัดกั้น ตรวจสอบ ระดมจับกุมคนต่างด้าวที่เข้ามาประกอบธุรกิจ ผิดกฎหมายในประเทศไทย รวมทั้งให้ดำเนินการตรวจสอบ ชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทาให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุ หรือโดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด โดยวันนี้แถลงผลการจับกุม 3 คดี ได้แก่

1. จับกุมชาวจีน 2 ราย สวมตัวเป็นชาวแคนาดา ได้ที่ Gate ภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พร้อมหนังสือเดินทางปลอม : กก.สส.ปป.บก.ตม.2 จับกุม MR.JIANBO (นามสมมติ) อายุ 48 ปี สัญชาติจีน และ MR.PINHUA (นามสมมติ) อายุ 49 ปี สัญชาติจีน โดยกล่าวหาว่า มีหรือมีไว้เพื่อใช้ซึ่งหนังสือเดินทางปลอมฯ นาตัวส่งพนักงานสอบสวน กก.สส.บก.ตม.3 ดาเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม ภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ต.หนองปรือ อ.บางพลี จว.สมุทรปราการ โดยกก.สส.ปป.บก.ตม.2 ได้รับการประสานจากสายการบิน EVA Air ว่าพบผู้โดยสารชาวจีนต้องสงสัยจำนวน 2 คน นาหนังสือเดินทางแคนาดา มาแสดงต่อพนักงานสายการบินเพื่อจะเดินทางไปเมืองไทเป ประเทศไต้หวัน แล้วเปลี่ยนเครื่องไปเมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา แต่ไม่พบประวัติการเดินทางออกมาจากประเทศแคนาดามาก่อน และ ไม่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ 

จึงได้ไปตรวจสอบ พบคนต่างด้าวตามที่ได้รับแจ้งบริเวณทางออกขึ้นเครื่อง Gate E3 จึงไดนำหนังสือเดินทางประเทศแคนาของผู้โดยสารทั้ง 2 คน มาตรวจสอบ ผลการตรวจสอบพบว่าเป็นหนังสือเดินทางแคนาดาปลอม และจากการตรวจค้นกระเป๋าสัมภาระพบหนังสือเดินทางจีนที่บุคคลทั้งสองนาติดตัวมาใช้เดินทางออกจากเมืองโคลัมโบ ประเทศศรีลังกา มายังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยมีแผนการเดินทางคือจะใช้หนังสือเดินทางแคนาดาปลอมที่ได้ซื้อมาจากเอเย่นในเมืองโคลอมโบ เพื่อขึ้นเครื่องไปเมืองไทเป ประเทศไต้หวัน จุดหมายปลายทาง เพื่อลักลอบเข้าเมืองแวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา จากการประสานงานตรวจสอบสถานภาพพลเมืองของทั้งสองคนกับ สอท.แคนาดา ประจาประเทศไทย รับแจ้งว่าข้อมูลที่ปรากฏในหนังสือเดินทางแคนาดาของทั้งสองคน ไม่ตรงกับ ฐานข้อมูลของทางการแคนาดา เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจึงจับกุมคนต่างด้าวทั้งสองในความผิดฐาน "มีหรือมีไว้เพื่อใช้ ซึ่งหนังสือเดินทางปลอมฯ" นาตัวส่งพนักงานสอบสวน กก.สส.บก.ตม.3 ดาเนินการตามกฎหมายต่อไป

คดีที่ 2 จับนายหน้ารถตู้ขนแรงงานต่างด้าวหลบหนีหมายจับนาน 5 ปี นำส่งชายแดนไทย-พม่า โดยฝ่าฝืนกฎหมาย พร้อมก่อเหตุลักทรัพย์นายจ้างกว่า 200,000 บาท : กก.4 บก.สส.สตม. จับกุม นายอ่อง (นามสมมติ) อายุ 33 ปี สัญชาติเมียนมา ผู้ต้องหาตามหมายจับ ศาลจังหวัดระนอง ที่ จ.136/2564 ลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2564 ต้องหากระทาความผิดฐาน “ร่วมกันช่วยเหลือ ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใดๆ ให้คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายพ้นจากการจับกุม ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคาส่ังของ เจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อตามพระราชบัญญัติควบคุมโรคติดต่อ พ.ศ.2558 นาตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.ปากจั่น จว.ระนอง ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุมบริเวณบ้านพักริมคลองบางบอน แขวงบางบอน เขตบางบอน กรุงเทพมหานคร สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2564 เวลาประมาณ 05.30 น. เจ้าหน้าที่ตารวจ เจ้าหน้าที่ทหาร ได้ร่วมกันจับกุมตัวผู้ขับขี่รถพยาบาล 2 ราย โดยกล่าวหาว่า “ร่วมกันช่วยเหลือ ซ่อนเร้นหรือช่วยด้วยประการใดๆ ให้คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายพ้นจากการจับกุม, และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคาสั่งของเจ้าพนักงานควบคุม โรคติดต่อ ตาม พ.ร.บ.ควบคุมโรคติดต่อ พ.ศ.2558” พร้อมจับกุมตัวแรงงานชาวเมียนมาจานวน 10 คน 

โดยกล่าวหาว่า “เป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคาสั่งของ เจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ ตาม พ.ร.บ.ควบคุมโรคติดต่อ พ.ศ.2558” จากการสอบถามผู้ขับขี่ให้การรับสารภาพว่าเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม2564 ได้รับจ้างขนแรงงานชาวเมียนมา ให้กับนายอ่อง โดยได้ขับรถไปรับนายอ่องในพื้นที่กรุงเทพฯ เพื่อไปรับแรงงานต่างด้าวในพื้นที่จังหวัดระนอง บริเวณ ปากซอยก่อนถึงโรงแรมนลิน เพลส ระนอง ประมาณ 100 เมตร และได้ร่วมเดินทางกลับพร้อมแรงงานต่างด้าว เมื่อมาถึงสี่แยกไฟแดง อ.กระบุรี จว.ระนอง นายอ่องขอลงรถอ้างว่าจะกลับไปบ้านที่ย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา และได้ หลบหนีไป ต่อมาศาลจังหวัดระนองได้อนุมัติหมายจับ ที่ จ.136/2564 ลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2564 ให้จับนายอ่อง ในความผดิ ฐาน “ร่วมกันช่วยเหลือ ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใดๆ ให้คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายพ้นจาก การจับกุม ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามคาสั่งของ เจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อตามพระราชบัญญัติควบคุมโรคติดต่อ พ.ศ.2558” 

จากการสืบสวนของ กก.4 บก.สส.สตม. สืบทราบว่านายอ่อง ได้เข้ามาในประเทศไทยและได้มาพัก อาศัยอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ จึงได้ทาการสืบสวนจนทราบว่านายอ่อง ได้พักอาศัยอยู่ที่ห้องเช่าแห่งหนึ่งย่านบางบอน จึงได้เฝ้าติดตามจนกระทั่งพบตัวนายอ่อง จึงได้ทาการจับกุมตามหมายจับดังกล่าว ในเบื้องต้นนายอ่องได้รับสารภาพว่า ในช่วงที่ประเทศไทยมีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ตนได้ทำหน้าที่เป็นนายหน้า ในการนำแรงงานชาวเมียนมาเข้ามายังประเทศไทย ผ่านชายแดนจังหวัดระนอง และจัดหารถตู้วิ่งรับและนำแรงงาน ชาวเมียนมาเข้ามาในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครและกรุงเทพฯ ได้ค่าจ้าง ประมาณ 10,000 บาท/คน ซึ่งรายได้ค่อนข้างดี จึงได้เป็นนายหน้าในการหาคนเข้ามาทางานเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้นำตัวส่งพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป บก.สส.สตม. ได้ทำการตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่านายอ่องได้ก่อเหตุลักทรัพย์นายจ้าง เหตุเกิดในพื้นที่ สน.ทุ่งมหาเมฆ ไปจำนวนหลายครั้ง ความเสียหายกว่า 2 แสนบาท จึงได้ประสาน สน.ทุ่งมหาเมฆ เพื่อทำการอายัดตัว ผู้ต้องหารายดังกล่าวต่อไป

คดีที่ 3 จับกุมหนุ่มปากีสถานอัพโหลดภาพเปลือยสาวหลังมีความสัมพันธ์ลงแอปพลิเคชั่น : กก.4 บก.สส.สตม. จับกุมนายซาบาส (นามสมมติ) อายุ 32 ปี สัญชาติปากีสถาน ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่ 835/2566 ลงวันที่ 12 กันยายน 2566 ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ ที่มีลักษณะอันลามกและข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม หน้าหอพักในซอยรามคาแหง 24 แยก 8 แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ 
การจับกุมผู้ต้องหารายนี้สืบเนื่อง บก.สส.สตม. ได้รับการร้องขอความช่วยเหลือจากหญิงไทยรายหนึ่งว่า ได้ถูกอดีตสามีซึ่งเป็นชาวปากีสถานแอบถ่ายภาพโป๊เปลือยกายของตนแล้วนำไปโพสต์ลงบน facebook และ instragram จนได้รับความอับอายและเสียหาย จึงได้สั่งการให้ กก.4 บก.สส.สตม. ทำการสืบสวนกรณีดังกล่าว จากการสืบสวนทราบว่าชาวปากีสถานดังกล่าวคือ นายซาบาส (นามสมมติ) อายุ 32 ปี โดยนายซาบาส ได้หลบซ่อนตัวอยู่ในห้องพักแห่งหนึ่งย่านรามคำแหง จึงได้ไปเฝ้าติดตามจนกระทั่งพบนายชาบาส จึงได้ทาการจับกุมตามหมายจับดังกล่าว จากการสอบถามนายซาบาส ในชั้นจับกุมให้การว่าได้ทาการสร้างเฟซอวตาร (เฟซบุ๊กปลอม) และอินสตราแกรมอวตาร (ปลอม) จากนั้นได้นำภาพถ่ายโป๊เปลือยกายของอดีตภรรยาที่ได้แอบถ่ายไว้ไปโพสต์ลงบนโซเชียลดังกล่าวจริง เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้นำตัวนายซาบาส ส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดาเนินการตามกฎหมายต่อไป

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิด ในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี 11120 หรือติดต่อตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดในพื้นที่ หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

‘หนุ่มอังกฤษ’ ใจงาม!! ออกวิ่งจาก ‘อ.แม่สาย’ สู่ ‘อ.เบตง’ ระดมเงิน 1.4 แสนบาท ช่วยเหลือเด็กกำพร้า-ยากไร้ในไทย

‘Chris Russell’ หนุ่มชาวอังกฤษออกวิ่งจากอำเภอแม่สายมาถึงอำเภอเบตงภายในระยะเวลา 50 วัน เพื่อระดมเงินให้เด็กกำพร้าและโรงเรียนยากไร้ในไทย ซึ่งขณะนี้วิ่งถึงที่หมายแล้ว พร้อมยอดบริจาคล่าสุดประมาณ 140,000 บาท

เมื่อวานนี้ (29 ก.พ. 67) Mr.Chris Russell นักวิ่งชาวอังกฤษที่ได้ออกวิ่งจาก อ.แม่สาย จ.เชียงราย มาถึง อ.เบตง จ.ยะลา ภายในระยะเวลา 50 วัน ใช้ชื่อว่า Run Thailand 2,100 KM. เพื่อหาเงินบริจาคให้เด็กกำพร้าและโรงเรียนยากไร้ในประเทศไทย ซึ่งล่าสุดได้รับบริจาคกว่า 3,962 ปอนด์ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 140,000 กว่าบาท โดย Chris Russell นักวิ่งชาวอังกฤษได้วิ่งเข้าเขตอำเภอเบตง จังหวัดยะลาแล้ว

Mr.Chris Russell นักวิ่งชาวอังกฤษ บอกว่า ตลอดเส้นทางที่วิ่งผ่านมามีประชาชนคอยให้กำลังใจมาตลอดทาง และในแต่ละวันเมื่อถึงเวลาค่ำถึงที่ไหนจะพักที่นั่นเลย ล่าสุดก่อนถึงอำเภอเบตง ได้เข้าพักที่เชิงเขารีสอร์ตอัยเยอร์เวง โดยเจ้าของรีสอร์ตให้นอนพักได้โดยไม่คิดเงิน ทำให้ซาบซึ้งในน้ำใจของคนไทยจริงๆ

ซึ่งตนได้เริ่มวิ่งตั้งแต่วันที่ 10 ม.ค.67 โดยตนได้บอกกับเพื่อนชาวอังกฤษว่าตนเดินทางมาวิ่งตามความยาวของประเทศไทย โดยได้เริ่มที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย ซึ่งเป็นจุดเหนือสุดของประเทศไทยซึ่งติดกับประเทศพม่า และไปสิ้นสุดที่ อ.เบตง จ.ยะลา ซึ่งเป็นทางใต้สุดของประเทศไทย รวมระยะทางกว่า 2,100 กม. และมีแผนจะเสร็จสิ้นภายใน 50 วัน และเมื่อถึงอำเภอเบตงแล้วจะเดินทางต่อไปประเทศมาเลเซีย เพื่อท่องเที่ยวและอาจจะเดินทางกลับกรุงเทพฯ จากสนามบินในประเทศมาเลเซีย

Chris Russell นักวิ่งชาวอังกฤษบอกทิ้งท้ายอีกว่า Run Thailand คือการระดมทุนจากมวลชนเพื่อเป็นการระดมเงินจำนวนหนึ่งเพื่อช่วยเหลือเด็ก ๆ ในประเทศไทย เงินที่ได้จากการระดมทุนทั้งหมดจะมอบให้โรงเรียนและสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในประเทศไทย ซึ่งการรับบริจาคเงินเพื่อหาเงินบริจาคให้เด็กกำพร้าและโรงเรียนยากไร้ในประเทศไทย ตนได้ลงในเว็บไซต์ของตัวเองที่ชื่อว่า https://www.justgiving.com/crowdfunding/runacrossthailand โดยได้รับบริจาคจากเพื่อน ๆ ในอังกฤษและคนไทยตามเส้นทางที่วิ่งผ่าน นอกจากได้ระดมทุนเพื่อให้เด็กกำพร้าและโรงเรียนยากไร้ ยังได้ชมวิวสวย ๆ ข้างทางอีกด้วย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top