Tuesday, 22 April 2025
จีน

เปิดประวัติบอดี้การ์ดสาวจีน อารักขานายกฯแพทองธารระหว่างเยือนปักกิ่ง

(10 ก.พ.68) เพจเฟซบุ๊กลึกชัดกับผิงผิง สื่อมวลชนจากจีน ได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับการเยือนจีนของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย โดยหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจการเดินทางเยือนจีนอย่างเป็นทางการ การมาถึงของนายกรัฐมนตรีไทยได้รับความสนใจจากชาวจีนเป็นอย่างมาก ซึ่งนอกจากจะได้รับการชื่นชมในความสวยและท่าทางที่พูดจาดีแล้ว ยังมีบอดี้การ์ดหญิงที่จีนจัดให้คอยอารักขานายกรัฐมนตรีไทยก็ได้รับความสนใจไม่น้อยเช่นกัน

บอดี้การ์ดหญิงที่กล่าวถึงคือ เหยียน เยว่เสีย (严月霞) ซึ่งถือเป็นหนึ่งในบอดี้การ์ดหญิงชื่อดังของจีน โดยเธอเกิดในครอบครัวที่มีความเชี่ยวชาญด้านการฝึกอูซูจีนที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน และมีความสามารถสูงในหลายด้าน ทั้งในด้านการยิงปืนและมวยจีน อีกทั้งยังเคยแสดงความสามารถโดยการเอาชนะนักคาราเต้ห้าคนในเวลาเดียวกันด้วยมือเปล่า นอกจากนี้ เธอยังมีความเชี่ยวชาญด้านการป้องกันภัยทางไซเบอร์ สามารถรับมือกับการโจมตีจากแฮกเกอร์ในด้านความปลอดภัยของอินเทอร์เน็ตได้อย่างดีเยี่ยม

ด้วยรูปร่างหน้าตาที่สะสวยและความสามารถในการป้องกันภัยที่โดดเด่น จึงไม่แปลกใจที่เธอได้รับการขนานนามว่าเป็น 'บอดี้การ์ดหญิงอันดับ 1 ของจีน'

ครบ 3 ปีรถไฟจีน-ลาว เชื่อมไทย-จีน ขนสินค้าดันเศรษฐกิจภูมิภาคโต สร้างการเดินทางข้ามประเทศ 1.6 ล้านครั้ง

(11 ก.พ.68) นับตั้งแต่ที่ทางรถไฟจีน-ลาวเปิดดำเนินการเมื่อกว่า 3 ปีก่อน ทางรถไฟสายนี้ไม่เพียงแต่กระชับความสัมพันธ์ระหว่างจีน-ลาว แต่ยังช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคและการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งสำหรับไทยเองแล้ว ทางรถไฟจีน-ลาวยังถือเป็นโลจิสติกส์รูปแบบใหม่สำหรับการค้ากับจีน

รายงานระบุว่าการเปิดใช้งานจุดขนถ่ายสินค้าสถานีเวียงจันทน์ใต้บนทางรถไฟจีน-ลาวอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนกรกฎาคม 2022 นับเป็นก้าวสำคัญของการเชื่อมโยงระบบรางระหว่างจีน ลาว และไทย โดยตู้คอนเทนเนอร์ซึ่งบรรทุกทุเรียน ลำไย และสินค้าอื่น ๆ จากไทยถูกนำเข้าสู่จีนผ่านทางรถไฟจีน-ลาว ส่วนสินค้าส่งออกจากจีน เช่น เบียร์และยา ถูกขนส่งสู่ไทยผ่านเส้นทางสายนี้ด้วยเช่นกัน

บริษัท การรถไฟแห่งประเทศจีน สาขานครคุนหมิง จำกัด รายงานว่ามีขบวนรถไฟสินค้าที่วิ่งผ่านทางรถไฟจีน-ลาว-ไทยโดยตรง จำนวน 272 ขบวน ในปี 2024 ซึ่งขนส่งสินค้าทั้งหมด 144,900 ตัน ตัวเลขข้างต้นเพิ่มขึ้นร้อยละ 60 และร้อยละ 71.7 เมื่อเทียบปีต่อปี ตามลำดับ

นอกจากนี้ จีนและไทยได้ร่วมกันสำรวจรูปแบบการขนส่งที่ผสมผสานระหว่างทางถนนและทางราง โดยมีการขนส่งผลไม้สด ผัก และผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำแช่เย็นจากไทยทางถนนสู่นครหลวงเวียงจันทน์ ก่อนจะขนถ่ายขึ้นขบวนรถไฟด่วนจีน-ลาวเพื่อส่งตรงถึงนครคุนหมิงของจีน ซึ่งช่วยลดต้นทุนการขนส่งและรับประกันการหมุนเวียนสินค้าที่มีประสิทธิภาพ

นอกเหนือจากการค้าแล้ว ทางรถไฟจีน-ลาวยังส่งเสริมการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนและวัฒนธรรม โดยตลอดช่วงสามปีที่ผ่านมา ปริมาณการเดินทางของผู้โดยสารต่อเดือนเพิ่มขึ้นจากกว่า 6 แสนครั้งช่วงเริ่มให้บริการ อยู่ที่มากกว่า 1.6 ล้านครั้ง ซึ่งช่วยยกระดับการเชื่อมโยงและสายสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมในภูมิภาค

เทสลาเปิดโรงงานใหม่ในเซี่ยงไฮ้ รุกอีวีเต็มสูบ กำลังผลิต 10,000 หน่วยต่อปี

(11 ก.พ. 68) เทสลา (Tesla) ผู้ผลิตรถยนต์ของสหรัฐฯ เริ่มเดินเครื่องการผลิตที่โรงงานเมกะแฟกทอรีแห่งใหม่ในนครเซี่ยงไฮ้ทางตะวันออกของจีนที่มุ่งผลิตเมกะแพ็ก (Megapack) หรือแบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน ถือเป็นการรุกขยายการดำเนินการของบริษัทในจีนอย่างมีนัยสำคัญ

รายงานระบุว่าโรงงานแห่งนี้มีกำลังการผลิตเมกะแพ็กขั้นต้น 10,000 อันต่อปี ซึ่งเทียบเท่าการกักเก็บพลังงานราว 40 กิกะวัตต์ชั่วโมง และจะช่วยสนับสนุนเป้าหมายการกักเก็บพลังงานทั่วโลกของเทสลา โดยมีการประมาณการว่าธุรกิจการกักเก็บพลังงานในปี 2025 จะเติบโตร้อยละ 50 เมื่อเทียบปีต่อปี

สำนักงานบริหารเขตพิเศษหลินกั่งของเขตการค้าเสรีนำร่อง (เซี่ยงไฮ้) แห่งประเทศจีน ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงานเทสลา ระบุว่าโรงงานแห่งใหม่ครอบคลุมพื้นที่ราว 2 แสนตารางเมตร ใช้เงินลงทุนรวมราว 1.45 พันล้านหยวน (ราว 6.76 พันล้านบาท)

ทั้งนี้ โรงงานเมกะแพ็กแห่งใหม่สามารถเดินเครื่องการผลิตจำนวนมากได้ภายในเวลาเพียง 8 เดือนหลังจากเริ่มการก่อสร้าง ซึ่งถือเป็นตัวอย่างใหม่ของ “ความเร็วแบบเทสลา” ในจีน เนื่องจากโรงงานกิกะแฟกทอรี ซึ่งเป็นโรงงานแห่งแรกของเทสลาในเซี่ยงไฮ้ ใช้เวลาก่อสร้างจนเสร็จสิ้นและเปิดทำการภายในหนึ่งปีเมื่อปี 2019

ไมค์ สไนเดอร์ รองประธานเทสลา กล่าวระหว่างพิธีเปิดโรงงานฯ ว่าเราได้เห็นความเร็วอันน่าเหลือเชื่อของเซี่ยงไฮ้และเทสลาอีกครั้ง และมั่นใจว่าโรงงานแห่งใหม่จะเป็นรากฐานสำคัญของเครือข่ายการผลิตระดับโลกของเทสลา

‘BCN’ บริษัทวิจัยตลาดของญี่ปุ่น เผยข้อมูล!! แบรนด์ทีวีที่ขายดี ‘ทีวีแบรนด์จีน’ ยึดครึ่งหนึ่ง ของตลาดญี่ปุ่น ได้สำเร็จ!!

(12 ก.พ. 68) ในปีที่ผ่านมา ไฮเซนส์ (Hisense) กลายเป็นแบรนด์ทีวีที่ขายดีที่สุดในญี่ปุ่น ด้วยส่วนแบ่งตลาด 41.1% โดยแบ่งเป็น REGZA ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ไฮเซนส์เข้าซื้อจากโตชิบา คิดเป็น 25.4% และทีวีภายใต้ชื่อแบรนด์ไฮเซนส์เองอีก 15.7% ส่วน TCL ครองส่วนแบ่งตลาด 9.7% แซงหน้าแบรนด์ญี่ปุ่นอย่าง โซนี่ (Sony) และพานาโซนิค (Panasonic)

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทีวีจีนได้รับความนิยมคือ คุณภาพสูงในราคาที่เข้าถึงได้ โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้ความต้องการทีวีสมาร์ทในญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นอย่างมาก ไฮเซนส์และ TCL ใช้กลยุทธ์ ราคาคุ้มค่า และเทคโนโลยีล้ำสมัย ดึงดูดผู้บริโภค

ยกตัวอย่างเช่น ทีวีไฮเซนส์ขนาด 55 นิ้ว ที่จำหน่ายในญี่ปุ่น มีราคาเพียงไม่ถึง 100,000 เยน (ประมาณ 23,000 บาท) ในขณะที่ทีวีขนาดเดียวกันของพานาโซนิคราคาเกือบ สองเท่า นอกจากนี้ ผู้บริโภครุ่นใหม่ในญี่ปุ่นหันมาให้ความสนใจแบรนด์จีนมากขึ้น โดยพวกเขามักศึกษาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตก่อนตัดสินใจซื้อ

"สมัยก่อน คนญี่ปุ่นจะเลือกซื้อทีวีแบรนด์ญี่ปุ่นเป็นหลัก แต่ตอนนี้แนวคิดนั้นเริ่มเปลี่ยนไป โดยเฉพาะในหมู่คนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับฟังก์ชันและราคา มากกว่าชื่อแบรนด์" พนักงานร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าในโตเกียวให้สัมภาษณ์

ในอดีต ทีวีจีนมักถูกมองว่าเป็น "ของราคาถูก คุณภาพต่ำ" แต่สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว ปัจจุบันแบรนด์จีนไม่เพียงแต่ครองตลาดระดับกลางและล่าง แต่ยังเริ่มรุกตลาดทีวีระดับพรีเมียมอีกด้วย

เทรนด์ที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่น กำลังเกิดขึ้นในตลาดโลกเช่นกัน ซัมซุง และ LG ซึ่งเคยครองตลาดทีวีระดับไฮเอนด์ กำลังสูญเสียส่วนแบ่งให้ไฮเซนส์และ TCL

รายงานจาก Counterpoint Research ระบุว่า การเติบโตของแบรนด์จีนกำลัง "ทำลายการผูกขาด" ของแบรนด์เกาหลีใต้ในตลาดทีวีระดับไฮเอนด์ โดยเฉพาะในกลุ่ม OLED, QD LCD และ MiniLED LCD

ทีวีจีนไม่ได้เป็นเพียงแค่ "ทางเลือกที่ถูกกว่า" อีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม หากแนวโน้มนี้ยังดำเนินต่อไป อาจเห็นแบรนด์จีนครองตลาดโลกได้มากขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

จีนจี้ทรัมป์ลดงบกลาโหม ตามนโยบาย America First ก่อนจะมาบีบจีน-รัสเซีย ให้ลดงบประมาณทางทหาร

(14 ก.พ.68) กระทรวงการต่างประเทศจีนกล่าวว่า สหรัฐฯ ควรยึดหลัก 'อเมริกาเป็นอันดับแรก' และควรเป็นผู้นำในการลดการใช้จ่ายด้านการทหาร โดยตั้งตนเป็นตัวอย่างในการลดงบประมาณทางทหาร

ก่อนหน้านี้เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ได้ประกาศว่าเขาวางแผนจะพบกับผู้นำของจีนและรัสเซียเพื่อหารือเกี่ยวกับการลดความตึงเครียดทางการทหาร โดยเฉพาะในเรื่องของอาวุธนิวเคลียร์

เรื่องดังกล่าวส่งผลให้กัว เจียคุน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวกับผู้สื่อข่าว ว่า "เนื่องจากสหรัฐฯ ยึดหลัก 'อเมริกาเป็นอันดับแรก' ควรตั้งตนเป็นตัวอย่างและเริ่มลดการใช้จ่ายด้านการทหารก่อน"

เขายังกล่าวเพิ่มเติมว่า การใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศของจีน "โปร่งใส เปิดเผย มีเหตุผล และพอเหมาะ" โดยเมื่อเทียบกับมหาอำนาจทางทหารเช่นสหรัฐฯ การใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศของจีน 'ค่อนข้างต่ำ' ไม่ว่าจะเป็นเปอร์เซ็นต์ของ GDP ส่วนแบ่งของงบประมาณรัฐบาล หรือการใช้จ่ายด้านการทหารต่อหัว

แม้ว่าจีนจะมีนโยบายทางทหารที่เน้นการป้องกัน และไม่เข้าร่วมในความขัดแย้งใดๆ แต่ก็ยังคงเพิ่มงบประมาณการป้องกันประเทศทุกปีอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2023 การใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศเพิ่มขึ้น 7.2% โดยมีมูลค่ารวม 220 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และในปี 2024 ก็เพิ่มขึ้นอีก 7.2% ทำให้มูลค่ารวมอยู่ที่ 231.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ งบประมาณการป้องกันประเทศที่เสนอสำหรับปี 2025 จะถูกเปิดเผยในวันที่ 5 มีนาคม เมื่อเปิดการประชุมสภานิติบัญญัติประจำปี

TikTokกลับมาแล้ว!! ดาวน์โหลดได้อีกครั้งในสหรัฐฯ หลังถูกถอดออกจากแอปสโตร์

(14 ก.พ.68) หลังจากที่ถูกถอดออกจากแอปสโตร์ของแอปเปิ้ล (Apple) และเพลย์สโตร์ของกูเกิล (Google) เป็นเวลาหลายสัปดาห์ ติ๊กต๊อก (TikTok) ได้กลับมาพร้อมให้ดาวน์โหลดอีกครั้งในสหรัฐอเมริกา ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากที่แอปถูกถอดออกตามการบังคับใช้กฎหมายห้ามแอปจากจีนที่ได้รับการอนุมัติเมื่อปีที่แล้ว

อย่างไรก็ตาม อนาคตของติ๊กต๊อกยังไม่ชัดเจน เนื่องจากกฎหมายที่บังคับให้ไบต์แดนซ์ (ByteDance) เจ้าของแอปต้องขายกิจการเพื่อตอบสนองข้อกังวลด้านความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 19 มกราคมที่ผ่านมา

แต่แล้วการกลับมาของติ๊กต๊อกเกิดขึ้นเมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเลื่อนการบังคับใช้คำสั่งห้ามดังกล่าว โดยในวันที่ 20 มกราคม ซึ่งเป็นวันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง ผู้นำสหรัฐฯ ลงนามขยายเวลาบังคับใช้คำสั่งดังกล่าวออกไปอีก 75 วัน จนถึงวันที่ 5 เมษายน

แม้ติ๊กต๊อกจะถูกถอดออกจากแพลตฟอร์มดิจิทัลทั้งสองแห่งนานเกือบเดือน แต่ข้อมูลจากคลาวด์แฟลร์ (Cloudflare Radar) ระบุว่าแอปสามารถฟื้นคืนยอดการเข้าชมได้ถึง 90% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้านี้

‘สหรัฐฯ’ หยุดจ่ายเงิน!! ‘BBC’ หันมาชม!! ‘จีน’

(15 ก.พ. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘ลึกชัดกับผิงผิง’ โพสต์ข้อความระบุว่า …

หลายวันก่อน อีลอน มัสก์ปิดองค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศแห่งสหรัฐอเมริกา (USAID)โดยตรง มิเพียงแต่เลิกจ้างพนักงานทั่วโลกจำนวนกว่าหมื่นคนเท่านั้น และยังตัดงบประมาณที่มียอดกว่า 50,000ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี 

เรื่องนี้ทำให้ BBC โกรธมาก และหันมาชมจีนอย่างเต็มที่ ทีมงานของอีลอน มัสก์เปิดโปงว่าแต่ละปี สื่อจำนวนมากของสหรัฐอเมริกาและยุโรปล้วนได้เงินไม่น้อยจาก USAID ส่วน BBC ที่บอกว่าตัวเองเป็นสื่ออิสระและเป็นกลางนั้น ก็มีค่าตอบแทนเช่นกัน โดยแต่ละปีจะได้รับจากUSAIDหลายสิบล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อ 1 เดือนก่อน สารคดีของ BBC ส่วนใหญ่บอกว่าจีนแย่แล้ว จีนจะพังแล้ว แต่หลังจากวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ที่อีลอน มัสก์ตัดงบฯ แล้ว ทำให้ BBC โกรธมาก จึงเร่งพนักงานผลิตสารคดีเรื่อง 'โครงการเมดอินไชน่า 2025' ภายในเวลาไม่กี่วัน และออกอากาศด้วย 

สารคดีเรื่องนี้ชมจีนอย่างเต็มที่ อย่างเช่นโดรนทันสมัยนำหน้าของจีน รถยนต์พลังงานใหม่ของ BYD โครงการโซลาร์เซลล์ และ Deepseek เป็นต้น โดยไม่มีคำตำหนิใส่ร้ายใด ๆ มีแต่พูดเรื่องดี ๆ เท่านั้น 

สุดท้าย พิธีกรได้คำสรุปว่า 'โครงการเมดอินไชน่า 2025' ของจีนประสบความสำเร็จอย่างบริบูรณ์ สาเหตุคือ ระบบของจีน ความอดทนและการวางแผนระยะยาวของรัฐบาลจีน 

BBC ชอบรายงานจีนในเชิงลบ กระทั่งสร้างข่าวปลอมเกี่ยวกับจีน อย่างเช่นเหตุการณ์ผ้าฝ้ายซินเจียง แต่หลังจากอีลอน มัสก์ตัดงบฯ แล้ว BBC เปลี่ยนท่าทีจากผู้ต้านจีนมาเป็นผู้สนิทกับจีนทันที 

ดิฉันคิดว่า BBC ทำสารคดีดังกล่าว คงไม่ใช่สนิทกับจีนจริง ๆ แต่เป็นการเตือนสหรัฐฯ ว่า ถ้าไม่จ่ายเงินต่อ วันหลังก็จะไม่ทำตามคำสั่งอีกแล้ว ทีมงานของอีลอน มัสก์โพสต์ข้อความและยืนยันว่า USAIDให้เงินสนับสนุนแก่ผู้สื่อข่าวจำนวนกว่า 6,200 คน สื่อ 707 แห่ง และองค์การภาคเอกชน 279 แห่งของ 30 ประเทศ

‘รัฐบาลจีน’ ดึง ‘แจ๊ก หม่า - เหลียง เหวินเฟิง’ ร่วมประชุม ส่งสัญญาณ!! รัฐหนุนภาคเอกชน

(15 ก.พ. 68) จีนเชิญแจ๊ก หม่า (Jack Ma) ผู้ร่วมก่อตั้งอาลีบาบา กรุ๊ป (Alibaba Group) และเหลียง เหวินเฟิง (Liang Wenfeng) ผู้ก่อตั้งดีปซีก (DeepSeek) เข้าร่วมประชุมกับผู้บริหารระดับสูงที่อาจจะเกิดขึ้นในสัปดาห์หน้า ซึ่งคาดว่าสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีนจะเข้าร่วมการประชุมดังกล่าวด้วยเช่นกัน

ตารางนัดหมายการประชุมยังถูกปกปิดเป็นความลับและยังไม่มีความชัดเจนจนถึงปัจจุบัน แต่การพบปะกันระหว่างสี จิ้นผิง และแจ๊ก หม่า ส่งสัญญาณอย่างชัดเจนว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะมีการสนับสนุนภาคเอกชนมากขึ้น หลังปล่อยให้เผชิญความระส่ำระสายมานานหลายปี

แจ๊ก หม่า นักธุรกิจรายใหญ่ของจีนผู้ซึ่งกล้าพูดตรงไปตรงมา กลายเป็นเหยื่อรายสำคัญที่ได้รับผลกระทบจากการปราบปรามภาคอสังหาฯเมื่อปี 2020 ของสี จิ้นผิง เมื่อรัฐบาลจีนช็อกผู้คนทั่วโลกด้วยการสกัดแผน IPO ของแอนท์ กรุ๊ป (Ant Group) ฟินเทคยักษ์ใหญ่ของแจ๊ก หม่า ซึ่งทำให้แจ๊ก หม่า สูญเงิน 35,000 ล้านดอลลาร์ในพริบตา และต้องหายจากหน้าสื่อไปหลายเดือน 

ทั้งนี้ สารสนเทศของคณะมุขมนตรีจีน (State Council Information Office) ไม่ได้ตอบสนองต่อคำถามเกี่ยวกับการประชุมดังกล่าวจากทางรอยเตอร์ เช่นเดียวกับตัวแทนของดีปซีกและอาลีบาบา

ปัจจุบัน รัฐบาลจีนดำเนินวิธีการที่ชวนวิวาทน้อยลง หลังเศรษฐกิจจีนเติบโตชะลอตัวและบริษัทต่าง ๆ อย่างอาลีบาบาปรับตัวให้สอดคล้องกับแนวทางการผลักดันทางปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของสี จิ้นผิง

ขณะที่ เหลียง เหวินเฟิง กลายเป็นผู้นำด้านเอไอเพียงคนเดียวที่ได้รับเลือกให้เข้าร่วมวงประชุมเปิดระหว่างผู้ประกอบการกับผู้มีอำนาจสูงสุดเป็นอันดับ 2 ของประเทศอย่าง หลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน ในวันที่ 20 มกราคม 2025 ด้านแจ๊ก หม่า ก็เริ่มค่อย ๆ ปรากฏตัวในที่สาธารณะมากขึ้น ได้มอบสุนทรพจน์เกี่ยวกับเอไอแก่พนักงานแอนท์ กรุ๊ป เมื่อเดือนธันวาคม 2024

‘Apple’ เลือกใช้ AI ของ 'อาลีบาบา' หวังเพิ่มทางรอดธุรกิจ ในสมรภูมิ!! 'สงครามการค้า' ระหว่าง ‘สหรัฐฯ - จีน’

(16 ก.พ. 68) แอปเปิล (Apple) กำลังพยายามปรับโฉมใน “จีน” ครั้งใหญ่ด้วย เทคโนโลยี AI ที่จะเปิดตัวภายในกลางปี 2568 เพื่อเพิ่มยอดขายใจตลาดสำคัญ เดิมพันครั้งใหญ่ในการเพิ่มยอดขาย แต่ Apple ต้องเผชิญกับอุปสรรคสำคัญในการเปิดตัวฟีเจอร์ดังกล่าวในประเทศจีน เนื่องจากกฎระเบียบของรัฐบาลจีนไม่อนุญาตให้ Apple นำความร่วมมือกับ OpenAI ผู้ผลิต ChatGPT เข้ามาในประเทศได้

เมื่อวันที่ 13 ก.พ.ที่ผ่านมา “โจ ไช่” ประธานของอาลีบาบา (Alibaba) เปิดเผยว่า บริษัทจะร่วมมือกับ Apple ในด้านเทคโนโลยี AI สำหรับ iPhone ที่จำหน่ายในประเทศจีน 

ถึงแม้ความร่วมมือกับ Alibaba จะช่วยให้ Apple เข้าใกล้เป้าหมายการเปิดตัว Apple Intelligence ในประเทศจีนมากขึ้น แต่ก็ยังมีอุปสรรคด้านกฎระเบียบบางประการที่ต้องก้าวผ่านไปให้ได้ อาจเป็นเหตุผลให้ Apple Intelligence ซึ่งเป็น AI ที่บริษัทได้พัฒนาขึ้นตั้งแต่ปี 2566 จึงยังไม่ได้เปิดตัวสู่ตลาดต่างประเทศที่สำคัญที่สุดของ Apple

ก่อนหน้านี้ Apple ทดสอบโมเดลและหารือถึงความร่วมมือกับบริษัทชั้นนำด้าน AI ของจีนหลายราย เช่น Baidu, ByteDance, Moonshot, Zhipu และ Tencent รวมถึงทดสอบโมเดลของ DeepSeek ด้วยเช่นกัน  

หลังจากที่ประธานาธิบดี “โดนัล ทรัมป์” ได้ประกาศมาตรการเก็บภาษีศุลกากรรอบใหม่กับจีน 10% ซึ่งเป็นฐานการผลิตที่ใหญ่ที่สุดของ Apple ซึ่งยังไม่มีความชัดเจนว่า Apple จะได้รับการยกเว้นจากภาษีศุลกากรครั้งนี้หรือไม่ ในขณะเดียวกันทางการจีนกำลังดำเนินการตรวจสอบค่าธรรมเนียมและนโยบายการดำเนินงานต่างๆ ของ App Store

สิ่งที่สร้างความยุ่งยากมากกว่านั้นคือ การที่ Apple ถูกดึงเข้ามาอยู่ในสถานะผู้ต่อรองในสงครามการค้าโดยไม่เต็มใจ โดยมีรายงานว่า Apple ถูกรวมอยู่ในรายชื่อบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ ที่อาจถูกจับตามองจากทางการจีน ในฐานะส่วนหนึ่งของการเจรจาต่อรองกับรัฐบาลทรัมป์

หลังจากที่สหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนในอัตรา 10% ไม่นาน ปักกิ่งได้ตอบโต้ด้วยการเปิดการสอบสวน Google ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ Alphabet Inc. แม้การสอบสวนดังกล่าวจะถือเป็นเพียงการส่งสัญญาณเตือนเท่านั้น เนื่องจาก Google มีธุรกิจในจีนเหลืออยู่น้อยมาก แต่ในกรณีของ Apple นั้นแตกต่างออกไป เพราะบริษัทยังคงพึ่งพารายได้ส่วนใหญ่จากตลาดผู้บริโภคในจีน

เมื่อปีที่แล้ว หน่วยงานกำกับดูแลชั้นนำของจีนได้ระบุกับ Financial Times ว่า Apple จำเป็นต้องร่วมมือกับบริษัทจีนเพื่อให้สามารถผ่านขั้นตอนการอนุมัติได้ง่ายยิ่งขึ้น 

การผนึกกำลังด้าน AI ระหว่าง Alibaba และ Apple เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สำคัญสำหรับ Apple ซึ่งกำลังเผชิญกับยอดขาย iPhone ที่ลดลงในประเทศจีน ท่ามกลางการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากคู่แข่งท้องถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Huawei

นักวิเคราะห์ในอุตสาหกรรมชี้ให้เห็นว่า การขาดคุณสมบัติ AI ขั้นสูง ซึ่งเป็นจุดขายที่สำคัญของสมาร์ตโฟนรุ่นล่าสุด เป็นจุดอ่อนที่สำคัญสำหรับ Apple ในตลาดจีน

Apple สูญเสียตำแหน่งผู้นำในตลาดสมาร์ตโฟนจีนให้กับผู้ผลิตในประเทศ แสดงให้เห็นถึงการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดจีน และความท้าทายที่ Apple กำลังเผชิญอยู่ โดย Canalys พบว่ายอดขาย iPhone ในประเทศจีนลดลงถึง 17% ในปี 2024 

อีกหนึ่งความท้าทายที่ Apple เผชิญคือ การที่ฟีเจอร์ AI ใหม่ ๆ จะสามารถกระตุ้นให้ผู้บริโภคยอมจ่ายเงินซื้อผลิตภัณฑ์ของ Apple หรือไม่ เนื่องจากผู้บริโภคในปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น

นักวิเคราะห์บางคนคาดการณ์ว่า Apple Intelligence จะช่วยส่งเสริมให้บริษัทประสบความสำเร็จในประเทศจีนในช่วงที่ยอดขายสมาร์ทโฟนของบริษัทลดลงอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงจากผู้ผลิตสมาร์ทโฟนในประเทศ เช่น Huawei, Xiaomi และ Vivo

Ethan Qi รองผู้อำนวยการบริษัท Counterpoint กล่าวว่า ตลาดสมาร์ทโฟนของจีนมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวในไตรมาสสุดท้ายของปี 2024 โดยยอดขายโดยรวมลดลง 3.2% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เนื่องจากผู้บริโภค “ระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น” และหลังจากมีข่าวลือเกี่ยวกับข้อตกลงระหว่าง Apple และ Alibaba นักวิเคราะห์จาก Jefferies ระบุว่า ข้อตกลงนี้ไม่น่าจะช่วยกระตุ้นยอดขาย iPhone 17 ในประเทศจีนได้

อย่างไรก็ดี นี่ไม่ใช้ครั้งแรกที่ทั้ง 2 บริษัททำธุรกิจร่วมกัน ในปี 2557 ทิม คุก CEO ของ Apple ได้กล่าวถึงความเป็นไปได้ในการ "แต่งงาน" ระหว่าง Apple Pay และแพลตฟอร์มการชำระเงินของ Alibaba อย่าง Alipay โดยแสดงความชื่นชมต่อผู้ก่อตั้งบริษัทอย่าง Jack Ma เขาบอกว่าเขาชอบทำงานร่วมกับ "คนที่ผลักดันเรา และเราก็ชอบผลักดันพวกเขา"

เปิดประวัติ หลิวจงอี้ ตำรวจระดับพระกาฬ มือปราบแห่งชาติจีน กับภารกิจล่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์

(18 ก.พ.68) หลิว จงอี้ ชื่อนี้กลายเป็นที่คุ้นหูของสื่อไทยและชาวไทยไปโดยปริยาย จากบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์และปราบปรามการฉ้อโกงออนไลน์ รวมถึงการมีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือ ซิงซิง เหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ถูกหลอกล่อไปยังเมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะสามารถนำตัวเธอกลับมาได้สำเร็จ

ภารกิจของหลิวไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น เขาเดินทางมายังประเทศไทยเพื่อหารือกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านความมั่นคง อาทิ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจไซเบอร์ เพื่อกระชับความร่วมมือระหว่างจีนและไทย ในการปราบปรามขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ปักหลักในพื้นที่เมืองเมียวดี จนนำไปสู่การพบปะกับนายภูมิธรรม เวชชยชัย รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งท้ายที่สุดได้มีมาตรการตัดกระแสไฟฟ้าไปยังเมืองที่เป็นศูนย์กลางของเครือข่ายมิจฉาชีพบริเวณชายแดน

ล่าสุด หลิวเดินทางไปยังเมืองเมียวดี เพื่อติดตามปฏิบัติการกวาดล้างเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์ตามบัญชีดำของจีน รวมถึงเข้าเยี่ยมชาวต่างชาติที่ได้รับการช่วยเหลือจากกองกำลัง BGF (Border Guard Force) ออกจากเขตสแกมเมอร์ในชเวโก๊กโก่ ซึ่งกลุ่มผู้รอดพ้นจากขบวนการฉ้อโกงเหล่านี้กำลังได้รับการดูแลที่ศูนย์พักคอยของ BGF นอกจากนี้ เขายังได้พบปะและเจรจากับผู้นำกลุ่มต่างๆ ในเมียนมา เพื่อเสริมสร้างแนวทางความร่วมมือด้านความมั่นคง

เส้นทางอาชีพของหลิว จงอี้ ไม่ธรรมดา เขาเป็นหนึ่งในตำรวจที่มีชื่อเสียงด้านการคลี่คลายคดีซับซ้อนที่หลายคนไม่สามารถแก้ไขได้ ด้วยผลงานที่โดดเด่น เขาได้รับรางวัล 'ตัวอย่างด้านความมั่นคงสาธารณะ' ระดับประเทศในปี 2560 ขณะดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงานสืบสวนคดีอาญา กระทรวงความมั่นคงสาธารณะ

ตามข้อมูลจาก Baidu ระบุว่า หลิวเกิดเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2508 และสำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยตำรวจมณฑลเฮยหลงเจียงในระดับปริญญาตรี ปัจจุบัน นอกจากจะเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี เขายังดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการพรรคและผู้อำนวยการกองบัญชาการที่ 5 ของกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ

ชื่อของหลิวจงอี้ ปรากฏอยู่ในสื่อจีนว่าเป็นนักสืบระดับชาติที่รับมือกับคดีสำคัญที่ 'ร้ายแรง' และ 'ซับซ้อน' มาแล้วนับพันคดี เขาลงพื้นที่สืบสวนอาชญากรรมมากกว่า 200 วันต่อปี และมีบทบาทสำคัญในการคลี่คลายคดีใหญ่ ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อสังคมจีน

หนึ่งในภารกิจที่สำคัญของเขาคือการรื้อฟื้นคดีฆาตกรรมที่ยังไม่สามารถปิดคดีได้ถึง 9 คดี ซึ่งเกิดขึ้นตลอดช่วงหลายทศวรรษหลังการปฏิรูปและเปิดประเทศของจีน โดยหนึ่งในคดีที่สะเทือนขวัญที่สุดคือคดีข่มขืนและฆาตกรรมต่อเนื่องในเมืองไป๋หยิน มณฑลกานซู่ ซึ่งกินเวลานานเกือบ 30 ปี ก่อนจะสามารถจับกุมตัวคนร้ายได้ในที่สุด

อีกตัวอย่างของฝีมือการสืบสวนของหลิว คือคดีฆาตกรรมเด็กชายสองคนในเมืองเหอหยวน มณฑลกวางตุ้ง เมื่อปี 2558 หลังจากเกิดเหตุ หลิวเข้าตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุด้วยตนเองและพบว่าไม่มีหลักฐานสำคัญให้ติดตาม เขาจึงจัดตั้งทีมพิเศษเพื่อวิเคราะห์ภาพจากกล้องวงจรปิดและสืบสวนจนสามารถจับกุมคนร้ายได้ภายในเวลาเพียง 5 วัน

หลิวจงอี้ เคยกล่าวว่า เขายึดมั่นในหลักการทำงานที่ว่าการสืบสวนอาชญากรรมต้องมีความรับผิดชอบ เนื่องจากอาชญากรรมหนึ่งครั้งอาจส่งผลกระทบต่อหลายครอบครัวและความมั่นคงของสังคมโดยรวม "ไม่ว่าคดีนั้นจะยากและซับซ้อนแค่ไหน ผมก็พร้อมจะรับผิดชอบเสมอ และไม่เคยหลีกเลี่ยงการพูดความจริง" 

ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปีในการทำงาน เขาไต่เต้าจากตำแหน่งหัวหน้าสถานีตำรวจในมณฑลเฮยหลงเจียง สู่ตำแหน่งกัปตันหน่วยสืบสวน และในที่สุดก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในนักสืบที่มีบทบาทสำคัญระดับประเทศ ไม่ว่าในช่วงที่เขาทำงานภาคสนามเป็นเวลา 26 ปี หรือช่วง 6 ปีในกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ เขายังคงรักษามาตรฐานการทำงานที่เข้มงวดและมีประสิทธิภาพในการปราบปรามอาชญากรรมอย่างต่อเนื่อง

ในปี 2562 หลิวนำทีมแถลงข่าวเกี่ยวกับปฏิบัติการช่วยเหลือผู้หญิงที่ถูกลักพาตัวไปค้าประเวณีและแต่งงานปลอมกว่า 1,000 ราย โดยเป็นความร่วมมือระหว่างจีน เมียนมา กัมพูชา ลาว ไทย และเวียดนาม ภายในการดำเนินงานเพียงหกเดือนตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงธันวาคม 2561 เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้ต้องสงสัย 1,332 ราย ซึ่งรวมถึงชาวต่างชาติ 262 ราย และช่วยเหลือเด็ก 17 ราย

หนึ่งในคดีที่ได้รับความสนใจจากประชาชนจีน คือเหตุการณ์ทำร้ายร่างกายผู้หญิงในร้านบาร์บีคิวที่เมืองถังซาน มณฑลเหอเป่ย ซึ่งเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วประเทศ หลิวในฐานะผู้อำนวยการสำนักงานสอบสวนอาชญากรรมขณะนั้น ได้เข้ามากำกับดูแลคดีโดยตรง และยืนยันต่อสาธารณชนว่าทางการจีนจะดำเนินคดีอย่างจริงจัง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top