Monday, 9 June 2025
จีน

ปราบพนันออนไลน์-คอลเซ็นเตอร์ไม่ยั้ง ทูตจีนแถลงขยายความร่วมมือยับยั้งอาชญากรรมข้ามชาติ

สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ออกแถลงการณ์ในวันนี้ (18 ก.พ.68) ระบุว่า เอกอัครราชทูตหาน จื้อเฉียง ได้หารือเชิงลึกกับฝ่ายไทยเกี่ยวกับความร่วมมือในการปราบปรามการพนันออนไลน์และอาชญากรรมฉ้อโกง แถลงการณ์ที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ของสถานทูตจีนระบุว่า

“เมื่อเร็ว ๆ นี้ นายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยเข้าพบนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของไทย และมีการติดต่อประสานงานกับนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และหารือเชิงลึกเกี่ยวกับประเด็นความร่วมมือในการปราบปรามการพนันออนไลน์และอาชญากรรมฉ้อโกงในเมืองเมียวดีและสถานที่อื่น ๆ รวมถึงการช่วยเหลือพลเมืองจีนที่ติดอยู่ที่เมียวดี

เอกอัครราชทูตหานระบุว่า การเยือนจีนอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตรเมื่อไม่กี่วันก่อน ประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์ ผู้นำทั้งสองประเทศแสดงความมุ่งมั่นในการปราบปรามการฉ้อโกง การพนันออนไลน์ และอาชญากรรมข้ามชาติที่เกี่ยวข้อง หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของทั้งสองประเทศดำเนินการอย่างรวดเร็วและบรรลุผลเบื้องต้น หวังว่าทั้งสองฝ่ายจะให้ความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้นในขั้นต่อไป และทำงานร่วมกับฝ่ายที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ เพื่อเสริมสร้างกลไกความร่วมมือ เร่งดำเนินการ และขจัดอาชญากรรมข้ามพรมแดนที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อทรัพย์สินและความปลอดภัยในชีวิตของประชาชนอย่างร้ายแรงให้หมดสิ้นไป

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และนายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศขอบคุณฝ่ายจีนที่ให้การต้อนรับนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตรอย่างอบอุ่น และกล่าวชื่นชมบทบาทสำคัญของการเยือนครั้งนี้ในการส่งเสริมการพัฒนาความสัมพันธ์ไทย-จีนในทุก ๆ มิติ เน้นย้ำว่าไทยให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อความร่วมมือระหว่างประเทศในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ เช่น การพนันออนไลน์และการฉ้อโกง และได้ดำเนินมาตรการที่มีประสิทธิภาพหลายประการ และยินดีที่จะเสริมสร้างความร่วมมือกับจีนต่อไปบนพื้นฐานของความร่วมมือที่ดีที่มีอยู่ และร่วมกันสร้างสภาพแวดล้อมที่มีความปลอดภัยสำหรับประชาชนของทุกประเทศในภูมิภาค”

ระดมทีม All-Star! เปิดลิสต์ผู้นำบริษัทเทคจีนร่วมโต๊ะหารือสีจิ้นผิง

เมื่อวันที่ (17 ก.พ. 68) ที่ผ่านมา สำนักข่าวซีซีทีวีของจีนเปิดเผยว่า ประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ผู้นำจีนได้จัดประชุมสัมมนานัดพิเศษ เพื่อเพื่อส่งเสริมการพัฒนาภาคเอกชนของจีนที่ทำเนียบรัฐบาลจีนในกรุงปักกิ่ง  โดยประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ได้พบปะกับผู้ประกอบการจากภาคเอกชนที่มีชื่อเสียงหลายราย

ที่น่าสนใจคือมีตัวแทนจากภาคธุรกิจสายเทคโนโลยีของจีนรายใหญ่หลายรีาย เข้าร่วมการหารือดังกล่าว อาทิ 

เหริน เจิ้งเฟย (Ren Zhengfei) – ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ หัวเว่ย (Huawei) ผู้นำระดับโลกด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยี 5G

หวัง ฉวนฝู (Wang Chuanfu) – ประธานและซีอีโอของ BYD บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของจีน

หลิว หยงห่าว (Liu Yonghao) – ผู้ก่อตั้งบริษัท New Hope ผู้ผลิตอาหารสัตว์รายใหญ่ของจีน

อวี๋ เหรินหรง (Yu Renrong) – ผู้ก่อตั้งและประธานของ Will Semiconductor บริษัทเซมิคอนดักเตอร์ชั้นนำของจีน

หวัง ซิงซิง (Wang Xingxing) – ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Unitree Robotics ผู้พัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และหุ่นยนต์

เล่ย จุน (Lei Jun) – ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Xiaomi บริษัทสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์ IoT ชั้นนำ

นอกจากนี้  CMG สื่อท้องถิ่นจีนยังเผยให้เห็นผู้บริหารระดับสูงที่คุ้นหน้าคุ้นตาเข้าร่วมประชุม เช่น

โพนี่ หม่า (Pony Ma) – ซีอีโอของ Tencent ยักษ์ใหญ่ด้านเกมและโซเชียลมีเดีย

แจ็ค หม่า (Jack Ma) – ผู้ก่อตั้ง Alibaba บริษัทอีคอมเมิร์ซและเทคโนโลยีระดับโลก

และรวมถึง เหลียง เหวินเฟิง (Liang Wenfeng) – ผู้ก่อตั้ง DeepSeek บริษัทสตาร์ทอัพด้านปัญญาประดิษฐ์ที่กำลังมาแรงในเวลานี้ 

ไฮไลท์สำคัญของการประชุมนี้คือการปรากฏตัวของ ‘แจ็ค หม่า’ผู้ก่อตั้ง Alibaba ที่หายหน้าไปจากสื่อในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ก่อนที่จะกลับมาในงานฉลองครบรอบ 20 ปี ของ Ant Group เมื่อปลายปี 2024 หลังจากหายไปนานถึง 4 ปี การที่เขามาพบ สี จิ้นผิง จึงเป็นสัญลักษณ์สำคัญของการเปลี่ยนท่าทีของรัฐบาลจีนที่เริ่มหันมาสนับสนุนภาคเอกชน โดยเฉพาะในกลุ่มเทคโนโลยี

ในการกล่าวสุนทรพจน์ของ สี จิ้นผิง เขาเน้นถึงการขจัดอุปสรรคในการใช้ทรัพยากรอย่างเท่าเทียมและส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรม พร้อมทั้งยืนยันจะสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนสำหรับบริษัทเอกชน ซึ่งเป็นการตอบโจทย์ความต้องการของภาคธุรกิจที่ประสบปัญหาในการเข้าถึงเงินทุน

ช่วงหลายปีที่ผ่านมาบริษัทเอกชนจีนโดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยีเผชิญแรงกดดันจากการควบคุมของภาครัฐ ทำให้บรรยากาศในวงการเทคโนโลยีจีนเข้าสู่ยุคมืด มูลค่าหุ้นและผลประกอบการได้รับผลกระทบหนัก ส่งผลให้หลายซีอีโอถอยห่างจากสื่อ ซึ่งแจ็ค หม่าเป็นหนึ่งในนั้น

การที่รัฐบาลจีนเรียกบิ๊กเทคจีนเข้าพบครั้งนี้จึงเป็นสัญญาณสำคัญของการผ่อนคลายมาตรการ และสะท้อนถึงการที่จีนกำลังมองเห็น AI และเทคโนโลยีเป็นเครื่องยนต์สำคัญในการพัฒนาประเทศในอนาคต

ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าการประชุมสัมมนาครั้งนี้เป็นสัญญาณเชิงบวกต่อภาคเอกชนของจีน โดยเน้นย้ำว่าธุรกิจเอกชนเป็นพลังสำคัญของการพัฒนาเทคโนโลยีในประเทศ ปัจจุบัน ภาคเอกชนจีนมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจ โดยคิดเป็น 48.6% ของการค้าต่างประเทศ 56.5% ของการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร 59.6% ของรายได้ภาษี และมีส่วนในการสร้าง GDP มากกว่า 60% นอกจากนี้ ยังเป็นแหล่งคิดค้นนวัตกรรมกว่า 70% และสร้างการจ้างงานในเขตเมืองมากกว่า 80%

หลี่ หย่ง หัวหน้านักวิจัยจากสถาบัน D&C Think Tank ให้สัมภาษณ์กับ CGTN ว่าการคัดเลือกบริษัทเอกชนชั้นนำเข้าร่วมประชุมสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลจีนในการสนับสนุนเทคโนโลยีเอกชน โดยย้ำว่าการพัฒนาภาคเอกชนเป็นรากฐานของ "สังคมนิยมที่มีลักษณะจีน"

หนึ่งในประเด็นสำคัญที่กล่าวถึงคือการปฏิเสธแนวคิด "เอกชนต้องถอยจากเศรษฐกิจ" (Exit Theory) พร้อมยืนยันว่าตำแหน่งของภาคเอกชนมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐ โดยรัฐบาลจีนยังคงสนับสนุน และสภาพแวดล้อมการลงทุนจะยังคงเหมือนเดิม

ตามมติของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ออกเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2024 จีนจะเพิ่มการลงทุนในอุตสาหกรรมอนาคต เช่น AI เทคโนโลยีสารสนเทศรุ่นใหม่ การบินและอวกาศ พลังงานใหม่ วัสดุใหม่ อุปกรณ์ไฮเอนด์ และควอนตัมเทคโนโลยี เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันระดับโลก

จีนปักธงวัฒนธรรมชูสันติภาพ สนับสนุนโลกหันหน้าคุยแทนแตกแยก

สำนักข่าวซินหัวเผยแพร่รายงานคลังสมองฉบับล่าสุดในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ (18 ก.พ.68) ที่ผ่านมา โดยเน้นย้ำความสำคัญของการ 'แลกเปลี่ยนและเรียนรู้ร่วมกัน' ระหว่างอารยธรรม เพื่อรับมือกับความท้าทายที่ส่งผลต่อการพัฒนาของมนุษยชาติ รายงานดังกล่าวเรียกร้องให้ประชาคมโลกเสริมสร้างความเข้าใจซึ่งกันและกัน และผลักดันความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันบนพื้นฐานของสันติภาพและความเสมอภาค

จีนให้การสนับสนุนแนวคิดที่เน้นการอยู่ร่วมกันอย่างกลมเกลียวของอารยธรรมต่างๆ โดยให้ความสำคัญกับการแลกเปลี่ยนมากกว่าการแบ่งแยก และการเคารพซึ่งกันและกันมากกว่าการเชื่อว่าวัฒนธรรมใดเหนือกว่าวัฒนธรรมอื่น

เทศกาลตรุษจีนปี 2025 จะเป็นครั้งแรกที่จัดขึ้นภายหลังจากที่องค์การยูเนสโก (UNESCO) ประกาศให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ การยอมรับนี้สะท้อนถึงความสำคัญของมรดกทางวัฒนธรรมจีนในระดับโลก และเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของพลังแห่งการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมในโลกที่เต็มไปด้วยความแตกแยก

สีจิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน เคยกล่าวในคำปราศรัยที่องค์การยูเนสโก ณ กรุงปารีส เมื่อปี 2014 ว่า "อารยธรรมแต่ละแห่งควรเคารพและอยู่ร่วมกันอย่างกลมเกลียว พร้อมผลักดันการแลกเปลี่ยนและเรียนรู้ร่วมกัน" ซึ่งแนวคิดนี้ยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้นในปัจจุบัน ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

รายงานของซินหัวยังระบุว่ามนุษยชาติกำลังเผชิญกับความท้าทายระดับโลก ทั้งภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ความไม่มั่นคงทางการเมือง และความขัดแย้งทางวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ซึ่งทำให้การส่งเสริมการเจรจาและความร่วมมือระหว่างอารยธรรมมีความจำเป็นยิ่งขึ้น

เพื่อตอบสนองต่อความท้าทายเหล่านี้ จีนได้เสนอแผนริเริ่มระดับโลกหลายประการ ได้แก่ แผนริเริ่มการพัฒนาระดับโลก (GDI), แผนริเริ่มความมั่นคงระดับโลก (GSI), แผนริเริ่มอารยธรรมระดับโลก (GCI)

แนวทางเหล่านี้ออกแบบมาเพื่อกระตุ้นความร่วมมือระหว่างประเทศ และแก้ไขปัญหาสำคัญ เช่น ความยากจน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความขัดแย้งทางการเมือง

จีนมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก โดยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จีนมีส่วนช่วยในการเติบโตของเศรษฐกิจโลกถึงร้อยละ 30 อีกทั้งยังดำเนินโครงการพัฒนาในประเทศกำลังพัฒนามากกว่า 6,000 โครงการ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในด้านต่างๆ เช่น เทคโนโลยีการเกษตรและการบรรเทาความยากจน

ในด้านความมั่นคง จีนมีบทบาทสำคัญในการปฏิบัติภารกิจรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ และสนับสนุนการแก้ไขข้อขัดแย้งผ่านการเจรจา ไม่ว่าจะเป็นกรณีความขัดแย้งในยูเครนหรือสถานการณ์ในตะวันออกกลาง

จีนยังได้จัดตั้งแพลตฟอร์มสำหรับการเจรจาข้ามวัฒนธรรม เพื่อส่งเสริมความเข้าใจระหว่างอารยธรรมต่างๆ ความพยายามนี้ได้รับการสนับสนุนจากประชาคมโลก โดยที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UNGA) ได้รับรองมติที่จีนเสนอให้กำหนดวันที่ 10 มิ.ย. เป็น "วันสากลแห่งการเสวนาระหว่างอารยธรรม" เพื่อเน้นย้ำถึงความสำคัญของการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมในการสร้างสังคมที่กลมเกลียว

รายงานของซินหัวสรุปว่า การเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และส่งเสริมความร่วมมือระดับโลก เป็นแนวทางสำคัญในการขจัดความแตกแยกทางวัฒนธรรมและอุดมการณ์ หากทุกอารยธรรมสามารถเคารพซึ่งกันและกัน และเรียนรู้จากกันและกัน โลกก็จะก้าวสู่อนาคตที่สงบสุข มั่นคง และรุ่งเรืองร่วมกัน

ไต่สวนแก๊งสแกมเมอร์เมียนมา เสียหายหมื่นล้าน พบเหยื่อดับ 14 ราย เร่งล่าผู้ก่อเหตุอีกนับพัน

(20 ก.พ. 68) ศาลท้องถิ่นเมืองเวินโจว มณฑลเจ้อเจียงทางตะวันออกของจีน ได้ดำเนินการพิจารณาคดีความกับจำเลยทั้งหมด 23 ราย ซึ่งเป็นสมาชิกหลักของกลุ่มฉ้อโกงทางโทรคมนาคมขนาดใหญ่หลายกลุ่มในภาคเหนือของเมียนมา ระหว่างวันที่ 14-19 ก.พ. โดยมีการพิจารณาหลายข้อหา รวมถึงอาชญากรรมที่ทำให้พลเมืองจีนเสียชีวิต 14 ราย และบาดเจ็บ 6 ราย

จำเลยส่วนหนึ่ง ได้แก่ เมียง มยิ่น ชอน พยิ่น และมะ ทิริ เมียง หัวหน้าแก๊งอาชญากรรมที่นำโดยครอบครัวของพวกเขา รวมถึงสมาชิกหลักของแก๊งและสมาชิกแก๊งอื่นๆ ที่เป็น “ผู้สนับสนุน” การก่ออาชญากรรม โดยพวกเขาถูกตั้งข้อหาทางอาญา 11 กระทง เช่น ฉ้อโกง เจตนาฆ่า เจตนาทำร้ายร่างกาย กักขังหน่วงเหนี่ยวอย่างผิดกฎหมาย เปิดกาสิโน ค้ายาเสพติดและประเวณี

คณะอัยการกล่าวว่าจำเลยเหล่านี้ใช้ประโยชน์จากอิทธิพลของครอบครัวในพื้นที่ตอนเหนือของเมียนมา จัดตั้งแหล่งซ่องสุมแก๊งอาชญากรรมหลายแก๊ง ให้การคุ้มกันด้วยอาวุธแก่ปฏิบัติการของ “ผู้สนับสนุน” และสมรู้ร่วมคิดในการก่ออาชญากรรมต่างๆ เช่น แผนการฉ้อโกงทางโทรคมนาคมที่มีเป้าหมายเป็นประชาชนในจีน

คำฟ้องร้องระบุว่าอาชญากรรมการพนันและการฉ้อโกงเกี่ยวพันกับเงินทุนมากกว่า 1 หมื่นล้านหยวน (ราว 5 หมื่นล้านบาท) และส่งผลให้พลเมืองจีนเสียชีวิต 14 ราย และบาดเจ็บ 6 ราย

เหตุการณ์ที่เป็นกรณีสำคัญเกิดขึ้นวันที่ 20 ต.ค. 2023 แก๊งอาชญากรรมร่วมมือกับ “ผู้สนับสนุน” จัดการคุ้มกันด้วยอาวุธระหว่างโยกย้ายคนที่ทำงานให้แก๊งของพวกเขาเพื่อหลีกหนีการปราบปราม โดยบางคนพยายามหลบหนีแต่ถูกทีมคุ้มกันยิงจนทำให้มีผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บหลายราย

คณะอัยการได้แสดงหลักฐานให้จำเลยแต่ละรายและทนายความของพวกเขาตรวจสอบระหว่างการพิจารณาคดีความ ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้อธิบายโต้แย้งตามลำดับและจำเลยให้การครั้งสุดท้าย ท่ามกลางการสังเกตการณ์ของสมาชิกสภานิติบัญญัติ ที่ปรึกษาทางการเมือง นักข่าว สมาชิกครอบครัวของผู้ที่เกี่ยวข้อง และสาธารณชนรวมมากกว่า 100 คน

อนึ่ง ศาลจะประกาศผลการพิจารณาคดีความครั้งนี้ใน

นอกจากการพิจารณาคดีความครั้งนี้ มีการสอบสวนผู้ต้องสงสัยที่เกี่ยวพันกับกลุ่มอาชญากรรมอีกหลายพันราย เนื่องจากพวกเขามีความเชื่อมโยงกับคดีฉ้อโกงทางโทรคมนาคมมากกว่า 10,000 คดี โดยการจัดการคดีความเหล่านี้สะท้อนความมุ่งมั่นของจีนในการคุ้มครองสิทธิและผลประโยชน์ตามกฎหมายของชาติและพลเมือง

แหล่งข่าวอัยการระบุว่าอาชญากรรมบางส่วนเกิดขึ้นภายในพรมแดนจีน มุ่งเป้าที่พลเมืองจีนเป็นพิเศษ และสร้างความเสียหายต่อผลประโยชน์ร่วมของประชาคมระหว่างประเทศ ทำให้จีนมีอำนาจการพิจารณาคดีความภายใต้กฎหมายอาญาและสนธิสัญญาระหว่างประเทศ

เผยตัวจริงผู้บริหาร DeepSeek เหลียง เหวินเฟิง นักพัฒนา AI จีน ผู้อยู่เบื้องหลังคู่แข่งตัวฉกาจของ ChatGPT

(21 ก.พ.68) โลกกำลังจับตามอง 'DeepSeek' ปัญญาประดิษฐ์จากจีนที่กำลังสร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรม AI ระดับโลก ถึงขั้นทำให้หุ้นของบริษัทยักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ ร่วงระนาว และถูกพูดถึงในระดับ 'Talk of the World' บางฝ่ายถึงกับกังวลว่าอาจเกิด 'AI War' ระหว่างจีนและสหรัฐฯ

ชื่อของ DeepSeek ถูกพูดถึงอีกครั้งเมื่อวันที่ 20 มกราคมที่ผ่านมา เมื่อประธานาธิบดีสีจิ้นผิงเป็นเจ้าภาพจัดประชุมสัมมนาด้านเทคโนโลยีและเศรษฐกิจที่กรุงปักกิ่ง โดยมีบรรดาผู้นำจากอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของจีนเข้าร่วม ไม่ว่าจะเป็น Alibaba, BYD, Huawei, CATL, Xiaomi, Tencent, Meituan และแน่นอน DeepSeek

บุคคลที่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษในงานนี้คือ เหลียง เหวินเฟิง (Liang Wenfeng) นักพัฒนา AI ชาวจีนวัย 40 ปี ผู้ก่อตั้ง DeepSeek และกลายเป็นบุคคลที่สื่อเทคโนโลยีทั่วโลกจับตามอง ในฐานะซีอีโอหนุ่มที่มีโอกาสเข้าร่วมประชุมกับผู้นำสูงสุดของประเทศเคียงข้างเจ้าของธุรกิจระดับแนวหน้า

เหลียงเกิดเมื่อปี 1985 ที่เมืองจ้านเจียง มณฑลกวางตุ้ง มีความหลงใหลในคณิตศาสตร์และเทคโนโลยีตั้งแต่เด็ก แม้ไม่ได้ศึกษาจากมหาวิทยาลัยในตะวันตก แต่เขาจบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยเจ้อเจียง (Zhejiang University) หรือ 'เจ้อต้า' เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีในสาขาวิศวกรรมข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ และต่อปริญญาโทในสาขาวิศวกรรมข้อมูลและสื่อสาร ซึ่งเป็นสถาบันชั้นนำของจีนในสาขาวิศวกรรมข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ และวิศวกรรมข้อมูลและการสื่อสาร

หลังจากเรียนจบ เขาเริ่มต้นทำงานในแวดวงเทคโนโลยีที่หางโจว ก่อนขยายเส้นทางสู่เฉิงตู และก่อตั้งสตาร์ตอัปของตัวเอง ในช่วงชีวิตการทำงาน เหลียงตั้งรกรากอยู่ในหางโจว ซึ่งเป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีของจีน และเคยทำงานในนครเฉิงตู มณฑลเสฉวน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเมืองสำคัญด้านเทคโนโลยีของประเทศ 

ในปี 2015 เหลียงเข้าสู่โลกสตาร์ตอัปอย่างเต็มตัวด้วยการร่วมก่อตั้ง High-Flyer กองทุนเฮดจ์ฟันด์ประเภท Quantitative Hedge ที่ใช้ AI วิเคราะห์แนวโน้มตลาดและซื้อขายหลักทรัพย์โดยอัตโนมัติ ความสำเร็จจากธุรกิจนี้ทำให้เขาสั่งซื้อ หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) ของ Nvidia นับพันชิ้น ตั้งแต่ปี 2021 เพื่อพัฒนา AI ของตัวเอง

DeepSeek ไม่ใช่แค่ AI ทั่วไป แต่มันสามารถแข่งขันกับ ChatGPT ได้อย่างสูสี โดยใช้ต้นทุนเพียง 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 200 ล้านบาท) ตามที่รายงานข่าวระบุ ซึ่งถือว่าต่ำกว่าที่บริษัท AI ตะวันตกใช้ไปหลายร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ

สิ่งที่ทำให้ DeepSeek เป็นที่จับตามองคือความสามารถในการพัฒนา AI ที่มีประสิทธิภาพสูง แม้จีนจะถูกสหรัฐฯ จำกัดการเข้าถึงชิปประมวลผลระดับสูงของ Nvidia แต่ทีมของเหลียงสามารถ "ปลดล็อกศักยภาพ" ของ GPU รุ่นเก่าให้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

"วิศวกรของ DeepSeek รู้วิธีเพิ่มประสิทธิภาพของ GPU ที่มีอยู่ แม้ว่าจะไม่ใช่เทคโนโลยีล่าสุดก็ตาม" นักวิจัย AI ที่ใกล้ชิดกับบริษัทกล่าว

DeepSeek ยังเลือกใช้ โมเดลแบบเปิด (Open-Source) ซึ่งต่างจาก OpenAI ที่เน้นการปกป้องเทคโนโลยีของตัวเอง โดยเหลียงเชื่อว่าการแบ่งปันความรู้จะช่วยดึงดูดคนเก่งและสร้างวัฒนธรรมนวัตกรรมในวงการ AI

การที่เหลียงเป็นผู้บริหารด้าน AI เพียงคนเดียวที่ได้รับเชิญเข้าร่วมประชุมกับสีจิ้นผิง พร้อมกับผู้เชี่ยวชาญจากอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น เทคโนโลยี การศึกษา วิทยาศาสตร์ วัฒนธรรม สุขภาพ และกีฬา เพื่อนำเสนอความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่อร่างรายงานของรัฐบาล

การเข้าร่วมประชุมระดับสูงของเหลียงตอกย้ำ เขาถือเป็นบุคคลสำคัญในยุทธศาสตร์ระดับชาติของจีน ท่ามกลางการแข่งขันทางเทคโนโลยีกับสหรัฐฯ ตลาด AI ของจีนคาดว่าจะมีมูลค่าถึง 5.6 ล้านล้านหยวน (765 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ภายในปี 2030 ตามการคาดการณ์ของ China International Capital Corp (CICC)

"ผมเชื่อว่านวัตกรรมคือหัวใจสำคัญ" เหลียงกล่าว "จีนเคยขาดความมั่นใจในการพัฒนา AI ระดับแนวหน้า แต่เราต้องกล้าที่จะลองและผลักดันให้ก้าวไปข้างหน้า ผมอยากแสดงให้โลกเห็นว่าจีนสามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่จากศูนย์ได้"

ฟิลิปปินส์บุกรังสแกมเมอร์กลางมะนิลา รวบผู้ต้องหากว่า 400 คน พบคนไทยเอี่ยว 2 ราย

(21 ก.พ.68) เจ้าหน้าที่ฟิลิปปินส์บุกตรวจค้นศูนย์ปฏิบัติการพนันออนไลน์ในกรุงมะนิลา จับกุมผู้ต้องหากว่า 400 คน โดยพบว่ามีชาวจีนเป็นผู้ควบคุมเครือข่าย  

คณะกรรมการต่อต้านองค์กรอาชญากรรมแห่งฟิลิปปินส์เปิดเผยเมื่อวันพฤหัสบดี (20 ก.พ.) ว่า ผู้ต้องหาประกอบด้วยชาวฟิลิปปินส์ 307 คน ชาวจีน 137 คน รวมถึงชาวเวียดนาม ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย และไต้หวันอีกจำนวนหนึ่ง โดยมีคนสัญชาติไทย 2 รายที่ถูกจับกุมจากปฏิบัติการนี้  

ตามรายงานของสำนักข่าวบลูมเบิร์ก การสืบสวนเบื้องต้นพบว่า เครือข่ายดังกล่าวใช้แพลตฟอร์มการพนันกีฬาและการลงทุนเป็นเครื่องมือในการหลอกลวงเหยื่อชาวจีนและอินเดีย  

แม้ว่าฟิลิปปินส์จะสั่งห้ามธุรกิจพนันออนไลน์ที่มุ่งเป้าไปยังชาวจีนตั้งแต่ปีที่ผ่านมา แต่รัฐบาลยอมรับว่ายังคงมีชาวต่างชาติที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจดังกล่าวตกค้างอยู่ในประเทศเป็นจำนวนมาก และกำลังอยู่ในกระบวนการเนรเทศ

10 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดใน ‘จีน’!! ยักษ์ใหญ่!! ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก

ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา บริษัทขนาดใหญ่ของจีนได้ก้าวขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญในเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรม เทคโนโลยี อีคอมเมิร์ซ การเงิน พลังงาน และโทรคมนาคม ปัจจัยหลักที่ช่วยให้บริษัทเหล่านี้เติบโตอย่างรวดเร็วคือ การสนับสนุนจากรัฐบาล ตลาดภายในประเทศที่มีประชากรกว่า 1.4 พันล้านคน และการลงทุนในนวัตกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน

แม้ว่าบริษัทจีนหลายแห่งจะขยายตัวและเริ่มครองส่วนแบ่งในตลาดโลก แต่ในแง่ของมูลค่าตลาดและอิทธิพลระดับโลกยังคงตามหลังบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ

แต่บริษัทจีนเองก็ยังคงเป็นพลังสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้งภายในประเทศและระดับนานาชาติ วันนี้ THE STATES TIMES จะพาไปรู้จักกับ 10 บริษัทใหญ่ในจีน พร้อมประเภทธุรกิจที่พวกเขากำลังดำเนินการกันอยู่

‘โฆษก ก.ต่างประเทศจีน’ แถลง!! กรณีมีการส่งตัวชาวจีนจากประเทศ ‘เมียนมา’ เผย!! กำลังเดินหน้า ความร่วมมือในระดับภูมิภาค เพื่อปราบ ‘แก๊งคอลเซ็นเตอร์’

(22 ก.พ. 68) Chinese Embassy Bangkok สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ได้โพสต์คลิป โดยมีใจความว่า ...

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน นายกัว เจียคุณ ได้กล่าวแถลง กรณี การส่งตัวชาวจีน จาก ‘เมียวดี’ ในประเทศ ‘เมียนมา’ ว่าประเทศจีน กำลังร่วมมือกับไทย เมียนมา และประเทศอื่น ๆ ผ่านความร่วมมือ ทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี โดยใช้มาตรการที่ครอบคลุม เพื่อแก้ไขปัญหาในระยะสั้นและในระยะยาว เพื่อปิดกั้นช่องทาง ใช้ก่ออาชญากรรม ในประเทศที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันปราบปราม แก๊งฉ้อโกงและการพนันออนไลน์ ปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน รักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อย ในการติดต่อแลกเปลี่ยนกัน ระหว่างประเทศในภูมิภาค

ตำรวจจีน ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยคดีอาญา บนเครื่องบินเช่าเหมาลำ มุ่งหน้าสู่จีน ฟันโทษ!! 'จำคุกตลอดชีวิต' 4 คนสำคัญ คดีฉ้อโกง โทรคมนาคมข้ามพรมแดน

(24 ก.พ. 68) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ศาลประชาชนสูงสุดของจีนรายงานการตัดสินจำคุกตลอดชีวิต 4 บุคคลสำคัญในคดีฉ้อโกงทางโทรคมนาคมข้ามพรมแดน โดยบุคคลทั้งสี่ได้เดินทางออกนอกจีนเพื่อจัดตั้งองค์กรฉ้อโกงทางโทรคมนาคม ซึ่งบุคคลหนึ่งที่มีแซ่อวี๋เป็นผู้จัดหาคนจำนวนมากออกจากจีนมาก่ออาชญากรรมดังกล่าว

คดีความอีกคดีหนึ่งเกี่ยวข้องกับจำเลยแซ่หยาง ผู้เคยถูกตัดสินโทษฐานพัวพันกับการฉ้อโกงทางโทรคมนาคมมาก่อน ได้ถูกลงโทษสถานหนักฐานกระทำความผิดซ้ำ ส่วนจำเลยอีกสองรายในคดีความอีกคดีหนึ่งถูกลงโทษสถานหนักแม้เป็นเพียงผู้สมรู้ร่วมคิดและรับสารภาพความผิดแล้ว เนื่องจากมีความผิดฐานชักจูงผู้เยาว์เข้าร่วมการฉ้อโกงทางโทรคมนาคม

ทั้งนี้ ศาลจีนยังสั่งให้กลุ่มผู้กระทำความผิดคืนเงินที่ได้มาจากการฉ้อโกง และรับรองว่าเหยื่อจะได้รับเงินที่ยึดคืนมาอย่างทันท่วงที

บริษัทจีนประกาศยกเลิกคำสั่งโหด 'คนโสดแต่งงานหรือถูกไล่ออก' หลังขัดกฎหมายแรงงานและเจอแรงต้านจากชาวเน็ต

(26 ก.พ. 68) บริษัทในจีนยกเลิกคำสั่งที่ต้องการให้พนักงานโสดแต่งงานภายในปีนี้ หลังการวิจารณ์จากชาวเน็ตและหน่วยงานรัฐ เนื่องจากคำสั่งนี้ขัดต่อกฎหมายแรงงานของจีน สะท้อนถึงการต่อสู้ของจีนในการส่งเสริมการแต่งงานและการมีลูกท่ามกลางปัญหาประชากรลดลง

บริษัท ซานตง ซุนเถียน เคมิคอล กรุ๊ป (Shandong Shuntian Chemical Group) ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมตะวันออกของมณฑลซานตง ได้ประกาศให้พนักงานโสดอายุ 28-58 ปี รวมถึงผู้ที่เคยหย่าร้าง ต้องแต่งงานภายในวันที่ 30 ก.ย. 2568 หากไม่ทำตามจะมีการยกเลิกสัญญาจ้างงาน โดยบริษัทชี้แจงว่า คำสั่งนี้มีจุดประสงค์เพื่อกระตุ้นให้พนักงานโสดที่อายุมากขึ้นให้ความสำคัญกับการสร้างครอบครัวและการตัดสินใจในชีวิตที่สำคัญ

ทว่า ข้อกำหนดนี้ถูกวิจารณ์อย่างหนัก เพราะขัดต่อกฎหมายแรงงานของจีน ซึ่งส่งผลให้บริษัทต้องยกเลิกคำสั่งดังกล่าว โดยสื่อของรัฐอย่างโกลบอลไทมส์ระบุว่า ประกาศของบริษัทมีเจตนาที่จะส่งเสริมค่านิยมทางวัฒนธรรมเกี่ยวกับความขยันหมั่นเพียรและการสร้างครอบครัว แต่กฎหมายแรงงานจีนไม่ได้รองรับการกำหนดให้พนักงานต้องแต่งงาน

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในขณะที่จีนกำลังเผชิญกับการลดลงของจำนวนการแต่งงานที่ทำลายสถิติ โดยในปี 2567 จำนวนการแต่งงานลดลงถึง 20% ซึ่งเป็นการลดลงครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ขณะเดียวกัน ประชากรจีนที่มีจำนวนถึง 1.4 พันล้านคน กำลังเข้าสู่ภาวะชราอย่างรวดเร็ว และการลดลงของอัตราการเกิดยังคงเป็นปัญหาที่ต้องเร่งหาทางแก้ไข

รัฐบาลจีนได้พยายามแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยสนับสนุนการเปิดหลักสูตร "การศึกษาด้านความรัก" ในมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ เพื่อส่งเสริมทัศนคติที่ดีต่อการแต่งงานและการมีลูก

ในระยะยาว คาดว่าในอีกสิบปีข้างหน้า ประชากรจีนราว 300 ล้านคนจะเข้าสู่วัยเกษียณ ซึ่งท้าทายทั้งเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top