Sunday, 8 June 2025
ความปลอดภัย

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เข้าพูดคุยรับฟังปัญหาจากแกนนำสมัชชาคนจน พร้อมสั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลความปลอดภัยให้กับผู้ชุมนุม

วันนี้ (9 ต.ค.66) เวลา 17.30 น. ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วยนายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และนายมงคลชัย สมอุดร รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้เข้าพบปะพูดคุยกับนายบารมี ชัยรัตน์ แกนนำกลุ่มสมัชชาคนจน กับผู้แทนชาวบ้านกลุ่มต่างๆ ที่บริเวณถนนลูกหลวง ข้างกระทรวงศึกษาธิการ แขวงดุสิต เขตดุสิต กรุงเทพฯ เพื่อรับฟังปัญหาที่กลุ่มผู้ชุมนุมได้มีการเรียกร้องให้รัฐบาลให้ความช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหาปากท้องและความยากจน และปัญหาที่ดินทำกิน โดยมีมวลชนมาชุมนุมประท้วงจำนวน 2,000 คน โดยพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้ร่วมฟังปัญหา และขอให้ชุมนุมกันอย่างสันติ โดยให้ความมั่นใจกับผู้ชุมนุมว่า จะให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลความปลอดภัยให้กับผู้ชุมนุม ในส่วนของปัญหาที่ชาวบ้านเรียกร้องให้มีการขับเคลื่อนการช่วยเหลือนั้น ร.อ.ธรรมนัส ได้รับเรื่องเพื่อจะนำข้อหารือที่ได้พูดคุยกัน นำเสนอ นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรี ในการพิจารณาแก้ไขปัญหาร่วมกับพี่น้องประชาชนต่อไป

นอกจากนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พร้อมด้วย นายมงคลชัย ได้เดินทางเข้าพูดคุยกับกลุ่ม P-Move โดยได้มีการรับฟังปัญหาเพิ่มเติมเกี่ยวกับพี่น้องประชาชนในพื้นที่เกาะหลีเป๊ะ และบางกลอย ซึ่วประสบปัญหาเรื่องที่ดินพิพาทที่ใช้อยู่อาศัยและทำมาหากิน ซึ่ง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้รับทราบปัญหาและให้ความมั่นใจกับพี่น้องประชาชนว่า รัฐบาลจะเร่งแก้ปัญหาให้กัยพี่น้องประชาชนแน่นอน

'ดร.เอ้' โต้โผ!! จัดตั้งองค์กรอิสระเพื่อความปลอดภัยสาธารณะ สร้างบ้านเมืองที่ปลอดภัย ด้วยความตั้งใจของประชาชน

เมื่อวานนี้ (7 พ.ย. 66) นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ประธานนโยบาย กทม. พรรคประชาธิปัตย์ อดีตนายกสภาวิศวกร และอดีตนายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ได้ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นถนนทรุดโทรม ไม่มีความปลอดภัย ไร้มาตรการรองรับ ผ่านรายการ ‘คุยข่าว ถึงเครื่อง’ ประจำวันที่ 7 พ.ย. 66 เผยแพร่ผ่านช่องทางรับชมในเครือ THE STATES TIMES, คุยถึงแก่น, เปรี้ยง, NAVY AM RADIO / MAYA Channel ช่อง 44 และ FM101 โดยมี นายปรเมษฐ์ ภู่โต สื่อมวลชนอาวุโส พิธีกร ผู้ประกาศข่าวรายการคุยถึงแก่น เป็นผู้ดำเนินรายการ 

>> ในฐานะวิศวกร มีมุมมองหรือข้อแนะนำต่อกรุงเทพฯ อย่างไร หากอยากทำให้ถนน อาคารมีความแข็งแรง ปลอดภัย?

นายสุชัชวีร์ กล่าวว่า “ตลอดชีวิตการเป็นวิศวกรของผม ผมทำงานช่วยเหลือเรื่องภัยพิบัติมามาก ในสมัยที่ทำงานให้สมาคมวิศวกรรมสถาน จนกระทั่งได้เป็นนายกสมาคมฯ ผมเห็นมาเยอะ และผมก็เสียใจมาก ทุกครั้งที่ผมให้สัมภาษณ์ ผมจะพูดเสมอว่า ประเทศไทย ความปลอดภัยไม่เคยมาก่อนเลย และมันเกิดความผิดพลาดที่ไม่น่าให้อภัย เป็นความประมาทในการก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐานจริง ๆ เลย เพราะหากทำตามมาตรฐานจริง ๆ เรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นเลย จะไม่มีการสูญเสียแบบนี้ให้ได้เห็น”

“ในเรื่องการป้องกัน ประชาชนอย่างเรา ๆ ไม่สามารถทำ
อะไรได้อยู่แล้ว เราก็ใช้ชีวิตไปตามปกติ ขับรถไปส่งลูก ไปทำงาน อยู่ ๆ ก็มีอะไรไม่รู้หล่นลงมา หล่นใส่ใครตอนไหน ใครจะไปรู้ ผู้ที่เกี่ยวข้อง อย่าคิดว่าจะไม่เกิดขึ้นกับพวกท่าน ทั้งสะพานลาดกระบัง ถ้าเป็นตอนกลางวันผมก็อาจจะโดนไปแล้ว หรือถนนเป็นหลุมยุบลงไป อย่าคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัวนะ สักวันอาจจะเป็นเราก็ได้” นายสุชัชวีร์ กล่าว

นายสุชัชวีร์ กล่าวต่อว่า “คนที่ต้องทำหน้าที่แทนประชาชนทุกคนก็คือ ‘เจ้าของหน่วยงาน’ ได้แก่ กทม. กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท การประปา การไฟฟ้า ซึ่งดูแลสาธารณูปโภค มีอำนาจ เป็นเจ้าของเงิน และต้องกำกับดูแลให้ผู้รับเหมาทำงานให้ตรงตามมาตรฐาน ไม่ใช่เรื่องที่มากเกินไปด้วย แค่ทำให้ตรงมาตรฐาน ซึ่งก็มีเช็กลิสต์ให้อยู่แล้ว ถ้าทำได้ จะทำให้ชีวิต ทรัพย์สินของคนไทยและคนกรุงเทพฯ ดีขึ้นแน่นอน”

“จากประสบการณ์ผม เหตุสลดที่เกิดขึ้นก็มาจากการไม่ได้มาตรฐานนี่แหละ ผมก็เลยอยากจะระดมรายชื่อ ให้ครบ 1 หมื่นชื่อ เพื่อที่จะเสนอกฎหมายก่อตั้ง ‘องค์กรอิสระเพื่อความปลอดภัยสาธารณะ’ เพื่อจะได้เข้ามาดูแลเรื่องเหล่านี้ เหมือนอย่างในต่างประเทศ” นายสุชัชวีร์ กล่าว

นายสุชัชวีร์ กล่าวต่อว่า “และที่น่าแปลกคือเมื่อมีเหตุการณ์สลดเกิดขึ้น จะให้องค์กร ๆ นั้นหาสาเหตุของความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ซึ่งมันไม่สามารถทำได้อยู่แล้ว อาจจะเพราะขาดความเชี่ยวชาญ เนื่องจากต้องดูแลงานในส่วนอื่น ๆ ด้วย ดังนั้นจะต้องมีองค์กรอิสระเข้ามาช่วยตรวจสอบ ค้นหาความจริง”

>> ตัวอย่างจากต่างประเทศ มีองค์กร / หน่วยงาน เข้ามากำกับดูแลเข้มงวด

นายสุชัชวีร์ กล่าวว่า “อย่างในเกาหลีใต้ เมื่อครั้งที่เกิดเหตุการณ์เรือเซวอลล่ม ทำให้เด็กนักเรียนเสียชีวิตหลายร้อยคน เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นเรื่องใหญ่ระดับประเทศ และกระจายออกไปทั่วโลกเลย ส่งผลให้รัฐบาลเกาหลีใต้ตั้งกระทรวงความปลอดภัย เพราะเขามองว่า หากให้การท่าเรือ หรือ กระทรวงอุตสาหกรรมเข้ามาดูแล ก็กลัวว่าจะไม่ได้มาตรฐาน เมื่อมีกระทรวงใหม่ขึ้นมา ก็ทำให้วิศวกรที่ต่อเติมกฎหมายถูกลงโทษจำคุกเป็น 10 ปี เจ้าของเรือก็จำคุกหลายปี แม้กระทั่งยามชายฝั่งก็ถูกจำคุก เพราะหากมาเร็วกว่านั้น เด็ก ๆ คงไม่ตายเป็นร้อยคนขนาดนั้น”

“สำหรับประเทศไทย ไม่มีหน่วยงานที่จะคืนความเป็นธรรมให้ประชาชน น่าเสียดายมากที่เหตุการณ์แบบนี้จะเกิดซ้ำซาก และจะเกิดขึ้นต่อไป หากเราไม่มีองค์กรอิสระเข้ามาดูแลเรื่องแบบนี้อย่างเต็มเวลา” นายสุชัชวีร์ กล่าว

>> ในส่วนของการเสนอร่างกฎหมาย จะเสนอในนามของภาคประชาชนใช่หรือไม่?

นายสุชัชวีร์ กล่าวว่า “ถูกต้องครับ ขณะนี้มีผู้ลงชื่อแล้วกว่า 5 พันคน จึงอยากจะขอร้องทุกท่าน เข้ามาที่เว็บไซต์ http://Suchatvee.com เข้ามาร่วมลงชื่อ เพื่อจะได้เสนอในนามภาคประชาชนได้ เป็นการทำเพื่อพวกเราทุกคน ไม่เช่นนั้นแล้วก็จะไม่มีใครทำ”

นายสุชัชวีร์ กล่าวต่อว่า “ตั้งแต่เป็นนายกฯ วิศวกรรมสถานฯ ผมไม่เคยได้รับคำตอบ ไม่เคยได้รับการถอดบทเรียนมาให้เราได้เผยแพร่ต่อประชาชนเลย ถึงเวลาแล้ว ประเทศไทยอยู่แบบนี้ไม่ได้ ถึงเวลาเกิดเหตุร้าย ๆ แล้วเราไปร้องเรียน หน่วยงานนั้น ๆ ก็เงียบได้ เพราะไม่มีใครเข้ามากำกับดูแล แต่ถ้ามี ‘องค์กรเพื่อความปลอดภัยสาธารณะ’ จะทำหนังสือถึงอธิบดีฯ หากหน่วยงานรับผิดชอบยังชักช้า ก็จะรายงานถึงนายกรัฐมนตรี จะไม่มีใครกล้าช้า และก็สามารถรายงาน เผยแพร่เว็บไซต์ให้กับประชาชนได้ จะทำให้หน่วยงานต้นสังกัดเจอกระแสสังคม รับรองว่าจะไม่กล้าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าแน่นอน และเรื่องแบบนี้ก็มีเกิดขึ้นในประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งนั้น แต่ก็เสียดายที่เรื่องแบบนี้ ประเทศไทยเราล้าหลังจริง ๆ” 

“เรื่องความปลอดภัยก็เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดว่าประเทศเราพัฒนาแล้ว อย่าคิดว่าเรามีรถไฟฟ้า มี 5G มีห้างสวย ๆ แล้วนั่นคือการพัฒนา มันไม่ใช่แบบนั้น คนไทยตายด้วยอุบัติเหตุมากติดท็อปโลก แบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง เราปล่อยประเทศเราไปแบบนี้ไม่ได้หรอก ผมพูดในฐานะวิศวกร และคนที่มีครอบครัวอยู่ในกรุงเทพ” นายสุชัชวีร์ กล่าวทิ้งท้าย

รับชมสัมภาษณ์เต็มได้ที่>> https://www.facebook.com/thestatestimes/videos/606689744824469 

ร่วมลงชื่อร่างกฎหมายจัดตั้งองค์กรอิสระเพื่อความปลอดภัยสาธารณะได้ที่ >>  http://Suchatvee.com 

‘สุริยะ’ สั่งเข้ม!! คุมความปลอดภัยไซด์ก่อสร้าง ‘คมนาคม’ พร้อมมอบ 6 มาตรการ ป้องกันอุบัติเหตุ-ลดการสูญเสีย

(21 ธ.ค. 66) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2566 ได้ประชุมคณะกรรมการกำกับตรวจสอบความปลอดภัยโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของกระทรวงคมนาคม และมาตรการความปลอดภัยในระหว่างดำเนินการก่อสร้าง โดยมีคณะทำงานของกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วยบริษัทเอกชนประกอบกิจการรับเหมาก่อสร้าง เข้าร่วมหารือ เพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย และป้องกันการเกิดอุบัติเหตุในโครงการก่อสร้างของกระทรวงคมนาคมที่อาจจะเกิดขึ้น นำไปสู่การส่งผลกระทบในชีวิต และทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน

ทั้งนี้ จากสถิติการเกิดอุบัติเหตุในพื้นที่โครงการก่อสร้างของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม พบว่า ในรอบปี 2565 เกิดอุบัติเหตุขึ้นบนทางหลวงหมายเลข 35 (ถนนพระราม 2) จำนวน 3 ครั้ง ได้แก่ เหตุคานสะพานกลับรถถล่ม เหตุมวลน้ำที่ขังในผ้าใบร่วงใส่รถ และเหตุท่อนเหล็กไถลไปถูกรถ ขณะที่ในปี 2566 ได้เกิดเหตุบนถนนพระราม 2 อีก 3 ครั้ง ได้แก่ เหตุคาน Segment หล่น เหตุโครงแผงผ้าใบถูกกระแทกไปโดนกระจกหน้ารถประจำทางสาธารณะ และเหตุการณ์ล่าสุดเหล็กแบบหล่นทับคนงานเสียชีวิตในโครงการก่อสร้างทางพิเศษสายพระราม 3 - ดาวคะนอง - วงแหวนรอบนอกด้านตะวันตก สัญญา 1

นายสุริยะ กล่าวว่า จากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นหลายครั้งดังกล่าว ในการประชุมครั้งนี้จึงได้มอบหมายให้เร่งจัดตั้งคณะทำงานฯ เพื่อเข้าตรวจสอบโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ พร้อมทั้งสำรวจและติดตามด้านความปลอดภัย ก่อนที่จะนำมาพิจารณาและกำหนดแนวทางที่เข้มงวดในอนาคตต่อไป รวมถึงได้กำชับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้ประกอบการธุรกิจด้านรับเหมาก่อสร้าง ให้ตระหนักถึงมาตรการเชิงป้องกันและนำระบบการตรวจการณ์ความปลอดภัย Safety Audit มาใช้อย่างเคร่งครัด เพื่อมิให้อุบัติเหตุเกิดซ้ำขึ้นอีก

นอกจากนี้ ได้สั่งการให้ดำเนินการโครงการก่อสร้างต่าง ๆ ให้เป็นไปตามเงื่อนไข กฎระเบียบ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยสูงสุด ไม่ประมาท และเข้มงวดกวดขัน ตรวจสอบ รวมถึงกำกับดูแลการก่อสร้างอย่างใกล้ชิดตามหลักมาตรฐานด้านวิศวกรรม โดยเฉพาะบริเวณที่มีปริมาณการจราจรสูง เพื่อไม่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรง อีกทั้งยังเป็นการสร้างความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนและผู้ปฏิบัติงานเป็นสำคัญ

นายสุริยะ กล่าวว่า ขณะนี้ได้มอบนโยบายให้หน่วยงานและผู้รับจ้างดำเนินการตาม 6 มาตรการ เพื่อยกระดับความปลอดภัย ดังนี้

1. ให้ทุกหน่วยงานดำเนินกิจกรรมก่อสร้าง เน้นความปลอดภัยต่อพี่น้องประชาชนและผู้ปฏิบัติงาน ตามนโยบาย “คมนาคม เพื่อความอุดมสุขของประชาชน” มิให้เกิดอุบัติเหตุในระหว่างก่อสร้าง

2. ให้ทุกหน่วยงานดำเนินการตรวจสอบความปลอดภัยให้ครอบคลุมทุกกิจกรรมในพื้นที่ก่อสร้างและพื้นที่ผิวจราจรที่เปิดให้บริการประชาชน

3. ให้ทุกหน่วยงานดำเนินการบริหารโครงการก่อสร้างให้ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งในช่วงการออกแบบ (Design Stage) ช่วงจัดซื้อจัดจ้าง (Procurement Stage) และช่วงก่อสร้าง (Construction Stage)

4. ให้ทุกหน่วยงานออกมาตรการกำกับผู้รับจ้างและกำหนดบทลงโทษหากพบว่าผู้รับจ้างละเลยการปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าว

5. ควรมีการสร้างเสริมให้เกิดการเรียนรู้ ทักษะ ความปลอดภัยในการทำงานแก่บุคลากรในโครงการก่อสร้าง โดยเฉพาะแรงงานต่างชาติ สามารถสื่อสารให้เกิดความเข้าใจอย่างถูกต้องทั้งสองทาง (Two - ways Communication)

6.ให้นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการตรวจสอบความปลอดภัยในโครงการก่อสร้าง เช่น การตรวจสอบ Checklist ความปลอดภัย ผ่านระบบ Mobile Applications

อย่างไรก็ตาม ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานและผู้รับจ้างปฏิบัติตามนโยบายดังกล่าวอย่างเคร่งครัด และให้รายงานผลการดำเนินงานให้กระทรวงคมนาคมรับทราบอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ได้เน้นย้ำว่าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จะต้องไม่เกิดอุบัติเหตุในโครงการของกระทรวงคมนาคม และในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567 ที่จะถึงนี้ ประชาชนต้องสามารถเดินทางสัญจรได้โดยสะดวก และถึงจุดหมายปลายทางโดยสวัสดิภาพ

ตม.สนามบิน สร้างความมั่นใจนักท่องเที่ยว ปล่อยแถวต้อนรับเทศกาลคริสต์มาส - ปีใหม่ 2567

ตามที่นายกรัฐมนตรีมีนโยบายในการส่งเสริมการท่องเที่ยว และสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย
แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย โดยให้หน่วยงานความมั่นคงดำเนินการเชิงรุกสนองตอบตามนโยบายดังกล่าว

เมื่อวานนี้ (21 ธ.ค.66) พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม. พร้อมด้วย รอง ผบช.สตม.ได้มาเป็นประธานประชุมแถวกำลังพล ด่าน ตม.ทอ.สุวรรณภูมิ ที่อาคารผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยมี พล.ต.ต.เชิงรณ ริมผดี ผบก.ตม.2 พร้อมด้วยข้าราชการในสังกัดกองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 2 เข้าร่วมพิธี

สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองได้จัดทำมาตรการในการรองรับการอำนวยความสะดวกด้านพิธีการเข้าเมืองภายใต้หลักความมั่นคง ซึ่งป็นการปฏิบัติตามแผนอำนวยความสะดวกด้านพิธีการเข้าเมืองในช่วงเทศกาลคริสต์มาส - ปีใหม่ 2567 
โดยจะมีการปฏิบัติในช่วงวันที่ 24 ธ.ค.66 – 1 ม.ค.67 คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในช่วงเวลาดังกล่าว จำนวนกว่าวันละ 70,000 คน

โดยสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองได้มีมาตรการในการเตรียมความพร้อมรองรับปริมาณนักท่องเที่ยวที่เดินทาง
เข้ามาในประเทศไทยทางท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ทาอากาศยานภูเก็ต ท่าอากาศยานเชียงใหม่ และท่าอากาศยานหาดใหญ่ ที่สำคัญ ดังนี้
1. มีการจัดกำลังพลเต็มอัตราทุกช่องตรวจในช่วงที่มีเที่ยวบินหนาแน่น เพื่อเร่งระบายผู้โดยสารที่สะสม
ในโถงพักคอยให้ได้ภายในเวลา 30 นาที
2. รับการสนับสนุนเจ้าหน้าที่อาสา เพื่อจัดเตรียมเอกสารและให้คำแนะนำแก่นักท่องเที่ยว เพื่อลดระยะเวลาในการตรวจหนังสือเดินทางไม่เกิน 45 วินาที/คน
3. เพิ่มศักยภาพในการระบายผู้โดยสารโดยมีการเปิดใช้เครื่องตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติ Automatic channel นำร่องที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
ทั้งนี้ พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม. ได้มอบของที่ระลึกเป็นสเปรย์แอลกอฮอลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในช่วงวันหยุดยาว เป็นที่ระลึกเพื่อสร้างความประทับและสร้างสีสันให้แก่นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามา

ผบ.ตร. ประชุมหารือ ผบช.น. และเจ้าหน้าที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง กำชับแนวทางการถวายความปลอดภัยขบวนเสด็จให้เกิดความปลอดภัยสูงสุด แต่ต้องไม่กระทบแก่พสกนิกรของพระองค์ท่าน

เมื่อวานนี้ (9 ก.พ.67) เวลา 15:30 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ได้เดินทางไปยังกองบัญชาการตำรวจนครบาล เพื่อประชุมหารือกับ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. พร้อมด้วย รอง ผบช.น. และเจ้าหน้าทุกหน่วย วางแนวทางกำชับความเข้มข้นการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในการปฏิบัติหน้าที่ถวายความปลอดภัยขบวนเสด็จและอำนวยความสะดวกด้านการจราจร  

ในการประชุมได้กำชับการปฏิบัติจะต้องไม่กระทบกับพี่น้องประชาชนที่สัญจรบนท้องถนน และยังคงหลักด้านความปลอดภัยในขบวนเสด็จอย่างสูงสุด ตลอดจนกำชับการรวบรวมพยานหลักฐาน ในคดีที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในขบวนเสด็จ ให้พนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน ทั้งก่อน ขณะ และหลังขบวนเสด็จ อย่างรอบคอบ เพื่อให้เกิดความยุติธรรมแก่ทุกฝ่าย  หากพบว่ามีความผิด ก็ให้ดำเนินคดีตามกฎหมาย รวมทั้งให้นำบทเรียนที่เกิดผลกระทบต่อขบวนเสด็จมาทำการศึกษา เพื่อถอดบทเรียน ทำการประชาสัมพันธ์แนวทางในการใช้รถใช้ถนนของประชาชนในกรณีร่วมเส้นทางกับขบวนเสด็จให้ทราบและปฏิบัติได้อย่างปลอดภัย และเพื่อให้เกิดมาตรฐานในการถวายความปลอดภัยให้เกิดความปลอดภัยสูงสุด และไม่กระทบกับพสกนิกรของพระองค์ท่าน

ผกก.ปทุมวัน ประชุมร่วม 2 สถาบันดัง เข้มมาตรการป้องกันดูแลความปลอดภัยในงาน MOL Supermark Football Festival U-15 รอบชิงแชมป์ประเทศไทย

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 9 มีนาคม 2567 พ.ต.อ.อาคม ชุมพรัตน์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลปทุมวัน ร่วมประชุมหาแนวทางป้องกันเหตุทะเลาะวิวาทหลังการแข่งขันกีฬาและป้องกันเหตุจากบุคคลภายนอก (มือที่สาม) ในงาน MOL Supermark Football Festival U-15 รอบชิงแชมป์ประเทศไทย โดยมีตัวแทนอาจารย์และสมาคมผู้ปกครองจากโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย และโรงเรียนปทุมคงคา เข้าร่วมประชุมหารือ 

เนื่องจากการแข่งฟุตบอลในครั้งนี้ มีกองเชียร์จากทั้งสองสถาบันซึ่งมีทั้งศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบัน ทั้งสองสถาบันเกรงว่าหลังจากการแข่งขันอาจเกิดเหตุทะเลาะวิวาทระหว่างกองเชียร์ จากการหารือในครั้งนี้ได้มีการพูดคุยวางแนวทางที่สำคัญ เช่น มีการประชาสัมพันธ์การรณรงค์การเชียร์อย่างสร้างสรรค์ การกำหนดเวลาการออกจากพื้นที่เมื่อเสร็จการแข่งขันของทั้งสองฝ่าย รวมถึงการบูรณาการความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การแข่งขัน MOL Supermark Football Festival U-15 รอบชิงแชมป์ประเทศไทย ณ สนามศุภชลาศัย สนามีฬาแห่งชาติ ในวันอาทิตย์ที่ 10 มีนาคม นี้ ลุลวงไปด้วยดี

ด้าน พ.ต.อ.อาคม ชุมพรัตน์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลปทุมวัน เปิดเผยว่าที่ผ่านมาตำรวจได้วางหลายมาตรการในการป้องกันเหตุทะเลาะวิวาท ในครั้งนี้ได้มีการหารือร่วมกันจากตัวแทนทั้งสองสถาบัน โดยตำรวจจะวางกำลังประจำจุด รวมทั้งร่วมการบูรณาการกับทุกฝ่ายในการดูแลความเรียบร้อยก่อนแข่งขัน ระหว่างการแข่งขัน และหลังจากเสร็จสิ้นการแข่งขัน นอกจากนี้ยังขอความร่วมมือจากผู้เข้าร่วมงานไม่ยั่วยุกันให้เกิดเหตุตามมา และเชียร์กีฬาอย่างสร้างสรรค์

ขนส่งทางบก เดินหน้าพัฒนานายช่างตรวจสภาพรถเพื่อสร้างมาตรฐานความปลอดภัยบนท้องถนน

วันนี้ (23 มี.ค. 67) ณ ห้อง Salon A ชั้น 2 โรงแรมสวิสโซเทล รัชดาภิเษก กรุงเทพมหานคร นายชีพ น้อมเศรียร ผู้อำนวยการสำนักวิศวกรรมยานยนต์ เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการฝึกอบรม หลักสูตร ด้านการตรวจสภาพรถ เพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 รุ่นที่ 2 

นางเพียงจันทร์ พจน์โพธิ์ศรี หัวหน้ากลุ่มพัฒนาบุคคลและสวัสดิการ กล่าวว่า การจัดการฝึกอบรมในครั้งนี้ ซึ่งมีผู้บริหารและผู้เข้ารับการฝึกอบรม เข้าร่วมพิธีเปิดดังกล่าว 

ทั้งนี้เพื่อพัฒนาศักยภาพบุคลากรกรมการขนส่งทางบก ตำแหน่งนายช่างตรวจสภาพรถทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการตรวจสภาพรถที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้การปฏิบัติงานเกิดประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เป็นไปตามยุทธศาสตร์ของกรมการขนส่งทางบก ด้านการพัฒนาและส่งเสริมระบบทางถนนให้มีความปลอดภัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยให้ความสำคัญในเรื่องความปลอดภัยของทั้งรถ คน และสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังเป็นโอกาสที่จะทำให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมได้ทบทวนและเพิ่มพูนทักษะ ความรู้ ความเข้าใจวิธีการปฏิบัติงานรวมถึงกฎ ประกาศ ระเบียบ ด้านการตรวจสภาพรถ ตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 และตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 ที่มีการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมต่อไป

'รมว.ปุ้ย' ยัน!! แผน 'หลัก-รอง' ขนย้ายกากแคดเมียมไป จ.ตาก พร้อม!! ชี้!! มีความรัดกุมทุกขั้นตอน 'ถุงบรรจุ-รถขน-เส้นทาง-หน้าบ่อกลบ'

(18 เม.ย. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวถึงการขนย้ายกากแคดเมียมไปยัง จ.ตาก ว่า ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้ตั้งคณะทำงานแก้ไขปัญหาการตรวจสอบการขนย้ายกากแคดเมียม ตลอดจนการสืบหาข้อเท็จจริงและข้อบกพร่องในแต่ละขั้นตอนร่วมกับ 6 กระทรวง โดยมีกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นเจ้าภาพหลักและให้ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธานกรรมการนั้น 

ทั้งนี้เพื่อความรวดเร็ว กระทรวงอุตสาหกรรมจึงได้ตั้งคณะกรรมการ ขึ้นมาอีก 1 ชุด คือคณะกรรมการอำนวยการขนย้ายกากแคดเมียมและสังกะสี โดยมีผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธาน โดยตลอดช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา คณะกรรมการฯ ชุดดังกล่าว ได้ประชุมทุกวัน และได้เรียกบริษัท เบาด์ แอนด์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) มาหารือถึงขั้นตอนในการเตรียมการขนย้าย ซึ่งตนได้ย้ำว่า จะต้องคำนึงถึงความปลอดภัย เป็นไปตามกระบวนการ EIA และถูกต้องตามกฎหมาย จนได้ข้อสรุปวันขนย้าย รวมถึงวิธีการขนส่ง ซึ่งกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ได้ลงไปดูพื้นที่หน้างานแล้ว โดยเฉพาะบ่อที่รับกากแคดเมียม มีความแข็งแรงทนทาน เพื่อทำการฝังกลบหรือไม่ ซึ่งในวันนี้จะมีการรายงานมายังตนเอง

ส่วนคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ให้มีการดำเนินการจัดการเรื่องการเคลื่อนย้ายกากแคดเมียมและการตรวจสอบข้อเท็จจริงนั้น นางสาวพิมพ์ภัทรา กล่าวว่า ล่าสุดได้สั่งการปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมลงพื้นที่ดูหน้างาน และปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ตั้งคณะกรรมการมาตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งคณะกรรมการเป็นคนของกระทรวงอุตสาหกรรม แต่ส่วนตัวอยากให้มีองค์ประกอบที่หลากหลาย จึงขอเพิ่มคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากหน่วยงานภายนอกด้วย 

นอกจากนี้ ยังได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นใหม่อีกหนึ่งชุด และให้ นายดนัยณัฏฐ์ โชคอำนวย ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธาน

“คณะกรรมการฯ ชุดนี้ ประกอบด้วย กรมสอบสวนคดีพิเศษ, ปปง., บก.ปทส. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งถือเป็นองค์กรที่มีความชำนาญ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และให้หายคลางแคลงใจ ทั้งนี้ ขอยืนยันว่า จะขนย้ายให้เร็วที่สุด โดยวางไว้เบื้องต้นในวันที่ 7 พฤษภาคมและจะพยายามทำให้ได้รวดเร็ว แต่ขั้นตอนการเตรียมการมีค่อนข้างเยอะ เช่น ถุงที่บรรจุแคดเมียมต้องแข็งแรง รถขนส่งก็ต้องเป็นรถเฉพาะที่ใช้ขนส่งวัตถุอันตราย เส้นทาง และจำนวนรถ ที่ต้องทำให้ถูกต้องตามระบบความปลอดภัยของ EIA โดยความตั้งใจจริงอยากทำให้รวดเร็ว แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานความปลอดภัย และถูกต้องตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งหมด วันนี้สามารถทำได้เร็วขึ้นคือการเพิ่มจำนวนรถให้มากขึ้น แต่หน้าบ่อที่จังหวัดตาก ก็ต้องมีความพร้อมเช่นกัน ยืนยันว่า มีแผนหลัก และแผนสำรองในการขนย้าย” รมว.อุตสาหกรรม กล่าว

รรท.รอง ผบ.ตร. วางมาตรการ 3 มิติงาน ยกระดับขีดความสามารถงานตรวจคนเข้าเมือง มุ่งตอบสนองนโยบายรัฐบาล รักษาความมั่นคงของประเทศ สร้างความปลอดภัยแก่ประชาชนและสังคม

ที่ อาคารฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรและสวัสดิการ ตร. (เมืองทองธานี) พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร.(มค) เปิดเผยว่า ตามนโยบายของรัฐบาล ที่มุ่งให้ความสำคัญในการรักษาความมั่นคง ความสงบเรียบร้อย และแก้ไขปัญหาภัยคุกคามด้านความมั่นคงในทุกรูปแบบ ควบคู่ไปกับการส่งเสริมและกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้บรรลุผลสำเร็จอย่างสูงสุด โดยมุ่งหวัง ให้ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และหน่วยงานฝ่ายความมั่นคง ดูแลความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว รักษาความมั่นคงของประเทศ และสร้างความสงบเรียบร้อยแก่สังคมอย่างมีประสิทธิภาพ นั้น

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายใต้การนำของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. จึงได้นำนโยบายมาสู่การปฏิบัติ โดยได้มอบหมาย ให้ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร.(มค) ขับเคลื่อนและยกระดับขีดความสามารถงานตรวจคนเข้าเมือง ให้บรรลุผลสำเร็จเป็นรูปธรรมโดยเร็ว       

พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร.(มค) ได้มอบนโยบายพร้อมขับเคลื่อนและกำชับการปฏิบัติงานของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดยมี พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม., รอง ผบช.สตม., ผบก.ตม. และหัวหน้า ตม.จว. ทั่วประเทศ เข้าร่วมรับฟังนโยบาย เพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ใน 3 มิติงาน ดังนี้ 

มิติด้านการบริการ ต้องมุ่งตอบสนองนโยบายรัฐบาล ให้ความสำคัญในการอำนวยความสะดวกในการเข้า - ออก ประเทศ โดยเฉพาะท่าอากาศยานนานาชาติ โดยให้นำระบบเทคโนโลยีที่ทันสมัย และการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ ได้แก่ ระบบ Biometrics เพื่อเก็บอัตลักษณ์ และตรวจสอบคัดกรองบุคคลไม่พึงประสงค์เข้าประเทศ ระบบ Automatic channel ช่วยระบายความหนาแน่นของผู้โดยสาร การลดขั้นตอนต่าง ๆ และพัฒนาระบบคัดกรองด้วย AI  

มิติด้านความมั่นคง ต้องเร่งรัดสืบสวนปราบปรามองค์กรอาชญากรรมทุกประเภท โดยเฉพาะในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยว เช่น กลุ่มแก๊งต่าง ๆ เกี่ยวกับยาเสพติด ผู้มีอิทธิพล เรียกค่าไถ่ คอลเซ็นเตอร์ พนันออนไลน์ ต้องมีระบบการคัดกรอง และควบคุมคนต่างด้าวแบบครบวงจร เน้นการคัดกรองบุคคลที่มีลักษณะต้องห้าม ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 อย่างเข้มงวด โดยเฉพาะบุคคลที่มีหมายจับต่างประเทศ ประกาศตำรวจสากลสีแดง (Red Notice) มีระบบตรวจสอบการแจ้งที่พักของคนต่างด้าว และมีมาตรการเชิงรุกต่อคนต่างด้าวที่อยู่ในประเทศโดยการอนุญาตสิ้นสุด หรือ overstay ต้องตรวจสอบและติดตามจับกุมคนกลุ่มนี้ ส่วนการพิจารณาอนุญาตให้คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว ให้ตรวจสอบประวัติ หมายจับอย่างเคร่งครัด การปฏิบัติชาวต่างชาติ ต้องรวดเร็วทันสถานการณ์ พิสูจน์ทราบผู้เสียหาย ผู้ก่อเหตุ มีการบูรณาการ สนับสนุนข้อมูล ตร. พื้นที่ และ บก.สส.สตม. ต้องมีข้อมูลสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดโดยเร็ว มีการบูรณาการหน่วยความมั่นคง ร่วมปฏิบัติการตรวจสอบ จับกุม ผลักดัน หากเกิดเหตุต้องจับได้ทันที ควบคู่กับการประชาสัมพันธ์ต่อเนื่อง เพิ่มความเชื่อมั่นว่าประเทศไทยมีความปลอดภัย เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีคุณภาพและปลอดภัยระดับโลก

มิติด้านการพัฒนาและสวัสดิการ ต้องพัฒนาบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญเป็นมืออาชีพ มีมาตรฐานระดับสากล มีความคิดริเริ่ม พัฒนาการให้บริการและสถานที่ทำงาน นำระบบเทคโนโลยีมาแก้ไขปัญหา ลดระยะเวลา ลดขั้นตอน ตลอดจนมีสวัสดิการและคุณภาพชีวิตที่ดี สร้างเสริมขวัญกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ตำรวจไปปฏิบัติหน้าที่ดูแลประชาชน โดยห้ามเรียกรับผลประโยชน์หรือมีส่วนเกี่ยวข้องหรือกระทำผิดกฎหมายโดยเด็ดขาด       

พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวว่า สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เป็นหน่วยงานหลักของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่รับผิดชอบเกี่ยวกับคนต่างด้าวที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยทั้งหมด ต้องมีระบบฐานข้อมูล มีการบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ ซึ่งในปัจจุบันจะพบว่า แนวโน้มของอาชญากรรมข้ามชาติเพิ่มสูงขึ้นมาก มีความเชื่อมโยงกับคนร้ายในต่างประเทศ ประเทศไทยเป็นเป้าหมายเข้ามากระทำความผิด หรือกระทำความผิดในต่างประเทศ แล้วใช้ประเทศไทยเป็นที่หลบหนี ความร่วมมือกันระหว่างประเทศเป็นสิ่งที่สำคัญ ต้องประสานงานกับกองการต่างประเทศ ตำรวจสากลและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายอื่น เพื่อติดตามจับกุมคนร้ายมาดำเนินคดี และผลักดันออกนอกประเทศ               
   
พล.ต.ท.ประจวบฯ รรท.รอง ผบ.ตร. กล่าวทิ้งท้ายว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความมุ่งหวังว่าการระดมสรรพกำลัง ของตำรวจตรวจคนเข้าเมืองและทุกภาคส่วน ในการรักษาความมั่นคงและความสงบเรียบร้อย ตลอดจนเร่งรัดปราบปรามการกระทำผิดที่เกี่ยวข้องในทุกรูปแบบ จะประสบผลสำเร็จ ตอบสนองนโยบายรัฐบาล ประชาชนและสังคมมีความสงบเรียบร้อย มั่นคงอย่างยั่งยืนสืบไป

'พล.ต.ท.ประจวบฯ' ตรวจความเรียบร้อยการรักษาความปลอดภัย การประชุมประจำปีองค์การที่ปรึกษากฎหมายแห่งเอเชียและแอฟริกา พร้อมชื่นชมตำรวจจับกุมได้รวดเร็ว กรณีชายจากทวีปแอฟริกามีพฤติกรรมแอบอ้างขอถ่ายภาพกับคณะบุคคลสำคัญ (VIP) ของต่างประเทศ เพื่อสร้างโปรไฟล์ตัวเอง

(12 ก.ย.67) เวลา 16.30 น. พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร.) เดินทางไปตรวจความเรียบร้อย การรักษาความปลอดภัย การจัดประชุมประจำปีขององค์การที่ปรึกษากฎหมายแห่งเอเชียและแอฟริกา (Asian - African Legal Consultative Organization: AALCO) สมัยที่ 62 ณ โรงแรมแบงค็อก แมริออท มาร์คีส์ ควีนส์ปาร์ค ซอยสุขุมวิท 22 แขวงคลองตัน เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร โดยมี พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร. (ทำหน้าที่หัวหน้าส่วนอำนวยการ และสนับสนุน ศปก.ตร.) , พล.ต.ต.วิทวัฒน์ ชินคำ ผบก.น.5 , ผู้แทน บช.ส. , ผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ , ผู้แทนกรม การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข , ผู้แทนโรงแรมสถานที่ประชุม และผู้แทนหน่วยที่เกี่ยวข้อง ร่วมตรวจเยี่ยมและร่วมประชุมติดตามสถานการณ์ ณ ที่ทำการส่วนหน้าโรงแรมแบงค็อก แมริออท มาร์คีส์ ควีนส์ปาร์ค พร้อมมอบรางวัลชมเชย ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวนที่สามารถติดตามจับกุมบุคคลต้องสงสัยที่พยายามที่จะขอเข้าพบ VIP ต่างประเทศ  โดยไม่ได้รับอนุญาตได้อย่างรวดเร็ว และมอบสิ่งของบำรุงขวัญให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้วยส่วนหนึ่ง

ทั้งนี้ พล.ต.ท.ประจวบฯ ได้กำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้เกี่ยวข้องในการดูแลความปลอดภัยการประชุมดังกล่าวอย่างเต็มที่ พร้อมกล่าวชื่นชมเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนของกองบัญชาการตำรวจนครบาล , สน.ทองหล่อ , สน.พญาไท และ ตรวจคนเข้าเมือง 1 ที่สามารถติดตามจับกุมชายชาวแอฟริกันที่มีพฤติการแอบอ้างโดยการขอถ่ายภาพกับบุคคลสำคัญในต่างประเทศ หรือคณะวีไอพี ที่เดินทางมาประเทศไทย เพื่อวัตถุประสงค์นำไปใช้อวดอ้างในทางทุจริตเพื่อประโยชน์ของตน

โดยเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา เวลา 20.00 น. ได้มีชายชาวแอฟริกัน (ขอสงวนชื่อและสัญชาติ) อายุ 41 ปี มาขอเข้าพบรัฐมนตรีของ 1 ใน 11 ประเทศ ที่มาเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ ภายในล็อบบี้ของโรงแรมแบงค็อก แมริออท มาคีย์ ควีนส์ปาร์ค เพื่อขอถ่ายภาพ แต่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาล ชุด รปภ.บุคคลสำคัญกันเอาไว้  ชายคนดังกล่าวจึงหลบหนีไป ทั้งนี้ เลขาธิการกงสุลใหญ่กิตติมาศักดิ์ของรัฐมนตรีประเทศดังกล่าว ระบุว่า ชายต้องสงสัยคนนี้มีพฤติกรรมมักจะมาขอถ่ายภาพกับบุคคลสำคัญของประเทศ เพื่อนำไปเป็นโปรไฟล์ว่าเป็นผู้มีอิทธิพล แล้วนำไปใช้ในทางที่ไม่ดี 

ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งขาติ (ศปก.ตร.) โดย พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร./หัวหน้าส่วนอำนวยการและสนับสนุน ศปก.ตร. ได้รับรายงานเหตุดังกล่าวแล้ว จึงได้รายงานให้ พล.ต.ท.ประจวบฯ ทราบ พร้อมรับคำสั่งให้ ศปก.ตร. ประสานการปฏิบัติกับศูนย์ปฏิบัติการกองบัญชาการตำรวจนครบาล สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สันติบาล และกองการต่างประเทศ ดำเนินการตรวจสอบประวัติต่างๆ ของบุคคลดังกล่าว ว่ามีพฤติการณ์ใดๆ ที่เป็นภัยต่อความมั่นคง หรือมีพฤติกรรมตามที่ได้รับการแจ้งมาจากทางสถานทูตหรือไม่ จากการสืบสวนของชุดสืบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล , 

สน.ทองหล่อ , สน.พญาไท และ ตรวจคนเข้าเมือง 1 ได้ดำเนินการตรวจสอบชายต่างชาติดังกล่าว พบว่าชายชาวแอฟริกันคนดังกล่าว มีที่พักอยู่ที่คอนโดย่านถนนพระราม 2 และเปิดร้านขายเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่อาคารใบหยก 2 ชั้น 1 ประตูน้ำ เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร วานนี้ (11 กันยายน 2567) เวลาประมาณ 15.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ร่วมกันตรวจร้านดังกล่าวภายในอาคารใบหยก สกาย ชั้น 1 ตลาดประตูน้ำ พบชายชาวตะวันออกกลาง อายุ 39 ปี กำลังยืนขายสินค้าประเภทเสื้อผ้าภายในร้าน ต่อมาชายชาวแอฟริกันคนดังกล่าวได้เข้ามาที่ร้านและแสดงตัวเป็นเจ้าของร้าน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้แจ้งข้อหาชายชาวตะวันออกกลาง ว่ากระทำผิดฐาน “เป็นบุคคลต่างด้าว ผู้มีใบอนุญาตทำงาน แต่ทำงานนอกเหนือประเภทลักษณะงานนายจ้างที่ระบุในใบอนุญาต” ส่วนชายชาวแอฟริกันคนดังกล่าวที่รับว่าเป็นนายจ้างนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งข้อหา “เป็นนายจ้าง ให้แรงงานต่างด้าวที่มีใบอนุญาตทำงานทำงานโดยผิดเงื่อนไข” ควบคุมตัวส่ง สน.พญาไท ดำเนินคดี

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เชิญชายชาวแอฟริกันคนดังกล่าวไปยังถิ่นที่อยู่ตามใบอนุญาตทำงานที่ได้รับอนุญาตเป็นเจ้าของกิจการนั้น เมื่อไปถึงปรากฏพบว่าเป็นโรงงานผลิตเสื้อผ้า ชื่อบริษัท เอสเค เอ็กซ์พอร์ต จำกัด ตั้งอยู่ที่ซอยพระยามนธาตุ แยก 17 แขวงคลองบางบอน เขตบางบอน กรุงเทพมหานคร จึงร่วมกันตรวจสอบบริษัทซึ่งเปิดดำเนินกิจการผลิตเสื้อผ้าโดยมีชายชาวแอฟริกันคนดังกล่าวเป็นกรรมการผู้จัดการจริง และตรวจพบลูกจ้างชาวเมียนมาอีกจำนวน 9 คน 

ซึ่งทั้ง 9 คนนั้นไม่มีใบอนุญาตทำงานโดยถูกต้องตามกฎหมาย และยังไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรไทยอีกด้วย จึงได้จับกุมพร้อมแจ้งข้อกล่าวหาผู้ต้องหาที่ 1-7 ในความผิดฐาน “เป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต และเป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน” และแจ้งข้อกล่าวหาผู้ต้องหาที่ 8-9 ในความผิดฐาน “เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด(OVERSTAY) และเป็นคนต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน” นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ท่าข้าม ดำเนินการตามกฎหมาย และจะได้มีการพิสูจน์ทราบและดำเนินการเพิ่มเติมกับชายชาวแอฟริกันคนดังกล่าวว่ามีพฤติการณ์กระทำผิดอื่นๆ อีกหรือไม่ เพื่อดำเนินมาตรการเพิ่มเติมต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top