Friday, 6 June 2025
กัมพูชา

‘แพทองธาร’ เตรียมบินไปเยือน!! ‘กัมพูชา’ 23 – 24 เม.ย.นี้ เน้น!! ประสานความร่วมมือ แก้ปัญหาความมั่นคง เศรษฐกิจ

(20 เม.ย. 68) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีกำหนดการเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันพุธ 23 – พฤหัสฯ 24 เมษายน 2568 ณ กรุงพนมเปญ ตามคำเชิญของสมเด็จมหาบวรธิบดี ฮุน มาแนด (H.E. Samdech Moha Borvor Thipadei Hun Manet) นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ทั้งนี้  นายกรัฐมนตรีมีกำหนดการสำคัญในการเข้าร่วมพิธีต้อนรับอย่างเป็นทางการ ณ สำนักนายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา พร้อมหารือเต็มคณะร่วมกับนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา   โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีทั้งสองจะเป็นประธานในพิธีเปิดตราสัญลักษณ์ ครบรอบ 75 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย – กัมพูชา และเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามเอกสารสำคัญต่าง ๆ ร่วมกัน

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร  มีกำหนดการเข้าเยี่ยมคารวะสมเด็จอัคคมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาและประธานองคมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา สมเด็จมหารัฐสภาธิการธิบดี ควน โซะดารี ประธานรัฐสภาแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา และเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมุนี พระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรกัมพูชา

การเยือนในครั้งนี้ ถือเป็นการเยือนราชอาณาจักรกัมพูชาอย่างเป็นทางการครั้งแรกของนายกรัฐมนตรี และเป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 75 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งจะเป็นโอกาสในการขับเคลื่อนความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างทั้งสองประเทศให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น โดยเฉพาะความร่วมมือด้านความมั่นคง การแก้ปัญหาข้ามแดน เศรษฐกิจ ความร่วมมือเพื่อการพัฒนา และความสัมพันธ์ในระดับประชาชน รวมถึงการส่งเสริมความร่วมมือในระดับภูมิภาค” นายจิรายุกล่าวทิ้งท้าย

BYD ปักธงสีหนุวิลล์ ‘กัมพูชา’ ลงทุน 32 ล้านดอลล์ สร้างโรงงานผลิตรถ EV ตั้งเป้าผลิต 10,000 คันต่อปี ส่งออกทั่วโลก-เตรียมยลโฉมคันแรกพฤศจิกายนนี้

(29 เม.ย. 68) BYD ผู้ผลิตยานยนต์พลังงานใหม่ (NEV) จากจีน เดินหน้าขยายฐานการผลิตในต่างประเทศ ล่าสุดเริ่มก่อสร้างโรงงานประกอบรถยนต์ในเขตเศรษฐกิจพิเศษสีหนุวิลล์ ประเทศกัมพูชา เมื่อวันที่ 28 เมษายน โดยโรงงานนี้เป็นแห่งแรกของกัมพูชาที่ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และมีมูลค่าการลงทุนรวม 32 ล้านดอลลาร์ (ราว 1,171.2 ล้านบาท) ครอบคลุมพื้นที่ 12 เฮกตาร์ (75 ไร่)

โรงงานจะดำเนินการในรูปแบบ CKD (Completely Knocked Down) โดยนำเข้าชิ้นส่วนจากจีนมาประกอบในกัมพูชา คาดว่าเฟสแรกจะเริ่มผลิตรถยนต์ BEV และ PHEV ได้ภายในไตรมาส 4 ปีนี้ ซึ่งมีกำลังการผลิตปีละ 10,000 คัน และรถยนต์คันแรกจะออกจากสายการผลิตช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน

ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในกัมพูชาแม้ยังเล็กแต่ถือว่าเติบโตได้อย่างเร็ว โดยในปี 2567 มีการจดทะเบียนรถ EV เพิ่มขึ้นถึง 620% จากปีก่อนหน้า ซึ่ง BYD เป็นหนึ่งในแบรนด์ยอดนิยม ร่วมกับ Toyota และ Tesla ทั้งนี้ BYD เข้าตลาดกัมพูชาตั้งแต่ปี 2020 และได้เปิดตัวรุ่น Atto 3 ไปในปี 2565

สำหรับโครงการในกัมพูชานี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนขยายกำลังการผลิตในอาเซียน ต่อจากโรงงานในไทยที่เปิดเมื่อกลางปี 2567 และโรงงานใหม่ในอินโดนีเซียมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ ที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ซึ่งจะช่วยเสริมบทบาทของ BYD ในการเป็นผู้นำด้านรถยนต์พลังงานใหม่ในภูมิภาคอาเซียน

‘จีน’ รอคำตอบเรือดำน้ำ ‘ภูมิธรรม’ รับพูดยาก ปัดข่าวเรือที่สร้างแล้ว 80% อาจตกถึงกัมพูชา

(16 พ.ค. 68) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยถึงกรณีที่เยอรมนีปฏิเสธการขายเครื่องยนต์เรือดำน้ำให้ไทย โดยระบุว่าได้รับคำตอบจากรัฐมนตรีกลาโหมเยอรมนีแล้วว่าไม่สามารถขายได้เนื่องจากข้อจำกัดด้านความมั่นคงภายใต้นาโต แม้จะมีความสัมพันธ์อันดีกับไทย พร้อมขอบคุณสำหรับคำตอบที่ชัดเจน ซึ่งไทยจะนำไปพิจารณาหาทางออกต่อไป

นายภูมิธรรมยอมรับว่าเรือดำน้ำลำดังกล่าวดำเนินการไปแล้วกว่า 70-80% หากยกเลิกอาจเสียประโยชน์โดยไม่ได้อะไรคืนกลับมา แต่หากเดินหน้าต่อก็ต้องพิจารณาความคุ้มค่าและเงื่อนไขของสัญญาอย่างรอบคอบ โดยย้ำว่าจะไม่สามารถดำเนินการแบบเดิมได้อีก

สำหรับประเด็นกระแสข่าวว่า หากยกเลิกสัญญา ตัวเรือดำน้ำอาจถูกจีนมอบให้กัมพูชา นายภูมิธรรมระบุว่า “ยังไม่เคยได้ยินเรื่องนี้” และไม่ได้มีการพูดคุยกับฝ่ายจีนในประเด็นดังกล่าว แต่ยอมรับว่าทางเอกอัครราชทูตจีนได้ทวงถามคำตอบจากไทยหลายครั้ง โดยไทยได้แจ้งว่าต้องพิจารณาทางออกให้รอบคอบที่สุด

ทั้งนี้ รองนายกฯ ระบุว่ารัฐบาลจำเป็นต้องรักษาดุลความสัมพันธ์ระหว่างมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ และจีน เพราะไทยเป็นประเทศเล็ก และเรื่องนี้เป็นประเด็นละเอียดอ่อนที่กระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จำเป็นต้องหาทางออกที่เหมาะสมในภาพรวม

ทบ. แจงเหตุปะทะเดือดทหารไทย - กัมพูชา ชี้ สถานการณ์คลี่คลายทหารไทยไร้บาดเจ็บ

ทบ.แจงเหตุการณ์ปะทะทหารกัมพูชาบริเวณชายแดนช่องบก อุบลราชธานี ปัจจุบัน สถานการณ์คลี่คลายแล้ว อยู่ระหว่างรอการเจรจา

เช้าวันนี้ (28 พ.ค.68) ณ กองบัญชาการกองทัพบก พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เผยถึงสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทยกัมพูชา โดยระบุว่าได้รับรายงานจาก กองกำลังสุรนารีเกี่ยวกับเหตุการณ์ปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 เวลา 05.30 น. 

โดย หน่วยเฉพาะกิจที่ 1 กองกำลังสุรนารี ได้รับการรายงานว่ามีทหารกัมพูชาเข้ามาวางกำลังในพื้นที่อ้างสิทธิ์ ซึ่งไม่เป็นไปตามข้อตกลง ฝ่ายไทยจึงจัดชุดประสานงานเพื่อเข้าพูดคุยเจรจาตามแนวทางการปฏิบัติที่เคยกระทำมา เมื่อถึงบริเวณดังกล่าว กำลังส่วนระวังเหตุของทหารกัมพูชาได้เข้าใจผิด และเริ่มใช้อาวุธ ฝ่ายไทยจึงใช้อาวุธตอบโต้กลับไป โดยใช้เวลาประมาณ 10 นาที ต่อมาเวลา 05.55 น. พลตรี ทล โซะวัน รองผู้บัญชาการกองพลสนับสนุนที่ 3 ฝ่ายกัมพูชา ได้โทรศัพท์ประสานงานกับ พันเอก บุญเสริม บุญบำรุง รองผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายยุติ โดยทั้งสองฝ่ายได้ตกลงหยุดยิงและตรึงกำลังบริเวณจุดปะทะ 

ปัจจุบัน ทั้งสองฝ่ายอยู่ระหว่างการเจรจาผ่านกลไกทวิภาคี เพื่อจัดการกรณีอ้างสิทธิในพื้นที่ และกำหนดแนวทางร่วมกันในการปฏิบัติอย่างสันติ ตามข้อตกลงที่มีอยู่

กองทัพบกขอยืนยันว่า กำลังพลฝ่ายไทยปลอดภัย ไม่มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต และจะรายงานความคืบหน้าเพิ่มเติมให้ทราบต่อไป

อุบลราชธานี-ด่วน!!! 'เสียงปืนแตก' ยิงปะทะทหารกัมพูชาที่ช่องบก ล่าสุดทหารไทยปลอดภัย ยังคงตรึงกำลังเข้มในพื้นที่

(28 พ.ค.68) ที่กองบัญชาการกองทัพบก พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยถึงสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ว่าเมื่อเวลา 05.30 น. หน่วยเฉพาะกิจที่ 1 กองกำลังสุรนารี รายงานว่าได้เกิดเหตุปะทะกับกำลังทหารกัมพูชาที่เข้ามาวางกำลังในพื้นที่อ้างสิทธิ์ ซึ่งไม่เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างสองประเทศ

ฝ่ายไทยได้ส่งชุดประสานงานเข้าพูดคุยตามแนวทางปกติ แต่เกิดความเข้าใจผิดจากฝ่ายกัมพูชาที่เข้าใจว่าเป็นการเคลื่อนกำลัง จึงเปิดฉากใช้อาวุธยิงใส่ ทำให้ฝ่ายไทยต้องตอบโต้ โดยการปะทะกินเวลาราว 10 นาที

ต่อมาในเวลา 05.55 น. พลตรี ทล โซะวัน รองผู้บัญชาการกองพลสนับสนุนที่ 3 ของกัมพูชา ได้โทรศัพท์ประสานกับ พันเอก บุญเสริม บุญบำรุง รองผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี ฝ่ายไทย เพื่อยุติการปะทะ ทั้งสองฝ่ายตกลงหยุดยิงและตรึงกำลังในพื้นที่

ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจาผ่านกลไกทวิภาคี เพื่อหาข้อยุติในประเด็นการอ้างสิทธิ์ และวางแนวทางปฏิบัติร่วมกันอย่างสันติ โดยกองทัพบกยืนยันว่า กำลังพลฝ่ายไทยทุกนายปลอดภัย ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต พร้อมรายงานความคืบหน้าเพิ่มเติมให้ทราบในโอกาสต่อไป

‘ฮุน เซน’ โวยโดนรุกรานซ้ำรอย ‘พระวิหาร’ หนุนส่งกองกำลัง-อาวุธหนักประชิดชายแดน

(29 พ.ค.68) สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา บิดาของนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชาคนปัจจุบันโพสต์เฟซบุ๊ก Samdech Hun Sen of Cambodia ถึงกรณีทหารกัมพูชา ปะทะทหารไทย บริเวณช่องบก เป็นเหตุให้ทหารกัมพูชา เสียชีวิต 1 นาย โดยระบุว่า...

ก่อนอื่น ขอแสดงความเสียใจ และร่วมไว้อาลัย กับครอบครัว นาย ปริญบาล เอกส่วน รุ่น เนื่องจากกองทัพบุกรุก ขอบเขตความร่วมมือและการพัฒนามิตรภาพสันติภาพไม่ควรเกิดขึ้น ฉันขอประณามบุคคลหรือบุคคลหรือชนชั้นใดที่ตัดสินใจทําการรุกรานดังกล่าว คล้ายกับการบุกรุกจากปี 2008 ถึง 2011 ที่วัดพระวิหาร

ไม่ต้องการเห็นการต่อสู้เกิดขึ้น แต่สนับสนุนรัฐบาลตัดสินใจส่งทหารและอาวุธหนักไปยังชายแดน เพื่อเตรียมพร้อมโจมตีในกรณีมีการบุกรุกเพิ่มเติม หวังว่าการเจรจาต่อรองที่จะทําในวันพรุ่งนี้ ระหว่าง ผบ. ทหาร ทั้ง 2 ประเทศ จะส่งผลดีนะครับ หวังว่าจะไม่มีความตึงเครียดข้ามพรมแดนระหว่างสองประเทศ จนถึงขนาดปิดกั้นความร่วมมือในส่วนอื่น เพื่อประโยชน์ของทั้งสองประเทศ

ฉันขอร้องเพื่อนร่วมชาติ โปรดอย่าทําให้ความขัดแย้งนี้กลายเป็นเหยียดเชื้อชาติ และโปรดเชื่อมั่นในปณิธานของรัฐบาลและกองทัพของทั้งสองประเทศ เราเกลียดสงครามแต่เรายืนยันที่จะทําสงครามต่อต้านการรุกรานต่างประเทศเนื่องจากมันทําในปี 2008 ถึง 2011 โดยใช้ลูกศร 3 ลูก: ทหาร การทูตและกฎหมาย

ก่อนอื่น ขอแสดงความเสียใจและขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของ สว. ซุน รอน ที่เสียชีวิตจากการทําร้ายร่างกายโดยการบุกรุก สงบสุข เป็นมิตร ร่วมมือ และชายแดนพัฒนาไม่ควรเป็นพยานเหตุการณ์ดังกล่าว ข้าพเจ้าขอประณามบุคคล นิติบุคคล หรือผู้มีอํานาจใด ๆ ที่ได้ตัดสินใจให้ดําเนินการ การรุกรานดังกล่าวซึ่งคล้ายกับการรุกรานที่เกิดขึ้นระหว่างปี 2008 ถึง 2011 ณ วัดพระวิหาร

ฉันไม่ต้องการที่จะเห็นความขัดแย้งติดอาวุธใด ๆ ที่เกิดขึ้น แต่ฉันสนับสนุนอย่างเต็มที่ในการตัดสินใจของรัฐบาลที่จะนํากองกําลังและอาวุธหนักไปยังพื้นที่ชายแดนเพื่อเตรียมพร้อมสําหรับการป้องกันในกรณีที่มีการรุกรานอย่างต่อเนื่อง หวังว่าการเจรจาสําหรับวันพรุ่งนี้ ระหว่างผู้บัญชาการกองทัพของทั้งสองชาติ จะส่งผลดี ฉันหวังว่าจะไม่มีความตึงเครียดตลอดทั้งเส้นชายแดนที่สามารถขัดขวางความร่วมมือในส่วนอื่น ๆ ซึ่งเป็นประโยชน์ร่วมกันต่อทั้งสองประเทศ

ฉันขอร้องให้เพื่อนประชาชนของฉันไม่เพิ่มความขัดแย้งนี้ให้เป็นความเกลียดชังชาติพันธุ์และให้ความไว้วางใจในความพยายามทางทหารของรัฐบาลและทั้งสองประเทศในการแก้ไขปัญหา เราเกลียดสงคราม แต่เราถูกบังคับให้ใช้มันเมื่อเผชิญหน้ากับความรุกรานต่างประเทศ เช่นเดียวกับที่เราทําระหว่างปี 2008 ถึง 2011 โดยใช้วิธีการสามง่าม: แนวทางทหาร การทูต และกฎหมาย

บทเหยื่อปลอมบนชายแดน : เกมเดิมของฮุน เซน กับการปะทะ 10 นาทีเพื่อเช็คเคลมดินแดน

ในโลกของความขัดแย้งระหว่างรัฐ การยิงปะทะกันเพียงไม่กี่นาทีก็อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนของอธิปไตยได้ — โดยเฉพาะเมื่อมันเกิดในพื้นที่ที่ยังไม่มีเส้นแบ่งเขตที่ชัดเจน และยิ่งอันตรายมากขึ้น หากฝ่ายหนึ่งพยายามเปลี่ยน 'กระสุน' ให้กลายเป็น 'เครื่องมือทางกฎหมาย' บนเวทีโลก

เหตุปะทะที่ 'ช่องบก' จ.อุบลราชธานี ระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชาในช่วงเช้าวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 ใช้เวลาเพียงแค่ 10 นาที ตั้งแต่เวลา 05.45 น. ถึง 05.55 น. แต่สิ่งที่ตามมาหลังเสียงปืนเงียบลงกลับไม่เงียบตามไปด้วย เพราะทันทีที่เกิดเหตุการณ์ กองทัพบกไทยชี้แจงชัดเจนว่า เหตุปะทะเริ่มจากการที่ทหารกัมพูชาเข้ามาวางกำลังในเขต 'พื้นที่ทับซ้อน' ซึ่งยังไม่มีข้อตกลงระหว่างประเทศว่าฝ่ายใดเป็นเจ้าของที่แน่ชัด ฝ่ายไทยจึงส่งชุดประสานงานเข้าไปเจรจาตามแนวปฏิบัติปกติ แต่กลับถูกเข้าใจผิดและถูกยิงใส่ก่อน ฝ่ายไทยจึงจำเป็นต้องตอบโต้เพื่อป้องกันตนเอง ก่อนที่ผู้บัญชาการทั้งสองฝ่ายจะโทรศัพท์และตกลงหยุดยิงในเวลาเพียงไม่ถึงสิบนาที

ในชั่วโมงแรก ฝ่ายไทยและกัมพูชาต่างแถลงตรงกันว่า “ไม่มีผู้เสียชีวิต” ท่าทีดูเหมือนจะคลี่คลาย แต่ในเวลาไม่นาน ฝ่ายกัมพูชากลับคำ และระบุว่ามีทหารของตนเสียชีวิต 1 นาย และในเวลาต่อมา สมเด็จฮุน เซน อดีตนายกฯ กัมพูชา ก็ออกแถลงการณ์ประณามไทย พร้อมทั้งเปรียบเหตุการณ์นี้กับการรุกรานในช่วงปี 2008–2011 ซึ่งเคยนำไปสู่การฟ้องร้องในศาลโลกกรณีวัดพระวิหาร โดยกล่าวชัดว่าจะใช้ “ทหาร การทูต และกฎหมาย” ในการต่อสู้เพื่ออธิปไตย

ถ้าอ่านให้ลึก นี่ไม่ใช่เพียงแค่แถลงการณ์ตามพิธีการ แต่เป็น 'หมากชุดใหม่' ที่มีเป้าหมายชัดเจนมากกว่าแค่สร้างกระแสในประเทศ ฮุน เซนกำลังพยายาม 'เช็คเคลม' พื้นที่ทับซ้อนบริเวณช่องบก ซึ่งเป็นจุดที่ทั้งไทยและกัมพูชาต่างอ้างสิทธิ์มายาวนาน แต่ยังไม่มีข้อยุติทางการทูตและยังไม่ได้ตีเส้นแบ่งบนแผนที่อย่างเป็นทางการ ซึ่งในทางระหว่างประเทศนั้น การ “ครอบครองที่ดินโดยพฤติกรรม” เช่น การส่งทหาร การตั้งฐาน หรือแม้แต่การมี “เหตุปะทะที่ฝ่ายตนถูกกระทำ” ล้วนสามารถถูกใช้เป็น “พฤติการณ์ประกอบ” ในการอ้างสิทธิ์ในชั้นศาลได้

นี่คือเหตุผลว่าทำไมกัมพูชาจึงต้องกลับคำมาอ้างว่ามีผู้เสียชีวิต และทำไมฮุน เซนจึงต้องรีบโยงเรื่องนี้กลับไปยังคำวินิจฉัยของศาลโลกในอดีต เพราะในสายตาของเขา การปะทะครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องของความเข้าใจผิดชั่วคราว แต่คือการ 'สร้างพยานหลักฐาน' เพื่อใช้ในกระบวนการพิพาทเขตแดนในระดับระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อจุดปะทะอยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีการปักปันเขตแดนถาวร

แต่ในทางกลับกัน สิ่งที่ประเทศไทยต้องตระหนักก็คือ ไม่ว่าใครจะเล่นเกมอะไร สิ่งสำคัญที่สุดคือ 'การรู้ทัน' และ 'การบันทึกข้อเท็จจริงอย่างเป็นระบบ' เพราะเราไม่สามารถห้ามฝ่ายตรงข้ามจากการกล่าวหาได้ แต่เราสามารถป้องกันผลลัพธ์ของคำกล่าวหานั้นได้ หากเรามีข้อมูลที่ชัดเจนและหลักฐานที่เพียงพอ

เหตุปะทะครั้งนี้อาจกินเวลาแค่ 10 นาที แต่สำหรับเวทีศาลโลก มันอาจถูกขยายความให้ยาวเป็นปี สิ่งที่ไทยต้องทำตอนนี้ไม่ใช่การโต้แย้งด้วยถ้อยคำ แต่คือการรวบรวมทุกวินาทีของความจริง ตั้งแต่การเคลื่อนกำลัง จุดปะทะ รูปแบบการตอบโต้ ไปจนถึงการเจรจาหลังเหตุการณ์ เพื่อให้โลกเห็นว่า ไทยไม่ได้รุกราน ไม่ได้เริ่มก่อน และไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องนี้ขยายตัว

เรารู้ว่าเราทำอะไร ที่ไหน และทำเพื่ออะไร นี่ไม่ใช่การหลบหลีกความรับผิดชอบ แต่คือการยืนยันในความสุจริตของการปฏิบัติหน้าที่ภายใต้กรอบของความสงบ และการรู้ทันเกมเดิมที่อีกฝ่ายพยายามเล่นซ้ำ — เพียงเปลี่ยนเวทีจากพระวิหาร มาเป็นช่องบกเท่านั้น

‘ฮุน เซน’ ลั่นอาวุธพร้อม...รอสอยเครื่องบินรบไทย มั่นใจระบบป้องกันภัย KS-1C ยิงไกล 70 กม.

(29 พ.ค. 68) ภายหลังจากเกิดเหตุปะทะระหว่างทหารไทยและทหารกัมพูชา ที่บริเวณช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี วานนี้ (28 พ.ค.) ล่าสุด สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน ให้สัมภาษณ์สื่อยืนยันว่า กัมพูชามีระบบป้องกันภัยทางอากาศที่มีประสิทธิภาพสูง พร้อมยิงตอบโต้เครื่องบินรบหากถูกคุกคาม โดยระบุว่าสามารถสกัดเป้าหมายได้ในระยะหลายสิบกิโลเมตร ซึ่งเพียงพอต่อการป้องกันประเทศ

ปัจจุบัน กัมพูชาได้รับมอบระบบป้องกันภัยทางอากาศแบบ Kaishan-1C (KS-1C) จากรัฐบาลจีน ซึ่งเป็นระบบพื้นสู่อากาศระยะกลางที่มีระยะยิงไกลสุด 70 กิโลเมตร และเพดานยิงสูงสุด 27 กิโลเมตร โดยเป็นหนึ่งในระบบที่สมเด็จฮุน เซนกล่าวถึงในการยืนยันศักยภาพของประเทศด้านการป้องกันภัยทางอากาศ

คำแถลงดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากเพจ “กองทัพอากาศไทย” เผยแพร่ภาพการฝึกยุทธวิธีของฝูงบิน 211 จากกองบิน 21 อุบลราชธานี ซึ่งจำลองการรบทางอากาศและการโจมตีเป้าหมายภาคพื้น เพื่อเตรียมความพร้อมด้านความมั่นคงและปกป้องอธิปไตยของชาติหากเกิดเหตุจำเป็น

โซเชียลกัมพูชาผุดแคมเปญ ‘หยุดใช้สินค้าไทย’ เชิญชวนกลับมาสนับสนุนสินค้าชาติให้เติบโต

(30 พ.ค. 68) จากกรณีเหตุปะทะระหว่างทหารไทยและทหารกัมพูชา ในพื้นที่ช่องบก จ.อุบลราชธานี จนทำให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 ราย และกลายเป็นประเด็นร้อนระหว่างประเทศ

ล่าสุด บนโลกโซเชียลมีเดียฝั่งกัมพูชากำลังเกิดกระแส เผยแพร่ข้อความเชิญชวนให้ “หยุดใช้สินค้าไทย” โดยระบุว่าเป็นการแสดงจุดยืนทางความเชื่อและทัศนคติทางการเมือง พร้อมย้ำว่าจะเลิกใช้สินค้าจากประเทศไทยทันที โดยข้อความต้นทางระบุว่า 

“นี่คือโอกาสสำคัญที่เราทุกคนจะหันกลับมาสนับสนุนสินค้าในประเทศ เพื่อยกระดับคุณภาพ พัฒนาอุตสาหกรรมและหัตถกรรมของชาติ รวมถึงส่งเสริมการเคลื่อนไหวทางชาตินิยมให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น”

แม้ยังไม่มีการยืนยันแน่ชัดถึงกลุ่มผู้ริเริ่มแคมเปญดังกล่าว แต่ข้อความนี้ได้ถูกแชร์ต่อในหลายแพลตฟอร์มอย่างรวดเร็ว โดยมีทั้งผู้สนับสนุนที่เห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าว และผู้คัดค้านที่มองว่าเป็นการกระทำที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระยะยาว

‘ฮุน เซน’ สร้างเรื่อง!! เพื่อปกป้องภาพลักษณ์ ชายแดนไม่ใช่จุดจบ แต่มันคือ ‘จุดเริ่มต้น’

ช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2568 ข่าวใหญ่ที่คนทั้งสองฝั่งชายแดนต้องจับตา คือเหตุการณ์ 'ปะทะชายแดนช่องบก' ระหว่างทหารไทย-กัมพูชา เสียงปืนดังไม่ถึงสิบนาที แต่ 'เสียงการเมือง' ดังไกลเกินค่าย และหนึ่งในเสียงที่ดังกว่าคนอื่น ก็คือ 'สมเด็จฮุน เซน' ถึงแม้จะไม่ใช่นายกรัฐมนตรีแล้ว แต่เขาก็ยังโผล่หน้ากล้อง พูดชัดๆ ว่า “ตรงนี้เป็นดินแดนของเรา! ฉันเคยนั่งอยู่ตรงนี้ในปี 2009 แล้วจะไม่ใช่ของเรายังไง?”

ใครฟังก็รู้สึกว่า ฮุน เซนดูโกรธ ดูจริงจัง เหมือนกำลังจะทวงแผ่นดินคืน แต่พอเรามองให้ลึกลงไป…
สิ่งที่เขาทำ อาจไม่ใช่แค่ 'การปกป้องชายแดน' แต่มันคือ 'การปกป้องภาพลักษณ์ของตัวเองและครอบครัว' จากบางอย่างที่ใหญ่กว่านั้น...

ในประเทศกัมพูชา มีเรื่องหนึ่งที่พูดกันมานานแล้วแต่ยังไม่เคยเคลียร์ คือความใกล้ชิดของฮุน เซนกับ 'เวียดนาม' ย้อนกลับไปปี 1979 ฮุน เซนคือคนที่เวียดนาม 'เลือก' มาตั้งรัฐบาลหลังโค่นเขมรแดง นับแต่นั้นมา เขาก็มีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับฮานอย
บางคนบอกว่า 'เวียดนามช่วยเรา' แต่บางคนกลับมองว่า 'เวียดนามครอบงำเรา'
และนั่นแหละ คือจุดอ่อนที่ฮุน เซนหนีไม่พ้น 

เพราะเมื่อเวลาผ่านไป คนรุ่นใหม่ในกัมพูชาก็เริ่มตั้งคำถาม
ทำไมเรายังยอมเวียดนามอยู่?
ทำไมรัฐบาลถึงลงนามแนวเขตที่อาจเสียเปรียบ?
ทำไมนักลงทุนเวียดนามได้สิทธิพิเศษเยอะกว่า?
คำถามพวกนี้แรงขึ้นทุกวัน
โดยเฉพาะในโซเชียลของกลุ่มเยาวชน นักศึกษา และ NGO

แล้วฮุน เซนตอบยังไง?
แทนที่จะตอบตรงๆ…
เขาหันหน้าไปยัง 'ชายแดน' แล้วพูดว่า
> “ไทยกำลังจะมายึดแผ่นดินเรา!”
จบเลยครับ
คนหันไปสนใจเรื่องภายนอก แทนที่จะตั้งคำถามกับเวียดนาม
เหมือนเวลามีคนถามเรื่องที่เราไม่อยากตอบ เราก็ชี้ไปทางอื่นแล้วพูดว่า
> “ดูนั่นสิ ไฟไหม้!”

พูดง่ายๆ คือ...
ฮุน เซนไม่ได้กลัวไทยรุกล้ำดินแดน
แต่เขากลัว 'คนในประเทศ' จะรุกล้ำความชอบธรรมของตระกูลตัวเอง

จบตอน
เหตุการณ์ที่ชายแดน คือหมากเบี่ยงประเด็น
คำพูดแข็งกร้าว คือกำแพงป้องกันศัตรูที่มองไม่เห็น
และในขณะที่โลกกำลังมองว่าไทย-กัมพูชาจะปะทะกันไหม?
ฮุน เซนกำลังชนะอยู่เงียบๆ บนกระดานภายในบ้านของเขาเอง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top