Tuesday, 22 April 2025
กัมพูชา

แม่ทัพภาค 2 เผยเคลียร์ใจเขมรแล้ว ย้ำต้องเลี่ยงขัดแย้งหลังเหตุทหารกัมพูชาบุกร้องเพลงปลุกใจที่ปราสาทตาเมือนธม

(18 ก.พ. 68) แม่ทัพภาคที่ 2 ยืนยันว่า ไทยและกัมพูชาต้องหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง หลังเกิดเหตุคณะชาวกัมพูชาร้องเพลงปลุกใจที่ปราสาทตาเมือนธม ระบุว่าทั้งสองฝ่ายได้ทำความเข้าใจกันแล้ว แต่ขอให้เหตุการณ์เช่นนี้อย่าเกิดขึ้นอีก หวั่นกระทบความสัมพันธ์และเสถียรภาพตามแนวชายแดน

จากกรณีเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ คณะสตรีชาวกัมพูชาจำนวน 25 คน ได้เดินทางมายังปราสาทตาเมือนธม อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ และร้องเพลงปลุกใจเป็นภาษากัมพูชาเพื่อให้กำลังใจทหารของตนที่ประจำการอยู่ในพื้นที่ ทหารไทยที่เฝ้าพื้นที่ดังกล่าวจึงเข้าไปขอให้ยุติการกระทำดังกล่าว เพราะถือเป็นการแสดงเชิงสัญลักษณ์ที่ไม่เหมาะสมตามข้อตกลงของทั้งสองประเทศ ส่งผลให้เกิดการโต้เถียงระหว่างทหารของทั้งสองฝ่าย เหตุการณ์นี้ถูกบันทึกเป็นคลิปวิดีโอและเผยแพร่บนโซเชียลมีเดีย นำไปสู่กระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง

ล่าสุด 18 กุมภาพันธ์ พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ได้ให้สัมภาษณ์ที่กองบัญชาการกองทัพภาคที่ 2 ค่ายสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา โดยระบุว่า การขึ้นมากราบสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปราสาทตาเมือนธมเป็นกิจกรรมที่ทางไทยอนุโลมให้ชาวกัมพูชาสามารถทำได้ในช่วงเวลา 09.00-15.00 น. ตามข้อตกลงร่วมกัน อย่างไรก็ตาม การร้องเพลงปลุกใจดังกล่าวถือเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม จึงจำเป็นต้องเข้าระงับเหตุ

แม่ทัพภาคที่ 2 เผยว่าหลังเกิดเหตุการณ์ กองกำลังสุรนารีได้ทำหนังสือประท้วงไปยังผู้บัญชาการภูมิภาคทหารที่ 4 ของกัมพูชา โดยเน้นย้ำว่าการกระทำดังกล่าวไม่สมควรเกิดขึ้นบนแผ่นดินไทย ด้านกัมพูชาเองก็ยอมรับว่าการกระทำดังกล่าวไม่เหมาะสม และได้มีการโทรศัพท์ขอโทษแล้ว ทั้งสองฝ่ายได้ทำความเข้าใจกันดี แต่ไทยขอให้มั่นใจว่าเหตุการณ์ลักษณะนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก เพื่อป้องกันความขัดแย้งในอนาคต

แม่ทัพภาคที่ 2 ได้ฝากถึงประชาชนไทยว่า ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชายังคงเป็นไปในทางที่ดี ผู้นำทหารของทั้งสองฝ่ายพยายามพูดคุยและรักษาความสงบเรียบร้อยเสมอ พร้อมย้ำว่าไม่ควรใช้ความรุนแรงหรืออาวุธต่อกัน เพราะจะส่งผลเสียต่อทั้งสองประเทศ นอกจากนี้ ความขัดแย้งอาจกระทบต่อการค้าขายตามแนวชายแดน ซึ่งประชาชนทั้งสองฝ่ายอาจได้รับผลกระทบโดยตรง

ท้ายที่สุด กองกำลังทหารของทั้งสองประเทศจะใช้ความอดทนอดกลั้น และเลือกใช้แนวทางการพูดคุยเจรจาเพื่อรักษาความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน เพื่อให้ทั้งไทยและกัมพูชามีสันติสุขร่วมกันอย่างต่อเนื่อง

ผู้ว่ากัมพูชานำ 'พล.ต. เนียง' ต้นเหตุร้องเพลงปลุกใจ เคลียร์ทหารไทย คาดเบื้องบนสั่งบุกปราสาทไทย

(19 ก.พ.68) สื่อทางการกัมพูชารายงานว่า นาย เมียน จันยาดา ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรมีชัย ได้นำคณะทหารกัมพูชา นำโดย พล.ต เนียง คิม ผู้บัญชาการพลน้อยที่ 42 เดินทางมายังบริเวณปราสาทตาเมือนธม อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เพื่อเจรจาและกระชับความสัมพันธ์กับทหารไทย หลังเหตุการณ์ที่สร้างความตึงเครียดระหว่างสองประเทศ

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2567 พล.ต เนียง คิม ได้นำกลุ่มเด็กนักเรียน พระสงฆ์ และทหารกัมพูชา ขึ้นมาร้องเพลงปลุกใจที่ปราสาทตาเมือนธม ซึ่งนำไปสู่การประท้วงจากกองทัพภาคที่ 2 ของไทย ต่อกองบัญชาการทหารภูมิภาคที่ 4 ของกัมพูชาในวันที่ 18 ตุลาคม 2567 เหตุการณ์ลุกลามเมื่อ พล.ต เนียง นำคณะแม่บ้าน 25 คน มาร้องเพลงปลุกใจอีกครั้ง จนเกิดปฏิกิริยาจากทหารไทยและการตอบโต้ทางวาจาจาก พล.ต เนียง ตามที่มีรายงานข่าว

เพจ 'OddarMeanchey' ของกัมพูชาได้เผยแพร่คลิปวิดีโอขณะ นายเมน จันญาดา นำคณะเข้าพบ พ.ท.จักรกฤษ ปิยะศุภฤกษ์ ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 4 กรมทหารราบที่ 23 ฝ่ายไทย เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2568 เวลาประมาณ 15.00 น. ทั้งสองฝ่ายได้พูดคุยและจับมือร่วมกันเพื่อลดความตึงเครียด

นาย เมียน จันยาดา กล่าวกับทหารไทยว่า “ไม่มีใครมาแย่งหรือเบียดเบียนกัน เราอยู่ร่วมกัน เรารักกัน” พร้อมย้ำว่าประเด็นพรมแดนควรเป็นเรื่องของคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องระหว่างสองประเทศ ขณะที่สถานการณ์ชายแดนยังคงสงบ และปราสาทตาเมือนธมยังเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าเยี่ยมชมได้ตามปกติ

อย่างไรก็ตาม ทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชายังคงตรึงกำลังในพื้นที่เพื่อเฝ้าระวัง โดยเฉพาะหลังจากเกิดกระแสโซเชียลในกัมพูชา ที่มีการยกย่อง พล.ต เนียง ว่าเป็น 'ฮีโร่' ที่กล้าตอบโต้ทหารไทย ขณะที่โซเชียลไทยเองก็มีการตอบโต้กันอย่างดุเดือด

แหล่งข่าวระบุว่า การเดินทางมาของคณะผู้ว่าฯอุดรมีชัย และ พล.ต เนียง อาจเป็นคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกัมพูชา เพื่อบรรเทาความตึงเครียดและรักษาความสัมพันธ์กับไทย แม้ว่าการเจรจาครั้งนี้จะเกิดขึ้นด้วยความเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตาม

ชมคลิปข่าว: https://www.youtube.com/watch?v=Orl7Mjy18d0&embeds_referring_euri=https%3A%2F%2Fpressocm.gov.kh%2F&source_ve_path=MjM4NTE

จเรตำรวจแห่งชาติบินด่วนวางแผนร่วมปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชา

ตามมาตรการเด็ดขาดของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในการตัดไฟฟ้า อินเทอร์เน็ต และน้ำมัน ที่ส่งไปยังเมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา ทำให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์แตกกระจาย สามารถจับกุมกลุ่มคนร้าย และช่วยเหลือผู้ที่ตกเป็นเหยื่อซึ่งมีหลายเชื้อชาติ ได้รับคำชื่นชมจากนานาชาติทั่วโลก รวมทั้งประเทศจีน เป็นอย่างมาก

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี รับผิดชอบในการแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สั่งการให้ พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เดินทางไปอย่างเร่งด่วนในวันนี้ (21 กุมภาพันธ์ 2568) เพื่อประชุมวางแผนกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติประเทศกัมพูชา ในการปฏิบัติในครั้งนี้

พล.ต.อ.ธัชชัยฯ เปิดเผยว่า ในการประชุมวางแผนการปฏิบัติ ได้ข้อสรุปทั้งหมด 3 ข้อ ได้แก่

1. ร่วมกันปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้หมดไป โดยมีเป้าหมายเข้าไปกวาดล้าง ตรวจค้น จับกุม ในจุดต่างๆ ที่เป็นที่ตั้งของแก๊ง โดยทางตำรวจไทยขอนำตัวคนไทยกลับมาลงโทษตามกฎหมายที่ประเทศไทย

2. ร่วมกันช่วยเหลือคนไทยที่ตกเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ ให้กลับคืนสู่ครอบครัวอย่างรวดเร็ว 

3. จัดตั้งศูนย์ประสานงานร่วมระหว่างไทย-กัมพูชา เพื่อความรวดเร็วในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้หมดไป

นอกจากนี้ พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวว่า ทางตำรวจกัมพูชาจะดำเนินการอย่างเร่งด่วนในการร่วมปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในครั้งนี้ ซึ่งกลุ่มคนร้ายส่วนใหญ่เป็นคนจีน โดยมีคนไทยร่วมอยู่ด้วย และยังเป็นการแสดงถึงความสัมพันธ์ที่ดี ในโอกาสครบรอบ 75 ปี ของความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศในปีนี้ด้วย

นายกรัฐมนตรีไทยจับมือนายกกัมพูชาเดินหน้ากวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 

(24 ก.พ. 68) พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากการที่ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งได้รับมอบหมายจาก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้รับผิดชอบในการปราบปราม กวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ได้มอบหมายให้จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้อำนวยการศูนย์ต่อต้านการค้ามนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผอ.ศปอส.ตร./ผอ.ศพดส.ตร.) ตามสั่งการของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ไปประชุมร่วมกับทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติกัมพูชา เพื่อร่วมมือกันในการกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยเป็นไปตามแนวนโยบายของนายกรัฐมนตรีของไทยและกัมพูชา ซึ่งในวันเสาร์และวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ทางตำรวจกัมพูชาได้มีการระดมกวาดล้าง ตรวจค้น จับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์จำนวนหลายจุด ซึ่งข้อมูลขณะนี้พบว่ามีจำนวนทั้งหมด 215 คน ในจำนวนนี้มีคนไทย จำนวน 125 คน และชาวต่างชาติจำนวน 90 คน โดยยังมีการดำเนินการปราบปรามจับกุมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจำนวนจุดที่กวาดล้าง จำนวนของผู้ที่ถูกจับกุม และผู้ที่รับการช่วยเหลือ ขณะนี้อยู่ระหว่างการรอผลการปฏิบัติ และขณะนี้ พ.ต.อ.ปิยวัฒน์ เกียรติก้อง ผู้ช่วยทูตฝ่ายตำรวจ ได้เข้าไปอยู่ในพื้นที่เพื่อทำหน้าที่ในการประสานงานระหว่างตำรวจไทยและตำรวจกัมพูชา

นอกจากนี้ พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวว่า การดำเนินการในครั้งนี้เป็นก้าวแรกที่สำคัญที่จะนำไปสู่การกวาดล้างอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นความต้องการของรัฐบาลทั้ง 2 ประเทศ ในการดำเนินการแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ได้มีการไปหลอกลวงไม่ใช่แต่คนไทยเพียงฝ่ายเดียว ยังมีการไปหลอกลวงคนทั่วโลก ซึ่งการค้นหาและการตรวจค้น จับกุม ยังมีปฏิบัติการอย่างต่อเนื่องจนกว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์จะหมดไป

นายกฯ ฮุน มาเนต โต้กลุ่มฝ่ายค้านปลุกปั่นความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ท้าพิสูจน์ความรักชาติ ส่งประจำการแนวหน้า 6 เดือน

(17 มี.ค. 68) นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชา ได้แสดงความไม่พอใจต่อกลุ่มฝ่ายค้านที่อ้างตัวว่าเป็นผู้รักชาติ แต่กลับพยายามปลุกปั่นความขัดแย้งระหว่างกัมพูชากับประเทศไทยในประเด็นปราสาทตาเมือนธม ซึ่งเป็นประเด็นที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และการเมืองระหว่างทั้งสองประเทศ

ในแถลงการณ์ที่ออกมา นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ได้ท้าทายกลุ่มฝ่ายค้านที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศให้หยุดการปลุกปั่นความขัดแย้ง โดยกล่าวว่า การกระทำดังกล่าวไม่เพียงแต่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชาและไทยแย่ลงเท่านั้น แต่ยังขัดขวางความสงบและการพัฒนาในภูมิภาค

“ตอนนี้ถ้าคุณต้องการพิสูจน์ความรักชาติของคุณ อย่าเพียงแค่พูดลอยๆ ถ้าคุณต้องการมาจริงๆ ผมรับรองว่าคุณจะไม่ถูกจับกุม ผมจะจัดกลุ่มทหารให้คุณ คุณจะประจำอยู่ที่ฐานทหาร พร้อมอุปกรณ์ที่จำเป็นทั้งหมด และถูกส่งไปประจำการเพื่อเฝ้าแนวหน้าเป็นเวลา 6 เดือน เพื่อสัมผัสประสบการณ์ที่ทหารของเราต้องเผชิญ” นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต กล่าว 

นายกฯ ฮุน มาเนต ระบุว่า ปัญหาการพิพาทเรื่องปราสาทตาเมือนธมควรได้รับการแก้ไขผ่านช่องทางทางการทูตและการเจรจาระหว่างทั้งสองประเทศ ไม่ควรให้กลุ่มบุคคลที่มีวัตถุประสงค์ทางการเมืองมาพยายามทำให้สถานการณ์ซับซ้อนยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ทั้งสองประเทศพยายามร่วมมือกันในด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง

การเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดในภูมิภาค โดยกลุ่มฝ่ายค้านในต่างประเทศบางกลุ่มได้ใช้ประเด็นปราสาทตาเมือนธมเพื่อกระตุ้นความรู้สึกชาตินิยมและปลุกระดมความคิดเห็นของประชาชน ซึ่งสร้างความวิตกกังวลว่าอาจนำไปสู่ความตึงเครียดทางการทูตระหว่างกัมพูชาและไทย

ทั้งนี้ ปราสาทตาเมือนธม ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณชายแดนระหว่างกัมพูชาและไทย เคยเป็นประเด็นข้อพิพาททางด้านอาณาเขตระหว่างทั้งสองประเทศ โดยมีการอ้างสิทธิ์และการตัดสินของศาลระหว่างประเทศหลายครั้ง แต่ยังคงมีการเรียกร้องจากทั้งสองฝ่ายในการรักษาความเป็นเจ้าของพื้นที่อย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม นายกฯ ฮุน มาเนต ยืนยันว่า กัมพูชาจะยืนหยัดในความถูกต้องของตนเอง และจะไม่ยอมให้มีการบิดเบือนข้อเท็จจริงในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว พร้อมทั้งเรียกร้องให้ทุกฝ่ายหันมาร่วมมือกันเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและความสงบสุขในภูมิภาค

“สำหรับคนที่บอกว่าเราอ่อนแอ โดยเฉพาะนักการเมืองบางคนในต่างประเทศที่กล่าวหาว่าทหารเราไม่กล้าเผชิญหน้ากับทหารไทย ผมขอบอกว่า ตอนที่เกิดความขัดแย้งในปี 2551 ไม่มีใครในพวกคุณออกมาให้การสนับสนุน แต่กลับกล่าวหารัฐบาลว่าจัดฉากความขัดแย้งและโง่เขลา” โดยคำกล่าวของนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต มีขึ้นหลังจากอดีตผู้นำฝ่ายค้าน สม รังสี และผู้สนับสนุนพยายามปลุกปั่นความขัดแย้งที่ชายแดนกัมพูชา-ไทย โดยหยิบยกประเด็นเกี่ยวกับเกาะกูดและปราสาทตาเมือนธมขึ้นมา 

เตรียมเปิดสนามบินนานาชาติแห่งใหม่เดือนกรกฎาคมนี้ รับการท่องเที่ยวและธุรกิจเติบโต ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดในเอเชีย

(25 มี.ค. 68) กัมพูชาประกาศเตรียมเปิดสนามบินนานาชาติแห่งใหม่ในเดือนกรกฎาคมนี้ โดยจะตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว หลังจากที่ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเผชิญการแข่งขันที่ดุเดือดเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก

สนามบินแห่งใหม่ของพนมเปญ ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างเป็นทางการในชื่อ สนามบินนานาชาติเทโช เริ่มสร้างขึ้นในปี 2562 ครอบคลุมพื้นที่ 6,425 เอเคอร์ ตั้งอยู่ที่ชายแดนของจังหวัดกันดาลและตาแก้ว ห่างจากเมืองหลวงไปทางใต้ประมาณ 30 กิโลเมตร

ซึ่งเป็นโครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐบาลกัมพูชาและภาคเอกชน จะเป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงการเดินทางทั้งในและต่างประเทศ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและมาตรฐานระดับสากล คาดว่าจะสามารถรองรับผู้โดยสารได้มากถึง 10 ล้านคนในปีแรกของการเปิดใช้งาน

โครงการนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนการพัฒนาเศรษฐกิจของกัมพูชา ซึ่งต้องการเพิ่มขีดความสามารถในการดึงดูดนักท่องเที่ยวและการลงทุนจากต่างชาติ ท่ามกลางการเติบโตที่รวดเร็วของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในประเทศไทย เวียดนาม และมาเลเซีย ซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญในตลาดนี้

สถาปนิกของสนามบินแห่งนี้คือบริษัท Foster + Partners ของประเทศอังกฤษ โดยเว็บไซต์ของบริษัทระบุว่า “การออกแบบสะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกที่แข็งแกร่งของสถานที่ และตอบสนองต่อสภาพภูมิอากาศแบบเขตร้อน”

ส่วนอาคารเทอร์มินัลตั้งอยู่ใต้สิ่งที่เรียกว่าหลังคาทรงโค้งเดี่ยวที่เป็นโครงเหล็กน้ำหนักเบา พร้อมหน้าจอนวัตกรรมที่กรองแสงธรรมชาติและส่องสว่างให้กับพื้นที่เทอร์มินัลอันกว้างใหญ่

การก่อสร้างจะดำเนินการเป็น 3 ระยะ โดยในระยะแรกคาดว่าสนามบินจะสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 13 ล้านคนต่อปี และจะเพิ่มความจุเป็น 30 ล้านคนหลังปี 2030 และสูงสุด 50 ล้านคนในปี 2050

สนามบินแห่งนี้จะเป็นสนามบินหลักแห่งที่สองของกัมพูชาที่จะเปิดให้บริการภายในระยะเวลาสองปี โดยในปี 2023 สนามบินนานาชาติเสียมเรียบ-อังกอร์ ซึ่งได้รับเงินทุนจากจีนได้เริ่มเปิดให้บริการในจังหวัดเสียมเรียบทางตะวันตกเฉียงเหนือ ห่างจากนครวัดซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของประเทศซึ่งมีอายุกว่าหลายศตวรรษไปทางทิศตะวันออกประมาณ 40 กิโลเมตร 

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การท่องเที่ยวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ทำให้แต่ละประเทศในภูมิภาคต่างพยายามลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน กัมพูชาหวังว่าการเปิดสนามบินแห่งใหม่จะช่วยเสริมสร้างการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจของประเทศ

สนามบินแห่งนี้จะเปิดให้บริการในช่วงฤดูร้อนของปี 2024 ซึ่งเป็นช่วงที่การท่องเที่ยวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เริ่มฟื้นตัวหลังจากผลกระทบของการระบาดใหญ่ของ COVID-19 โดยคาดว่าการเดินทางทางอากาศจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งการท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในเสาหลักที่สนับสนุนเศรษฐกิจของกัมพูชา ตามข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยว กัมพูชาต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 6.7 ล้านคนในปี 2024 ซึ่งเพิ่มขึ้น 23% จากปี 2023

ทั้งนี้ รัฐบาลกัมพูชามั่นใจว่าโครงการสนามบินแห่งใหม่จะเป็นจุดเริ่มต้นในการเติบโตของภาคการท่องเที่ยวในระยะยาว และจะช่วยให้ประเทศสามารถแข่งขันได้ในตลาดการท่องเที่ยวที่มีการแข่งขันสูงในภูมิภาคนี้

WBC ปฏิเสธการรับรอง!! หลังรองประธานฯ มวยกัมพูชา แห่เข็มขัด 'WBCKUNKHMER' โพสต์อวดโซเชียล

(2 เม.ย. 68) เมื่อไม่นานมานี้ 'สเร จันทร' รองประธานกิตติมศักดิ์สหพันธ์มวยกัมพูชา ได้โพสต์ภาพในเฟซบุ๊กของตนเอง พร้อมเข็มขัดศิลปะการต่อสู้ กุน ขแมร์ ซึ่งได้รับการกล่าวอ้างว่าได้รับการรับรองจาก WBC (สภามวยโลก) โดยเข็มขัดดังกล่าวมีการออกแบบด้วยสีของธงชาติกัมพูชาและรูปภาพของนครวัด เพื่อเฉลิมฉลองศิลปะการต่อสู้กุนขแมร์ของประเทศ และเชิญชวนชาวกัมพูชามาร่วมต้อนรับขบวนพาเหรดเข็มขัดเส้นนี้

หลังจากที่โพสต์ดังกล่าวได้รับการแชร์และเผยแพร่ไปอย่างกว้างขวาง ทางสภามวยโลก (WBC) ออกมาชี้แจงว่า ไม่มีการรับรองเข็มขัดกุนขแมร์จากทางสภามวยโลกแต่อย่างใด โดยเข็มขัด 'WBC Kun Khmer' เป็นแค่ ของที่ระลึก ที่ทาง WBC จัดทำขึ้น เพื่อเป็นเกียรติแก่รัฐบาลกัมพูชา ที่ให้ทุนสนับสนุนการแข่งขัน WBC Silver ที่จะจัดขึ้นวันที่ 14 เม.ย. นี้

WBC ยืนยันว่าการจัดทำเข็มขัดที่ใช้ในกีฬามวยนั้นต้องผ่านกระบวนการและการรับรองตามมาตรฐานที่กำหนด และเข็มขัดที่แสดงในโพสต์ของ 'สเร จันทร' ไม่ได้อยู่ในข่ายที่ได้รับการรับรองจาก WBC นอกจากนี้ยังระบุอีกว่า ภาพที่ถูกโพสต์อาจสร้างความเข้าใจผิดให้กับสาธารณะและผู้ที่สนใจศิลปะการต่อสู้กุนขแมร์ได้ เพราะเข็มขัดดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับองค์กรของ WBC ทั้งสิ้น

“ถึงเพื่อนกัมพูชา ไม่มีการพัฒนา WBC กุน ขแมร์ เลย ไม่มีแชมป์โลก WBC กุน ขแมร์
เข็มขัดเส้นนี้เป็นของขวัญพิเศษจากประธาน WBC ในเม็กซิโกสำหรับงานมวยสากลระดับตะวันตกในกัมพูชาในวันที่ 14 เมษายน ขอบคุณ” WBC คอมเมนต์ใต้รูปของนายสเร จันทร

ด้าน สเร จันทร ยังไม่ได้มีการชี้แจงหรือแสดงความเห็นเกี่ยวกับการปฏิเสธจาก WBC แต่เชื่อว่าเขาจะยังคงเดินหน้าผลักดันให้ศิลปะการต่อสู้กุนขแมร์ได้รับการยอมรับและยกระดับในเวทีโลกต่อไป

มหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน EP#4 “สงครามกลางเมืองในกัมพูชา” คร่าชีวิตคนนับล้าน

(15 เม.ย. 68) อีกหนึ่งสมรภูมิในสงครามอินโดจีนคือ “สงครามกลางเมืองในกัมพูชา” หลังจากนาวิกโยธินสหรัฐฯ ยกพลขึ้นบกในเวียตนามใต้ในเดือนมีนาคม 1965 ซึ่งเป็นการเพิ่มระดับความพยายามในการทำสงครามของสหรัฐอเมริกาในเวียตนามใต้ ในไม่ช้าหน่วยอื่นๆ ของสหรัฐอเมริกาก็ตามมา กองกำลังคอมมิวนิสต์ (เวียตนามเหนือและเวียตกง) ได้เพิ่มการโจมตีทั้งกองทหารอเมริกันและกองทัพเวียตนามใต้ สหรัฐฯ จึงส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดโจมตีเป้าหมายในเวียตนามเหนือ เมื่อเจ้าสีหนุกษัตริย์กัมพูชาทรงตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับสหรัฐอเมริกา และทรงเสริมสร้างความสัมพันธ์กับเวียตนามเหนือ แม้ว่าพระองค์จะทรงรู้สึกไม่ไว้วางใจเวียตนามเช่นเดียวกับเขมรแดงก็ตาม ในปี 1967 กองทัพเวียตนามเหนือและกองกำลังกบฏเวียตนามใต้ (เวียตกง) ปฏิบัติการจากเขตป่ารักษาพันธุ์ซึ่งตั้งอยู่ในกัมพูชา กองกำลังสหรัฐและเวียตนามใต้ได้ทำการตอบโต้ด้วยการบุกข้ามพรมแดนมาโจมตีกองกำลังดังกล่าวในกัมพูชา 

เดือนมีนาคม 1969 ในความพยายามที่จะทำลายเส้นทางการขนส่งเสบียงของเวียตนามเหนือ ประธานาธิบดีนิกสันได้สั่งการทางลับให้กองทัพอากาศสหรัฐทำการทิ้งระเบิดโดยไม่มีการจำกัดพื้นที่ในเขตกัมพูชาตะวันออก ต่อมาในปีเดียวกันนั้นเอง เจ้าสีหนุได้ทรงฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตกับสหรัฐอเมริกา แต่ในขณะนั้น สถานะของพระองค์ในกัมพูชากลับไม่มั่นคงอย่างยิ่งในเดือนมีนาคม 1970 ขณะที่พระองค์เสด็จเยือนสหภาพโซเวียต สมัชชาแห่งชาติกัมพูชาได้ลงมติถอดถอนพระองค์ออกจากตำแหน่งประมุข หลังจากที่มีการประท้วงอย่างกว้างขวางในเมืองหลวงเพื่อต่อต้านการมีอยู่ของกองทัพเวียตนามเหนือในประเทศ ในเวลาต่อมาจอมพล Lon Nol ได้เข้าควบคุมรัฐบาลซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา และเปลี่ยนระบบการปกครองจากประขาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (ราชอาณาจักรกัมพูชา) เป็นประชาธิปไตยแบบสาธารณรัฐ (สาธารณรัฐกัมพูชา) เจ้านโรดมสีหนุจึงเสด็จไปประทับยังกรุงปักกิ่ง และทรงรับคำแนะนำจากจีนให้ทรงต่อต้านการรัฐประหารโดยการเข้าควบคุมรัฐบาลแนวร่วมพลัดถิ่น ซึ่งรัฐบาลดังกล่าวเป็นพันธมิตรกับจีนและเวียตนามเหนือ และใช้กองกำลังคอมมิวนิสต์กัมพูชา (เขมรแดง) ที่นำโดย Saloth Sar ซึ่งเพียงไม่กี่วันก่อนนั้นได้สู้รบกับกองทัพกัมพูชาของพระองค์เอง

รัฐบาลใหม่ของจอมพล Lon Nol ได้รับความนิยมในช่วงแรก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากคำมั่นสัญญาอันเพ้อฝันของเขาที่จะกำจัดกองกำลังคอมมิวนิสต์เวียตนามออกจากกัมพูชา แต่ในความเป็นจริง การเผชิญหน้าที่เกิดขึ้นได้ลากกัมพูชาเข้าสู่ความขัดแย้งในเวียตนามอย่างสมบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในเดือนพฤษภาคม 1970 กองกำลังเฉพาะกิจของกองทัพสหรัฐและเวียตนามใต้บุกโจมตีกัมพูชาตะวันออก แต่กองกำลังคอมมิวนิสต์กัมพูชาได้ล่าถอยไปทางตะวันตกแล้ว จากนั้นรัฐบาล Lon Nol ได้เปิดฉากขึ้นโจมตีสองครั้ง และถูกกองทัพเวียตนามเหนือโจมตีกลับ แล้วหลังจากนั้น กองทัพของรัฐบาล Lon Nol ก็เริ่มตั้งรับ เมื่อการสนับสนุนเขมรแดงของเวียตนามเหนือลดลงในปี 1973 หลังจากข้อตกลงหยุดยิงที่ปารีสกับกองทัพสหรัฐ แต่เขมรแดงปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามข้อตกลง แต่พวกเขายังคงถูกโจมตีทางอากาศจากสหรัฐฯ อย่างหนัก แม้ว่า สหรัฐฯ และกัมพูชาจะไม่ได้อยู่ในสภาวะสงครามต่อกัน และกองทหารสหรัฐเองก็ไม่ประสบภัยอันตรายจากฝ่ายกัมพูชาก็ตาม แม้ว่าการทิ้งระเบิดของสหรัฐฯ ทำให้การโจมตีของเขมรแดงต่อกรุงพนมเปญช้าลง แต่กลับเป็นสร้างความหายนะให้กับชนบทรอบเมืองหลวงที่มีประชากรอาศัยอยู่อย่างหนาแน่นแทน ในปลายปี 1973 รัฐบาล Lon Nol ก็ควบคุมได้เพียงแต่กรุงพนมเปญ ดินแดนทางตะวันตกเฉียงเหนือ และเมืองในจังหวัดต่าง ๆ ไม่กี่แห่งเท่านั้น ระหว่างนั้นเจ้าสีหนุก็ทรงเสื่อมความสำคัญลง เมื่อสิ้นสุดปี 1973 เขมรแดงได้ครอบงำทุกองค์ประกอบของกลุ่มต่อต้านไว้หมดแล้ว แต่คงอ้างว่า เจ้าสีหนุยังทรงเป็นผู้นำเขมรแดงอยู่ ขณะนั้นระบอบการปกครองอันโดดเดี่ยวของ Lon Nol ในกรุงพนมเปญยังคงได้รับความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ เป็นจำนวนมาก มีการทุจริตเกิดขึ้นอย่างมากมาย และที่สุดในเดือนเมษายน 1975 รัฐบาลของ Lon Nol ก็ล่มสลายลง กองกำลังเขมรแดงได้บุกเข้ายึดกรุงพนมเปญอย่างรวดเร็ว และสั่งให้ชาวเมืองละทิ้งเมืองไปใช้ชีวิตในพื้นที่ชนบททันที กรุงพนมเปญและเมืองเล็ก ๆ ทั่วประเทศถูกกวาดล้างในเวลาไม่ถึงสัปดาห์ ชาวกัมพูชาหลายพันคนเสียชีวิตระหว่างการถูกบังคับเดินทางไปยังชนบท และในเวลาต่อมา สภาพความเป็นอยู่ของชาวกัมพูชาก็เลวร้ายลงเรื่อย ๆ ในห้วงเวลานั้นมีชาวกัมพูชานับล้านคนพยายามอพยพหลบหนีออกจากกัมพูชา และในจำนวนนั้นหลายแสนคนได้หลบหนีเข้ามาอยู่ในค่ายผู้อพยพในราชอาณาจักรไทย

หมายเหตุ ผู้เขียนใช้คำว่า “เวียตนาม” ตัว ‘ต’ สะกด เพราะเอกสารสมัยก่อนใช้เช่นนี้ ต่อมาภายหลังจึงเปลี่ยนมาเป็น “เวียตนาม” สะกดด้วยตัว ‘ด’

ตลอดเดือนเมษายน 2568 พบกับเรื่องราวของมหากาพย์แห่งสงครามอินโดจีน 
ในโอกาสครบ 50 ปีแห่งการสิ้นสุดสงคราม วันที่ 30 เมษายน 2518

17 เมษายน พ.ศ. 2518 เขมรแดงยึดพนมเปญ สิ้นสุดสงครามกลางเมือง แต่กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่แสนเจ็บปวดของประเทศกัมพูชา

วันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2518 (ค.ศ. 1975) กองกำลังเขมรแดง (Khmer Rouge) ซึ่งนำโดย พอล พต (Pol Pot) ได้เคลื่อนกำลังเข้าสู่ กรุงพนมเปญ เมืองหลวงของประเทศกัมพูชา และสามารถเข้ายึดครองเมืองได้สำเร็จ นับเป็นการสิ้นสุดสงครามกลางเมืองกัมพูชาที่ยืดเยื้อยาวนานถึง 5 ปี นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 หลังการโค่นล้มพระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ

สงครามกลางเมืองในกัมพูชาเป็นการสู้รบระหว่างรัฐบาลฝ่ายสาธารณรัฐเขมร ที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา กับกองกำลังคอมมิวนิสต์เขมรแดงที่ได้รับการสนับสนุนจากจีนและเวียดนามเหนือ ความขัดแย้งทวีความรุนแรงโดยมีพลเรือนผู้บริสุทธิ์จำนวนมากได้รับผลกระทบ

หลังยึดครองพนมเปญได้ กองกำลังเขมรแดงได้ดำเนินนโยบายรุนแรงทันที โดยสั่งอพยพประชาชนทั้งหมดออกจากเมืองหลวงภายในไม่กี่วัน ด้วยข้ออ้างว่าเป็นมาตรการทางยุทธศาสตร์และเพื่อเริ่มต้น “การปฏิวัติทางเกษตรกรรม” ประเทศถูกรีเซ็ตสู่ 'ปีศูนย์' (Year Zero) ซึ่งเป็นแนวคิดในการล้มล้างทุกสิ่งจากอดีต เพื่อสร้างสังคมใหม่ที่ไม่มีชนชั้น

ประชาชนในเมืองหลวงต่างออกมาต้อนรับกองกำลังด้วยความโล่งใจ หวังว่าสงครามจะสิ้นสุดลงและความสงบสุขจะกลับมา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นกลับกลายเป็น จุดเริ่มต้นของหนึ่งในโศกนาฏกรรมทางมนุษยธรรมที่เลวร้ายที่สุดในศตวรรษที่ 20

ภายใต้การปกครองของเขมรแดงตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518–2522 กัมพูชาต้องเผชิญกับระบอบเผด็จการสุดโต่ง ประชาชนถูกบังคับให้ทำงานในไร่นาและถูกแยกออกจากครอบครัว โรงเรียน โรงพยาบาล และศาสนสถานถูกปิด ผู้ที่ถูกมองว่าเป็น 'ศัตรูของรัฐ' ไม่ว่าจะเป็นผู้รู้ ปัญญาชน พระสงฆ์ หรือแม้แต่ผู้ใส่แว่นตา ถูกประหารชีวิตอย่างโหดเหี้ยม

ซึ่งมีการคาดการณ์ว่ามีประชาชนเสียชีวิตจากความอดอยาก การถูกทรมาน หรือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มากถึง 2 ล้านคน จากประชากรทั้งหมดราว 8 ล้านคนในขณะนั้น

บทสรุป เหตุการณ์วันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2518 เป็นจุดจบของสงครามกลางเมือง แต่เป็นจุดเริ่มต้นของยุคแห่งความโหดร้าย ที่เขมรแดงนำมาใช้ในการเปลี่ยนแปลงสังคมกัมพูชาอย่างรุนแรง การยึดครองพนมเปญของเขมรแดงไม่เพียงแต่เปลี่ยนแปลงภูมิรัฐศาสตร์ของภูมิภาคอินโดจีน แต่ยังทิ้งร่องรอยลึกในจิตใจของชาวกัมพูชาหลายชั่วอายุคน

‘สีจิ้นผิง’ เตรียมเยือน ‘เวียดนาม-มาเลเซีย-กัมพูชา’ สัปดาห์หน้า หวังขยายความร่วมมือท่ามกลางสงครามการค้ากับ ‘สหรัฐฯ’

(11 เม.ย. 68) ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีน เตรียมเดินทางเยือน 3 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ เวียดนาม มาเลเซีย และกัมพูชา ระหว่างวันที่ 14-18 เมษายนนี้ โดยมีเป้าหมายเพื่อขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจและเสริมสร้างพันธมิตรในภูมิภาค ท่ามกลางความตึงเครียดจากสงครามการค้ากับสหรัฐฯ

การเยือนเวียดนามจะมีขึ้นในวันที่ 14-15 เมษายน ตามด้วยการเยือนมาเลเซียและกัมพูชาในช่วงวันที่ 15-18 เมษายน ทั้งนี้กระทรวงต่างประเทศจีนระบุว่า นี่คือการเดินทางต่างประเทศครั้งแรกของผู้นำจีนในปีนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญที่จีนให้ต่อประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ประกาศระงับภาษีนำเข้าจากเวียดนาม มาเลเซีย และกัมพูชาเป็นเวลา 90 วัน โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน 2568 พร้อมกำหนดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนสูงถึง 145% ขณะที่เวียดนาม มาเลเซีย และกัมพูชาถูกเรียกเก็บภาษีในอัตรา 46%, 24% และ 49% ตามลำดับ

ทั้งนี้ เวียดนาม กัมพูชา และมาเลเซีย ต่างได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตออกจากจีนในช่วงสงครามการค้ารอบก่อน อย่างไรก็ตาม ทั้ง 3 ประเทศก็เริ่มตกอยู่ในความสนใจของสหรัฐฯ จากข้อกล่าวหาต่าง ๆ เช่น การลักลอบนำชิป, ความร่วมมือทางทหาร และข้อพิพาทในทะเลจีนใต้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top