Tuesday, 17 June 2025
WORLD

‘จีน’ เผย!! สถานีฐาน 5G ทะลุ 4 ล้านแห่งแล้ว เตรียมขยายคลุมสถานที่สำคัญทั่วประเทศต่อ

(26 ก.ย. 67) สำนักข่าวซินหัว เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศของจีน ได้รายงานจำนวนสถานีฐาน 5G ในจีนสูงเกิน 4.04 ล้านแห่ง เมื่อนับถึงสิ้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาแล้ว

รายงาน ระบุว่า จำนวนข้างต้นคิดเป็นร้อยละ 32.1 ของจำนวนสถานีฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้งหมดของประเทศ ส่วนจำนวนผู้สมัครใช้งานสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ 5G ในจีนอยู่ที่ 966 ล้านราย

ทั้งนี้ เครือข่ายสัญญาณ 5G และการใช้งานสัญญาณ 5G เชิงพาณิชย์ของจีนได้พัฒนาอย่างรวดเร็วตลอดหลายปีที่ผ่านมา โดยปัจจุบันเครือข่ายสัญญาณ 5G ครอบคลุมทุกเมือง รวมถึงหมู่บ้านมากกว่าร้อยละ 90

ขณะการแสดงความเป็นเจ้าของสิทธิบัตรที่เป็นมาตรฐานอุตสาหกรรม 5G ของจีนครองสัดส่วนร้อยละ 42 ของทั้งหมดในโลก

กระทรวงอุตฯ เสริมอีกว่า จีนจะเดินหน้าการพัฒนา 5G และขยายความครอบคลุมของเครือข่ายสัญญาณ 5G ในสถานที่ต่าง ๆ เช่น สถานที่ทางวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว สถานดูแลสุขภาพ มหาวิทยาลัย ศูนย์กลางการขนส่ง และระบบรถไฟใต้ดินต่อไป

'แฟนคลับ' ซูฮก!! 'Eminem' ของแท้!! ยืนหยัดซัด ‘Diddy’ ร่วม 20 ปี หลากข้อคิดผ่านงานเพลง บรรเลงความดาร์กใต้หน้ากากคนดัง

(26 ก.ย. 67) MGROnline Live ออกบทความที่มีเนื้อหาถึง 'พี.ดิดดี' (P. Diddy) หรือ ฌอน ดิดดี คอมบ์ส (Sean Diddy Combs) นักร้องรุ่นใหญ่ที่ถูกจับกุมและถูกตั้งข้อหาสมรู้ร่วมคิดฉ้อโกง ค้ามนุษย์ทางเพศ และขนส่งเพื่อจุดประสงค์ในการค้าประเวณี ว่า...

ความยิ่งใหญ่ของ 'Diddy' ทั้งชื่อเสียงและเงินทาง ทำให้ตลอดเวลาต่างมีเซเลบ-คนดังทุกวงการวิ่งเข้าหาทั้งที่ข่าวฉาวของเขาคนนี้ก็ปรากฏออกมาเรื่อย ๆ

เรียกว่าน้อยคนนักที่คิดจะยืนตรงข้ามและไม่มีสัมพันธ์ดี ๆ ร่วมกับเขา หนึ่งในจำนวนที่นับหัวได้เลยก็คงจะเป็น 2 นักร้องดังอย่าง 'ฟิฟตีเซนต์' (50 cent) รวมถึง 'เอ็มมิเน็ม' (Eminem)

โดยเฉพาะในรายหลังนั้นเรียกว่าเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมานานนาน ซึ่งตอนแรก ๆ หลายคนเชื่อว่าความไม่ลงรอยของทั้งสองมันอาจจะเกิดขึ้นเพราะการเรียกร้องความสนใจในเชิงสร้างภาพในการเป็นอริกันของการเป็นแรปเปอร์ที่จะต้องมีการแต่งเพลงแขวะหรือด่าคนนั้นคนนี้

แต่สุดท้ายด้วยระยะเวลาที่นานกว่า 20 ปีที่เอ็มมิเน็มทำเพลงด่า Diddy มาโดยตลอดก็ยืนยันว่าเจ้าตัวนั้นเกลียดอีกฝ่ายจริง ๆ แน่นอนว่าเมื่ออีกฝ่ายมาเจอคดีสุดฉาวโฉ่อยู่ตอนนี้เรื่องทั้งสองก็เลยถูกพูดถึงอีกครั้ง

ทั้งนี้สิ่งที่ เอ็มมิเน็ม ด่าทาง Diddy นั้นมีแฝงเนื้อหาบางช่วงบางตอนอยู่ในหลาย ๆ บทเพลง ไม่ว่าจะเป็น Antichrist ที่เล่าถึงรายละเอียดที่อีกฝ่ายถูกฟ้องข้อหาล่วงละเมิดทางเพศเหยื่อหลายราย

หรือจะเป็นเพลง killshot ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับคดีการเสียชีวิตของ 'ทูพัค ชาเคอร์' (tupac) ในการถูกลอบยิงนั้นซึ่งก็ว่ากันว่ามาจากการของ Diddy นั่นเอง

ยังมีเพลง Godzilla ที่เล่าถึงความยิ่งใหญ่ความอหังการ์ของ Diddy ที่ใครต่างก็ต้องเข้ามาซูฮกเขาผ่านรายการโชว์ในการคัดเลือกศิลปินเข้าสังกัดที่มีภารกิจโหด ๆ และแปลก ๆ ซึ่งบางอย่างก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการร้องเพลงเลย เช่น ให้คนที่อยากเป็นนักร้องเดินไกลกว่า 6 ไมล์ เพียงเพื่อไปซื้อเค้กมาให้เขากิน

การกระทำของเอ็มมิเน็มต่าง ๆ เหล่านี้แม้จะก่อกระแสได้บ้างแต่ก็ไม่มีผลอะไรกับ Diddy เลย เพราะขนาดคดีใหญ่ ๆ เจ้าตัวก็รอดมาหมดแล้ว ในขณะที่ความรวยความดังของเขายังคงทำให้เขามีคนเข้าหาตลอด

อย่างไรก็ตามหลังจากแรปเปอร์คนดังถูกจับกุม แฟนคลับของเอ็มมิเน็มหลายคนต่างก็ชื่นชมศิลปินที่ตนเองชื่นชอบว่าเป็นของแท้ที่กล้าจะพูดถึงเรื่องนี้มาโดยตลอด

เดินหน้าคัดสำมะโนครัว ขจัดกลุ่มต่อต้าน แยกเมียนมา 'น้ำดี-น้ำเสีย' ไทยต้องรับมือ 'พายุไร้สัญชาติ' ให้ดี มีกลุ่มหนุนที่ต้องรีบกำราบ

ดูเหมือนการที่ NGO ฝั่งไทยและบางพรรคที่พยายามหาเรื่องเข้าช่วยชาวเมียนมาที่อพยพเข้ามาอยู่ในไทยแบบโจ่งแจ้ง จะกลายเป็นการเสริมแรงให้แผนของฝั่งกองทัพเมียนมาที่กำลังจะมีการสำรวจสำมะโนประชากรในเดือนหน้า เพื่อคัดแยกคนในชาติตัวจริง ดูจะยิ่งเป็นสิ่งเข้าล็อกยิ่งขึ้น

เพราะมุม เอย่า คาดว่า การทำสำมะโนประชากรครั้งนี้ เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ของกองทัพเมียนมาที่จะแยก 'น้ำดี-น้ำเสีย' แบบจริงจัง พูดง่าย ๆ ก็คือ ฝั่งกองทัพฯ เองก็คงจะถือโอกาสนี้กรองจำนวนผู้ไม่รักชอบในกองทัพเมียนมา และตีตราให้เมียนมาชังทหาร กลายเป็นพวกไร้สัญชาติ จนต้องบีบตนเองให้เผ่นหนีออกนอกประเทศไปเอง

ขยายภาพให้...หลังจากที่กองทัพฯ ทำการสำรวจสำมะโนประชากรเสร็จ จะเกิดภาพแบบไหนขึ้น? ตรงนี้ เอย่า เชื่อว่า ทางการจะเริ่มกำหนดให้ว่า ใครคือ คนเมียนมาที่แท้จริง แล้วมีอยู่เท่าจำนวนที่เขาสำรวจหรือไม่ เพื่อจะเตรียมตัวไปสู่การเลือกตั้งครั้งต่อไป ส่วนเศษที่เหลือจะไม่นับว่าเป็นชาวเมียนมา และความซวยของคนกลุ่มหลัง ก็คือ พาสปอร์ตของคนเหล่านั้นจะต้องหมดอายุลง โดยที่คนเหล่านี้จะไม่สามารถดำเนินการต่ออายุพาสปอร์ตได้อีกต่อไปด้วย

แน่นอนว่า เรื่องนี้เหมือนพวก NGO พม่าในไทยและ NGO ไทยจะรู้ดี จึงพยายามเปิดทางให้ พายุไร้สัญชาติเหล่านี้เข้ามาในอยู่ระบบของประเทศไทย ซึ่งหากไทยตามเกมไม่ทันแล้วล่ะก็ คนเหล่านี้จะค่อย ๆ กลายร่างเป็นประชากรไทยในอนาคตได้ไม่ยาก ผ่านเครื่องมือที่เลื่องลืออย่าง 'ไทยแลนด์คอร์รัปชัน' 

และ ๆ ๆ การคอร์รัปชันนี้ จะเป็นผลดีต่อพรรคการเมืองบางพรรคที่มีแผนการบางอย่างต่อการดึงมวลชนเมียนมาเข้าไทย ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่ที่เริ่มเบิกเนตรคงจะเริ่มทราบจุดประสงค์กันดี เพราะมีหลักฐานมากมายที่ 'คน-พรรค' นี้ ไปร่วมกิจกรรมกับเหล่าผู้อพยพและชาติพันธุ์อยู่บ่อยหน

อย่างไรก็ดี ก็ไม่ต้องไปกลัวชาวเมียนมาไร้สัญชาติจนเกินเหตุ เพราะไทยจะเอาจริงก็จัดการได้ เพียงแต่เรื่องนี้ เอย่า แค่อยากมาช่วยกระตุกให้ท่านผู้มีอำนาจในบ้านเมืองวันนี้ ตระหนักถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นไว้เท่านั้น ซึ่งพวกท่านสามารถที่จะช่วยป้องกันแก้ไขสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อยู่แล้ว

วิเคราะห์ต่ออีกนิด หากการเลือกตั้งในเมียนมาเกิดขึ้นได้แบบสำเร็จลุล่วง เอย่า เชื่อว่าประเด็นหลาย ๆ อย่างในเมียนมาจะเบาลง แต่กลุ่มชาวเมียนมาไร้สัญชาติที่อยู่นอกประเทศตัวเอง จะทวีความเคลื่อนไหวแบบรุนแรง เพื่อหาทางมอบสัญชาติให้ตัวเอง ซึ่งถ้าไทยเล่นไม้แข็งก็จบเห่ ไอ้ครั้นจะหนีไปยุโรปก็ยาก เพราะขณะนี้ยุโรปต่างก็ออกนโยบายไม่เอาผู้อพยพลี้ภัยถ้วนหน้าแล้ว 

ฉะนั้น จุดนี้คงจะเป็นเหมือนระเบิดเวลาที่ เอย่า แค่อยากมากระตุ้นรัฐบาลและผู้ใหญ่ในบ้านเมืองไทยให้ช่วยหาทางจัดการกับคนพวกนี้ไว้แต่เนิ่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อย่าปล่อยให้บรรดา NGO และพรรคการเมืองหนึ่งที่พยายามดิ้นรนแบบสุดลิ่ม กรุยทางลากคนไร้สัญชาติเข้ามาล้นแผ่นดินสยาม 

เพราะฐานคนไร้สัญชาติ ที่พร้อมกลายเป็นสัญชาติไทยเหล่านี้ อาจเขย่าอำนาจการเมืองและความมั่นคงของไทยในระยะยาวได้ ถึงตอนนั้นไม่รู้ด้วย...

เปิดสุนทรพจน์เอกอัครราชทูต 'หาน จื้อเฉียง' ในงานเลี้ยงฉลองครบ 75 ปี วันชาติจีน แม้สถานการณ์โลกแปรผัน แต่ 'จีน-ไทย' มั่นคงสัมพันธ์ระดับสูงอย่างใกล้ชิด

(26 ก.ย. 67) เพจเฟซบุ๊ก Chinese Embassy Bangkok สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ได้เผยแพร่คำปาฐกถาในงานเลี้ยงเฉลิมฉลองครบรอบ 75 ปี การสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยเอกอัครราชทูตหาน จื้อเฉียง เมื่อวันที่ 24 ก.ย.67 โดยมีเนื้อหาดังนี้...

เรียน ฯพณฯ วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภาของประเทศไทยที่เคารพ ท่านสุภาพสตรี สุภาพบุรุษ และเพื่อนทั้งหลาย วันนี้ พวกเราได้มาชุมนุมกันเพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 75 ปีของการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน ก่อนอื่น ในนามของสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ข้าพเจ้าขอต้อนรับทุกท่านและขอขอบคุณจากใจจริงที่ทุกท่านมาร่วมงานเลี้ยงในวันนี้ ต้องขอขอบพระคุณ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ที่สละเวลามาร่วมงาน

ตลอด 75 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่การสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน ภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีน และบนเส้นทางสังคมนิยมที่มีลักษณะเฉพาะของจีน จีนได้รับเอกราชของชาติ ประชาธิปไตยโดยประชาชน และความเจริญรุ่งเรืองของชาติ ในปัจจุบัน บนพื้นฐานของการเข้าสู่สังคมอยู่ดีมีสุขอย่างรอบด้าน ประชาชนจีน 1.4 พันล้านคนกำลังเริ่มต้นการเดินทางครั้งใหม่ในการสร้างความทันสมัยแบบจีนในสังคมนิยมอย่างครอบคลุม และบรรลุการฟื้นฟูความเจริญรุ่งเรืองอันยิ่งใหญ่ของประชาชาติจีน เมื่อมองไปยังอนาคต จีนจะปฏิบัติตามแนวคิดการพัฒนาใหม่โดยประธานาธิบดีสี จิ้นผิงได้เสนอ ยึดมั่นในแนวทางที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา เพื่อตอบสนองความปรารถนาที่มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของชาวจีน ยึดมั่นในการพัฒนาที่มีคุณภาพสูงและส่งเสริมนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างจริงจัง เพื่อช่วยให้การเติบโตทางเศรษฐกิจตั้งอยู่บนฐานของกำลังการผลิตคุณภาพใหม่ ยึดมั่นในการพัฒนาแบบเปิดกว้าง สร้างระบบเศรษฐกิจแบบเปิดกว้างระดับสูงใหม่ และแบ่งปันโอกาสและผลสำเร็จในการพัฒนากับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกโดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน

เมื่อไม่นานมานี้ การประชุมเต็มคณะครั้งที่ 3 ของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนชุดที่ 20 ได้มีมติสำคัญและการจัดเตรียมอย่างครอบคลุมเกี่ยวกับการปฏิรูปเชิงลึกยิ่งขึ้น และการส่งเสริมการปรับปรุงความทันสมัยในแบบของจีนเพิ่มมากขึ้น โดยได้เสนอมาตรการปฏิรูปกว่า 300 รายการ ซึ่งชี้ชัดว่าจะดำเนินการให้สำเร็จลุล่วงภายในปี พ.ศ. 2572 โดยเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนของจีนในการปฏิรูปและพัฒนาอย่างไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นที่จับตามองของทั่วโลก อนาคตอันกว้างไกลของความทันแบบจีนเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นและสร้างแรงบันดาลแก่ประชาชนชาวจีนเป็นอย่างมาก

ขณะที่จีนมุ่งเน้นพัฒนาตนเองนั้น จีนยังคงมีส่วนสนับสนุนที่สำคัญเชิงบวกต่อความเจริญรุ่งเรืองและสันติภาพของโลก จีนเป็นคู่ค้าหลักของกว่า 140 ประเทศและภูมิภาคทั่วโลก ประเทศจีนมีส่วนผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจโลกถึง 30% มานานกว่าสิบปีติดต่อกัน ซึ่งถือเป็นเครื่องยนต์สำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกที่สมชื่อ เมื่อเผชิญกับปัญหาและความท้าทายที่เกิดขึ้นใหม่ในโลก ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงได้เสนอข้อริเริ่มการพัฒนาระดับโลก ข้อริเริ่มความมั่นคงระดับโลก และข้อริเริ่มอารยธรรมระดับโลกตามลำดับ เพื่อเสนอแนวทางปรับปรุงธรรมาภิบาลระดับโลก การรับมือการเปลี่ยนแปลงของโลก และการแก้ปัญหาสำคัญของมนุษย์ด้วยภูมิปัญญาและวิธีการของจีน

ท่านสุภาพสตรี สุภาพบุรุษ และเพื่อนทั้งหลาย

จีนและไทยเป็นเพื่อนบ้านที่ดีที่เชื่อมโยงกันด้วยภูเขาและแม่น้ำ เป็นญาติที่ดีด้วยสายเลือด และเป็นหุ้นส่วนที่ดีที่มีอนาคตร่วมกัน

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แม้จะเผชิญกับสถานการณ์ระหว่างประเทศที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่สองประเทศได้รักษาการประสานงานระดับสูงอย่างใกล้ชิด ประชาชนของทั้งสองประเทศช่วยเหลือซึ่งกันและกันและทำให้ความร่วมมือในมิติต่าง ๆ ประสบความสำเร็จซึ่งจะทำให้ “จีน-ไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน” หยั่งรากลึกในใจของประชาชนทั้งสองประเทศ

ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าจีน-ไทย เป็นประโยชน์ร่วมกันและส่งผลดีต่อประชาชนทั้งสอง จีนและไทยเป็นคู่ค้าที่สำคัญของกันและกัน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตลาดจีนได้ดึงดูดการส่งออกสินค้าเกษตรของไทยมากกว่า 40% ของการส่งออกสินค้าไทย จีนและไทยเป็นหุ้นส่วนการลงทุนที่สำคัญของกันและกัน และการลงทุนของไทยมีบทบาทสำคัญในการปฏิรูปและเปิดประเทศของจีน ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บริษัทจีนมีความสนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งมีส่วนสำคัญในการส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียวของประเทศไทยอย่างมีประสิทธิภาพ จีนเป็นแหล่งนักท่องเที่ยวต่างชาติหลักของไทย จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนจะทะลุ 7 ล้านคนสำหรับปีนี้ จะสร้างรายได้จากการบริโภคในการท่องเที่ยวทะลุ 3 แสนล้านบาท ในขณะที่การฟื้นตัวและการพัฒนาทางเศรษฐกิจระหว่างจีนและไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การเชื่อมกันระหว่างทั้งสองประเทศดีขึ้น มีการเชื่อมต่อของเส้นทางคมนาคมขนส่ง และการเชื่อมโยงเชิงนโยบาย การอำนวยความสะดวกดีขึ้น เส้นทางแห่งความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ร่วมกันระหว่างจีนและไทยนับวันจะกว้างขึ้นเรื่อย ๆ

เดือนพฤศจิกายน ปี พ.ศ. 2565 ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงได้เยือนประเทศไทยครั้งประวัติศาสตร์ ผู้นำของทั้งสองประเทศเห็นพ้องที่จะร่วมกันสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันจีน-ไทย อันเป็นการเพิ่มเติมเนื้อหาในยุคสมัยใหม่ให้กับคำว่า "จีน-ไทยใช่อื่นไกล พี่น้องกัน" ปีหน้าจะครบรอบ 50 ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีน-ไทย การพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศและมิตรภาพระหว่างประชาชนทั้งสองจะเข้าสู่จุดสูงสุดอีกครั้งหนึ่ง เรายินดีทำงานร่วมกับเพื่อนจากทุกสาขาอาชีพในประเทศไทยเพื่อเดินตามเส้นทางที่ผู้นำของทั้งสองประเทศได้กำหนดไว้ สนับสนุนซึ่งกันและกันในการพัฒนาอย่างมั่นคงและความเจริญรุ่งเรืองของทั้งสองประเทศ ร่วมกันรักษาการพัฒนาอย่างสันติของภูมิภาคและทั่วโลก ส่งเสริมให้ความสัมพันธ์จีน-ไทยพัฒนาสู่ระดับที่สูงขึ้นอีกก้าวหนึ่ง และนำมาซึ่งความผาสุกให้แก่ประชาชนของทั้งสองประเทศ

สุดท้ายนี้ ข้าพเจ้าขออวยพรให้ประเทศจีนและประเทศไทยเจริญรุ่งเรือง และมิตรภาพจีน-ไทยสถิตสถาพรตลอดไป

ขอบคุณครับ

เปิดโผ!! ผลสำรวจบริษัทที่ 'พนักงาน' มีความสุขที่สุดปี 2024 ชี้!! ความสุขพนักงาน สอดคล้อง 'มูลค่าธุรกิจ-ผลกำไร' ที่เติบโต

ไม่นานมานี้ สำนักข่าว CNBC รายงานถึงผลการศึกษาชิ้นใหม่ล่าสุด '2024 Work Wellbeing 100' จาก Indeed ซึ่งเป็นเว็บไซต์หางานชื่อดัง ร่วมกับ Wellbeing Research Centre ของมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ซึ่งทำการสำรวจว่าบริษัทใดในสหรัฐอเมริกาที่พนักงานมีความเป็นอยู่ที่ดีและมีความสุขมากที่สุดในปี 2024 

ผลการจัดอันดับพบว่า H&R Block ซึ่งเป็นบริษัทด้านการจัดการภาษีสัญชาติอเมริกันที่ดำเนินกิจการในแคนาดา, สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลีย ขึ้นแท่นเป็นบริษัทที่ให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นในการทำงานสูง ความเครียดต่ำ ทำให้ลูกจ้างทำงานอย่างมีความสุขมากที่สุดในปี 2024

ทั้งนี้ มีการระบุชื่อของ H&R Block ซึ่งเป็นองค์กรที่มีชื่อเสียงในด้านสถานที่ทำงานแบบผสมผสาน โดยพนักงานในองค์กร 42% สามารถทำงานจากระยะไกลได้แบบเต็มเวลา ขณะที่สายการบินเดลต้าแอร์ไลน์, ไนกี้, ดิสนีย์ (สวนสนุก), ไอบีเอ็ม ก็ติดอันดับ Top 10 บริษัทที่ลูกจ้างมีความสุขที่สุด จากทั้งหมด 100 อันดับ

ทีมวิจัยได้เก็บข้อมูลจากความเห็นของพนักงานกลุ่มตัวอย่างในบริษัทต่าง ๆ ผ่านชุดแบบสอบถาม ซึ่งให้พนักงานเขียนรีวิวเกี่ยวกับนายจ้างบริษัทของตนพร้อมให้คะแนนในหมวดหมู่ต่าง ๆ ในการทำงาน จากนั้นทีมวิจัยได้รวบรวมคะแนนแล้วจัดอันดับบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐอเมริกาออกมาได้ 100 อันดับแรก ซึ่งคัดเฉพาะบริษัทที่พนักงานรายงานว่า พวกเขามีความสุขในการทำงาน มีจุดมุ่งหมายในอาชีพการงาน มีความพึงพอใจ และมีความเครียดต่ำ โดยใน 100 บริษัทเหล่านี้พบว่าส่วนใหญ่เป็นบริษัทในอุตสาหกรรมค้าปลีกและอุตสาหกรรมขนส่ง

สำหรับบริษัทที่พนักงานมีความสุขที่สุด 20 อันดับแรก ได้แก่...

อันดับ 1 เอชแอนด์อาร์ บล็อค (H&R Block)
อันดับ 2 สายการบินเดลต้าแอร์ไลน์ (Delta Air Lines)
อันดับ 3 L3แฮร์ริส (L3Harris)
อันดับ 4 เอคเซนเชอร์ (Accenture)
อันดับ 5 ไนกี้ (Nike)
อันดับ 6 ช่างฝีมือนานาชาติ (Tradesmen International)
อันดับ 7 ดิสนีย์สวนสนุก (Disney Parks, Experiences and Products)
อันดับ 8 แอดดัส โฮมแคร์ (Addus HomeCare)
อันดับ 9 ไอบีเอ็ม (IBM)
อันดับ 10 แอมะซอน เฟล็กซ์ (Amazon Flex) 
อันดับ 11 แอปเปิล (Apple) 
อันดับ 12 บริษัท วอลท์ ดิสนีย์ (The Walt Disney Company) 
อันดับ 13 วิโปร (Wipro) 
อันดับ 14 แม็กซิมัส (Maximus) 
อันดับ 15 แวนส์ (Vans)
อันดับ 16 ค็อกนิแซนท์ เทคโนโลยี โซลูชันส์ (Cognizant Technology Solutions)
อันดับ 17 กูเกิล (Google) 
อันดับ 18 ดัตช์บรอสคอฟฟี (Dutch Bros Coffee) 
อันดับ 19 ไมโครซอฟท์ (Microsoft) 
อันดับ 20 ขนส่งเฟดเอ็กซ์ (FedEx Freight) 

นอกจากนี้ Indeed ยังได้วิเคราะห์ข้อมูลเพิ่มเติมและพบว่า บริษัทที่ได้คะแนนสูงในด้านความเป็นอยู่ที่ดีในการทำงานนั้น ส่งผลให้บริษัทเติบโตด้วยมูลค่าสูง มีผลตอบแทนจากสินทรัพย์และผลกำไรที่สูงขึ้นด้วย เมื่อดูข้อมูลในภาพรวมแล้วทำให้เห็นว่าบริษัทต่าง ๆ ที่อยู่ในผลการจัดอันดับชุดนี้ มีประสิทธิผลของงานดีกว่าบริษัทที่อยู่ในดัชนีตลาดหุ้น เช่น S&P 500 และ Nasdaq Composite ด้วยซ้ำ 

ด้าน ไคล์ เอ็มเค (Kyle M.K.) ที่ปรึกษาฝ่ายกลยุทธ์บุคลากรของ Indeed กล่าวว่า บริษัทหลายแห่งมักให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นในการทำงาน (เลือกสถานที่ วิธีทำงาน และเวลาทำงานได้) บริษัทบางแห่งให้วันหยุดเพิ่มด้วย โดยวันหยุดที่เพิ่มขึ้นทำให้พนักงานสามารถเลือกไปพบแพทย์หรือไปดูเกมฟุตบอล หรือทำงานจากที่บ้านก็ได้หากสะดวกกว่า

“บริษัทที่ให้ทางเลือกวิธีการทำงานที่หลากหลาย คือบริษัทที่มักจะมีชื่อเสียงที่ดีกว่าในสายตาของพนักงานหรือผู้หางาน” ที่ปรึกษาฝ่ายกลยุทธ์บุคลากร กล่าวย้ำ

ข้อมูลในรายงานของ Indeed ยังระบุอีกว่า ท่ามกลางสถานการณ์ที่บริษัทใหญ่ ๆ บางแห่งเริ่มหันมาใช้นโยบายบังคับให้พนักงานกลับเข้าทำงานที่ออฟฟิศสัปดาห์ละ 5 วัน เหมือนกับช่วงก่อนเกิดโรคระบาดใหญ่โควิด แต่กลับมีหลาย ๆ บริษัทที่หลีกเลี่ยงข้อกำหนดที่เข้มงวดเหล่านั้น ซึ่งส่งผลให้บริษัทกลุ่มนี้กำลังได้รับความนิยมจากผู้สมัครงานมากขึ้นเรื่อย ๆ

ทั้งนี้ หากพิจารณาถึงสาเหตุที่ทำให้รูปแบบการทำงานแบบยืดหยุ่น สามารถตอบโจทย์กับความต้องการของผู้หางานส่วนใหญ่ในยุคนี้ได้ เพราะพวกเขารู้สึกว่าอยากได้รับการดูแลที่ดี และต้องการทำงานให้กับบริษัทที่ใส่ใจความรู้สึกของพวกเขาจริง ๆ ซึ่งจากลิสต์รายชื่อองค์กรต่าง ๆ ใน '2024 Work Wellbeing 100' จะช่วยให้ผู้หางานที่ชอบทำงานแบบยืดหยุ่น สามารถมองหางานที่ตรงใจพวกเขาได้มากขึ้น 

ด้าน ลาฟอน เดวิส (LaFawn Davis) หัวหน้าฝ่ายบุคลากรและความยั่งยืนของ Indeed กล่าวในแถลงการณ์ว่า แม้ว่าความเป็นอยู่ที่ดีในการทำงานจะเผชิญกับความท้าทายในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่บริษัทต่าง ๆ ก็ต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่พนักงานสามารถเติบโตได้อย่างแท้จริง 

“การให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีในการทำงาน จะทำให้บริษัทต่าง ๆ สามารถสร้างพนักงานที่มีความยืดหยุ่น มีประสิทธิภาพ และมีความสุขมากขึ้น ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะเป็นแรงผลักดันให้ธุรกิจเติบโต” เดวิสกล่าว

ท้ายที่สุด ไคล์ เอ็มเค สนับสนุนให้ผู้สมัครงานทบทวนให้แน่ใจว่าวิธีการทำงานรูปแบบใดที่เหมาะกับตนเอง ก่อนจะตัดสินใจเลือกทำงานที่บริษัทใดบริษัทหนึ่ง ขั้นตอนนี้จะช่วยให้ผู้หางานพบกับบริษัทที่มีวัฒนธรรมการทำงานสอดคล้องกับ 'แรงจูงใจภายใน' ของตนเองและสามารถทำงานได้ดีขึ้น อีกทั้ง เขาเชื่อว่าทุกคนมีสิทธิ์ที่จะประสบความสำเร็จในการทำงาน และสมควรที่จะได้ทำงานกับบริษัทที่ดูแลพวกเขาได้อย่างดีที่สุด

‘บลูมเบิร์ก’ ตีข่าว ‘กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ’ เตรียมฟ้อง ‘วีซ่า’ หลังตรวจพบผูกขาดตลาดบัตรเดบิต-สกัดไม่ให้คู่แข่งเข้าตลาด

(24 ก.ย. 67) บลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานอ้างแหล่งข่าวว่า กระทรวงยุติธรรมสหรัฐโดยแผนกต่อต้านการผูกขาดเตรียมยื่นการฟ้องร้องดำเนินคดี บริษัท วีซ่า (Visa Inc.) ผู้ให้บริการเครือข่ายการชำระเงินสัญชาติสหรัฐ ในข้อกล่าวหาผูกขาดตลาดบัตรเดบิตในสหรัฐฯ โดยมิชอบด้วยกฎหมาย คาดว่าจะยื่นฟ้องต่อศาลของรัฐบาลกลางโดยเร็วที่สุด

แหล่งข่าวผู้ไม่ประสงค์ให้ออกนามระบุอีกว่า เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายป้องกันการผูกขาดตลาดกำลังเตรียมที่จะกล่าวหาวีซ่า ผู้ให้บริการเครือข่ายการชำระเงินรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ได้ดำเนินการกีดกันคู่แข่งไม่ให้สามารถแข่งขันหรือท้าทายการครองตลาดบัตรเดบิตของตน หลังพบวีซ่ามีพฤติกรรมเป็นภัยต่อการแข่งขันหลายอย่าง 

ข้อกล่าวหาของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ รวมถึงการที่วีซ่าทำข้อตกลงแบบเอ็กซ์คลูซีฟที่มุ่งหมายจะขัดขวางการแข่งขันที่เพิ่มมากขึ้นและสกัดกั้นความพยายามของหลายบริษัทเทคโนโลยีที่จะเข้าสู่ตลาดบัตรเดบิตของสหรัฐ

หลังจากมีข่าวจะโดนฟ้อง หุ้น V ของวีซ่าที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) ร่วงลงมากถึง 1.95% ในการซื้อขายช่วงหลังปิดตลาดวันจันทร์ที่ 23 กันยายน 

ขณะนี้วีซ่าและกระทรวงยุติธรรมยังปฏิเสธที่จะให้ความเห็น

การยื่นฟ้องร้องดำเนินคดีของกระทรวงยุติธรรมดังกล่าวถือเป็นจุดสิ้นสุดของการสอบสวนแนวปฏิบัติในการดำเนินธุรกิจของวีซ่าที่กินเวลานานหลายปี ซึ่งการสอบสวนนี้เกิดจากกรณีที่วีซ่าล้มเหลวในการเข้าซื้อกิจการบริษัท เพลด (Plaid Inc.) ซึ่งทำธุรกิจให้บริการโครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน เมื่อปี 2021 

ในระหว่างการดำเนินการสอบสวน กระทรวงยุติธรรมยังตรวจสอบโครงสร้างทางราคาของเทคโนโลยีการแปลงสินทรัพย์เป็นโทเค็น (Tokenization) ในการที่วีซ่าให้บริการโทเค็นการชำระเงินด้วย 

เมื่อปีก่อนหน้านี้ บริษัท มาสเตอร์การ์ด (Mastercard Inc.) คู่แข่งทางธุรกิจของวีซ่าได้ตกลงจ่ายเงินระงับคดีที่คล้ายกันนี้ ซึ่งมุ่งตรวจสอบเทคโนโลยี Tokenization ของมาสเตอร์การ์ด โดยคณะกรรมการการค้าแห่งสหพันธรัฐ (FTC) ซึ่งเป็นอีกหน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมายต่อต้านการผูกขาดเป็นผู้ยื่นฟ้องร้องดำเนินคดี

'เกาหลีใต้' จับหมอมือแฉ!! ปล่อย Blacklist กลุ่มหมอกลับใจ เพียงเพราะเลือกกลับไปดูแลประชาชน ตีจากวงประท้วงรัฐบาล

กล้าแฉ ก็กล้าจับ เมื่อตำรวจเกาหลีใต้จับแพทย์ฝึกหัด 1 คน ที่ได้เผยแพร่รายชื่อกลุ่มแพทย์ฝึกหัดที่ไม่ยอมเข้าร่วมประท้วงนัดหยุดงาน หรือ เคยหยุดงานไปแล้ว และตัดสินใจกลับไปปฏิบัติหน้าที่ต่อ ด้วยการประจานออกสื่อออนไลน์ Telegram เพื่อหวังให้เป็นบทลงโทษทางสังคมจากกลุ่มแพทย์รุ่นใหม่ที่ยังคงแสดงจุดยืนหยุดงานประท้วงรัฐบาล

นับเป็นเคสแรกที่หมอเกาหลีใต้ถูกจับ ตั้งแต่มีการนัดหยุดงานของกลุ่มแพทย์ฝึกหัดมากกว่า 80% ทั่วประเทศ ที่ประกาศทิ้งงาน-ลาออก เพราะไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลเกาหลีใต้ต้องการเพิ่มโควตาการรับนักศึกษาแพทย์ในมหาวิทยาลัยแพทย์กว่า 40 สถาบัน อีก 1,500 ที่นั่ง หรือเท่ากับภายในปี 2025 รัฐบาลเกาหลีใต้ตั้งเป้าที่จะเพิ่มนักศึกษาแพทย์เป็น 4,567 คน เพื่อรองรับสังคมสูงวัย และ ปัญหาขาดแคลนบุคลากรการแพทย์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน 

ทว่าเรื่องดังกล่าวกลับเจอกระแสต่อต้านรุนแรงจากกลุ่มแพทย์ฝึกหัดจบใหม่ ที่มองว่าการเพิ่มจำนวนนักศึกษาแพทย์ส่งผลเสียต่อคุณภาพการศึกษา และรัฐบาลควรเพิ่มงบประมาณสนับสนุนสวัสดิการให้กับกลุ่มแพทย์ที่ทำงานในปัจจุบันมากกว่า 

เหตุการณ์นี้ลุกลามจนกลายเป็นการนัดหยุดงานประท้วงที่ต่อเนื่องยาวนานมากกว่า 6 เดือน และแม้รัฐบาลเกาหลีใต้จะส่งแพทย์ทหารเข้าไปเสริมในโรงพยาบาลต่าง ๆ ที่ขาดแคลนบุคลากรแพทย์อย่างหนัก แต่ก็ไม่อาจบรรเทาความปั่นป่วนจากการนัดหยุดครั้งใหญ่ของกลุ่มแพทย์ฝึกหัดเกือบหมื่นคนในคราวเดียวกันได้ และเป็นเหตุให้คนไข้ฉุกเฉินบางรายต้องเสียชีวิตเพราะหลายโรงพยาบาลมีแพทย์หน้างานไม่พอ 

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่รัฐบาลออกมาเรียกร้อง และ 'คาดโทษ' กลุ่มแพทย์ฝึกหัดที่ประท้วงหยุดงาน ก็เริ่มมีแพทย์หลายคนที่เปลี่ยนใจกลับมาทำงานเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และนั่นก็กลายเป็นชนวนให้กลุ่มแพทย์ที่ยังยืนหยัดประท้วง หันมาทำบัญชีรายชื่อ พร้อมประวัติส่วนตัว โดยจัดทำเป็น Blacklist ของ 'แพทย์ฝึกหัดแตกแถว' ที่ไม่ยอมเข้าร่วมประท้วง หรือ ตัดสินใจกลับไปปฏิบัติหน้าที่ในโรงพยาบาลต่อ และปล่อยรายชื่อลงใน Telegram เพื่อหวังประจานแพทย์เหล่านี้ในฐานะ 'คนที่หักหลังเพื่อน' และถือเป็นแรงกดดันหมู่ในสังคมแพทย์เพื่อป้องกันคนแตกแถวเพิ่มขึ้นไปในตัว

แต่งานนี้ผู้แฉก็ไม่รอดเสียแล้ว เพราะเมื่อวันศุกร์ (20 ก.ย. 67) ที่ผ่านมามีการจับกุมแพทย์ฝึกหัด 1 คน ที่ระบุว่าเป็นคนปล่อย Blacklist ดังกล่าวลงในโลกออนไลน์ ซึ่งตอนนี้ถูกคุมขังในสถานีตำรวจแห่งหนึ่งในกรุงโซล

ทว่า 'ลิม ฮยุน-แท็ก' หัวหน้าสมาพันธ์แพทย์เกาหลีใต้ที่ได้ติดต่อขอพูดคุยกับแพทย์ที่ถูกจับกุม และออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ ล้วนเป็นความผิดพลาดของรัฐบาลเกาหลีใต้ ทั้งแพทย์ฝึกหัดที่อยู่ในรายชื่อบัญชีดำ รวมถึงแพทย์ที่ถูกจับกุมเพราะเผยแพร่รายชื่อนั้น ล้วนแต่เป็นเหยื่อของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทั้งสิ้น

แต่มุมมองของหัวหน้าแพทย์ฯ ก็ไม่ใช่ในมุมมองของกฎหมาย เพราะแพทย์ฝึกหัด ที่ตอนนี้กลายเป็นผู้ต้องหาจะต้องถูกดำเนินคดีในความผิดข้อหาการสะกดรอย ที่คุกคามผู้อื่นด้วยการเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคล อันได้แก่ ชื่อจริง สถานที่ทำงาน หมายเลขโทรศัพท์ส่วนตัว หรือประวัติการศึกษา โดยไม่ได้รับความยินยอม

ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น เหยื่อที่น่าสงสารที่สุดในตอนนี้ ก็ไม่ใช่กลุ่มแพทย์ในหรือนอกบัญชีดำแต่อย่างใด หากแต่เป็นคนไข้ที่กำลังเดือดร้อนจากสถานการณ์บุคลากรแพทย์ขาดแคลนอยู่ในขณะนี้ และถ้าปัญหาความขัดแย้งระหว่างองค์กรแพทย์และรัฐบาลยังคงดำเนินต่อไปใน ระบบรักษาสุขภาพถ้วนหน้าของเกาหลีใต้อาจเข้าใกล้คำว่าวิกฤติมากกว่าถึงฝั่งฝัน

'เยอรมนี' แจ้งอียูจะไม่เปิดรับเพิ่ม 'ผู้ลี้ภัย' หลังสิ้นทรัพยากรดูแลไปมากยอมรับ!! ไม่มีประเทศไหนในโลกพร้อมอุ้มผู้ลี้ภัยได้แบบไร้ขีดจำกัด

(24 ก.ย. 67) เมื่อช่วงต้นเดือนกันยายน รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีโอลาฟ โชลซ์ แถลงว่าเยอรมนีจะเริ่มตรวจเช็กพาสปอร์ตตามแนวชายแดนทางบกอีกครั้ง เป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือน โดยไม่คำนึงถึงข้อตกลงเชงเก้น

ต่อมา หนังสือพิมพ์ แดร์ ชปีเกล รายงานว่า พวกเขาเข้าถึงหนังสือฉบับหนึ่งในวันพุธที่ 11 กันยายน ซึ่งเป็นจดหมายที่ เฟรเซอร์ เขียนถึงคณะกรรมาธิการยุโรป มีใจความว่า "ไม่มีประเทศไหนในโลกที่สามารถอ้าแขนรับพวกผู้ลี้ภัยในจำนวนที่ไม่มีขีดจำกัด"

ในจดหมายระบุต่อว่า "เยอรมนีกำลังถึงขีดจำกัดมากขึ้นเรื่อย ๆ ในแง่ของความสามารถในการรองรับ อำนวยความสะดวกและดูแลผู้ลี้ภัย" พร้อมเน้นว่าพวกเขาสูญทรัพยากรทั้งในระดับรัฐบาลกลางและระดับรัฐ "ไปจนแทบหมดสิ้น" และมีความเสี่ยงอย่างแท้จริงที่ระบบสวัสดิการทั่วไปจะแบกรับไม่ไหว

เนื้อหาในจดหมายระบุว่าปริมาณผู้ลี้ภัยขาเข้าประเทศที่มากผิดปกติเป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้ และเยอรมนีมีความกังวลอย่างยิ่งต่อจำนวนผู้ลี้ภัยที่แตะระดับ 50,000 คน ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2024

เฟรเซอร์ ยังอ้างว่า ด้วยภัยคุกคามที่มีต่อความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยของประชาชน มันจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องกลับมากำหนดมาตรการควบคุมชายแดนอีกครั้ง โดยชี้ถึงเหตุการณ์ใช้มีดไล่แทงผู้คนและอาชญากรรมรุนแรงต่าง ๆ ที่เกิดจากฝีมือพวกผู้ลี้ภัย ในนั้นรวมถึงกรณีที่มีผู้เสียชีวิต 3 รายและบาดเจ็บ 8 คน เมื่อเดือนที่แล้ว ในเหตุไล่แทงผู้คนในงานเทศกาลหนึ่งในเมืองโซลิงเกน ซึ่งผู้ต้องสงสัยเป็นชาวซีเรีย 26 ปี ที่มีข่าวว่าได้ยื่นขอลี้ภัยในปี 2022

รัฐมนตรีหญิงรายนี้เขียนในจดหมายว่า เยอรมนีความกังวลอย่างยิ่ง "ต่อระเบียบดับลินที่ทำหน้าที่ได้ไม่สมบูรณ์นัก" อ้างถึงกฎเกณฑ์ของอียู ที่ระบุให้ประเทศแรกที่ผู้อพยพและผู้ลี้ภัยเดินทางมาถึงต้องรับและดำเนินการกับคำขอลี้ภัย

เวลานี้ เบอร์ลิน กำลังหาทางส่งผู้ลี้ภัยไปยังประเทศต่าง ๆ ในอียูที่อยู่รอบนอก อย่างเช่น บัลแกเรีย กรีซ อิตาลี และโรมาเนีย แต่พวกผู้ลี้ภัยส่วนใหญ่จากบรรดาชาติรอบนอกต่างต้องการมาลงเอยในเยอรมนี สืบเนื่องจากสิทธิประโยชน์สวัสดิการที่เอื้อเฟื้ออารีของประเทศแห่งนี้

แม้พันธมิตรของนายกรัฐมนตรีโชลซ์ ไม่ต้องการปิดช่องทางทั้งหมดสำหรับผู้ลี้ภัย อ้างถึงความกังวลทางกฎหมาย แต่หนึ่งในพรรคการเมืองฝ่ายค้านที่ใหญ่ที่สุดได้แสดงจุดยืนสนับสนุนแนวทางดังกล่าว โดยชี้ว่า "มันทั้งได้รับอนุญาตทางกฎหมาย และมีความเหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน แม้กระทั่งความจำเป็นทางการเมืองที่ต้องปิดชายแดน" เฟรดริช เมอร์ซ ผู้นำพรรคซีดียู กล่าวเมื่อวันพุธที่ 11 กันยายน

'ออสเตรเลีย' ฟ้อง 2 ซูเปอร์มาร์เก็ตยักษ์ใหญ่ หลังทำโปรโมชัน 'หลอก' ลดราคาสินค้า

(24 ก.ย. 67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า คณะกรรมาธิการการแข่งขันและผู้บริโภคของออสเตรเลีย (ACCC) ยื่นฟ้องซูเปอร์มาร์เก็ตวูลเวิร์ธ (Wollworths) และ โคลส์ (Coles) ฐานเอาเปรียบผู้บริโภค โดยการขึ้นราคาสินค้าจากปกติ แล้วเสนอขายในราคาลดลง ถือเป็นการหลอกลวงผู้บริโภคทางอ้อม โดยมีพฤติกรรมหลอกลวงเกี่ยวกับการลดราคาสินค้า ระบุว่า ซูเปอร์มาร์เก็ตทั้ง 2 แห่งนี้ได้คงราคาสินค้าบางอย่างเป็นเวลานานถึง 2 ปี จากนั้นได้ขึ้นราคา เพียงเพื่อจะนำมาโฆษณาหลังจากนั้นว่ากำลังอยู่ในช่วงลดราคา

จีน่า คาสส์ กอตต์ลิบ ประธานสำนักงานคุ้มครองดูแลผู้บริโภคของออสเตรเลีย กล่าวว่า หลังจากที่มีการโฆษณาทางการตลาดมาหลายปี บรรดาลูกค้าต่างเข้าใจว่าโปรโมชัน Prices Dropped ของ Woolworths และ ‘Down Down’ ของ Coles หมายถึงการลดราคาปกติของผลิตภัณฑ์ในซูเปอร์มาร์เก็ตอย่างต่อเนื่องแต่กลับพบว่าในหลายกรณีส่วนลดนั้นเป็นเพียงภาพลวงตา 

จากการตรวจสอบข้อร้องเรียนพบว่า Woolworths ได้ให้ข้อมูลเท็จแก่ลูกค้าเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ประมาณ 266 รายการในช่วง 20 เดือน ที่ผ่านมา และทางด้าน Coles ได้ให้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ 245 รายการในช่วง 15 เดือนที่ผ่านมา โดยผลิตภัณฑ์มีตั้งแต่อาหารสัตว์ พลาสเตอร์ และน้ำยาบ้วนปาก ไปจนถึงผลิตภัณฑ์ยอดนิยมจากออสเตรเลีย เช่น Tim Tam หรือจะเป็นซีเรียลของ Kellogg's

โดยทั้งสองบริษัทได้มีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ลดราคาปลอมไปหลายสิบล้านชิ้น และได้รับรายได้จำนวนมากจากการขายเหล่านั้น ในขณะที่ผู้บริโภคจำนวนมากต้องพึ่งพาส่วนลดเพื่อช่วยให้มีงบประมาณในการซื้อของชำใช้ได้อย่างคุ้มค่ามากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ค่าครองชีพพุ่งสูงเช่นนี้ 

ต่อมาแอนโทนี อัลบาเนซี นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย กล่าวว่า รัฐบาลของเขาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก เพราะผู้บริโภคไม่สมควรถูกซูเปอร์มาร์เก็ตกระทำราวกับเป็นคนโง่เขลา

‘หนุ่มมาเลฯ’ โพสต์ระบายโรงแรมบ้านเกิด ‘เช็กอินช้า-เร่งเช็กเอาต์’ ฟากชาวเน็ตเชียร์ให้บอยคอตต์ บ้างก็บอก ‘มาเที่ยวเมืองไทยดีกว่า’

เมื่อไม่นานมานี้ ‘ชายชาวมาเลเซีย’ รายหนึ่ง ได้ระบายความผิดหวังที่มีต่อข้อกำหนดต่าง ๆ ของโรงแรมท้องถิ่น (มาเลเซีย) พร้อมส่งเสียงเรียกร้องให้กระทรวงท่องเที่ยว ศิลปะและวัฒนธรรมแดนเสือเหลือง เข้ามาจัดการคลี่คลายการกำหนดเวลาเช็กอินและเช็กเอาต์ตามอำเภอใจ โดยเขามองว่าเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคจนเกินไป 

ความคิดเห็นของชายรายนี้ได้รับเสียงสนับสนุนจากคนอื่น ๆ อย่างกว้างขวางบนสื่อสังคมออนไลน์ และบางส่วนถึงขั้นยุให้คนอื่น ๆ หันไปเที่ยวประเทศไทยแทน

รายงานข่าวระบุว่า ชายรายดังกล่าวนามว่า ‘ฮาคิม เอช’ ใช้บัญชีบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ เขียนคร่ำครวญเกี่ยวกับกำหนดเวลาของโรงแรมต่าง ๆ ในมาเลเซีย ซึ่งดำเนินการแบบตามอำเภอใจ ค่อนข้างล่าช้าในการเช็กอิน แต่มาเร่งรัดในตอนเช็กเอาต์

ฮาคิม เอช โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ ระบุว่า "หากพวกผู้ที่เกี่ยวข้องต้องการเห็นชาวมาเลเซียสนับสนุนการท่องเที่ยวท้องถิ่นของเรา กระทรวงท่องเที่ยว ศิลปะและวัฒนธรรม ต้องเข้ามาแทรกแซง คลี่คลายประเด็นเกี่ยวกับเวลาการเช็กอินและเช็กเอาต์ตามอำเภอใจ"

เขาอ้างต่อว่า "การเช็กอินตอน 16.00 น. และเช็กเอาต์ 11.00 น. มันไร้สาระ พวกคุณอยากบอยคอตต์โรงแรมต่าง ๆ ที่ใช้นโยบายนี้กันหรือเปล่า?"

จนถึงวันจันทร์ (23 ก.ย.) มีคนเข้ามาอ่านข้อความดังกล่าวบนแพลตฟอร์มเอ็กซ์แล้วกว่า 396,000 คน และมีคนกดไลก์มากกว่า 2,300 ครั้ง โดยชาวมาเลเซียจำนวนมากเห็นด้วยกับเขา และสะท้อนความรู้สึกแบบเดียวกัน ขณะที่บางส่วนเรียกร้องให้บอยคอตต์โรงแรมเหล่านั้น และบางคนถึงขั้นยุให้หันไปเที่ยวไทยแทน

ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์รายหนึ่งแสดงความคิดเห็นตอบกลับ เล่าว่า เคยได้รับคำอธิบายจากโรงแรมเหล่านั้นเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัตินี้ แต่เขารู้สึกว่ามันไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไร ในนั้นรวมถึงอ้างว่าแผนกทำความสะอาดไม่มีเวลามากพอที่จะทำความสะอาดห้อง

ส่วนอีกคนโพสต์เห็นด้วยว่าควรบอยคอตต์โรงแรมเหล่านั้น โดยมองว่าเวลาเช็กอินล่าช้า แต่เช็กเอาต์เร็วนั้น เป็นเรื่องที่ไร้สาระ และไม่คู่ควรกับการเข้าพักแต่อย่างใด

นอกจากนี้ ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์หลายคนยังเรียกร้องให้กำหนดเวลาเช็กอินและเช็กเอาต์ ให้เป็นมาตรฐานเดียวกันสำหรับโรงแรมทั่วประเทศ ซึ่งคือเช็กอิน 14.00 น. และเช็กเอาต์ 12.00 น.

ขณะเดียวกัน มีชาวมาเลเซียบางส่วนถึงขั้นขอให้มีการจัดทำบัญชีรายชื่อโรงแรมต่าง ๆ ที่เช็กอินช้าและมาเร่งรัดตอนเช็กเอาต์ เพื่อให้ง่ายต่อการที่ชาวมาเลเซียจะบอยคอตต์

'ญี่ปุ่น' อ่วม!! 'น้ำท่วม-ดินถล่ม' ใน'อิชิกาวะ' 100 ชุมชนถูกตัดขาด ดับแล้ว 7 ราย

(24 ก.ย. 67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ฝนถล่มหนักในจังหวัดอิชิกาวะ ของประเทศญี่ปุ่น เป็นเหตุให้เกิดน้ำท่วมและดินถล่มหลังฝนตก โดยทางการจังหวัดอิชิกาวะ รายงานว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจากฝนตกหนักในคาบสมุทรโนโตะ ที่ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและดินถล่ม เพิ่มขึ้นเป็น 7 ราย และยังมีผู้สูญหาย 2 คน รวมถึงคนที่ยังติดต่อไม่ได้อีก 5 คน นอกจากนี้แม่น้ำ 16 สายเอ่อล้น ถนนหลายสายได้รับความเสียหาย และชุมชนกว่า 100 แห่ง ถูกตัดขาดจากภายนอก

โดยเมืองวาจิมะมีฝนตกหนักวัดได้เกือบ 500 มิลลิเมตร และเมืองซูซุ มีปริมาณฝนเกือบ 400 มิลลิเมตร ซึ่งปริมาณดังกล่าวสูงกว่าระดับค่าเฉลี่ยของปริมาณฝนทั้งเดือนกันยายนถึง 2 เท่า แต่ฝนเบาบางลงแล้ว

สำนักงานอุตุนิยมวิทยาลดระดับคำเตือนฉุกเฉินฝนตกหนัก ที่เป็นระดับสูงสุดในหลายเมืองของคาบสมุทรโนโตะ แต่ยังมีคำเตือนให้ประชาชนในจังหวัดอิชิกาวะ และนีงาตะ ที่อาจมีฝนตกวัดได้กว่า 300 มิลลิเมตรใน 48 ชม. ให้เฝ้าระวังภัยพิบัติที่อาจเกิดจากฝนตกหนัก

โดยบางพื้นที่ของสองจังหวัดนี้ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว 7.6 แมกนิจูดในบริเวณคาบสมุทรโนโตะเมื่อวันที่ 1 มกราคม และประกอบกับมีฝนตก อาจเพิ่มความเสี่ยงเกิดดินถล่มได้

มีรายงานว่าบ้านพักชั่วคราวสำหรับผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวส่วนใหญ่จากเกือบ 140 หลังในเมืองวาจิมะ ถูกน้ำท่วม หลังแม่น้ำใกล้เคียงเอ่อล้นเข้าท่วม รัฐบาลเตรียมนำข้าวและสุขภัณฑ์เคลื่อนที่เข้าไปมอบในพื้นที่ประสบภัยในวาจิมะ

'ไบเดน' เล่นแรง!! อาจไม่ได้แค่ขึ้นภาษีรถ EV จีนเท่านั้น แต่จะสั่ง 'แบนรถ EV จีน' ทั้งหมดไม่ให้เข้าอเมริกาเลยซักคัน

เมื่อวานนี้ (23 ก.ย. 67) สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เสนอแผนห้ามใช้ซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ของจีนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าในอเมริกาด้วยเหตุผลด้านความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งจะมีผลให้รถยนต์ไฟฟ้าจากแทบทุกบริษัทในประเทศจีนไม่สามารถเข้ามาแข่งขันในสหรัฐฯ ได้

ข้อเสนอกฎเกณฑ์ใหม่นี้ยังรวมถึงการบังคับให้บริษัทรถยนต์อเมริกันและต่างชาติที่ประกอบธุรกิจในสหรัฐฯ ต้องถอดซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ของจีนออกจากรถยนต์ที่ขายในตลาดอเมริกาด้วย

ข้อห้ามใหม่นี้รวมถึงการไม่อนุญาตให้ผู้ผลิตรถยนต์จีนทดสอบรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติบนถนนในสหรัฐฯ และยังครอบคลุมถึงการใช้ระบบซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ของต่างชาติที่รัฐบาลสหรัฐฯ มองว่าเป็นศัตรู เช่น รัสเซีย ด้วย

รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐฯ จีนา ไรมอนโด กล่าวว่า "เมื่อประเทศฝ่ายตรงข้ามผลิตซอฟต์แวร์สำหรับยานพาหนะ นั่นหมายความว่าจะสามารถใช้ในการสอดส่อง และการควบคุมระยะไกล ซึ่งเป็นภัยคุกคามความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของผู้ใช้รถยนต์ชาวอเมริกัน"

และว่า "ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด ศัตรูต่างชาติอาจปิดการทำงานหรือเข้าควบคุมยานพาหนะทั้งหมดของพวกเขาที่อยู่ในสหรัฐฯ ในเวลาเดียวกัน ซึ่งจะนำไปสู่อุบัติเหตุ หรือปัญหาจราจรครั้งใหญ่ได้"

ที่ผ่านมา รัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน แสดงความกังวลต่อการเก็บข้อมูลผู้ใช้รถยนต์และโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ในสหรัฐฯ ผ่านรถยนต์ที่เชื่อมต่อกับซอฟต์แวร์ของบริษัทจีน รวมทั้งความเป็นไปได้ที่ต่างชาติอาจแทรกแซงการทำงานของยานพาหนะที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตและระบบการนำทางของรถยนต์ในสหรัฐฯ

เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ทำเนียบขาวได้สั่งการให้ดำเนินการสืบสวนความเสี่ยงที่ว่านี้ และเมื่อต้นเดือนกันยายน รัฐบาลไบเดนยังประกาศใช้อัตราภาษีระดับสูงต่อสินค้านำเข้าจากจีน ซึ่งรวมถึงภาษี 100% สำหรับรถไฟฟ้า แบตเตอรีไฟฟ้า และแร่ธาตุสำคัญจากจีน

ปัจจุบัน มีรถยนต์หรือรถกระบะของจีนเพียงไม่กี่รุ่นที่ขายในตลาดสหรัฐฯ ซึ่งทาง รมต.ไรมอนโด ระบุว่า กฎเกณฑ์ใหม่นี้จะนำมาใช้ก่อนที่รถยนต์หรือชิ้นส่วนรถยนต์จากจีนและรัสเซียจะถูกใช้แพร่หลายในอเมริกามากขึ้น ซึ่งจะสร้างความเสี่ยงอย่างมากเมื่อถึงเวลานั้น

ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงทำเนียบขาว เจค ซัลลิแวน แถลงเช่นกันว่า "เนื่องจากความเป็นไปได้ที่จะมียานพาหนะนับล้านคันบนถนน (ในอเมริกา) และแต่ละคันมีอายุการใช้งาน 10-15 ปี ทำให้ความเสี่ยงของการก่อปัญหาหรือก่อวินาศกรรมเพิ่มขึ้นมากตามไปด้วย"

สำหรับข้อเสนอใหม่นี้ ในส่วนของซอฟต์แวร์จะเริ่มมีผลบังคับใช้กับรถยนต์รุ่นปี 2027 ส่วนฮาร์ดแวร์จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในปี 2029 หรือรถยนต์รุ่นปี 2030

เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ ยืนยันว่า กฎเกณฑ์ใหม่จะครอบคลุมถึงการห้ามขายรถกระบะและรถบรรทุกจากจีนทั้งหมดในอเมริกา ยกเว้น "ได้รับการอนุญาตเป็นกรณีพิเศษ" เท่านั้น นอกจากนี้จะไม่รวมถึงยานพาหนะที่ใช้ในภาคการเกษตรหรือการทำเหมือง

ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ให้เวลา 30 วันสำหรับการรับฟังความเห็นของสาธารณชนในเรื่องนี้ และตั้งเป้าว่าจะสรุปขั้นสุดท้ายภายในวันที่ 20 ม.ค. ปีหน้า

เมื่อเดือนที่แล้ว สถานทูตจีนในกรุงวอชิงตัน วิจารณ์แผนดังกล่าวของสหรัฐฯ ว่า "จีนขอให้สหรัฐฯ ปฏิบัติตามหลักการตลาดและกฎเกณฑ์การค้าระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งสร้างการแข่งขันอย่างเท่าเทียมสำหรับทุกบริษัทจากทุกประเทศ ขณะที่จีนจะปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ตามกฎหมายเช่นกัน"

ด้านสมาคมเพื่อนวัตกรรมรถยนต์ ซึ่งเป็นตัวแทนของผู้ผลิตรถยนต์หลายบริษัทในอเมริกา รวมทั้ง เจเนรัลมอเตอร์ส โตโยต้า ฮุนได และโฟล์คสวาเกน เตือนว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวต้องใช้เวลา พร้อมกล่าวว่า ปัจจุบันทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ต่างพัฒนาในหลายประเทศ รวมถึงจีนด้วย

นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าญี่ปุ่น 8 เดือนแรกปี 67 ทะลุ 24 ล้าน เติบโต 58% คนไทยติดท็อป 10 ไปเยือนกว่า 7 แสนคน แต่ยอดยังไม่แซงก่อนช่วงโควิด

(23 ก.ย. 67) รายงานองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น (JNTO) ระบุว่า สถิตินักท่องเที่ยวไทยเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่น ช่วง 8 เดือนแรก (ม.ค.-ส.ค.) ของปี 2567 พบว่ามีจำนวนกว่า 706,500 คน เพิ่มขึ้น 21.7% เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 แต่ยังติดลบ 12.4% หรือคิดเป็นการฟื้นตัวแล้ว 87.6% เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562

เฉพาะเดือน ส.ค. ซึ่งตรงกับโลว์ซีซันฤดูร้อนของญี่ปุ่น มีจำนวนนักท่องเที่ยวไทยเดินทางเข้า 34,700 คน เพิ่มขึ้น 4.6% เทียบกับจำนวน 33,166 คนของเดือน ส.ค.ปีที่แล้ว อย่างไรก็ตามยังติดลบ 30% หรือคิดเป็นการฟื้นตัว 70% เมื่อเทียบกับจำนวน 49,589 คนของเดือน ส.ค. 2562

ภาพรวมจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าญี่ปุ่น 8 เดือนแรกยังคงเติบโตแรงต่อเนื่อง ด้วยจำนวนกว่า 24,007,900 คน เพิ่มขึ้น 58% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และเติบโต 8.4% แซงช่วงเดียวกันของปีก่อนโควิดระบาดอีกด้วย

สำหรับตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติ 10 อันดับแรกที่เดินทางเข้าญี่ปุ่นสูงสุด ได้แก่...

1. เกาหลี 5,811,900 คน

2. จีน 4,595,200 คน

3. ไต้หวัน 4,115,200 คน

4. ฮ่องกง 1,801,800 คน

5. สหรัฐ 1,768,100 คน

6. ไทย 706,500 คน

7. ออสเตรเลีย 551,600 คน

8. ฟิลิปปินส์ 496,300 คน

9. เวียดนาม 434,000 คน

10. แคนาดา 367,400 คน

‘ผลวิจัย’ ชี้!! ‘เมือง-บริษัท’ กว่า 40% ทั่วโลก ยังนิ่งเฉย ไร้กำหนดเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

(23 ก.ย. 67) เน็ต ซีโร่ แทร็กเกอร์ (Net Zero Tracker) กลุ่มความร่วมมือด้านการติดตามข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก เปิดเผยว่า เมืองและบริษัทมากกว่า 40% ยังไม่ได้กำหนดเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 

จากรายงานเผยอีกว่า แม้รัฐบาลและบริษัทจำนวนมากขึ้นให้คำมั่นว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (net-zero) แต่ความตั้งใจดังกล่าวถูกเบี่ยงเบนจากสงคราม การเลือกตั้ง และความท้าทายทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้เกิดช่องว่างระหว่างความมุ่งมั่นกับความเป็นจริง

กลุ่มวิจัยระบุว่า ในขณะที่ประเทศต่าง ๆ เตรียมนำเสนอเป้าหมายสภาพภูมิอากาศปี 2578 แก่สหประชาชาติ (UN) นั้น ผู้กำหนดนโยบายของรัฐบาลและบอร์ดบริหารของบริษัทต่าง ๆ กำลังพยายามเปลี่ยนเป้าหมายระยะยาวให้เป็นการดำเนินงานอย่างมีรูปธรรม แต่แผนการเปลี่ยนผ่านยังขาดความชัดเจนและรายละเอียด

รายงานดังกล่าวได้จากการสำรวจความมุ่งมั่นและแผนการดำเนินงานเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ จากประเทศต่าง ๆ 198 ประเทศ ส่วนภูมิภาค 706 แห่ง เมือง 1,186 เมือง และบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เกือบ 2,000 บริษัท โดยรายงานระบุว่า แม้จะมีบริษัท 1,750 แห่งจากทั้งหมดกว่า 4,000 แห่งให้คำมั่นอย่างเป็นทางการที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ แต่ในขณะเดียวกัน พบว่า บริษัทเกือบ 1,700 แห่งยังไม่ได้กำหนดเป้าหมายใด ๆ ไว้เลย ขณะที่มีบริษัทจดทะเบียนไม่ถึง 60% ที่กำหนดเป้าหมายการปล่อยก๊าซสุทธิเป็นศูนย์เอาไว้ ซึ่งเพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบกับรายงานของปีที่แล้ว โดยเฉพาะบริษัทจากเอเชียที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

เน็ต ซีโร่ แทร็กเกอร์ ระบุว่า จำนวนบริษัททั้งหมดที่ไม่ได้กำหนดเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดลงมาอยู่ที่ 495 แห่ง จาก 734 แห่งในปีที่แล้ว ซึ่งรวมถึงผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเทสลา (Tesla) และบีวายดี (BYD) บริษัทเกมอย่างนินเทนโด (Nintendo) และบริษัทลงทุนอย่างบริษัทเบิร์กเชียร์ แฮทาเวย์ (Berkshire Hathaway)

'มาครง' ผ่าทางตัน!! เขี่ยพรรคอันดับ 1 เป็นฝ่ายค้าน แต่งตั้งรัฐบาลชุดใหม่ด้วยนักการเมืองฝ่ายขวา

(23 ก.ย. 67) เอเอฟพีรายงาน เมื่อวันที่ 22 ก.ย. 67 ว่า ในที่สุดฝรั่งเศสก็ได้รัฐบาลชุดใหม่แล้ว หลังจากยืดเยื้อมานานตั้งแต่การเลือกตั้งที่ไม่มีผู้ชนะเด็ดขาดในเดือนกรกฎาคม

คณะรัฐมนตรีที่ประกาศโดยประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส ได้มีแชล บาร์นีเย อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศวัย 73 ปี เป็นนายกรัฐมนตรีและหัวเรือใหญ่ในการนำรัฐบาลเสนอแผนงบประมาณปี 2568 เพื่อแก้ไขสถานการณ์ทางการเงินของฝรั่งเศสซึ่งเข้าขั้นเลวร้าย

บาร์นีเย ผู้มีแนวคิดอนุรักษ์นิยมฝ่ายขวาและอดีตผู้เจรจาของสหภาพยุโรปเกี่ยวกับเบร็กซิต ต้องทำหน้าที่อันยากลำบากในการเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อให้มาครงอนุมัติ ขณะที่พันธมิตรฝ่ายซ้ายซึ่งเป็นกลุ่มที่มีเสียงมากที่สุดในรัฐสภาพร้อมบดขยี้คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ด้วยญัตติไม่ไว้วางใจ หลังจากผิดหวังที่กลุ่มของตนไม่ได้เป็นแกนหลักในรัฐบาลชุดใหม่

กลุ่มแนวร่วมฝ่ายซ้ายกลายเป็นพลังทางการเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของฝรั่งเศสหลังการเลือกตั้งเมื่อต้นเดือนกรกฎาคม แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้รับที่นั่งมากเพียงพอต่อการตั้งรัฐบาล

ทั้งนี้ พันธมิตรฝ่ายซ้ายเป็นกลุ่มที่มีเสียงมากที่สุดในรัฐสภา โดยมีฝ่ายกลางของมาครง และฝ่ายขวาจัดได้คะแนนไล่เรียงกันลงมา แต่ไม่มีฝ่ายใดได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งพอที่จะจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ และทั้งสามฝ่ายไม่มีใครยอมจับมือร่วมกันตั้งรัฐบาลผสม ตลอดจนการนำเสนอนายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่จะมาทำงานร่วมกับมาครง เป็นเหตุให้ฝรั่งเศสต้องรอรัฐบาลใหม่นานกว่า 11 สัปดาห์

มาครงชั่งน้ำหนักทางการเมืองอย่างรอบคอบก่อนเลือกฝ่ายขวามากกว่าฝ่ายซ้าย เขายอมเลือกนายกรัฐมนตรีจากฝั่งขวาเพื่อหวังให้รัฐบาลได้รับการสนับสนุนจากทั้งสายกลางของเขาและฝ่ายอนุรักษนิยม

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลชุดใหม่ได้รับเสียงตอบรับไม่ค่อยดีนักจากฝ่ายขวาจัดที่เรียกคณะรัฐมนตรีชุดนี้ว่าเป็นสัญญาณของการกลับคืนสู่ลัทธิมาโครนิสต์และดูไม่มีอนาคตเลย

ขณะที่ฝ่ายซ้ายจัดเรียกคณะรัฐมนตรีชุดนี้ว่า "รัฐบาลของผู้แพ้การเลือกตั้ง และรัฐบาลหัวรุนแรงที่ไม่สนใจประชาธิปไตย"

ก่อนการประกาศคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดใหม่ ผู้คนหลายพันคนออกมาเดินขบวนบนท้องถนนในกรุงปารีสและเมืองอื่น ๆ ของฝรั่งเศสเพื่อแสดงความไม่เห็นด้วย

พวกเขาคัดค้านคณะรัฐมนตรีซึ่งพวกเขาบอกว่าไม่สะท้อนผลที่แท้จริงของการเลือกตั้ง และรัฐบาลชุดใหม่ไม่มีบุคลากรจากฝ่ายซ้ายเลย ทั้งๆที่ได้ที่นั่งเป็นอันดับหนึ่งในรัฐสภา

มีแชล บาร์นีเยจะแถลงนโยบายต่อรัฐสภาในวันที่ 1 ตุลาคม จากนั้นเขามีหน้าที่เร่งด่วนในการส่งแผนงบประมาณไปยังสมัชชาแห่งชาติโดยมุ่งเป้าไปที่การควบคุมการขาดดุลงบประมาณและหนี้สินของฝรั่งเศสที่พุ่งสูงขึ้น ซึ่งเป็นด่านทดสอบสำคัญครั้งแรกของรัฐบาลชุดใหม่

ก่อนที่บาร์นีเยจะได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้ารัฐบาล ฝรั่งเศสกำลังเข้าใกล้สถานะละเมิดกฎงบประมาณของสหภาพยุโรป โดยคาดการณ์ไว้ว่าการขาดดุลภาคสาธารณะของฝรั่งเศสจะสูงถึง 5.6% ของจีดีพีในปีนี้ และสูงเกิน 6% ในปี 2568 ขณะที่กฎของสหภาพยุโรปกำหนดเพดานการขาดดุลไว้ที่ 3% เท่านั้น

บาร์นีเยกล่าวในแถลงการณ์เมื่อวันพุธว่า "ผมค้นพบว่าสถานการณ์งบประมาณของประเทศนั้นเลวร้ายมาก และสถานการณ์นี้ต้องการมากกว่าแค่คำแถลงที่สวยหรู"

ทั้งนี้ กำหนดการประชุมคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ครั้งแรกจะเริ่มในช่วงบ่ายวันที่ 23 กันยายน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top