Tuesday, 10 June 2025
WORLD

แจกโบนัส 1.7 แสน ดึงครีเอเตอร์ทิ้ง 'TikTok' มาร่วมเฟซบุ๊ก-อินสตาแกรม

เมื่อวันที่ (21 ม.ค. 68) เมตา (Meta) ประกาศแผนการแจกโบนัสด้วยเป้าหมายดึงดูดใจนักสร้างเนื้อหาออนไลน์ ซึ่งเรียกกันว่า “ครีเอเตอร์” (creator)  จากติ๊กต็อก (TikTok)

รายงานระบุว่าครีเอเตอร์จากติ๊กต็อกที่มีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์จะได้รับโบนัสสูงถึง 5,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.7 แสนบาท) ในระยะเวลา 3 เดือน สำหรับการโพสต์รีล (Reel) หรือคลิปวิดีโอสั้นบนเฟซบุ๊กและอินสตาแกรม

นอกจากนั้นครีเอเตอร์จากติ๊กต็อกเหล่านี้ยังจะเข้าถึงโปรแกรมสร้างรายได้จากคอนเทนต์บนเฟซบุ๊ก (Facebook Content Monetization) ซึ่งช่วยให้มีรายได้จากการโพสต์วิดีโอ รูปภาพ และข้อความบนเฟซบุ๊ก

ขณะเดียวกันเมตาจะมอบข้อเสนอด้านเนื้อหาแก่ครีเอเตอร์จากติ๊กต็อกบางส่วนเพื่อช่วยพวกเขาเพิ่มจำนวนผู้ชมบนอินสตาแกรมและเฟซบุ๊ก ทั้งยังจะปรับปรุงรูปแบบของรีลให้ดึงดูดใจครีเอเตอร์จากติ๊กต็อกมากขึ้นด้วย

อนึ่ง เมื่อวันจันทร์ (20 ม.ค.) โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อชะลอการแบนติ๊กต็อกเป็นระยะเวลา 75 วัน และแจ้งกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ ไม่ให้บังคับใช้บทลงโทษของการแบน

อย่างไรก็ดี แอปพลิเคชันติ๊กต็อกยังคงไม่ได้กลับมาอยู่ในร้านค้าแอปพลิเคชันของแอปเปิล (Apple) และกูเกิล (Google)

ผุดโปรเจ็กต์ 'Stargate' ทุ่ม 5 แสนล้านดอลลาร์ ดันสหรัฐฯ สู่ศูนย์กลาง AI โลก

(22 ม.ค. 68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่นเกี่ยวกับแผนการลงทุนครั้งใหญ่ในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสนับสนุนการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยมีบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง SoftBank จากญี่ปุ่น, Oracle ผู้เชี่ยวชาญด้านคลาวด์ และ OpenAI ผู้พัฒนา ChatGPT เข้าร่วมโครงการสำคัญนี้

โครงการที่มีชื่อว่า "Stargate" จะเริ่มต้นด้วยการลงทุนเบื้องต้นไม่น้อยกว่า 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามที่ทรัมป์กล่าวในคำแถลงที่ทำเนียบขาว “นี่เป็นการแสดงความเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศของเราอย่างเต็มที่” เขากล่าวหลังจากเปิดตัวโครงการนี้ ซึ่งเกิดขึ้นเพียงหนึ่งวันหลังจากเขาเริ่มดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่สอง

บุคคลสำคัญที่เข้าร่วมการประกาศนี้ได้แก่ แซม อัลท์แมน ซีอีโอของ OpenAI, มาซาโยชิ ซอน ประธาน SoftBank และแลร์รี เอลลิสัน ผู้ก่อตั้ง Oracle ซึ่งต่างก็มีบทบาทสำคัญในโครงการดังกล่าว โดยมาซาโยชิ ซอน ได้ระบุว่า Stargate จะมีการลงทุนเพิ่มขึ้นในช่วง 4 ปีข้างหน้า โดยอาจสูงถึง 500 พันล้านดอลลาร์

การร่วมทุนนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ทั่วโลกกำลังเร่งพัฒนาความสามารถด้านการประมวลผลของ AI รวมถึงการจัดหาพลังงานไฟฟ้าที่จำเป็นต่อการสนับสนุนเทคโนโลยีใหม่ ๆ ทรัมป์กล่าวว่า Stargate จะเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งในเชิงกายภาพและดิจิทัล เช่น ศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อรองรับการเติบโตของ AI รุ่นถัดไป

OpenAI ยังได้โพสต์ในแพลตฟอร์ม X ระบุว่าโครงการนี้จะส่งเสริมการสร้างอุตสาหกรรมใหม่ในสหรัฐฯ และสนับสนุนความมั่นคงแห่งชาติของอเมริกาและพันธมิตร โครงการ Stargate จะมีพันธมิตรสำคัญอย่าง SoftBank และ OpenAI โดย SoftBank รับผิดชอบด้านการเงิน และ OpenAI ดูแลด้านปฏิบัติการ

อีกทั้งยังมีการเปิดเผยว่า MGX ซึ่งเป็นกองทุนเทคโนโลยีจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จะเข้าร่วมเป็นนักลงทุนรายสำคัญ ขณะที่บริษัทชั้นนำอย่าง Arm, Microsoft, NVIDIA, Oracle และ OpenAI จะทำหน้าที่เป็นพันธมิตรเทคโนโลยีเริ่มต้นของโครงการ

โครงการนี้จะเริ่มต้นในรัฐเท็กซัส และกำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาสถานที่เพิ่มเติมทั่วประเทศเพื่อขยายวิทยาเขตและโครงสร้างพื้นฐาน ตามที่ OpenAI กล่าว เท็กซัสได้กลายเป็นจุดหมายปลายทางใหม่สำหรับการลงทุนด้านเทคโนโลยีแทนที่แคลิฟอร์เนียในหลายกรณี

ในงานประกาศดังกล่าว ผู้บริหารชั้นนำทั้งสามยังได้กล่าวขอบคุณทรัมป์ โดยแซม อัลท์แมน กล่าวว่า “เราจะไม่มีวันทำได้หากไม่มีการสนับสนุนจากคุณ” ขณะที่เอลลิสันย้ำถึงศักยภาพของ AI ในการพัฒนาด้านการแพทย์ เช่น การตรวจพบมะเร็งระยะเริ่มต้นจากการตรวจเลือด

หุ้นของ SoftBank ในตลาดโตเกียวพุ่งขึ้นกว่า 8% หลังมีการประกาศข่าวนี้

โครงการ Stargate ยังเกิดขึ้นเพียงหนึ่งวันหลังจากพิธีสาบานตนรับตำแหน่งของทรัมป์ ซึ่งมีผู้นำในแวดวงเทคโนโลยีระดับโลกเข้าร่วม เช่น ทิม คุก ซีอีโอของ Apple, ซันดาร์ พิชัย ซีอีโอของ Google, มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของ Meta และเจฟฟ์ เบโซส ซีอีโอของ Amazon

นอกจากนี้ ในวันจันทร์ที่ผ่านมา ทรัมป์ได้ลงนามยกเลิกคำสั่งประธานาธิบดีจากสมัยโจ ไบเดน ซึ่งกำหนดมาตรการควบคุมการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ การเพิกถอนดังกล่าวส่งผลให้สหรัฐฯ สามารถพัฒนา AI ได้โดยไม่มีข้อจำกัดในระดับประเทศ แม้ว่าบางรัฐอาจมีกฎเกณฑ์เฉพาะของตนเองก็ตาม

เมียนมาโบ้ยความผิด 'ชาติเพื่อนบ้าน' ปราบแก๊งสแกมเมอร์ไม่ได้ ทำชายแดนรุนแรงขึ้น

(22 ม.ค.68) สำนักข่าว Irrawaddy รายงานว่า ภายใต้แรงกดดันจากจีนที่ต้องการให้เมียนมาดำเนินการปราบปรามปัญหาแก๊งหลอกลวงออนไลน์ตามแนวชายแดน รัฐบาลทหารเมียนมาได้กล่าวหาว่าเป็นความผิดของประเทศเพื่อนบ้านและกลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธ ที่ทำให้ไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้สำเร็จ

รัฐบาลทหารเมียนมาออกแถลงการณ์เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ระบุว่า ศูนย์ปฏิบัติการหลอกลวงออนไลน์ที่ตั้งอยู่ตามแนวชายแดนได้รับการสนับสนุนด้านไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ตจากประเทศเพื่อนบ้าน พร้อมทั้งกล่าวว่า มีองค์กรอาชญากรรมที่ดำเนินการในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งยังได้รับอาวุธ กระสุน และวัสดุก่อสร้างจากประเทศเพื่อนบ้าน ถึงแม้จะไม่ได้ระบุชื่อประเทศโดยตรง แต่มีการคาดการณ์ว่าเป็นประเทศไทย

รัฐบาลเมียนมาขอความร่วมมือจากประเทศเพื่อนบ้าน ในแถลงการณ์ รัฐบาลทหารเมียนมาอ้างว่า แก๊งหลอกลวงตามแนวชายแดนดำเนินการโดยชาวต่างชาติจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งจำเป็นต้องมีความร่วมมือร่วมกันในการปราบปรามการหลอกลวงออนไลน์ โดยระบุว่า ที่ผ่านมารัฐบาลเมียนมาได้จับกุมชาวต่างชาติ 55,711 ราย ส่วนใหญ่เป็นชาวจีน ฐานเกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงออนไลน์และได้ส่งตัวกลับประเทศต้นทางแล้ว

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลทหารเมียนมายอมรับว่าไม่สามารถควบคุมพื้นที่ที่แก๊งเหล่านั้นตั้งอยู่ได้ เนื่องจากสถานการณ์ไม่มั่นคง พร้อมกล่าวหากลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธต่างๆ ว่าพัวพันกับปฏิบัติการของแก๊งเหล่านั้น

อย่างไรก็ตาม ในแถลงการณ์ดังกล่าวไม่ได้มีการกล่าวถึงนายซอ ชิต ทู หัวหน้ากองกำลังพิทักษ์ชายแดนรัฐกะเหรี่ยง (BGF) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลทหารเมียนมาและได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่รับหน้าที่ดูแลบ่อนพนันและแก๊งฉ้อโกงออนไลน์ในเมืองเมียวดี รัฐกะเหรี่ยง บริเวณชายแดนไทย-เมียนมา โดยได้รับการคุ้มครองจากรัฐบาลเมียนมา และหลายประเทศ เช่น อังกฤษ สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป ได้ใช้มาตรการคว่ำบาตรต่อนายซอ

ในขณะที่เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติเมียนมา (NUG) สหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) และกลุ่มสนับสนุนประชาธิปไตยแห่งสหพันธรัฐ ซึ่งเป็นฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหาร ได้ออกแถลงการณ์ร่วมกัน โดยระบุว่า กองกำลัง BGF ที่สนับสนุนรัฐบาลทหาร รวมถึงกลุ่มพันธมิตรติดอาวุธเป็นผู้รักษาความปลอดภัยให้แก่แก๊งหลอกลวงออนไลน์บริเวณชายแดนไทย-เมียนมา และได้ประกาศความตั้งใจที่จะดำเนินการป้องกันไม่ให้เมียนมากลายเป็นศูนย์กลางของการฉ้อโกงออนไลน์ที่ส่งผลกระทบทั่วโลก พร้อมเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น จีน อินเดีย บังกลาเทศ ลาว และไทย ร่วมมือในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ

ที่เมืองเมียวดี ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าชายแดนสำคัญระหว่างเมียนมาและไทย ถูกขนานนามว่าเป็นแหล่งรวมของแก๊งหลอกลวงออนไลน์ที่ดำเนินการโดยกลุ่มอาชญากรรมชาวจีน โดยมีจุดสำคัญในเมืองชเวก๊กโก่และ KK Park ซึ่งเป็นศูนย์รวมของอาชญากรรมข้ามชาติ ทั้งการหลอกลวงออนไลน์และการค้ามนุษย์ รวมถึงการบังคับใช้แรงงานและการทรมาน

ตั้งแต่เกิดการรัฐประหารในปี 2021 ศูนย์หลอกลวงออนไลน์ตามแนวชายแดนได้ผุดขึ้นมากมาย โดยหลายกลุ่มย้ายฐานจากรัฐฉานตอนเหนือมายังเมียวดี หลังจากที่รัฐบาลจีนและรัฐบาลทหารเมียนมาได้บุกปราบปรามแก๊งอาชญากรเหล่านี้

ชื่อของเมืองเมียวดีได้รับความสนใจอีกครั้งในเดือนที่ผ่านมา หลังจากมีรายงานของกรณีซิงซิง ดาราจีนที่ถูกล่อลวงมายังประเทศไทยก่อนถูกแก๊งค้ามนุษย์ข้ามชายแดนหลอกไปบังคับใช้แรงงานในศูนย์หลอกลวงออนไลน์ เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบให้นักท่องเที่ยวชาวจีนยกเลิกการจองทัวร์นมายังประเทศไทย และสถานทูตจีนได้ออกประกาศเตือนการเดินทาง ขณะที่หวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีนได้เรียกร้องให้ประเทศสมาชิกอาเซียนร่วมมือในการปราบปรามการฉ้อโกงข้ามชายแดน

ก่อนหน้านี้  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและการสื่อสารของรัฐบาลทหารเมียนมา นายเมีย ทุน อู ได้เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีดิจิทัลอาเซียนในกรุงเทพฯ และให้คำมั่นที่จะร่วมมือกับสมาชิกอาเซียนในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติอย่างเต็มที่

'จีน-สหรัฐฯ' ไม่ขัด หากเศรษฐีมะกันซื้อหุ้น TikTok 50% แต่ต้องพร้อมแบ่งผลประโยชน์ให้รัฐบาล

(22 ม.ค. 68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยว่า เขายินดีให้อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีชื่อดังที่สนับสนุนเขา หรือแลร์รี เอลลิสัน ประธานบริษัท Oracle เข้าซื้อกิจการ TikTok โดยผ่านการร่วมทุนกับรัฐบาลสหรัฐฯ  

ทรัมป์กล่าวที่ทำเนียบขาวเมื่อวันอังคาร (21 ม.ค. 68) ว่า “ผมมีสิทธิ์ที่จะทำข้อตกลงนี้ สิ่งที่ผมจะพูดคือ ซื้อเลย แล้วแบ่งผลประโยชน์ครึ่งหนึ่งให้กับสหรัฐฯ เราจะอนุญาต และคุณก็จะมีพันธมิตรที่ยอดเยี่ยม”  

รายงานจากบลูมเบิร์กระบุว่า TikTok ได้ระงับการให้บริการชั่วคราวในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ก่อนที่ทรัมป์จะลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเมื่อวันจันทร์ (20 มกราคม) ซึ่งเป็นวันแรกที่เขาเข้ารับตำแหน่ง เพื่อเลื่อนการแบน TikTok ออกไป 75 วัน  

อย่างไรก็ตาม ByteDance บริษัทแม่ของ TikTok ยังคงปฏิเสธที่จะขายกิจการ แม้ว่าจะมีแรงกดดันจากคำตัดสินของศาลฎีกาและการปิดตัวชั่วคราวของ TikTok ที่อาจทำให้บริษัทต้องพิจารณาขายใหม่  

ทรัมป์ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “คุณมีทรัพย์สินที่อาจไม่มีมูลค่าเลย หรือมีมูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์ ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับว่าสหรัฐฯ จะอนุญาตให้ดำเนินกิจการต่อหรือไม่”  

มีรายงานว่านักลงทุนชาวอเมริกันหลายกลุ่มต่อคิวรอเข้าซื้อกิจการ TikTok รวมถึงเจสซี ทินส์ลีย์ ผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยี, มิสเตอร์บีสต์ คอนเทนต์ครีเอเตอร์ชื่อดัง, แฟรงก์ แมคคอร์ต อดีตเจ้าของทีมลอสแอนเจลิสดอดเจอร์ส และเควิน โอเลียรี นักลงทุนจากรายการ Shark Tank 

ท่าทีของทรัมป์สอดคล้องกับทางปักกิ่งโดยเว็บไซต์เซาธ์ไชน่ามอร์นิงโพสต์ รายงานว่า จีนไม่ขวางการซื้อกิจการ แต่ควรเป็นเรื่องที่บริษัทต่างๆ ตัดสินใจเองอย่างอิสระ  

เหมา หนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีนกล่าวเมื่อวันจันทร์ว่า “เรายึดมั่นว่าการดำเนินการต่างๆ ของบริษัทควรเป็นไปตามหลักการตลาดอย่างเสรี และหากบริษัทจีนมีส่วนเกี่ยวข้อง ก็ควรปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับของจีน”  

โฆษกจีนยังชี้ให้เห็นว่า TikTok ได้ดำเนินกิจการในสหรัฐฯ มาเป็นเวลาหลายปี และได้รับความนิยมจากผู้ใช้ชาวอเมริกัน พร้อมเรียกร้องให้สหรัฐฯ จัดสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปิดกว้าง ยุติธรรม และไม่เลือกปฏิบัติสำหรับธุรกิจจากทุกประเทศ  

ทรัมป์ขู่!! หากปูตินเมินเจรจายุติขัดแย้งยูเครน เตรียมเจอมาตรการคว่ำบาตรสุดโหด

(22 ม.ค.68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ กล่าวถึงสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ดำเนินมายาวนานเข้าสู่ปีที่ 3 โดยระบุว่า หากประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ปฏิเสธการเข้าร่วมเจรจาเพื่อยุติสงคราม รัฐบาลสหรัฐอาจพิจารณาขยายมาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติมต่อรัสเซีย

ทรัมป์ชี้ว่า การที่ปูตินยังไม่บรรลุข้อตกลงสันติภาพถือเป็นการสร้างความเสียหายให้กับรัสเซียเอง และกระตุ้นให้ปูตินเข้าร่วมกระบวนการเจรจาโดยเร็ว เพราะหากต้องเผชิญมาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติม เศรษฐกิจของรัสเซียที่อ่อนแอจากผลกระทบของสงครามจะได้รับความเสียหายหนักขึ้นไปอีก

ในขณะเดียวกัน ปูตินแสดงความชื่นชมต่อความตั้งใจของทรัมป์ที่จะหลีกเลี่ยงการนำโลกเข้าสู่ความเสี่ยงของสงครามโลกครั้งที่ 3 และได้แสดงความยินดีกับการเข้ารับตำแหน่งของทรัมป์ในฐานะประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่

เกี่ยวกับแนวทางการยุติสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน ปูตินเน้นย้ำว่า การหยุดยิงชั่วคราวไม่ใช่ทางออกที่ยั่งยืน เพราะอาจเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายรวบรวมกำลังพลกลับมาอีกครั้ง แต่ควรมุ่งสู่ 'ข้อตกลงสันติภาพระยะยาว' บนพื้นฐานของการเคารพต่อ 'ผลประโยชน์อันชอบธรรม' ของประชาชนในพื้นที่ขัดแย้ง

ในอีกด้านหนึ่ง ประธานาธิบดีปูตินได้ต่อสายตรงพูดคุยกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ในการหารือแบบทวิภาคี โดยการพูดคุยดังกล่าวเกิดขึ้นไม่กี่ชั่วโมงหลังจากการแถลงการณ์ของทรัมป์ เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นจากนโยบายของผู้นำสหรัฐคนใหม่

อันวาร์วิจารณ์ไบเดนมัวแต่สนใจยูเครน จีนรับอานิสงส์ แผ่อิทธิพลอาเซียนมากขึ้น

(21 ม.ค.68) นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ของมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียนประจำปีนี้ ได้กล่าวแสดงความคิดเห็นต่อไฟแนนเชียลไทมส์ โดยแสดงความเห็นว่า สหรัฐฯ มุ่งเน้นความสำคัญไปที่สงครามในยูเครนมากจนทำให้ความสนใจต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ลดลง "บางทีพวกเขาอาจจะมุ่งเน้นไปที่ยุโรปก็ไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ๆ คือพวกเขาให้ความสำคัญกับภูมิภาคนี้(อาเซียน)น้อยลง ยกเว้นแค่คำแถลงนโยบายต่างประเทศทั่วไป" นายกอันวาร์กล่าว 

แม้นายกรัฐมนตรีมาเลเซียจะไม่ได้กล่าวถึงตัวบุคคล แต่เขากล่าวถึงรัฐบาลสหรัฐในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโจ ไบเดน โดยอันวาร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ความละเลยของสหรัฐฯ ต่อความสัมพันธ์กับอาเซียนทำให้สหรัฐฯ สูญเสียพื้นที่ให้กับจีนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ "ที่ผ่านมาอาเซียนเราความร่วมมือกับสหรัฐฯ เป็นอย่างดีแต่พวกเขาก็ไม่สามารถเข้ามามีส่วนร่วมในภูมิภาคนี้เหมือนที่เคยเป็นในอดีต ขณะที่จีนมีท่าทีที่เป็นบวกมากขึ้น"

เขายังกล่าวชื่นชมการเยือนของเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากรัฐบาลจีนที่มาเลเซีย โดยว่ามาเลเซียเข้ารับตำแหน่งประธานอาเซียนในปีนี้ "จีนให้การเข้าถึงที่ดีกว่า คุณสามารถพบปะพวกเขาได้ง่าย เราส่งรัฐมนตรีไปที่นั่น พวกเขาส่งรัฐมนตรีมา" 

นายกรัฐมนตรีมาเลเซียยังปกป้องการตัดสินใจของประเทศในภูมิภาคในการร่วมมือกับจีนอย่างสร้างสรรค์ และยินดีต้อนรับการลงทุนของจีนในโครงสร้างพื้นฐาน "มันเป็นเรื่องที่ดีกว่าสำหรับเศรษฐกิจขนาดเล็กอย่างมาเลเซียที่จะขยายความสัมพันธ์กับจีน" นายกรัฐมนตรีมาเลย์กล่าว

เมื่อถูกถามถึงความจำเป็นในการเข้มงวดกับจีนภายใต้การเป็นประธานอาเซียนของมาเลเซีย เขากล่าวว่า "ทำไมเราต้องเข้มงวด? เราไม่เห็นด้วยกับสหรัฐฯ ในหลายเรื่องด้านนโยบายต่างประเทศ แต่เราก็ต้องการให้พวกเขาเป็นพันธมิตรที่สำคัญ" และ "กับจีน ผมไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องของการเข้มงวดกับประเทศเพื่อนบ้านที่แข็งแกร่งและใหญ่"

นายกรัฐมนตรีมาเลเซียยังให้ความเห็นถึงกรณีกำแพงภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ โดยมั่นใจว่า "เหตุผลจะชนะในที่สุด" และกล่าวว่า "มีบริษัทใหญ่จากสหรัฐฯ ที่มีความสนใจและการพึ่งพาการค้าต่างประเทศและการลงทุนจำนวนมาก"

ในแง่การบาลานซ์ระหว่างมหาอำนาจ นายกรัฐมนตรีมาเลเซียยังกล่าวถึงความตั้งใจที่จะ 'รักษาความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับรัสเซีย' ในระหว่างการเป็นประธานอาเซียน

ทรัมป์ไม่เอ่ยถึง ‘ยูเครน’ ในสปีชรับตำแหน่ง จับตา 'ปูติน' ส่งสัญญานพร้อมเจรจา

(21 ม.ค. 68) โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งเมื่อวันจันทร์ (20 ม.ค.) ไม่ได้เอ่ยถึงความขัดแย้งในยูเครนโดยตรงระหว่างกล่าวสุนทรพจน์ ขณะวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย แสดงความเต็มใจจะร่วมมือกับรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดใหม่ในการจัดการความขัดแย้งดังกล่าว

“สหรัฐฯ เคยมีรัฐบาลที่จัดสรรเงินเพื่อปกป้องพรมแดนของต่างประเทศแต่ปฏิเสธจะปกป้องผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวอเมริกันหรือประชาชนของตัวเอง” ส่วนหนึ่งของสุนทรพจน์จากทรัมป์ที่เหมือนพาดพิงถึงนโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของโจ ไบเดน ซึ่งสนับสนุนยูเครนเพื่อชัยชนะของยูเครนในความขัดแย้งยูเครน-รัสเซีย

ทรัมป์ระบุว่าสหรัฐฯ จะวัดความสำเร็จทั้งด้วยชัยชนะในการสู้รบและการยุติสงครามที่ไม่เคยเข้าไปข้องเกี่ยว โดยทรัมป์นั้นกล่าวอ้างหลายครั้งว่าความขัดแย้งเรื้อรังในยูเครน ซึ่งเริ่มต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2022 จะไม่เกิดขึ้นตั้งแต่แรก หากเขาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเวลานั้น

บรรดานักวิเคราะห์ของสื่อมวลชนสหรัฐฯ พากันขบคิดหาสาเหตุว่าทำไมทรัมป์ดูเหมือนจงใจไม่เอ่ยถึงยูเครนโดยตรง ทั้งที่เขาเคยคุยโวก่อนหน้านี้ว่าเขาจะยุติความขัดแย้งในยูเครนโดยเร็วหลังจากเข้ารับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ โดยเมื่อไม่นานนี้ ทรัมป์เผยว่ามีการเตรียมการประชุมหารือระหว่างเขากับปูติน

แถลงการณ์จากทำเนียบเครมลินของรัสเซียระบุว่าปูตินกล่าวระหว่างการประชุมกับสมาชิกสภาความมั่นคงแห่งรัสเซียเมื่อวันจันทร์ (20 ม.ค.) ว่ารัสเซียไม่เคยปฏิเสธการเจรจาและเปิดกว้างสู่ความร่วมมือกับรัฐบาลสหรัฐฯ มาโดยตลอด พร้อมใช้โอกาสนี้แสดงความยินดีกับทรัมป์ที่เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ

กับภารกิจพิชิตยอด Yasa Thak เชื่อม 65 ปีสายใยไทย-เนปาล พร้อมเสนอตั้งชื่อ 'Echo Peak'ตามเพลงพระราชนิพนธ์ 'แว่ว'

เมื่อวันที่ (20 ม.ค. 68) ที่ประชุมห้องบัวแก้ว กระทรวงการต่างประเทศ นางสาวศศิริทธิ์ ตันกุลรัตน์ อธิบดีกรมเอเชียใต้ ตะวันออกกลางและแอฟริกา ได้จัดเสวนาถ่ายทอดประสบการณ์เรื่อง  'ก้าวสู่ยอดหิมาลัย เชื่อมสายใยไทย-เนปาล' โดยในงานนี้มี พณฯ ธัน พหาทุร โอลิ เอกอัครราชทูตเนปาลประจำประเทศไทย เข้าร่วมเป็นเกียรติในงาน

สำหรับงานเสวนาถ่ายทอดประสบการณ์เรื่อง  “ก้าวสู่ยอดหิมาลัย เชื่อมสายใยไทย-เนปาล” ได้มีการแบ่งปันประสบการณ์ของ 'หนึ่ง วิทิตนันท์ โรจนพานิช' คนไทยคนแรกที่พิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ ถึงประสบการณ์น่าตื่นเต้นของการพิชิตยอดเขา Yasa Thak ประเทศเนปาล เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 2567  อันเป็นส่วนหนึ่งในกโอกาสร่วมสนับสนุนในโอกาส ครบรอบ 65 ปี ความสัมพันธ์ ไทย-เนปาล 

นางสาวศศิริทธิ์ ตันกุลรัตน์ กล่าวเปิดงานเสวนา 'ก้าวสู่ยอดหิมาลัย เชื่อมสายใยไทย - เนปาล' ว่าในปีนี้ ประเทศไทยและเนปาล จะครบรอบความสัมพันธ์ทางการทูต 65 ปี โดยทั้งสองประเทศ มีสายใยเชื่อมโยงกันผ่านทางพุทธศาสนาและวัฒนธรรมมาอย่างยาวนาน รวมถึงน้ำใจคนไทยที่ช่วยเหลือประเทศเนปาล จากผลกระทบของเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อ 10 ปีก่อน ก็สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นในระดับประชาชนของทั้งสองประเทศได้เป็นอย่างดี

ขณะที่ นายวิทิตนันท์ โรจนพานิช นายกสมาคมมิตรภาพไทย - เนปาล ชาวไทยผู้มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประเทศเนปาลมาอย่างยาวนาน ได้เปิดเผยถึงแรงบันดาลใจในการพิชิตเอเวอร์เรสต์เมื่อปี 2551 นั้น  เพื่อเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รวมถึงในปี 2567 ที่ได้พิชิตยอดเขายาซ่า ทัก (Yasa Thak) นั้น นอกจากจะเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เพื่อเชื่อมสัมพันธ์ไทย-เนปาลแล้ว ยังเพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว 

"ในชีวิตผมใช้ชีวิตโลดโผนมาตลอด ตั้งแต่ดำน้ำ ขับเครื่องบิน แต่ยังไม่เคยปีนเขา จนกระทั่งปีประมาณปี 2551 ได้มีโอกาสทำรายการโทรทัศน์ให้เวียดนาม จนสามารถพิชิตยอดเอเวอร์เรสต์ได้สำเร็จเมื่อ 22 พฤษภาคม 2551 ตอนนั้นผมรับหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์รายการ จึงอาศัยจังหวะนี้ขึ้นไปพร้อมกับนักปีนเขาจนสามารถพิชิตยอดเขาได้สำเร็จ เราก็คิดว่าในเมื่อขึ้นไปถึงยอดเขาสูงที่สุดในโลกได้แล้ว ก็อยากขึ้นไปชูพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวงรัชกาลที่ 9 บนยอดที่สูงที่สุดในโลกเพื่อป่าวประกาศพระเกียรติยศของพระองค์ท่าน" 

สำหรับภารกิจล่าสุดเมื่อปลายปี 2567 ที่ผ่านมาซึ่ง หนึ่ง วิทิตนันท์ เพิ่งพิชิตยอดเขาแห่งใหม่ เขาได้เผยเรื่องราวในภารกิจการพิชิตยอดเขา Yasa Thak ครั้งล่าสุดนี้ว่า "หลังจากที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จสวรรคตได้ราวปีเศษ ก็ยังมีความรู้สึกอยากปีนยอดเขาอีกยอดหนึ่งเพื่อรำลึกถึงพระองค์ท่าน เราก็อยากปีนยอดเขาที่ยังไม่เคยมีใครปีนพิชิตมาก่อน ในตอนนั้นผมก็นึกถึงประเทศเนปาล ซึ่งเป็นชาติที่เรารู้สึกผูกพันมากที่สุด จึงได้ขออนุญาตหน่วยงานท้องถิ่นของเนปาล ซึ่งได้รับความอนุเคราะห์เป็นอย่างดีจากสถานเอกอัคราชทูตเนปาลประจำประเทศไทย"

หนึ่ง วิทิตนันท์ เผยว่า ภายหลังที่สามารถพิชิตยอด Yasa Thak ได้สำเร็จเพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติในหลวงรัชกาลที่ 9 และ รัชกาลที่ 10 ตลอดจนสานสัมพันธ์ระหว่างไทย-เนปาล เขาได้ยื่นต่อ 'Nepal Mountaineering Association' เพื่อขอใช้สิทธิการพิชิตคนแรกเสนอตั้งชื่อยอดเขานี้ว่า 'Echo Peak' หรือ 'เสียงสะท้อน' เพื่อสะท้อนถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยกับเนปาล และสื่อถึงบทเพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ 41 'แว่ว' และยังเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ด้วย

"ตอนนี้อยู่ระหว่างการเสนอต่อ Nepal Mountaineering Association ในการตั้งชื่อยอดเขา 'Echo Peak' หรือ 'เสียงสะท้อน' ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างดำเนินการโดยคาดจะเสร็จสิ้นกระบวนการตั้งชื่อใหม่ภายในปีนี้"

หนึ่ง วิทิตนันท์  ยังเผยอีกว่า ในฐานะภาคประชาชน เขาอย่างเป็นส่วนหนึ่งในการเสริมความสัมพันธ์ไทย-เนปาล ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยเขาได้มองถึงความเป็นไปได้ในอนาคตที่จะขับเคลื่อนความสัมพันธ์ระหว่างสองชาติให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ทั้งด้านความเชื่อและวัฒนธรรมระหว่างกัน การเชื่อมโยงผ่านด้านการท่องเที่ยว 'ภูเขาในเนปาล และทะเลไทย' หรือด้านสิ่งแวดล้อม ในการร่วมกับสมาคมนักปีนเขาแห่งประเทศเนปาล ผลิตโดรนเพื่อเก็บขยะบนยอดเขาต่าง ๆ เพื่ออนุรักษ์ธรรมชาติ และนำขยะเหล่านั้นมาหมุนเวียนเพื่อสร้างประโยชน์ต่อไปได้ 

ทำท่ามือในงานฉลองทรัมป์ร คล้ายสัญลักษณ์นาซี

(21 ม.ค. 68) อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีชื่อดัง กำลังตกเป็นประเด็นดราม่าในโลกออนไลน์ หลังจากที่เขาทำท่าทางมือระหว่างกล่าวสุนทรพจน์ในงานฉลองการเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อวันจันทร์ที่ 20 มกราคม ซึ่งหลายคนได้เปรียบเทียบท่าทางนี้กับการทำความเคารพแบบนาซี (Sieg Heil) อย่างไรก็ตาม องค์กรต่อต้านการเหยียดชาวยิว (ADL) เชื่อว่า ท่าทางดังกล่าวอาจเกิดจากความกระตือรือร้นมากกว่าที่จะมีความหมายเชิงสัญลักษณ์แบบนั้น

ADL ได้โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์ม x ว่า “ท่าทางที่อีลอน มัสก์ ทำดูเหมือนจะเป็นการแสดงออกจากความตื่นเต้น ไม่ใช่ท่าทางการทำความเคารพแบบนาซี แต่เราเข้าใจว่าทำไมคนถึงรู้สึกไม่สบายใจ”

ท่าทางนี้เกิดขึ้นขณะที่มัสก์ขึ้นเวทีในสนามแคปิตอล วัน อารีนา กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อเฉลิมฉลองการกลับมาดำรงตำแหน่งของโดนัลด์ ทรัมป์ และได้รับเสียงเชียร์จากฝูงชน เขาโบกมือและตะโกนว่า “เยส!” จากนั้นพูดว่า “นี่ไม่ใช่แค่ชัยชนะธรรมดา แต่มันคือจุดเปลี่ยนของอารยธรรมมนุษย์ ขอบคุณทุกคนที่ทำให้มันเป็นจริง!” 

มัสก์กัดริมฝีปากและทำท่าขยายแขนขวา โดยมือขวายกขึ้นแตะที่หน้าอกซ้ายก่อนจะเหยียดแขนขวาออกไปข้างหน้าในท่าทางที่ฝ่ามือหันลงและนิ้วมือชิดกัน หลังจากนั้นเขาก็หันไปทำท่าทางเดียวกันกับฝูงชนที่อยู่ข้างหลัง พร้อมพูดว่า “ขอมอบหัวใจให้พวกคุณ เพราะพวกคุณคืออนาคต”

ท่าทางนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในโลกออนไลน์อย่างรวดเร็ว โดยหนังสือพิมพ์เยรูซาเลมโพสต์ได้ตั้งคำถามว่า “อีลอน มัสก์ทำท่าซีค ไฮล์ในพิธีสาบานตนของทรัมป์หรือไม่?”

มัสก์ได้ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหานี้ โดยโพสต์ข้อความในแพลตฟอร์มเอ็กซ์ว่า “พูดตรงๆ นะ พวกเขาต้องหาวิธีโจมตีที่ดีกว่านี้แล้ว ‘ทุกคนคือฮิตเลอร์’ มันเป็นมุกเก่าที่ไม่มีใครอยากได้ยิน”

หลังจากเสร็จสิ้นสุนทรพจน์ มัสก์ได้โพสต์คลิปวิดีโอส่วนหนึ่งจากสุนทรพจน์ผ่านช่องฟ็อกซ์นิวส์ บนแพลตฟอร์มเอ็กซ์ โดยตัดช่วงที่ทำท่าทางนั้นออกไป พร้อมกับข้อความว่า “อนาคตน่าสนใจจริงๆ”

บางส่วนในโลกออนไลน์ได้ออกมาปกป้องมัสก์ โดยชี้ว่าเขากำลังสื่อความหมายว่า “มอบหัวใจให้” และวิจารณ์โพสต์ที่ตีความไปในทางอื่น

ทั้งนี้ มัสก์เคยแสดงการสนับสนุนพรรค AfD (พรรคทางเลือกเพื่อเยอรมนี) ซึ่งเป็นพรรคขวาจัดที่ต่อต้านผู้อพยพและศาสนาอิสลาม โดยถูกหน่วยงานความมั่นคงของเยอรมนีระบุว่าเป็นกลุ่มที่มีลัทธิหัวรุนแรงฝ่ายขวา โดยเขาเพิ่งได้มีการสัมภาษณ์กับหัวหน้าพรรค AfD ผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของเขาเมื่อเดือนที่ผ่านมา

อดีตทูตอังกฤษเผยวิธีดีลกับ 'ทรัมป์' แนะทิ้งทุกทฤษฎีการทูต พร้อมหมัดเด็ดรับมือ

(21 ม.ค. 68) ในที่สุดโดนัลด์ ทรัมป์ ก็กลับเข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐสมัยที่สองอย่างเป็นทางการ ท่ามกลางการจับตาของบรรดาชาติเอเชียและตะวันตก ถึงการรับมือด้านนโยบายต่างๆ 

หนึ่งในประเทศพันธมิตรที่ใกล้ชิดสหรัฐที่สุดแต่ขณะนี้มีรัฐบาลที่มาจากคนละขั้วการเมืองคือ สหราชอาณาจักร ซึ่งนายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ จากพรรคแรงงาน ซึ่งมีแนวคิดฝ่ายซ้าย ขณะที่รีพับลิกันของทรัมป์ค่อนข้างมีนโยบายทางขวาจัด ส่งผลให้นายคิม ดาร์รอค (Kim Darroch) อดีตเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำสหรัฐฯ ระหว่างปี 2016 - 2019 ซึ่งเคยอยู่ในสมัยที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐสมัยแรกในปี 2017 ได้ออกมาให้คำแนะนำต่อ นายกรัฐมนตรีเคียร์ สตาร์เมอร์ ถึงแนวทางการรับมือต่อท่าทีของทรัมป์ในสมัยที่สอง

คิม ดาร์รอค ได้เขียนบทความแนะนำการรับมือของรัฐบาลอังกฤษภายใต้การนำของพรรคแรงงานผ่านเว็บไซต์เดอะการ์เดี้ยน โดยระบุว่า รัฐบาลอังกฤษควรทิ้งทุกตำราการทูตที่รู้มา เพื่อรับมือกับทรัมป์ 2.0 

ดาร์รอคแนะนำแนวทางสำคัญที่รัฐบาลอังกฤษควรใช้ในการจัดการกับการกลับมาของทรัมป์ โดยระบุว่า หากมีการพูดคุยแบบทวิภาคี ควรเน้นการพูดคุยที่กระชับ เข้าประเด็น และนำเสนอแนวคิดของสหราชอาณาจักรที่จะเป็นประโยชน์ต่อสหรัฐอเมริกา มากกว่าที่จะเน้นความสัมพันธ์แบบพิเศษระหว่างสองประเทศในแบบที่อังกฤษนิยมทำมาในอดีต

ดาร์รอค ยกตัวอย่างว่า หากจะพูดคุยเรื่องสหรัฐตั้งภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมของยุโรป ควรพูดคุยกับทรัมป์โดยชี้ให้เห็นถึงผลเสียที่อาจเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ก็อาจโน้มน้าวได้ง่ายขึ้น เช่น พูดถึงสินค้าอะไร ภาษีเท่าไร หากเก็บภาษีจะกระทบสหรัฐอย่างไร

ตามคำแนะนำของดาร์รอค หากไปบอกการขึ้นภาษีของสหรัฐจะทำร้ายเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าอย่างไร ทรัมป์จะไม่สนใจ คู่เจรจรต้องพยายามโน้มน้าวให้ทรัมป์เห็นว่าการขึ้นภาษีจะทำร้ายอเมริกาอย่างไรจึงจะได้ผล 

ดาร์รอค ยังแนะนำอีกว่า ในยุคทรัมป์ 2.0 ควรหลีกเลี่ยงการตอบโต้กับบรรดาผู้ใกล้ชิดทรัมป์ อาทิ หากเกิดประเด็นปะทะคารมกับอีลอน มักส์ ให้หลีกเลี่ยงการปะทะคารมผ่านโซเชียลมีเดีย โดยดาร์รอคชี้ว่าความคิดเห็นของมัสก์ส่วนใหญ่มาจากความโกรธภายในมากกว่าจะมีผลต่อการเมืองจริงจัง

อดีตทูตอังกฤษ ยังระบุว่า ทรัมป์เป็นคนไม่ชอบการพูดยาวเวิ่นเว้อ หากต้องการโน้มน้าวเขา ควรใช้วิธีการอธิบายให้ตรงประเด็นว่า แนวคิดของคุณจะเป็นประโยชน์ต่อเขาอย่างไร โดยเฉพาะการอธิบายว่าแนวคิดนี้จะช่วยผลักดันนโยบาย “America First” ได้อย่างไร

เขาแนะนำว่า ประธานาธิบดีทรัมป์เกลียดบทสนทนายืดยาว ถ้าคุณเริ่มพูดอะไรยืดเยื้อเมื่อไหร่ ทรัมป์จะแทรกตัดบทหรือไม่ก็เบือนหน้าหนีทันที แล้วอำนาจต่อรองก็จะหายไปทันที และหากคุณนำเสนอหลายข้อเสนอ ทรัมป์อาจไม่สนใจเลย แต่หากคุณยื่นข้อเสนอที่ไม่มากเกินไป และอธิบายถึงประโยชน์ที่เขาจะได้รับ ก็จะมีโอกาสสำเร็จ

ดาร์รอค ยังให้ความเห็นว่า ในยุคทรัมป์ 2.0  การทูตระหว่างประเทศที่มีความซับซ้อนจะไม่สามารถใช้ได้ในยุคนี้ ทรัมป์อาจจะเป็นสัญญาณของการฟื้นฟูแนวคิดแบบสร้าง "เขตอิทธิพล" เหมือนที่บรรดาชาติยุโรปเคยทำในในยุคศตวรรษที่ 19 กลับมาใช้ในยุคศตวรรษที่ 21

โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศถอนสหรัฐจากองค์การอนามัยโลก

(21 ม.ค.68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารหลายฉบับหลังจากเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่ง โดยหนึ่งในคำสั่งที่ทรัมป์ลงนามคือ ให้สหรัฐถอนตัวจากการเป็นสมาชิกองค์การอนามัยโลก ซึ่งเป็นหน่วยงานของสหประชาชาติที่ทำงานร่วมกับหน่วยงานรัฐบาลและพันธมิตรอื่น ๆ เพื่อปรับปรุงสุขภาพของประชาชนและชุมชนทั่วโลก โดยปัจจุบันอนามัยโลกมีชาติสมาชิกกว่า 124 ประเทศทั่วโลก

ทรัมป์เคยให้ความเห็นถึงประเด็นอนามัยโลกในครั้งหนึ่งว่า “จีนจ่าย 39 ล้านดอลลาร์ และเราจ่าย 500 ล้านดอลลาร์ ทั้งๆ ที่จีนเป็นประเทศที่ใหญ่กว่า ไม่ยุติธรรมเลย” โดยเขาพูดถึงค่าใช้จ่ายในการมีส่วนร่วมนั้นสูงเกินไปสำหรับสหรัฐฯ โดยบอกว่าสหรัฐฯ จ่ายเงินไปแล้ว 500 ล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุนองค์กร ในขณะที่จีนจ่ายเพียง 39 ล้านดอลลาร์เท่านั้น 

ทรัมป์ยังเคยกล่าวว่า กรณีอนามัยโลกเราต้องเจรจาเพิ่มเติม "พวกเขา (อนามัยโลก) ต้องการให้เรากลับมา ดังนั้นเมื่อเราถอนตัวจะรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น"

ทั้งนี้ ข้อมูลจากอนามัยโลก ณ ปี 2018-2019 ระบุว่า สหรัฐเป็นผู้บริจาคเงินให้อนามัยโลกมากถึง 893 ล้านดอลลาร์ ขณะที่จีนบริจาคให้ที่ 86 ล้านดอลลาร์ แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ปรากฏอมูลการบริจาคเงินในช่วงปี 2023-2024 ว่าทั้งสองชาติให้เงินอุดหนุนอนามัยโลกจำนวนเท่าใด

สหรัฐอเมริกาเข้าร่วมสมาชิกอนามัยโลก ครั้งแรกในปี 1948 โดยก่อนหน้านี้ทรัมป์ได้สั่งถอนการเข้าร่วมของทั้งประเทศในสมัยการดำรงตำแหน่งวาระแรกของเขาในปี 2020 และได้รับการคืนสถานะโดยอดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดนในปี 2021

จากข้อมูลของเว็บไซต์อนามัยโลก ระบุว่า "สหรัฐอเมริกามีบทบาทสำคัญในการสนับสนุน WHO ในการปกป้องและปรับปรุงสุขภาพของชาวอเมริกันและผู้คนทั่วโลก"

ทรัมป์ลงนามคำสั่ง เลื่อนแบน TikTok อีก 75 วัน

(21 ม.ค.68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อขยายระยะเวลาบังคับใช้คำสั่งแบนแอปพลิเคชัน TikTok ออกไปอีก 75 วัน จากกำหนดเดิมที่จะมีผลในวันที่ 19 มกราคม  

ตามรายงานจากรอยเตอร์ ทรัมป์ระบุว่า คำสั่งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ฝ่ายบริหารของเขามีเวลาเพิ่มเติมในการตัดสินใจเกี่ยวกับมาตรการที่เหมาะสมสำหรับจัดการกับ TikTok โดยเขากล่าวว่า “เราต้องใช้เวลาพิจารณาแนวทางที่ดีที่สุดสำหรับเรื่องนี้”  

นอกจากนี้ คำสั่งดังกล่าวยังสั่งการให้กระทรวงยุติธรรมส่งหนังสือถึงบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ เช่น แอปเปิ้ล (Apple) กูเกิล (Google) และออราเคิล (Oracle) ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับ TikTok เพื่อยืนยันว่า การดำเนินการของพวกเขาในช่วงเวลานี้จะไม่ถือว่าละเมิดกฎหมายหรือมีความผิดใด ๆ  

ทรัมป์ยังเสริมว่า การเลื่อนเวลาครั้งนี้ทำให้เขามีสิทธิ์ในการตัดสินใจว่าจะขายกิจการ TikTok ให้กับบริษัทอื่นหรือดำเนินการปิดตัวแอปพลิเคชันนี้ในอนาคต โดยเขาย้ำว่า “ผมต้องเป็นคนตัดสินใจในเรื่องนี้เอง”

เมียนมาลงนามข้อตกลงหยุดยิงกลุ่มโกก้าง จีนรับบทตัวกลางเจรจาลดความรุนแรง

(20 ม.ค. 68) รอยเตอร์รายงานว่า นางเหมา หนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน เปิดเผยว่า รัฐบาลเมียนมาและกองกำลังกบฏ MNDA (กองทัพพันธมิตรประชาธิปไตยแห่งเมียนมา) ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์โกก้างในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเมียนมา ได้ลงนามในข้อตกลงหยุดยิง โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 18 มกราคมที่ผ่านมา

ข้อตกลงนี้เกิดขึ้นหลังจากการเจรจาที่จัดขึ้นในนครคุนหมิง ประเทศจีน โดยจีนได้มีบทบาทสำคัญในการประสานงานและส่งเสริมการเจรจา โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนระบุว่า ทั้งสองฝ่ายได้แสดงความขอบคุณต่อจีนสำหรับความพยายามในการผลักดันกระบวนการสันติภาพในครั้งนี้

“การลดความรุนแรงในภาคเหนือของเมียนมาเป็นผลประโยชน์ร่วมกันสำหรับทุกฝ่าย ไม่เพียงแต่ในเมียนมา แต่ยังรวมถึงประเทศในภูมิภาค ซึ่งช่วยส่งเสริมความมั่นคงและการพัฒนาบริเวณชายแดนระหว่างจีนและเมียนมา” นางเหมากล่าว พร้อมยืนยันว่าจีนจะยังคงให้การสนับสนุนกระบวนการสันติภาพและการเจรจาต่อไป

MNDA ถือเป็นหนึ่งในกองกำลังชาติพันธุ์ที่มีบทบาทสำคัญในการสู้รบกับกองทัพรัฐบาลทหารเมียนมาในพื้นที่ที่กลุ่มชาติพันธุ์มองว่าเป็นดินแดนของตนเอง โดย MNDA ยังเป็นสมาชิกกลุ่มพันธมิตรสามภราดรภาพ ซึ่งรวมถึงกองทัพปลดปล่อยแห่งชาติตะอ้าง (TNLA) และกองทัพอาระกัน (AA) ที่เคยยึดพื้นที่สำคัญใกล้ชายแดนจีนได้ในช่วงปลายปี 2566

ข้อตกลงหยุดยิงครั้งนี้มีขึ้นไม่นานหลังจากการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนแบบไม่เป็นทางการ ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 19 มกราคม ณ เมืองลังกาวี ประเทศมาเลเซีย โดยนายโมฮัมหมัด ฮาซัน รัฐมนตรีต่างประเทศมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน ระบุว่า อาเซียนได้เรียกร้องให้รัฐบาลทหารเมียนมาหยุดยิงและเริ่มต้นการเจรจาโดยทันที พร้อมย้ำว่า การจัดการเลือกตั้งทั่วไปในสถานการณ์ปัจจุบันไม่ควรเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก แต่การยุติความรุนแรงควรเป็นเรื่องเร่งด่วนที่สุดในขณะนี้

ประหารชีวิตชายขับรถพุ่งชน คร่า 35 ชีวิต ปมเหตุอ้างไม่พอใจแบ่งสมบัติหลังหย่าเมีย

(20 ม.ค. 68) สถานีวิทยุโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีน (CCTV) รายงานว่า ศาลประชาชนชั้นกลางประจำเทศบาลนครจูไห่ มณฑลกวางตุ้ง ทางตอนใต้ของจีน ได้ยืนยันตัดสินโทษประหารชีวิตนายฟ่าน เว่ยฉิว วัย 62 ปี ผู้ก่อเหตุขับรถยนต์ส่วนบุคคลพุ่งชนประชาชนภายในศูนย์กีฬาเทศบาลนครจูไห่ เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2567 ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 35 ราย และบาดเจ็บอีก 43 ราย  

ระบุว่า นายฟ่านขับรถ SUV พุ่งชนประตูศูนย์กีฬา ก่อนเข้าไปขับชนประชาชนที่กำลังออกกำลังกายและเดินสัญจรในบริเวณดังกล่าว สื่อท้องถิ่นหลายแห่งเปิดเผยว่า แรงจูงใจของจำเลยมาจากความไม่พอใจเกี่ยวกับการแบ่งสินสมรสหลังหย่าร้างกับอดีตภรรยา  

ศาลประชาชนระบุว่า การกระทำดังกล่าวของจำเลยถือว่า "เลวร้ายอย่างยิ่ง" ทั้งในแง่แรงจูงใจและวิธีการก่อเหตุ อีกทั้งยังสร้างผลกระทบร้ายแรงและเป็นอันตรายอย่างมากต่อสังคม จึงตัดสินประหารชีวิตนายฟ่านเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา โดยคำตัดสินนี้ได้รับการยืนยันจากศาลฎีกาในกรุงปักกิ่ง  

ในปีที่ผ่านมา จีนเผชิญกับเหตุรุนแรงหลายครั้งที่ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก เช่น การขับรถพุ่งชนประชาชนและการใช้มีดไล่แทงผู้คน เหตุการณ์เหล่านี้เป็นความท้าทายสำคัญด้านความมั่นคงภายในของรัฐบาลจีนในการรักษาภาพลักษณ์ความปลอดภัยของประเทศ

จีนเผยแผน 2024-2035 ปฏิวัติระบบ เล็งเป็นศูนย์กลางการศึกษาระดับโลกใน 10 ปี

(19 ม. ค. 68) พรรคคอมมิวนิสต์จีนและคณะรัฐมนตรีจีนได้เผยแพร่ “แผนการสร้างประเทศด้านการศึกษา (2024-2035)” ซึ่งเป็นแผนการที่มีการกำหนดกลยุทธ์และแผนงานอย่างชัดเจนเพื่อสร้างประเทศที่มีระบบการศึกษาชั้นนำภายในปี 2035 ในช่วง 10 ปีข้างหน้า ด้านการศึกษาจะพัฒนาไปในทิศทางใด?

ตั้งแต่การปฏิรูปและเปิดประเทศมา พรรคคอมมิวนิสต์จีนและคณะรัฐมนตรีได้เผยแพร่เอกสารแผนการพัฒนาในรูปแบบของ “แผนการการศึกษา” ซึ่งในแต่ละช่วงเวลามีความสำคัญในการกำหนดทิศทางของกลยุทธ์ วันนี้แผนการสร้างประเทศด้านการศึกษา (2024-2035) ได้กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนสำหรับการสร้างประเทศที่มีระบบการศึกษาชั้นนำในโลก โดยมีการพัฒนาในหลายด้าน เช่น การพัฒนาคุณภาพการศึกษาที่สูงขึ้น การลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาและการขยายโอกาสการศึกษาที่หลากหลาย

李永智 (Li Yongzhi) ผู้อำนวยการของ 中国教育科学研究院 (China Academy of Educational Sciences) ได้กล่าวว่า การลดช่องว่างระหว่างพื้นที่ในเมืองและชนบทระหว่างโรงเรียนต่างๆ เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้การศึกษามีความสมดุลยิ่งขึ้น โดยมีเป้าหมายในการสร้างความสมดุลทั้งในระดับเทศบาลและระดับจังหวัด ด้านการศึกษาในระดับประถมและมัธยม จะเน้นการพัฒนาคุณภาพการศึกษาระดับประถม โดยมีการพัฒนาโครงสร้างการศึกษาระดับปฐมวัยในช่วงอายุ 2 ถึง 3 ปี ในระดับการศึกษาปริญญาตรี การขยายจำนวนการรับนักศึกษาในมหาวิทยาลัยและการขยายการผลิตบัณฑิตในสาขาต่างๆ ก็เป็นสิ่งที่รัฐบาลจีนจะมุ่งเน้น แผนการสองขั้นตอนเพื่อสร้างประเทศการศึกษา แผนการนี้ได้กำหนดแผนที่สองขั้นตอนเพื่อบรรลุเป้าหมาย

ภายในปี 2027 จะมีการบรรลุผลสำเร็จในระยะหนึ่งของการสร้างประเทศด้านการศึกษา
ภายในปี 2035 ประเทศจีนจะสร้างการศึกษาที่มีคุณภาพและมีระบบการศึกษาที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก การปฏิรูปที่มีเป้าหมายในการแก้ไขปัญหา แผนการนี้ยังได้เสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหาหลักที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาที่มีการขาดแคลนหรือไม่ตรงกับความต้องการของตลาด และการฝึกอบรมบุคลากรที่ไม่เพียงพอในหลายสาขา


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top