Saturday, 7 June 2025
WORLD

โฆษกเวียดนามโต้ไม่ทราบชัด รัฐบาล ‘ทรัมป์’ สั่งเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ห้ามร่วมงานวันชาติ แต่ย้ำเป็นวันแห่งมิตรภาพและการให้อภัยระหว่างสองชาติ

(25 เม.ย. 68) โฆษกกระทรวงการต่างประเทศเวียดนาม นางฟาม ถู ฮั่ง (Pham Thu Hung) เปิดเผยในงานแถลงข่าวเมื่อวันที่ 24 เมษายนว่า ไม่สามารถยืนยันความถูกต้องของรายงานจาก The New York Times ที่ระบุว่า รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคยสั่งห้ามเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เข้าร่วมงานเฉลิมฉลองครบรอบ 30 เมษายนของเวียดนาม โดยกล่าวเพียงว่า “ไม่ทราบว่าข้อมูลนี้ถูกต้องแค่ไหน”

อย่างไรก็ตาม โฆษกฯ ได้เน้นย้ำว่า วันปลดปล่อยภาคใต้และวันรวมชาติในวันที่ 30 เมษายน เป็นชัยชนะและความยุติธรรม ที่ยุติความสูญเสียอันเจ็บปวด ไม่เพียงแต่ของประชาชนเวียดนามแต่ยังรวมถึงครอบครัวชาวอเมริกันอีกเป็นจำนวนมากด้วย

ปีนี้ เวียดนามจัดงานเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีแห่งการปลดปล่อยภาคใต้ โดยมีผู้แทนระดับสูงจากพรรคการเมืองต่างๆ องค์กรระหว่างประเทศ ขบวนการสันติภาพ และมิตรประเทศเข้าร่วมตามคำเชิญของเวียดนาม รวมถึงการยืนยันเข้าร่วมจากจีน ลาว และกัมพูชา ที่เข้าร่วมขบวนพาเหรดในพิธีเฉลิมฉลอง

ทั้งนี้ เวียดนามและสหรัฐฯ ได้พัฒนาความสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตในปี 1995 จนกระทั่งยกระดับเป็นความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมในปี 2013 การเฉลิมฉลองวันที่ 30 เมษายนนี้ จึงเป็นสัญลักษณ์ของการให้อภัย การปรองดอง และการมุ่งสู่อนาคตร่วมกันของทั้งสองประเทศหลังผ่านพ้นความขัดแย้งในอดีต

‘ทรัมป์ จูเนียร์’ ขยี้ ‘เซเลนสกี’ ผ่านโซเชียล ย้ำผู้นำยูเครนไม่ต้องการสันติภาพ-ควรถอยเรื่องไครเมีย

เมื่อวันที่ (24 เม.ย.68) โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ (Donald Trump Jr.) บุตรชายของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้แชร์โพสต์ของเดวิด แซกส์ มหาเศรษฐีและที่ปรึกษาพิเศษด้านคริปโตของทรัมป์ ผ่านแพลตฟอร์ม X พร้อมแสดงความคิดเห็นว่า “สำหรับผู้ที่ยังไม่เข้าใจสถานการณ์นะ ก็คือ เซเลนสกี้ไม่ต้องการสันติภาพ”

โพสต์ต้นฉบับของแซกส์ระบุว่า ไครเมียควรเป็นข้อยอมถอยที่ง่ายที่สุดสำหรับยูเครน เนื่องจาก 1) ไครเมียอยู่ภายใต้การควบคุมของรัสเซียมานานกว่า 10 ปี 2) ประชากรส่วนใหญ่ในไครเมียเป็นชาวเชื้อสายรัสเซีย และผลสำรวจจากชาติตะวันตกชี้ว่าต้องการเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย 3) ยูเครนไม่มีศักยภาพทางทหารเพียงพอที่จะยึดไครเมียคืนมาได้

แซกส์ยังเสริมว่า “การโจมตีตอบโต้ครั้งใหญ่ของยูเครนที่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในช่วงฤดูร้อนปี 2023 ได้พิสูจน์ให้เห็นในเรื่องนี้อย่างชัดเจน หากเซเลนสกีไม่ยอมถอยแม้แต่เรื่องไครเมีย ก็หมายความว่าเขาจะไม่ยอมถอยเรื่องอื่นอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะบรรลุข้อตกลงสันติภาพกับเขา”

ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้กล่าวหาว่า เซเลนสกีเป็นตัวการที่ทำให้สงครามยืดเยื้อต่อไป โดยระบุว่า “เซเลนสกีเป็นคนที่ยากจะรับมือมากกว่ารัสเซียในการเจรจาสันติภาพ” และชี้ว่า “การที่เซเลนสกีปฏิเสธข้อเสนอของรัสเซียเกี่ยวกับไครเมีย ทำให้การเจรจาสันติภาพเป็นไปได้ยาก”

อย่างไรก็ตาม ยูเครนยังคงยืนกรานไม่ยอมรับการสูญเสียไครเมีย โดยชี้ว่าเป็นการละเมิดอธิปไตยและกฎหมายระหว่างประเทศ และการยอมจำนนจะเป็นแบบอย่างที่อันตรายต่อการรุกรานในอนาคต ​

ความสัมพันธ์สามชั่วคน!! ‘โจ ฮอร์น พัธโนทัย’ ทายาท ‘สิรินทร์ พัธโนทัย’ นักธุรกิจหนุ่มผู้ผ่านวัฒนธรรมจาก 2 ทวีป 2 ฝั่งของโลก

จากตำนานเชื่อมความสัมพันธ์ไทย-จีน ของตระกูล ‘พัธโนทัย’ ที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งแรกเริ่มสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน ‘สังข์ พัธโนทัย’ ได้ส่งลูกชาย ‘วรรณไว พัธโนทัย’ วัย 12 ปี และ ลูกสาว ‘สิรินทร์ พัธโนทัย’ ในวัย 12 ปี ไปอยู่ภายใต้การดูแลของท่านโจว เอินไหล อดีตนายกรัฐมนตรีของจีน ในฐานะ 'บุตรบุญธรรม' พร้อมกับปฏิบัติหน้าที่เป็น 'ทูตพิเศษ' ระหว่างจีนกับไทยไปในตัว

ก่อนที่ในอีก 10 ปีต่อมา คือปี 1975 ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีของไทยในขณะนั้นได้ลงนามสร้างสัมพันธ์ทางการทูตกับโจวเอินไหล นับเป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีนอย่างเป็นทางการ

จากความสัมพันธ์ของคนรุ่นก่อนส่งต่อและสืบทอดให้กับทายาทรุ่นที่ 3 ของตระกูลพัธโนทัย นั่นก็คือ ‘โจ ฮอร์น พัธโนทัย’ บุตรชายของสิรินทร์ นักธุรกิจหนุ่มมากความสามารถ ผู้ผ่านหลากหลายวัฒนธรรมจาก 2 ทวีปทั้งเอเชียและยุโรป โดยเกิดในลอนดอน กลับมาเติบโตในไทย ก่อนจะไปเรียนต่อที่ประเทศจีนตอนอายุ 10 ขวบ และเรียนต่อในโรงเรียนฝรั่งเศสจนจบระดับมัธยมศึกษา จากนั้นไปศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีและโทจากออกซฟอร์ดและเคมบริดจ์

ปัจจุบัน โจ ฮอร์น คือหนึ่งในนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก ในบทบาท กรรมการอำนวยการ บริษัท Strategy613 จำกัด ซึ่งบริษัทที่ปรึกษาให้กับองค์กรเอกชนขนาดใหญ่ และหน่วยงานของรัฐ ในการลงทุนทำธุรกิจระหว่างไทยกับจีน

นอกจากการเป็นนักธุรกิจระหว่างประเทศแล้ว โจ ฮอร์น ยังปฏิบัติภารกิจพิเศษที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นหน้าที่ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด นั่นก็คือ การเป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ที่ดีงามระหว่างไทยและจีน สืบทอดต่อจาก คุณตาสังข์ และคุณแม่สิรินทร์ ให้ยั่งยืนต่อไปตราบนานเท่านาน

‘สี จิ้นผิง’ ย้ำจีนเดินหน้าลดก๊าซเรือนกระจกทุกชนิด ภายในปี 2578 แม้เศรษฐกิจชะลอตัว-ไร้สหรัฐฯ ร่วมหารือในเวทีเจรจาสภาพภูมิอากาศ

(24 เม.ย. 68) ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีนให้คำมั่นต่อผู้นำโลกว่า จีนจะเพิ่มความเข้มงวดในการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในทศวรรษหน้า โดยจะประกาศเป้าหมายใหม่ภายในปี 2578 ที่ครอบคลุมทุกภาคส่วนเศรษฐกิจและทุกชนิดของก๊าซเรือนกระจก โดยแผนดังกล่าวเปิดเผยในการประชุมออนไลน์ของผู้นำโลก ซึ่งจัดโดยองค์การสหประชาชาติร่วมกับบราซิล เมื่อวันที่ 23 เมษายน โดยไม่มีสหรัฐอเมริกาเข้าร่วม

รายงานจากสื่อทางการจีน (CCTV) ระบุว่า จีนมีแผนจัดทำแผนลดการปล่อยก๊าซแห่งชาติฉบับใหม่เพื่อเสนอในการประชุม COP30 เดือนพฤศจิกายนนี้ ซึ่งจะรวมถึงการควบคุมก๊าซเรือนกระจกชนิดอื่น ๆ เช่น มีเทนและไนตรัสออกไซด์ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 17% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดของประเทศ

แม้เศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวและได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีระหว่างประเทศ แต่การที่ประธานาธิบดีสีออกมายืนยันแผนลดก๊าซในการประชุมระดับโลกครั้งนี้ ถือเป็นสัญญาณว่าจีนยังคงยึดมั่นในพันธสัญญาด้านสิ่งแวดล้อม ภายใต้ข้อตกลงปารีส แม้ขาดการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ที่ถอนตัวออกจากเวทีดังกล่าว

ทั้งนี้ จีนยังคงเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในโลก โดยในปี 2566 การปล่อยก๊าซของจีนคิดเป็นสัดส่วนถึงราว 30% ของการปล่อยก๊าซทั้งหมดทั่วโลก ทำให้ความเคลื่อนไหวล่าสุดของจีนเป็นที่จับตามองจากประชาคมโลกในการขับเคลื่อนเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

จีนปฏิเสธการเชื่อมโยงกับความขัดแย้ง ‘คลองปานามา’ พร้อมย้ำความสัมพันธ์อันดีกับลาตินอเมริกา บนหลักการเคารพซึ่งกันและกัน

กระทรวงการต่างประเทศจีนออกแถลงการณ์ตอบโต้สหรัฐฯ กรณีเชื่อมโยงจีนกับข้อขัดแย้งเกี่ยวกับคลองปานามา โดยระบุว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวไม่สามารถบดบังเป้าหมายที่แท้จริงของสหรัฐฯ ในการขยายอิทธิพลในภูมิภาคลาตินอเมริกาได้

แถลงการณ์ดังกล่าวมีขึ้นหลังสื่อปานามาวิพากษ์บทบาทของสหรัฐฯ ในอเมริกากลาง โดยเฉพาะแผนการตั้งฐานทัพถาวรและข้อกล่าวหาเรื่องการใช้ 'ภัยคุกคามจากจีน' เพื่อสนับสนุนนโยบายความมั่นคงของตน

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนย้ำว่า การบิดเบือนข้อมูลเกี่ยวกับจีนและคลองปานามาไม่สามารถปกปิดความต้องการของสหรัฐฯ ในการแทรกแซงภูมิภาคนี้ได้ พร้อมเรียกร้องให้สหรัฐฯ ยุติการขัดขวางความร่วมมือระหว่างจีนและประเทศในลาตินอเมริกา โดยจีนยึดมั่นในหลักความเสมอภาค ผลประโยชน์ร่วม และไม่แทรกแซงกิจการภายใน

ประธานาธิบดีปานามาได้ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาเรื่องการแทรกแซงจากจีน โดยยืนยันว่าไม่มีหลักฐานใด ๆ ที่บ่งชี้ถึงการกระทำดังกล่าว ขณะที่จีนสรุปว่า ความร่วมมือในภูมิภาคควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของการส่งเสริมเสถียรภาพ ความมั่นคง และการพัฒนาที่ยั่งยืน ผ่านความเข้าใจซึ่งกันและกัน

นาวิกโยธินสหรัฐฯ 2 นายถูกสอบสวนข่มขืนหญิงญี่ปุ่นในโอกินาวา ซ้ำเติมความไม่พอใจชาวบ้านในพื้นที่ต่อฐานทัพอเมริกัน

(24 เม.ย. 68) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สมาชิกหน่วยนาวิกโยธินสหรัฐฯ 2 นาย กำลังถูกสอบสวนในข้อหาข่มขืนหญิงชาวญี่ปุ่น 2 รายในจังหวัดโอกินาวา โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเดือนมกราคมและมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นคดีล่วงละเมิดทางเพศล่าสุดที่จุดชนวนความไม่พอใจของชาวบ้านในพื้นที่ต่อการมีฐานทัพสหรัฐฯ ตั้งอยู่

ตำรวจท้องที่เปิดเผยว่า นาวิกโยธินสหรัฐฯ วัย 20 ปีเศษต้องสงสัยว่าข่มขืนหญิงชาวญี่ปุ่นที่ฐานทัพอเมริกันในเดือนมีนาคม และยังถูกกล่าวหาว่าทำร้ายผู้หญิงอีกราย ขณะที่นาวิกโยธินอีกนายในวัยเดียวกันถูกกล่าวหาว่าข่มขืนหญิงชาวญี่ปุ่นอีกคนหนึ่งที่ฐานทัพเดียวกันเมื่อเดือนมกราคม โดยตำรวจญี่ปุ่นได้ส่งสำนวนคดีให้อัยการแล้ว

เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำญี่ปุ่น จอร์จ กลาส (George Glass) ยืนยันว่าสหรัฐฯ พร้อมให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่กับการสอบสวนของทางการญี่ปุ่น และให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อความไว้เนื้อเชื่อใจและความเป็นหุ้นส่วนอันยาวนานกับญี่ปุ่น พร้อมให้คำมั่นว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อป้องกันการกระทำที่บ่อนทำลายความสัมพันธ์นี้

สำหรับเหตุการณ์ล่าสุดนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดที่สั่งสมมานานระหว่างชาวโอกินาวากับทหารสหรัฐฯ ที่ประจำการอยู่ในพื้นที่ ซึ่งมีจำนวนประมาณ 54,000 นายทั่วญี่ปุ่น โดยส่วนใหญ่อยู่ที่ฐานทัพบนเกาะโอกินาวา ผู้ว่าการจังหวัดโอกินาวาได้ออกมาประณามการกระทำดังกล่าวว่า "เลวทราม" และเรียกร้องให้กองทัพสหรัฐฯ มีมาตรการป้องกันที่เข้มงวดเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย

EU สั่งปรับ Apple-Meta กว่า 700 ล้านยูโร ฐานขัดขวางการแข่งขันในตลาดดิจิทัล และละเมิดสิทธิผู้บริโภค

(24 เม.ย. 68) สหภาพยุโรป (EU) สั่งปรับบริษัท Apple จำนวน 500 ล้านยูโร (ราว 18,750 ล้านบาท) และ Meta อีก 200 ล้านยูโร (ราว 7,621 ล้านบาท) ฐานละเมิดพระราชบัญญัติตลาดดิจิทัล (DMA) โดยระบุว่าทั้งสองบริษัทจำกัดการแข่งขันและลดทางเลือกของผู้บริโภคในตลาดดิจิทัล

คณะกรรมาธิการยุโรปชี้ว่า Apple ใช้มาตรการทางเทคนิคและเชิงพาณิชย์เพื่อกีดกันไม่ให้ผู้พัฒนาแอพแนะนำข้อเสนอราคาถูกนอก App Store ซึ่งขัดต่อหลักความเป็นธรรมทางการตลาดที่ DMA วางไว้

สำหรับ Meta รายงานระบุว่าโมเดล “จ่ายหรือยินยอม” ที่เปิดตัวปลายปี 2023 ซึ่งให้ผู้ใช้เลือกยอมให้ติดตามข้อมูลเพื่อใช้บริการฟรี หรือจ่ายเงินเพื่อใช้งานแบบไม่มีโฆษณา ถูกพิจารณาว่าละเมิด DMA แม้จะมีการปรับเปลี่ยนให้ลดการใช้ข้อมูลแล้วก็ตาม

ค่าปรับนี้เป็นผลจากการสอบสวนของคณะกรรมาธิการยุโรปที่ดำเนินมานานกว่าหนึ่งปี แสดงให้เห็นถึงความจริงจังของ EU ในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อควบคุมยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีให้ปฏิบัติอย่างเป็นธรรมต่อผู้บริโภคและคู่แข่งในตลาดยุโรป

‘สหภาพยุโรป’ เตรียมลดพึ่งพาอาวุธและเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ พร้อมขู่เก็บภาษีตอบโต้-ตัดสิทธิ์บริษัทอเมริกันในยุโรป

(24 เม.ย. 68) ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป (EU) กำลังพิจารณามาตรการลดการซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ และกำหนดข้อจำกัดทางเศรษฐกิจอย่างเข้มงวด เพื่อตอบโต้การดำเนินนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ตามรายงานของ Politico ที่อ้างอิงเจ้าหน้าที่ในยุโรป

มาตรการดังกล่าวอยู่ระหว่างการหารือ รวมถึงการหาผู้จัดหาอาวุธรายใหม่, การเก็บภาษีตอบโต้สูง,ยกเลิกการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาแก่บริษัทอเมริกัน และลดการพึ่งพาบริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ โดยเฉพาะในด้านระบบป้องกันประเทศที่สหรัฐฯ ที่ถูกมองว่าใช้เป็นเครื่องมือกดดันยูเครน

พาแวล โควัล (Pawel Kowal) ที่ปรึกษารัฐบาลโปแลนด์ เผยว่า ความเชื่อมั่นต่อสหรัฐฯ สั่นคลอนอย่างหนัก และโปแลนด์อาจไม่สั่งซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ อีก ขณะเดียวกันคณะกรรมาธิการยุโรปเริ่มหารือถึงการใช้ 'มาตรการต่อต้านการบีบบังคับ' ซึ่งรวมถึงการขึ้นภาษีศุลกากรและจำกัดสิทธิ์บริษัทสหรัฐฯ ในการเข้าถึงตลาดยุโรป

ทั้งนี้ ท่าทีของยุโรปมีขึ้นหลังทรัมป์ออกคำสั่งเรียกเก็บภาษีศุลกากรพื้นฐานเพิ่มขึ้น 10% ต่อสินค้านำเข้าหลายประเทศ ซึ่งรวมถึงมาตรการเพิ่มเติมกับ 75 ประเทศที่ไม่ตอบโต้หรือไม่ยอมเปิดเจรจา 

หุ่นยนต์จีนบุกตลาดโลก หลังนโยบายรัฐดันบริษัท AI แห่งอนาคต ผุดกว่า 4,500 แห่งในประเทศ เปิดศึกบุกยึดฐานเทคโนโลยีระดับโลก

(24 เม.ย. 68) จีนกำลังกลายเป็นมหาอำนาจด้านหุ่นยนต์ AI อย่างรวดเร็ว โดยมีบริษัทด้านปัญญาประดิษฐ์มากกว่า 4,500 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งคิดเป็นประมาณ 15% ของจำนวนบริษัท AI ทั่วโลก การเติบโตนี้ได้รับการสนับสนุนจากนโยบาย 'AI Plus' ของรัฐบาลจีนที่มุ่งส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงและการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัล

ในปี 2023 อุตสาหกรรม AI ของจีนมีมูลค่ารวมกว่า 578 พันล้านหยวน (ประมาณ 81 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยบริษัทจีนได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์หุ่นยนต์ AI หลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่หุ่นยนต์รูปแบบมนุษย์ที่สามารถทำงานในโรงงาน ไปจนถึงหุ่นยนต์บริการในภาคการแพทย์และการขนส่ง ตัวอย่างเช่น บริษัท UBTECH Robotics ได้พัฒนาหุ่นยนต์ที่สามารถทำงานร่วมกับมนุษย์ในสายการผลิตรถยนต์ และกำลังเตรียมการผลิตในระดับอุตสาหกรรม

การขยายตัวของอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ AI ในจีนยังได้รับแรงหนุนจากการลงทุนของรัฐบาลและภาคเอกชน โดยเฉพาะในเมืองเซินเจิ้น ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาเทคโนโลยี AI และหุ่นยนต์ของประเทศ นอกจากนี้ บริษัทจีนยังได้แสดงศักยภาพในงาน CES 2025 ที่ลาสเวกัส โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์หุ่นยนต์ AI ที่ล้ำสมัย ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมงานทั่วโลก

ด้วยการเติบโตอย่างรวดเร็วและการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากภาครัฐและเอกชน จีนกำลังกลายเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ AI และมีแนวโน้มที่จะมีบทบาทสำคัญในตลาดโลกในอนาคตอันใกล้

นักเรียนจีนแห่เปลี่ยนเส้นทาง เริ่มเบนเป้าออกจากสหรัฐฯ หลังทรัมป์คุมเข้มนโยบายการศึกษาและวีซ่า

(24 เม.ย. 68) นโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ที่กลับมาดำรงตำแหน่งอีกครั้ง กำลังสั่นคลอนความนิยมของสหรัฐฯ ในหมู่นักเรียนจีนอย่างหนัก ทั้งการตัดงบมหาวิทยาลัย เข้มงวดเรื่องวีซ่า และตั้งข้อกล่าวหาด้านความมั่นคง ส่งผลให้จำนวนผู้สมัครเรียนต่อในอเมริกาลดลงต่อเนื่อง กระทบภาพฝัน “American Dream” ที่เคยเป็นเป้าหมายสูงสุดของนักศึกษาจีนมายาวนานกว่า 15 ปี

นักเรียนจำนวนมากเริ่มหันไปมองทางเลือกใหม่ เช่น สหราชอาณาจักร อิตาลี หรือแม้แต่มหาวิทยาลัยชั้นนำในจีนเองที่กำลังไต่อันดับโลกอย่างรวดเร็ว ด้วยคุณภาพงานวิจัยและโอกาสทำงานหลังเรียนจบที่ดึงดูดใจมากขึ้น ขณะเดียวกัน ความไม่แน่นอนของสหรัฐฯ ทำให้หลายครอบครัวเริ่มลังเลต่อการลงทุนด้านการศึกษาข้ามทวีป

ข้อมูลจาก Open Doors ระบุว่า จำนวนนักเรียนจีนในสหรัฐฯ ลดลงเหลือ 277,398 คนในปีการศึกษา 2023/24 ลดลง 4.2% จากปีก่อนหน้า และลดลงถึง 25.5% จากจุดสูงสุดในปี 2019/20 โดยนักเรียนจีนสร้างรายได้ให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ กว่า 14,300 ล้านดอลลาร์ในปี 2023 ทว่าแนวโน้มปัจจุบันอาจทำให้เม็ดเงินจำนวนนี้ไหลออกไปยังประเทศอื่นแทน ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในเวทีการศึกษาระดับโลก

นักศึกษาจำนวนหนึ่งยังเลือกกลับมาเรียนและทำงานในฮ่องกงหรือจีนแผ่นดินใหญ่ โดยเฉพาะในสาขาที่มีโอกาสทำงานหลังเรียนจบและได้รับทุนวิจัยมากขึ้น รายงานจาก China Daily ระบุว่า ในปี 2023 มีนักเรียนจีนระดับปริญญาเอกกลับประเทศถึง 21,574 คน เพิ่มขึ้น 51% จากปี 2020 โดยมากกว่าครึ่งจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยในเอเชีย

แม้สหรัฐฯ จะยังคงเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญสำหรับนักเรียนต่างชาติ แต่ความไม่แน่นอนทางการเมืองและนโยบายที่เข้มงวดขึ้น อาจทำให้ประเทศสูญเสียบทบาทผู้นำด้านการศึกษาและนวัตกรรมในระยะยาว ขณะที่ประเทศอื่นๆ กำลังเปิดรับและช่วงชิงโอกาสนี้อย่างเต็มที่

ครั้งหนึ่ง ‘โรเจอร์ เฟเดอเรอร์’ ตำนานนักเทนนิส เคยปฏิเสธดีล Nike ก่อนกลายเป็นหุ้นส่วน On Running สร้างทรัพย์สินระดับพันล้าน

(23 เม.ย. 68) ผศ.ดร.หฤษฎ์ อินน์ทะกนก อาจารย์ผู้สอนด้านกลยุทธ์ธุรกิจ วิทยาลัยบัณฑิตศึกษาการจัดการ มหาวิทยาลัยขอนแก่น โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Dr Harit แชร์เรื่องราวของ สุดยอดนักหวดลูกสักหลาดระดับตำนานชาวสวิสฯ อย่าง โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ ที่ครั้งหนึ่งเคยตัดสินใจปฏิเสธสัญญากับทาง Nike ซึ่งเป็นบริษัทรองเท้ากีฬาและเครื่องแต่งกายสัญชาติอเมริกันชื่อดังของโลก

ในปี 2018, Nike เสนอการต่อสัญญาใหม่ให้ โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ ในมูลค่าเพียง 5 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี เป็นข้อเสนอที่ต่ำกว่าความคาดหวังของเขามาก เฟเดอเรอร์ จึงตัดสินไม่ต่อสัญญา

หลังจากนั้น Uniqlo ก็เข้ามาเซ็นสัญญากับเขา ด้วยมูลค่าสูงถึง 300 ล้านเหรียญสหรัฐ (เฉพาะเรื่องเสื้อผ้า) แต่ 'สิทธิ์ในการสวมรองเท้า' ยังคงเปิดอยู่

และนั่นเอง คือช่วงเวลาที่แบรนด์สัญชาติสวิสเล็ก ๆ ที่ชื่อว่า On Running ตัดสินใจก้าวเข้ามา

ในตอนนั้น On Running เป็นบริษัทที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังห่างไกลจากขนาดของ Nike หรือ Adidas แทนที่จะให้เฟเดอเรอร์เป็นแค่พรีเซนเตอร์ พวกเขาเสนอสิ่งที่ใหญ่กว่านั้น คือการเป็นเจ้าของร่วม

เฟเดอเรอร์ ตัดสินใจลงทุนใน On Running กลายเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้น และยังทำงานร่วมกับทีมพัฒนาสินค้าอย่างใกล้ชิด รวมถึงการเปิดตัวไลน์รองเท้าของตัวเอง ที่ชื่อว่า 
'The Roger'

ผลลัพธ์คือ On Running เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปี 2021 ด้วยมูลค่ากว่า 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หุ้นที่เฟเดอเรอร์ถือไว้ตั้งแต่ต้น ทำให้เขามีมูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้นอีกหลายร้อยล้านเหรียญ มากกว่าที่เขาจะได้จากการเซ็นสัญญาพรีเซนเตอร์ทั่วไปเสียอีก

บทเรียน: การเดินออกจาก 'เงินก้อนสั้น ๆ' ในวันนี้ อาจเป็นการเปิดประตูสู่ 'ความมั่งคั่งระยะยาว' ในอนาคต

โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ ไม่ได้เป็นแค่คนใส่รองเท้าแบรนด์นี้ แต่เขา กลายเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างมันขึ้นมา

‘กลุ่มก่อการร้าย’ กราดยิงนักท่องเที่ยวในรัฐจัมมูและแคชเมียร์ ดับสลด 26 ศพ เจ็บอีก 17 ราย ‘ทรัมป์’ โพสต์ประณามพร้อมหนุนอินเดีย

(23 เม.ย. 68) เกิดเหตุกราดยิงใส่กลุ่มนักท่องเที่ยวในเมืองปาฮาลกัม รัฐจัมมูและแคชเมียร์ ประเทศอินเดีย โดยกลุ่มมือปืนประมาณ 3-4 คน ใช้อาวุธปืนกราดยิงใส่นักท่องเที่ยวที่กำลังเดินทางอยู่ในพื้นที่ ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 26 คน และบาดเจ็บอีก 17 คน ถือเป็นเหตุโจมตีรุนแรงที่สุดในอินเดียในรอบหลายปี

ตามรายงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นชาวอินเดีย 25 คน และชาวเนปาล 1 คน การโจมตีเกิดขึ้นในทุ่งหญ้านอกถนน ก่อนที่กลุ่มมือปืนจะหลบหนีไป โดยเหตุเกิดเมื่อวันที่ 22 เมษายน ตามเวลาท้องถิ่น

อย่างไรก็ตาม กลุ่ม 'กองกำลังต่อต้านแคชเมียร์' ได้ออกมารับผิดชอบการโจมตีนี้ผ่านทางโซเชียลมีเดีย โดยกล่าวถึงความไม่พอใจที่มีผู้คนจากภายนอกเข้ามาตั้งถิ่นฐานในแคชเมียร์

นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ซึ่งอยู่ระหว่างการเยือนซาอุดีอาระเบีย ได้ตัดสินใจกลับกรุงเดลีเพื่อดูแลสถานการณ์ ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้โพสต์ประณามเหตุการณ์ดังกล่าว และแสดงการสนับสนุนอินเดียในการต่อสู้กับกลุ่มผู้ก่อการร้าย

‘ทรัมป์’ เปลี่ยนท่าที เตรียมลดภาษีนำเข้าจีน ยอมรับไม่อยากให้สงครามการค้ายืดเยื้อ

(23 เม.ย.) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เผยเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ว่า สหรัฐฯ เตรียมลดเพดานภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนจากระดับสูงสุด 145% พร้อมยอมรับว่าไม่ต้องการให้สงครามการค้าระหว่างสองชาติเศรษฐกิจยืดเยื้อ โดยระบุว่า “จะไม่เล่นไม้แข็ง” และต้องการให้เกิดข้อตกลงที่เป็นธรรม

ด้าน รัฐมนตรีคลัง สกอตต์ เบสเซนต์ ระบุว่าการเจรจากับจีนจะเป็นเรื่องท้าทาย แต่คาดว่าความตึงเครียดจะผ่อนคลาย ขณะที่ทรัมป์ยืนยันจะลดภาษีลง “อย่างมาก” แม้ไม่ถึงขั้นเป็นศูนย์ แต่จะอยู่ในระดับที่จีนสามารถยอมรับได้ โดยเขาและทีมจะร่วมกันพิจารณารายละเอียดด้วยตนเอง

ขณะเดียวกัน รศ.ดร. อักษรศรี พานิชสาส์น อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก 'Aksornsri Phanishsarn' เมื่อ 23 เม.ย. ชี้ว่า ทรัมป์เริ่มถูกเมินหนักจากจีน จึงเริ่ม 'อ่อย' ด้วยท่าทีอ่อนลง พร้อมระบุว่า “ทรัมป์บอกจะ Very Nice กับจีนจ้า”

ทั้งนี้ ทรัมป์ยังเปลี่ยนท่าทีต่อเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด โดยยืนยันว่า “ไม่เคยคิดจะปลด” แม้เพิ่งวิจารณ์เรื่องการดำเนินนโยบายดอกเบี้ยล่าช้า

ตำนานส่งลูกผูกใจของตระกูล'พัธโนทัย' ย้อนไปปี 1965 ช่วงต้นสถาปนา 'สาธารณรัฐประชาชนจีน'

ทางฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ มีบ้านหลังหนึ่งที่ชื่อว่า 'บ้านสิรินทร์' เจ้าของบ้านหลังนี้คือ สิรินทร์ พัธโนทัย ซึ่งมีชื่อภาษาจีนว่า ฉางหยวน หนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์แห่งความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-จีน

ย้อนไปเมื่อปี 1956 ช่วงต้นสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน สังข์ พัธโนทัย ผู้เป็นบิดาเคยส่งตัวสิรินทร์ในวัย 8 ปีพร้อม ‘วรรณไว พัธโนทัย’ พี่ชายวัย 12 ปีไปอยู่ภายใต้การดูแลของอดีตนายกรัฐมนตรีโจวเอินไหลในฐานะบุตรบุญธรรม เพื่อแสดงความจริงใจและมิตรภาพที่มีต่อจีน

ครอบครัวของฉางหยวนมีบทบาทพิเศษต่อการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-จีน และด้วยเหตุนี้ตระกูลพัธโนทัยจึงมีสายใยผูกพันกับจีนอย่างแยกไม่ขาด

สิรินทร์ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซินหัวว่าตลอด 14 ปีที่เธอเติบโตในประเทศจีน เธอรู้สึกประทับใจที่ได้เป็นหนึ่งในบุตรบุญธรรมของโจวเอินไหล และได้รับความรักเฉกเช่นคนในครอบครัว ปัจจุบัน สิรินทร์ยังคงใช้ภาษาจีนสื่อสารกับบุตรหลาน และบุตรหลานของเธอก็พูดภาษาจีนได้อย่างคล่องแคล่ว

กระทั่งปี 1975 ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีของไทยในขณะนั้นได้ลงนามสร้างสัมพันธ์ทางการทูตกับโจวเอินไหล นับเป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีนอย่างเป็นทางการ

‘เหว่ย ซือเฮ้า’ ชายชราที่เป็นผู้ให้อย่างแท้จริง ยอมเก็บขยะยังชีพ ส่งเงินบำนาญให้เด็กยากจนเรียน

เพจลึกชัดกับผิงผิง ได้ถ่ายทอดเรื่องราวสุดประทับใจของชายชรานาม ‘เหว่ย ซือเฮ้า’ ว่า...

เรื่องจริงที่อบอุ่นในโลกใบนี้

เดือนพฤศจิกายนปี 2014 ผู้เฒ่าเก็บขยะเดินเข้าหอสมุดเมืองหางโจว ล้างมืออย่างละเอียดเป็นเวลานาน แล้วจึงนั่งอ่านหนังสืออย่างเงียบๆ 

ผู้เฒ่าคนนี้มีชื่อว่า 'เหว่ย ซือเฮ้า' (韦思浩)เป็นหนึ่งในคนเก็บขยะและคนเร่ร่อนที่ชอบอ่านหนังสือ โดยมักขอเข้ามาอ่านหนังสือ ผู้อ่านส่วนหนึ่งเคยแสดงความไม่พอใจ แต่ผู้อำนวยการหอสมุดตอบว่า “ผมไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ ไม่ให้ใครเข้ามาอ่านหนังสือ แต่คุณมีสิทธิ์ตัดสินใจออกจากที่นี่” ดังนั้น หอสมุดหางโจวยังได้ชื่อว่า 'หอสมุดที่อบอุ่นที่สุด'

ส่วนผู้เฒ่า 'เหว่ย ซือเฮ้า' ตั้งอกตั้งใจอ่านข่าวสารอย่างมากจนทุกคนต่างยกย่องให้เป็นคนเร่ร่อนที่ใฝ่หาความรู้อย่างแท้จริง พร้อมให้ฉายาว่า 'ผู้เฒ่านักอ่าน'

วันที่ 18 พฤศจิกายนปี 2015 เขาหมดลมหายใจเพราะถูกรถชนจนเสียชีวิต เมื่อเขาตาย เรื่องราวชีวิตของเขาก็ถูกเปิดเผย ความลับนี้ทำให้ผู้คนตะลึงและเสียน้ำตาไปตามๆกัน 

ประวัติของเขาจบมหาวิทยาลัยเจ้อเจียง ปี 1960 ก่อนเกษียณอายุเป็นอาจารย์สอนใน รร.มัธยม ยังชีพด้วยเงินบำนาญไม่มากมายนัก และเขาก็เก็บขยะประทังชีวิตไปวัน ๆ ..

เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบทรัพย์สินของเขา ล้วนไม่มีราคาค่างวดอะไร.. แต่กลับพบใบอนุโมทนาบัตร ที่บริจาคเงินเพื่อทุนการศึกษา ซึ่งเขาเก็บไว้จนกระดาษเก่ากลายเป็นสีเหลืองซีด และไปรษณียบัตรที่ส่งมาจากที่ต่าง ๆ ลงชื่อของผู้ที่ได้รับทุนการศึกษาจากเขา แจ้งผลการเรียนทุกเทอมกลับมาให้เขาทราบทุกฉบับ 

แท้จริง .. ผู้เฒ่าต้องการประหยัด กินน้อย-ใช้น้อย มอบเงินที่มีอยู่ทั้งหมด พร้อมกับเงินบำนาญอันน้อยนิด บริจาคให้นักเรียนยากจน โดยไม่ยอมแม้แต่จะใช้ชื่อจริง เขาใส่ใจบรรดาเด็กๆที่ส่งเสียให้เรียน และเด็กที่ได้รับทุนทุกคนก็ไม่รู้ว่าผู้ส่งเสียให้เรียนยากจนข้นแค้นแค่ไหน เพราะผู้เฒ่าใช้ชื่อปลอม ปกปิดชื่อจริงในการให้ทุนมาตลอด ..

ชั่วชีวิต ผู้เฒ่ามีแต่ความเรียบง่าย อยู่อย่างประหยัดมัธยัสถ์ นอนเตียงไม้ 1 หลัง เฟอร์นิเจอร์อื่น ๆ ไม่มีเลย, เมื่อ 10 ปีก่อน ก็ได้บริจาคร่างกายให้โรงพยาบาล เพื่อว่าตายไป อวัยวะส่วนไหนพอจะนำไปช่วยคนได้ เขาจะดีใจมากที่สุด 

ปี 1953 เขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยเจ้อเจียง หลังจบการศึกษาเป็นครูสอนมัธยมปลายของโรงเรียนเฉาหยางเมืองหางโจว เขาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายมาก ที่บ้านมีแต่ตู้เก็บหนังสือ เตียงนอน นอกจากนั้น ไม่มีเฟอร์นิเจอร์อย่างอื่น 

เหล่าลูกสาวของเขากล่าวว่า อาหารการกินของพ่อก็ง่าย ๆ กินอิ่มก็พอ ใช้เงินประหยัดมาก ๆ หรือกล่าวได้ว่าขี้เหนียวเลย

หลังเกษียณอายุแล้ว เขามีเงินบำนาญเดือนละ 5,600 หยวน ตามแนวปกติก็จะใช้ชีวิตได้อย่างสบาย เลี้ยงนกหรือปลูกดอกไม้ที่บ้าน ไปเล่นหมากรุกในสวนสาธารณะ 

แต่คิดไม่ถึงว่า เขาจะไปเก็บเศษขยะ ลูกสาวและนักเรียนเก่าของเขาล้วนไม่เข้าใจ แต่ไม่มีใครสามารถบอกให้เขายอมกลับไปพักที่บ้าน 

หลังเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิต ลูกสาวของเขาไปจัดเก็บของเก่าด้วยอารมณ์เศร้า แต่พบความลับที่สะเทือนใจ มรดกของเขามีกล่องเหล็กอันหนึ่ง ข้างในเก็บใบโอนเงินที่เก่าจนกระดาษเป็นสีเหลืองซีดปึกใหญ่และจดหมายหลายฉบับ แต่ลายเซ็นด้านบนเป็นชื่อที่ไม่คุ้นเคย 'เว่ย ติงจ้าว'

'เว่ย ติงจ้าว' เป็นใคร มีความผูกพันกับพ่ออย่างไร บรรดาลูกสาวของเขาเริ่มค้นหาตามข้อมูล จึงได้รู้ความจริง ปรากฏว่าในช่วง 20 กว่าปีที่ผ่านมา พ่ออุบเรื่องหนึ่งไว้ไม่บอกพวกเธอ

ตั้งแต่ทศวรรษปี 1900 พ่อก็ใช้ชื่อ 'เว่ย ติงจ้าว' ในระหว่างช่วยเหลือเด็กนักเรียนยากจนที่ไม่รู้จัก เริ่มตั้งแต่หลายสิบหยวนจนถึงหลายพันหยวน การใช้เงินเพื่อการนี้ พ่อไม่เคยประหยัดเลย 

เด็กนักเรียนหญิงคนหนึ่งชื่อ 'หลัน เยี้ยนเยี่ยน' ได้เขียนจดหมายว่า “ขอบคุณความช่วยเหลือของคุณปู่ ที่ทำให้ฉันสมหวังเรียนหนังสือในโรงเรียน” จดหมายแบบนี้มีจำนวนมาก 

จนถึงเวลานี้ เพื่อนๆ และนักเรียนของเขาจึงได้รู้ว่า ผู้เฒ่าที่ขี้เหนียวคนนี้ ใช้เงินเดือนของตนไปช่วยเหลือเด็กนักเรียนที่ยากจน ถึงแม้เกษียณอายุแล้ว ก็ยังขยันไปเก็บเศษขยะ เพื่อได้เงินช่วยเหลือคนอื่นมากขึ้น 

นอกจากนั้น เมื่อ 10 ปีก่อน พ่อได้บริจาคร่างกายให้โรงพยาบาล เพื่อว่าตายไป อวัยวะส่วนไหนพอจะนำไปช่วยคนได้ เขาจะดีใจมากที่สุด 

เมื่อความจริงประจักษ์เช่นนี้ ลูกสาวสามคนพากันน้ำตาแตกเหมือนสายฝน นี่เป็นพ่อที่น่าเคารพมาก ๆ เสียดายที่แต่ก่อนไม่รู้เรื่องราวของพ่อ จึงไม่ได้สนับสนุนพ่อ 

ปี 2018 ชาวเน็ตจีนบริจาคเงินทำรูปปั้นของผู้เฒ่า 'เหว่ย ซือเฮ้า' แล้วนำไปตั้งที่หอสมุดหางโจว ผู้ที่เคยได้รับเงินทุนสนับสนุนจากคุณปู่ 'เหว่ย ซือเฮ้า' พากันเดินทางจากท้องที่ต่างๆ มาร่วมงาน พวกเขาน้ำตาคลอเบ้า ร้องไห้คร่ำครวญ และทำความเคารพอย่างนอบน้อมที่สุด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top