Wednesday, 18 June 2025
WORLD

อีกด้าน ‘ญี่ปุ่น’ ใช้ระบบราคาสองมาตรฐาน ‘นทท.ต่างชาติ-คนท้องถิ่น’ เหตุ!! ต้นทุนเพื่อ นทท.เพิ่ม ต้องเติมราคาให้คุ้มค่ากับประสบการณ์

(24 ก.ค. 67) สำนักข่าวเกียว​โด​นิวส์​ รายงานว่า ในขณะที่ญี่ปุ่นต้อนรับนักท่องเที่ยวจำนวนมากซึ่งหลั่งไหลเข้ามาโดยได้รับแรงหนุนจากค่าเงินเยนที่อ่อนลง ผู้ประกอบการร้านอาหารและสถานที่ท่องเที่ยวจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ต่างก็ต้องการเรียกเก็บเงินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติมากขึ้น การแยกมาตรฐาน​โดยขึ้นราคาสำหรับนักท่องเที่ยวอาจขัดแย้งกับวิธีที่ประเทศต้องการทำการตลาด

การที่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติถูกเรียกเก็บเงินในราคาที่สูงกว่าคนในท้องถิ่นนั้น ส่วนใหญ่มักพบเห็นตามสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศกำลังพัฒนา ทำให้เกิดความกังวลว่าญี่ปุ่นอาจต้องสูญเสียภาพลักษณ์ของตนในฐานะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวระดับไฮเอนด์

แต่ธุรกิจและหน่วยงานบางแห่งแย้งว่าระบบราคาคู่ไม่ได้หมายถึง ‘โกงหรือเอาเปรียบ’ นักท่องเที่ยว แต่ทำไปเพราะ ‘ความจำเป็นเร่งด่วน’ โดยอ้างถึงค่าแรงที่เพิ่มขึ้นและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น

“เราจะตั้งราคาเมนูเดียวกันสำหรับคนท้องถิ่นที่พูดภาษาญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ต้องการความช่วยเหลือพิเศษเป็นภาษาอังกฤษได้อย่างไร” โชโกะ โยเนมิตสึ เจ้าของร้านอาหารทะเลสไตล์บุฟเฟต์ทามาเทบาโกะ ตั้งอยู่ในย่านชิบุยะอันพลุกพล่านในกรุงโตเกียว กล่าว

นับตั้งแต่เปิดทำการในเดือนเมษายน ร้านอาหารได้เรียกเก็บเงินนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 7,678 เยนสำหรับเมนู​บุฟเฟต์อาหารทะเลแบบทานได้ไม่อั้นสำหรับมื้อเย็นวันธรรมดา ในขณะที่ชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในญี่ปุ่นสามารถรับประทานเมนู​เดียวกันได้ในราคา​ 1,100 เยน

โยเนมิตสึกล่าวว่าร้านฯ​ จำเป็นต้องขึ้นค่าจ้างเพื่อจ้างพนักงานที่พูดภาษาอังกฤษได้ และยังต้องมีค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมพนักงานเพื่อให้บริการลูกค้าชาวต่างชาติอีกด้วย

“โดยที่เรามีลูกค้าวันละ 100 ถึง 150 คน ในขณะที่ร้านอาหารจุได้ 35 ที่นั่ง ต้องใช้เวลามากขึ้นไปเอาใจใส่ลูกค้าต่างชาติ เช่น การอธิบายว่า บุฟเฟต์ วิธีย่างและกินอาหาร​ ในภาษาอังกฤษ” โยเนมิตสึกล่าว

"ข้อเสนอที่ดี" สตรีชาวญี่ปุ่นที่ทำงานร้านอาหารไทยในโตเกียวยินดีกับระบบนี้ โดยเรียกว่าเป็น ‘ข้อเสนอที่ดี’

“เมื่อพิจารณาจากค่าเงินเยนที่อ่อนค่าอย่างน่าตกใจ ฉันคิดว่าการเรียกราคาจากชาวต่างชาติเพิ่มอีกสักหน่อยก็ไม่เสียหาย” ผู้หญิงคนนั้นกล่าว

“ฉันได้ยินจากเพื่อนร่วมงานว่ามีการตั้งสองราคาในวัดของไทย เราพูดว่า อ่า ในที่สุดญี่ปุ่นก็เป็นด้วย (เรียกเก็บเงินเพิ่มสำหรับชาวต่างชาติ)” เธอกล่าวเสริม

ผู้ประกอบการสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในญี่ปุ่นกำลังชั่งน้ำหนักทางเลือกในการเรียกเก็บเงินจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมากขึ้น เนื่องจากการไหลเข้าของนักท่องเที่ยวทำให้ค่าธรรมเนียมการบำรุงรักษาและการตกแต่งใหม่เพิ่มขึ้น

เมื่อเร็ว ๆ นี้ นายกเทศมนตรีเมืองฮิเมจิกล่าวว่าเมืองทางตะวันตกของญี่ปุ่นกำลังพิจารณาค่าธรรมเนียมแรกเข้า ‘สี่เท่า’ สำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มาเยือนปราสาทฮิเมจิ ซึ่งเป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโกโดยเฉพาะ เพื่อตอบสนองต่อการท่องเที่ยวขาเข้าที่เพิ่มขึ้น

ค่าเข้าชมปราสาทซึ่งเป็นสมบัติประจำชาติซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างไม้ที่มีอายุตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 17 ปัจจุบันกำหนดไว้ที่ 1,000 เยน สำหรับผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

แต่นายกเทศมนตรีกล่าวว่าเมืองนี้ต้องเรียกเก็บเงินประมาณ 30 ดอลลาร์สำหรับชาวต่างชาติ และประมาณ 5 ดอลลาร์สำหรับคนท้องถิ่น แม้ว่าผู้เยี่ยมชมจำนวนมากเกินไปอาจสร้างความเสียหายให้กับการบำรุงรักษาปราสาท แต่เขาต้องการหลีกเลี่ยงการขึ้นค่าธรรมเนียมการเข้าชมสำหรับคนในท้องถิ่นที่มองว่าปราสาทเป็น ‘สถานที่พักผ่อน’

รัฐบาลประจำจังหวัดโอซาก้ากำลังหารือเกี่ยวกับการบังคับใช้ภาษีที่กำหนดเป้าหมายนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติโดยเฉพาะ ซึ่งอาจเป็นไปได้ในช่วงเริ่มต้นของงานนิทรรศการโลก​ เอ็กซ์โป​โอซาก้าในเดือนเมษายน พ.ศ. 2568 เพื่อเป็นเงินทุนสำหรับมาตรการในการจัดการกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าธุรกิจและผู้ประกอบการสถานที่ท่องเที่ยวที่เรียกเก็บเงินนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมากขึ้นนั้นควรระมัดระวังในการอธิบายเหตุผลและวิสัยทัศน์ของตน

“ราคาเปลี่ยนแปลงกะทันหันนี้อาจจะเป็นการคิดสั้น ๆ​ เพียงว่าชาวต่างชาติไม่กระทบในช่วงที่เงินเยนร่วงลง แต่อาจกระตุ้นให้เกิดภาวะชะลอจับจ่ายในระยะยาว” โทโมยะ อูเมคาวะ ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยโคคุกาคุอิน ซึ่งเชี่ยวชาญด้านนโยบายการท่องเที่ยว กล่าว

“หากผู้ประกอบการจำเป็นต้องขึ้นราคาเนื่องจากค่าใช้จ่ายสำหรับชาวต่างชาติที่สูงขึ้น ควรส่งเสริมการบริการในลักษณะที่จะโน้มน้าวนักท่องเที่ยวว่าคุ้มค่ากับราคา เช่น โดยการเพิ่มประสบการณ์ที่พิเศษจับต้องได้และแท้จริง” เขากล่าว

การสำรวจเรื่องการกำหนดราคาแบบคู่สำหรับนักเดินทางขาเข้าในญี่ปุ่น ซึ่งจัดทำโดย Loyalty Marketing Inc. ผู้ให้บริการจุดสะสมคะแนนในเดือนกุมภาพันธ์ แสดงให้เห็นว่าเกือบร้อยละ 60​ ของผู้ตอบแบบสอบถามในประเทศเห็นด้วยหรือค่อนข้างเห็นด้วยกับระบบ 2 ราคานี้

แต่การสำรวจยังแสดงให้เห็นว่ามากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามมีความกังวลเกี่ยวกับอิทธิพลเชิงลบที่อาจมีต่อนักเดินทางขาเข้า

ผู้ตอบแบบสอบถามเรียกร้องให้เพิ่มบริการเสริมแก่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเมื่อถูกเรียกเก็บเงินมากขึ้น เช่น การให้บริการในภาษาต่าง ๆ ไกด์ การต้อนรับที่เพิ่มขึ้น หรือของขวัญพิเศษ

นิค ซาเกลลาริโอว ซึ่งเดินทางมาญี่ปุ่นจากสวีเดนกล่าวว่าเขาสนับสนุนแนวคิดที่จะเรียกเก็บเงินจากนักท่องเที่ยวมากขึ้น

“นักท่องเที่ยว ก็ดีในระดับหนึ่ง แต่เมื่อเยอะเกินไปก็อาจเกิดปัญหาได้” ซาเกลลาริโอกล่าว พร้อมเสนอแนะว่าอาจใช้ระบบ​ 2​ ราคาขึ้นอยู่กับช่วงเวลาของปี เช่น ในช่วงที่ไฮซีซั่น​ ที่มีนักท่องเที่ยวมาก

แต่เขายังเสนอว่าหากระบบนี้ถูกนำมาใช้ในประเทศบ้านเกิดของเขา ระบบนี้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็น ‘การเหยียดเชื้อชาติ’ หรือ ‘เลือกปฏิบัติ’

สถานที่ท่องเที่ยวต่างประเทศอื่น ๆ ที่ใช้ระบบ​ 2​ ราคา​ แยกคนในท้องถิ่นและผู้มาเยือน ได้แก่ อุทยานแห่งรัฐไดมอนด์เฮดในฮาวาย ซึ่งผู้อยู่อาศัยของรัฐสามารถเข้าได้ฟรี ในขณะที่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติและนักท่องเที่ยวจากรัฐอื่น ๆ ของสหรัฐฯ จะถูกเรียกเก็บเงินอีกราคา การเคลื่อนไหวดังกล่าวทำให้เกิดเสียงโวยวายเล็กน้อย

อุเมคาวะ​จากมหาวิทยาลัย โคคุกาคุอิน​ กล่าวว่ากลยุทธ์การกำหนดราคาในการท่องเที่ยวกำลังอยู่บนทางแพร่ง​ โดยเรียกร้องให้ธุรกิจและผู้ประกอบการละทิ้งกรอบความคิดที่ว่าพวกเขาจำเป็นต้องคงราคาให้ต่ำและเสนอบริการแบบมาตรฐาน​เดียวกันให้กับลูกค้าทั้งชาวญี่ปุ่นและไม่ใช่ชาวญี่ปุ่น

“พวกเขาควรภาคภูมิใจในการนำเสนอบริการการต้อนรับคุณภาพสูง โดยที่นักท่องเที่ยวสามารถจ่ายค่าใช้จ่ายได้อย่างเพียงพอ” เขากล่าว “บริการพิเศษดังกล่าวเป็นที่ต้องการของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ และจะส่งผลให้มีผู้มาเยี่ยมชมซ้ำ (เพิ่มขึ้น)"

‘ฉางเอ๋อ-5’ เผย!! พบ 'โมเลกุลน้ำ' จากดินบนดวงจันทร์ เปิดโอกาสใหม่ ‘พัฒนา-ใช้ทรัพยากรน้ำ’ ได้ในอนาคต

(24 ก.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ทีมนักวิทยาศาสตร์ที่นำโดยผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันฟิสิกส์ สังกัดสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์จีน ค้นพบแร่ธาตุชนิดหนึ่งที่อุดมไปด้วยน้ำในโครงสร้างโมเลกุล ในตัวอย่างดินดวงจันทร์ที่ยานสำรวจดวงจันทร์ฉางเอ๋อ-5 (Chang'e-5) นำกลับมาสู่โลก โดยประกอบด้วยผลึกน้ำมากถึง 6 โมเลกุล

หลักฐานหลายชิ้นชี้ให้เห็นถึงการมีอยู่ของน้ำหรือน้ำแข็งบนพื้นผิวดวงจันทร์ แต่มีแนวโน้มว่าน้ำและน้ำแข็งอาจจะอยู่ในรูปแบบของหมู่ไฮดรอกซิล (hydroxyl group) มากกว่า

การศึกษาที่เผยแพร่ลงในวารสารเนเจอร์ แอสโทรโนมี (Nature Astronomy) เมื่อไม่นานนี้ แสดงให้เห็นว่าโมเลกุลน้ำในตัวอย่างดินดวงจันทร์นั้นมีน้ำหนักมากถึงราวร้อยละ 41 ของมวลทั้งหมด ซึ่งบ่งชี้ถึงการตรวจจับโมเลกุลน้ำภายในเรโกลิธ (regolith) บนดวงจันทร์ได้โดยตรงเป็นครั้งแรก และช่วยไขกระจ่างถึงการมีโมเลกุลน้ำและแอมโมเนียม (ammonium) อยู่จริงบนพื้นผิวดวงจันทร์

การศึกษาเผยว่าโครงสร้างและองค์ประกอบของแร่ธาตุดังกล่าวคล้ายคลึงกับแร่ธาตุที่เคยพบใกล้ภูเขาไฟบนโลกอย่างมาก ซึ่งสามารถตัดความเป็นไปได้ว่าสิ่งปนเปื้อนหรือไอเสียจากจรวดบนพื้นผิวดวงจันทร์เป็นต้นกำเนิดของสารประกอบที่มีโมเลกุลของน้ำอยู่นี้

การค้นพบครั้งนี้เผยถึงรูปแบบความเป็นไปได้อย่างหนึ่งที่บนพื้นผิวดวงจันทร์จะมีโมเลกุลของน้ำอยู่ นั่นคือการอยู่ในรูปแบบของเกลือไฮเดรต (hydrated salts) ซึ่งแร่ธาตุที่มีโมเลกุลของน้ำประกอบเหล่านี้มีความเสถียรมากในบริเวณพื้นที่สูงของดวงจันทร์ ถึงแม้ในพื้นที่นั้นมีแสงแดดส่องถึงก็ตาม

คณะนักวิจัยกล่าวว่าการค้นพบครั้งนี้เปิดโอกาสใหม่ ๆ สำหรับการพัฒนาและการใช้ทรัพยากรน้ำบนดวงจันทร์เพิ่มเติมในอนาคต

ทั้งนี้ จีนตั้งเป้าจะสร้างแบบจำลองพื้นฐานของสถานีวิจัยดวงจันทร์นานาชาติภายในปี 2035 ซึ่งการใช้ทรัพยากรจากบนดวงจันทร์จะช่วยวางรากฐานสำหรับการก่อสร้างสถานีบนดวงจันทร์ได้ในระยะยาว

(ทีมนักวิทยาศาสตร์ของจีนค้นพบแร่ธาตุชนิดหนึ่งที่อุดมไปด้วยน้ำในโครงสร้างโมเลกุล ในตัวอย่างดินดวงจันทร์ที่ยานสำรวจดวงจันทร์ฉางเอ๋อ-5 (Chang'e-5) นำกลับมาสู่โลก)

‘อ่างน้ำพุร้อน’ เยลโลว์สโตน ‘ระเบิด’ จากความร้อนใต้พิภพ ด้าน นทท.วิ่งหนีตายวุ่น ล่าสุดยังไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บ

(24 ก.ค.67) รายงานข่าว จากเพจ ‘World Forum ข่าวสารต่างประเทศ’ ระบุว่า อ่างน้ำพุร้อนบริเวณ Biscuit Basin เกิดการระเบิดขึ้นจากความร้อนใต้พิภพ ที่อุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน (Yellowstone) รัฐไวโอมิง ซึ่งเป็นอุทยานแห่งแรกของโลกและของสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้สะพานพังเสียหาย นักท่องเที่ยวจำนวนมากต่างพากันวิ่งหนีตาย เบื้องต้นยังไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บ 

ล่าสุด ได้ทำการปิดพื้นที่โดยรอบชั่วคราว ทางนักธรณีวิทยา กำลังเร่งตรวจสอบว่าเกิดอะไรขึ้นกับเยลโลว์สโตน หลายคนมองว่า นี่เป็นการส่งสัญญาณที่ผิดปกติ

หึ่ง!! ‘สาวออสเตรเลีย’ ถูก 5 ชายฉกรรจ์ รุมข่มขืนในกรุงปารีส เบื้องต้นจับกุมยังไม่ได้ ท่ามกลางโอลิมปิกเกมส์กำลังจะเกิดขึ้น

(24 ก.ค.67) ตำรวจฝรั่งเศสกำลังทำการสืบสวน หลังหญิงสาวชาวออสเตรเลียรายหนึ่งบอกว่าเธอถูกชายฉกรรจ์ 5 คน รุมข่มขืนในย่านใจกลางกรุงปารีส ไม่กี่วันก่อนหน้ามหกรรมโอลิมปิกเกมส์ ที่เมืองหลวงแห่งนี้รับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพจะเริ่มขึ้น

โดยสื่อมวลชนท้องถิ่นรายงานว่า ผู้หญิงวัย 25 ปี หลบอยู่ในร้านเคบับ ในย่าน Pigalle ของกรุงปารีส ในตอนเช้าวันเสาร์ (20 ก.ค.) ในสภาพที่ชุดถูกฉีกขาดเป็นบางส่วน เธออ้างว่าโดนข่มขืน เบื้องต้นยังไม่มีการจับกุมใคร แต่อัยการยืนยันว่าพวกเจ้าหน้าที่กำลังดำเนินการสืบสวนคดีนี้ในฐานะคดี ‘รุมโทรม’ โดยเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นไม่กี่วันก่อนที่เมืองหลวงของฝรั่งเศส จะเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกเกมส์ 2024

ทั้งนี้ หนังสือพิมพ์ Le Parisien ของฝรั่งเศส รายงานว่า เจ้าของร้านเคบับ โทรศัพท์ขอความช่วยเหลือ หลังพบหญิงสาวอยู่ในสภาพชุดถูกฉีกขาดเป็นบางส่วน และเธออ้างว่าถูกประทุษร้ายทางเพศ เบื้องต้นเธอได้รับการดูแลจากหน่วยดับเพลิง จากนั้นถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาล Bicha เพื่อตรวจร่างกาย โดยแพทย์มืออาชีพ

ต่อมา สำนักงานอัยการปารีส เปิดเผยว่า ตำรวจกำลังสืบสวนคำกล่าวอ้างดังกล่าวและกำลังทำการตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิด ในเหตุการณ์ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเกิดขึ้นในช่วงค่ำวันศุกร์ (19 ก.ค.) จนถึงเช้าวันเสาร์ (20 ก.ค.)

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นแม้ว่าปัจจุบันมีตำรวจจำนวนมากกระจายกำลังอยู่ทั่วกรุงปารีส เพื่อรักษาความปลอดภัยแก่ผู้คนภายในเมือง ระหว่างการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ ซึ่งจะเริ่มขึ้นในวันศุกร์นี้ (26 ก.ค.)

เจ้าหน้าที่ใช้บุคลากรจำนวนมากในการลาดตระเวนในกรุงปารีส นับตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว ในนั้นรวมถึงเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยติดอาวุธแถว ๆ แม่น้ำแซน

นอกจากนี้ ได้มีการกำหนดโซนความปลอดภัยหลายพื้นที่รอบเมือง โดยที่กรุงปารีสถูกแยกเป็นโซนต่าง ๆ หากใครก็ตามปรารถนาเข้าไปยังบางพื้นที่ ในนั้นรวมถึงหอไอเฟล จำเป็นต้องยื่นขอบัตรผ่านพิเศษบนแพลตฟอร์มหนึ่งที่จัดทำโดยตำรวจ

‘แฮร์ริส’ ภูมิใจได้รับแรงหนุนจากคนในพรรค หลัง ‘ไบเดน’ ถอนตัว พร้อมลงชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐฯ สู้!! ‘โดนัลด์ ทรัมป์’

(23 ก.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ‘กมลา แฮร์ริส’ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่า เธอได้รับการสนับสนุนจากคณะผู้แทนของพรรคเดโมแครตมากพอจะได้รับการเสนอชื่อเป็นตัวแทนพรรคฯ ลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ใกล้จะเกิดขึ้น

โดยแถลงการณ์จากแฮร์ริสระบุว่า เธอภูมิใจที่ได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางที่จำเป็นต่อการได้รับเสนอชื่อเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครต และหวังว่าจะได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการเร็ว ๆ นี้

อนึ่ง โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศเมื่อวันอาทิตย์ (21 ก.ค.) ว่าเขาจะถอนตัวออกจากการแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 2024 ภายใต้แรงกดดันที่เพิ่มขึ้นจากภายในพรรคเดโมแครต โดยไบเดนยังแสดงการสนับสนุนอย่างเต็มที่ในการเสนอให้แฮร์ริสเป็นแคนดิเดตชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของพรรคฯ

แฮร์ริสได้รับแรงหนุนจากบุคคลสำคัญของพรรคเดโมแครตหลายคน ซึ่งรวมถึงอดีตประธานสภาผู้แทนราษฎรอย่างแนนซี เพโลซี ที่เรียกร้องให้พรรคฯ รวมพลังและคว้าชัยเหนืออดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน

ห้างใหญ่เซี่ยงไฮ้ ‘กระตุ้นชอปปิง-ท่องเที่ยว’ ชาวต่างชาติ แค่แสดงหนังสือเดินทาง รับคูปองส่วนลด 5,500 บาท

(23 ก.ค.67) ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในนครเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของจีน ได้แจกบัตรของขวัญให้แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติไว้ใช้จับจ่ายซื้อของเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว

โดย สถานีโทรทัศน์ซีซีทีวีของทางการจีนรายงานว่า ห้างสรรพสินค้าใหญ่บนถนน อีสต์ นานจิง แหล่งท่องเที่ยวสำคัญในนครเซี่ยงไฮ้ แจกบัตรของขวัญให้แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ เพียงแค่แสดงหนังสือเดินทาง ก็จะได้รับคูปองที่ไม่มีเงื่อนไขมูลค่า 8 หยวน หรือประมาณ 40 บาท และคูปองส่วนลดอีก 2 ใบ มูลค่า 1,100 หยงน หรือประมาณ 5,500 บาท ไว้ใช้จับจ่ายซื้อของเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว ขณะที่บรรดานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ต่างพอใจกับมาตรการแจกคูปองดังกล่าว เพราะจะช่วยให้พวกเขาตัดสินใจซื้อสินค้าและกิจกรรมต่าง ๆ ขณะท่องเที่ยวในเซี่ยงไฮ้ได้ง่ายขึ้น

ซึ่งมาตรการแจกบัตรของขวัญให้แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติดังกล่าว เป็นหนึ่งในกิจกรรมหลากหลายเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติของนครเซี่ยงไฮ้ หลังจากจีนประกาศใช้นโยบายวีซ่าฟรี แก่นักท่องเที่ยวจาก 15 ประเทศทั่วโลก คาดว่าการให้ส่วนลดในการช้อปปิ้ง จะทำให้นักท่องเที่ยวใช้จ่ายและบริโภคมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมจูงใจอื่น ๆ เช่น การทำให้ผู้ถือบัตรเครดิตธนาคารต่างประเทศสามารถชำระเงินได้ง่ายมากยิ่งขึ้น

ขณะที่ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ นักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยือนนครเซี่ยงไฮ้แล้วมากกว่า 2 ล้านคน คิดเป็น 2.8 เท่าจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ส่วนในช่วงครึ่งปีแรก มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาจีนกว่า 14 ล้านคนเพิ่มจากเมื่อปีที่แล้วกว่า 150% ในจำนวนนี้ มากกว่า 8 ล้านคนเข้าประเทศด้วยนโยบายวีซ่าฟรี

'อังกฤษ’ แนะ!! แพทย์ ‘ควรลดใช้ใบจ่ายยา-ลดการตรวจเลือดที่ไม่จำเป็น’ เหตุกิจกรรมในระบบสาธารณสุข มีส่วนพ่นก๊าซพิษถึง 40% ของราชการทั้งหมด

(23 ก.ค. 67) รายงานข่าวระบุว่า ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งลอนดอน หรือ RCP ออกคำแนะนำทางการแพทย์ที่เรียกว่า ‘Green Physician Toolkit’ ที่เป็นการดำเนินการต่าง ๆ ที่แพทย์สามารถช่วยลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ ตั้งแต่การลดจ่ายใบสั่งยา และการตรวจเลือดที่ไม่จำเป็น ไปจนถึงการแนะนำวิธีป้องกันตัวจากผลกระทบของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มขึ้นให้แก่คนไข้

“แน่นอนว่าการให้ความสำคัญกับความยั่งยืนอาจเป็นเรื่องท้าทายทางการแพทย์ ที่ต้องรักษาคนไข้ แต่เราต้องระลึกว่าการลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและผลกระทบต่อสุขภาพ จะช่วยลดการใช้ระบบบริการสาธารณสุขแห่งชาติ หรือ NHS ในระยะยาวได้” ศาสตราจารย์ราเมช อาราสารัดนาม รองประธานฝ่ายวิชาการของ RCP กล่าว

ในปี 2565 ระบบบริการสุขภาพแห่งชาติปล่อยก๊าซเรือนกระจกคิดเป็น 40% ของการปล่อยก๊าซในหน่วยงานภาครัฐทั้งหมดจากสหราชอาณาจักร และคิดเป็น 4% ของการปล่อยก๊าซทั้งหมดของประเทศ โดย NHS เป็นระบบสุขภาพระบบแรกของโลกที่ตั้งเป้าหมายเข้าสู่ Net Zero ในปี 2583 

ประเทศอื่น ๆ ในยุโรปเองก็กำลังมองหาวิธีการกำจัดมลพิษด้านการดูแลสุขภาพด้วยเช่นกัน และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการพยายามลดใช้ใบจ่ายยา ในปี 2566 แพทยสภาแห่งสหภาพยุโรป หรือ CPME  กล่าวว่า “ควรลดการใช้ยาโดยไม่จำเป็น และต้องพิจารณาแง่มุมต่าง ๆ ของการปฏิบัติตามข้อกำหนดที่เข้มงวดขึ้น เนื่องจากมีการจ่ายยาจำนวนมากที่ไม่ได้ใช้ และสุดท้ายต้องทิ้ง”

หากต้องการลดการสั่งจ่ายยาที่ไม่จำเป็น RCP แนะนำให้ใช้แพทย์พูดคุยทางเลือกการรักษาต่าง ๆ กับผู้ป่วย ซึ่งอาจจะเสนอการรักษารูปแบบอื่นก่อนการสั่งจ่ายยา หรือหันไปใช้ระบบดิจิทัลในการสั่งจ่ายยาแทน

เนื่องด้วย ยาและสารเคมีคิดเป็น 20% ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนของ NHS ดังนั้นการลดการจ่ายยาจึงสามารถช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีนัยสำคัญ

จากข้อมูลของ CPME ระบุว่า ยาจำนวนมากที่ใช้กันอยู่ในยุโรปต้องนำเข้ามาจากทวีปอื่น ๆ หากสามารถลดการใช้ยาที่นำเข้าจากทวีปอื่นได้ ก็จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ทั้งจากการผลิต และการขนส่ง อีกทั้งยังสามารถติดตามผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศจากกระบวนการผลิตยาได้อีกด้วย

นอกจากประเด็นสั่งจ่ายยาแล้ว ใน Green Physician Toolkit ยังมีประเด็นอื่น ๆ อีกมากมายที่สามารถลดความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศได้ ไม่ว่าจะเป็นแนะนำให้คนไข้ไม่ทิ้งยาลงในชักโครก เพราะจะทำให้แหล่งน้ำปนเปื้อน และควรส่งยาเก่า หรือยาที่ไม่ใช้แล้วให้แก่ร้านขายยาที่สามารถกำจัดได้อย่างปลอดภัย

อีกทั้งยังแนะนำให้แพทย์ควรคิดให้รอบคอบก่อนที่จะขอตรวจเลือด หรือดูว่าสามารถทำการทดสอบค่าต่าง ๆ จากตัวอย่างเดียวกันได้หรือไม่ เพราะการวิจัยก่อนหน้านี้แสดงให้เห็นว่าการตรวจเลือดในแต่ละครั้งก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า 49-116 กรัม รวมถึงการปล่อยก๊าซที่เกี่ยวข้องกับการผลิต การขนส่ง การแปรรูป ตลอดจนการกำจัดอุปกรณ์และบรรจุภัณฑ์ด้วย

รวมถึงแนะนำให้แพทย์ส่งหมายนัดทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น อีเมล เพื่อรวมถึงต้นทุนการใช้พลังงานและการพิมพ์ หากไม่จำเป็นต้องทำการรักษาหรือเป็นเพียงการติดตามผลการรักษา อาจทำการรักษาผ่านระบบอออนไลน์แทน เพื่อลดการเดินทาง ซึ่งอาจสร้างผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม และช่วยประหยัดเงินได้

แพทย์ถือเป็นบุคลากรที่คนทั่วทั้งชุมชนเชื่อถือและรับฟังเมื่อพูดถึงภัยคุกคามด้านสาธารณสุข องค์การอนามัยโลก หรือ WHO แนะนำเคล็ดลับการสื่อสารที่จะช่วยให้ผู้ฟังยอมรับฟังเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ดูไกลตัว (ซึ่งสามารถนำไปใช้ได้ทุกคน ไม่ใช่เพียงแค่แพทย์) 

WHO แนะนำให้ สื่อสารด้วยเนื้อหาที่ให้เข้าใจง่าย พูดคุยเกี่ยวกับเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วที่เห็นภาพผลกระทบชัดเจน และเน้นย้ำถึงประโยชน์ต่อสุขภาพจากการแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ตัวอย่างของการเริ่มต้นการสนทนาที่ Green Physician Toolkit แนะนำ เช่น ‘การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้คลื่นความร้อนเกิดบ่อยขึ้น ซึ่งความร้อนจะทำให้ร่างกายเครียด และส่งผลต่อสุขภาพ’ หรือ ‘ยาจะทำให้คุณเสี่ยงต่อความร้อนมากขึ้นได้อย่างไร’

“รถยนต์สันดาปจะปล่อยมลพิษทางอากาศที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพของคุณ ดังนั้นอย่าลืมพกอุปกรณ์ช่วยหายใจ สวมหน้ากากอนามัยเมื่อต้องไปในพื้นที่การจราจรหนาแน่น”

นอกจากนี้ RCP ยังแนะนำให้ แพทย์ควรบอกให้กลุ่มผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงในปัญหาด้านสุขภาพระยะยาว รวมถึง ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก และสตรีมีครรภ์ ตื่นตัวต่อผลกระทบด้านสุขภาพจิต ที่อาจเกิดขึ้นได้จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงความทุกข์ทรมานทางสิ่งแวดล้อม และภาวะซึมเศร้า โรควิตกกังวล โรค PTSD ที่เกิดหลังจากการประสบภัยทางธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม

RCP คาดว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะทำให้มีผู้เสียชีวิตเกิน 250,000 รายต่อปีภายในปี 2593 และแม้ว่ามากกว่าครึ่งหนึ่งมีแนวโน้มที่จะอยู่ในแอฟริกา แต่สหราชอาณาจักรก็จะได้รับผลกระทบโดยตรงจากความร้อนจัดและน้ำท่วม หรือ มีผู้ลี้ภัยสภาพภูมิอากาศจำนวนมากอพยพมาอยู่ในอังกฤษ โฆษก

NHS กล่าวว่า “เจ้าหน้าที่ NHS ต้องให้ความสำคัญกับความต้องการของผู้ป่วยเป็นอันดับแรกเสมอ แนวทางการแก้ปัญหาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมควรถูกนำมาใช้เฉพาะเมื่อมีความเหมาะสมทางคลินิกเท่านั้น และต้องสามารถช่วยประหยัดเงินของผู้เสียภาษีได้”

ปล่อยทำกันเป็นขบวนการแบบเกลื่อนโซเชียล 'นายหน้าขนแรงงาน-สายรายงาน-เจ้าหน้าที่'

เอย่า เคยรายงานเรื่อง VIP Pass ที่คนพม่าอยากมาไทยจ่ายแค่หลักพัน แล้วสามารถผ่าน ตม. มาได้แบบไม่ต้องมีหลักฐานการจองโรงแรม ไม่ต้องสำแดงเงิน แถมนายหน้าบางคนนี่ ยังช่วยนำรูปถ่ายของผู้ใช้บริการในเครือข่ายตน มาโพสต์บนสื่อโซเชียลตัวเอง ว่ามีรถกอล์ฟรับจากด้านในออกมาด้านนอกเลย VIP ... ระดับนี้ขนาด Elite card ยังทำไม่ได้!!

การกระทำเช่นนี้ ไม่สามารถทำคนเดียวได้ หากไม่มีคนของการท่าอากาศยานอยู่เบื้องหลัง ซึ่งจนถึงวันนี้ ก็ไม่มีคำตอบจากการท่าอากาศยานออกมาสักที

นอกจากนี้ เชื่อไหมว่าในสื่อโซเชียลของนายหน้าชาวเมียนมา ถึงขั้นมีการประกาศอย่างโจ๋งครึ่มด้วย ว่าสามารถรับขนคนจากย่างกุ้ง, เมียวดี, ท่าขี้เหล็ก มากรุงเทพฯ ได้อย่างปลอดภัย 

อยากถามหน่อยว่าเข้ามาได้อย่างไร? ตม. สามารถปล่อยให้เข้ามาได้ง่ายขนาดนั้นเลยอย่างนั้นหรือ? รึว่ามีผู้มีอิทธิพลหรือข้าราชการชายแดนใดได้ผลประโยชน์ร่วมกับนายหน้าเหล่านี้ จึงง่ายดายเสียขนาดนั้น

ที่เด็ดกว่า คือ มีโพสต์หนึ่งที่ถูกแขวนประกาศบนเพจมองพม่า (LOOK Myanmar) ว่ามีคนไทยรายหนึ่งสามารถพิมพ์ภาษาพม่าได้ เป็นสายคอยแจ้งข่าวคราวความเคลื่อนไหวในการออกพื้นที่ของตำรวจตรวจคนเข้าเมือง โดยระบุวันไว้อย่างละเอียด พร้อมแจ้งให้คนพม่าที่เข้าเมืองอย่างไม่ถูกต้อง อย่าออกมาค้าขายให้เก็บตัวอยู่ในบ้านในช่วงเวลาดังกล่าวเสียด้วย

ดังที่ทราบกันว่า ตอนนี้มีคนต่างด้าวที่เข้ามาแบบผิดกฎหมายในไทยมากขึ้น ทั้งทางช่องทางธรรมชาติและผ่านการใช้วีซ่าแล้ว Overstay เมื่อวีซ่าขาด หลายคนมาแบบใช้วีซ่าท่องเที่ยวที่จะอยู่ไทยได้ 60 วัน และ Extend visa ต่อได้อีก 30 วัน เพื่อหางานและให้ได้ Work permit ในช่วงเวลาดังกล่าว 

ที่กล่าวมา เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทยแล้ว และก็คงได้แต่คอยตั้งคำถามว่า ทางการไทยไม่ทำงานประสานกันเลยอย่างนั้นหรือ?

ไม่ว่ายุคไหน สมัยไหน คงไม่มีใครทำร้าย ทำลายชาติตนเองได้เท่ากับคนในชาติดังปรากฏให้เห็นในประวัติศาสตร์มาตั้งแต่สมัยอยุธยาแล้ว 

เอย่า ไม่ได้จะกล่าวโทษว่าการมีคนต่างด้าวหรือต่างชาติเข้ามาทำงานพัฒนาประเทศเป็นสิ่งไม่ดี แต่การเข้ามาที่ไม่ถูกต้อง ... ย้ำทุกครั้งว่า 'ไม่ถูกต้อง' จะนำพาซึ่งปัญหามากมาย ทั้งอาชญากรรม รวมถึงแก๊งสเตอร์ ระดับที่ว่า มีชาวพม่าผู้ยิ่งใหญ่ในสมุทรสาคร สามารถปิดซอยจัดงานเลี้ยงวันเกิดลูกกันได้เลยทีเดียว...

ฉะนั้น ยาเสพติด ลักขโมย และปัญหาอื่น ๆ อีกมากมาย คงไม่ต้องให้บรรยายแล้วเนาะ...

“อเมริกากำลังจะล้มละลายแล้ว” เสียงกู่ร้องจาก ‘อีลอน มัสก์’ มหาเศรษฐีติดท็อปโลก

(23 ก.ค. 67) อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีชาวอเมริกัน ซีอีโอของเทสลา สเปซเอ็กซ์ และโซเชียลมีเดีย X ได้โพสต์ข้อความผ่านบัญชี X ส่วนตัวของตนเอง ระบุว่า “อเมริกากำลังจะล้มละลายแล้ว”

การโพสต์ในครั้งนี้สืบเนื่องมาจากกรณีหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ มีจำนวน 34 ล้านล้านเหรียญ มีภาระดอกเบี้ยปีละ 1.14 ล้านล้านเหรียญ โดยสหรัฐฯ ต้องเจียดออกมาจากภาษีที่เก็บเข้ารัฐถึงปีละ 76%

'โพลมะกัน' ชี้!! 'แฮร์ริส' ยังเป็นรอง 'ทรัมป์' อยู่หลายขุม เพราะถูกมองเป็นเพียงภาพเงาสะท้อนไบเดน-ไร้บารมี

ข่าวใหญ่ที่สุดของวันนี้ หนีไม่พ้นการยอมสละตำแหน่งตัวแทนพรรคเดโมแครต ในการชิงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ 2024 ของ 'โจ ไบเดน' และขอส่งไม้ต่อให้กับ 'กมลา แฮร์ริส' รองประธานาธิบดีคู่หูของเขา ขึ้นไปแข่งขันกับ 'โดนัลด์ ทรัมป์' แทน  

ถึงจะเป็นข่าวดังทั่วโลก แต่ไม่ได้สร้างความประหลาดใจเท่าใดนัก หากได้ติดตามข่าวการเดินสายหาเสียง และปฏิบัติภารกิจในฐานะผู้นำสหรัฐฯ ของไบเดน ในปีที่ผ่านมาก็สามารถจับสัญญาณถึงความร่วงโรยสังขารของผู้นำวัย 81 ปีได้ และจากผลงานการดีเบตระหว่างเขา และ โดนัลด์ ทรัมป์ ล่าสุดที่ผ่านมา เป็นการตอกตะปูย้ำอย่างชัดเจนเป็นประจักษ์ว่า ไบเดนควรถอยให้คนรุ่นใหม่จะดีกว่า

โดย โจ ไบเดน ประกาศสนับสนุน กมลา แฮร์ริส ให้ขึ้นมาทำหน้าที่ตัวแทนพรรคเดโมแครตแทนที่เขาอย่างสุดกำลัง เพื่อหวังที่จะดึงคะแนนเสียงทั้งกลุ่มสตรี กลุ่มคนผิวสี กลุ่มชาวเอเชีย หรือแม้แต่กลุ่มผู้สนับสนุนไบเดนเดิม ด้วยการชูประเด็นที่จะสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ด้วยการเลือกประธานาธิบดีหญิงคนแรก และ ประธานาธิบดีผิวสีคนที่ 2 ให้กับสหรัฐฯ

แม้จะได้รับการสนับสนุนจากประธานาธิบดีในตำแหน่งคนปัจจุบัน แต่ กมลา แฮร์ริส ก็ยังไม่ถือว่าเป็นตัวแทนพรรคอย่างเป็นทางการ จนกว่าจะมีการลงมติโดยผู้แทนในการประชุมใหญ่ของพรรคเดโมแครตในเดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้เสียก่อน ที่ไม่รู้ว่าจะพลิกโผหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ ในวันนี้คือ โพลมาแล้ว 

โดยสำนักโพล Decision Desk HQ (DDHQ) ร่วมกับสำนักข่าวสายการเมือง The Hill ได้สำรวจกลุ่มตัวอย่างชาวอเมริกันผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทั่วประเทศ ว่าระหว่าง กมลา แฮร์ริส และ โดนัลด์ ทรัมป์ ใครนำ? ใครตาม? อย่างไร?

จากผลโพลจาก DDHQ ชี้ว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ยังนำ กมลา แฮร์ริส ในสัดส่วน 47% ต่อ 45%  ซึ่งแทบไม่ต่างจากผลโพลล่าสุดระหว่างทรัมป์ และ ไบเดน เลย ที่ทรัมป์ ยังนำ ไบเดน ด้วยคะแนน 46% ต่อ 43.5%

นี่เป็นคะแนนสูงสุดที่ กมลา แฮร์ริส ทำได้ในเวลานี้ ที่ยังไม่ประกาศว่าใครจะมาเป็นคู่หูของเธอในศึกเลือกตั้งครั้งนี้ แต่จากผลสำรวจล่าสุดพบว่า ถ้า โรเบิร์ต เคนเนดี จูเนียร์ กระโดดเข้าร่วมการแข่งขันอีกคนในฐานะผู้สมัครอิสระ จะยิ่งฉุดคะแนนของ กมลา แฮริส และทรัมป์ มีโอกาสนำผู้สมัครของเดโมแครตสูงถึง 6% เลยทีเดียว 

ส่วนโพลด้านคะแนนความนิยมส่วนตัวของกมลา แฮร์ริส ก็ดูยังน่าเป็นห่วง 

จากโพลสำรวจกว่า 102 สำนักพบว่าแฮร์ริสมีคะแนนความนิยมอยู่ที่  37.7% แต่คะแนนความไม่นิยมในตัวเธอกลับสูงกว่าเกือบเท่าตัวที่ 55.5% 

สก็อต แทรนเตอร์ ผู้อำนวยการสำนักโพล DDHQ กล่าวว่า ความนิยมในตัวแฮร์ริสนั้นเป็นเพียงภาพเงาสะท้อนตัวตนของไบเดน ซึ่งไม่เป็นผลดีกับเธอเท่าไหร่ เพราะ โจ ไบเดน ออกจากสนามแข่งด้วยภาพลักษณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก และ กมลา แฮร์ริส ก็ยังไม่มีบารมีเทียบเท่าไบเดน ซึ่งสิ่งที่ผู้ลงคะแนนเสียงอยากจะเห็นคือ เธอมีอะไรสดใหม่มานำเสนอให้กับชาวอเมริกันบ้าง

แต่ก็มีผลสำรวจของบางสำนักที่สนับสนุน กมลา แฮร์ริส ด้วยเช่นกัน อาทิ โพลของ Economist/YouGov ที่ชี้ว่า 8 ใน 10 ของชาวเดโมแครตสนับสนุน แฮร์ริส และมีโอกาสที่จะเอาชนะทรัมป์ได้ ในขณะที่โพลจากสำนักข่าว CBS และ CNN เผยว่า ทั้งไบเดน และ แฮริส ล้วนมีคะแนนตามหลังทรัมป์ แต่ แฮร์ริส มีส่วนต่างของคะแนนที่ตามหลังทรัมป์น้อยกว่าไบเดน และยังมีโอกาสได้เงินสนับสนุนหาเสียงมากกว่าผู้สมัครคนอื่น ๆ ของพรรค 

แต่เมื่อมองมาที่ฟากฝั่งของพรรครีพับลิกัน ต่างมองว่าโดนัลด์ ทรัมป์ ยังมีภาษีเหนือกว่า กมลา แฮร์ริส อยู่มาก และสามารถเอาชนะได้ง่ายกว่าแข่งกับไบเดนเสียอีก  

จุดเสียเปรียบของแฮร์ริส คือ เธอต้องแข่งกับ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ไม่ใช่คนเดิมเมื่อ 4 หรือ 8 ปีก่อน แต่เป็นนักการเมืองที่ผ่านสนามรบมาอย่างหนักหน่วงทั้งนิติสงคราม และ การลอบสังหารอย่างจริงจังมาแล้ว

นอกจากนี้ เธอยังต้องต่อสู้กับค่านิยมการเหยียดเพศ เหยียดเชื้อชาติ และสีผิว ที่ยังฝังรากลึกในสังคมอเมริกัน ในขณะที่เธอมีเวลาเหลือเพียง 4 เดือนสำหรับแคมเปญหาเสียงที่ต้องปรับกลยุทธ์ใหม่ทั้งหมด 

ดังนั้น แฮร์ริส 2024 ไม่ใช่งานง่ายจริง ๆ 

เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์

‘กรณ์’ ชี้ ‘ไบเดน’ ตัดสินใจถอนตัว พลิกเกม ดึงเงินบริจาค กลับมาเข้าพรรค มอง!! ‘กมลา แฮร์ริส’ เก่ง-ฉลาด สามารถแข่งกับ ‘ทรัมป์’ ได้แต่ยังเสียเปรียบ

(22 ก.ค.67) นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า โพสต์เฟซบุ๊กหัวข้อ ไบเดนถอนตัว…แล้วไงต่อ? ระบุว่า ไบเดน เสนอรองประธานาธิบดี Kamala Harris เป็นผู้สมัคร แต่ยังสรุปไม่ได้ อาจจะต้องเปิดให้มีการแข่งขันในที่ประชุมพรรคที่เรียกว่า ‘Open Convention’ (หลายชั่วโมงที่ผ่านมา คลินตั้นสนับสนุน Harris แต่โอบาม่า โน้มเอียงไปทาง Open Convention) ตัวเต็งคือ Harris ส่วนตัวผมว่าเธอโอเค เก่ง ฉลาด แข่งกับ Trump ได้ แต่ในขณะนี้เสียเปรียบอยู่แน่นอน

ส่วนตัวผมไม่แปลกใจที่ไบเดนถอนตัว ก่อนหน้านี้ที่หลายคนลุ้นอยู่คือไบเดนจะแค่ถอนตัวจากการเป็นผู้สมัคร หรือจะถอยให้ Harris เป็นประธานาธิบดีด้วยเลย ผมคิดว่าแค่นี้ดีแล้ว ดีสำหรับไบเดน ดีสำหรับ Harris ดีสำหรับการเมืองอเมริกัน

ผมว่าการตัดสินใจครั้งนี้อยู่ในระดับเปลี่ยนเกมส์ได้เลย เงินบริจาคเข้าพรรคน่าจะกลับมา

‘มาเลเซีย’ เริ่มใช้เส้นจราจรเรืองแสง เพิ่มความสว่าง คาด!! ช่วยลดอุบัติเหตุ ในเวลากลางคืนได้ดี

(22 ก.ค.67) เพจ ‘Motor Thailand’ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับถนนในประเทศมาเลเซีย โดยได้ระบุว่า ...

มาเลเซียเริ่มใช้เส้นจราจรเรืองแสง เพื่อความปลอดภัยบนถนนแล้ว

โครงการก่อสร้างถนน Shining Line ที่บาตูปาฮัต รัฐยะโฮร์ ในมาเลเซีย ใช้การตีเส้นจราจรแบบเรืองแสง ยิ่งมืด เส้นจราจรจะยิ่งสว่างเพื่อความปลอดภัยบนถนน เส้นจราจรเรืองแสงจะช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุได้ดีในเวลากลางคืน

การประยุกต์ใช้เครื่องหมายจราจรเรืองแสงในที่มืดนี้จะเน้นไปที่บริเวณที่ไม่มีสายไฟฟ้า หรือบริเวณที่ไม่เหมาะสมสำหรับการติดตั้งเสาไฟฟ้า รวมไปถึงบริเวณที่มืด บริเวณทางโค้งอันตราย และบนถนนที่เชื่อมต่อเมืองต่าง ๆ

มาเลเซียจัดเป็นประเทศที่มีคุณภาพถนนดีที่สุดเป็น อันดับ 2 รองจากสิงคโปร์ที่ครองอันดับ 1 ส่วนไทยอยู่ในอันดับที่ 4 จากการจัดอันดับของ World Global Economy

ข้อมูลเพิ่มเติม https://motor-th.com/?p=434

ไขความลับ 'ซินเจียงอุยกูร์' ใต้ผืนทะเลทราย-ภูเขาหิมะ-อากาศแปรปรวน' แต่กลับมี 'น้ำใช้-ไม่แล้ง-ไม่ท่วม' จนสร้างผลผลิตทางเกษตรได้ดีเกินคาด

เมื่อวานนี้ (21 ก.ค.67) เพจ ‘ตี๋น้อย’ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ ภูมิปัญญาการวางแผนระบบวิศวกรรมน้ำแบบครบวงจร ที่เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ประเทศจีน โดยได้ระบุว่า ...

ช่วงสัปดาห์ที่แล้ว ทางมหาวิทยาลัยสือเหอจื่อ เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ประเทศจีนได้พานักศึกษาต่างชาติรวมถึงตี๋น้อยมีโอกาสได้ไปเรียนรู้ระบบวิศวกรรมด้านน้ำมาครับ

อย่างที่ทุกคนรู้ครับว่า เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ประเทศจีนเป็นพื้นที่ทะเลทราย แต่ก็มีพื้นที่ที่เป็นภูเขาหิมะด้วย สภาพอากาศค่อนข้างแตกต่างกันมากๆ หนาวสุด -30 องศาเซลเซียส หิมะหนามาก ๆ ถนนเป็นน้ำแข็ง ร้อนสุดที่ 35-38 องศาเซลเซียส ซึ่งจะเห็นได้ว่า สภาพอากาศแตกต่างกันมาก ๆ

แล้วทีนี้ในสภาพอากาศที่สุดขั้วแบบนี้ทำไมที่นี่ซินเจียงถึงมีน้ำใช้ได้ตลอด ไม่ท่วม ไม่แล้ง แถมทำการเกษตรได้ดีด้วย

คำตอบอยู่ที่นี่ครับ ทุกอย่างอยู่ที่สมอง และการจัดการของมนุษย์ล้วน ๆ ที่นี่เองมีการวางแผนระบบวิศวกรรมน้ำแบบครบวงจรทั้งเมือง นำธรรมชาติและเทคโนโลยีวิศวกรรมมากประยุกต์ใช้ร่วมกันให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ที่นี่มีการวางผังระบบน้ำทั้งระบบของทั้งเมือง ทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และ ปลายน้ำ โดยที่ต้นน้ำจะมีสถานีรับน้ำจากภูเขาหิมะ โดยที่น้ำจะเป็นหิมะละลายมาจากภูเขา และที่สถานีรับน้ำมีท่อรับน้ำเพื่อเก็บแทงค์น้ำใต้ดิน มีทั้งระบบน้ำล้น น้ำผุด นอกจากนี้ที่นี่ยังมีประตูระบายน้ำอัตโนมัติ รวมถึงการควบคุมการส่งน้ำผ่านแม่น้ำลำคลองที่มนุษย์สร้างด้วย ที่สำคัญคือ ทุกอย่างควบคุมผ่านเอไอทั้งหมดด้วย ทำให้ที่นี่เวลาหิมะละลาย น้ำไม่ท่วม หน้าแล้งก็มีน้ำใช้ตลอด ทุกอย่างเพียงพอสำหรับการเกษตร และการใช้น้ำในชีวิตประจำวัน ไม่มีแล้ง แถมมีผลไม้ให้กินตลอดด้วย

‘ศาลสูงเกาหลี’ ตัดสินให้ ‘คู่รักLGBTQ’ ได้รับสิทธิด้านสุขภาพ เท่าเทียมคู่รักอื่น  ชี้!! มีคุณค่าในความเป็นมนุษย์ ควรได้รับสิทธิอย่างเท่าเทียม มีเสรีภาพในส่วนตัว

(21 ก.ค.67) ศาลสูงเกาหลีใต้ตัดสินว่า ให้คู่รักเพศเดียวกันมีสิทธิ ได้รับสวัสดิการจากประกันสุขภาพของรัฐ ซึ่งถือเป็นชัยชนะของสิทธิของกลุ่ม LGBTQ

คดีนี้ฟ้องโดย โซ ซองอุก และคิม ยองมิน คู่รักเกย์ที่อยู่กินกันโดยไม่จดทะเบียน ซึ่งการแต่งงานเพศเดียวกันในปี 2019 ถือว่าไม่ถูกกฎหมาย ทั้งคู่ได้ฟ้องสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (NHIS) เนื่องจากสำนักงานฯ ได้ระงับสิทธิประโยชน์คู่ครองของเขา หลังจากพบว่าทั้งคู่เป็นคู่รักเกย์

คำตัดสินในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ศาลชั้นสูงของโซลตัดสินให้คู่รักคู่นี้ชนะคดี โดยกำหนดให้ NHIS คืนสิทธิประโยชน์คุ้มครองให้กับคู่รักที่อยู่กินกันโดยไม่จดทะเบียนได้การอุทธรณ์คำตัดสิน ส่งผลให้คดีดังกล่าวต้องส่งเรื่องไปยังศาลฎีกา

ประธานศาลฎีกา โจ ฮีเด กล่าวว่า การปฏิเสธสิทธิประโยชน์ดังกล่าวแก่คู่รักเพศเดียวกันเพียงเพราะเรื่องเพศ ถือเป็นการเลือกปฏิบัติที่ละเมิดศักดิ์ศรีและคุณค่าของมนุษย์ สิทธิในการแสวงหาความสุข เสรีภาพในการมีความเป็นส่วนตัว และสิทธิที่จะได้รับความเท่าเทียมกันต่อหน้ากฎหมาย และการละเมิดดังกล่าวถือเป็นเรื่องร้ายแรง

อุทาหรณ์!! ‘สตรีมเมอร์ชาวจีน’ เสียชีวิตกลางไลฟ์สด หลังโชว์กินแบบ ‘ม็อกบัง’ ทำอาหารไม่ย่อย ช่องท้องผิดรูปรุนแรง

(20 ก.ค.67) รายงานข่าวระบุว่า รัฐบาลจีนเริ่มปราบปรามเหล่าอินฟลูเอนเซอร์ที่เปิดช่องไลฟ์สดกินอาหารในปริมาณมากๆ มาตั้งแต่ปี 2020 เพื่อไม่ให้คนจีนติดนิสัยกินมากเกินไปและกินทิ้งกินขว้าง โดยผู้ฝ่าฝืนมีโทษปรับสูงสุดถึง 10,000 หยวน

อย่างไรก็ตาม การไลฟ์สดกินอาหารแบบ ‘ม็อกบัง’ ก็ยังคงเป็นที่นิยมอย่างสูงในจีน และยังมีสตรีมเมอร์เป็นพันๆ รายที่ยอมเอาสุขภาพตัวเองไปเสี่ยงกับการกินอาหารแบบยัดทะนานเพียงเพื่อเรียกยอดไลก์ยอดวิว

หนึ่งในนั้นคือ พาน เสี่ยวถิง (Pan Xiaoting 潘晓婷) อดีตพนักงานเสิร์ฟผู้ผันตัวเองมาเป็นม็อกบังเกอร์ระดับมืออาชีพ ก่อนที่เธอจะเสียชีวิตลงเมื่อต้นเดือนนี้ระหว่างกำลังไลฟ์สดกินอาหาร เนื่องจากร่างกายรับไม่ไหว

ผลการชันสูตรร่างของเธอพบว่า ภายในท้องมีอาหารที่ไม่ย่อยเป็นจำนวนมาก และช่องท้องของเธอ ‘ผิดรูป’ อย่างรุนแรง

พาน เคยทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟอาหาร แต่พอมาเห็นพวกสตรีมเมอร์ม็อกบังสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ แถมยังได้รับ ‘ของขวัญ’ จากบรรดาแฟนคลับเพียงแค่ไลฟ์สดตัวเองกินอาหารกองมหึมา เธอจึงตัดสินใจลองเข้าวงการนี้ดูบ้าง

ตอนแรก พาน แค่ไลฟ์สดเป็นงานอดิเรก แต่เมื่อยอดผู้ชมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เธอจึงตัดสินใจทำอาชีพสตรีมเมอร์จริงจัง เธอลาออกจากงานประจำ และมาเช่าบ้านอีกหลังทำเป็นสตูดิโอไลฟ์สดม็อกบัง เนื่องจากพ่อแม่ไม่เห็นด้วยและห่วงว่าสุขภาพของเธอจะแย่ลง

ยิ่งคนดูมากเท่าไหร่ พาน ก็ยิ่งละเลยสุขภาพร่างกายตัวเองมากเท่านั้น และพยายามสรรหา ‘ความท้าทายใหม่ ๆ’ ที่สุดโต่งมาดึงดูดผู้ชม และเมื่อพ่อแม่หรือผู้ชมบางคนแสดงความเป็นห่วงว่าการกินหนักขนาดนี้อาจทำให้เธอตายเร็ว แต่ พาน ก็จะตอบพวกเขาด้วยรอยยิ้มเสมอว่า “ไม่ต้องห่วง ฉันไหว”

โดยปกติ พาน เสี่ยวถิง ก็ไม่ใช่สาวรูปร่างผอมอยู่แล้ว และการผันตัวมาเป็นสตรีมเมอร์ม็อกบังก็ทำให้น้ำหนักของเธอเพิ่มขึ้นไปถึง 300 กิโลกรัม แต่เจ้าตัวก็ไม่กังวล และยังคงไลฟ์สดกินอาหารโชว์ผู้คนต่อไป

พาน เคยล้มป่วยเลือดออกในกระเพาะ (gastric bleeding) จากการกินมากเกินไป แต่หลังจากที่รักษาตัวจนหายดี สิ่งแรกที่เธอทำก็คือกลับมาเปิดกล้องไลฟ์สดกินอาหารอีก

ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ก่อนเสียชีวิต พาน เริ่มหันมาใช้วิธีสุดโต่งมากขึ้นเพื่อเรียกคนดู เช่น กินต่อเนื่องไม่หยุดอย่างน้อย 10 ชั่วโมงขึ้นไป และกินอาหารเกินกว่า 10 กิโลกรัมในการไลฟ์สดแต่ละครั้ง กระทั่งเมื่อวันที่ 14 ก.ค. ร่างกายของเธอทนรับไม่ไหว และหญิงสาวเสียชีวิตลงท่ามกลางความตกตะลึงของผู้คนที่กำลังชมไลฟ์สด

แม้สาเหตุการเสียชีวิตของ พาน จะไม่ถูกเปิดเผย แต่เว็บไซต์ข่าว Sohu อ้างผลชันสูตรที่พบว่าช่องท้องของเธอผิดรูป และในกระเพาะก็เต็มไปด้วยอาหารที่ไม่ย่อย

การเสียชีวิตของ พาน เสี่ยวถิง ถูกยกให้เป็นอุทาหรณ์เตือนใจสำหรับพวกสตรีมเมอร์ม็อกบังทั้งหลายที่กำลังทำลายสุขภาพตัวเองเพียงเพื่อเงิน และความสนใจจากชาวเน็ต


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top