Wednesday, 18 June 2025
WORLD

‘โนวัค โยโควิช’ นักเทนนิสระดับโลก โชว์ ไม้กางเขนคริสเตียน อย่างภาคภูมิใจ เพื่อส่งสารอันทรงพลัง ท่ามกลางความขัดแย้ง กรณี ‘พิธีเปิดโอลิมปิก’ ที่ปารีส

(29 ก.ค. 67) โนวัค โยโควิช นักเทนนิสระดับโลกชาวเซอร์เบีย ส่งข้อความอันทรงพลังด้วย #ไม้กางเขนคริสเตียน (CHRISTIAN CROSS) ใน #โอลิมปิก ที่ #ปารีส

โนวัค โยโควิช แชมป์เทนนิสโชว์ไม้กางเขนคริสเตียนอย่างภาคภูมิใจระหว่างโอลิมปิกที่ปารีส ส่งสารอันทรงพลังท่ามกลางความขัดแย้ง
โอลิมปิกที่ปารีสเผชิญกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากข้อกล่าวหาล้อเลียนศาสนาคริสต์ระหว่างพิธีเปิด

นอกจากนี้ งานนี้ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าใช้ DMCA (Digital Millennium Copyright Act หรือรัฐบัญญัติลิขสิทธิ์แห่งสหัสวรรษดิจิทัล) เป็นอาวุธเพื่อลบโพสต์บนโซเชียลมีเดียที่มีเนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์

‘สมาร์ตโฟนจีน’ เขี่ย ‘แอปเปิ้ล’ ร่วง Top 5 ในไตรมาส 2 ‘วีโว่’ ขึ้นแท่นผู้นำในจีน โกย!! ยอดขาย 13.1 ล้านเครื่อง

(29 ก.ค. 67)  สำนักข่าวซีเอ็นบีซี เผยว่า ส่วนแบ่งตลาดของแอปเปิ้ลในจีนร่วงลงสู่ระดับ 14% ในไตรมาสสองปี 2567 จากระดับ 15% ในไตรมาสหนึ่ง และจากระดับ 16% ในช่วงเวลาเดียวกันเมื่อปีก่อน

จากข้อมูลดังกล่าวทำให้ผู้ผลิตไอโฟน ที่ครองส่วนแบ่งตลาดในจีนมากเป็นอันดับที่ 3 ในไตรมาสสองของปีก่อน ร่วงลงไปครองตำแหน่งแบรนด์ที่มีส่วนแบ่งตลาดมากสุดอันดับที่ 6 ในจีน ซึ่งจากการคำนวณของซีเอ็นบีซี พบว่า แอปเปิ้ลมียอดจัดส่งสมาร์ตโฟนราว 9.7 ล้านเครื่อง

‘ลูคัส จง’ นักวิจัยจากคานาลิส (Canalys) กล่าวว่า

“นี่ถือเป็นไตรมาสแรกของประวัติศาสตร์ที่แบรนด์ของจีนครองส่วนแบ่งตลาดทั้ง 5 อันดับแรก”

ทั้งนี้ ยอดจัดส่งสมาร์ตโฟนของแอปเปิ้ลลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาสแรก ซึ่งร่วงมากถึง 25% สู่ระดับ 10 ล้านเครื่อง เมื่อเทียบแบบปีต่อปี

‘แอปเปิ้ล’ กำลังเผชิญกับภาวะคอขวดในตลาดจีน ขณะที่บริษัทพยายามรักษาเสถียรภาพด้านราคาขายปลีก และปกป้องกำไรตามช่องทางการจำหน่ายของพาร์ตเนอร์

คานาลิส ระบุ อีก 12 เดือนข้างหน้าบริการ "แอปเปิ้ล อินเทลลิเจนซ์ " (Apple Intelligence) ท้องถิ่นในจีน จะเป็นความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญ เพื่อแข่งขันกับแบรนด์สมาร์ตโฟนจีนที่กำลังพัฒนาการนำเอไอรู้สร้าง หรือเจนเอไอ (GenAI) ไปใช้ในผลิตภัณฑ์ของตน

ตั้งแต่เดือน เม.ย. ถึง มิ.ย. วีโว่ (Vivo) ขึ้นเป็นแบรนด์อันดับ 1 ที่ครองส่วนแบ่งตลาด 19% และมียอดขาย 13.1 ล้านเครื่อง อานิสงส์จากยอดขายแพลตฟอร์มออฟไลน์ และออนไลน์แข็งแกร่ง ในช่วงเทศกาลชอปปิงออนไลน์ 618

ขณะที่ออปโป้ (OPPO) ยังคงครองส่วนแบ่งตลาดอันดับที่ 2 เหมือนเดิม มียอดขาย 11.3 ล้านเครื่อง เนื่องจากได้รับแรงหนุนจากรุ่น Reno 12 ส่วนออเนอร์ (Honor) ครองอันดับที่ 3 มียอดขาย 10.7 ล้านเครื่อง เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 4 %

หัวเว่ย (Huawei) อยู่อันดับที่ 4 ครองส่วนแบ่งตลาด 15% โดยมียอดขาย 10.6 ล้านเครื่อง ขณะที่ปีก่อนหน้าหัวเว่ยยังไม่สามารถขึ้นเป็นแบรนด์ท็อป 5 ได้ แต่ขณะนี้ธุรกิจที่จำหน่ายสินค้าสู่ผู้บริโภคโดยตรง (consumer business) ของหัวเว่ยฟื้นตัวได้ดีในจีน หลังออกสมาร์ตโฟนรุ่น Mate 60

ด้านเสียวหมี่ (Xiaomi) ที่เพิ่งเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าที่สร้างความฮือฮาอย่าง SU7 ครองส่วนแบ่งตลาดอันดับที่ 5 และยอดขายโทรศัพท์มือถือ K70 และรุ่นเรือธงอย่าง เสียวหมี่ 14 เติบโตแข็งแกร่ง

โดยรวมแล้วตลาดสมาร์ตโฟนจีนเติบโต 10% ในไตรมาสสองเมื่อเทียบแบบปีต่อปี และมียอดขายมากกว่า 70 ล้านเครื่อง

ระวัง!! 'เมียนมาอพยพ' หวังฮุบ 'มหาชัย' เป็นเมืองหลวงแห่งที่ 2 ท่ามกลางความมั่นใจ 'ข้าราชการไทยซื้อได้-NGO คุ้มกะลาหัว'

ประเด็นเรื่องแรงงานเมียนมาในไทย ยังมีไม่จบไม่สิ้น จากที่ เอย่า กล่าวไปแล้วในบทความก่อน ก็มีโซเชียลมีเดียกลุ่มแรงงานเมียนมาบางกลุ่มมาโวยวายว่า 'คนไทยควรสำนึกบุญคุณที่แรงงานเขาสร้างไทยให้พัฒนา' และที่สำคัญคือ เขาได้จ่ายภาษีให้แก่ไทยด้วย โดยเฉพาะกลุ่มแรงงาน MOU

มาถึงจุดนี้ เอย่า ถึงกับตกใจว่า คนเหล่านี้ไปเอาคำกล่าวนี้มาจากไหน?

เอาเป็นว่าวันนี้ เอย่า มาอธิบายเรื่อง ภาษีรายได้ของคนต่างชาติที่มาทำงานกันให้ทราบดีกว่า...

เมื่อปีที่แล้วทางรัฐบาลทหารเมียนมามีการประกาศเกี่ยวกับการเก็บภาษีบุคคลที่ทำงานในต่างประเทศโดยมีรายละเอียดที่ปรากฎเมียนมาระบุว่า...

1. แรงงาน MOU และ กลุ่ม Blue Collarจะถูกหัก 2% ของรายได้ โดยทางการรัฐบาลเมียนมาจะ Fix ว่าคนกลุ่มนี้มีรายได้ที่ 7,500 บาท ดังนั้นคนกลุ่มนี้จะเสียภาษี 150 บาท/เดือน หรือ 1,800 บาท/ปี โดยทางสถานทูตจะกำหนดให้จ่ายทุก 6 เดือน หรือ 9 เดือน

2. สำหรับงาน White collar หรือกลุ่ม Expat จะเสียภาษี 2% เช่นกัน แต่เนื่องจากกลุ่มนี้มีการจ่ายภาษีให้ไทย จึงสามารถนำภาษีไทยมาหักภาษีได้ เช่น รายได้ 15,000 บาท จะต้องเสียภาษี 5% ให้ไทย แปลว่าภาษีส่วนนี้ก็ไม่ต้องจ่ายให้ทางเมียนมา ดังนั้นจึงไม่มีปัญหาการจ่ายภาษีซ้ำซ้อนหรือ doubble tax เช่นกัน หากจ่ายภาษีที่ไทยต่ำกว่า 2% ก็ให้นำหลักฐานการเสียภาษีในไทยมาหักกับภาษีที่ต้องจ่ายแล้วจ่ายส่วนต่างแทน

ฉะนั้นกลุ่มแรงงานและ Blue Collar ควรเข้าใจได้แล้วนะว่า พวกคุณไม่เคยเสียภาษีรายได้ในไทย แต่คุณเสียภาษีให้แก่รัฐบาลของคุณ (เมียนมา) ตามกฎหมายนั่นเอง

เอย่า ขอกล่าวว่า แรงงานไม่ว่าชาติใด ก็มีส่วนในการขับเคลื่อนประเทศไทยทั้งสิ้น ไม่ใช่แค่เมียนนมา แต่การขับเคลื่อนนั้น แลกมาด้วยค่าแรงที่นายจ้างจ่ายนะ ไม่ใช่พวกคุณมาทำให้ฟรีๆ ดังนั้นจึงถือเป็นบุญคุณคงไม่ได้ และถ้าพวกคุณจะไม่พอใจ ก็กลับไปได้เลย เพราะเชื่อว่ายังมีแรงงานชาติอื่นๆ ที่พร้อมจะเข้ามาเป็นแรงงานแทนพวกคุณ  

พวกคุณควรจะขอบคุณนายจ้างที่ยังจ้างพวกคุณทำงานมากกว่า!!

ส่วนเรื่อง 'มหาชัย' คุณจะตั้งเมียนมาทาวน์ เหมือนเยาวราชที่เป็นไชน่าทาวน์ หรือ พาหุรัดที่เป็นลิตเติลอินเดียก็ได้ แต่ถ้าไม่ปฏิบัติตนตามกฎหมายไทย คุณก็อย่าคิดว่าจะได้อยู่อย่างเป็นสุข เพราะที่นี่ไม่ใช่เมืองหลวงนอกประเทศของเมียนมา จำเอาไว้ด้วย

สุดท้าย เอย่า ขอเตือนข้าราชการไทยไว้ว่า ในโซเชียลของชาวพม่า ต่างดูถูกดูแคลนพวกข้าราชการไทย บ้างก็ว่าข้าราชการไทยเอาเงินจ่ายก็จบ บ้างก็ว่าข้าราชการไทยทำอะไรพวกเขาไม่ได้ เพราะพวกเขามี NGO คุ้มกะลาหัวอยู่ 

เป็นข้าของแผ่นดินไทยนะคะ ถ้าจะไม่อายคนที่มีชีวิตอยู่ ก็ควรอายผีบรรพบุรุษบ้าง!!

เอย่า ขอฝากไว้ให้คิดแค่นี้

บัญชีอย่างเป็นทางการ ‘โอลิมปิก’ ได้ลบคลิปพิธีเปิด ‘ปารีสเกมส์’ หลังทั่วโลก เดือด!! ไม่พอใจ ‘ล้อเลียน-ดูหมิ่น’ ศาสนาคริสต์

(29 ก.ค. 67) บัญชีอย่างเป็นทางการของโอลิมปิกได้ลบคลิปพิธีเปิดปารีสเกมส์ 2024 ออกจากช่องยูทูบของพวกเขา ตามหลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างกวาง โดนไฟย้อนศรจากทั่วโลก จากรณีที่ปล่อยให้มีการแสดงล้อเลียนภาพวาดชื่อดัง The Last Suppe (พระกระยาหารมื้อสุดท้ายของพระเยซูในศาสนาคริสต์) โดยกลุ่มคนหลากหลายทางเพศ ซึ่งถูกชาวคริสเตียนมองว่าเป็นการดูหมิ่นศาสนา

พวกผู้ชมที่พยายามเข้าถึงวิดีโอนี้ต้องเจอกับข้อความที่เน้นว่า ‘ไม่มีวิดีโอนี้’ อย่างไรก็ตามในเบื้องต้นทั้งคณะกรรมการโอลิมปิก หรือฝ่ายจัดปารีสเกมส์ 2024 ต่างยังไม่ออกมาชี้แจงใดๆ ต่อการลบคลิปดังกล่าว

ในพิธีเปิด ซึ่งนำเสนอในรูปแบบแปลกแหวกแนว มีตัวแสดงที่หลากหลายเข้าร่วม ในนั้นรวมถึงนางแบบ นายแบบ แดนเซอร์ บุคคลที่มีชื่อเสียงด้านแฟชั่น รวมถึงแดร็กควีน แต่หนึ่งในส่วนอันเป็นที่ถกเถียงมากที่สุดคือฉากล้อเลียนพระกระยาหารมื้อสุดท้ายของพระเยซูในศาสนาคริสต์ ตามภาพวาด ‘The Last Supper’ ของเลโอนาร์โด ดาวินชี ซึ่งโหมกระพือไฟย้อนศรอย่างหนัก

‘พิธีนี้น่าเสียดายที่มีฉากที่ศาสนาคริสต์ถูกล้อเลียนและเยาะเย้ย ซึ่งเราเสียใจอย่างสุดซึ้ง’ การประชุมเหล่าบิชอป ระบุในแถลงการณ์เมื่อวันเสาร์ (27 ก.ค.) ‘เราขอขอบคุณสมาชิกของนิกายทางศาสนาอื่นๆ ที่ได้แสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับเรา’ ถ้อยคำหนึ่งจากคำแถลงดังกล่าวและว่า ‘เช้านี้เรานึกถึงชาวคริสต์ทุกคนในทุกทวีปที่เจ็บปวดจากฉากบางฉากที่เกินจริงและยั่วยุ’

บิชอป เอ็มมานูเอล โกบิลลาร์ด โฆษกตัวแทนกลุ่ม Holy See for the 2024 Paris Olympics ให้สัมภาษณ์กับเอ็นบีซีนิวส์ ว่าฉากการดัดแปลงภาพ The Last Supper สร้างความเจ็บปวดเป็นอย่างมาก

ข้อเท็จจริงคือศาสนาของเราอาจถูกล้อเลียนเป็นปกติและเราเคยชินกับการถูกดูหมิ่นในฝรั่งเศส แต่ในบริบทนี้ไม่เหมือนกัน พระองค์กล่าว มันคือมหกรรมที่นำพาผู้คนทั่วโลกหรือบางส่วนของประชากรโลกมาเป็นหนึ่งเดียวกัน ข้าพเจ้าพบว่าการแสดงนี้เจ็บปวดอย่างที่สุดและอยู่ผิดทิศผิดทาง

ต่อมา หลังจากถูกวิพากษิวิจารณ์อย่างหนัก แอนน์ เดส์ช็องป์ส โฆษกปารีสเกมส์ 2024 เผยแพร่ถ้อยแถลงขอโทษ อธิบายว่าพวกเขาไม่เคยมีเจตนาแสดงความไม่เคารพต่อกลุ่มศาสนาไหนๆ และแสดงความเสียใจที่การแสดงดังกล่าวก่อความขุ่นเคืองใดๆ

ด้วยคลิปที่มีภาพฉากอันเป็นที่ถกเถียงถูกลบไปแล้วและบางคลิปของพิธีเปิดถูกปิดไม่ให้แสดงความคิดเห็น ผู้คนบนสื่อสังคมออนไลน์จึงไหลบ่ากันไปยังวิดีโอพิธีเปิดโอลิมปิกเกมส์ครั้งก่อนๆ ในนั้นรวมถึงลอนดอน 2012 และโซชิเกมส์ปี 2014 ซึ่งทั้ง 2 ครั้ง ย้อนให้เห็นถึงแนวทางที่ทำให้พิธิเปิดประสบความสำเร็จ และแสดงความผิดหวังต่อพิธีเปิดของปารีสเกมส์

อีลอน มัสก์ ซีอีโอของเทสลาและแพลตฟอร์มเอ็กซ์ เป็นหนึ่งในคนดังที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ โดยบอกว่า หากไม่มีความกล้าหาญที่จะยืนหยัดเพื่อสิ่งที่ยุติธรรมและถูกต้องมากขึ้น ศาสนาคริสต์ก็จะพินาศไป

พอมีชาวเน็ตเขียนก่อกวนและล้อเลียนพระเยซูว่า หากคุณกำลังจะกลับไปเกิดใหม่อีกครั้งเราพร้อมเสมอที่จะช่วยคุณ ทาง อีลอน มัสก์ เขียนตอบโต้กลับไปว่า ผมเชื่อในหลักการของศาสนาคริสต์ เช่น รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง หมายถึง มีความเห็นอกเห็นใจกับทุกคน และหันแก้มอีกข้างให้ หมายถึง ยุติวัฏจักรแห่งการจองเวรซึ่งกันและกัน

แม้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ แต่ฝ่ายสร้างสรรค์การแสดงชุดดังกล่าวออกมาปกป้องตนเอง โดยบอกว่า มันจะไปสนุกอะไรถ้าไม่มีประเด็นถกเถียง มันคงจะน่าเบื่อน่าดู หากทุกๆ คนบนโลกครั้งเห็นพ้องตรงกันหมด

นอกจากบุคคลทั่วไปและในแวดวงศาสนาแล้ว การแสดงในพิธีเปิดปารีสเกมส์ ยังถูกตำหนิจากบรรดาสื่อมวลชนกระแสหลัก ในนั้นรวมถึงนิวยอร์กไทม์สและนิวยอร์กโพสต์ ซึ่งสำนักข่าวหลังให้คำจำกัดความว่าเป็นพิธีเปิดที่ น่าเบื่อ คิดไม่ดีและไม่ปะติดปะต่อ ส่วน Le Figaro หนังสือพิมพ์ฝรั่งเศส บอกว่าการแสดงมีความทะเยอทะยาน แต่ยอมรับว่าบางองค์ประกอบนั้นเลยเถิดจนเกินไป

.
 

'เหล่าคนดัง-บิชอป' ประณาม!! การแสดงช่วงหนึ่งในพิธีเปิดโอลิมปิก หลังล้อเลียนภาพอาหารค่ำมื้อสุดท้ายของพระเยซู ด้วยธีม LGBTQ

(28 ก.ค. 67) ผู้ใช้เฟซบุ๊ก 'Jaroensook Limbanchongkit Pone' ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับหลายภาคส่วนที่มีความกังวลใจและไม่พอใจกับเนื้อหาบางส่วนในพิธีเปิดโอลิมปิก 2024 ที่ฝรั่งเศส ระบุว่า...
.
บรรดาบิชอป (Bishop) ใน #ฝรั่งเศส ออกแถลงการณ์ประณามพิธีเปิด #โอลิมปิก2024 ที่ตั้งใจ 'ล้อเลียนศาสนาคริสต์' (French bishops condemn Olympic ‘mockery of Christianity)
.
โดยเหล่าบิชอป ประณามผู้จัดงานโอลิมปิกเกมส์จากการล้อเลียนภาพอาหารมื้อสุดท้ายในธีม LGBTQ ในระหว่างพิธีเปิดการแข่งขัน ที่ผู้จัดงานอ้างว่า การแสดงดังกล่าวสะท้อน 'คุณค่าและหลักการ' ของพวกเขา
.
ทั้งนี้ พิธีดังกล่าว ซึ่งจัดขึ้นที่ใจกลางกรุงปารีสเมื่อคืนวันศุกร์ (26) ได้ปิดท้ายด้วยคณะแดร็กควีน คนรักร่วมเพศ และบุคคลข้ามเพศที่วางตัวที่โต๊ะ เหมือนกับฉากหนึ่งที่พระเยซูคริสต์และอัครสาวกของพระองค์ปรากฏในภาพยนตร์เรื่อง 'The Last Supper' ของเลโอนาร์โด ดาวินชี 
.
โดยหลังจากนั้นจานเสิร์ฟขนาดยักษ์ ที่ปรากฏร่างของชายเปลือย ซึ่งมีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับไดโอนีซัส (Dionysus) เทพเจ้าแห่งไวน์และการเฉลิมฉลองของกรีก ได้ถูกเลื่อนออกไปที่หน้าโต๊ะ และตลอดการแสดง สามารถมองเห็นลูกอัณฑะของนักเต้นชายที่โผล่ออกมาด้านหลังโต๊ะ
.
“พิธีนี้น่าเสียดายที่มีฉากที่ศาสนาคริสต์ถูกล้อเลียนและเยาะเย้ย ซึ่งเราเสียใจอย่างสุดซึ้ง” การประชุมเหล่าบิชอป ระบุในแถลงการณ์เมื่อวันเสาร์ (27)
.
“เราขอขอบคุณสมาชิกของนิกายทางศาสนาอื่นๆ ที่ได้แสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับเรา” ถ้อยคำหนึ่งจากคำแถลงดังกล่าวเผยและว่า “เช้านี้เรานึกถึงชาวคริสต์ทุกคนในทุกทวีปที่ได้รับบาดเจ็บจากฉากบางฉากที่เกินจริงและยั่วยุ”
.
ด้าน บิชอป โรเบิร์ต บาร์รอน แห่งมินนิโซตา เผยด้วยว่า "พิธีเปิดดังกล่าวถูกประณามโดยชาวคริสเตียนและกลุ่มอนุรักษ์นิยมทั่วโลก เพราะการแสดงนี้ ถือว่าเป็น 'การเยาะเย้ยอาหารมื้อสุดท้าย' อย่างเลวร้าย" ในขณะที่รองนายกรัฐมนตรีอิตาลี มัตเตโอ ซัลวินีประกาศว่า "การเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกด้วยการดูหมิ่นคริสเตียนหลายพันล้านคนทั่วโลกถือเป็นการเริ่มต้นที่แย่มากสำหรับฝรั่งเศส"
.
ฟาก Elon Musk ซีอีโอของ SpaceX และ Tesla ได้กล่าวถึงปรากฏการณ์นี้ว่า "เป็นการไม่เคารพคริสเตียนอย่างยิ่ง" ในขณะที่ Dr. Eli David ผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยี เผยว่า "แม้จะเป็นชาวยิว แต่เขาก็คงรู้สึกโกรธเคืองกับการดูถูกเหยียดหยามพระเยซูและศาสนาคริสต์อย่างอุกอาจ"
.
ขณะที่ บริษัทโทรคมนาคม C Spire ผู้ให้บริการไร้สายรายใหญ่อันดับหกในสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศถอนโฆษณาทั้งหมดออกจากการแข่งขันกีฬา #โอลิมปิก2024 เหตุสุดทนที่ผู้จัดงานได้จัดแสดงเยาะเย้ยศาสนาคริสต์ในช่วงพิธีเปิดการแข่งขัน
.
“เราตกใจมากกับการเยาะเย้ยพระกระยาหารมื้อสุดท้ายระหว่างพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่ปารีส C Spire จะถอนโฆษณาของเราออกจากการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก” C Spire ประกาศบนแพลตฟอร์ม X
 

‘กองทัพสหรัฐฯ’ ส่งจดหมาย สารภาพความผิดให้ ‘ฟิลิปปินส์’ ยอมรับ!! อยู่เบื้องหลังดิสเครดิต ‘วัคซีนซิโนแวค’ ของจีน

(28 ก.ค. 67) กองทัพสหรัฐฯ ยอมรับสารภาพแล้วว่า เป็นผู้ดำเนินยุทธการลับ มีเป้าหมายทำลายความน่าเชื่อถือวัคซีนโควิด-19 ซิโนแวคของจีนในฟิลิปปินส์ รวมถึงทั่วเอเชียและตะวันออกกลาง ตามรายงานของรอยเตอร์

‘มันเป็นความจริงที่ (กระทรวงกลาโหม) ส่งสารถึงผู้รับฟิลิปปินส์ ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับความปลอดภัยและประสิทธิภาพของวัคซีนซิโนแวค’ พวกเจ้าหน้าที่เพนตากอนเขียนถึงเจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมฟิลิปปนส์ ในจดหมายลงวันที่ 25 มิถุนายน และทางรอยเตอร์หยิบยกมารายงานในวันศุกร์ (26 ก.ค.)
.
ในจดหมายดังกล่าว กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (เพนตากอน) ยอมรับว่าพวกเขาได้กระทำการผิดพลาดบางอย่างในด้านการส่งสารที่เกี่ยวข้องกับโควิด แต่ได้รับประกันกับมะนิลาว่า เพนตากอนได้ระงับปฏิบัติการดังกล่าวไปตั้งแต่ช่วงปลายปี 2021 และนับตั้งแต่นั้นยกระดับการกำกับดูแลและเพิ่มความรับผิดชอบต่อปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารต่างๆ แล้ว

ปฏิบัติการที่เป็นเรื่องเป็นราวเริ่มขึ้นในปี 2020 หลังจากจีนประกาศว่าจะแจกจ่ายวัคซีนซิโนแวคให้ฟิลิปปินส์แบบไม่คิดค่าใช้จ่าย ในความพยายามตอบโต้ผลประโยชน์ทางประชาสัมพันธ์ที่ปักกิ่งจะได้รับจากโครงการนี้ ทางเพนตากอนออกคำสั่งให้ศูนย์ปฏิบัติการจิตวิทยาในฟลอริดา จัดตั้งบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ปลอมขึ้นมาอย่างน้อย 300 บัญชี เพื่อใส่ร้ายป้ายสีวัคซีนจีน อ้างอิงผลการสืบสวนของรอยเตอร์ที่ออกมาแฉเมื่อเดือนที่แล้ว

โควิดมาจากจีนและวัคซีนมาจากจีน อย่าไปเชื่อใจจีน หนึ่งในรูปแบบข้อความที่สร้างโดยทีมงานปฏิบัติการทางจิตวิทยา ขณะที่อีกข้อความเน้นว่า PPE (ชุดป้องกันเชื้อโรค) หน้ากากอนามัย วัคซีน ล้วนเป็นของปลอม แต่โคโรนาไวรัสเป็นของจริง

รอยเตอร์อ้างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเพนตากอน ยอมรับว่าเจ้าหน้าที่ทหารหลายนายที่เกี่ยวข้องกับยุทธการนี้รู้ดีว่าเป้าหมายของแผนการไม่ได้ปกป้องชาวฟิลิปปินส์จากวัคซีนที่ไม่ปลอดภัย แต่เป็นการสร้างความแปดเปื้อนแก่ชื่อเสียงของจีน

รายงานของรอยเตอร์ระบุว่า ไม่นานยุทธการโฆษณาชวนเชื่อดังกล่าวก็ถูกขยายวงออกไปนอกฟิลิปปินส์ โดยผู้รับสารมุสลิมทั่วเอเชียกลางและตะวันออกกลาง ได้รับการบอกเล่าว่าวัคซีนซิโนแวคปนเปื้อนเจลลาตินหมู เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นสิ่งฮะรอมหรือเป็นสิ่งต้อมห้ามตามกฎหมายอิสลาม ยุทธการนี้บีบให้ทางซิโนแวคเผยแพร่ถ้อยแถลงยืนยันว่าวัคซีนผลิตโดยปราศจากส่วนประกอบของหมูใดๆ

เพนตากอนไม่ยอมรับต่อสาธารณะว่าได้ส่งหนังสือยอมรับสารภาพไปยังกองทัพฟิลิปปินส์ ขณะที่รัฐบาลของสหรัฐฯ และฟิลิปปินส์ปฏิเสธแสดงความคิดเห็นต่อรายงานของรอยเตอร์

อย่างไรก็ตาม เมื่อเดือนที่แล้วโฆษกรายหนึ่งของเพนตากอนชี้แจงกับรอยเตอร์ ว่ากองทัพอเมริกา ใช้แพลตฟอร์มต่างๆ ในนั้นรวมถึงสื่อสังคมออนไลน์ ตอบโต้อิทธิพลมุ่งร้ายที่เล็งเป้าโจมตีสหรัฐฯ พันธมิตรและคู่หู และอ้างว่าวอชิงตีนแค่ตอบโต้ ยุทธการบิดเบือนของมูลของจีนที่กล่าวโทษอันเป็นเท็จ ว่าสหรัฐฯ เป็นผู้แพร่กระจายโควิด-19

กระทรวงการต่างประเทศของจีนบอกกับรอยเตอร์ว่า พวกเขาเน้นย้ำมานานแล้วว่า สหรัฐฯ เป็นผู้แพร่กระจายข้อมูลบิดเบือนเกี่ยวกับจีน

ฟิลิปปินส์ รายงานของรอยเตอร์กระตุ้นให้คณะกรรมาธิการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของวุฒิสภาเปิดการสืบสวน และระหว่างการพิจารณาเมื่อเดือนที่แล้ว วุฒิสมาชิกไอมี มาร์กอส ประธานคณะกรรมาธิการ ประณามยุทธการของเพนตากอนว่าเป็น ปีศาจ ชั่วร้าย อันตรายและไม่มีจริยธรรม  และแย้มว่ามะนิลากำลังตรวจสอบความเป็นไปได้ว่าจะสามารถดำเนินการทางกฎหมายกับวอชิงตันได้หรือไม่

'อดีตทูตนริศโรจน์' วิจารณ์พิธีเปิดโอลิมปิก ขัดแย้งต่อการ 'รู้แพ้-รู้ชนะ-รู้อภัย' หลังฝรั่งเศสนำเรื่องราวทารุณกรรม พระนางมารีอังตัวเนตต์ มาแสดง

(27 ก.ค.67) นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Fuangrabil Narisroj' ว่า…

โดยส่วนตัวผมไม่เห็นด้วยกับการนำเอาเรื่องราวของบุคคลในประวัติศาสตร์การเมืองที่ถูกประหารชีวิตอย่างทารุณกรรมด้วยการบั่นคอ เช่น พระนางมารีอังตัวเนตต์มาแสดงประกอบในพิธีเปิดงานมหกรรมกีฬา ที่เน้นเรื่องการรู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย ไม่เน้นความรุนแรง 

ใครจะมองว่าเป็น art อะไรก็ตาม แต่ผมมองว่ามันขัดแย้งกับ spirit ของการกีฬาของคนทั้งโลก !

กอปรกับเคยได้อ่านการวิเคราะห์ทางประวัติศาสตร์ว่า พระนางมารีอังตัวเนตต์ นั้น ถูกใส่ร้ายป้ายสีจากคณะปฏิกษัตริย์อย่างบิดเบือน จนทำให้พระนางดูร้ายเกินจริงจนมากมาย เลยทำให้ภาพองค์รวมของพิธีเปิดโอลิมปิคปารีสเกมส์ดู drop ลง ! 

Spirit Of Sport Not Violence !

พร้อมกันนี้ นายนริศโรจน์ ยังได้กล่วเสริมอีกว่า "นำเสนอเรื่องราวต่างๆได้หมด แฟชั่น สถาปัตยกรรม ความศิวิไลซ์ ไม่เว้นแต่ความรุนแรงในประวัติศาสตร์ของชาติตัวเอง...ยกเว้นเรื่องเดียวที่ไม่นำเสนอคือ การเข้าไปยึดครองประเทศอื่นเป็นอาณานิคมด้วยวิธีการเจ้าเล่ห์เพทุบาย เข้าไปสร้างความแตกแยกในประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะในอินโดจีน"

‘5 แบรนด์จีน’ ทุ่มเงินเป็นสปอนเซอร์ศึก ‘ยูโร 2024’ พร้อมผงาดขึ้นแท่นประเทศที่สนับสนุนมากที่สุด

(26 ก.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า การแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป (UEFA European Football Championship) เป็นหนึ่งในการแข่งขันฟุตบอลที่มีมายาวนานและได้รับความสนใจจากบรรดาแฟนบอลทั่วโลก โดยเฉพาะแฟน ๆ ชาวจีนที่ตื่นเต้นกับการแข่งขันยูโร 2024 ในปีนี้เป็นอย่างมาก เนื่องจากมีแบรนด์จีนที่ได้เฉิดฉายในสนามฟุตบอลด้วยองค์ประกอบที่โดดเด่น แสดงให้เห็นถึงความทรงอิทธิพลของแบรนด์จีนที่กำลังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในตลาดโลก

โดยในรายชื่อผู้สนับสนุนการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรประดับโลกอย่างเป็นทางการจำนวนทั้งสิ้น 13 รายประจำปีนี้ มีแบรนด์จีนถึง 5 ราย อันได้แก่ ไฮเซนส์ (Hisense) ผู้ผลิตอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าชั้นนำ, อาลีเพย์ (Alipay) แพลตฟอร์มการชำระเงินออนไลน์, อาลีเอ็กซ์เพรส (AliExpress) แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน, วีโว (Vivo) ผู้ผลิตโทรศัพท์สัญชาติจีน และบีวายดี (BYD) ยักษ์ใหญ่ด้านยานยนต์ไฟฟ้า

นับเป็นครั้งที่สองติดต่อกันที่จีนกลายเป็นประเทศที่ครองรายชื่อผู้สนับสนุนการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปมากที่สุด

เนื่องจากขยายตัวอย่างรวดเร็วของการค้ากับต่างประเทศและการเติบโตของการส่งออกสินค้าจีน ทำให้แบรนด์จีนกำลังได้รับความนิยมและขยายอิทธิพลในตลาดต่างประเทศทั่วโลกมากขึ้น

ด้าน สภาการส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศของจีน (CCPIT) รายงานว่า ปัจจุบันมีแบรนด์จีนอยู่ในตลาดกว่า 200 ประเทศและภูมิภาคทั่วโลก และมี 48 แบรนด์สัญชาติจีนที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นแบรนด์ที่มีมูลค่าสูงสุด 500 อันดับแรกของโลก ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าส่งออก

แบรนด์จีนจำนวนมากขึ้นได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคในต่างประเทศเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ขณะแบรนด์เองก็พยายามขยายตลาดพร้อมกับพัฒนาตนเองอย่างมีคุณภาพ ด้วยนวัตกรรมและการปรับตัวให้ตอบโจทย์ลูกค้าในท้องถิ่น

เมืองผู้ดีวิกฤต!! ‘คนไร้บ้าน’ พุ่งแตะ 7.9 หมื่นครัวเรือน แนวโน้มเพิ่มจำนวนต่อเนื่อง ขณะที่รัฐบาลยังไร้ทางแก้

คนไร้บ้านในอังกฤษเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และตอนนี้แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เริ่มมีการรวบรวมข้อมูลเปรียบเทียบในช่วงต้นทศวรรษ 2000 ตามรายงานที่เผยแพร่โดยหน่วยงานอิสระด้านเฝ้าระวังการใช้จ่ายสาธารณะ เมื่อไม่นานที่ผ่านมา

(26 ก.ค. 67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินของสหราชอาณาจักรเปิดเผยรายงานระบุว่า แม้มีกฎหมายลดคนเร่ร่อนในประเทศปี 2017 แต่สถานการณ์คนไร้บ้านยังคงเลวร้ายลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่นั้น และคาดหมายว่าจะเสื่อมทรามลงไปมากกว่านี้อีก

รายงานพบว่าจากช่วง 3 ไตรมาสของปี 2018-2019 จนถึงช่วงเวลาเดียวกันของปี 2023-24 จำนวนครัวเรือนที่ได้รับการรับรองจากทางการท้องถิ่นของพวกเขาในฐานะคนไร้บ้าน เพิ่มขึ้น 23% เป็น 78,980 ครัวเรือน ขณะที่จำนวนครัวเรือนที่ต้องพักอาศัยในที่พักพิงชั่วคราว เพิ่มขึ้น 35% เป็น 112,660 ครัวเรือน

ในรายงานของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน บอกต่อว่า จำนวนคนเร่ร่อนที่เพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เกี่ยวข้องกับปัจจัยต่าง ๆ ในนั้นรวมถึงขาดแคลนที่พักอาศัยเพื่อสังคมหรือโครงการบ้านของทางรัฐ ต้นทุนค่าบ้านที่ค่อนข้างสูง และการระงับโครงการเงินสงเคราะห์ช่วยจ่ายค่าเช่าสำหรับผู้เช่าบ้าน

ทั้งนี้ ในรายงานยังพบด้วยว่า ทางการท้องถิ่นต้องใช้จ่ายเงินในด้านบริการคนเร่ร่อนเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวนับตั้งแต่ปี 2010-11 แตะระดับ 2,440 ล้านปอนด์ในปี 2022-23

นอกจากนี้ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินระบุด้วยว่า มีพบเห็นสัญญาณที่ดีขึ้นบ้าง "แต่รัฐบาลยังคงไม่มียุทธศาสตร์และเป้าหมายสำหรับลดจำนวนคนเร่ร่อน" 

ขณะที่กระทรวงยกระดับบ้านและชุมชน (DLUHC) ล้มเหลวในการเพิ่มจำนวนอุปทานล้าน ทั้งนี้ ทางกระทรวง DLUHC ได้เปลี่ยนชื่อเป็นกระทรวงบ้าน ชุมชนและรัฐบาลท้องถิ่น เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา

"งบประมาณยังคงกระจัดกระจายและโดยทั่วไปเป็นแบบระยะสั้น ขัดขวางการทำงานเพื่อป้องกันคนไร้บ้าน และมีการลงทุนอย่างจำกัดจำเขี่ยในด้านที่พักอาศัยชั่วคราวคุณภาพดีและรูปแบบบ้านอื่น ๆ" รายงานระบุ

"คนไร้บ้านในทุก ๆ เคส ล้วนแต่เป็นเรื่องเศร้าของมนุษย์" เกรซ วิลเลียมส์ สมาชิกระดับสูงของสภาลอนดอน ด้านที่อยู่อาศัยและการฟื้นฟู กล่าว พร้อมเน้นย้ำถึงความจำเป็นสำหรับการมีหนทางใหม่ ๆ ในการจัดการกับปัญหานี้

‘บอร์กโดซ์’ แจ้ง!! ‘ยุบสโมสร’ กับทาง ‘FFF’ แล้ว เหตุล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาด้านการเงิน

(26 ก.ค. 67) รายงานข่าวระบุว่า บอร์กโดซ์ ได้แจ้งยุบสโมสรกับทาง สหพันธ์ฟุตบอลฝรั่งเศส (FFF) เรียบร้อย โดยนักเตะทุกคนในทีมจะถูกยกเลิกสัญญา และศูนย์ฝึกซ้อมของสโมสรก็จะถูกปิดตัวลง หลังจากที่ประสบความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาด้านการเงินของสโมสร 

สำหรับฤดูกาล 2023/24 ที่ผ่านมา บอร์กโดซ์ จบอันดับ 12 ในศึก ลีก เดอซ์ (ดิวิชั่น 2) แต่พวกเขาถูกปรับตกชั้นลงสู่ระดับดิวิชั่น 3 เมื่อวันอังคารที่ 23 กรกฎาคม หลังจากที่ เฟนเวย์ สปอร์ตส์ กรุ๊ป (เอฟเอสจี) ขอถอนตัวจากการเข้าเทคโอเวอร์สโมสร กระทั่งล่าสุด บอร์กโดซ์ ตัดสินใจขอยอมแพ้ในการรักษาสถานะสโมสรฟุตบอลอาชีพในที่สุด

บอร์กโดซ์ เป็นสโมสรที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมาตั้งแต่ปี 1881 และได้รับใบอนุญาตเป็นสโมสรอาชีพเมื่อปี 1937 ถือเป็นสโมสรที่ประสบความสำเร็จมากสุดเป็นอันดับ 6 ในฝรั่งเศส และไม่เคยเล่นในดิวิชั่นอื่นนอกเหนือจากลีกสูงสุดจนกระทั่งปี 2022

พวกเขาเคยเกือบโดนปรับตกชั้นสู่ดิวิชั่น 3 ตั้งแต่ปี 2022 แต่ตอนนั้นยื่นอุทธรณ์สำเร็จทำให้กลับไปอยู่ในลีก เดอซ์ แต่สุดท้าย บอร์กโดซ์ จะต้องไปเล่นในลีกกึ่งมืออาชีพเป็นหนแรก

พวกเขาเคยผ่านการคว้าแชมป์ลีกเอิงมา 6 สมัยรวมถึงเฟรนซ์ คัพ 4 สมัยและเฟรนซ์ ลีก คัพอีก 3 สมัยด้วยกัน นอกจากนี้ยังเคยเป็นแชมป์อินเตอร์โตโต้ คัพในปี 1995

‘ทรัมป์’ ขู่!! ‘อิหร่าน’ หากมีแผนลอบสังหารตนเองจริง ‘สหรัฐฯ’ ควรจะ 'ทำลาย-กำจัด' ให้หายไปจากแผนที่โลก

(26 ก.ค. 67) อดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้โพสต์ข้อความบน Truth Social ของเขาว่า การลอบสังหารตนด้วยฝีมือของอิหร่านยังมีโอกาสขึ้นได้เสมอ ซึ่งหากเรื่องนี้เกิดขึ้นจริง สหรัฐฯ ควรจะทำลายและกำจัดอิหร่านออกไปจากแผนที่โลก

โพสต์ของทรัมป์ยังได้แสดงคลิปวิดีโอของนายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู ผู้นำอิสราเอล ระหว่างการกล่าวปราศรัยต่อสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 24 ก.ค.2567 ซึ่งนายกรัฐมนตรีเนทันยาฮูอ้างว่าอิหร่านมีแผนปองร้ายทรัมป์

ขณะที่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สำนักข่าว CNN รายงานว่า ก่อนเกิดเหตุลอบยิงทรัมป์ระหว่างการปราศรัยหาเสียงที่รัฐเพนซิลเวเนีย ทางการสหรัฐฯ ได้รับข้อมูลข่าวกรองว่า อิหร่านมีแผนสังหารทรัมป์ ทำให้ทีมอารักขาต้องเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย แต่เจ้าหน้าที่ไม่พบความเชื่อมโยงระหว่าง โทมัส แมททิว ครูกส์ คนร้ายผู้ก่อเหตุลอบยิงกับรัฐบาลอิหร่านแต่อย่างใด

ด้านกระทรวงการต่างประเทศอิหร่านปฏิเสธรายงานข่าวดังกล่าว โดยตอบโต้ว่าเป็นเรี่องการเมือง แม้หลายฝ่ายเชื่อว่าอิหร่านยังคงต้องการล้างแค้นให้กับการเสียชีวิตของ นายพล กาเซม โซเลมานี ผู้บัญชากองกำลังคุดส์ ของกองทัพพิทักษ์ปฏิวัติอิสลาม ที่ถูกลอบสังหารด้วยโดรนสหรัฐฯ ในอิรักในเดือน ม.ค. ปี 2020

นอกจากนี้ในปี 2019 ทรัมป์ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในขณะนั้นขู่จะทำลายอิหร่าน หากโจมตีเป้าหมาอเมริกันใด ๆ ก็ตามซึ่งตลอดระยะเวลาที่อยู่ในอำนาจ ทรัมป์ได้ใช้นโยบายแข็งกร้าวกับอิหร่านมาโดยตลอด ทั้งการใช้มาตรการลงโทษและการถอนตัวจากข้อตกลงที่ชาติมหาอำนาจสัญญาว่าจะลดการคว่ำบาตรต่ออิหร่านเพื่อแลกกับการจำกัดโครงการพัฒนาด้านนิวเคลียร์

ส่วนความเคลื่อนไหวของรองประธานาธิบดี กมลา แฮร์ริส ว่าที่แคนดิแดตพรรคเดโมแครตได้เปิดตัวคลิปโฆษณาหาเสียงออนไลน์เป็นครั้งแรก ซึ่งมาพร้อมกับเพลง ‘ฟรีดอม’ (Freedom) ที่แปลว่าเสรีภาพ ขับร้องโดย ‘บียองเซ’

โดยเนื้อหาในคลิปหาเสียงนี้ แฮรร์ริสได้ย้ำจุดยืนในเรื่องการแก้ไขความรุนแรงจากอาวุธปืน  เสรีภาพในการตัดสินใจเกี่ยวกับร่างกายของตัวเอง ประกันสุขภาพที่ทุกคนเข้าถึง และ การที่ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย

‘กมลา แฮร์ริส’ ขึ้นแท่นเจ้าแม่มีม 2024 หลังเปลี่ยน ‘มุกแป้ก’ กลายเป็น ‘ปัง’ พร้อมกวาดคะแนนเสียงชาว Gen Z ที่แม้แต่ ‘ไบเดน-ทรัมป์’ ก็ทำไม่ได้

‘กมลา แฮร์ริส’ กลายเป็นจุดสนใจของสื่ออเมริกันทันทีที่ ‘โจ ไบเดน’ ยอมถอนตัวออกจากสนามเลือกตั้งผู้นำสหรัฐ เพื่อดัน กมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีคู่หูของเขาขึ้นชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 47 ในสมัยหน้า 

แม้ แฮร์ริส อาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดของพรรคเดโมแครต แต่เธอมีฐานเสียงสนับสนุนอย่างหนาแน่น โดยเฉพาะ ‘กลุ่มสตรี’ และ ‘คนผิวสี’ ที่สร้างปรากฏการณ์ยอดบริจาค 81 ล้านเหรียญเข้าพรรคได้ภายใน 24 ชั่วโมง และยังทำให้คนในพรรคที่เคยเสียงแตกกลับมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้อีกครั้ง ด้วยจุดประสงค์เดียวกัน คือ เอาชนะ ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ให้ได้ 

และล่าสุด…ดูเหมือนว่าความนิยมของแฮร์ริส จะพุ่งสูงยิ่งขึ้นในกลุ่มวัยรุ่น Gen Z ทั้ง ๆ ที่เธอยังไม่ทันได้เริ่มออกหาเสียงในฐานะแคนดิเดตเบอร์ 1 ของพรรคอย่างเป็นทางการด้วยซ้ำ 

เมื่อคลิปบางช่วงที่ตัดมาจากสุนทรพจน์ของเธอ ที่เคยกล่าวไว้ที่ทำเนียบขาวตั้งแต่ปี 2023 กลายเป็นไวรัลไปทั่ว โดยเธอได้ยกคำพูดของแม่มาเล่าให้ฟังว่า "ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเธอ หนุ่ม-สาวทั้งหลาย พวกเธอคิดว่าเพิ่งตกลงมาจากต้นมะพร้าวหรือไง"

และทำให้มุกต้นมะพร้าวที่เคยแป้กของเธอ กลายเป็นมุกปังไปทั่วโลกออนไลน์ ที่มีทั้งชาว X ชาว Tiktok ออกมาปล่อยมุกต้นมะพร้าวกันอย่างพร้อมเพรียงกัน ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่า ‘ต้นมะพร้าว’ ของ กมลา แฮร์ริส หมายถึงอะไร

ยิ่งพรรคคู่แข่งอย่าง ‘รีพับลิกัน’ พยายามโจมตีแฮร์ริส เรื่องมุกตลกฝืด ๆ ของเธอ ก็ยิ่งทำให้กระแสคลิปของเธอดังยิ่งขึ้นไปอีก จนสื่อมวลชนยกตำแหน่ง ‘เจ้าแม่มีม 2024’ ให้แก่ กมลา แฮร์ริส โดยพร้อมเพรียง

ข้อดีของกระแสมีมมุกแป้กของแฮร์ริสนั้น ทำให้เธอสามารถจับฐานเสียงกลุ่ม Gen Z ที่เป็น Young Voter ได้อย่างเหนียวแน่น ซึ่งเป็นกลุ่มฐานเสียงที่ทั้งไบเดน และ ทรัมป์ เจาะไม่ถึง 

จากความเห็นบางส่วนของกลุ่ม Gen Z ที่ชื่นชอบ กมลา แฮร์ริส มองว่า เธอเป็นคนเข้าถึงง่าย มีความเป็นปุถุชนสูง ไม่ถือตัวที่จะปล่อยมุกตลก 5 บาท 10 บาท แม้ส่วนใหญ่จะเป็นมุกฝืด ๆ เพื่อเข้าถึงผู้ฟังทุกกลุ่ม ซึ่งต่างจากผู้นำคนอื่น ๆ ที่มักกล่าวสุนทรพจน์ที่ร่างขึ้นอย่างสวยหรู แต่ห่างไกลผู้ฟัง

และตอนนี้ คนรุ่นใหม่มีเกณฑ์ในการเลือกผู้นำของพวกเขาที่แตกต่างจากคนรุ่นเก่า ๆ อย่างชัดเจน เน้นกระแสออร่าความเป็นเซเลป คนดังก่อน ค่อยพิจารณานโยบายทีหลัง ทั้งนี้อาจเป็นเพราะหลายปีที่ผ่านมาชาวอเมริกันไม่ได้เห็นความแตกต่างของการทำหน้าที่รัฐบาลของพรรคการเมืองมากนัก เมื่อเป็นเช่นนั้น จึงขอเลือกคนที่ถูกใจตัวเองดีกว่า 

ไม่แน่ว่า…การเลือกตั้งผู้นำครั้งนี้ของสหรัฐ อาจตัดสินกันที่กระแสมีมก็เป็นได้ 

เรื่อง : ยีนส์ อรุณรัตน์

เก็บทรงไม่อยู่!! ชาวอเมริกัน 39% กังวลไม่มีเงินพอจ่ายค่าบิลต่างๆ ชี้!! แย่กว่าตอนวิกฤตการเงินโลก 'ต้องเริ่มทำงานเสริม-เลิกขับรถ'

เมื่อวานนี้ (24 ก.ค. 67) จากช่องยูทูบ ‘TNN’ ได้เผยผลสำรวจของผู้บริโภคชาวอเมริกัน ที่ตอนนี้แม้ว่าตัวเลขเงินเฟ้อและตัวเลขทางเศรษฐกิจต่าง ๆ จะดูดีขึ้น จนนําไปสู่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่หลายฝ่ายคาดว่าจะเห็นในเดือนกันยายนนี้ แต่ผู้บริโภคชาวอเมริกันยังคงกังวลกับการใช้จ่าย รวมถึงเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับที่เกินกว่าที่คาด ทําให้ 39% ไม่มั่นใจกับเศรษฐกิจในวันข้างหน้า

สำหรับเรื่องนี้ทางสํานักข่าวต่างประเทศได้ออกรายงานผลสํารวจระบุว่า ชาวอเมริกัน 4 ใน 10 คน หรือประมาณ 39% กังวลเกือบตลอดเวลา เกี่ยวกับรายได้ของครอบครัวที่อาจจะไม่พอกับรายจ่าย ซึ่งตอนนี้เพิ่มขึ้นจากเดิมที่เป็น 28% กระโดดมาเป็น 39% ที่เคยกังวลในระดับเดียวกันนี้ในปี 2564 ซึ่งใกล้เคียงกับตอนเกิด ‘วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์’ ในปี 2551 และดูเหมือนว่าคนอเมริกันค่อนข้างกังวลหากเทียบเคียงกันแล้ว สําหรับวิกฤตเศรษฐกิจที่อาจจะมี…

อย่างไรก็ตาม ชาวอเมริกันตอนนี้ ทั้งทํางานเสริม ลดการขับลดลง เพื่อที่จะประหยัดค่าน้ำมัน และยังใช้จ่ายด้วยบัตรเครดิตแทนการซื้อด้วยเงินสด นอกจากนี้ มากกว่าครึ่งหนึ่ง 55% ของผู้ที่มีรายได้ น้อยกว่า 50,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ก็เกิดความกังวลว่าเงินจะไม่พอใช้

ทั้งนี้ ผลสํารวจนี้สะท้อนว่า แม้สถิติระดับชาติ ทั้งเรื่องตัวเลขการว่างงานต่ำ เงินเฟ้อชะลอตัวลง แต่หลายล้านคนในอเมริกาก็ยังคงได้รับผลกระทบเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยเฉพาะราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาหลายปี

นอกจากนี้ Moody’s Analytics ระบุว่า ครัวเรือนในสหรัฐอเมริกาใช้จ่ายเพิ่มขึ้นก็มาจากตัวราคาสินค้าที่เพิ่ม โดยเดือนนึงมากกว่า 920 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน สําหรับการซื้อสินค้าและบริการแบบเดียวกันกับ 3 ปีก่อนเลย แต่ต้นทุนเพิ่มขึ้นจะเป็นหมื่น และแม้อัตราเงินเฟ้อจะผ่อนคลายลง โดยเงินเฟ้อในเดือนกรกฎาคมอยู่แถว 3% เมื่อเทียบปลายปี จากระดับสูงสุดที่เคยไปถึง 9% ในเดือนมิถุนายนปี 2565 ตอนนั้นราคาน้ำมันก็พุ่ง แต่คนอเมริกันตอนนี้ก็ไม่ได้มองว่าสถานการณ์ดีขึ้นสักเท่าไหร่ เพราะราคาสินค้าไม่ได้ลงไปด้วย เพียงแต่ว่าเพิ่มในอัตราที่ช้าลงเท่านั้น และผู้บริโภคก็ยังคงได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากราคาสินค้าที่เพิ่มในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

'นักบิน’ เครื่องบินเนปาล รอดชีวิตเพียงคนเดียว ท่ามกลางเปลวไฟ หลังลุกไหม้ใกล้ส่วนของห้องนักบินที่ขาดจากลำตัวเครื่องบิน

(25 ก.ค.67) รายงานข่าวระบุว่า กัปตันมานิช รัตนา ซาคะยา คือผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียวจากโศกนาฏกรรมที่คร่าชีวิตคนอื่น ๆ 18 ราย ณ สนามบินตริภูวัน กรุงกาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล และเวลานี้กำลังรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล โดยล่าสุดสำนักข่าวบีบีซีสาขาเนปาล ยืนยันว่า เขาสามารถพูดคุยได้แล้วและบอกกับสมาชิกในครอบครัวว่า "เขาปกติดีทุกอย่าง"

ทีมช่วยเหลือเปิดเผยกับบีบีซี ว่า พวกเขาเข้าไปถึงตัวนักบินที่อยู่ในอาการทุกข์ทรมาน ท่ามกลางเปลวไฟที่กำลังลุกไหม้ใกล้ ๆ กับส่วนของห้องนักบินที่ขาดออกมาจากลำตัวเครื่องบิน

"เขามีอาการหายใจลำบาก เราทุบกระจกหน้าต่างและดึงเขาออกมาในทันที" ดัมบาร์ บิชวาคาร์มา ผู้กำกับการอาวุโสแห่งตำรวจเนปาลกล่าว "มีเลือดเต็มใบหน้าเขา ตอนที่เขาได้รับความช่วยเหลือออกมา แต่เราพาตัวเขาส่งโรงพยาบาลในอาการที่ยังสามารถพูดคุยได้"

บาดรี ปันเดย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการบินพลเรือนของเนปาล เปิดเผยว่า เครื่องบินจู่ ๆ ก็หักเลี้ยวขวากะทันหัน ระหว่างเทกออฟขึ้นจากสนามบิน ก่อนพุ่งกระแทกพื้นบริเวณฝั่งซ้ายของรันเวย์

ถ้อยแถลงที่เผยแพร่โดยกองทัพเนปาล ระบุว่านักบินได้รับความช่วยเหลือภายในเวลา 5 นาทีหลังเกิดเหตุ และ "เขาอยู่ในอาการที่น่ากลัวมาก แต่ตอนนั้นยังมีสติอยู่" พร้อมเผยต่อว่าจากนั้นรถฉุกเฉินของกองทัพได้นำตัวเขาส่งโรงพยาบาล

แพทย์มีนา ทีพา ผู้อำนวยการด้านการแพทย์ของโรงพยาบาล เปิดเผยว่า นักบินรายนี้ได้รับบาดเจ็บบริเวณศีรษะและใบหน้า และในไม่ช้าจะมีการผ่าตัดอาการกระดูกหักบริเวณหลัง "เรารักษาอาการบาดเจ็บต่าง ๆ ในหลายส่วนของร่างกายของเขา เวลานี้เขาอยู่ภายใต้การสังเกตการณ์ ภายในแผนกศัลยกรรมประสาทและสมอง"

เมื่อช่วงค่ำวานนี้ นายเคพี ชาร์มา นายกรัฐมนตรีเนปาล เดินทางไปยังโรงพยาบาลเพื่อได้มีโอกาสพบปะกับครอบครัวของนักบิน

เวลานี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการสืบสวนเพื่อสรุปถึงต้นตอของอุบัติเหตุ ในขณะที่ผู้อำนวยการสนามบินนานาชาติตริภูวัน บอกว่า จากคำประเมินเบื้องต้น แสดงให้เห็นว่าเครื่องบินบินไปผิดทิศทาง "ทันทีที่เทกออฟ มันเลี้ยวขวา ทั้งที่ตอนนั้นควรเลี้ยวซ้าย" เขากล่าว

ที่ผ่านมา เนปาลถูกวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับประวัติความปลอดภัยด้านการสัญจรทางอากาศอันย่ำแย่ โดยในเดือนมกราคม 2023 มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 72 ราย ในเหตุเครื่องบินสายการบินเยติลำหนึ่งประสบอุบัติเหตุ ซึ่งต่อมาพบว่ามีต้นตอจากการนักบินไปปิดระบบไฟฟ้าโดยไม่ได้ตั้งใจ

ส่วนอุบัติเหตุทางอากาศครั้งเลวร้ายที่สุดในเนปาล เกิดขึ้นเมื่อปี 1992 โดยคราวนั้นลูกเรือและผู้โดยสารของสายการบินปากีสถาน อินเตอร์เนชันแนล แอร์ไลน์ส เสียชีวิตยกลำ หลังประสบอุบัติเหตุโหม่งก่อน ขณะกำลังเดินทางถึงสนามบินกาฐมาณฑุ

‘เนทันยาฮู’ ประณามผู้ประท้วงให้หยุดยิงในกาซา ต่อสภาคองเกรส พร้อมวอนสหรัฐฯ หนุนสงคราม ลั่น!! ศัตรูของเรา คือศัตรูของคุณ

เมื่อวานนี้ (24 ก.ค. 67) เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ประณามพวกผู้ประท้วงเรียกร้องข้อตกลงหยุดยิงในกาซา และเรียกร้องจัดให้พันธมิตรโลกต่อต้านระบอบอิหร่าน ที่เขากล่าวหาว่าเป็นผู้ให้เงินทุนสนับสนุนบรรดาผู้ชุมนุมเหล่านั้น ระหว่างกล่าวสุนทรพจน์ต่อสภาคองเกรสสหรัฐฯ

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเนทันยาฮู กำลังตกอยู่ภายใต้แรงกดดันหนักหน่วง หลังวอชิงตันแสดงความกังวลมากขึ้นเรื่อย ๆ ต่อวิกฤตด้านมนุษยธรรม อันสืบเนื่องจากปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอลในฉนวนกาซา ที่ยืดเยื้อมานานกว่า 9 เดือน ท่ามกลางการประท้วงต่อต้านทั้งในอิสราเอลและสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม เนทันยาฮู ใช้โอกาสกล่าวสุนทรพจน์ต่อสภาคองเกรส ตอบโต้เสียงวิพากษ์วิจารณ์ และกล่าวหาเตหะรานให้เงินทุนและสนับสนุนการประท้วงต่อต้านอิสราเอลในสหรัฐฯ และเรียกบรรดานักเคลื่อนไหวเรียกร้องสันติภาพในกาซาว่าเป็น ‘พวกงี่เง่าที่ทำตัวเป็นประโยชน์กับอิหร่าน’

"อเมริกาและอิสราเอล ในวันนี้สามารถหล่อหลอมพันธมิตรด้านความมั่นคงในตะวันออกกลาง เพื่อตอบโต้ภัยคุกคามที่มากขึ้นเรื่อย ๆ จากอิหร่าน" เขากล่าวกับสมาชิกสภาคองเกรส ในขณะที่อีกด้านหนึ่งบรรดาผู้ประท้วงได้ทำการเผาหุ่นของเขาบนถนนที่อยู่ด้านนอกอาคารรัฐสภา

"ทุกประเทศที่ล้วนมีสันติกับอิสราเอล และทุกประเทศเหล่านี้ที่จะสร้างสันติภาพร่วมกับอิสราเอล ควรได้รับเชิญเข้าร่วมพันธมิตรนี้" เขากล่าว

นอกจากนี้ เนทันยาฮู ยังกล่าวเพิ่มเติมว่าอิหร่านคือ ‘อักษะก่อการร้าย’ ที่อยู่เบื้องหลังนิกายเข่นฆ่าเกือบทั้งหมดในตะวันออกกลาง พร้อมกับเรียกร้องสหรัฐฯ และอิสราเอลต้องยืนหยัดร่วมกันเพื่อต่อกรกับอิหร่านและเหล่ากลุ่มตัวแทนของเตหะราน

"ศัตรูของเราคือศัตรูของคุณ การต่อสู้ของเราคือการต่อสู้ของคุณ และชัยชนะของเราคือชัยชนะของคุณ" เนทันยาฮูกล่าว

อย่างไรก็ตาม การเชิญเนทันยาฮูในครั้งนี้ เกิดขึ้นท่ามกลางความเห็นต่างอย่างรุนแรงในหมู่ประชาชนชาวอเมริกาต่อการกระทำของอิสราเอลในกาซา ท่ามกลางจำนวนผู้เสียชีวิตที่พุ่งสูง โดยการชุมนุมบริเวณด้านนอกอาคารรัฐสภา มีผู้เข้าร่วมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนแตะหลักหลายพันคน ก่อนหน้าที่นายกรัฐมนตรีจะปรากฏตัว

บรรดานักเคลื่อนไหวถูกตำรวจสกัดให้อยู่ห่างออกไปอย่างน้อย 1 ช่วงตึก ก่อนถูกพวกเจ้าหน้าที่ยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่ จนท้ายที่สุดก็สลายตัวไป ส่วนภายในอาคารสภาผู้แทนราษฎร ซีกหนึ่งของอาคารรัฐสภาหลักมีผู้ประท้วง 6 คนถูกจับกุม ก่อน เนทันยาฮู เริ่มกล่าวปราศรัย

การเดินทางเยือนของผู้นำอิสราเอล มีขึ้นตามหลังเหตุมือปืนพยายามลอบสังหาร โดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนพรรครีพับลิกันลงชิงเก้าอี้ประธานาธิบดี และประธานาธิบดี โจ ไบเดน ถอนตัวจากการเลือกตั้ง และหันไปรับรอง กมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดี ในฐานะตัวแทนพรรคเดโมแครตแทน

ไบเดน และแฮร์ริส ต่างมีกำหนดพบปะกับ เนทันยาฮู แยกกันในวันพฤหัสบดี (25 ก.ค.) แต่กระนั้นฝ่ายรีพับลิกันวิพากษ์วิจารณ์แฮร์ริส ที่ไม่เข้าร่วมรับฟังการกล่าวสุนทรพจน์ของเนทันยาฮูในวันพุธ (24 ก.ค.) แม้ว่า เจ.ดี.แดนซ์ คู่ชิงรองประธานาธิบดีของรีพับลิกันเอง ก็ไม่ได้เข้าร่วมเช่นกัน

ทั้งนี้ มีรายงานว่า เนทันยาฮู จะพบกับ ทรัมป์ ในฟลอริดา ในวันศุกร์ (26 ก.ค.)

กระนั้น สำหรับการปราศรัยของเนทันยาฮูในวันพุธ (24 ก.ค.) ทำให้นายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดของอิสราเอลรายนี้ กลายเป็นผู้นำต่างชาติคนแรกที่ได้กล่าวทุนทรพจน์ต่อที่ประชุมร่วมของสภาคองเกรส 4 ครั้ง แซงหน้า วินสตัน เชอร์ชิลล์ ของอังกฤษเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

อย่างไรก็ตาม คราวนี้เขาสูญเสียแรงหนุนหลังจากบรรดาสมาชิกสภาหัวเสรีหลายสิบคนและจากเดโมแครตประมาณ 68 คน ในนั้นบางส่วนเป็นแกนนำระดับสูง ที่บอกว่าพวกเขาจะไม่เข้าร่วม

เนทันยาฮู อ้างว่ามีเพียงแรงกดดันทางทหารเท่านั้นที่จะสามารถปลดปล่อยตัวประกันและเอาชนะฮามาส ซึ่งเปิดฉากจู่โจมอิสราเอลอย่างไม่ทันตั้งตัวเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม สังหารผู้คนไป 1,197 ราย ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน

ทั้งนี้ เนทันยาฮู แสดงความเชื่อมั่นต่อความพยายามช่วยเหลือตัวประกันราว 114 คน ที่ฮามาสยังคงควบคุมตัวในกาซา ดินแดนที่อิสราเอลเปิดปฏิบัติการทางทหารแก้แค้น สังหารชาวปาเลสไตน์ไปแล้วอย่างน้อย 39,145 ราย ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน

สหรัฐฯ แสดงความกังวลใหญ่หลวงต่อการทิ้งบอมบ์ถล่มพื้นที่พลเมืองพักอาศัยอยู่หนาแน่นในกาซา แต่ขณะเดียวกันก็ปกป้องผลประโยชน์ของอิสราเอล พร้อมรับบทบาทสำคัญในความพยายามเป็นคนกลางไกล่เกลี่ย

เจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลไบเดน เปิดเผยในวันพุธ (24 ก.ค.) การเจรจาสำหรับข้อตกลงหยุดยิงในกาซาและปล่อยตัวประกัน อยู่ในขั้นสุดท้ายแล้ว

แต่ในสภาคองเกรส เนทันยาฮู เรียกร้องวอชิงตันให้เร่งรัดมอบเงินช่วยเหลือด้านการทหารแก่ประเทศของเขา เพื่อทวีความรวดเร็วในการยุติสงครามในกาซาและป้องกันไม่ให้เกิดสงครามลุกลามบานปลายในตะวันออกกลาง

อย่างไรก็ตาม เสียงเรียกร้องของเขาโหมกระพือไฟย้อนศรจากบรรดาสมาชิกเดโมแครตผู้โกรธกริ้ว ที่แสดงความไม่พอใจต่อเนื้อหาสาระในคำกล่าวสุนทรพจน์ของเนทันยาฮู ซึ่งแทบจะไม่พูดถึงการรับประกันสันติภาพใด ๆ เลย

ด้าน แนนซี เพโลซี อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎรผู้ทรงอิทธิพล เรียกคำกล่าวสุนทรพจน์ของเนทันยาฮู ว่าเป็น ‘การนำเสนอที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่เคยมีมา จากแขกผู้ทรงเกียรติต่างชาติรายหนึ่งรายใดที่ได้รับเชิญให้มากล่าวสุนทรพจน์ต่อสภาคองเกรส’


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top