Sunday, 22 June 2025
SPECIAL

‘ศาลสงขลา’ ตัดสินจำคุกตลอดชีวิต ‘บังหมัด กงหรา’ คดีฆ่าชิงทรัพย์นักเรียน ม. 5 ชดใช้เหยื่อ 2.1 ล้าน

(15 มี.ค. 66) จากกรณีที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 สมัยนั้น พล.ต.ท.รณศิลป์ ภู่สาระ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 พล.ต.ต.ทิวธวัช นครศรี ผู้บังคับการสืบสวนตำรวจภูธรภาค 9 พล.ต.ต.อาชาน จันทร์ศิริ ผู้บังคับการตำรวจภูธร จังหวัดสงขลา ร่วมกันแถลงข่าวจับกุมนายประถม (สงวนนามสกุล) อายุ 49 ปี หรือ ‘บังหมัด กงหรา’ ที่อยู่ หมู่ 6 ตำบลคลองทรายขาว อำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง ตามหมายจับของศาลจังหวัดสงขลาที่ จ.68/2564 ลงวันที่ 28 ก.พ. 64 โดยถูกตำรวจชุดสืบสวน นำโดย พ.ต.อ.ศักดา เจริญกุล รอง ผบก.สส. ภ.9, พ.ต.อ.ธนวัต เส้งสุย ผกก.สส.ภ.จว.สงขลา, พ.ต.อ.บรรพต เดชมา ผกก.สส.2 บก.สส. ภ.9, พ.ต.ท.เอกภพ มุสิกปักษ์ รอง ผกก. สส.ภ.จว.สงขลา ตามไปจับกุมตัวได้ที่บ้านพักในพื้นที่หมู่ 6 ตำบลคลองทรายขาว อำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง เมื่อ 28 ก.พ. 64 หลังใช้เวลาสืบสวนเพียง 26 ชั่วโมง จนได้ตัวผู้ก่อเหตุ พร้อมตรวจยึดของกลางรวม 6 รายการ

ประกอบด้วย รถยนต์เก๋ง ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นโคโรล่า สีเทา ป้ายทะเบียนจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จำนวน 1 คัน ซึ่งใช้ขับติดตามและเฉี่ยวชนให้ผู้ตายตกข้างทาง, เงินสด จำนวน 1,300 บาท ของผู้ตาย, เหล็กขันเปลี่ยนล้อรถ ยาวประมาณ 10 นิ้ว จำนวน 1 อัน ที่ใช้ทุบตีผู้ตาย, กางเกงขาสั้น แบบสามส่วนมีกระเป๋าด้านข้างขา สีครีม จำนวน 1 ตัว, กางเกงกีฬาสีน้ำเงินแถบขาวแดง จำนวน 1 ตัว ซึ่งเป็นชุดสวมใส่ขณะก่อเหตุ และเสื้อคลุมแขนยาว แบบมีฮู้ดคลุมศีรษะ สีแดง จำนวน 1 ตัว ซึ่งเป็นเสื้อของน้องนิหน่าที่สวมใส่ในคืนเกิดเหตุและได้ลักเอาไปเช็ดคราบอสุจิและนำไปทิ้งริมถนนตรงข้าม รร.ศิริวรรณวลี รัตภูมิ โดยแจ้งดำเนินคดี 3 ข้อหาคือ "ข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้ายและเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย, ชิงทรัพย์ในเวลากลางคืนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย โดยใช้ยานพาหนะ เพื่อสะดวกแก่การกระทำผิด หรือพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อให้พ้นการจับกุมหรือรับของโจร, และฆ่าผู้อื่นเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตน หรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้"

พล.ต.ท.รณศิลป์ ภู่สาระ ผบช.ภาค 9 (ขณะนั้น) เปิดเผยว่า ในชั้นการจับกุมผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหาว่าเป็นคนฆ่าน้องนิหน่าเพียงคนเดียว โดยการขับรถเก๋งเฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ของน้องนิหน่า จนตกคูน้ำกลางถนน แล้วลงไปชกหน้าท้อง 3 ครั้ง ก่อนลงมือข่มขืนจนสำเร็จความใคร่ 1 ครั้ง แล้วชิงเอากระเป๋าสะพายของน้องนิหน่าพร้อมเงินสด 1,300 บาท จากนั้นได้ใช้เหล็กสำหรับใช้เปลี่ยนล้อรถที่เตรียมมา ตีที่ใบหน้าของน้องนิหน่า 2-3 ครั้ง จนเสียชีวิต แล้วได้นำรถจักรยานยนต์ของน้องนิหน่า มาทับศพของผู้ตายบริเวณใบหน้าและลำตัวท่อนบน เพื่อทำให้ดูว่า เป็นการเกิดอุบัติเหตุรถตกคูเสียชีวิต และยังได้ถอดเสื้อแจ็คแก็ตสีน้ำตาลของน้องนิหน่าที่สวมใส่อยู่ เอามาเช็ดน้ำอสุจิของตนเอง แล้วนำไปทิ้งในพื้นที่ ต.คูหาใต้ อ.รัตภูมิ จ.สงขลา และล้างคราบเหล็กที่ใช้ตีเก็บไว้ในช่องเก็บของหลังเบาะนั่งข้างคนขับ

การสืบสวนคลี่คลายคดีนี้ พ.ต.อ.ศักดา เจริญกุล รอง รอง ผบก.สส.ภ.9 พร้อมด้วย ชุดสืบสวนจาก 3 หน่วยทั้งชุดสืบสวนตำรวจภูธร จ.สงขลา ชุดสืบสวนกองบังคับการสืบสวนภาค 9 และชุดสืบสวน สภ.บางกล่ำ กว่า 30 นาย ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง โดยเฉพาะการแกะรอยภาพจากกล้องวงจรปิดทำให้ทราบเบาะแสของรถต้องสงสัยและคนร้าย เริ่มจากเบาะแสสำคัญของคดีนี้ เป็นภาพจากกล้องวงจรปิดภายในปั้มน้ำมันแห่งหนึ่ง ริมถนนสายเอเชีย พื้นที่ ต.ท่าช้าง อ.บางกล่ำ ซึ่งอยู่ก่อนถึงจุดเกิดเหตุราว 3 กิโลเมตร โดยรถเก๋งคันนี้เป็นรถยี่ห้อโตโยต้า โคโรล่า สีบรอน ทะเบียน ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งขับเข้ามาจอดเติมน้ำมันในปั้ม ในเวลา 00.22 น. คืนวันที่ 27 ก.พ. และน้องนิหน่าก็แวะเติมน้ำมันที่ปั้มนี้เช่นกัน ซึ่งตอนนั้นยังสวมใส่เสื้อฮู้ดและล้วงเงินในกระเป๋ามาจ่ายค่าน้ำมัน โดยรถเก๋งคันนี้ขับออกไปก่อนเล็กน้อยและน่าจะไปดักรอ รวมทั้งภาพจากกล้องวงจรปิดที่เลยจุดเกิดเหตุมาเล็กน้อย พบว่ามีเพียงรถเก๋งคันนี้ขับมาคันเดียวโดยไม่มีรถจักรยานยนต์ของน้องนิหน่า ขับตามมาแต่อย่างใด

หากเทียบเวลารถเก๋งคันนี้ก็ขับช้าผิดปกติมาก เพราะจากปั้มน้ำมันมาถึงจุดที่มีกล้องวงจรปิดเลยมาอีกตัวใช้เวลาแค่ประมาณ 2 นาที แต่รถเก๋งคันนี้ใช้เวลาถึง 20 นาที จึงเป็นที่มาของขยายผลติดตามจับกุม เมื่อเปรียบเทียบภาพชายที่ขับรถยนต์เก๋งคันนี้ จากภาพในกล้องวงจรปิด กับภาพบัตรประชาชนของนายประถม พบว่ามีลักษณะตำหนิรูปพรรณ หน้าตาเหมือนกันทุกประการ จึงเชื่อว่านายประถม เป็นคนร้ายในคดีนี้ รวมทั้งผลการตรวจ DNA จากซอกเล็บของผู้ตาย พบว่าตรงกับ DNA ของนายประถม ด้วยอย่างชัดเจน รวมทั้งรองเท้าแตะสีน้ำเงินที่ตกอยู่ในที่เกิดเหตุ 1 คู่ ก็ตรงกับรองเท้าแตะในภาพกล้องวงจรปิดที่ชายขับรถเก๋งสวมใส่เหมือนกัน

จากการตรวจสอบประวัติของนายประถม พบว่า เคยต้องโทษคดีพรากผู้เยาว์อายุต่ำกว่า 15 ปี เพื่อการอนาจารฯ เมื่อปี 2545 ในพื้นที่ สภ.บางกล่ำ จ.สงขลา ศาลตัดสินจำคุก 1 ปี โทษให้รองลงอาญา 2 ปี ปรับเงิน 5,000 บาท และจากการสอบสวนแรงจูงใจการก่อเหตุ นายประถม บอกว่า ตอนเกิดเหตุได้ไปดื่มเหล้ากับเพื่อนที่ อ.หาดใหญ่ ขากลับแวะเติมน้ำมันที่ปั้มและเห็นหญิงสาวคนนี้ขับรถเข้ามาเติมน้ำมัน จึงมีอารมณ์จึงก่อเหตุขึ้น

จากนั้น พ.ต.อ.ศักดาฯ ได้คุมตัวนายประถม ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพบริเวณจุดเกิดเหตุ โดยมีการวางกำลังตำรวจนับร้อยนายมารักษาความเรียบร้อย เนื่องจากมีทั้งพ่อแม่ ญาติพี่น้อง เพื่อน และแฟนหนุ่มของน้องนิหน่า รวมทั้งชาวบ้านมารอดูการทำแผนเกือบ 200 คน ซึ่งการทำแผนเริ่มจากนายประถม ขับรถเบียดรถจักรยานยนต์ของน้องนิหน่า และชนจนตกร่องน้ำกลางถนน จากนั้นได้ลงไปชกหน้าท้อง ลงมือข่มขืน ใช้เหล็กตี และเอารถจักรยานยนต์ทับร่าง อำพรางว่าเป็นอุบัติเหตุ

‘ตร.สอบสวนกลาง’ รวบหัวโจก ตุ๋นเงิน ‘หลอก’ ไปทำงานมัลดีฟส์ มีผู้เสียหายกว่า 30 คน วอน!! ปชช. ศึกษาข้อมูลให้ดี

กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดยกองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.) ภายใต้การอำนวยการ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก.จ พล.ต.ต.ศารุติ แขวงโสภา ผบก.ปคม. และ พ.ต.อ.สุรพงษ์ ชาติสุทธิ์ รอง ผบก.ปคม.เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม นำโดย พ.ต.อ.ทนงศักดิ์ ปันไชย ผกก.1 บก.ปคม. พ.ต.ท.ชัยชนะ  สุริยวงค์ รอง ผกก.1 บก.ปคม. พ.ต.ต.ธนกร จาวรุ่งวณิชสกุล พ.ต.ต.หญิง รัชฎาวรรณ สีไพสน สว.กก.1 บก.ปคม. พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ปคม.ร่วมกันจับกุม นายชลปดิธ หรือ ตั้ม (สงวนนามสกุล) อายุ 40 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญาที่ 612/2566 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันหลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถหางานหรือสามารถส่งไปฝึกงานในต่างประเทศได้และโดยการหลอกลวงดังว่านั้น ได้ไปซึ่งเงินหรือทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากผู้ถูกหลอกลวง”

สถานที่จับกุมคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่ง ใน อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย​พฤติการณ์ สืบเนื่องจากเมื่อช่วงประมาณเดือนพฤศจิกายน 2565 กลุ่มผู้ต้องหาที่แบ่งหน้าที่กันหลอกลวงผู้เสียหายไปทำงานต่างประเทศ โดยมีหญิงไทย จำนวน 3 คน ทำหน้าที่เป็นนายหน้าในการติดต่อหลอกลวงผู้เสียหาย และรับโอนเงินจากผู้เสียหาย ซึ่งต่อมาในวันที่ 5 มี.ค. 66 เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้จำนวน 3 รายคือ น.ส.สมฤดี น.ส.รุ่งทิพย์ และ น.ส.ภัทราวรรณ ส่งตัวดำเนินคดีตามกฎหมาย

จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สืบสวนขยายผลทราบว่า นายชลปดิธ  เป็นหัวหน้าเครือข่ายหลอกลวงคนไทยไปทำงานที่ประเทศมัลดีฟส์ โดยนายชลปดิธฯ จะทำหน้าที่เป็นหัวหน้าเครือข่ายในการสั่งการให้กลุ่มผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมตัวไปก่อนหน้านี้ ทำหน้าที่เป็นนายหน้า ติดต่อหลอกลวงผู้เสียหาย และเมื่อถึงกำหนดในการเดินทางจะให้นายหน้าทำทีแจ้งผู้เสียหายว่า ขอเลื่อนการเดินทางเพื่อไปทำงานออกไปก่อน เนื่องจากมีผู้เสียหายบางรายเอกสารในการเดินทางยังไม่เรียบร้อย ซึ่งหลังจากมีการเลื่อนการเดินทางออกไปหลายๆ ครั้ง ทำให้กลุ่มผู้เสียหายเชื่อว่าถูกหลอกลวง จึงตัดสินใจแจ้งความดำเนินคดีกับนายชลปดิธฯ กับพวก จนกว่าคดีถึงที่สุด ซึ่งจากการตรวจสอบมีผู้เสียหายกว่า 30 ราย และมีมูลค่าความเสียหายเป็นเงินมากกว่า 3 ล้านบาท

เหตุจำเป็น 'สมศักดิ์-สุริยะ' เคลื่อนซบ 'เพื่อไทย' ฟาก 'จุติ' ก็ปันใจ ทิ้ง 'ปชป.' จอดป้าย 'รทสช.'

ชัดเจน!! ไม่เหนือความคาดหมาย เมื่อ ‘สมศักดิ์ เทพสุทิน’ และ ‘สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ’ สองเสือกลุ่ม 'สามมิตร' อำลาพรรคพลังประชารัฐไปซบพรรคเพื่อไทย

ไม่เพียง 'สมศักดิ์-สุริยะ' หากแต่ยังมี 'เดอะต้น' สรวุฒิ เนื่องจำนงค์ 'มือขวาสุริยะ' ที่ลาออกตามไปด้วย...กลายเป็น 3 ส. แน่นอนว่า เลือกตั้งหนนี้ ส.สรวุฒิ นั้น ก็ไม่มีปัญหา เพราะลง ส.ส.เขตบ้านบึง (ชลบุรี)

แต่ ส.สมศักดิ์ กับ ส.สุริยะ ล่ะ? คำตอบชัดเจนอยู่แล้ว ว่าต้องลง ส.ส.บัญชีรายชื่อ หรือปาร์ตี้ลิสต์ เป็นที่รู้ๆ กันว่าจำนวน ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ทั้งหมด 100 ที่นั่งนั้น ประมาณกันว่าถ้าพรรคไหนได้คะแนนปาร์ตี้ลิสต์มา 1 ล้านเสียง จะแปลงได้เป็น 3 เก้าอี้ ส.ส. 

ดังนั้นถ้าพรรค พปชร.ของลุงป้อมได้คะแนนปาร์ตี้ลิสต์ 3 ล้านเสียง ก็เท่ากับว่าจะได้ปาร์ตี้ลิสต์เพียง 10 คนเท่านั้น...

เปิดเบื้องลึก 'ส.ส.เป้า สิงห์โตทอง' จับมือ 'รทสช.' สู้กลุ่ม 'สนธยา' เพราะคำพูดแมนๆ จากผู้ชายแมนๆ ที่ชื่อ 'สุชาติ ชมกลิ่น'

ดุเดือดแน่นอนกับสนามเลือกตั้งเมืองชลหนนี้ เมื่อ 'ส.ส.เป้า' นายจิรวุฒิ สิงห์โตทอง อดีตส.ส.ชลบุรี ได้แต่งองค์ทรงเครื่องมาเป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรครวมไทยสร้างชาติ เขตพื้นที่ อ.บ้านบึง อ.บ่อทอง อ.หนองใหญ่ ตามคำชวนของนายสุชาติ ชมกลิ่น

การร่วมกับ รทสช. ของ ส.ส.เป้า นั้นมีความน่าสนใจ โดยเจ้าตัวได้เปิดใจถึงเบื้องลึกในการย้ายออกจากพรรคเพื่อไทย, พรรคก้าวไกล ไปทำงานการเมืองร่วมกับ 'กลุ่มบ้านใหม่' ของ 'รมต.เฮ้ง' นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ลงสู้ศึกเลือกตั้งสนามส.ส.ชลบุรี ว่า...

เจ๊แดง บอกว่าถ้าจะลงเล่นการเมืองในนามพรรคเพื่อไทย จ.ชลบุรี เป้า ต้องไปขอกับท่านสนธยา ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เพราะเรา (กลุ่มก้าวหน้า) เพิ่งแข่งกับเขาในสนาม อบจ.ชลบุรี และสนามเมืองพัทยา และคนอย่างผมต้องไปขอสนธยา เพื่อจะมาลง ส.ส.ชลบุรี เขต 3 ผมคิดว่าแล้วว่ามันเสียศักดิ์ศรี ก็กลับมานั่งคุยกันอยู่ที่สมาคมกลุ่มชาวไร่อ้อยเกษตรชลบุรี บอกกับคนในสมาคมฟังว่าตระกูล 'สิงห์โตทอง' คงจะไม่มีการได้ลงเลือกตั้งแล้ว เราอยู่สายประชาธิปไตยมานาน สายก้าวไกล ก็ปฏิเสธ สายเพื่อไทยก็ปฏิเสธ

ก็เลยมาคุยกันว่าการเลือกตั้งชลบุรีคงไม่มีตระกูล 'สิงห์โตทอง' ลงแข่งขัน แต่พอดีคนในกลุ่มที่คุยกัน เขาเป็นเพื่อนนักเรียนรุ่นเดียวกับ รมต.เฮ้ง นายสุชาติ ชมกลิ่น สมัยเรียนชลชาย เขาก็เลยโทรศัพท์ไปหา รมต.เฮ้ง บอกว่างวดนี้พี่เป้าเขาไม่ลงเลือกตั้ง พรรคก้าวไกล ก็ไม่เอา พรรคเพื่อไทยก็ไม่เอา แต่ที่ไม่เอา เพราะเขาต้องให้ผมไปขอ ผมก็ไม่ขอ เพราะผมถือว่าต้องลดตระกูล ลดตัวเองไปขอ ผมก็ไม่เอา หลังจากนั้น รมต.เฮ้ง เขาก็ส่งญาติผม ซึ่งเป็นอดีตนายพลตำรวจในชลบุรี ก็ได้คุยกันหลังจากนั้นเขาก็ให้ผมคุยกับ รมต.เฮ้ง ก็คุยกัน รมต.เฮ้งบอกว่า “พี่เป้า ลุงซุ้ย (ดร.ดรงค์ สิงห์โตทอง พ่อผม) เป็น ส.ส.ชลบุรี มา 4 สมัย ทำการเมืองให้กับชลบุรี ในเรื่องสายเกษตร ทุกครั้งที่มีการอภิปรายในสภาฯ คำพูดเรื่องแรกก็จะพูดเรื่องอ้อยเรื่องมันอย่างเดียว ลุงซุ้ย ก็ทำเรื่องนี้มาตลอด ไม่อยากจะให้เสียเรื่องตรงนี้ไปเพราะมันกระทบต่ออาชีพเกษตรกรที่ปลูกอ้อย ปลูกมัน ปลูกปาล์ม

เปิดไทม์ไลน์สารวัตรคลั่ง ยาวนานกว่า 21 ชม. จนท. ใช้ 'แก๊สน้ำตา-เจรจา' ก็ยังไม่เป็นผล

เหตุการณ์ระทึก ‘ตำรวจคลั่ง’ พ.ต.ท.กิตติกานต์ ตำรวจสันติบาล เกิดอาการคลุ้มคลั่ง ใช้อาวุธปืน กราดยิง บริเวณที่พัก ย่านสายไหม สร้างความแตกตื่นให้กับประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง กินเวลายาวนานข้ามวันข้ามคืน

คมชัดลึก สรุปไทม์ไลน์ นาทีต่อนาที นับตั้งแต่เกิดเหตุ "ตำรวจคลั่ง" กราดยิง ที่แม้กระทั่งแก๊สน้ำตา หรือ การเจรจาใดๆ ก็ไม่เป็นผล

เวลา 11.00 น. ตำรวจรับแจ้งเกิดเหตุ ชายคลุ้มคลั่ง ก่อเหตุ "กราดยิง" จุดเกิดเหตุบริเวณ บ้านมั่นคง แยกซอยสายไหม 46 แขวงและเขตสายไหม กทม. ตำรวจ สน.สายไหม เร่งเข้าระงับเหตุ

เวลา 12.00 น. จากการเข้าตรวจสอบ พบว่า ชายคลุ้มคลั่ง คือ "สารวัตรกานต์" พ.ต.ท.กิตติกานต์ แสงบุญ อายุ 51 ปี สังกัดศูนย์พัฒนาด้านการข่าว สันติบาล ยิงปืนอยู่ภายในบ้านพัก เพื่อนผู้ก่อเหตุให้ข้อมูลว่า สารวัตรกานต์ มีอาการป่วยทางจิต แล้วโทรศัพท์ให้มารับ แต่เมื่อมาถึงหน้าบ้าน เขาก็มีอาการคลุ้มคลั่ง และยิงปืนออกมาจากภายในบ้านเป็นระยะ

เวลา 12.30 น. ตำรวจอรินทราช 30 นาย พร้อมตำรวจ สน.สายไหม ระดมกำลังปิดล้อม เพื่อระงับเหตุ หลัง สารวัตรกานต์ "ตำรวจคลั่ง" มีการถือปืนเดินออกมาจากภายในบ้าน พร้อมตะโกนด่าทอเป็นระยะ

เวลา 13.19 น. เจ้าหน้าที่พยายามเกลี้ยกล่อม "สารวัตรกานต์" แต่ปรากฎว่า ยิ่งสร้างความกดดันอย่างหนัก มีการยิงปืนสวนออกมาเป็นระยะกว่า 20 นัด สร้างความแตกตื่นให้กับชาวบ้านในละแวกติดกัน

เวลา 14.00 น. ชาวบ้านละแวกใกล้เคียง เล่าว่า สารวัตรกานต์ มีภาวะทางจิต ขาดราชการหลายวัน โดยมักจะเห็นเขาถือโทรศัพท์ ใส่หูฟังพูดคนเดียว และตะโกนด่าทอไปเรื่อย บางวัน จะใช้อาวุธปืนยิงขึ้นฟ้า สร้างความหวาดผวาให้เพื่อนบ้านไปทั่ว

เวลา 16.10 น. พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้บังคับการ สืบสวนสอบสวน บช.น.ในฐานะอดีตเคยเป็นผู้บังคับบัญชาในสังกัด เข้าเจรจากับ สารวัตรกานต์ โดยขยายแนวกั้นพื้นที่ เพื่อกันสื่อมวลชนให้ออกห่างจากรัศมีจุดเกิดเหตุประมาณ 100 เมตร

เวลา 16.30 น. ตำรวจเร่งพาตัวผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง ซึ่งเป็นชาวบ้านในพื้นที่ ซึ่งอยู่บ้านติดกัน ออกจากจุดเกิดเหตุ

เวลา 16.40 น. เจ้าหน้าที่พาลูกชายของ สารวัตรกานต์ เข้าเจรจา เกลี้ยกล่อม เพื่อให้วางอาวุธปืน และมอบตัว แต่การเจรจาไม่เป็นผล

เวลา 17.20 น. "บิ๊กต่อ" พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินทางมาเพื่อควบคุมสถานการณ์ด้วยตนเอง พร้อมสั่งห้ามใช้ความรุนแรง เพราะ สารวัตรกานต์ ป่วยทางจิต ต้องบำบัด

พท. บุกคลองเตยปราศรัยขอเสียงให้ ‘บิ๊กเบญ’  ลั่นคน พท. ต้องได้นั่งนายกฯ ไม่ยอมยกให้ใคร

พท.บุกคลองเตยปราศรัยช่วย ‘บิ๊กเบญ’ หาเสียง ‘พวงเพ็ชร’ โวเลือกเพื่อไทยดีที่สุด ไม่ผิดหวัง ‘เต้น’ ดักคอไม่แลนด์สไลด์อยู่กับ ‘บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม’ ต่อแน่ ลั่นได้เสียงเกินครึ่งนายกฯ เป็นของเรา

เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 14 มี.ค. ที่โดมลานกีฬาชุมชนพัฒนา 70 ไร่คลองเตย พรรคเพื่อไทย (พท.) นำโดยนางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด ประธานคณะกรรมการประสานงานด้านการเมืองพื้นที่กรุงเทพฯ นายวราวุฒิ ยันต์เจริญ กรรมการประสานงานด้านการเมืองพื้นที่กรุงเทพฯ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผอ.ครอบครัวเพื่อไทยปราศรัยหาเสียงช่วยนายนวธันย์ ธวัชวงศ์เดชากุลหรือบิ๊กเบญ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม เขตคลองเตย โดยมีประชาชนมารอฟังการปราศรัยเป็นจำนวนมาก 

นางพวงเพ็ชร ปราศรัยว่า ดีใจที่ทุกคนมาให้กำลังใจพรรค พท.และบิ๊กเบญ วันนี้เรามาประกาศความพร้อมของพรรค พท. เรามาขอคะแนนให้บิ๊กเบญ เขาทำงานการเมืองมาเกือบ 20 ปี ดูแลพี่น้อง รู้ความทุกข์ ปัญหาทั้งหมดในคลองเตย บิ๊กเบญเป็นผู้สมัครที่มีความรู้ความสามารถ ตนเป็นหนึ่งในผู้ที่คัดเลือกผู้สมัคร จึงบอกได้เลยว่าทุกคนมีความรู้ ความสามารถคับแก้วและต้องรู้ปัญหาของพื้นที่ เชื่อมั่นได้เลยว่าผู้สมัครของเราจะมารับใช้ชาวกทม. นอกจากนี้เรายังมีความพร้อมนโยบาย คิดใหญ่ ทำเป็น ที่เราต้องคิดใหญ่เพราะประเทศบอบช้ำมาก มีรัฐบาลที่สืบทอดมาจากการรัฐประหาร ให้ทหารมาบริหารประเทศก็เป็นอย่างที่เราเห็น จะมาหัวเสียใส่พวกเราโดยไม่รู้ปัญหาของประชาชนอย่างแท้จริง และทุกนโยบายของเราจะต้องทำได้จริง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท เงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาท ซอฟต์พาวเวอร์ ประการสุดท้ายคือ เรามีความพร้อมที่จะเป็นรัฐบาล ครั้งที่แล้วเราชนะการเลือกตั้ง แต่ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ 

นางพวงเพ็ชร กล่าวต่อว่า ฉะนั้นเรามาขอโอกาส มาอ้อนวอนขอให้เลือกพรรค พท.ให้แลนด์สไลด์ทั้งประเทศ เพื่อที่เราจะได้เป็นเสียงข้างมากได้จัดตั้งรัฐบาลซึ่งสำคัญมาก เพราะเสียงของท่าน มือของท่านจะช่วยพลิกฟื้นประเทศ พลิกฟื้นกทม. และพลิกฟื้นคลองเตย อยากฝากให้พี่น้องมอบความไว้วางใจให้พรรค พท. เพราะเป็นพรรคเดียวที่ทำนโยบายได้จริง เราเคยทำสำเร็จมาแล้วและจะทำสำเร็จในอนาคต วันที่ 7 พ.ค.หรือวันที่ 14 พ.ค.ที่จะมีการเลือกตั้งนี้ ให้ท่านเข้าคูหากาพท.ทั้ง 2 ใบ ไม่ได้บอกว่าพรรคอื่นไม่ดี เขาก็ดี แต่พรรค พท.ดีที่สุด ท่านเลือกพรรค พท. ท่านไม่มีวันผิดหวังแน่นอน และพรรค พท.จะต้องเป็นรัฐบาลครั้งนี้ ขอให้ช่วยกันเลือกพรรค พท.ให้แลนด์สไลด์ทุกเขตทั้งประเทศ

อดีต ผอ.TCDC เผยเหตุ ซบพรรคก้าวไกล เป็นพรรคเดียวที่เจาะปัญหาเพื่อแก้ให้ ปชช. จริงๆ

‘อภิสิทธิ์ ไล่สัตรูไกล’ อดีต ผอ.TCDC ขึ้นเวทีในนามพรรคก้าวไกล โชว์วิสัยทัศน์สร้างอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ย้ำสิ่งที่สำคัญที่สุดต้องแก้กฎหมายจำกัดเสรีภาพ

(14 มี.ค.66) โรงแรม พูลแมน คิงเพาเวอร์ ซอยรางน้ำ กทม. อภิสิทธิ์ ไล่สัตรูไกล อดีตผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) ในฐานะ ‘ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกลด้านนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์’ ได้ขึ้นเวทีในเสวนา ‘อนาคตประเทศไทย Soft Power ขับเคลื่อนประเทศ?’ เพื่อแสดงวิสัยทัศน์และเสนอ 5 นโยบายสร้างเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ซึ่งอภิสิทธิ์ชี้ให้เห็นความสำคัญที่รัฐบาลต้องเพิ่มงบประมาณส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ การสร้างระบบสวัสดิการที่สำหรับคนทำงานสร้างสรรค์ และแก้กฎหมายที่ปิดกั้นเสรีภาพ

อภิสิทธิ์ เริ่มต้นด้วยการบอกว่าอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของประเทศไทย มีขนาดเศรษฐกิจกว่า 1.2 ล้านล้านบาท หรือ 7.5% ของ GDP มีแรงงานอยู่ในอุตสาหกรรมนี้มากกว่า 9 แสนคน แต่อุตสาหกรรมสร้างสรรค์กลับไม่ได้ถูกบรรจุอยู่ในอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ 

“ตั้งแต่เราได้ยินคำว่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์ คำว่า Soft Power ไม่ต่ำกว่า 20 ปี วันไหนที่เอกชนไปประสบความสำเร็จ เราก็หยิบเรื่องนั้นขึ้นมาพูด ขึ้นมาชมเชย หยิบมงกุฎ หยิบชฎา หยิบข้าวเหนียวมะม่วงมาชมเชย แต่ข้อเท็จจริงกว่าคนเหล่านั้นจะประสบความสำเร็จได้ ล้วนมาจากความอุตสาหะของกาย เงิน ของคนเหล่านั้น”

อภิสิทธิ์กล่าวเพิ่มเติมว่า จากงบประมาณทั้งหมดของประเทศไทย 3.3 ล้านล้านบาท มีส่วนที่ส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์เพียงแค่ 8,000 กว่าล้านบาทเท่านั้น หน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงคือสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ได้งบประมาณ 310 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับ Korea Creative Content Agency (KOCCA) ของประเทศเกาหลีใต้ ได้งบประมาณในปีที่แล้วถึง 22,000 ล้านบาท ซึ่งแตกต่างกันอย่างลิบลับ ดังนั้นพรรคก้าวไกลจึงเสนอนโยบาย 5 มิติเพื่อสร้างอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ขึ้นในประเทศไทย

เรื่องแรก พรรคก้าวไกลจะเสนอให้อุตสาหกรรมสร้างสรรค์เป็นอุตสาหกรรมหลักของประเทศ พร้อมๆ กับที่เราต้องส่งเสริมอุตสาหกรรมอื่นๆ เรามีสถาบันการศึกษาที่อยู่ในอุตสาหกรรมนี้ 130 แห่ง มีธุรกิจที่จดทะเบียนในระบบมากกว่า 82,072 ราย เราต้องรื้อระบบโครงสร้างงบประมาณใหม่ เพราะโครงสร้างงบประมาณเดิมยิ่งสร้างปัญหา ไม่แหลมคมพอ กระจัดกระจาย รวมทั้งระบบการจัดซื้อในรัฐบาลต้องเปลี่ยนใหม่ เพื่อพุ่งเป้าไปสร้างอุตสาหกรรมสร้างสรรค์มากขึ้น

สอง พรรคก้าวไกลจะปรับระบบสวัสดิการคนที่อยู่ในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ให้มีชีวิตเพิ่มมากขึ้น ให้เขาเห็นปลายแสงสว่างในชีวิตว่ามาทำอุตสาหกรรมสร้างสรรค์แล้วไม่ได้ตกทุกข์ได้ยากลำบาก เราอาจเห็นร้านอาหารที่มีชื่อ อาจเห็นชื่อเสียงของนักดนตรีไทย แต่หลังบ้านของสิ่งเหล่านั้นเป็นหลังบ้านที่น่าสงสาร

สาม พรรคก้าวไกลจะเปลี่ยนพื้นที่บางพื้นที่ให้เป็นพื้นที่ทดลองของคนในอุตสาหกรรมนี้ ประเทศไทยมีพื้นที่ว่างในพื้นที่ราชพัสดุ ที่ดินทหารและส่วนราชการอีกเยอะแยะที่สามารถเอามาเป็นแล็บให้พวกเขาได้ทดลอง นอกจากนี้ เราต้องทำโครงสร้างพื้นฐานทั้งหลายให้ตอบโจทย์ เช่น เสนอคูปองให้พัฒนาความรู้ เพื่อนำไปบวกกับความคิดสร้างสรรค์ ไปบวกกับเทคโนโลยี ไปบวกกับทุนเดิมทางวัฒนธรรม 

สี่ พรรคก้าวไกลเสนอให้รวบรวมกองทุนต่างๆ ทำงานร่วมกันอย่างมีเอกภาพ ในวันนี้เรามีกองทุนหลายกองทุน เช่น กองทุนใน กสทช. กองทุนในกระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานส่งเสริมศิลปะร่วมสมัย กองทุนสื่อสร้างสรรค์ แต่กองทุนเหล่านี้มีวัตถุประสงค์เฉพาะของตัวเอง เราต้องปรับเนื้อหากองทุนเพื่อมาตอบโจทย์ในเศรษฐกิจสร้างสรรค์ให้กว้างมากขึ้น เราต้องทำกองทุนให้ตอบโจทย์ผู้สร้างสรรค์ที่หลากหลายมากขึ้น พรรคก้าวไกลเสนอให้การปรับกองทุนและเพิ่มเงินในกองทุน เพื่อทำให้กองทุนความคิดสร้างสรรค์นี้สามารถกู้ยืมได้ สามารถต่อยอดไอเดียออกมาเป็นผลงานได้

สุดท้าย สิ่งที่สำคัญที่สุดคือกฎระเบียบ และ พ.ร.บ.ต่างๆ ที่ปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์ ปิดกั้นความสามารถ เช่น เรื่องกรณีที่เพิ่งเกิดขึ้นในการเซ็นเซอร์ภาพยนตร์เรื่องหุ่นพยนต์ 

ข้อเสนอของพรรคก้าวไกล 5 ข้อที่ว่ามา สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องมีเสรีภาพ มีสวัสดิการของคนที่ทำงานสร้างสรรค์ และที่สำคัญต้องแก้กฎหมาย

‘เจ๋ง ดอกจิก’ ปลื้ม!! ‘รทสช.’ มาแรง หลัง ปชช.พอใจนโยบาย ฉะ ‘เพื่อไทย’ อย่าหลอกใช้คนเสื้อแดงเพื่อหวังแลนด์สไลด์

(14 มี.ค. 66) นายยศวริศ ชูกล่อม หรือ ‘เจ๋ง ดอกจิก’ สมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานกลุ่มรวมใจรักชาติ เปิดเผย ว่า ได้ลงพื้นที่จังหวัดอุตรดิตถ์ และจังหวัดแพร่ เพื่อช่วยว่าที่ผู้สมัครพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) หาเสียง ได้รับการต้อนรับจากประชาชนเป็นอย่างดี โดยเฉพาะที่จังหวัดอุตรดิตถ์ มีว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 เป็นอดีตแกนนำคนเสื้อแดงที่เคยนำมวลชนมาต่อสู้ในช่วงปี 53, 54 และ 57 พรรครวมไทยสร้างชาติเห็นความสำคัญ ให้ความไว้วางใจเลือกให้ลงในเขต 1 อุตรดิตถ์ แกนนำเสื้อแดงคนนี้เป็น 1 ในคนที่ถูกทอดทิ้ง ไม่ได้รับการเหลียวแลเช่นเดียวกับคนเสื้อแดงในจังหวัดอุตรดิตถ์อีกหลายคน

นายยศวริศ กล่าวว่า แม้จะต้องแข่งกับพรรคการเมืองใหญ่ที่เป็นอดีต ส.ส. แต่ประชาชนเขาก็อยากได้คนใหม่ ประกอบกับนโยบายของพรรครวมไทยสร้างชาติจับต้องได้ ประชาชนพอใจกับนโยบายพรรค พร้อมที่จะสนับสนุน ตนได้ไปอธิบายนโยบายของพรรคให้ประชาชนได้เข้าใจมากขึ้น เช่น การเพิ่มเงินในบัตรประชารัฐ 300 เป็น 1,000 บาท การเพิ่มเงินเดือนให้ อสม. 2,000 บาท รวมทั้งเบี้ยยังชีพอายุ 60 ปีขึ้นไป มาได้เป็น 1,000 บาท พร้อมแนะนำตัวผู้สมัครของพรรครวมไทยสร้างชาติทุกเวที

นายยศวริศ กล่าวว่า การลงพื้นที่ของตนเน้นนำเสนอนโยบายพรรครวมไทยสร้างชาติ ประชาชนก็เข้าใจ แต่ก็ยังมีคนที่คลั่งไคล้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และพรรคเพื่อไทยมาด่าตนว่าขายอุดมการณ์ ทำให้ทัวร์มาลงบ้าง แต่ต้องเข้าใจว่า ส.ส.เสื้อแดงในพรรคเพื่อไทยมีมากที่เข้าใจคนเสื้อแดง แต่คนประเภท เฮีย เจ๊ หรือเศรษฐีที่เข้าไปอยู่ ไม่ได้จริงใจกับคนเสื้อแดง แถมรังเกียจคนเสื้อแดง หาว่าเป็นคนชั้นล่าง เป็นไพร่สกปรก คนเหล่านี้ไม่เคยให้เกียรติคนเสื้อแดง ไปหาก็ไม่ให้การต้อนรับ

“ที่ผมพูดแบบนี้ เพราะพรรคการเมืองนี้จบด้วยวอร์รูมประชุมกันในห้องแอร์ ส.ส.ไม่มีปากมีเสียง คนเสื้อแดงก็จะถูกหลอกมาใช้งานอีกครั้งช่วงเลือกตั้ง หลังเลือกตั้งเสร็จก็คงถูกทิ้ง เพราะการเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทย ตัดสินใจคนในห้องแอร์ คนพวกนี้รังเกียจคนเสื้อแดง ขยะแขยงคนเสื้อแดง ถึงเวลาจะใช้งาน ทำทีเอ็นดูคนเสื้อแดงเหลือเกิน ดูจากการปราศรัย มาพบกับคนเสื้อแดง ดูแววตาก็รู้ว่าไม่จริงใจ ยกเว้น นส.ส.เสื้อแดง คนกลุ่มนี้ยังจริงใจอยู่ การเลือกตั้งครั้งนี้ คนเสื้อแดงก็คงถูกหลอกใช้ ถูกหลอกแลนด์สไลด์เหมือนเดิม นี่คือแผนเอาคนเสื้อแดงมาหลอกคนเสื้อแดงด้วยกัน แต่สุดท้ายการตัดสินใจทุกเรื่องอยู่ที่ เจ๊ จ. เจ๊ ด. เฮียนั่น เฮียนี่” นายยศวริศ กล่าว

‘สาวชาติพัฒนากล้า’ นำเสนอนโยบายด้วยภาษามือ  พร้อมรับฟังความเห็นจากเสียงที่ไม่มีใครได้ยิน

(14​ มี.ค.66) ณ​ ห้อง​อินฟินิตี้​ โรงแรมพูลแมน​ รางน้ำ​ กรุงเทพมหานคร​ ว่าที่ผู้สมัครหญิงจากพรรคชาติพัฒนากล้า​ นำโดย ‘วิว’ นางสาวเยาวภา​ บุรพลชัย​ โฆษกพรรคชาติพัฒนากล้า, นางสาวยศยา ชิยาปภารักษ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. เขตพระโขนง-บางนา​ และ​นางสาวสวิชญา​ วาทะพุกกะณะ ว่าที่ผู้สมัครเขตราษฎร์บูรณะ ทุ่งครุ​ ได้รับเชิญเป็นตัวแทนพรรคเข้าร่วมเสวนางาน "Woman together stand for good society and good politics : สังคมดี การเมืองดี ต้องมีสตรีร่วมทาง" โดยการเสวนาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมผลักดันสตรีเพศให้มีบทบาทและสิทธิทางการเมืองเสมอภาคกับเพศสภาพอื่นๆ

นางสาวเยาวภา​ ซึ่งเป็นอดีตนักกีฬาเทควันโดโอลิมปิก กล่าวว่า การนำกีฬาและกิจกรรมสร้างสรรค์​ เข้ามาสร้างสุขภาพ​และสร้างการตระหนักรู้ถึงการมีคุณค่าของตนเองให้กับเด็ก​ เยาวชน​ และคนทุกเพศทุกวัย​ ตลอดจนการพัฒนาเด็กเล็กโดยการเพิ่มทักษะครูพี่เลี้ยง​ และการทำนโยบายที่เน้นให้เด็กได้อยู่ใกล้ชิดครอบครัว​ เพื่อสร้างความอบอุ่นและครอบครัวที่เข้มแข็ง​ รวมถึงการส่งเสริมการศึกษาแบบยืดหยุ่นที่เป็นหลักสูตรเฉพาะเพื่อสร้างความสามารถที่เป็นเอกลักษณ์ให้กับเด็กที่จะเป็นอนาคตของประเทศ​ 

ขณะที่นางสาวยศยา นำเสนอนโยบายสิทธิของเด็ก สตรี ผู้พิการและคนชรา​ ผ่าน​ ทั้ง 12 นโยบาย จากพรรคชาติพัฒนากล้า อาทิ อารยสถาปัตย์ โดยสนับสนุนงบประมาณ 50,000 บาทเพื่อปรับปรุงซ่อมบ้านในกับผู้พิการและผู้สูงอายุ, การจ้างงานผู้สูงอายุหลังเกษียณ 500,000 ตำแหน่ง, เด็กไทยต้องรู้ 3 ภาษา ได้แก่ ภาษาไทย ภาษาต่างประเทศ และภาษาโค้ดดิ้ง, กองทุนสร้างสรรค์ สูงสุด 1,000,000 บาท สนับสนุนกลุ่มคนที่มีไอเดียวสร้างสรรค์ในการทำธุรกิจ ไม่จำกัดวุฒิ, เพศ, และวัย และ นโยบายสนับสนุนกลุ่ม LGBTQ+ ให้เป็นที่ยอมรับ และ เสมอภาคเพื่อสร้างความงดงามทางสังคม และ นำรายได้เข้าสู่ประเทศ​ 

‘ไพบูลย์’ ไม่หวั่น ปม ส.ส.ทยอยลาออกจาก พปชร. ลั่น!! เตรียมตัวมาดี หากยุบสภาฯ พร้อมเดินหน้าทันที

(14 มี.ค. 66) ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรค พปชร. ให้สัมภาษณ์ กรณีที่มี ส.ส.ของพรรคทยอยลาออก โดยล่าสุดคือ นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ ส.ส.ชลบุรี และแกนนำพรรค พปชร. ว่า คนที่ออกไปส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่จะลาออกตั้งแต่ต้น มีเจตจำนงค์ที่จะไปพรรคอื่น แต่ยังไม่ลาออกอย่างเป็นทางการ วันนี้เป็นการลาออกอย่างเป็นทางการ และคนที่ออกไปก็อยู่ในจำนวนที่เคยบออกไปตั้งแต่แรกว่าเป็นส่วนน้อย แต่ส่วนใหญ่ยังอยู่ที่พรรค

และยังมีกลุ่ม ส.ส.ที่มาจากพรรคอื่นที่เข้ามาจำนวนมาก ยืนยันว่า พรรค พปชร. มีความพร้อมที่สุดที่จะเข้าสู่การเลือกตั้ง ที่มีข่าวว่าคนนู้นคนนี้ลาออก เป็นเรื่องที่เกินไป ไม่ใช่อย่างนั้น พรรคไม่มีปัญหา และกระแสพรรคตอนนี้ไม่ได้ดรอปและดีขึ้น โดยพรรคได้จัดทำโพลสำรวจเป็นระยะ จึงไม่รู้สึกหนักใจอะไร ขณะเดียวกันเรื่องที่ดี คือหัวหน้าพรรคมีภาพลักษณ์และทำกิจกรรมที่มีภาพปรากฎในสื่อเป็นไปในทางบวก ถือเป็นข้อดี

นายไพบูลย์ กล่าวว่า สำหรับการเตรียมความพร้อมเลือกตั้ง จะมีคณะกรรมการชุดต่าง ๆ เข้ามาดูแลขับเคลื่อนการดำเนินงานของพรรค อาทิ ฝ่ายดูแลเวทีและกิจกรรมของพรรค โดยมีนายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหัวหน้าพรรค เป็นผู้ดูแล คณะกรรมการฝ่ายอำนวยการเลือกตั้ง โดยมีนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ในฐานะเลขาธิการพรรค เป็นผู้ดูแล และมีนายวราเทพ รัตนากร เป็นผู้ช่วยดูแล คณะกรรมการจัดทำนโยบาย มีนายอุตตม สาวนายน เป็นประธาน คณะกรรมการยุทธศาสตร์การเมือง มีนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เป็นผู้ดูแล และตนเป็นประธานคณะกรรมการฝ่ายกฎหมาย

ทั้งนี้ เมื่อยุบสภาฯ จะเข้าสู่การเลือกตั้งเต็มรูปแบบ พรรคก็จะดำเนินการให้เต็มรูปแบบ ขณะนี้ทีมงานมีความพร้อมที่ดีมาก และมีผู้รับผิดชอบในแต่ละด้านทั้ง 7 ฝ่าย สำหรับขุนพลปราศรัยของพรรคมีทุกเวที และน่าจะมีคนเกินมากกว่าเวที โดยการปราศรัยแต่ละครั้งต้องมีประชาชนมาฟังให้เต็ม ไม่ใช่มีแต่เก้าอี้ ที่พูดไม่ได้ประชดใคร ขณะที่การขึ้นเวทีดีเบต พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค พปชร. ได้มอบหมายให้หลายคนเป็นตัวแทน พล.อ.ประวิตร จะพูดบนเวทีปราศรัย หรือการให้สัมภาษณ์พิเศษ

ผู้สื่อข่าวถามว่า บุคคลที่ลาออกซึ่งรับผิดชอบพื้นที่เลือกตั้ง จำเป็นต้องมีการปรับอะไรหรือไม่ นายไพบูลย์ กล่าวว่า ไม่จำเป็น เพราะหัวหน้าพรรคมอบหมายงานให้รับผิดชอบ ซึ่งแต่ละพื้นที่ไม่ได้มีคนเดียว มี 2-3 คนอยู่แล้ว คนที่อยู่ก็ทำงานต่อ คนที่ออกก็ออกไป ไม่มีผลกระทบอะไร ยืนยันว่าพรรคมีความพร้อมในการเลือกตั้ง เนื่องจากรายชื่อที่ออกไป พรรครู้และเตรียมการไว้ล่วงหน้าอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจหรือเซอร์ไพรส์อะไร เราทราบก่อนหน้านั้นแล้ว แค่วันนี้ออกอย่างเป็นทางการ

‘สามมิตร’ จ่อเกลี้ยง!! สรวุฒิ ทิ้ง ‘พปชร.’ ซบ ‘พท.’ เผย เตรียมร่วมเปิดตัว-ขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่ 17 มี.ค.นี้

(14 มี.ค. 66) นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ ส.ส.ชลบุรี พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และหัวหน้าภาคตะวันออก เปิดเผยว่า ได้ตัดสินใจลาออกจากสมาชิกพรรคพลังประชารัฐแล้ว เพื่อจะไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย (พท.) โดยยังไม่ได้มีการพูดคุยกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ แต่ถ้ามีโอกาสก็จะเข้าไปกราบลา และต้องขอขอบคุณ พล.อ.ประวิตร ที่สนับสนุนและให้โอกาสในการทำงาน รวมถึงนายวิรัช รัตนเศรษฐ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่ไม่ได้เข้าไปกราบลา แต่จิตใจยังผูกพัน และระลึกถึงสิ่งดี ๆ

ส่วนในพื้นที่จังหวัดชลบุรี ตนลาออกเพียงคนเดียว ไม่ได้ชักชวนใครไปด้วย ส่วนตำแหน่งหัวหน้าภาคตะวันออก น่าจะมอบหมายให้คนที่ยังอยู่ คือ ร.อ.จองชัย วงศ์ทรายทอง ส.ส.ชลบุรี อย่างไรก็ตาม นายสรวุฒิ ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวถึงการลาออกในครั้งนี้ด้วย

จับตา ‘สมศักดิ์-สุริยะ’ เปิดทางซบ ‘เพื่อไทย’  คาด!! อาจไขก๊อก 'รมต.-ปาร์ตี้ลิสต์' 16 มี.ค.นี้ 

(14 มี.ค.66) รายงานข่าวแจ้งถึงความเคลื่อนไหวของกลุ่มสามมิตร นำโดยนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ในฐานะประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม ในฐานะรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่ถูกจับตาอย่างมากถึงการตัดสินใจทางการเมืองครั้งสำคัญ โดยทางพรรคเพื่อไทย ที่มีกำหนดการเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส.ครบทั้ง 400 เขต ในวันที่ 17มี.ค.นี้ ที่ ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต แกนนำพรรคเพื่อไทย จึงมีความพยายามกดดันให้กลุ่มสามมิตร รีบตัดสินใจย้ายมาร่วมงานกับพรรคเพื่อร่วมมือในการต่อสู้เลือกตั้งครั้งต่อไป

‘เพื่อไทย’ หวั่น!! กกต. แบ่งเขตเลือกตั้งพิสดาร ชี้!! ไม่ควรแยกย่อยแขวง ป้องกัน ปชช. สับสน

(14 มี.ค.66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นำโดย นายวิชาญ มีนชัยอนันต์ ประธานภาค กทม. น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวานิช ส.ส.กทม. และนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม. แถลงเสนอความเห็นต่อสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประเด็นการแบ่งเขตเลือกตั้ง ที่อาจไม่เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.

โดย น.ส.ธีรรัตน์กล่าวว่า ในฐานะตัวแทน ส.ส.กทม. มีหลายพรรคการเมืองไม่เห็นด้วยกับการแบ่งเขตที่ กกต. อาจจะเลือกใช้ โดยเห็นว่าหลักของการแบ่งเขต ควรรวมเขตขนาดใหญ่ไว้ด้วยกัน ไม่ใช่การรวมแขวง เพราะจะทำให้ ส.ส.เขต กลายเป็น ส.ส.แขวง และจะทำให้เกิดความสับสน ทั้งสำหรับ ส.ส.ที่จะต้องดูแลพื้นที่ และประชาชนที่จะไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง

ทั้งนี้หาก กกต. แบ่งแขวงหนึ่งไปรวมกับอีกเขตการปกครอง ที่ไม่ได้มีพื้นที่เชื่อมต่อกัน และประชาชนไม่คุ้นเคย ไม่สะดวกในการเดินทางไปใช้สิทธิ อาจเป็นช่องโหว่ให้เกิดการทุจริตเลือกตั้งได้ รวมถึงเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้ง เกิดความไม่คุ้นเคยกับประชาชนจากแขวงอื่นที่มาใช้สิทธิเลือกตั้ง

“การแบ่งเขตควรคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง แต่ดูแล้วการแบ่งเขตของ กกต. เองดูจะเข้าทางกลุ่มผู้มีอำนาจเป็นหลักหรือไม่ อันนี้ท่านจะกลับหลังทัน คิดถึงประโยชน์ของประชาชนให้มากกว่าจะคิดถึงประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง” น.ส.ธีรรัตน์กล่าว

ด้าน นายวิชาญ ให้รายละเอียดการแบ่งเขตของ กกต. 4 แบบ ว่า กทม. 33 เขต เป็นที่จับจ้อง เนื่องจากเป็นชิ้นเค้กชิ้นหนึ่งที่หลายพรรคการเมืองอยากได้ เพราะเป็นเขตที่ติดต่อกัน และมีความหนาแน่นของคนเมือง

พรรค พท.เคยมีการแถลงข่าวและเตือนไปแล้วครั้งหนึ่ง ว่าการแบ่งเขตรอบแรกมีความผิดเพี้ยนและได้บอกให้คำนึงถึงกฎหมาย พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 29 ที่ต้องยึดโยงเรื่องเขตปกครองเป็นหลัก หมายความว่าต้องเอาอำเภอเป็นหลัก หากไม่สามารถแบ่งได้ ค่อยไปแบ่งตามแขวง นอกจากนี้ยังต้องยึดโยงตามการเดินทาง ให้ความสะดวกกับประชาชนให้ได้มากที่สุด และต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชน โดยวันนี้ยังไม่ทราบว่าการแบ่งเขตเลือกตั้งจะออกมาเป็นรูปแบบไหน

“สิ่งสำคัญต้องไม่ทำให้ประชาชนสับสน ครั้งที่แล้วเราเตือน กกต. ว่าการแบ่งเขตที่ส่งรูปแบบมา รูปแบบที่ไม่เหมาะสม คือ 6-7 แต่พอภาคประชาชนท้วงไป กกต.ก็เปลี่ยนมามี 4 รูปแบบ 4 รูปแบบที่ว่า 1 และ 2 เป็นแบบที่เราท้วงไป ทั้งนี้ ตนตั้งข้อสังเกตว่า หากมองให้ลึก การประกาศต้องผ่านราชกิจจานุเบกษา ทั้งนี้ รูปแบบ 1 และ 2 ขัดต่อ พ.ร.ป. ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มาตรา 27 ที่ต้องรวมอำเภอเป็นเขตเลือกตั้ง ซึ่ง กทม. ก็คือ เขต และเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2562 มีการเอาเขตเป็นตัวตั้งมากกว่าเอาแขวงมาเป็นตัวตั้ง แต่รอบนี้ รูปแบบที่ 1 และ 2 กลับกำหนดตำบลหรือแขวงมาเป็นตัวตั้ง ย้ำว่าจัดแบบนี้วุ่นวายไปหมด ข้าราชการเองก็งง จึงมาบอกทางประชาชนและบอกทางพรรคการเมืองให้ช่วยดู”

“ถามว่า กกต.ได้อะไร ได้ความสนุกหรือไม่ กกต.แบ่งเพื่อที่จะให้ 10% แต่ไม่ได้คำนึงถึงความเดือดร้อนของประชาชน ความวุ่นวายการเสียจำนวนเงิน ประชาสัมพันธ์ เขายังไม่ได้คำนึงถึงเรื่องกฎหมายหากมีใครมายืนร้อง หลังเลือกตั้งประกาศผลไม่ได้ เป็นโมฆะ กกต.รับผิดชอบหรือไม่ ประเทศเรามีนักร้องเยอะมาก กทม. ทะเลาะกันแน่นอน” นายวิชาญกล่าว

ประชาธิปัตย์ทันสมัย พูดคุยกับ ‘อลงกรณ์’ ในบริบทใหม่ของ ศก.ไทย ใต้ ‘6 ระบบเศรษฐกิจ-18 ฐานการพัฒนา’

ในห้วงเวลาที่นโยบายหลากพรรคต่างช่วงชิงกระแส ‘ตัวเลข’ ออกมาปั้นเป็นวิสัยทัศน์กันอย่างไวว่อง ในฟากของประชาธิปัตย์ก็มิได้ตกขบวนแต่อย่างใด หากแต่ตัวเลขของ ปชป. อาจจะไม่ใช่ตัวเลขหรือหวาเชิงประชานิยม แต่กลับเป็นตัวเลขภายใต้บริบทที่เรียกว่า ‘6 ระบบเศรษฐกิจใหม่ - 18 ฐานการพัฒนาใหม่’ ซึ่งทางพรรควางไว้เป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนประเทศไทยตัวใหม่ภายใต้แพลตฟอร์มที่ประชาธิปัตย์ได้ดีไซน์เพื่อความเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจที่แท้จริงของประเทศไทยในวันนี้

บริบทจาก ‘6 ระบบเศรษฐกิจใหม่ - 18 ฐานการพัฒนาใหม่’ ที่ว่านั้น ทาง THE STATES TIMES ได้รับความกระจ่างผ่านมุมมองของ นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคและประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พรรคประชาธิปัตย์ / อดีต ส.ส.6สมัย อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และ อดีตรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.)

เมื่อถามถึงบริบทดังกล่าว นายอลงกรณ์ ก็ได้เริ่มเกริ่นนำว่า “ในมุมมองของผม โจทย์ใหญ่ของประเทศไทย คือ  อัตราการเติบโดทางเศรษฐกิจที่อยู่ในระดับต่ำ ขณะที่หนี้สาธารณะและหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รายได้ต่อหัวของประชาชนขยายตัวในอัตราต่ำเมื่อเทียบกับศักยภาพของประเทศ การคอร์รัปชันสูงเกินไป การกระจายรายได้ต่ำ ทำให้ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมสูงมากในลำดับต้นๆ ของโลก

“สรุปคือระบบเศรษฐกิจและระบบภาครัฐดั้งเดิมของประเทศไทยเหมือนเครื่องยนต์เก่าที่กำลังไม่พอต่อการยกระดับการเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนาอย่างยั่งยืน จำเป็นต้องสร้าง ‘เครื่องยนต์ตัวใหม่’ ที่ทันต่อการแข่งขันและความท้าทายใหม่ๆ เช่น ปัญหาโลกร้อน, ปัญหาสังคมสูงวัย, ปัญหาความยากจนและหนี้สิน, ปัญหาความเหลื่อมล้ำปัญหาการผูกขาดทางเศรษฐกิจ, ปัญหาการคอร์รัปชัน, ปัญหาคุณภาพการศึกษา และปัญหาโรคระบาดและฝุ่นพิษ รวมถึงปัญหาUrbanization และปัญหาความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ฯลฯ”

นายอลงกรณ์ เผยต่อว่า “ถ้าจะยกระดับอัพเกรดให้ก้าวพ้นประเทศรายได้ปานกลางสู่ประเทศรายได้สูง เราต้องมีแพลตฟอร์มใหม่และสร้าง”พิมพ์เขียวปฏิรูปเศรษฐกิจและการพัฒนา”ที่มีเป้าหมายชัดเจนเป็นตัวชี้วัด (Benchmark) บนโครงสร้างและระบบเศรษฐกิจใหม่ 6 ระบบได้แก่ 1.เศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) 2.เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) 3.เศรษฐกิจอุตสาหกรรมใหม่ (New S-Curve) 4.เศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) 5.เศรษฐกิจเพื่อสังคม (Social Economy) และ 6.เศรษฐกิจสูงวัย (Silver Economy)

“โดยทั้ง 6 ระบบนี้ คือ เครื่องยนต์ใหม่ที่จะตอนโจทย์ต่ออนาคตของประเทศไทย ซึ่งมีเป้าหมายที่จะต้องทำให้ได้ดังนี้...1.การเติบโตทางเศรษฐกิจไม่น้อยกว่า 5 %ใน 4 ปีแรกและ 7 %ในปีที่ 5 / 2.สร้างมูลค่าGDPเป็น 20 ล้านล้านบาทภายใน 4 ปี / 3.สร้างความสมดุลหนี้สาธารณะและงบประมาณสมดุลภายใน 8 ปี / 4.เกิดการจ้างงานใหม่ไม่น้อยกว่า 1 ล้านตำแหน่งภายใน 8 ปี  และ 5. เพิ่มรายได้ประชากรสู่ระดับ 12,000 ดอลลาร์สหรัฐภายใน 10 ปี...นี่คือในส่วนของ ‘6 ระบบเศรษฐกิจใหม่’ 

ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมต.ผู้ปราบการกระทำผิดไซเบอร์ แห่งกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

อยู่ในตำแหน่ง ส.ส. ครบ 4 ปี และแม้จะเป็นรัฐมนตรีไม่นานมากนัก แต่ต้องยอมรับว่า "ชัยวุฒิ  ธนาคมานุสรณ์ มีบทบาทในการขับเคลื่อนกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอีเอส  รวมถึงการทำหน้าที่ผู้แทนราษฎร ที่มีจุดยืนชัดเจนในการปกป้องสถาบันหลักของชาติ เรียกได้ว่า "พร้อมชน" ทุกที่ ทุกเวลา ทั้งการจัดการกับ "ข่าวปลอม" ต่างๆ  การอภิปรายในสภา หรือให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อเพื่อตอบโต้การเคลื่อนไหวหรือการทำกิจกรรมใดๆ ที่สุ่มเสี่ยงหรือเข้าข่ายกระทบสถาบัน

หากย้อนมองเส้นทางการเมืองของ "ชัยวุฒิ" ที่ครั้งหนึ่งเคยใฝ่ฝันอยากเป็นคนรุ่นใหม่ที่เข้ามาทำงานการเมือง เริ่มต้นจากการเป็น ส.ส. สิงห์บุรี กับพรรคประชาธิปัตย์ ในปี 2544  และขยับไปเป็น ส.ส.สิงห์บุรีอีกสมัยกับพรรคชาติไทย ในปี 2550 คล้อยหลังมา 1ปี เจ้าตัวจำต้องเว้นวรรค ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี  เนื่องจากเป็นกรรมการบริหารพรรคชาติไทยซึ่งถูกยุบ ในคดียุบพรรคการเมือง ปี 2551

จากนั้นก็ผันตัวไปทำงานอื่นอยู่พักใหญ่ก่อนหวนกลับมาสู่การเมืองอีกครั้ง เมื่อถูกทาบทามให้เข้ามาช่วยปลุกปั้นพรรค "พลังประชารัฐ" สู้ศึกเลือกตั้งในปี 2562 ได้เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับที่ 10 และมีบทบาทสำคัญในการบริหารขับเคลื่อนพรรค ต่อมาเมื่อถึงช่วงเวลาปรับ ครม. เดือนมีนาคม 2564  "ชัยวุฒิ" จึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

"ที่ผมเข้ามาทำงานในกระทรวงดิจิทัล ภารกิจหลักของผมคือปกป้องสถาบันหลักของชาติ"

ประโยคสั้นๆ จากบางช่วงบางตอน ที่ ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ ในฐานะ รมว.กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ชี้แจงระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจ 3 กันยายน 2564 หลังถูกตั้งคำถามเรื่องการใช้ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์และศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม เพื่อประโยชน์ทางการเมืองหรือไม่

วันนั้น เขาขยายความเหตุที่ต้อง ‘ปกป้อง’ สถาบันหลักของชาติ เพราะกำลังถูกบ่อนทำลาย โดยการใช้โซเชียลมีเดีย ใช้คอมพิวเตอร์ สื่อสารข้อมูลเท็จ บิดเบือน สร้างความเกลียดชัง เพื่อต้องการเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างในประเทศ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top