Monday, 23 June 2025
SPECIAL

‘สมหวัง’ อดีต นปช. จ่อเดินสายหาเสียงภาคอีสาน หวังโน้มน้าวคนเสื้อแดง หนุน ‘บิ๊กตู่’ นั่งนายกฯ อีกสมัย

(30 มี.ค. 66) นายสมหวัง อัสราษี ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.)และอดีตแกนนำ นปช. กล่าวว่า ตนมีกำหนดการลงพื้นที่ขึ้นเวทีปราศรัยกับ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ภาคอีสาน ของพรรค รทสช. ตั้งแต่สัปดาห์นี้เป็นต้นไป เพื่อช่วยพรรคโน้มน้าวใจให้คนเสื้อแดงที่เคยอยู่ร่วมกันมา ให้หันมาสนับสนุนว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค เพื่อมาสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย รวมถึงจะไปชี้แจงนโยบายของพรรคให้ชาวบ้านได้เข้าใจ และบางเวทีจะไปร่วมกับนายยศวริศ ชูกล่อม หรือ ‘เจ๋ง ดอกจิก’ ประธานกลุ่มรวมใจรักชาติ

นายสมหวัง กล่าวว่า ตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ ยึดอำนาจ ตนก็เฝ้าดูมาตลอดว่าทําอะไรบ้าง กระทั่งเข้ามาสู่ระบบการเลือกตั้ง ถือว่าเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย แต่ทุกวันนี้ก็ยังมีบางพรรคพยายามพูดโจมตีเวลาหาเสียง กล่าวหา พล.อ.ประยุทธ์ เป็นเผด็จการ ตนอยากถามว่าเอาสมองส่วนไหนคิด เวลานี้เข้าสู่โหมดการเลือกตั้งเป็นประชาธิปไตยแล้ว การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ที่มาจากการเลือกตั้งในสภาฯ เวลานี้ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ลงเลือกตั้งในระบบพรรค ทำไมยังมาพูดโจมตีอีกว่าเป็นเผด็จการ ถ้าเป็นเผด็จการจะมีการเลือกตั้งไหม ดังนั้น เลิกพูดได้แล้ว

“ประเทศชาติทุกวันนี้ ความขัดแย้งลดลงไหม ต้องยอมรับ ไอ้ที่จะมาเย้ว ๆ ไม่มีแล้ว เพราะทุกคนเข้าใจ แต่มีพวกบางคนที่เข้าเส้นเลือดไม่เปลี่ยนความคิด คิดด้วยตัวเองไม่ได้ แต่ผมไม่ใช่อย่างงั้น ที่ผมมาอยู่พรรครวมไทยสร้างชาติ ผมถือสุภาษิตว่า เจ็บแล้วจําคือคน ถ้าเจ็บแล้วทนคือควาย ผมไม่ใช่ควาย ผมไม่ให้ใครเอาเชือกมาร้อยจมูกเอากระดิ่งมาแขวนคอ” นายสมหวัง กล่าว

นายสมหวัง กล่าวว่า สมัยตนอยู่กับ นปช. ตนไม่เคยขอเงินใครแม้แต่บาทเดียว ดังนั้น อย่ามาพูดว่าทรยศหรือเนรคุณ ชีวิตนี้ไม่เคยทรยศใคร ไม่เคยเนรคุณใคร เมื่อไม่เคยมาช่วยเหลือ แล้วเอาบุญคุณมาจากไหน เพราะสิ่งที่ทำทุกวันนี้ เป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด ตนไม่เคยมาขอเงิน ไม่ใช่สัมภเวสี ไม่ใช่เหลือบไร ไม่ใช่หมัด ที่จะไปขอเงินใคร ตนเป็นคนมีต้นทุน และต้นทุนสูงด้วย ดังนั้น ถ้าเคารพการตัดสินใจแต่ละฝ่าย ความเป็นเพื่อนก็ยังคงอยู่ แต่ถ้าไม่เคารพการตัดสินใจก็ไม่เป็นไร

‘ตำรวจ สอท.’ จับกุม ‘เมฆ รามา’ เอี่ยวเว็บพนัน-ฟอกเงิน เตรียมเรียก ‘หยาดทิพย์’ สอบปากคำเพิ่มเติม

ตร.เผยสืบสวนทางลับ จนพบเส้นทางการเงินจากเว็บพนันไปยัง “เมฆ รามา” สามี “หยาดทิพย์” แต่คนละเครือข่าวกับมาเก๊า 888 เตรียมเรียกหยาด สอบปากคำ รู้เห็นเป็นใจหรือไม่ ชม “ดิว อริสรา” ให้ข้อมูลเป็นประโยชน์

(30 มี.ค.66) เวลา 12.00 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาตำรวจ สอท.ได้เปิดปฏิบัติการเข้าตรวจค้นปฏิบัติการรวม 17 จุด สามารถจับผู้ต้องหาตามหมายจับความผิดเกี่ยวกับเว็บพนันออนไลน์และฟอกเงิน 8 ราย ในจำนวนนี้มี นายเมฆ รามา รัศมีรามา สามี ‘หยาดทิพย์ ราชปาล’ นางเอกชื่อดัง ซึ่งปฏิบัติการดังกล่าว สืบเนื่องจากได้รับการร้องเรียนจาก ‘นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์’ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมและ ‘ดิว อริสรา ทองบริสุทธิ์’

ดารานักแสดงชื่อดัง ที่ให้ข้อมูลซึ่งตำรวจได้มีการสืบสวนสอบสวนทางลับ จนพบความผิดชัดเจนโดยเฉพาะเส้นทางการเงินจากเว็บพนันไปยัง เมฆ รามา สามีของนางเอกดัง ซึ่งตำรวจจะต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง โดยตนเองยังไม่ได้มีการพูดคุยกับผู้ต้องหาแต่ทางพนักงานสอบสวนจะต้องดำเนินการสอบปากคำก่อนแจ้งข้อหา พร้อมกับยืนยันว่าจากการสอบสวนเครือข่ายเว็บพนันของเมฆ รามา เป็นคนละเครือข่ายกับเครือข่ายมาเก๊า 888 ส่วนนางเอกดัง ภรรยาของเมฆ รามา เบื้องต้น ยังไม่พบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องแต่ตามหลักของกฎหมายในฐานะสามีภรรยา พนักงานสอบสวนจะต้องเชิญภรรยาซึ่งเป็นนางเอกดังมาให้ปากคำว่ามีส่วนรู้เห็นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือไม่ เนื่องจากความผิดดังกล่าวเข้ามูลฐานการฟอกเงิน ดังนั้นต้องตรวจสอบรายละเอียดทรัพย์สินและบุคคลใกล้ชิดทั้งหมด เพื่อดำเนินการให้สิ้นกระแสความเพราะมิฉะนั้นการรวบรวมหลักฐานที่จะยื่นในชั้นอัยการและศาลจะสมบูรณ์ส่งผลคดี ทำให้ประชาชนมองว่าเป็นมวยล้มต้มคนดู เพราะตนเองได้สั่งกำชับในการทำงานของพนักงานสอบสวนไซเบอร์ไปแล้ว ส่วนกรณีที่มีการกล่าวอ้างว่ามีบุคคลพยายามเข้ามาแทรกแซงแลกกับไม่ดำเนินคดีเมฆ รามา และเครือข่าย ส่วนตัวยืนยันไม่มี และยืนยันว่าใครที่ไปอ้างว่ารับเคลียร์จะเสียเงินเปล่าเพราะตนเองไม่รับเคลียร์อย่างแน่นอน

รองผบ.ตร.กล่าาวชื่นชม ดิว อริสรา ที่ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการทำงานของตำรวจจนสามารถขยายผลจับกุมเครือข่ายเว็บพนันออนไลน์ทั้งมาเก๊า 888 และเครือข่าย เมฆ รามา ซึ่งทราบว่ามีความกังวลเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัย ซึ่งได้ให้ความมั่นใจว่าตำรวจจะดูแลอย่างเต็มที่


ที่มา : https://mgronline.com/entertainment/detail/9660000029647

'บิ๊กตู่' ยินดี สถิติแจ้งความคดีอาชญากรรมออนไลน์ลดลง พร้อมสั่งกำชับทุกหน่วยงานบังคับใช้ กม. อย่างเข้มงวด

(30 มี.ค.66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ความสำคัญและห่วงใยประชาชน ที่ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ โดยได้กำชับให้ทุกหน่วยงานดำเนินการอย่างจริงจังและบังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด จึงผลักดันการพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 ซึ่งมีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่ เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2566 ที่ผ่านมา เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์อาชญากรรมทางเทคโนโลยีในปัจจุบัน คุ้มครองประชาชนไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ ป้องกันการสูญเสียทรัพย์สิน ที่สำคัญคือชีวิตของประชาชน 

‘พิธา’ ชู นโยบาย ‘เกษตรก้าวหน้า’ แก้ปัญหาเผาป่า ตัดต้นตอ PM 2.5 ใช้เทคโนโลยีเปลี่ยนวิถีเกษตรกรรม

(30 มี.ค. 66) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก ‘Pita Limjaroenrat – พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ เรื่องวิธีแก้ปัญหาไฟป่า โดยข้อความระบุว่า…

ดับจุดแดง PM2.5 ด้วยนโยบาย ‘เกษตรก้าวหน้า’

หลังจากที่ผมได้เสนอต้นตอปัญหา PM2.5 ที่เกิดจากการขยายพื้นที่ทางการเกษตรในต่างประเทศ มีคำถามเข้ามาจำนวนมาก ว่า “ถ้าไม่เผา เรามีทางเลือกอะไร”

การลบจุดแดงที่เกิดจากการเผาในภาคเกษตรจากแผนที่ มองภาพให้ใหญ่กว่านั้นคือประเทศไทยต้องเปลี่ยนจากเกษตรที่พึ่งพาการเผา เป็นภาคเกษตรที่ใช้เทคโนโลยีที่มีการลงทุนมากขึ้น ใช้เครื่องจักรและเทคโนโลยีเข้มข้นขึ้น และสร้างอุตสาหกรรมแปรรูปวัสดุเศษเหลือจากการเกษตร ให้เปลี่ยนจากขยะที่ต้องเผาทิ้งไปสร้างมูลค่า

1.) เปลี่ยนเกษตรแบบเผา เป็นเกษตรที่ใช้เครื่องจักร
สิ่งที่รัฐบาลทำได้ทันทีคือไปคุยกับธุรกิจเครื่องจักรทางการเกษตร และทำโครงการร่วมกัน เพื่อให้เกษตรกรสามารถ ซื้อเครื่องจักรในการเก็บเกี่ยว (อ้อย) และเตรียมดิน (ข้าว และข้าวโพด) โดยขอรับสินเชื่อที่ดอกเบี้ย 0% พร้อมการดูแลหลังการขาย สำหรับกลุ่มเกษตรกร/ สหกรณ์/ ผู้ประกอบการในชุมชนที่ให้บริการเกษตรกรในพื้นที่จำนวนมาก รัฐบาลสามารถให้เงินสนับสนุนอีกทางสูงสุด 25% เพื่อเร่งให้ภาคเกษตรไทยในพื้นที่ต่างๆ ให้ใช้เครื่องจักรกลมากยิ่งขึ้น นอกจากจะช่วยลดการเผาแล้ว ยังเป็นการเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) ของภาคเกษตรกรรมของประเทศในระยะยาว

นี่คือความสัมพันธ์ที่ควรจะเป็นระหว่างรัฐบาลและกลุ่มทุน พรรคก้าวไกลเราไม่ได้มองกลุ่มทุนเป็นศัตรูในทุกเรื่อง แต่ในเรื่องที่ต้องทำงานร่วมกันแล้วเกิดผลดีกับประเทศเราต้องสนับสนุนให้กลุ่มทุนสร้างการแข่งขันให้กับประชาชนคนตัวเล็ก แต่ในเรื่องที่กลุ่มทุนทำธุรกิจอย่างไม่รับผิดชอบจนเกิดผลกระทบกับประชาชน รัฐบาลก็ต้องกล้าจัดการอย่างถูกต้องเช่นเดียวกัน

นอกจากนี้ พรรคก้าวไกลยังสนับสนุนให้เกษตรกรที่ปลูกพืชไร่ สามารถเปลี่ยนมาเป็นการปลูกไม้ยืนต้น ที่มีความหลากหลายและมีมูลค่าได้ โดยสามารถเลือกที่ใช้เพื่อการปลดหนี้ หรือการรับเป็นรายได้ประจำเป็นรายเดือนด้วย ซึ่งจะเป็นการลดการเผาวัสดุการเกษตรในระยะยาว

2.) เปลี่ยนขยะที่ต้องเผา เป็นเงินในกระเป๋าเกษตรกร
อีกอุตสาหกรรมที่เราจำเป็นต้องทำให้เกิดเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตทางการเกษตรคืออุตสาหกรรมแปรรูปเศษวัสดุการเกษตร (by-product) ทั้งฟางข้าว ใบอ้อย และต้นข้าวโพด ซึ่งไม่ใช่แค่การลดการเผา แต่เป็นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าที่สุดและทำให้ผลผลิตจากการเกษตรสร้างเงินในกระเป๋าประชาชนมากที่สุดอีกด้วย

พรรคก้าวไกลมีนโยบาย สนับสนุนงบประมาณผ่านผู้ประกอบการ/ผู้รวบรวมรับซื้อเศษวัสดุทางการเกษตร ทั้งฟางข้าว ใบอ้อย และต้นข้าวโพด ให้สามารถรับซื้อเศษวัสดุทางการเกษตรเหล่านี้ในอัตรา 1,000 บาท/ตัน เพื่อมาใช้ประโยชน์ (เช่น อาหารสัตว์ ปุ๋ยอินทรีย์) และการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ (เช่น ภาชนะบรรจุ) เกษตรกรสามารถได้รับการสนับสนุนโดยการขายให้กับผู้รวบรวมรายใดก็ได้

3.) ทุนสร้างตัว 100,000-1,000,000 ล้านบาท สร้างผู้ประกอบการแปรรูปวัสดุการเกษตร
นอกจากการรับประกันราคาฝั่งเกษตรกรแล้ว ผู้ประกอบการที่นำเศษวัสดุทางการเกษตรไปแปรรูป และ/หรือไปใช้ประโยชน์ก็เป็นภาคเศรษฐกิจที่ประเทศไทยต้องส่งเสริมให้เกิดขึ้นเพื่อสร้างระบบเศรษฐกิจที่จะลดการเผาในระยะยาว

ถ้าพรรคก้าวไกลได้เป็นรัฐบาลหรือบริหารกระทรวงเกษตรฯ เราจะมีนโยบายจัดสรรเงินทุนหมุนเวียนปลอดดอกเบี้ย+ทุนตั้งตัว 100,000 บาท/ราย เพื่อก่อตั้งธุรกิจ และทุนสร้างตัว 1,000,000 บาท/ราย เพื่อขยายกิจการให้ยั่งยืนในระยะยาว

4.) ฟรี! รับรองมาตรฐาน GAP-GMP-เกษตรอินทรีย์ ส่งสินค้าเกษตรคุณภาพดีไปทั่วโลก
เนื่องจากเกษตรกรรายย่อยส่วนใหญ่ยังไม่เข้าถึงการเข้าสู่กระบวนการรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตร โดยเฉพาะสินค้าประเภทพืชไร่และข้าว ซึ่งทำให้ไม่สามารถขายสินค้าเกษตรได้ราคาส่งออกต่างประเทศได้ เราจึงมีนโยบาย ‘รับรองมาตรฐาน GAP-GMP-เกษตรอินทรีย์ฟรี! ส่งสินค้าเกษตรคุณภาพดีไปทั่วโลก’

เมื่อเกษตรกรดำเนินการโดยปลอดการเผา และการดำเนินการอื่นๆ ตามมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (หรือ GAP) เกษตรกรจะสามารถขอรับมาตรฐาน GAP และ/หรือมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ได้ฟรี! โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เป็นเวลา 2 ปี

5.) เลิกงบไฟป่าไม่โปร่งใส ให้งบตรงไปที่ท้องถิ่นและประชาชน
สุดท้าย การลบจุดแดง PM2.5 อย่างยั่งยืน เราต้องแก้ปัญหาไฟป่า ถามว่าทำอย่างไรจึงจะแก้ปัญหาไฟป่าได้อย่างยั่งยืนกันแน่?

‘ธนาธร’ นำทัพเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. สุรินทร์ ทั้ง 8 เขต อ้อนชาวสุรินทร์ เพิ่มคะแนนเสียง กา 'ก้าวไกล' 2 ใบยกจังหวัด

‘ก้าวไกล’ เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. สุรินทร์ ทั้ง 8 เขต ‘ธนาธร’ ขอแรงประชาชน เพิ่มคะแนนเสียงแห่งความเปลี่ยนแปลง กาก้าวไกล 2 ใบยกจังหวัด สร้างการเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต

(30 มี.ค.66) เมื่อวันที่ 29 มี.ค.66 ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และ ผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล ขึ้นเวทีปราศรัยของพรรคก้าวไกล เพื่อเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.สุรินทร์ ทั้ง 8 เขต ที่สวนรัก อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์

ธนาธร ปราศรัยช่วงหนึ่งว่า ความฝันของอดีตพรรคอนาคตใหม่และเชื่อว่าเป็นความฝันของพรรคก้าวไกลเช่นกัน คือการสร้างสังคมที่เป็นธรรม เป็นประชาธิปไตย ทำให้ประเทศไทยก้าวไปข้างหน้า ซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่พรรคก้าวไกลเสนอ ว่าต้องการทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่การเมืองดี ปากท้องดี มีอนาคต

การเมืองดีคืออำนาจสูงสุดต้องเป็นของประชาชน จะเกิดขึ้นได้นักการเมืองของเราต้องมีอุดมการณ์ เพราะเกียรติภูมิของนักการเมือง ไม่ได้มาจากการที่นายจ้างสัมภาษณ์หรือการตอบข้อสอบ แต่อาชีพนี้มีเกียรติเพราะประชาชนเป็นคนเลือกเรามา แต่ที่ผ่านมา เราเห็นนักการเมืองในตระกูลดังๆ ย้ายพรรค บางคนในกลุ่มเดียวกันนี้เพิ่งเป็นนั่งร้านยกมือให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี นักการเมืองเช่นนี้จะสร้างการเมืองดีได้อย่างไร และหากประเทศไทยไม่มีการเมืองดี การทำให้ประเทศไทยปากท้องดีและมีอนาคต ย่อมเป็นเรื่องยาก

ธนาธรกล่าวต่อว่า ส่วนปากท้องดีเป็นเรื่องสำคัญ ขอยกประสบการณ์การเดินตลาดของตน เดินมาหลายสิบตลาดในเดือนนี้ พ่อค้าแม่ขายพี่น้องประชาชนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าทำมาค้าขายลำบาก หลายคนทำงานหนักมาทั้งชีวิต ยังไม่สามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ในช่วงบั้นปลาย พรรคก้าวไกลจึงเสนอนโยบายสร้างรัฐสวัสดิการ ซึ่งไม่ใช่นโยบายแบบลดแลกแจกแถมเหมือนที่แล้วมา แต่เป็นการคิดอย่างเป็นระบบ ดูแลตั้งแต่เกิดจนตาย เพื่อให้ประชาชนมีชีวิตที่มั่นคง ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังสามารถดึงศักยภาพของตัวเองออกมาได้เต็มที่

การสร้างรัฐสวัสดิการจะช่วยคืนความเข้มแข็ง ทำให้คนกล้าคิดกล้าฝัน เพราะหากชีวิตไม่มั่นคง ก็ต้องมองอนาคตเป็นรายสัปดาห์รายวัน ไม่สามารถวางแผนในชีวิตได้ แต่การให้สวัสดิการต้องทำพร้อมกับการสร้างงานสร้างอาชีพและลดรายจ่าย เช่น จังหวัดสุรินทร์ ที่โด่งดังเรื่องข้าวและการทำสุรา หากพรรคก้าวไกลเข้าไปเป็นรัฐบาล เขาประกาศนโยบายสุราก้าวหน้า ซึ่งจะเป็นตัวช่วยปลดล็อกศักยภาพ เพิ่มมูลค่าผลผลิตทางการเกษตร กระจายรายได้ในธุรกิจสุราออกจากกลุ่มทุนใหญ่ ไปสู่ประชาชน ชาวสุรินทร์จะได้ประโยชน์มหาศาล

‘เศรษฐา’ โชว์วิสัยทัศน์ ขับเคลื่อน ‘เศรษฐกิจ-เกษตร’ ไทย ชี้!! ต้องยกระดับ ก.ต่างประเทศ เน้นค้าขายกับต่างชาติ

(30 มี.ค.66) นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ‘เศรษฐา ทวีสิน - Srettha Thavisin’ โดยระบุว่า 

ทาง Maybank Kim Eng ได้ให้เกียรติและเปิดโอกาสให้ผมและทีมเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยได้พูดคุยกับนักลงทุน เพื่อสร้างความมั่นใจในนโยบายเศรฐกิจของพรรคครับ

ผมได้พูดถึงนโยบายภาคการเกษตรที่พรรคให้ความสำคัญมาตลอด เพราะหากการเกษตรดีก็จะสร้างรากฐานเศรษฐกิจที่แข็งแรง และส่งผลต่อ GDP ของประเทศอย่างมหาศาล

เรื่องการต่างประเทศที่ผมเน้นย้ำอยู่บ่อยครั้ง ที่เราต้องยกระดับกระทรวงการต่างประเทศ และออกไปเจรจาค้าขายกับทั่วโลก เราต้องกล้าที่จะต่อรอง เพราะเรามีศักยภาพ มีคุณภาพ สิ่งเหล่านี้ต้องนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ให้ครบทุกด้าน 

ปัจจัยที่สำคัญอีกหนึ่งอย่างคือการสร้างสังคมที่แข็งแรง มีสิทธิ มีความเท่าเทียม และมีสวัสดิการที่ดี เราต้องแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ เราต้องเร่งพัฒนาสังคมพื้นฐาน เพื่อให้ผู้คนสบายใจที่จะอาศัยอยู่ในประเทศ ไม่ย้ายออกไปไหน และอยากมีลูก เพราะเห็นความหวังในการอยู่ในสังคม

ผมมองว่าทุกเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญ ที่เราต้องแก้ไขไปพร้อม ๆ กัน สิ่งใดที่ทำได้ก่อน เราต้องทำ เพื่อพี่น้องประชาชน และด้วยศักยภาพของพรรคเพื่อไทย ผมเชื่อมั่นว่าเราสามารถทำได้ เพราะมีผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ที่พร้อมจะแก้ไขปัญหา พัฒนาประเทศ สร้างความอยู่ดี กินดีให้กับพี่น้องประชาชนชนได้อย่างรวดเร็วที่สุดครับ

ที่มา: https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid07jLHNKKeRmu3U6Q7whTBgA7Ji4fCC2q9xdfgCtcekaHDL5MprTSZ823NKrNjSLw8l&id=100090705406699&mibextid=Nif5oz

‘ตร.’ รวบ ‘โจรแสบ’ ขณะกำลังปีนบันไดลักลอบตัดสายเคเบิล หลักฐานเต็มท้ายรถ พบเคยก่อเหตุมาแล้วหลายพื้นที่

เมื่อวันที่ 29 มี.ค. 2566  พ.ต.อ.อนันต์ วรสาตร์ ผกก.สน.บางเขน นำกำลังจับกุม นายชวลิต จิตพินิจ อายุ 37 ปี และนายโยธิน ต่างศรี อายุ 24 ปี พร้อมของกลางสายเคเบิลขนาด 200 คู่ 0.4 AP จำนวน 2 เส้น ยาว 7 เมตร และ 18 เมตร, สายเคเบิลขนาด 300 คู่ 0.4 AP จำนวน 4 เส้น ยาว 12 เมตร, 14 เมตร, 22 เมตร และ 24 เมตร, สายเคเบิลขนาด 400 คู่ 0.4 AP จำนวน 1 เส้น ยาว 17 เมตร พร้อมรถกระบะยี่ห้ออีซูซุ ทะเบียน บพ 991 สระแก้ว, คีมตัดสายไฟ และบันไดไม้ไผ่ 2 อัน

สืบเนื่องจากบริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ ได้รับแจ้งว่า สัญญาณอินเทอร์เน็ต บริเวณมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรุงเทพฯ ไม่มีสัญญาณความเสถียร ใช้งานไม่ได้บ่อยครั้ง คาดว่าสาเหตุมาจากคนร้ายลักลอบตัดสายเคเบิลออกไป กระทั่งได้เบาะแสว่า มีบุคคลต้องสงสัย 2 คน แอบลักลอบตัดสายเคเบิล ภายในรั้วมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บริเวณตรงข้ามธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน

จากนั้นนายไพบูลย์ แสนสอาด ผู้จัดการศูนย์ติดตั้งและตรวจแก้ บริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ พร้อมตำรวจสายตรวจ สน.บางเขน เดินทางไปตรวจสอบ พบนายโยธินกำลังปีนบันไดและตัดสายเคเบิลอยู่ ใกล้กันพบนายชวลิตนั่งอยู่ในรถกระบะ ตรวจสอบท้ายรถกระบะพบสายเคเบิลขนาดใหญ่หลายเส้นม้วนวางอยู่

'ชพก.' เตรียมเผยโฉม 33 ขุนพลสู้ศึก กทม. 31 มี.ค.นี้ ชูสโลแกน “กล้า FIGHT : ชาติพัฒนากล้า เราสู้เพื่อคุณ”

(30 มี.ค.66) นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรค นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า พร้อมด้วย ดร.อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี, นายวรวุฒิ อุ่นใจ รองหัวหน้าพรรค และ นายวรนัยน์ วาณิชกะ ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคเตรียมแถลงเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กรุงเทพมหานคร ครบทั้ง 33 เขต ในวันศุกร์ที่ 31 มีนาคม 2566 เวลา 14.15 น. ณ โรงแรมรามาการ์เดนส์ 

โดยว่าที่ผู้สมัครทุกคนเป็นนักสู้ที่จะมาสร้างความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เปลี่ยนแปลงประเทศไทย รื้อโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ ให้คนไทยมีโอกาสลืมตาอ้าปาก หลุดพ้นจากความยากจนได้ ภายใต้สโลแกน  “กล้า FIGHT : ชาติพัฒนากล้า เราสู้เพื่อคุณ” เพื่อนำพาประชาชนคนไทยสู่เป้าหมาย งานดี มีเงิน และของไม่แพง 

ทั้งนี้ภายในงานจะใช้ธีมเวทีมวยในการเปิดตัว มีการแบ่งผู้สมัครเป็น 7 กลุ่มที่พร้อมมา ทุบ ฟัน ฟาด ต่อย ลุยกับปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชน 

"ผู้สมัครกทม.ของเรา หลากหลาย มีทั้งผู้บริหารธุรกิจมืออาชีพ ประสบการณ์แน่น มีทั้งสตาร์ตอัปไฟแรง มีแนวลงพื้นที่คลุกชาวบ้านเข้มข้น ขอให้จับตาดูผู้สมัครของเรา ที่พร้อมชนทุกปัญหาเศรษฐกิจ ไม่กลัวพรรคไหนในเวทีเลือกตั้งครั้งนี้แน่นอน" หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าว

‘อนุทิน’ เปิด 5 อันดับแรกปาร์ตี้ลิสต์ภูมิใจไทย 'น้องเพลง' นั่งเบอร์ 5 ในฐานะลูกสาว

(30 มี.ค.66) เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2566 ที่โรงเรียนฤทธิยะวรรณาลัย 2 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) เปิดเผยถึงลำดับผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ 5 ลำดับแรกของพรรค คือ 1.นายอนุทิน 2.นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เลขาธิการพรรค 3.นายทรงศักดิ์ ทองศรี รองหัวหน้าพรรค 4.กลุ่มของนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ ซึ่งยังไม่ระบุตัวบุคคล และ 5.น.ส.ชนม์ทิดา อัศวเหม หรือน้องเพลง ซึ่งนายอนุทิน ระบุว่า ต้องอยู่ในลำดับที่ 5 เพราะเป็นลูกสาว


ที่มา : https://www.matichon.co.th/politics/news_3900515

พิษยุบพรรค

นับจากวันนี้ ถนนทุกสายกำลังมุ่งหน้าสู่การเลือกตั้งใหญ่ 14 พฤษภาคม 2566 หลายพรรคการเมืองเริ่มทยอยเปิดตัวผู้สมัคร  ชูนโยบายหาเสียง และเริ่มลงพื้นที่ปราศัยกันมากขึ้น แต่หนึ่งสิ่งที่ทุกพรรคการเมืองต้องระแวดระวัง คือการดำเนินการใดๆ ที่อาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย จนอาจนำไปสู่โทษสูงสุด คือการถูก "ยุบพรรค" ซึ่งที่ผ่านมา มีหลายเหตุการณ์ ที่ชวนให้ย้อนกลับไปดูเพื่อทวนความจำและนำเป็นบทเรีบนให้กับการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง

จุดเปลี่ยนสำคัญของการปฏิรูปการเมืองร่วมสมัย คือการได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญ ปี 2540 ที่มีการออกแบบให้พรรคการเมืองเข้มแข็ง พร้อมกับเกิดองค์กรอิสระต่างๆ  รวมถึง คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. และ ศาลรัฐธรรมนูญ  และเมื่อมีบทบัญญัติที่ให้เสรีภาพบุคคลในการรวมตัวจัดตั้งพรรคการเมืองได้แล้ว อีกด้านก็มีกลไกที่นำไปสู่การ "ยุบพรรค" ได้ หากพรรคการเมืองมีการดำเนินการที่ขัดต่อหลักการตามที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายที่เกี่ยวข้องบัญญัติไว้  ซึ่งที่ผ่านมามีหลายกรณียุบพรรค ที่กลายเป็นบันทึกหน้าสำคัญของประวัติศาสตร์การเมือง

เริ่มจากกรณี "จ้างพรรคเล็ก" นำมาสู่การยุบ "พรรคไทยรักไทย" จนเกิดเป็นตำนานบ้านเลขที่ 111

ย้อนไปเมื่อต้นปี 2549  ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ประกาศยุบสภา ก่อนกำหนดวันเลือกตั้ง 2 เมษายน แต่อีก 3 พรรคการเมือง ที่เป็นคู่แข่งในสภา คือประชาธิปัตย์  ชาติไทย และมหาชน ประกาศ "บอยคอต" เหลือเพียงพรรคไทยรักไทยที่เดินหน้าส่งผู้สมัครลงเลือกตั้ง บนเงื่อนไขกฎหมายที่กำหนดว่า ในเขตที่มีผู้สมัครพรรคเดียว ไร้คู่แข่ง จะต้องได้คะแนนเสียง มากกว่าร้อยละ 20 ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตนั้นจึงจะได้เก้าอี้ ส.ส. ซึ่งต่อมาเกิดการร้องเรียนว่า พรรคไทยรักไทยทำผิดกฎหมายจากการ "จ้างพรรคเล็ก" ลงสมัครรับเลือกตั้งเพื่อหนี "เกณฑ์ร้อยละ 20"  

เมื่อกกต.ตรวจสอบหลักฐาน ชี้มูลความผิด จึงนำไปสู่การยื่นร้องให้ยุบพรรคต่อศาลรัฐธรรมนูญ แต่ระหว่างนั้นเกิดรัฐประหาร 19 ก.ย. ทำให้ต่อมาคณะตุลาการรัฐธรรมนูญที่ถูกแต่งตั้งขึ้น มีมติ ในวันที่ 30 พ.ค. 2550 ให้ "ยุบพรรค" ไทยรักไทย พรรคพัฒนาชาติไทย และพรรคแผ่นดินไทย ฐานเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ผลที่ตามมาคือกรรมการบริหารพรรคทั้ง 3 พรรค รวม 111 คน ถูกตัดสิทธิการเมือง 5 ปี  เป็นที่มาของ "บ้านเลขที่ 111"

วิบากกรรมยังมีต่อเนื่อง เมื่อบรรดาขุนพลไทยรักไทยเดิมที่ยังเหลือรอด พากันย้ายบ้านมาที่ "พรรคพลังประชาชน" ลงสู้ศึกเลือกตั้ง 23 ธันวาคม 2550  แต่กลับเกิดกรณี "ยงยุทธ ติยะไพรัช" ส.ส. บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ถูก กกต.ให้ใบแดง เนื่องจากพบการกระทำที่น่าเชื่อได้ว่า "ทุจริตเลือกตั้ง" เช่นเดียวกับพรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตย ที่กรรมการบริหารพรรคกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งเช่นกัน กรณีดังกล่าวนำมาสู่การตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 2 ธันวาคม 2551 สั่งให้ทั้งยุบพรรคการเมืองทั้ง 3 พรรค ส่งผลให้คณะกรรมการบริหารทั้ง 3 พรรค รวม 109 คน ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี ในจำนวนนั้น มีนายสมชาย  วงศ์สวัสดิ์ ที่ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รวมถึงนายบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยที่ต้องเว้นวรรคทางการเมืองไปด้วย

กาลล่วงมาจนถึงยุคของการใช้รัฐธรรมนูญ ปี 60 ผลจากการกำหนดการเลือกตั้งแบบ "จัดสรรปันส่วนผสม" ป้องกันการผูกขาดในสภา ทำให้พรรคใหญ่อย่าง "เพื่อไทย" ต้องปรับกลยุทธ์ แตกแบงค์พันเป็นแบงค์ร้อย ด้วยการจัดตั้งพรรคการเมืองเครือข่ายเพื่อเรียกจำนวน ส.ส. ในสภา หนึ่งในนั้นคือ "พรรคไทยรักษาชาติ"

นอกจากถูกจับตาเพราะกรรมการบริหารพรรคเป็นอดีตรัฐมนตรี และ ส.ส. คนรุ่นใหม่ในเครือข่ายพรรคเพื่อไทยแล้ว ยังมึประเด็นที่ถูกจับตาที่สุดคือการ ยื่นพระนามทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เป็นนายกรัฐมนตรีในบัญชีของพรรค เป็นเหตุให้ กกต. มีมติยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรค

‘พิธา’ ควงผู้สมัคร ส.ส.ห้วยขวาง-วังทองหลาง เยือนตลาดโชคชัย 4  ลั่น!! ผลงานในสภา 4 ปีที่ผ่านมา พิสูจน์ ‘ก้าวไกล’ ทำงานคุ้มภาษี

‘พิธา’ ลุยตลาดโชคชัย 4 ช่วยหาเสียงว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ห้วยขวาง-วังทองหลาง ย้ำผลงานในสภาพิสูจน์แล้ว ‘ก้าวไกล’ ทำงานคุ้มค่าภาษี ซื่อตรงต่อประชาชน พร้อมเต็มที่บริหารประเทศ

(29 มี.ค.66) พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้ร่วมกิจกรรมหาเสียง พบปะประชาชนและแนะนำนโยบายพรรคก้าวไกล ที่ตลาดโชคชัย 4 พร้อมกับ เฉลิมชัย กุลาเลิศ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กรุงเทพฯ เขต 5 ห้วยขวาง-วังทองหลาง (ยกเว้นแขวงคลองเจ้าคุณสิงห์) พรรคก้าวไกล โดยได้รับการตอบรับจากประชาชน ทั้งพ่อค้าแม่ขายและผู้มาจับจ่ายใช้สอยอย่างอบอุ่น ระหว่างการเดินหาเสียงมีประชาชนจำนวนมากที่เข้ามาขอถ่ายรูปพร้อมพูดคุยกับพิธาและผู้สมัคร โดยบางคนได้ชูสามนิ้วเป็นกำลังใจให้ด้วย

‘มาร์ค’ ประเดิมปราศรัย ‘ปชป.’ ช่วยผู้สมัคร ส.ส.กรงุเทพฯ พร้อมวลี “กรีดเลือดก็เป็นสีฟ้า”  ขอให้ปชช. มั่นใจในพรรค

(29 มี.ค.66) - ที่สวนสาธารณะใต้สะพานพระรามแปด ฝั่งธนบุรี นายชนินทร์ รุ่งแสง ว่าที่ผู้สมัครส.ส.เขตบางกอกน้อย บางพลัด พรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) จัดเวทีปราศรัยหาเสียง เปิดนโยบายช่วยเศรษฐกิจฐานราก โดยในครั้งนี้มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคปชป. มาช่วยหาเสียงด้วยซึ่งถือเป็นการปราศรัยครั้งแรกนับตั้งแต่มีประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร นอกจากนี้ ยังมีนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. เขตหลักสี่-จตุจักร นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ประธานคณะทำงานนโยบาย กทม. และน.ส.วทันยา บุนนาค ประธานคณะทำงานนวัตกรรมการเมือง ร่วมเวทีปราศรัยด้วย

ทั้งนี้ ยังมีนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรค นายนริศ ขำนุรักษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกรัฐบาล และอดีตส.ส.กทม. พร้อมว่าที่ผู้สมัครส.ส.เขตต่างๆในกทม. มาร่วมเป็นกำลังใจและฟังการปราศรัย ซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก เนื่องจากมีประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมฟังการปราศรัยเป็นจำนวนมาก

โดยในช่วงต้นของการหาเสียงครั้งนี้ พล.ต.ต.วิชัย ย้ำชัดเจนว่าประชาธิปัตย์ไม่เอากัญชาเสรี ไม่เอายาเสพติด และจะปราบทุจริตซึ่งเป็นวิกฤตของชาติ ส่วนนายสุชัชวีร์ เน้นในเรื่องการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม โดยระบุว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคแรก และพรรคเดียวที่เสนอแก้ปัญหาน้ำท่วมแบบเบ็ดเสร็จให้กับคนกรุงเทพ และไม่มีพรรคใดแก้ไขเรื่องนี้เลย แสดงว่าเขาไม่ได้ฟังชาวกรุงเทพฯ รวมทั้งเรื่องฝุ่นละอองขนาดเล็กPM2.5

ด้านนายชนินทร์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์คิดนโยบายจากการไปฟังความคิดเห็นจากประชาชน จึงมั่นใจว่าจะแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด โดยเฉพาะเรื่องปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของคนรากหญ้า ที่เดือดร้อนมาตั้งแต่ช่วงการแพร่ระบาดโควิด พรรคมุ่งมั่นที่จะทำให้ความรวยกระจาย ไม่กระจุก และตั้งใจเสริมสร้างกองทัพมดให้เข้มแข็ง ก่อนหน้านี้ได้ประกาศไปแล้วถึงนโยบายธนาคารชุมชน ชุมชนละ 2 ล้านบาท ลดค่าไรเดอร์เหลือไม่เกิน 20 เปอร์เซ็นต์ของราคาสินค้า ลดหย่อนภาษีให้แก่ร้านค้าชุมชน กองทุนไอเดีย เพื่อช่วยคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ใหม่ในการทำธุรกิจ วันนี้ขอนำเสนอนโยบายใหม่เพิ่มเติม คืออาสาสมัครพารวยทุกชุมชน ที่จะทำหน้าที่ช่วยดูแลให้คำปรึกษาในทุกเรื่องแก่ผู้ที่จะประกอบอาชีพทำธุรกิจในชุมชน ตั้งแต่เริ่มต้นทำธุรกิจไปประสบความสำเร็จคือ รวยแบบยั่งยืน นอกจากนี้ ยังขอเสนอนโยบายจัดโซนนิ่งปลอดร้านสะดวกซื้อ เพื่อร้านขายของชำในชุมชนจะต้องสามารถดำเนินการค้าขายไปได้ไม่แพ้ร้านค้าที่มาจากนายทุนใหญ่ด้วย

“พรรคไม่มีนโยบายใช้เงินประชาชนล่อซื้อเสียงประชาชน ด้วยนโยบาย แจก3 พัน 5พัน พรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจหรือพรรคที่มีวาระซ่อนเร้น ผมมั่นใจว่าผมเป็นทางเลือกที่พิสูจน์แล้วว่าทำงานให้กับพี่น้องคนทุกรุ่นได้ เรามีทีมงาน สก.ที่จะทำงานควบคู่ไปกับส.ส.เขต ผมและทีมงานทุกคนใส่ใจและรู้งานในพื้นที่จริง โดยเฉพาะสถานการณ์ปัจจุบันเราเพิ่งผ่านพ้นวิกฤตโควิด แต่ยังไม่หลุดพ้นวิกฤตเศรษฐกิจ ผมทำงานมาตลอดแม้จะมีตำแหน่งหรือไม่ตำแหน่ง เกือบ 30 ปีทางการเมืองของผมอยู่กับพี่น้องประชาชนมาโดยตลอด ผมพร้อมมาดูแลพี่น้อง พร้อมเป็นส.ส. ผมทำทุกอย่างเพื่อพี่น้องได้ยกเว้นความผิดหวัง สุดท้าย ผมพูดจากใจอยากทำงานให้กับพี่น้องให้ชาวบางพลัด บางกอกน้อย การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นบัตร 2 ใบ ใบหนึ่งโปรดเลือกผมเป็นส.ส.เขต และอีกใบหนึ่งโปรดกาให้กับพรรคประชาธิปัตย์” ว่าที่ผู้สมัครเขตบางกอกน้อย บางพลัด พรรคประชาธิปัตย์ ระบุ

‘ธนาธร’ นำทีม ก้าวไกลสุรินทร์ เข้าพบพี่น้องชาติพันธุ์กูย ดัน ‘ตัวแทนกลุ่มชาติพันธุ์ในสภาฯ-พ.ร.บ.คุ้มครองชาติพันธุ์’

‘ธนาธร’ ช่วยหาเสียงสุรินทร์ พบกลุ่มชาติพันธุ์กูย ยก ‘ก้าวไกล’ ต่อยอดอุดมการณ์อนาคตใหม่ ดันตัวแทนกลุ่มชาติพันธุ์ในสภาฯ - ผลักดัน พ.ร.บ.คุ้มครองชาติพันธุ์

(29 มี.ค.66) ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้าและผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล ลงพื้นที่ช่วยหาเสียงให้พรรคก้าวไกลที่จังหวัดสุรินทร์ โดยช่วงบ่ายได้พบพี่น้องชาติพันธุ์กูย ที่กอนกูยปุระ ศูนย์เรียนรู้วัฒนธรรมชาติพันธุ์กูย อำเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ เพื่อรับฟังปัญหาของพี่น้องชาติพันธุ์กูย โดยมี ทัตพิชา เข็มแก้ว ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.สุรินทร์ เขต 5 พรรคก้าวไกล ในฐานะลูกหลานชาวกูย ร่วมแลกเปลี่ยนเรื่องประวัติศาสตร์ วิถีชีวิต และวัฒนธรรมชาวกูย

ธนาธร กล่าวถึงแนวทางการทำงานการเมืองในประเด็นกลุ่มชาติพันธุ์ว่า ตั้งแต่อดีตพรรคอนาคตใหม่ เราต้องการให้พี่น้องชาติพันธุ์ที่กระจายอยู่แต่ละท้องที่ในประเทศไทยได้มีตัวแทนเข้าไปในสภาฯ พรรคอนาคตใหม่จึงมีสัดส่วน ส.ส. ปีกชาติพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็น มานพ คีรีภูวดล หรือ ณัฐพล สืบศักดิ์วงศ์ ซึ่งเป็น 2 ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคก้าวไกล

ดังนั้นเชื่อว่าพรรคก้าวไกลในฐานะพรรคการเมืองที่สานต่ออุดมการณ์อนาคตใหม่ จะโอบรับความหลากหลายและทำให้สภาฯ เป็นพื้นที่แสดงออกถึงความต้องการของกลุ่มชาติพันธุ์เช่นกัน นอกจากนั้น พรรคก้าวไกลยังประกาศด้วยว่าพร้อมผลักดันร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและคุ้มครองกลุ่มชาติพันธุ์ เพื่อให้กลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ได้มีส่วนร่วมพัฒนาชุมชนและประเทศชาติ และสามารถกำหนดวิถีชีวิตตนเอง

ด้าน ทัตพิชา ร่วมเล่าประสบการณ์ของตนในวงพูดคุยว่า แต่เดิมไม่ทราบว่ามีบรรพบุรุษเป็นกูย แต่เมื่อเดินทางมายังกอนกูยปุระ จึงสังเกตว่าลายผ้าของกูยคล้ายกับผ้าของยาย ทำให้ทราบในภายหลังว่าตนมีเชื้อสายกูย ดังนั้น การอนุรักษ์องค์ความรู้และศิลปะวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ จึงมีความสำคัญมาก เป็นเรื่องที่มีคุณค่าทั้งในแง่ประวัติศาสตร์ ได้เห็นความหลากหลายของสังคมไทย และอาจทำให้อีกหลายคนได้ทราบที่มาที่ไปของบรรพบุรุษตนเอง เช่นเดียวกับประสบการณ์ของตน

‘อนุทิน’ ไร้กังวล ปม ‘ชูวิทย์’ ต้านกัญชาต่อเนื่อง ชี้!! มีประโยชน์ด้านการแพทย์-สุขภาพ-เศรษฐกิจ

(29 มี.ค.66) ที่หอประชุมโรงเรียนฤทธิยะวรรณาลัย 2 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกรณีนายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ออกมาต่อต้านนโยบายกัญชาของพรรค ว่า ไม่กังวลเพราะกัญชามีประโยชน์ต่อการแพทย์ สุขภาพ และเศรษฐกิจ

‘สมอ.’ ร่วม ‘DSI’ บุกทลายโกดังเก็บสินค้าย่านบางขุนเทียน พบ ‘หม้ออบลมร้อน-ไดร์เป่าผม’ เพียบ รวมมูลค่า 7 ล้านบาท!!

(29 มี.ค. 66) นายบรรจง สุกรีฑา เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2566 ที่ผ่านมา สมอ.ได้ประสานความร่วมมือกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เข้าตรวจค้นโกดังเก็บสินค้าย่านบางขุนเทียน กทม. และกระทุ่มแบน สมุทรสาคร พบสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าไม่ได้มาตรฐานกว่า 30 รายการ กว่า 23,000 ชิ้น มูลค่ารวมกว่า 7 ล้านบาท จึงยึดอายัดเพื่อดำเนินการตามกฎหมาย

การลงพื้นที่ในครั้งนี้ DSI ได้นำทีมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าตรวจค้นโกดังเก็บสินค้าจำนวน 2 แห่ง แห่งแรกในพื้นที่ย่านบางขุนเทียน พบเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งเป็นสินค้าควบคุมของ สมอ. ตาม พ.ร.บ. มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ.2511 เช่น หม้อหุงข้าว ไดร์เป่าผม ที่ม้วนผม หลอดไฟ และเพาเวอร์แบงก์ ฯลฯ ไม่แสดงเครื่องหมายมาตรฐาน มอก. เเละไม่แสดงชื่อผู้รับใบอนุญาต จำนวนกว่า 2,900 ชิ้น มูลค่ากว่า 1 ล้านบาท

แห่งที่ 2 เป็นโกดังเก็บสินค้าในอำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร พบเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เช่น เตาอบไฟฟ้า หม้ออบลมร้อน ไดร์เป่าผม ที่หนีบผม และโคมไฟ ฯลฯ กว่า 32 รายการ ไม่แสดงเครื่องหมายมาตรฐาน มอก. และไม่แสดงชื่อผู้รับใบอนุญาต จำนวนกว่า 20,000 ชิ้น มูลค่ากว่า 6 ล้านบาท จึงยึดอายัดเพื่อดำเนินการตามกฎหมายทันที ทั้งนี้ สินค้าดังกล่าวเป็นสินค้าที่ สมอ.ควบคุม หากไม่ได้มาตรฐานอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตของประชาชนได้

จากการตรวจสอบเบื้องต้นผู้ประกอบการทั้ง 2 ราย รายแรกเป็นผู้ประกอบการที่ไม่ได้รับใบอนุญาตนำเข้าจาก สมอ. และรายที่ 2 เป็นผู้ได้รับใบอนุญาตนำเข้าจาก สมอ. ซึ่งทั้ง 2 รายนี้ มีความผิดตาม พ.ร.บ.มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ.2511 ต้องระวางโทษกรณีมีไว้เพื่อจำหน่ายสินค้าที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และนำเข้าสินค้าที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 2 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top