‘จุรินทร์’ ดีเบตเศรษฐกิจ ชู ‘สร้างเงิน สร้างคน สร้างชาติ’ ขอโอกาส ให้ ‘ปชป.’ ได้เป็นรัฐบาล ช่วยขับเคลื่อนประเทศ
(30 มี.ค. 66) ที่หอประชุมมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ร่วมเสนอนโยบายของพรรคในเวทีตอบข้อซักถาม ‘มุมมองของภาคธุรกิจต่อนโยบายขับเคลื่อนประเทศ’ จัดโดย หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ที่หอประชุมมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
โดยนายจุรินทร์ กล่าวว่า ตนทำงานร่วมกับสภาหอการค้า 4 ปีเต็ม ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งพรรคการเมืองที่จะพาประเทศไปข้างหน้าหลังเลือกตั้งได้ อย่างน้อยต้องมี 2 ข้อ คือ 1.) หลักคิดในการพาประเทศไปสู่อนาคตที่ดีกว่าอย่างยั่งยืน และ 2.) ต้องมีกลไกขับเคลื่อนประเทศที่เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม
ขณะที่มีหลายพรรคพูดถึงนักการเมือง ระบบราชการ แต่เท่านี้ไม่พอ เพราะภาคประชาชนและเอกชน ก็เป็นภาคส่วนที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ถ้า ปชป.ตั้งรัฐบาล กลไกสำคัญในการขับเคลื่อนแก้ปัญหาประเทศรวมทั้งเศรษฐกิจ คือ คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.) จะต้องมีบทบาทมากขึ้น และเป็น ‘New กรอ.’ ที่ไม่ใช่ประชุมในห้องแอร์ สั่งการแล้วจบ แต่ กรอ. ต้องขับเคลื่อนให้เกิดประสิทธิภาพ และผลสัมฤทธิ์จริงในการแก้ปัญหาประเทศ
“ถ้า ปชป.เป็นรัฐบาล นายจุรินทร์เป็นนายกฯ ผมจะเชิญท่านสนั่น (ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย) แล้วเข้าไปร่วมกันแก้ปัญหาเหมือนที่เราทำกันใน กรอ.พาณิชย์ ทำจริง เห็นผลจริง” นายจุรินทร์ กล่าว
นายจุรินทร์ กล่าวต่อว่า หลักคิดของ ปชป.ในการพาประเทศไทยไปข้างหน้า จะต้องอยู่ในกรอบยุทธศาสตร์ ‘สร้างเงิน สร้างคน สร้างชาติ’ โดย ‘สร้างเงิน’ นั้น เป็นการสร้างเงินให้ทั้งคนไทยและประเทศ ด้วยการประกันรายได้คนไทยและประกันรายได้ประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการประกันรายได้จากการส่งออกหรือการท่องเที่ยว การขับเคลื่อนการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ที่ ปชป.ให้ความสำคัญทั้งเศรษฐกิจฐานราก เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และเศรษฐกิจมหภาค รวมทั้งการลดความเหลื่อมล้ำและโครงสร้างพื้นฐาน
แต่เท่านี้ไม่พอ เพราะทันทีหลังการเลือกตั้ง ประเทศไทยยังต้องเผชิญกับปัญหาหลายประการ โดยเฉพาะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ปัญหารัสเซีย-ยูเครน และหลุมดำทางเศรษฐกิจในการขับเคลื่อนจีดีพี เนื่องจากในช่วง 3 ปีที่ไทยเผชิญปัญหาโควิด ทำให้เม็ดเงินหายไป 1 ล้านล้านบาท ดังนั้น หากจะให้เศรษฐกิจโตไปตามยถากรรม ก็จะโตแค่ 3% เฉลี่ยต่อปีไปจนถึงปี 2570 แต่จะทำอย่างไรให้จีดีพีโต 5% ต่อปี และต้องเติมเม็ดเงิน 1 ล้านล้านบาทกลับเข้าไปด้วย
นโยบาย ‘สร้างเงิน’ ที่จะเป็นตัวเติมเม็ดเงิน 1 ล้านล้านบาท ที่หายไปในช่วงโควิด ประกอบด้วย 1.) ธนาคารหมู่บ้าน 200,000 ล้านบาท
2.) กบข. 100,000 ล้านบาท
3.) กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 200,000 ล้านบาท
4.) กองทุนสตาร์ทอัพ เอสเอ็มอี ต้องมีแต้มต่อ 300,000 ล้านบาท และนโยบาย 10 กว่าข้อที่ประชาธิปัตย์ประกาศอีก 200,000 ล้านบาท รวม 1 ล้านล้านบาท เพื่อให้เศรษฐกิจไทย โตจาก 3% เป็น 5% ได้
สำหรับนโยบาย ‘สร้างคน’ เป็นการสร้างคนด้วยการศึกษาและสาธารณสุข ที่ภาคเอกชนต้องเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ใช้ ‘ตลาดนำการผลิต’ และประชาธิปัตย์มีนโยบาย เรียนฟรีถึงปริญญาตรี ในสาขาที่ตลาดต้องการ
ส่วนนโยบาย ‘สร้างชาติ’ ด้วย 3 ประชาธิปไตย คือ
1.) ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
2.) ประชาธิปไตยสุจริต
3.) ประชาธิปไตยท้องอิ่ม
“ผมมั่นใจ ประเทศไทยถัดจากนี้ ถึงเวลาที่ต้องเดินด้วยประชาธิปไตย คนที่จะมานำประเทศต้องเป็นนักประชาธิปไตย มีประสบการณ์ ทั้งบริหารรัฐกิจตัวจริง และมีประสบการณ์ทั้งการถูกตรวจสอบ และการขับเคลื่อนงานบริหารประเทศในรัฐสภา ที่ต้องครบถ้วนสมบูรณ์แบบ และผมเป็นคนหนึ่งที่พร้อม เพราะฉะนั้น ขอโอกาสให้ประชาธิปัตย์และนายจุรินทร์คนนี้ ได้มีโอกาสเข้าไปขับเคลื่อนประเทศต่อไป” นายจุรินทร์ กล่าว