Thursday, 27 June 2024
SPECIAL

พบอีก ไอซ์ ลอยทะเลตราด

ล่าสุด ( 22 มี.ค. 2564 ) เวลา ประมาณ 19.00 น.  นายสมศักดิ์  จุฑาวงศ์กุล  นายอำเภอเกาะกูด พร้อมด้วย ปลัดอำเภอ เจ้าหน้าที่ อส อำเภอเกาะกูด ร่วมกับผู้กำกับ รองผู้กำกับ เจ้าหน้าที่ตำรวจ  สถานีตำรวจภูธรอำเภอเกาะกูด กำนัน และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ต.เกาะหมาก

เข้าตรวจยึดยาไอซ์ที่ลอยขึ้นมาติดที่ชายฝั่ง บ้านอ่าวโปง ตำบลเกาะหมาก อำเภอเกาะกูด เบื้องต้นตรวจสอบพบ ยาไอซ์จำนวนทั้งสิ้น 20 กิโลกรัม ทางฝ่ายปกครอง ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ดำเนินการนำของกลางมาเก็บไว้ยังสถานีตำรวจภูธรอำเภอเกาะกูด เพื่อดำเนินการต่อไป

สำหรับพื้นที่ จ.ตราด ก่อนหน้าที่ผ่านมาหนึ่งอาทิตย์ ยาไอซ์ ลอยทะเลตราด ลอยเข้าหลายจุดด้วยกันไม่ว่าจะเป็นพื้นที่เกาะช้าง และพื้นที่เขตอำเภอเมือง ในพื้นที่ ต.แหลมกลัด ซึ่งเป็นเส้นทางที่ยาไอซ์ลอยทะเล ลอยเข้ามามากที่สุดของเขตอำเภอเมือง เมื่อช่วงต้นปี 63 ที่ผ่านมา สำหรับยาไอซ์ลอยทะเล ล็อตนี้ยังไม่สามารถคาดเดาว่าเป็นยาไอซ์ล็อตเดียวกับเมื่อปี 63 ที่ลอยทะเลหรือไม่ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่สามารถตรวจยึดได้กว่า 700 กิโลกรัม ในปี 63 ที่ผ่านมา

บิ๊กแจ๊ส หนุน มทร.ธัญบุรี จับมือ 23 โรงเรียนมัธยมจังหวัดปทุมธานี ยกระดับคุณภาพการศึกษา เพื่อมุ่งเน้นเรียนจบแล้วมีงานทำ

เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2563 เวลา10:00 น. ที่ห้องประชุมสงค์ธนาพิทักษ์ สำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ร่วมกับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี และองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ การจัดการศึกษาระบบธนาคารหน่วยกิต (Memorandum of Understanding : MOU) ระดับปริญญาตรี

โดยมี นายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ซึ่งมี นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี พลตำรวจโท คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี พร้อมด้วย นายเฉลิมพงษ์ รังสิวัฒนศักดิ์ สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี เขตอำเภอธัญบุรี ผศ.ดร. สมหมาย ผิวสะอาด อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี และ ดร.นิยม  ไผ่โสภา ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ปทุมธานี เข้าร่วมลงนามความร่วมมือในวันนี้

สำหรับการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการจัดการศึกษาระบบธนาคารหน่วยกิต (Memorandum of Understanding : MOU) ระดับปริญญาตรี ในวันนี้ เป็นการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ด้านการจัดการศึกษาระบบธนาคารหน่วยกิต (Memorandum of Understanding : MOU) ระดับปริญญาตรี ระหว่าง 3 หน่วยงาน ได้แก่ ผศ.ดร. สมหมาย ผิวสะอาด อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ดร.นิยม  ไผ่โสภา ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ปทุมธานี พลตำรวจโท คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี เพื่อร่วมมือกันจัดการศึกษา และพัฒนาผู้เรียนระดับมัธยมศึกษาของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี และองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานีให้เกิดการเรียนรู้เต็มศักยภาพ มีความรู้ และทักษะด้านวิชาการ ด้านวิชาชีพ

มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน และร่วมมือกันพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาสู่มาตรฐานวิชาชีพ เพื่อสร้างภาคีเครือข่ายร่วมพัฒนาคุณภาพการศึกษา เครือข่ายการวิจัย และเครือข่ายพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา ได้แก่ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สมาคม และชุมชน นอกจากนี้ยังร่วมกันสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนและเข้าร่วมโครงการการเรียนรู้ระบบธนาคารหน่วยกิต ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ซึ่งเป็นแนวความคิดด้านการศึกษารูปแบบใหม่ คือ “การจัดการศึกษาและการสะสมหน่วยกิตในระบบธนาคารหน่วยกิต” หรือ ระบบสะสมหน่วยการเรียนรู้ เป็นการเพิ่มโอกาสการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยกำหนดรูปแบบการจัดการศึกษาที่ยืดหยุ่นตามความต้องการของผู้เรียน สามารถสะสมผลการเรียนรู้ในแต่ละวิชา แต่ละทักษะ องค์ความรู้ที่ต้องการและนำมาสะสมไว้เพื่อการศึกษาต่อในระดับต่าง ๆ ได้

ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ได้คัดเลือกสถานศึกษาระดับมัธยมศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี และสถานศึกษาในสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี เป็นสถานศึกษานำร่องในการดำเนินงานโครงการจัดการเรียนรู้ตลอดชีวิตในระบบเทียบโอนความรู้และประสบการณ์ (ธนาคารหน่วยกิต)

โดย พลตำรวจโท คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี กล่าวว่า ทาง อบจ.ปทุมธานี พร้อมใช้งบประมาณของ อบจ.ปทุมธานี ในการดูแลโครงการนี้ โดยมี โรงเรียนในระดับมัธยมศึกษาที่สังกัดที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ปทุมธานี เข้าร่วมโครงการนี้ 22 โรงเรียน บวกกับโรงเรียนสามโคก ที่สังกัดอยู่ใน อบจ.ปทุมธานี ซึ่งก็เป็นโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาเหมือนกัน อีก 1 โรงเรียน รวมเป็น 23 โรงเรียน ซึ่งทุกโรงเรียนที่เข้าร่วมจะต้องร่วมโครงการนี้จะต้องเป็นเนื้อเดียวกันไม่แบ่งแยก

ด้าน พล.ต.ท.อดุลย์ รัตนภิรมย์ เปิดเผยว่า ทาง อบจ.ปทุมธานี มีแนวคิดที่จะให้โรงเรียนของโรงเรียนต่าง ๆ ในจังหวัดปทุมธานี มีจัดการเรียนการสอนที่สอดคล้องกันตั้งแต่ระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา ซึ่งหลังจากจบการศึกษาไปแล้วจะสามารถมีความรู้นำไปประกอบวิชาชีพได้ ซึ่งทาง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ปทุมธานี ได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ในการฝึกบุคลากรให้มีความรู้ความสามารถ รองรับกัน อีกทั้งทาง อบจ.ปทุมธานี จะดำเนินการประสานไปยัง บริษัท ห้างร้าน หรือ แม้กระทั่งโรงงานในนิคมอุตสาหากรรม เพื่อรองรับนักเรียน นักศึกษา ที่เข้าร่วมโครงการนี้ ให้มีงานทำต่อไป

ส่วน ผศ.ดร. สมหมาย ผิวสะอาด อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี กล่าวว่า ทางมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ธัญบุรี ได้รับเกียรติ เป็นอย่างมาก ในการดำเนินการโครงการดังกล่าว ซึ่งทางมหาวิทยาลัย จะมุ่งเน้นยักระดับการศึกษาในจังหวัดปทุมธานี ให้ได้ ด้วยการสอนที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีความเชี่ยวชาญด้านของทักษะ โดยใช้โจทย์จากชุมชนเป็นตัวตั้ง เพื่อให้ สถาบันการศึกษาสามารถก้าวเดินไปได้อย่างมั่นคงควบคู่กับชุมชน

ภาพ/ข่าว ประภาพรรณ ขาวขำ รายงาน

นายก ไก่ ติวเข้มคนอบจ.ฉะเชิงเทรา ต้องทำงานเพื่อประโยชน์ของประชาชน

วันที่ 23 มี.ค. 2564 นายกิตติ เป้าเปี่ยมทรัพย์ นายก อบจ.ฉะเชิงเทรา เป็นประธานในการประชุมมอบนโยบาย ให้แก่บุคลากรองค์การบริหารส่วนจังหวัดฉะเชิงเทรา พร้อมด้วยนายรัฐสภา นพเกตุ  นายวรรณา รอดพิทักษ์ รองนายก อบจ.ฉะเชิงเทรา / นายทรัพย์ทวี กุลสารี ที่ปรึกษานายก อบจ.ฉะเชิงเทรา / นายมณฑล ไวยเจริญ / น.ส.ปาลาวดี เนื่องจำนงค์ / นายไพศาล ช้างพลายแก้ว และนายขวัญชัย สินสมบัติ เลขานุการ นายก อบจ.ฉะเชิงเทรา และนายจักร์กฤษณ์ นนท์จีรพัส ปลัด อบจ.ฉะเชิงเทรา ร่วมชี้แจง ทั้งนี้มีหัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารสถานศึกษา ข้าราชการ ลูกจ้างประจำ และพนักงานจ้างในสังกัด อบจ.ฉะเชิงเทรา เข้าร่วมการประชุมอย่างพร้อมเพรียง ณ ห้องประชุมบางแก้ว อบจ.ฉะเชิงเทรา

สำหรับการประชุมในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารสถานศึกษา ข้าราชการ ลูกจ้างประจำ และพนักงานจ้างในสังกัด อบจ.ฉะเชิงเทรา รับทราบนโยบายการปฏิบัติราชการของคณะผู้บริหาร มุ่งหวังให้บุคลากร อบจ.ฉะเชิงเทรา ปฏิบัติราชการด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจและเต็มกำลังความสามารถ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนในจังหวัดฉะเชิงเทรา

ทั้งนี้นโยบายการปฏิบัติราชการ มี 6 ด้าน ได้แก่ 1. ด้านการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม 2. ด้านการสาธารณสุขและการส่งเสริมคุณภาพชีวิต 3. ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 4. ด้านการส่งเสริมเศรษฐกิจและอาชีพ 5. ด้านโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ 6. ด้านการบริหารจัดการ ซึ่งครอบคลุมการพัฒนาเรื่องต่าง ๆ เพื่อให้ท้องถิ่นมีความเจริญก้าวหน้า “เปลี่ยนคุณภาพชีวิต เพื่อคนแปดริ้ว”

นอกจากนี้นายกิตติ เป้าเปี่ยมทรัพย์ นายก อบจ.ฉะเชิงเทรา ได้เน้นย้ำนโยบายการปฏิบัติงานให้กับบุคลากรในสังกัดทุกคนว่า “ผิดระเบียบไม่ทำ สั่งการไม่ถูกให้บอก อะไรคลุมเครือปรึกษาหารือกัน” การทำงานต้องมีความโปร่งใสตรวจสอบได้ ไม่ว่าจะเป็นการจัดซื้อจัดจ้าง การควบคุมงาน การตรวจรับงานจ้าง การใช้วัสดุ ครุภัณฑ์ของทางราชการ ต้องไม่เอื้อประโยชน์ส่วนตัว การปฏิบัติราชการต้องคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ


ภาพ/ข่าว : สัมฤทธิ์ ล้ำเลิศ (ฉะเชิงเทรา)

ผบ.พล.ร.15 ให้กำลังใจกำลังพลและตรวจเยี่ยมการฝึกเตรียมความพร้อมของหน่วยที่จะเข้าปฏิบัติงานในจังหวัดชายแดนใต้

พลตรีไพศาล หนูสังข์ ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 15 ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส เดินทางตรวจเยี่ยมการฝึกเตรียมความพร้อมของหน่วยที่จะเข้าปฏิบัติงานในจังหวัดชายแดนใต้ ขั้นที่ 4 ของ กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 151 ณ ที่ทำการกองพันฝึก จังหวัดชายแดนใต้ กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 151 (วัดขวัญประชา) อ.สุไหงโกลก จ.นราธิวาส

โดยมีพันโท กฤตณ์พัทธ์  กรกัน  ผู้บังคับกองพันทหาราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 151 ให้การต้อนรับ โดย การฝึก ประกอบด้วย การรปภ.เส้นทาง  / การรปภ. เป้าหมายอ่อนแอ การพบปะพัฒนาสัมพันธ์กับประชาชน และสนับสนุนการปฏิบัติงานด้านการเมือง ตามแผนปฏิบัติการ ของ กอ.รมน.ภาค.๔ สน. แต่ทั้งนี้ให้ทําการฝึกเพิ่มเติมเมื่อมีโอกาส โดยใช้แนวทางการฝึก ตามเอกสารข้อมูลที่ ยศ.ทบ. ได้แจกจ่ายให้หน่วยแล้ว ซึ่งมีวัตถุประสงค์ เพื่อเป็นการดําเนินการตามนโยบายของกองทัพบก ให้หน่วยที่จะสับเปลี่ยนกําลังพลใช่วงเม.ย. 64 ได้มีความคุ้นเคยและรับทราบสถานการณ์ในพื้นที่จริง และยังเป็นการเพิ่มเติมกําลังพลในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ โดยกําหนดแผนการฝึกให้สอดคล้องกับงานทางด้านยุทธวิธีของหน่วยในพื้นที่ ตลอดจนพัฒนาขีดความสามารถของหน่วยให้มีความพร้อมในการปฏิบัติภารกิจในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้อีกด้วย

ทั้งนี้ พลตรีไพศาล หนูสังข์ ได้มอบความห่วงใยพร้อมทั้งมอบของบริโภคให้กับแต่ละกองร้อยฝึก เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่กำลังพลที่เข้ารับการฝึก ตลอดจนได้เน้นย้ำให้ผู้บังคับหน่วยกวดขัน และกำกับดูแลการฝึกอย่างใกล้ชิด เพื่อให้กำลังพลได้รับการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ จากกำลังพลที่ผ่านการฝึกอบรมจาก ยศ.ทบ. โดยมีการประเมินผลตนเอง ทั้งก่อนการฝึกระหว่างการฝึกและหลังจากการฝึก เพื่อให้กำลังพลได้พัฒนาขีดความสามารถ มุ่งเน้นสายงานการข่าวและสายงานกิจการพลเรือน พร้อมรับทราบแนวทางการปฎิบัติและเทคนิคต่าง ๆ ให้มีความพร้อมและสามารถปฎิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป


ภาพ/ข่าว : แวดาโอ๊ะ หะไร (จ.นราธิวาส)

แลนด์มาร์คแห่งใหม่ ในพื้นที่อำเภอศรีราชา “เดอะ เมาท์เท่น ฟู้ด ถนนเก้ากิโล” รวมร้านอาหารอร่อยหลากหลายไม่ซ้ำกันไว้ที่นี่ จัดขึ้นวันที่ 26 มี.ค.64 นี้

คุณโชคชัย ประทีปอุษานนท์ หรือ คุณเต่า นักธุรกิจชื่อดังในพื้นที่ จังหวัดชลบุรี ซึ่งลงทุนมาทำ “เดอะ เมาท์เท่น ฟู้ด” ริมถนนสายเก้ากิโล ช่วงไฟแดงถนนคู่ขนานสาย7 ขาเข้าชลบุรี โดยร้านจะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับปั๊มน้ำมันปตท. ขาเข้าศรีราชาได้เปิดเผยว่าร้านจะเปิดเป็นทางการในวันศุกร์ที่ 26 มีนาคม2564 นี้ ตั้งแต่เวลา 16.00-23.00 น.

ซึ่งในร้านก็จะมีสวนสนุก ดนตรีสด ให้อาหารปลา หรือจะปั่นเรือถีบกลางน้ำ ถ่ายรูปเช็คอิน นั่งชิลล์ริมน้ำ โซนสัตว์เลี้ยงน่ารัก ซึ่งจะเป็น "แลนด์มาร์คแห่งใหม่" ในพื้นที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี โดยทางร้านจะรวบรวมร้านอาหารอร่อยหลากหลายไม่ซ้ำแบบกว่า 40 ร้าน มาไว้ ให้เลือกสรรสำหรับผู้ที่ชื่นชอบอาหารในประเภทต่าง ๆ กัน

โดยที่พิเศษในช่วงเปิดร้านอย่างทางการนั้น ระหว่างวันที่ 26 - 28 มี.ค.64 พบกับทีมงานร้านเจ้าอร่อย ๆจากเพจ กินไรดี ศรีราชา ที่จะยกพลไปรวมกันที่ เดอะเมาท์เท่น ฟู้ด ถนนเก้ากิโล อีกด้วย  ซึ่งตั้งแต่วันที่26 มีนาคมเป็นต้นไปอยากขอเชิญมาพบกับ "แลนด์มาร์คแห่งใหม่" ในพื้นที่อำเภอศรีราชา “เดอะ เมาท์เท่น ฟู้ด ถนนเก้ากิโล” ที่เที่ยวแห่งใหม่ รวมร้านอาหารอร่อยไว้ที่นี่รวมถึง เดอะเมาท์เท่นฟู้ด เก้ากิโล ยังรับจัดงานเลี้ยง งานสังสรรค์ ในราคาเป็นกันเอง สถานที่จอดรถกว้างขวางรับรถยนต์ได้ถึง 250 คัน ลองไปสัมผัสกันดูแล้วจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน

ตัวแทนพรรคเสรีรวมไทย ลงพื้นที่ช่วยเหลือเด็กนักเรียนเมืองพัทยา 7 เกิดอุบัติเหตุรถล้มบาดเจ็บสาหัสทางบ้านต้องกู้เงินมาจ่ายค่ารักษาพยาบาล

เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2564​ ที่โรงเรียนพัทยาเมือง 7 อ.บางละมุง​ จ.ชลบุรี นายปิยะพงษ์ สงค์สุข ตัวแทนพรรคเสรีรวมไทย คุณลิซ่า แฮมิลตัน หัวหน้าศูนย์ประสานงานพรรคเสรีรวมไทย เขต อำเภอ​บางละมุง จ.ชลบุรี และทีมงาน พรรคเสรีรวมไทยได้มอบทุนการศึกษา และ ข้าวสาร อาหารแห้ง ให้แก่เด็กชายพีรภัทร ชื่นชม เด็กนักเรียนชั้น ม.1/4 โรงเรียนพัทยาเมือง 7

โดยการมอบเงินในครั้งนี้ทางศูนย์ประสานงานพรรคเสรีรวมไทย เขต อำเภอ​บางละมุง จ.ชลบุรีได้รับการร้องเรียนผ่านครูและผู้ปกครองเมื่อวันที่ 20 มีนาคม ว่ามีเด็กนักเรียนคือเด็กชายพีรภัทร ชื่นชม เด็กนักเรียนชั้น ม.1/4 โรงเรียนพัทยาเมือง 7 บุตรของนางสุพรรณ บุญกล้า  ประสบอุบัติเหตุ มอเตอร์ไซค์ล้มได้รับบาดเจ็บ เลือดคลั่งในสมอง เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลบางละมุง ตอนนี้อาการดีขึ้น และออกจากโรงพยาบาลแล้ว แต่มีปัญหาในการจ่าย ค่ารักษาพยาบาลเพราะ โรงพยาบาลบางละมุงไม่รับ บัตร 30 บาทรักษาทุกโรคทางพรรคเสรีรวมไทยจึงลงพื้นที่ตรวจสอบและช่วยเหลือเด็กนักเรียนเมืองพัทยา 7 คนดังกล่าว​ เพราะทางบ้านฐานะ​ยากจน จึงนำเงินสดจำนวนหนึ่งพร้อมข้าวสารอาหารแห้งมามอบให้อีกจำนวนหนึ่ง​ เพื่อร่วมสร้างความสุขให้สังคม ไปกับพรรคเสรีรวมไทย

ด้านนายปิยะพงษ์ สงค์สุข ตัวแทนพรรคเสรีรวมไทย​ ได้กล่าว่าจากการลงพื้นที่ตรวจสอบเด็กนักเรียนคนดังกล่าวแล้วพบ​ว่าเกิดเหตุจริงและเด็กนักเรียนคนนี้มีความกตัญญู​ หลังเลิกเรียนจะนำถั่วต้มที่ทางบ้านทำ​ และนำไปเดินขายตามชายหาดจอมเทียน​ เพื่อหาเงินเลี้ยงขอบครอบครัว​  และหลังจากขายเสร็จในวันดังกล่าว​เกิดอุบัติเหตุ​รถจยย.ล้มและได้รับบาดเจ็บสาหัส​ทางเจ้าหน้าที่นำตัวส่งโรงพยาบาลบางละมุง​  แต่ทางเด็กไม่มีประกันภัย​ มีแต่บัตรรัฐบาล30 บาทรักษาทุกโรค​ แต่ทางโรงพยาบาล​แจ้งว่าใช้สิทธิ​ไม่ได้​ ทำให้ทางบ้านงง​ และแจ้งให้หาเงินมาจ่าย​ ค่ารักษาพยาบาล​ ทางบ้านไม่มีเงินจึงไปหายืมเงินกู้​ มาจ่าย​เพื่อทำการรักษาพยาบาล​ให้ลูกเพราะเด็กต้องผ่าตัด​รักษาต่อไป 


ภาพ/ข่าว​ : อนันต์​  สุข​วัฒนะ ​/ เอกชัย​  สุข​วัฒนะ​  (ผู้​สื่อข่าว​ภูมิภาค​ พัทยา​ จ.ชลบุรี)

ความคืบหน้าเกี่ยวกับสถานการณ์ห้องกัก และการจัดตั้ง รพ.สนามชั่วคราว

จากสถานการณ์ผู้ต้องกักติดเชื้อไวรัส Covid19 วันนี้ 23 มี.ค.64 สตม.ได้ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข , กรมควบคุมโรค , รพ.ตร. และสำนักงานอนามัยกรุงเทพมหานคร ได้จัดประชุมเพื่อวางแผนรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยผู้เข้าร่วมประชุมมี ดังนี้ พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และผู้เกี่ยวข้อง , นายแพทย์ เกียรติภูมิ วงค์รกิจ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข, นายแพทย์กิติศักดิ์ อักษรวงศ์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงสาธารณสุข , นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค , นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค , นายแพทย์ทวีทรัพย์ ศิรประภาศิริ  ผู้ทรงคุณวุฒิกรมควบคุมโรค , พ.ต.อ.เอกลักษณ์ ดีรุ่งโรจน์  โรงพยาบาลตำรวจ , สำนักงานอนามัยกรุงเทพมหานคร, สำนักงานเขตหลักสี่

สตม.มีการจัดกำลัง จนท.ตร. รักษาความปลอดภัยของ รพ.สนามชั่วคราว ตลอด 24 ชม. และมีการดำเนินการตามมาตรฐานการควบคุมโรค ตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าจะไม่มีการแพร่ระบาดของโรคออกไปด้านนอกพื้นที่ รพ.สนามชั่วคราว

โดยมาตรการแก้ไขและควบคุมการแพร่ของ Covid19 ในสถานกักตัวคนต่างด้าวเพื่อรอการส่งกลับ ของ สตม. ได้แก่

1) ให้ กก.3 บก.สส.สตม.งดรับผู้ต้องกัก จนกว่าจะสามารถแก้ไขปัญหา และกำหนดมาตรการป้องกันได้ มีหนังสือให้แต่ละ บก. บริหารการกักตัวผู้ต้องกัก/ ตม.จังหวัด ฝาก สภ.ควบคุมผู้ต้องกัก ในส่วน กทม. กก.3 บก.สส.สตม.รับตัวแล้วให้ ตม.จว.นนบุรีควบคุมแทน

2) ลดจำนวนผู้ต้องกักในความดูแลของ กก.3 บก.สส.สตม. (สำหรับผู้ปลอดเชื้อ ผลักดัน/ส่งกลับ, ขอให้ พม.มารับไปดูแล)

3) จัดตั้ง รพ.สนามชั่วคราว สตม. ขอสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ จาก รพ.ตร. จัดสถานที่ อุปกรณ์ โดยประสานกับกรมควบคุมโรค

4) ให้ ตม.จว. และ หน.ด่านคัดแยกผู้ต้องกักกลุ่มเสี่ยงแยกออกจากรายอื่น ๆ

5) ให้ ตม.จว. ประสานกับหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ในการจัดแผนรองรับ

6) ขอสนับสนุนชุดผู้ป่วย จาก รพ.ตร. จำนวน 400 ชุด และยา

7) ให้ บก.อก.สตม.สนับสนุนยาสำหรับฉีดพ่น

8) ให้แต่ละ ตม.จว.จัดหาพื้นที่สำหรับ รพ.สนาม หากเกิดกรณีผู้ต้องกักติดเชื้อ

9) การรับตัวผู้ต้องกัก ให้แยกผู้ต้องกักโดยมีห้องแรกรับ 3-5 วัน รอดูอาการก่อนส่งตัวเข้ารวมในห้องกัก

10) กำชับผู้บังคับบัญชาให้ดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาอย่าให้มีการติดเชื้อเพิ่ม

11) หน.หน่วย สำรวจอุปกรณ์ป้องกัน ไม่ให้บกพร่อง

12) การรับอุปกรณ์มาเพิ่มใหม่ให้จัดทำเป็นงวดๆ โดยให้ใช้ในส่วนที่รับมาก่อนเป็นอันดับแรก

13) ศฝร.สตม. ให้จัดที่พักสำหรับแพทย์ และพยาบาลที่จะไปดูแลผู้ป่วย รวมถึงจัดห้องพักให้กับ จนท.ปอพ.ที่ไปเข้าเวรในหลาย ๆ ผลัดเนื่องจากเป็นผู้เสียสละ

14) ให้ บก.อก.สตม. จัดทำตารางประชุม หน.หน่วย หรือผู้แทน ในเวลา 10.00 น. ของทุกวัน

ส่วนผู้ต้องกักที่อยู่ในความดูแล ปัจจุบันมี มีจำนวน  1,615 คน โดยถูกกักที่บางเขน จำนวน 490 คน ที่สวนพลูจำนวน 1,125 คน  ซึ่งผู้ที่ติด Covid19 ที่อยู่ในความดูแล มีทั้งสิ้น 393 คน (ชาย 370 คน,หญิง 23 คน) ถูกแยกกักตัว ณ รพ.สนามชั่วคราวในห้องกัก(บางเขน) โดย สตม. ได้จัดตั้ง รพ.สนามชั่วคราว สตม. ณ อาคารโรงยิมกองสวัสดิการ ตร. ในพื้นที่สโมสรตำรวจจัดตั้งขึ้นโดยการประสานความร่วมมือกับ รพ.ตร.(จัดส่งบุคลาการทางการแพทย์) กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค กรมการแพทย์ สถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง ให้คำปรึกษา แนะนำและกำหนดมาตรฐานของการจัดตั้ง รพ.สนาม มาตรฐานของการตรวจควบคุมโรค สนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์ และในส่วนของ กรุงเทพมหานครให้การสนับสนุนด้านการรักษาความสะอาด และสาธารณูปโภค

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จะขอบพระคุณอย่างสูง

“ประยุทธ์” สั่งเดินหน้า “เมืองต้นแบบที่ 4” หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องละเอียดรอบคอบ ในการ ขับเคลื่อน

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี “สั่งการ” ให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เดินหน้า ในการ ผลักดัน “เมืองอุตสาหกรรมแห่งอนาคต” หรือ”เมืองต้นแบบที่ 4” มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ต่อไป ตามมติ ครม. 7 พฤษภาคม 2562 โดยให้ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ( ศอ.บต. ) เป็นฝ่ายอำนวยการ

เพราะได้มีการตรวจสอบในประเด็นของการ ร้องเรียนจาก กลุ่ม เอ็นจีโอ ที่ร้องเรียนถึงความไม่ถูกต้องในขบวนการต่างๆ ของหน่วยงานของรัฐ ที่เข้าไปดำเนินการขับเคลื่อนโครงการ “เมืองต้นแบบที่ 4” ตาม มติ ครม. และตามคำสั่งของ นายกรัฐมนตรี และ รองนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร สุวรรณวงค์ ผู้เป็นประธาน กพต. ที่เป็นผู้เสนอโครงการสรุปว่า

เรื่องที่เอ็นจีโอร้องเรียนต่อ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.กระทรวงเกษตรฯ ก็ดี เรื่องที่ ผู้ช่วยรัฐมนตรีสำนักนายก ที่เดินทางมาตรวจสอบข้อเท็จจริง จากหน่วยงานของรัฐ ทั้งเรื่องของการ เปลี่ยนผังเมือง เรื่องของการออกโฉนดที่ดิน เรื่องของการรับฟังความคิดเห็น และการทำความเข้าใจกับคนในพื้นที่ 3 ตำบล ของ อ.จะนะ ที่เป็นที่ตั้งโครงการ  มีการตรวจสอบแล้ว ว่าอะไรเป็นเรื่องเท็จ อะไรเป็นเรื่องจริง หลังจากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จึงได้สั่งให้ เดินหน้า อย่างไม่ชักช้า

แสดงให้เห็นว่า เรื่องที่ถูก เอ็นจีโอ กล่าวหาต่อ หน่วยงานของรัฐทุกเรื่อง ทุกหน่วยงาน ตั้งแต่ ศอ.บต. ที่ดินอำเภอ ที่ดินจังหวัด สำนักงานโยธาธิการ ไม่มีข้อเท็จจริง และแม้แต่การที่ สส.ฝ่ายค้านนำเรื่องนี้ ไปอภิปราย ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย ว่าเป็นผู้ “เอื้อ” ประโยชน์ ให้กับนายทุน ก็ไม่มีน้ำหนัก

หลังการอภิปราย เอ็นจีโอ และ กลุ่มผู้เห็นต่าง ในพื้นที่ อ.จะนะ ที่ต่อต้านโครงการ”เมืองต้นแบบที่ 4” ถึงขนาด ปล่อยข่าวว่า จะมีการย้าย พล.ร.ต.สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ และนายชนธัญ แสงพุ่ม ( ดร.เจ๋ง ) รองเลขาธิการ ศอ.บต. ออกจากพื้นที่ เพราะเชื่อมั่นว่าการ ร้องเรียนเพื่อ เอาผิด กับ ทุกหน่วยงานราชการที่เกี่ยว และการ อภิปรายของฝ่ายค้าน จะเป็น”หมัดเด็ด”นั้น  สลายเป็นอากาศธาตุในทันที ที่ พล.อ.ประยุทธ์ มีการสั่งการเดินหน้า ของ โครงการ”เมืองต้นแบบที่ 4”

และ หลังที่คำสั่งของ พล.อ.ประยุทธ์ ถูก”สื่อ”ส่วนกลาง นำเสนอ เอ็นจีโอ ในพื้นที่ก็มีการ ต่อสายกับ”เครือข่าย” และกลุ่มผู้ที่”เห็นต่าง” ในพื้นที่ เพื่อเตรียมการกำหนดแผนในการ ขับเคลื่อน เพื่อการต่อต้าน โครงการ”เมืองต้นแบบที่ 4” ต่อไป ซึ่งจะต้องติดตามว่า ครั้งนี้ เอ็นจีโอ และกลุ่มผู้เห็นต่าง จะใช้แผนอะไร ในการ ต่อต้าน เพื่อมิให้ โครงการนี้เดินหน้าเพราะเมื่อผลจากการสอบสวนในข้อร้องเรียนไม่เป็นจริง การที่จะต่อต้าน ย่อมขาดความชอบธรรม

วันนี้ กลุ่มผู้ที่ออกมาเคลื่อนไหว เพื่อการต่อต้าน “เมืองต้นแบบที่ 4” มีอย่างน้อย 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มเก่า ที่เป็นผลผลิตของ เอ็นจีโอ ตั้งแต่การต่อต้าน โรงงานท่อก๊าซไทย-มาเลเซีย เมื่อ 20 ปีก่อน และกลุ่มที่ 2 ที่ปรากฏตัวแบบชัดเจน ไม่มีการเป็น”อีแอบ”แล้ว ในขณะนี้คือ กลุ่มของโรงเรียนเอกชนสอนศาสนา ซึ่งถือเป็นกลุ่มใหญ่ ที่เกิดขึ้นมา

ซึ่งหน่วยงานที่ถูกตั้งขึ้นเพื่อรับผิดชอบในเรื่องการทำความเข้าใจ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายมวลชนของ”กลุ่มทุน” ต้องนับหนึ่งใหม่ ในการสร้างความเข้าใจ การให้รายละเอียดของโครงการ การรับฟังความคิดเห็น และข้อเสนอแนะ ข้อเรียกร้อง ให้เป็นไปตาม ขบวนการ เพื่อสร้างความชอบธรรม และต้องทำให้”โปร่งใส” ครบถ้วนทุกขั้นตอน เพื่อสร้างความชอบธรรมให้เกิดขึ้น โดยไม่จำเป็นที่จะต้องรีบร้อนแต่อย่าใด

ส่วนกลุ่มโรงเรียนเอกชนสอนศาสนา นั้น เป็นกลุ่มใหม่ที่ต่อต้านโครงการนี้ ซึ่งอาจะมีปัญหาของความ”ไม่เข้าใจ” ปัญหาการ ไม่ให้เกียรติกัน ไม่เห็นความสำคัญ และไม่ได้มีส่วนร่วมในโครงการดังกล่าว  ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการทำความเข้าใจ ก็ต้องไปคิดว่าจะดำเนินการอย่างไร เพราะแต่ละกลุ่ม มีความคิด ความเห็น ความต้องการ ที่ไม่เหมือนกัน แต่เชื่อว่า หลังจากการเลือกตั้งท้องระดับเทศบาลผ่านไป สถานการณ์ในพื้นที่อาจจะนิ่งในระดับหนึ่ง เพราะต้องยอมรับว่าเรื่องของการเมืองท้องถิ่น ก็มีส่วนในการสร้าง ก๊ก สร้างกลุ่ม สร้างความขัดแย้งในพื้นที่ โดยมีโครงการ”เมืองต้นแบบที่ 4” เป็น”เหยื่อ” เช่นกัน

บรรทัดนี้ จึงขอแสดงความยินดีกับ กลุ่มประชาชน และ องค์กรต่างๆ ที่สนับสนุนให้”เมืองต้นแบบที่ 4” ที่ อ.จะนะ เดินหน้า เพราะต้องการที่จะเห็นความเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง และใกล้เคียง ที่จะได้รับประโยชน์ จากการเกิดขึ้นของ”เมืองต้นแบบที่ 4” แห่งนี้ เพื่อเปิดประตูของภาคใต้ไปสู่โลกภายนอก และนำเงินตราเข้าสู่ประเทศไทย เพราะวันนี้ ภาคใต้จะหวัง”พึ่งพา” อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และ ผลผลิตทางการเกษตร ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว นั่นเอง


ภาพ/ข่าว นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ (หาดใหญ่ จ.สงขลา)

"ครูใหญ่" นำ 16 แกนนำคณะราษฎรขอนแก่น เข้ารายงานตัวต่อตำรวจขอนแก่นตามหมายเรียก ขณะที่ตำรวจวางกำลังเข้ม ด้านผู้ชุมนุมปิดถนน 1 ช่องทาง กางเต๊นท์ปักหลักรอผลการสอบสวน

เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 22 มี.ค.2564 ที่ สภ.เมืองขอนแก่น นายอรรถพล บัวพัฒน์ หรือ ครูใหญ่ แกนนำกลุ่มขอนแก่นพอกันที นำแกนนำคณะราษฎรขอนแก่น รวม 16 คนเข้ารายงานตัวต่อพนักงานสอบสวน สภ.เมืองขอนแก่น ตามหมายเรียกให้ทั้ง 16 คนเข้ารายงานตัวในวันนี้ ท่ามกลางมาตรการป้องกันและรักษาความสงบของเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบอย่างเข้มงวด ด้วยกำลังกองร้อยควบคุมฝูงชนและปราบจราจลจำนวน 4 กองร้อยจาก จ.ขอนแก่น,กาฬสินธุ์ และ จ.มหาสารคาม วางกำลังโดยรอบ สภ.เมืองขอนแก่น และฝั่งตรงข้าม สภ.เมืองขอนแก่น อย่างเข้มงวด

เนื่องจาก สภ.เมืองขอนแก่นตั้งอยู่ใจกลางเมืองซึ่งมีตลาด ร้านทอง สถาบันการศึกษา โรงรับจำนำ ที่มีประชาชนเดินทางมาใช้บริการอย่างคับคั่ง โดยมีการตรวจสอบคนเข้า-ออก สภ.เมืองขอนแก่น อย่างเข้มงวด และไม่ให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไปภายใน สภ.เมืองขอนแก่นอย่างเด็ดขาด ขณะที่ผู้ที่มาติดต่อราชการให้ผ่านได้ทางประตูด้านข้างโดยมีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบอย่างเข้มงวดเช่นกัน

และเมื่อแกนนำทั้ง 16 คนเดินทางมาครบ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเรียกแกนนำเข้าพบพนักงานสอบสวน โดยเริ่มเหตุการการณ์ชุมนุมที่ สภ.ย่อย มข. เมื่อวันที่ 1 มี.ค. ต่อด้วยเหตุการชุมนุม ที่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เมื่อวันที่ 12 ก.พ. และการชุมนุม ที่ สภ.เมืองขอนแก่น เมื่อวันที่ 20 ก.พ. โดยแกนนำทั้งหมดและทนายความได้เดินทางเข้าไปภายใน สภ.เมืองขอนแก่น โดยเจ้าหน้าที่ได้อนุญาตให้ผู้ติดตามแกนนำเข้าไปร่วมรับฟังการสอบปากคำได้แบบ 1 ต่อ 1

โดยไม่อนุญาตผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง รวมทั้งสื่อมวลชนเข้าไปภายใน สภ.เมืองขอนแก่น ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมที่มาให้กำลังใจ ที่ไม่ได้เข้าไปภายใน สภ.เมืองขอนแก่น ทำการนำเต๊นท์มาตั้งบน ถ.กลางเมือง 1 ช่องทาง พร้อมทั้งการหมุนเวียนกันปราศรัยและรอติดตามการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ตำรวจตลอดทั้งวันในวันนี้ ซึ่งก่อนเดินทางเข้ารายงานตัวนั้นกลุ่มผู้ชุมนุมได้มอบดอกกุหลาบเพื่อให้กำลังใจกับเหล่าบรรดาแกนนำทั้งหมด

อย่างไรก็ตามขณะนี้แกนนำกลุ่มราษฎรขอนแก่นทั้ง 16 คน ประกอบด้วยนายอรรถพล บัวพัฒน์ หรือ ครูใหญ่,นายวชิรวิทย์ เทศศรีเมือง หรือ เซฟ,นายชัยธวัช รามมะเริง,นายนิติกร ค้ำชู,นายกรชนก แสนประเสริฐ,นายพชร สารธิยากุล,นายธนศักดิ์ โพธิเตมิย์,นายวีรภัทร ศิริสุนทร,นายภานุพงศ์ ศรีธนานุวัฒน์,นายศรายุทธ นาคมณี,น.ส.จตุพร แซ่อึง,นายเชษฐา กลิ่นดี,นายศิวกร นามนวด,นายเจตน์สฤษดิ์ นามโคตร,นายอิศเรษฐ์ เจริญคง และ น.ส.วิศัลยา งามนา อยู่ในระหว่างการสอบสวน ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ขณะที่ผู้ชุมนุมยังคงปักหลักหน้า สภ.เมืองขอนแก่น ต่อไป ท่ามกลางมาตรการป้องกันและรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดควบคุมฝูงชนและปราบจราจล รวมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบที่กระจายกำลังอยู่โดยรอบสถานที่ชุมนุม และ สภ.เมืองขอนแก่น อย่างเข้มงวด

จันทุบรี จัดกิจกรรม วัน อปพร.ประจำปี 2564 ยกย่องเชิดชูคุณงามความดีของผู้เสียสละช่วยเหลือสังคม พร้อมสาธิตการช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณะภัย และอุบัติเหตุรถแก๊สไฟไหม้

บ่ายวันนี้ ( 22 มี.ค.64 ) ที่ลานองค์การบริหารส่วนจังหวัดจันทบุรี ศูนย์ ปภ.เขต 17  จันทบุรี และสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดจันทบุรีเป็นเจ้าภาพจัดกิจกรรม วัน อปพร.ประจำปี 2564 พร้อมทั้งสาธิต ฝึกซ้อมการใช้อุปกรณ์และเครื่องจักรกลสาธารณภัย ในที่สูงด้วยรถดับเพลิงหอน้ำ สาธิตการใช้รถดับไฟป่า และการจำลองเหตุการณ์อุบัติเหตุเพลิงไหม้รถยนต์ที่ใช้แก๊สเป็นเชื้อเพลิง ให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ อปพร.ในการขอรับการสนับสนุนอุปกรณ์ช่วยชีวิตผู้ประสบภัย โทรสายด่วน 199 และ สายด่วน 1669 การดับเพลิงเบื้องต้น การกันประชาชนออกจากจุดเกิดเหตุป้องกันภัยลุกลาม

โดยนายอลงกรณ์ แอคะรัจน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี นำหัวหน้าส่วนราชการ ผู้แทนองค์กรภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องร่วมชมการสาธิต และเป็นกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ หลังจากนั้น รองผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรีเป็นประธานในพิธีปฏิญาณตนเนื่องในวัน อปพร.และอ่านสารจากนายกรัฐมนตรี ซึ่งทุกวันที่ 22 มีนาคม ของปีถือเป็นวันสำคัญของอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน โดยศูนย์ อปพร. กลาง กำหนดให้เป็น “วันอปพร.” เพื่อยกย่องเชิดชูคุณงามความดีของ อปพร. ที่ได้เสียสละอุทิศ กำลังกาย กำลังใจและความรู้ ความสามารถที่มี เข้ามาช่วยเหลือสังคมภายใต้อุดมการณ์ “เมตตา กล้าหาญ” โดยมิได้หวังผลประโยชน์หรือสิ่งตอบแทนใดๆ จนเป็นที่ประจักษ์แก่สังคม

 

ปัจจุบัน อปพร.ถือเป็นพลังภาคประชาชนที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการสนับสนุน ผลักดันนโยบายของรัฐบาล ไปสู่การปฏิบัติในระดับพื้นที่ด้วยความมุ่งมั่น อดทนและเสียละเพื่อช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ให้กับประชาชนในด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย การสร้างความปลอดภัยให้สังคม โดยการจัดกิจกรรมวันนี้ มีผู้บริหารศูนย์ อปพร. / เจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ / ผู้นำ อปพร.และสมาชิก จากจังหวัด ชลบุรี,ระยอง,จันทบุรี และ จังหวัดตราด ร่วมกิจกรรมรวม 270 คน


ภาพ/ข่าว : จรัล บรรยงคเสนา (ผู้สื่อข่าว จ.จันทบุรี) / นายพรเทพ เขม้นเขตวิทย์ รายงานจากศูนย์ข่าวภาคตะวันออก

สาธารณสุข ร่วมสวนนงนุชพัทยาสานพลังเอกชนพัฒนาคุณภาพชีวิต สร้างสุขภาพดี

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 22 มี .ค.64 ที่สวนนงนุชพัทยา อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา ร่วมกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขเปิดการอบรมเชิงปฏิบัติการ โครงการสานพลังเอกชนพัฒนาคุณภาพชีวิต สร้างสุขภาพดี วิถีใหม่ วิถีธรรม วิถีไทย วิถีเศรษฐกิจพอเพียง โดยมี ดร.นายแพทย์อุทัย สุดสุข ประธานที่ปรึกษามูลนิธิอุทัย สุดสุข แพทย์หญิงศศิธร  ตั้งสวัสดิ์  ผู้อำนวยการกองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค พร้อมคณะวิทยากร และผู้บริหารพนักงานสวนนงนุชพัทยา 45 คน เข้าร่วมอบรม ระหว่างวันที่ 22 - 24 มีนาคม  2564

นายกัมพล  ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา กล่าวว่าโครงการอบรมดังกล่าว จัดขึ้นเพื่อให้พนักงานทุกคนที่เข้าร่วมอบรม ได้ทราบถึงแนวทางการรักษาสุขภาพ และสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง และเป็นการส่งเสริมให้ภาคเอกชนจัดตั้งและพัฒนาศูนย์การเรียนรู้และนวัตกรรมสุขภาพดี วิถีใหม่ วิถีธรรม วิถีไทย วิถีเศรษฐกิจพอเพียง และสถานีบริการตรวจสุขภาพด้วยตนเอง ในรูปแบบที่สร้างสรรค์ ทันสมัย น่าสนใจ เพิ่มช่องทางการเข้าถึงความรู้ด้านสุขภาพของประชาชน โดยเน้นโรคความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวาน เพื่อให้จำนวนผู้ป่วยใหม่ลดลง ลดภาวะแทรกซ้อน และอาการผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หายหรือทุเลาลง และมีความสุขในการทำงานและการดำเนินชีวิต

ด้าน ดร.นายแพทย์อุทัย สุดสุข ในวัย 90 ปี แต่ยังมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง ประธานที่ปรึกษามูลนิธิอุทัย สุดสุข กล่าวว่า เพื่อสนับสนุนองค์กรเครือข่ายภาคเอกชน ให้มีส่วนร่วมในระบบสุขภาพปฐมภูมิและขับเคลื่อนการสร้างสุขภาพดีวิถีใหม่ วิถีธรรม วิถีไทย วิถีเศรษฐกิจพอเพียง (สธทศ.) และขยายผลแนวคิดธุรกิจเชิงสุขภาพ เพื่อให้มีวิทยากรภาคเอกชนที่มีความรู้ สามารถไปปฏิบัติและถ่ายทอดความรู้และการปฏิบัติสู่ประชาชนทั่วไป ได้อย่างมีคุณภาพ และได้นำโครงการฯ นี้ มาจัดที่สวนนงนุชพัทยา

เนื่องจาก ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้กรุณาลงนามเห็นชอบนโยบายสุขภาพดี วิถีใหม่ วิถีธรรม  วิถีไทย  วิถีเศรษฐกิจพอเพียงของ กระทรวงสาธารณสุข พ.ศ.2564-2570 ซึ่งเป็นนโยบายที่ได้เน้น ที่จะส่งเสริมให้ประชาชนคนไทยทุกคน มีสุขภาพแข็งแรง โดยนำหลักธรรมะแต่ละศาสนามาปฎิบัติ ควบคู่กับการแพทย์แผนปัจจุบัน แผนไทย แผนทางเลือก โดยบรูณาการเรื่องของการดูแลสุขภาพ และน้อมนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงมาปฎิบัติ โดยเลือกสวนนงนุชพัทยา เป็นสถานที่ฝึกอบรม เนื่องจากมีความเหมาะสมและมีความพร้อม ที่จะรับนโยบายไปขับเคลื่อนและต่อยอดผู้ที่มาท่องเที่ยวจำนวนมากไดั โดยได้จัดตั้งศูนย์เรียนรู้ขึ้น เนื่องจากมีอุปกรณ์พร้อมที่จะตรวจเช็คสุขภาพด้วยตนเอง


ภาพ/ข่าว : นิราช ทิพย์ศรี / นันทพล  ทิพย์ศรี 

ทางเลือก ตรงทางแยก ใช้เหตุผล หรือความรู้สึกใดในการเดินทางต่อ ก้าวสู่เป้าหมายอีกระดับ เก่งเกินไป สอบเข้า ม.4 โรงเรียนดัง ๆ ได้ทุกที่ เลือกเรียนที่ไหนดี (ปัญหาคนเก่ง) เป็นปัญหามาทุกปี สำหรับนักเรียนเก่ง ๆ ที่มีให้เห็น

หลายคนมีเป้าหมายชัดในการเตรียมตัวเรียนต่อ ม.4

1.) เตรียมอุดม

2.) มหิดลวิทยานุสรณ์

3.) กำเนิดวิทย์

4.) โครงการพิเศษ ของโรงเรียนต่างๆ ทั้งส่วนกลาง และภูมิภาค

จากกำหนดการ การประกาศผล รายงานตัว มอบตัว ของโรงเรียน เป้าหมายของกลุ่มนักเรียนแนวหน้าประเทศ เตรียมอุดม กำเนิดวิทย์ มหิดลวิทยานุสรณ์ และห้องพิเศษ หรือโครงการต่าง ๆ ในแต่ละโรงเรียน

หลายคนสับสนและไขว้เขวในการเลือกเรียน เหตุจากไม่ได้ตั้งเป้าหมายชัดเจนก่อนหน้า

การเลือกที่ดี ที่เหมาะสมกับเอกลักษณ์ และองค์ประกอบอื่นที่ถูกต้องจะนำไปสู่ความสำเร็จในขั้นตอนต่อไป การเลือกที่ที่ไม่เหมาะอาจจะรั้งทางด้านการเรียน

จากข้อมูลที่ผ่านมา(อาจจะไม่ถูกต้องนัก) จึงขอเล่าและเขียนเป็นช่องทางในการตัดสินใจ เพื่อให้เห็นภาพปัจจุบันและอนาคต

ความสำเร็จ อยู่ที่ตัวตนมากกว่าจะมาจากสถาบัน แต่สถาบันที่ดี ที่ตรงกับความสามารถส่วนตน ก็สามารถส่งเสริมความสำเร็จ ให้ยิ่งๆ ขึ้นไป

จากประสบการณ์ที่ผ่านมาหลายรุ่น จะขอเปรียบเทียบบางเรื่องของแต่ละโรงเรียน ดังต่อไปนี้ครับ

1.) ค่าใช้จ่าย เฉลี่ยต่อเดือน

- เตรียมอุดมฯ 25,000 (ที่พัก 6,000 อาหาร 10,000 เดินทาง 2,000 เรียนพิเศษ 6,000 และอื่น ๆ )

- มหิดลฯ 10,000 ที่พักฟรีที่โรงเรียน ที่พักและเดินทางไปติว กทม. 3,000 - 4,000 ติว 6,000

- กำเนิดวิทย์ 10,000 ที่พักฟรีที่โรงเรียน ที่พักและเดินทางไปติว กทม. 3,000 - 4,000 ติว 6,000

- โรงเรียนอื่นๆ ส่วนมากใกล้บ้าน หรือโรงเรียนในภูมิภาคที่เคยเรียน ม.ต้น ที่พักและติว รวมประมาณ 10,000

2.) การเดินทาง

- เตรียมอุดมฯ นักเรียนพักที่บ้านสำหรับเด็กกทม. นักเรียนต่างถิ่น จะพักหอพักใกล้โรงเรียน หรือใกล้สถานีรถไฟฟ้า ไม่มีหอพักในโรงเรียน

- มหิดลฯ พักในหอพักโรงเรียนฟรี การเดินทางโดยมากคือ เสาร์อาทิตย์เข้า กทม. หาที่เรียนพิเศษ ระยะทางประมาณ 50 กม. เดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว พ่อแม่รับส่ง รถเมล์ รถตู้ หรือรถไฟ

- กำเนิดวิทย์ พักในหอพักโรงเรียนฟรี การเดินทางโดยมากคือ เสาร์อาทิตย์เข้า กทม. หาที่เรียนพิเศษ ระยะทางประมาณ 150 กม. เดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว พ่อแม่รับส่ง หรือรถโรงเรียนรับส่ง ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์

- โรงเรียนอื่น ๆ กลับบ้าน อาจจะใกล้โรงเรียน หรือ ต่างจังหวัด นานๆ ครั้ง

3.) ที่พัก

- เตรียมอุดมฯ คนต่างจังหวัด หรือบางคนใน กทม. จะเช่าหอพัก คอนโด อพาร์ทเม้นใกล้ๆ โรงเรียนหรือใกล้สถานีรถไฟฟ้า

- มหิดลฯ หอพักในโรงเรียนเป็นสวัสดิการฟรี แยกหอหญิงชาย ผู้ชาย พักห้องละ 4 คน ผู้หญิง ห้องละ 6 คน

- กำเนิดวิทย์ หอพักฟรีในโรงเรียน ห้องละคน ส่วนตัว

- โรงเรียนอื่นๆ พักที่บ้านหรือหอพักโรงเรียน หรือเช่า ตามแต่โรงเรียนที่เรียน

4.) เพื่อน ๆ พี่ ๆ

- เตรียมอุดมฯ เพื่อรุ่นเดียวกัน 1,500 ต่อรุ่น ตอนนี้รุ่นที่ 84 เพื่อนจะมีทุกคณะทุกสาขาอาชีพชั้นนำ สายวิทย์และสายศิลป์ และอยู่ในตำแหน่งหน้าที่การงานที่โดดเด่นในสังคมไทย

- มหิดลฯ รุ่นละ 240 คน รวม 30 กว่ารุ่นในปัจจุบัน ทุกคนเป็นสายวิทย์ เรียนต่อในสายการแพทย์ และวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมเป็นส่วนมากแทบทั้งหมด ด้านอื่นๆ แทบไม่มีหรือเป็นส่วนน้อย เรียนทั้งไทยและบางคนต่อต่างประเทศ

- กำเนิดวิทย์ รุ่นละ 72 คน รวม 7 รุ่นในปัจจุบัน ทุกคนเป็นสายวิทย์ เรียนต่อในสายการแพทย์ และวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมเป็นส่วนมากแทบทั้งหมด ด้านอื่นๆ แทบไม่มีหรือเป็นส่วนน้อย เรียนทั้งไทยและบางคนต่อต่างประเทศ

- โรงเรียนอื่นๆ ประวัติที่ต่างกัน ทุกที่มีความสำเร็จในแต่ละระดับที่แตกต่างกันไปทั้งทางภูมิภาค หรือคณะในแต่ละมหาวิทยาลัย

5.) สังคมในโรงเรียน

- เตรียมอุดมฯ เป็นสังคมการศึกษาที่หลากหลายและเป็นสังคมอันดับหนึ่งทางด้านการศึกษาอย่างแท้จริงทุกสาขาวิชา

- มหิดลฯ เหมาะสำหรับคนสนใจเรียนวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ อย่างเข้มข้น สนใจงานด้านวิจัยเป็นหลัก

- กำเนิดวิทย์ เหมาะสำหรับผู้ที่สนใจทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี โครงงานต่าง ๆ ที่สร้างนวัตกรรม

- โรงเรียนอื่นๆ สำหรับผู้ที่ต้องการพัฒนาบ้านเกิดหรือภูมิภาคที่สนใจ จะมีเป้าหมายในการประกอบอาชีพต่อใกล้บ้าน

6.) หลักสูตรการเรียน

- เตรียมอุดมฯ หลักสูตร สสวท. แต่เนื้อหาจริงในโรงเรียน จะเพิ่มเติมโดยอาจารย์ผู้สอนเพื่อให้เหมาะสมกับนักเรียน โดยมากเนื้อหาเข้มข้น ข้อสอบยากกว่าปกติมาก

- มหิดลฯ ใช้หลักสูตร สอวน. มาใช้ในการสอน เนื้อหาล้ำหน้าไปถึงมหาวิทยาลัยในบางส่วน นักเรียนจะมีความรู้ในมหาลัยไปล่วงหน้า ทำให้ข้อสอบเข้ามหาลัยจะไม่ยากมากนักสำหรับทุกคน

- กำเนิดวิทย์ หลักสูตรแนวต่างประเทศ ใช้ตำราต่างประเทศในการเรียนการสอน นักเรียนจะมีความรู้ทันสมัย และใช้งานจริงได้ทั่วโลก มีการปฏิบัติทั้งแลปและโครงงานให้ทำมากมาย ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทขนาดใหญ่ในไทย

- โรงเรียนอื่นๆ หลักสูตรแกนกลางไม่เข้มข้นมาก แต่คุณภาพตามนักเรียนและโรงเรียนเป็นหลัก

7.) เป้าหมายระดับต่อไป

- เตรียมอุดมฯ เน้นการเรียนต่อแพทย์เป็นหลัก และทุกสาขาอาชีพ ระดับนำ การแข่งขันระดับโลกทางวิชาการ โอลิมปิก และทุนรัฐบาลไทย รัฐบาลต่างชาติ ประสบความสำเร็จระดับสูง

- มหิดลฯ นโยบายทุน ม.ปลายเน้นสร้างความรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อนำพื้นฐานไปใช้ในทุกคณะทุกสาขาอาชีพ นักเรียนส่วนมากกว่า 50% เรียนแพทย์ 25% วิทยาศาสตร์วิศวะ ที่เหลือเรียนต่อต่างประเทศและอื่นๆ

- กำเนิดวิทย์ นโยบายทุน ม.ปลายเน้นสร้างความรู้วิทยาศาสตร์ เพื่อนำพื้นฐานไปใช้ในทุกคณะทุกสาขาอาชีพ นักเรียนส่วนมากกว่า 50% เรียนแพทย์ 25% วิทยาศาสตร์วิศวะ ที่เหลือเรียนต่อต่างประเทศและอื่นๆ

- โรงเรียนอื่น ๆ จะเรียนตามภูมิภาคและหลากหลายคณะอาชีพ

8.) ความก้าวหน้าระดับการงานหลังจบสถิติการศึกษา

- เตรียมอุดมฯ รุ่นพี่รุ่นน้องค่อนข้างเหนียวแน่นและช่วยเหลือในหน้าที่การงาน ส่งเสริมความก้าวหน้าทุกสาขาอาชีพ

- มหิดลฯ ความสามารถเฉพาะตนจากพื้นฐานการเรียนทางวิทยาศาสตร์เข้มข้น จะช่วยให้ทำหน้าที่การงานก้าวหน้าดี

- กำเนิดวิทย์ การส่งเสริมสนับสนุนการเรียนการงานจากองค์กรบริษัทขนาดใหญ่ จะทำให้โดดเด่นด้านการงาน

- โรงเรียนอื่นๆ ความสำเร็จในการงานในพื้นที่จะทำได้ง่ายสำหรับผู้ที่สำเร็จด้านการศึกษาที่ดี

9.) สถานที่เรียนและข้อมูลที่สามารถติดตามข่าวสาร

- เตรียมอุดมฯ

227 ถนน พญาไท แขวง ปทุมวัน เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร 10330

https://www.triamudom.ac.th/

- มหิดลฯ

หมู่ที่ 5 364 ตำบล ศาลายา อำเภอพุทธมณฑล นครปฐม 73170

https://www.mwit.ac.th/

- กำเนิดวิทย์

หมู่ที่ 1 เลขที่ 999 ตำบล ป่ายุบใน อำเภอวังจันทร์ ระยอง 21210

https://kvis.ac.th/Home_TH.aspx

- โรงเรียนอื่น ๆ ติดตามตามที่สนใจ

อิทธิพล ในการตัดสินใจเลือกเรียนต่อระดับ ม.ปลาย

พ่อแม่ มักจะเน้นโรงเรียนที่มีชื่อเสียง ปลอดภัย และดูสถิติ การสอบเข้ามหาลัย และตัวอย่างรุ่นพี่เป็นหลัก

เพื่อน ๆ พี่ ๆ มักแนะนำ เรียนที่ตนเองเลือกเรียนและ เคยเรียนมาเป็นหลัก

ตัวเอง... ควรพิจารณาตามศักยภาพ ความแหมาะสม และฐานะทางครอบครัว

ทุกที่สำเร็จได้ด้วยตัวเอง มากกว่าโรงเรียน และอื่นๆ


เขียนและรวบรวมข้อมูลโดย AodDekTai คุณพ่อผู้สนใจการศึกษาไทยและต่างประเทศ

แม่เฒ่า102 ปี...ได้ร่วมโครงการเราชนะแล้ว หลังคลังจังหวัดนำทีมออกช่วยเหลือลงทะเบียนให้ถึงบ้าน

วันที่ 22 มีนาคม 2564 นางภุมรินทร์ ธนานุกูลวงศ์ คลังจังหวัดพังงา นำทีมเจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงไทยและเจ้าหน้าที่ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดพังงา ลงพื้นที่ศาลาเขาช้าง อ.เมืองพังงา ซึ่งได้เปิดเป็นจุดให้บริการลงทะเบียนโครงการเราชนะ กลุ่มที่ต้องการความช่วยเหลือพิเศษ โดยมีผู้นำท้องที่และดูแลคนพิการผู้ป่วยติดเตียง นำผู้พิการและผู้สูงอายุที่สามารถเดินทางมาได้ให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบพร้อมลงทะเบียนให้

ในส่วนของผู้ที่ไม่สามารถเดินทางมาได้นั้น ทางเจ้าหน้าที่ได้แบ่งทีมออกติดตามผู้นำท้องที่ไปบริการให้ถึงที่บ้านซึ่งนายนิกร ชำนาญ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 3 ต.ตากแดด อ.เมืองพังงา ได้ขับมอเตอร์ไซค์นำเจ้าหน้าที่เข้าไปในสวนยางพาราลงทะเบียนให้กับแม่เฒ่าอายุ 102 ปี ชื่อนางนงลักษณ์ ณ ถลาง ที่ได้รับเงินผู้สูงอายุเท่านั้น ปัจจุบันมีปัญหาทางสายตาและการรับฟัง และเจ้าหน้าที่สามารถสแกนใบหน้าลงทะเบียนได้เป็นที่เรียบร้อย ทำให้ลูกหลานดีใจและขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่มาช่วยบริการถึงบ้าน

นางภุมรินทร์ ธนานุกูลวงศ์ เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังขยายระยะเวลาเปิดรับลงทะเบียนโครงการ "เราชนะ" สำหรับกลุ่มผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ จากเดิมวันที่ 5 มี.ค. ออกไปถึงวันที่ 26 มี.ค.2564 เนื่องจากยังมีประชาชนกลุ่มดังกล่าวบางส่วนที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ ตามนโยบายของ รมว.คลัง ที่ให้มีการดูแลกลุ่มผู้พิการ ผู้ป่วยติดเตียง รวมถึงคนชราที่มีปัญหาทางกายภาพ

ในส่วนของจังหวัดพังงา ได้มีแผนลงพื้นที่ในวันที่ 22 มีนาคม 2564 ที่ศาลาเขาช้าง อ.เมืองพังงา และศาลาประชาคมเทศบาลตำบลทับปุด อ.ทับปุด วันที่ 23 มีนาคม ที่หอประชุมอำเภอตะกั่วทุ่ง วันที่ 24 มีนาคม ที่ศาลาประชาคมอำเภอท้ายเหมือง วันที่ 25 มีนาคม ที่ที่ศาลาเทศบาล ต.คุระบุรี อ.คุระบุรี วันที่ 26 มีนาคม ที่ศาลาประชาคมอำเภอตะกั่วป่า และศาลาเทศบาลตำบลท่านา อ.กะปง สำหรับผู้ที่ลงทะเบียนเรียบร้อยในรอบนี้ สามารถตรวจสอบสิทธิได้ในวันที่ 5 เมษายน 2564 หากได้รับสิทธิจะได้รับเงินเข้าระบบในวันที่ 9 เมษายน จำนวน 7,000 บาท และใช้ได้จนถึงเดือนพฤษภาคม 2564


ภาพ/ข่าว : อโนทัย งานดี (พังงา)

เชียงราย บวชป่าชุ่มน้ำ อนุรักษ์สู่ระบบนิเวช ผลักดันเข้าสู่แรมซ่าไซ

วันที่ 22 มี.ค.64 ที่ป่าส้มแสง พื้นที่ชุ่มน้ำ บ้านป่าข่า ต.ยางฮอม อ.ขุนตาล จ.เชียงราย นายญาณวุฒิ สุดพิมศรี นายอำเภอขุนตาล  ได้เป็นประธานในพิธีบวชป่าส้มแสง ป่าต้นน้ำแม่น้ำอิง โดยมีนายสมเกียรติ เขื่อนเชียงสา นายกสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตและผู้ประสานงานเครือข่ายอนุรักษ์แม่น้ำโขงภาค เหนือ  ร่วมกับตัวแทนเครื่อข่ายองค์กรไม่แสวงผลกำไร กลุ่มรักษ์เชียงของ เครื่อข่ายนักอนุรักษ์ นายสุทธิ มะลิทอง รองผู้อำนวยการสถาบันความหลากหลาย มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงราย รวมไปเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และชาวบ้านบ้านป่าข่า เข้าร่วมพิธีบวชป่าในครั้งนี้

สำหรับป่าชุ่มน้ำป่าข่า เป็นป่าที่มีความพิเศษที่มีต้นชุมแสงหรือ ส้มแสง ขนาดใหญ่ ที่เป็นต้นไม้โตช้า โดยอายุกว่า 300 ปี ถือว่าเป็นวิสัยทัศน์กว้างไกล ที่ไม่เคยเห็นที่อื่น ถือว่าที่นี่เป็นที่เดียวของประเทศไทยและโซนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นพื้นที่ที่มีน้ำท่วม 1-3 เดือน มีต้นไม้อยู่ไม่กี่ประเภทที่อยู่ได้ โดย 1 ในนั้นคือต้นชุมแสง ปกติมักเจอในป่ากแม่น้ำขนาดใหญ่ ที่อยู่ใกล้แม่น้ำโขง เมื่อน้ำเอ่อขึ้นมา ซึ่งป่าชุมน้ำอิงมีพันธุ์พืช 60 - 70 ชนิด ส่วนสัตว์มีมากกว่า 200 ชนิด ช่วงนี้ชุมแสงกำลังออกออก เดือนเมษายนจะมีผล เมื่อตกลงมาจะกลายเป็นอาหารปลาและสัตว์ป่ารวมถึงนก กลายเป็นระบบนิเวศซับซ้อนและเป็นอัตลักษณ์

นายสุทธิ มะลิทอง รองผู้อำนวยการสถาบันความหลากหลาย มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงราย กล่าวว่า ป่าบ้านป่าข่าเป็นป่าน้ำท่วมตามฤดูกาล มีน้ำเข้ามาท่วม 1-3 เดือนฤดูฝน มีต้นไม่ไม่กี่ชนิดอยู่ได้ มีต้นชุมแสง ต้นข่อย ที่ทนทานสภาวะการถูกน้ำท่วม ป่าพวกนี้เป็นป่าริมน้ำคอยดักจับตะกอน และเวลาใกล้ปากแม่น้ำเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ แม่น้ำอิงติดต่อแม่น้ำโขง ทำให้ปลาน้ำโขงเข้าแม่น้ำอิงและป่าเหล่านี้เป็นที่อยู่อาศัย แพร่พันธุ์ของปลา

"ป่าชุมแสงหรือส้มแสง เป็นป่าที่ทนทานและโตช้า ในป่าแห่งนี้มีอายุมายาวนาน กว่า 300 ปีถือว่าสุดยอดที่เป็นวิสัยทัศนของคนในชุมชน จริง ๆ ต้นชุมแสงมีการกระจายตัวอยู่ทุกภาค แต่การเป็นป่าผืนใหญ่มีไม่เยอะ ที่นี่เป็นจุดใหญ่ ต้นชุมแสงขนาดใหญ่ เป็นอัตลักษณ์เฉพาะเรา หาป่าชุมแสงแบบนี้จากที่อื่นไม่มีแล้ว” รองผู้อำนวยการสถาบันความหลากหลาย มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงราย  กล่าว

ในส่วนของภาครัฐนั้นหากยกระดับเป็นพื้นที่ชุมน้ำนานาชาติได้ ก็ได้รับการสนับสนุนจากแรมซ่าไซ ชุมชนอนุรักษ์ป่าอยู่แล้ว รัฐบาลไม่ต้องทำอะไรมาก แค่เป็นกลาง รับฟังความต้องการของชุมชน ยึดในเรื่องความสำคัญของพื้นที่ชุ่มน้ำ และกฎหมายรองรับควรมีความชัดเจนมากขึ้นไม่ใข่แค่มติครม.


ภาพ/ข่าว : ณัฐวัตร ลาพิงค์

พบผู้ป่วยโควิด รายที่ 14 เป็นคนนอย์เวย์ อายุ 74 ปี เบื้องต้นกักตัวตัวตามมาตรฐานอย่างถูกต้อง แต่ยืนยันตรวจเชื้อมีอาการ และเข้ารักษาตัวที่ขอนแก่น ผู้ว่าฯ สั่งเร่งตรวจสอบไทม์ไลน์อย่างละเอียด

เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 22 มี.ค.2564 ที่ห้องประชุมแก่นชัย ชั้น 5 ศาลากลาง จ.ขอนแก่น นายสมศักดิ์  จังตระกุล ผวจ.ขอนแก่น พร้อมด้วย นพ.สมชายโชติ  ปิยวัชร์เวลา นายแพทย์สาธารณสุข จ.ขอนแก่น ร่วมกันแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนหลังผลตรวจยืนยันพบผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ในพื้นที่ จ.ขอนแก่น ท่ามกลางความสนใจจากบุคลากรทางการแพทย์และสื่อมวลชนเข้าร่วมรับฟังจำนวนมาก

นายสมศักดิ์  จังตระกุล ผวจ.ขอนแก่น กล่าวว่า ผู้ป่วยรายดังกล่าวเป็นชาวนอย์เวย์ อายุ 74 ปี  ซึ่งเดินทางเข้าประเทศไทยผ่านสนามบินสุวรณภูมิ ในวันที่ 5 มี.ค. จากนั้นเข้ารับการกักตัว ในสถานที่ที่รัฐกำหนด เป็นเวลา 14 วัน โดยในวันที่ 7 มี.ค. เข้ารับการตรวจเชื้อครั้งแรกไม่พบการติดเชื้อ และเข้ารับการตรวจเชื้อครั้งที่ 2 ในวันที่ 17 มี.ค.ไม่พบการติดเชื้อเช่นกัน ก่อนจะครบกำหนดการกักตัวในวันที่ 20 มี.ค. ซึ่งเจ้าตัวเดินทางกลับขอนแก่น ทันที โดยลงเครื่องที่สนามบินขอนแก่น ในวันที่ 20 มี.ค. ไฟท์เที่ยง โดยมีลูก 2 คนเดินทางมารับและกลับบ้านที่จังหวัดข้างเคียงกับขอนแก่น

“จนกระทั่งวันที 21 มี.ค.ผู้ป่วยเริ่มมีอาการบ่งชี้ โดยเฉพาะปวดเมื่อยตามร่างกาย จึงให้ครอบครัวเข้ารับการตรวจที่ รพ.เอกชนแห่งหนึ่งของ จ.ขอนแก่น แต่ด้วยมาตรฐานคุมเข้มที่จังหวัดของเรากำหนดไว้อย่างเข้มงวด ซึ่งผู้ป่วยทุกรายจะต้องรายงานข้อมูลต่าง ๆ ให้กับเจ้าหน้าที่ได้รับทราบซึ่ง รพ.เอกชน แห่งนี้ได้ซักประวัติและตรวจหาเชื้อซ้ำอีกครั้ง ซึ่งผลยืนยันติดเชื้อโควิด-19 ในช่วงค่ำ จึงมีการส่งต่อการรักษามาที่ รพ.ศรีนครินทร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ตามระบบการส่งต่อผู้ป่วยที่เข้มงวดทันที”

ขณะที่ นพ.สมชายโชติ  ปิยวัชร์เวลา นายแพทย์สาธารณสุข จ.ขอนแก่น กล่าวว่า ทุกขั้นตอนเมื่อผู้ป่วยถึงทีมแพทย์ ตั้งแต่ รพ.เอกชน และส่งต่อมายัง รพ.ศรีนครินทร์ เป็นไปตามขั้นตอนการปฎิบัติงานที่เข้มงวด ตามมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด ทำให้ขณะผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อโควิด-19 รายที่14 ของ จ.ขอนแก่น นั้นอยู่ในการดูแลของทีมแพทย์ตามขั้นตอนของการรักษาแล้ว  ขณะเดียวกันทีมสอบสวนโรคได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบไทม์ไลน์ผู้ป่วยอย่างละเอียด เริ่มตั้งแต่การเดินทางมาที่ขอนแก่น ด้วยสายการบินแห่งหนึ่ง ซึ่งผู้ที่นั่งใกล้ชิดกับผู้ป่วยคือ 3 แถวหน้าและ 3 แถวหลังจะต้อเข้ารายงานตัวและเข้ารับการตรวจเชื้อทันที

ขณะเดียวกันกลุ่มเสี่ยงสูง 2 คนคือคนในครอบครัวของผู้ป่วยนั้นขณะนี้ได้มีการเข้ารายงานตัวและเข้ารับการตรวจเชื้อกับทางแพทย์แล้ว ส่วนกลุ่มเสี่ยงต่ำ 17 คนนั้น ขณะนี้ทยอยเข้ารายงานตัวและเข้ารับการตรวจอย่างต่อเนื่องเช่นกัน อย่างไรก็ตามขณะนี้ทีมสอบสวนโรค จะลงพื้นที่ที่บ้านของผู้ป่วย รวมทั้งการซักรายละเอียดต่างๆอย่างละเอียดเพื่อให้มาตรการควบคุมและป้องกันและการควบคุมพื้นที่เป็นไปอย่างรัดกุม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top