Sunday, 8 June 2025
SPECIAL

ดอกประดู่กับสงกรานต์ในเมียนมาร์

โควิด-19 ได้พรากเทศกาลสงกรานต์ในเมียนมาร์หรือในภาษาพม่าเรียกว่า ตะจ่าน (Thingyan ภาษาเขียนออกเสียงว่าติงจ่าน) เทศกาลตะจ่าน เป็นวัฒนธรรมของชาวพม่าที่มีมาไม่ต่ำกว่า 3,000 ปีแล้ว และถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ เพื่อกำหนดวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งตรงกับเดือนเมษายน โดยทั่วไปแล้วจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 12 เมษายน ถึง 16 เมษายน ช่วงนี้จะเป็นช่วงสิ้นปีมีการเล่นสาดน้ำต้อนรับปีใหม่ และในวันที่ 17 เมษายน จะถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ คนเมียนมาร์จะทำความสะอาดบ้าน และนิมนต์พระมาฉันที่บ้าน อีกทั้งมีการบริจาคอาหารหรือขนมให้เพื่อนบ้าน รวมถึงบางครอบครัวมีการผู้เฒ่าผู้แก่ที่บ้านก็จะทำการสระผม ตัดเล็บให้ผู้เฒ่าผู้แก่ในครอบครัว ยามเย็นจะมีการนิมนต์พระมาสวดขับไล่สิ่งไม่ดี โชคร้าย โรคภัยไข้เจ็บให้ออกไปจากสถานที่แห่งนี้

และในเทศกาลตะจ่านนี้เอง มีดอกไม้ชนิดหนึ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของเทศกาลนี้นั่นคือ ดอกปะเด้าก์ (Padauk) หรือดอกประดู่นั่นเอง ชาวเมียนมาร์จะมีการนำดอกประดู่มาประดับประดาตามอาคารบ้านเรือน สำนักงาน รถโดยสาร และบางคนจะทัดช่อดอกประดู่ไว้ที่ผมดูน่าชม   

สาเหตุที่ดอกประดู่ถือเป็นดอกไม้ประจำเทศกาลตะจ่านก็เพราะว่า ก่อนเทศกาลตะจ่านในเมียนมาร์ทุกปีจะมีฝนโปรยปราย ในเวลานั้นเอง ต้นประดู่จะแทงดอกออกรับน้ำฝนซึ่งจะบานเต็มที่ในช่วงเดือนเมษายน ถือเป็นการเริ่มต้นใหม่ของปีใหม่ ดั่งดอกประดู่ที่เกิดใหม่อีกครั้งโดยการแทงดอกจนเหลืองอร่ามไปทั่วทั้งเมือง

และในช่วงเวลานี้คนพม่าจะนิยมทำขนมที่เรียกว่า โมน โลน เหย่บอว์ เป็นขนมที่ทำมาจากแป้งข้าวเจ้าผสมกับแป้งข้าวเหนียวโดยใส่น้ำตาลโตนดไว้เป็นไส้ โดยทุกคนในบ้านหรือในชุมชนนนั้นจะช่วยกันในการปั้นขนมแล้วโยนลงไปในน้ำเดือดแต่สำหรับใครที่อยากจะแกล้งใครก็อาจจะใส่พริกเป็นไส้แทนน้ำตาลโตนดที่คนพม่าเรียกว่า ทันเนี่ยะ ก็ได้

และแม้ปีนี้ในเมียนมาร์ไม่ว่าจะมีการจัดเทศกาลตะจ่านหรือไม่ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ๆ ก็ตาม ผมก็หวังว่าคนเมียนมาร์คงยังไม่สิ้นหวังและกลับมายืนขึ้นใหม่ได้อีกครั้งเหมือนดั่งดอกประดู่ที่กลับมาบานใหม่ทุกปี

สีจิ้นผิง ส่วนผสมที่ลงตัวระหว่าง ‘เติ้ง’ และ ‘เหมา’

“มหาอำนาจ” คือคำที่ใช้เรียกรัฐที่ถูกยอมรับว่ามีความสามารถในการแผ่ขยายอิทธิพลได้ในระดับโลก ไม่มีหลักเกณฑ์หรือลักษณะจำกัดความของคำว่ามหาอำนาจ หากแต่เป็นสิ่งที่ประจักษ์ชัด ขาดรอย ซึ่งตัดสินได้จากลักษณะเชิงประสบการณ์ในตัวผู้ประเมิน อันคุณสมบัติร่วมของประเทศมหาอำนาจทั่วโลก คือการครอบครองอำนาจทางทหารและเศรษฐกิจ ตลอดจนอิทธิพลทางวัฒนธรรมและการทูต

หากจะพูดถึงรัฐมหาอำนาจในปัจจุบันนอกจากสหรัฐอเมริกาแล้ว ก็มีจีนในยุค ‘สี จิ้นผิง’ นี่แหละครับ ที่กำลังมาแรงและมีโอกาสลุ้นแซงสหรัฐฯ ขึ้นเป็นรัฐมหาอำนาจเบอร์หนึ่งของโลกในอนาคต

ขอบคุณรูปภาพจาก : www.macroviewblog.com

ต้องเกริ่นก่อนครับ ว่าสิ่งที่ทำให้รัฐใดรัฐหนึ่งก้าวขึ้นไปสู่การเป็นมหาอำนาจได้นั้นประกอบด้วยหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นพื้นฐานทางภูมิศาสตร์ ทรัพยากร รวมถึงจำนวนและคุณภาพประชากร หากรัฐใดมีสิ่งเหล่านี้ครบถ้วน รัฐนั้นย่อมมีโอกาสในการก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจ แต่อีกปัจจัยใจที่สำคัญไม่แพ้กันเลยคือ “ผู้นำที่ดี” หากรัฐใดอุดมไปด้วยทรัพยากรตามที่กล่าวไว้ข้างต้น แต่อยู่ภายใต้การบริหารของผู้นำที่ไร้วิสัยทัศน์ ทรัพยากรที่มีมากไปก็ไร้ความหมาย

หากพูดถึงการเป็นผู้นำ (ทางการเมือง) ตามหลักการของ  Niccolo Machiavelli (ค.ศ. 1469-1527) ซึ่งเขียนตำราว่าด้วยผู้ปกครองที่ดี “The Prince” ผู้นำที่ดีจะต้องมีคุณลักษณะ 3 ข้อ ได้แก่ ปัญญาที่ฉลาดเฉียบแหลม กระบวนการคิดที่เป็นระบบ และความกล้าหาญ 

ขอบคุณรูปภาพจาก : www.amazon.com

“ผู้นำที่ดีจะต้องมีคุณสมบัติของสิงโต และหมาป่าในเวลาเดียวกัน กล่าวคือ ก้าวร้าว ห้าวหาญ และสง่างามเหมือนสิงโต แต่ชาญฉลาดและแยบยล เหมือนหมาป่า”

สำหรับประเทศจีน มีตัวอย่างผู้นำทางการเมืองมากมายที่น่ายกย่อง ตั้งแต่จักรพรรดิเฉียนหลง เจียชิ่ง จิ๋นซีฮ่องเต้ ซุนยัดเซ็น ประธานเหมา ตลอดจนเติ้งเสี่ยวผิง แต่ในวันนี้ เราจะมาพูดถึง ‘สีจิ้นผิง’ ผู้นำคนปัจจุบันของจีน ในแง่ของความเป็นผู้นำที่มีส่วนผสมของทั้ง ‘เหมาเจ๋อตง’ และ ‘เติ้งเสี่ยวผิง’

หากจะพูดถึงระบบการปกครองของจีนในปัจจุบัน ก็ต้องพูดถึงบุคคลที่เปรียบดั่งบิดาผู้ให้กำเนิดจีนยุคคอมมิวนิสต์หรือยุค “จีนใหม่” อย่างประธานเหมา หรือเหมาเจ๋อตง หนึ่งในสมาชิกยุคก่อตั้งของพรรคคอมมิวนิสต์ และประธานาธิบดีคนแรกในยุคสาธารณะรัฐประชาชนจีน

ประธานเหมาเป็นผู้นำที่ทั้งห้าวหาญและสง่างาม ทั้งยังมีความคิดเฉียบแหลม โดยเฉพาะความสามารถในด้านของการบริหารอำนาจอันแสดงออกผ่านการตัดสินใจที่เด็ดขาด และให้แนวทางที่ชัดเจนต่อคนในชาติตั้งแต่ช่วงแรกของยุคจีนใหม่ ด้วยการเรียกร้องให้คนในชาติ “站起来 – จ้านฉี่หลาย” แปลว่า “จงลุกขึ้นยืน” หมายถึงการให้คนจีนร่วมกันยืนบนลำแข้งของตัวเองหลังจากถูกต่างชาติข่มเหงรังแกมาตลอดหลายร้อยปี

แต่กระนั้นการบริหารเศรษฐกิจของประธานเหมายังมีข้อบกพร่องอยู่มาก อีกทั้งยังก่อความผิดพลาดอย่างมหันต์ในการริเริ่มการปฏิวัติวัฒนธรรมอันทำให้การพัฒนาของประเทศต้องหยุดชะงักไปนานถึง 10 ปี

คาแรคเตอร์ของประธานเหมานั้นอยู่คนละขั้วกับผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์รุ่นที่สองอย่างเติ้งเสี่ยวผิง ผู้นำและนักปฏิบัตินิยมผู้มีความคิดเปิดกว้างพอที่จะลดความเข้มงวดในวิถีการปกครองด้วยอุดมการณ์สังคมนิยม และใจกล้าพอที่จะปฏิรูปเปิดประเทศ รับระบบตลาดเสรีจากตะวันตกเข้ามาฟื้นฟูเศรษฐกิจ เปิดรับการลงทุนจากต่างชาติจนทำให้จีนกลายเป็น “โรงงานของโลก” ในเวลาต่อมา

“富起来 - ฟู่ฉี่หลาย” มีความหมายประมาณว่า “สร้างเนื้อสร้างตัว” หลังจากคนจีนยืนบนลำแข้งตัวเองได้ตั้งแต่ในยุคของประธานเหมา ก็ถึงเวลาที่ประชาชนชาวจีนจะต้องลืมตาอ้าปาก หลุดพ้นจากความจน และกอบโกยความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ

ซึ่งนโยบายของเติ้งเสี่ยวผิงก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการขึ้นมามีบทบาทบนเวทีการค้าโลก แต่หากจะพูดถึงข้อเสียของเติ้งนั้น ก็เห็นจะเป็นการที่เขาเลือกที่จะอะลุ่มอล่วยต่อพฤติกรรมคดโกงและการคอรัปชั่นของนักการเมืองและเจ้าหน้าที่ในพรรค

สำหรับ ‘สีจิ้นผิง’ ผู้นำจีนในปัจจุบัน มีนักวิเคราะห์หลายคนมองว่ากลยุทธ์การบริหารประเทศของสีจิ้นผิงมีความคล้ายคลึงกับเติ้งเสี่ยวผิง คือการยอมรับระบบตลาดแบบทุนนิยม แต่ยึดมั่นในอุดมการณ์หลักของความเป็นคอมมิวนิสต์ เป็นการผสมผสานที่ถูกนิยามว่า “สังคมนิยมที่มีอัตลักษณ์ของจีน”

ในส่วนของการดำเนินนโยบายต่างประเทศ หลังจากประธานสีขึ้นรับตำแหน่ง ก็ยึดเอายุทธศาสตร์ One Belt One Road เส้นทางสายไหมทางทะเล และใช้กลยุทธ์การเผยแพร่วัฒนธรรมด้วยการให้ทุนเรียนฟรีกับนักเรียนต่างชาติปีละหลักล้านคนจนเกิดเป็นกระแส “汉语热 - ฮั่นหยวี่เร่อ” ซึ่งเป็นกระแสที่นักเรียนทั่วโลกมีความต้องการมาศึกษาภาษาจีนที่ประเทศจีน โดยมีเป้าหมายในการใช้ภาษาจีนดำรงวิชาชีพหรือทำการค้าขายกับประเทศจีน

นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการอัดฉีดเงินในการพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยี โดยเปิดโอกาสให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหาร และยังประกาศชัดเจนว่าจะนำประเทศจีนให้เป็นผู้นำ 5G และกลายเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยี AI ปัญญาประดิษฐ์ของโลกในอนาคต

นั่นทำให้นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่าวิธีการบริหารของสีจิ้นผิงนั้นเป็นไปในทิศทางใกล้เคียงกับในยุคของผู้นำเติ้ง..

แต่ก็มิพักจะสงสัยว่า ตัวตนของสีจิ้นผิง แท้จริงแล้วมีความเป็นอนุรักษ์นิยมมากกว่าผู้นำเติ้ง สังเกตได้จากการที่เขาบรรจุเนื้อหาเกี่ยวกับทฤษฎีสังคมนิยม Marxist - Leninist ลงไปในหลักสูตรการศึกษาของเยาวชน และปลูกฝังอุดมการณ์รักชาติให้แก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการมีปัญหาข้อพิพาทเรื่องเขตแดนทางทะเลต่าง ๆ กับประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น ฟิลิปินส์ เวียดนาม และบรูไน รวมถึงการขัดขวางความพยายามของฮ่องกงและไต้หวันในการแบ่งแยกดินแดน เรียกได้ว่าแม้เพียงแค่ตารางนิ้วเดียวก็จะไม่ยอมให้สูญเสียไป

นอกจากนี้ สีจิ้นผิงมองว่าพฤติกรรมการคอรัปชั่นของนักการเมืองและเจ้าหน้าที่พรรคนั้นถือเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ ซึ่งสิ่งที่อภัยไม่ได้ เขาใช้มาตรการในการกวาดล้างการคอรัปชั่นอย่างจริงจัง มีข่าวการจับกุมและลงโทษขั้นเด็ดขาดต่อผู้กระทำผิดฐานคดโกงนับร้อยคดี จนการคอรัปชั่นกลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นยากมากในจีนปัจจุบัน

ทั้งหมดนี้ทำให้สีจิ้นผิงสามารถรวมศูนย์อำนาจได้อย่างเบ็ดเสร็จ และผ่านการลงมติรับรองจากสภาประชาชนแห่งชาติให้เป็น "ประธานาธิบดีตลอดชีวิต" และกลายเป็นหนึ่งในผู้นำทางการเมืองที่ทรงอำนาจและมีอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์จีน ทำเอานักวิเคราะห์จากหลายสำนักเห็นตรงกันว่าสถานภาพของสีจิ้นผิง นับวันจะใกล้เคียงกับคำว่า “จักรพรรดิ” ขึ้นไปทุกที 

ในแง่ของการบริหารอำนาจ สีจิ้นผิงมีความคล้ายคลึงกับประธานเหมามากกว่าผู้นำเติ้ง....

อย่างไรก็ตามแต่ ไม่ว่าจะเป็นเหมาเจ๋อตงหรือเติ้งเสี่ยวผิง ทั้งคู่ต่างเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ ที่หากไม่มีพวกเขา ก็คงจะไม่มีจีนวันนี้ ซึ่งตามทรรศนะของผู้เขียนเอง ผู้นำจีนคนปัจจุบันอย่างสีจิ้นผิงนั้นคือการนำจุดเด่นของทั้งประธานเหมาและผู้นำเติ้งมารวมเป็นคนเดียวกัน กล่าวคือเป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่าง “หยิน” กับ “หยาง” เป็นผู้นำแห่งแดนมังกรที่มีความเป็นสิงโต และหมาป่าในเวลาเดียวกัน

“强起来 – เฉียงฉี่หลาย” 
แปลว่า “จงแข็งแกร่ง” เป็นเป้าหมายและปรัชญาในการบริหารบ้านเมืองของสีจิ้นผิง ในขณะเดียวกันก็เป็นวลีที่ใช้ปลุกระดมให้คนในชาติให้ร่วมมือกันสร้างความแข็งแกร่งในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรม การเมือง การทูต และแสนยานุภาพทางทหาร อันเป็นสิ่งตอกย้ำชัดเจนในเป้าหมายละความทะเยอทยานของจีนภายใต้การนำของสีจิ้นผิง หลังจากที่ยืนบนลำแข้งตัวเองได้ และค่อย ๆ สร้างเนื้อสร้างตัวจนมีความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ ก้าวต่อไป จีนจะต้องเดินเกมเพื่อก้าวสู่การเป็นประเทศมหาอำนาจของโลกอย่างแน่นอน

หากพิจารณาจากคุณสมบัติความเป็นผู้นำของสีจิ้นผิงแล้ว ท่านผู้อ่านคิดว่าเขาจะสามารถพาประเทศจีนขึ้นสู่การเป็นมหาอำนาจได้จริงหรือไม่ 


ข้อมูลอ้างอิง 
ขอบคุณรูปภาพจาก : th.wikipedia.org
 

เหตุการณ์เรือ Ever Given กับการประกันภัยทางทะเล

ช่วงเดือนที่ผ่านมามีข่าวใหญ่เกี่ยวกับอุบัติเหตุการขนส่งทางทะเล นั้นคือการที่เรือคอนเทนเนอร์ขนาดยักษ์ Ever Given เกยตื้นแล้วขวางเส้นทางเดินเรือของคลองสุเอซ วันนี้จะขอมาเล่าเกี่ยวกับการประกันภัยทางทะเลที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ เพราะการประกันภัยทางทะเลจัดได้ว่าเป็นการประกันวินาศภัยที่เก่าแก่ที่สุดและมีประเด็นที่น่าสนใจหลายเรื่อง

เริ่มจากเรือที่มักจะทำประกันภัยตัวเรือและเครื่องจักร (Hull and machinery insurance) ที่ให้ความคุ้มครองทั้งตัวเรือ เครื่องจักร ความรับผิดต่อบุคคลภายนอก และค่าใช้จ่ายในการกู้ภัย แต่มีข้อแม้ว่าเจ้าของเรือต้องร่วมจ่ายค่าเสียหายด้วยบางส่วนเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความประมาทในการดำเนินงาน 

ในบรรดาเจ้าของเรือก็มองว่าค่าใช้จ่ายบางส่วนที่ต้องออกเองเมื่อเกิดความเสียหายนั้นจำนวนก็ไม่ใช่น้อย หากต้องชดใช้ด้วยตนเองทั้งหมดอาจส่งผลกระทบต่อฐานะทางการเงินของตน จึงรวมกลุ่มกันเพื่อก่อตั้งเป็นการประกันภัยแบบสหการ (Mutual insurance) เพื่อรับประกันภัยจากสมาชิกซึ่งเป็นเจ้าของเรือด้วยกัน และการรวมกลุ่มดังกล่าวเป็นที่รู้จักกันในชื่อ P&I Club มาจากคำว่า Protection and indemnity insurance club ที่มีอยู่ทั้งหมด 13 แห่งทั่วโลก และในกรณีของ Ever Given นั้นเป็นสมาชิกอยู่ใน UK P&I Club และให้ความคุ้มครองความรับผิดต่อบุคคลภายนอกในวงเงินสูงถึง 3.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ

มีการคาดการณ์กันว่าน่าจะมีการเรียกร้องค่าเสียหายจากเรือ Ever Given เป็นมูลค่าที่สูงมาก ทั้งจากความเสียหายของคลองสุเอซ การสูญเสียรายได้จากค่าผ่านคลอง หรือค่าใช้จ่ายของเรือลำอื่นที่ล่าช้า

จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ ซึ่งหากมีการตกลงชดเชยค่าเสียหายกันได้แล้วทาง UK P&I Club ก็ไม่ได้ควักเงินจ่ายค่าเสียหายอยู่ฝ่ายเดียว เพราะมีการประกันภัยต่อไปยัง P&I Club อีก 12 แห่ง แห่งละไม่เกิน 100 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนที่เหลือก็ส่งต่อให้บริษัทรับประกันภัยต่อระดับโลกอีก 20 บริษัท สาเหตุที่ต้องมีการรับประกันภัยต่อหลายรายเพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงในกรณีที่มีการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเป็นจำนวนมาก

ในส่วนของสินค้าที่ขนมาบนเรือนั้นก็มักจะทำประกันภัยสินค้าโดยรูปแบบความคุ้มครองส่วนใหญ่อ้างอิงจากประกันภัย ICC (Institute cargo clauses) ที่จัดทำโดยกลุ่มผู้รับประกันภัยในประเทศอังกฤษ มีความคุ้มครอง 3 แบบ คุ้มครองมากที่สุดคือ ICC(A) รองลงมาคือ ICC(B) และน้อยสุดคือ ICC(C)  ถ้าหากสินค้าเสียหายจากเหตุการณ์นี้ก็สามารถได้รับเงินชดจากทั้งสามแบบ เพราะทุกแบบให้ความคุ้มครองความเสียหายที่เกิดจากเรือเกยตื้น

ถึงแม้สินค้าจะไม่ได้เสียหายจากเหตุการณ์นี้ เจ้าของสินค้าก็อาจต้องมีส่วนร่วมออกค่าใช้จ่ายในการกู้ภัยตามหลัก General average หรือความเสียหายทั่วไป โดยหลักการนี้มีมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรโรมัน นั้นคือหากเรือเกิดอุบัติเหตุแล้วกัปตันตัดสินใจต้องทิ้งสินค้าบางส่วนลงน้ำเพื่อรักษาทรัพย์สินส่วนรวมให้รอดปลอดภัย ทรัพย์สินส่วนนั้นจะได้รับการชดใช้คืน โดยยึดถือปฏิบัติกันมาจนถึงปัจจุบันตามที่ได้มีการปรับปรุงตามกฎ York-Antwerp Rules และในไทยเองก็มีกฎหมายที่ว่าด้วยเรื่องนี้ คือ พ.ร.บ.การเฉลี่ยความเสียหายทั่วไปจากภยันตรายในการเดินเรือ พ.ศ. 2547 และให้ความหมายของความเสียหายทั่วไป คือ “ความสูญเสีย หรือความเสียหายอย่างหนึ่งอย่างใดที่เป็นผลโดยตรงจากการเสียสละทรัพย์สิน หรือค่าใช้จ่ายเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งจงใจกระทำขึ้นตามสมควรเพื่อปกป้องรักษาเรือและทรัพย์สินที่เผชิญภัยอันตรายร่วมกัน” ดังนั้นค่าใช้ในการกู้ภัยเรือจึงถือว่าเป็นความเสียหายทั่วไปด้วย หากเจ้าของเรือ Ever Given ประกาศว่ามีความเสียหายทั่วไปแล้ว จะมีการแบ่งส่วนเฉลี่ยคิดตามมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น และคาดการณ์ว่าน่าจะใช้เวลาเป็นปีในการสรุปค่าใช้จ่ายเพราะด้วยขนาดเรือที่ขนสินค้ามาจำนวนมากและมีเจ้าของสินค้าหลายราย

ขอยกตัวอย่างกรณีของเรือ Maersk Honam ที่เกิดเหตุไฟไหม้บนเรือในปี 2018 จากเหตุการณ์ครั้งนี้ได้มีการเรียกเฉลี่ยความเสียหายทั่วไปมากถึง 54% ของมูลค่าทรัพย์สิน นั้นคือหากเป็นเจ้าของสินค้ามูลค่า 1 ล้านบาท จะต้องร่วมเฉลี่ยความเสียหายทั่วไป 540,000 บาท สินค้าของใครที่ทำประกันภัย ICC ก็สบายใจได้เพราะให้ความคุ้มครองค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ แต่ใครที่ไม่ได้ทำก็คงต้องออกค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เอง และทางสายเรือจะกักสินค้าเอาไว้จนกว่ากว่าจะนำเงินส่วนนี้มาจ่าย

จากที่เล่ามาข้างต้นจะเห็นได้ว่าธรรมเนียมปฏิบัติของการขนส่งสินค้าทางทะเลมีมาอย่างยาวนานและมีรูปแบบเฉพาะที่มีความแตกต่างจากการขนส่งด้วยวิธีอื่น ผู้นำเข้าส่งออกควรศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมและทำประกันภัยเพื่อคุ้มครองสินค้า เพราะถึงแม้สินค้าของตนจะไม่เกิดความเสียหาย แต่อาจมีการเรียกเก็บส่วนเฉลี่ยค่าเสียหายทั่วไปที่มียอดเงินไม่น้อยเลยทีเดียว


ข้อมูลอ้างอิง

https://www.agcs.allianz.com/news-and-insights/expert-risk-articles/suez-canal-marine-insurance-claims.html

https://www.hellenicshippingnews.com/suez-canal-insurance-claims-loom-as-ever-given-blocks-shipping/

https://theloadstar.com/lengthy-wait-for-cargo-as-ever-given-owner-declares-general-average/

คติประจำใจจาก "Arthur Ashe" นักเทนนิสผิวสีแชมป์แกรนด์สแลมคนแรก

“Start where you are. Use what you have. Do what you can.”

"จงเริ่มจากจุดที่คุณยืนอยู่ จงใช้ในสิ่งที่คุณมี และจงทำในสิ่งที่คุณสามารถทำได้"


Arthur Ashe (นักเทนนิสผิวสีแชมป์แกรนด์สแลมคนแรก)

เสียง (เพรียก) แห่งสายน้ำปัตตานี... ตอนที่ 3

เช้าแสนอ้อยอิ่งผ่านไปพร้อมกับมื้อเช้าง่าย ๆ คือขนมและกาแฟ รอบนี้เอากาแฟคั่วจากสวนตัวเองลงมาด้วย ตั้งเตาต้มน้ำ พลางบดกาแฟ เทลงในหม้อ เติมน้ำเดือดลงไป รอราวสามนาทีก็นำช้อนเขี่ยผงกาแฟที่ลอยอยู่ให้จมลง ตักเอาฟองและเศษที่เหลือออก แค่นี้ก็พร้อมเสิร์ฟแล้ว นี่ถือว่าเป็นการชงกาแฟที่เรียบง่ายที่สุดและเป็นการเลียนแบบวิธีการทำคัปปิ้ง (อธิบายง่ายสั้นก็คือการดมชิมกาแฟ) นั่นเอง

“เอาเชือกรัดสัมภาระต่าง ๆ ในเรือ “แล้วก็อย่าลืมใส่ชูชีพด้วยนะพี่” บังบิ๊บบอกเช่นนั้น เสียงค้านในใจบอกไม่เห็นจะจำเป็นสักหน่อย น้ำไหลเอื่อยแบบนี้ไม่ต้องแน่นหนาขนาดนั้นก็ได้ แต่เอาน่ะ คนเขาอยู่ในพื้นที่ น่าจะมีเหตุผลมากพอหากเขาแนะนำเช่นนั้น ผมจึงหยิบเชือกออกมามัดกระเป๋าสองสามใบไว้

การพายคายักในวันนี้เริ่มต้นแบบไม่ต้องออกแรงจ้วงไม้พายมากนัก เพราะน้ำไหลเรื่อย สองฝั่งร่มรื่นไปด้วยแมกไม้เขียวขจี อากาศยามเช้าแสนจะเป็นใจ บางครั้งผ่านบ้านเรือนผู้คน เด็กน้อยโบกมือและวิ่งลงมาทักทายคนแปลกถิ่น เป็นภาพที่สวยงาม แต่มีสิ่งที่เห็นแล้วรกสายตามาก คือขยะทั้งหลายโดยเฉพาะพลาสติกที่ลอยไปติดอยู่ตามกิ่งก้านไม้ในช่วงน้ำหลาก เมื่อน้ำลดจึงค้างอยู่เป็นจำนวนมาก เห็นแล้วรู้สึกขัดหูขัดตา สำหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์แล้วขยะย่อยสลายยากอาจแค่ทำให้รู้สึกไม่สบายตา ทว่า ในความเป็นจริงแล้ว ขยะเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ในระบบนิเวศค่อนข้างมาก และถ้าเพียงแค่เราต่างตระหนักว่าการกระทำของเราสามารถทำลายอีกหลายชีวิตโดยไม่ตั้งใจ เราอาจจะระมัดระวังการใช้ชีวิตในรูปแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่านี้ก็เป็นได้ เราอาจจะลดการสร้างขยะหรืออย่างน้อยก็พยายามรับผิดชอบด้วยการจัดการขยะที่เราสร้างขึ้นอย่างถูกต้องเหมาะสม

เอาเถอะถือว่าเป็นการสะท้อนมุมมองและความรู้สึกบางด้านจากการพายเรือผ่านแม่น้ำปัตตานีละกัน 

กลับมาที่ไฮไลต์ประจำวันกันอีกครั้ง ซึ่งก็คือดีกรีความตื่นเต้นที่สายน้ำนี้มอบให้ มันค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามช่วงเวลาของวัน ยิ่งพายยิ่งเจอสิ่งที่ทำให้อะดรีนาลีนหลั่งมากขึ้น ก็แก่งทั้งหลายไงล่ะครับ ค่าที่ยังนับว่าเป็นมือใหม่หัดพาย จึงยังคงต้องสะสมชั่วโมงพายเรือ เพื่อสั่งสมความชำนาญและความมั่นใจในการอ่านสายน้ำไปทีละเล็กละน้อย การได้มาเจอโจทย์ประเภทแก่งน้ำเชี่ยวจึงเป็นทั้งเรื่องสนุกและในขณะเดียวกันก็สร้างความกังวลด้วย ยิ่งไปก็ยิ่งเจอแก่งถี่ขึ้น ต้องคอยคัดซ้ายคัดขวาเพื่อให้เรือไหลไปตามร่องน้ำตามที่วางแผนไว้ในใจ พวกเราร้องตะโกนด้วยความดีใจเวลาที่สามารถผ่านแต่ละความท้าทายเล็ก ๆ เหล่านั้นได้ รู้สึกเหมือนได้กลับไปเป็นเด็กชายซน ๆ กันอีกครั้ง เชื่อว่าผู้ใหญ่จำนวนมากคงไม่ต่างจากผม ยิ่งอายุมากขึ้นก็ยิ่งเคร่งขรึมเกินเหตุ หลงลืมการหัวเราะร่าเริงและการไม่ต้องจริงจังไปเสียทุกเรื่อง เป็นเหตุให้กลายเป็นพวกแบกโลกอยู่บ่อย ๆ จนกระทั่งเด็กน้อยถูกปลุกให้ตื่นอีกครั้งเมื่อได้กลับมาทำกิจกรรมกลางแจ้งหัวหกก้นขวิดแบบนี้

อย่างที่บอกว่าดีกรีความตื่นเต้นเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ปริมาณน้ำเพิ่มมากขึ้นเพราะลำธารสาขาไหลมาสมทบมากขึ้น ผมไม่แน่ใจนักว่าเขาจัดระดับความแรงหรือความเสี่ยงของแก่งกันอย่างไร จึงขอแบ่งแบบระดับตามความเผ็ดของพริกที่ใส่ลงไปในอาหารละกัน จากแก่งประเภทพริกเม็ดสองเม็ด พอคล้อยบ่ายจำนวนพริกขี้หนูหลายเม็ดเริ่มมากจนเผ็ดจัดจ้านแสบร้อนมากขึ้น น้ำลึกมากขึ้น สายน้ำแคบลง เพราะถูกบีบให้ไหลเข้าไปในโตรกหินผา รู้สึกได้ถึงพลังมหาศาลของมวลน้ำที่ทวีการไหลดุดันมากขึ้นตามลำดับ ผมไม่แน่ใจนัก ว่าการยอมปล่อยตัวเองและคายักผ่านลงไปในแก่งเชี่ยวกรากน้ำกระจายแตกฟองสีขาวโดยไม่ได้ตรวจสอบเสียก่อนนั้นเป็นเรื่องดีและสมควรหรือไม่ รู้แค่ว่าการไม่รู้อะไรล่วงหน้าส่งผลให้ยอมเสี่ยงกระโจนลงไปหาความท้าทายเหล่านั้น กระเด้งกระดอนคลอนแคลนเพราะเรือถูกน้ำซัดต่างระดับจนน้ำกระฉอกเข้าเรือแทบครึ่งค่อนลำ ต่อเมื่อพ้นแก่งพวกนั้นมาได้จึงยิ้มกริ่มด้วยความสะใจ ไม่ใช่เพราะชะล่าใจว่าสามารถเอาชนะหรือต่อกรกับธรรมชาติได้ ทว่าเป็นความภูมิใจลึก ๆ ที่สามารถสะสมทักษะการพายเรือได้มากขึ้นอีกระดับหนึ่งแล้วนั่นเอง แต่สิ่งที่ตรงกันข้าม คือมีอย่างน้อยหนึ่งแก่งในวันนี้ที่ผมยอมเสียเวลากับการไปสำรวจโดยเทียบเรือแล้วเดินเลียบตลิ่งชันด้านข้าง เมื่อมองดูแก่งนั่นแล้วเกิดภาพน่ากลัวขึ้นในหัว กลายเป็นใจฝ่อไปเสียนั่น รำพึงในใจว่าถ้าไม่รู้เห็นก็สิ้นเรื่อง สู้ให้เรือพลิกคว่ำยังจะดีเสียกว่าไหม สรุปก็คือเมื่อภาพในหัวน่ากลัวกว่าความเป็นจริงผมก็เลยต้องยกสัมภาระทุกอย่างเลาะตลิ่งสูงดังกล่าว ลงไปยังท้ายแก่ง ในขณะที่บังบิ๊บอาจอาญกว่าผมหลายเท่า เขาอ่านทางน้ำแล้วตัดสินใจลุยและเขาก็ทำได้!

แล้วก็มาถึงจุดที่ผมได้รับประสบการณ์เรือคว่ำจนได้ ซึ่งก็ไม่ใช่แก่งใหญ่น่ากลัวแต่ประการใด ความท้าทายคือมันเป็นโค้งน้ำแคบหักศอก ต้องประคองตัวและวางตำแหน่งตัวเองให้ถูกต้องเพื่อให้สมดุล แต่ผมไม่รู้เทคนิค แค่แม่น้ำตบเบา ๆ ทำเอาเรือพลิก ทุกอย่างรวมทั้งตัวผมลอยตุ๊บป่อง ดีที่ใส่ชูชีพไว้ตามคำแนะนำของเพื่อน จึงลอยตัวได้สบาย พยายามคว้าเรือไว้ ส่วนรองเท้าแตะจำปล่อยให้ลอยหายไป บังบิ๊บตามมาช่วยด้วยอีกแรง เพราะถ้าเลยไปอีกหน่อยก็จะเจออีกแก่งหนึ่งแล้วนั่นเอง

โหดสุดของวันนี้คือมหาแก่ง แค่ระยะสั้น ๆ ราวยี่สิบเมตร แต่ต่างระดับราวห้าเมตรในแนวดิ่ง มันคือน้ำตกดี ๆ นี่เอง ที่สำคัญแก่งนี้ยังอยู่ในโตรกแคบ หมายถึงระดับความเผ็ดน่าจะถึงขั้นอุจจาระราดกันได้เลยทีเดียวหากริจะเล่นกับมัน ผมน่ะยอมศิโรราบแต่โดยดีอยู่แล้ว ในขณะที่บังบิ๊บเห็นว่าหากอุปกรณ์และทีมพร้อมเขาอยากวัดใจกับแก่งนี้ดูสักครั้ง ที่แน่ ๆ ไม่ใช่รอบนี้แน่นอน พวกเราจึงแบกเรือและสัมภาระลงไปยังท้ายแก่งกัน จากนั้นจึงประกอบทุกอย่างเข้าด้วยกันแล้วออกพายต่อ ผ่านจุดนี้มาแล้วแม่น้ำปัตตานีก็เปิดกว้าง โตรกผาค่อย ๆ หายไป กลายเป็นตลิ่งที่เห็นไกลออกไป แม่น้ำก็เปิดกว้างขึ้น ทว่าก็ยังคงมีแก่งให้ผ่านกันอีกหลายแก่ง อากาศเริ่มเย็น อาทิตย์ลับขอบฟ้า ความมืดเริ่มปกคลุมทั่วบริเวณ พวกเรายังคงไม่

ขอนแก่น - ประกาศยกเลิกการจัดงานสงกรานต์ทั้งหมดจากเดิมที่จะจัดถึงวันที่ 13 เม.ย. ขณะที่ บขส.ขอนแก่น เสริมเที่ยวรถรับรองประชาชนที่จะเดินทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์ คาดคนเดินทางลดลง

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 9 เม.ย.2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น ซึ่งล่าสุดขณะนี้ตรวจพบผู้ติดเชื้อรายใหม่รวม 11 ราย ยังพักรักษาตัวอยู่ที่ในโรงพยาบาล รวมผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 25 ราย ซึ่งจากสถานการณ์ดังกล่าวทางเทศบาลนครขอนแก่นได้ประกาศงดจัดงานประเพณีสุดยอดสงกรานต์อีสาน เทศกาลดอกคูนเสียงแคนและถนนข้าวเหนียวทั้งหมด ซึ่งจากเดิมได้มีการประกาศงดจัดเฉพาะถนนข้าวเหนียวและขบวนแห่นางสงกรานต์ ยังคงเหลือจัดกิจกรรมสืบสานประเพณี ในวันที่ 8-13 เม.ย.2564 ทำให้ล่าสุดทางเทศบาลนครขอนแก่นได้มีการประกาศยกเลิกการจัดงานทั้งหมด พร้อมทั้งยกเลิกการจัดถนนคนเดินออกไปอย่างไม่มีกำหนดจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น โดยจะได้นำเข้ามติที่ประชุมคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อจังหวัดขอนแก่นในช่วงบ่ายวันนี้และจะมีการประกาศออกมาอย่างเป็นทางการอีกครั้ง

ขณะที่บรรยากาศภายใน บขส.แห่งที่ 3 ถ.มิตรภาพ ในเขตเทศบาลนครอขอนแก่น พบว่ามีประชาชนยังคงทยอยเดินทางมาซื้อตั๋วขึ้นรถเดินทางไปยังจังหวัดต่างๆอย่างต่อเนื่อง โดยเจ้าหน้าที่ได้ตั้งจุดตรวจคัดกรองผู้โดยสารทุกคนที่มาใช้บริการบริเวณหน้าทางเข้าอย่างเข้มงวด ตั้งแต่การตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย ทุกคนจะต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ และสแกนคิวอาร์โค้ดไทยชนะหรือลงทะเบียนในแบบฟอร์มสำหรับผู้ที่ไม่มีสมาร์ทโฟน ขณะที่เจ้าหน้าที่ของสำนักงานขนส่งได้มีการตั้งจุดคัดกรองพนักงานขับรถทุกคนให้ปฏิบัติตามมาตรการการป้องกันโรคและตามกฎระเบียบของทางขนส่ง ทั้งการตรวจหาสารเสพติด การตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ การตรวจสุขภาพเบื้องต้นเพื่อให้พนักงานขับรถทุกคนให้บริการประชาชนได้อย่างปลอดภัย พร้อมทั้งตรวจเช็คสภาพรถทุกคันให้มีสภาพที่พร้อมให้บริการด้วย

นายชาญชัย แซ่ลั้ง ผู้ช่วยนายสถานีขนส่งผู้โดยสารแห่งที่ 3 จ.ขอนแก่น  กล่าสว่า ในช่วงนี้พบว่าจำนวนผู้มาใช้บริการยังเงียบอยู่ เพราะยังไม่ใกล้วันหยุดยาวช่วงเทศกาลสงกรานต์ แต่ทาง บขส.เอง ก็ได้เตรียมสำรองเที่ยวรถไว้รองรับประชาชนที่จะเดินทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ไว้เพียงพอ เพื่อป้องกันปัญหาผู้โดยสารตกค้าง แต่คาดว่า สงกรานต์ปีนี้ ผู้คนคงจะเดินทางกลับมาเล่นสงกรานต์ที่บ้านลดลง และขอความร่วมมือให้ผู้โดยสารทุกคนปฏิบัติตามมาตรการการป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด

นนทบุรี - แม่ค้าซื้อของเก่าพบลูกปืนคอ 82 ขณะกำแยกของ แจ้งชุดเก็บกู้ระเบิดตรวจสอบ

เมื่อเวลา 10.00น.วันที่ 9 เม.ย.64 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.รัตนาธิเบศร์ พร้อมเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้ระเบิด (อีโอดี) เข้าตรวจสอบที่บริเวณบ้านเช่าติดกัน 6 หลัง ประขานิเวศน์ 3 ซอย 10/1 ต.ท่าทราย อ.เมือง จ.นนทบุรี พบลูกปืนคอจำนวน 1ลูกลักษณะเก่าสนิมจับวางอยู่ข้างเสาไฟฟ้าหน้าบ้านเช่าดังกล่าว 

นาง เมธาวี  ธาราธรรมรัตน์ กล่าว่าตนมีอาชีพรับซื้อของเก่าไปซื้อแถวแจ้งวัฒนะมากองหน้าบ้านที่ตนเช่าอยู่ระหว่างกำลังแยกของเมื่อช่วงเช้าพบระเบิดอยู่ในกล่องกระดาษตกใจมากจึงนำไปวางไว้ตรงเสาไฟฟ้าหน้าบ้านและรีบโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้มาตรวจสอบ

หลังจากเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้ระเบิด(อีโอดี) มาถึงและตรวจสอบอย่างละเอียดจึงพบว่า วัตถุดังกล่าวเป็นเป็นลูกกระสุนปืนคอ 82 อานุภาพการทำลายล้างสูงหากใช้การได้  และจากการตรวจสอบพบว่าลูกปืนคอดังกล่าวยังอยู่ในสภาพที่ไม่สมบูรณ์ และไม่สามารถระเบิดขึ้นได้ ล่าสุดเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถูระเบิด (EOD) ได้ทำการเก็บกู้เพื่อนำไปทำลายต่อ


ภาพ/ข่าว กำพลศิลป์ วงษ์เดือน

เชียงราย - สสส. ผนึก 5 หน่วยงานภาครัฐ-เอกชน-ประชาสังคม MOU ขยายผลห้องเรียนสู้ฝุ่น 41 โรงเรียนใน จ.เชียงราย พร้อมมอบรางวัลโรงเรียนต้นแบบห้องเรียนสู้ฝุ่น

ด้านผู้ว่าฯ เชียงราย ชื่นชม นวัตกรรม “ห้องเรียนสู้ฝุ่น” สสส. ทำให้เด็กรู้ภัยอันตราย PM2.5 สู่การเป็น “พลเมืองใหม่” ส่งต่อความรู้สู่ชุมชน ลดวิกฤตฝุ่นควันปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพอย่างยั่งยืน เตรียมขยายครอบคลุมทุกจังหวัดในภาคเหนือ

เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2564 เวลา 10.30 น. ที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ 5 หน่วยงาน ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ห้างหุ้นส่วนจำกัด เติมเต็มวิสาหกิจเพื่อสังคม สภาลมหายใจจังหวัดเชียงราย สมาคมยักษ์ขาว และสมาคมสมัชชาสุขภาพจังหวัดเชียงราย ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการพัฒนาต่อยอดและขยายผล “ห้องเรียนสู้ฝุ่นในบทบาทองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและประชาสังคม จังหวัดเชียงราย” พร้อมมอบรางวัลและเกียรติบัตรแก่โรงเรียนในโครงการห้องเรียนสู้ฝุ่น 10 โรงใน จ.เชียงราย ต้นแบบการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาวิกฤตฝุ่น PM2.5 อย่างเป็นรูปธรรม ก่อให้เกิดความร่วมมือและเปลี่ยนแปลงค่านิยมในชุมชน

นายประจญ ปรัชญ์สกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า ในปี 2562 จ.เชียงรายเป็นจังหวัดที่พบจุดความร้อนและพื้นที่เผาไหม้น้อยที่สุดใน 9 จังหวัดภาคเหนือ จึงไม่ใช้สาเหตุหลักของค่าฝุ่นในพื้นที่ แต่ด้วยทิศทางลมที่พัดฝุ่นควันจากการเผาในพื้นที่โล่งของประเทศข้างเคียง อย่างเช่น เมียนมา ลาวเข้ามา พร้อมกับสภาพอากาศที่นิ่งและความกดอากาศสูงทำให้เกิดการขังตัวของฝุ่น PM2.5 ช่วงเดือนมกราคม-เดือนเมษายนของทุกปี เป็นช่วงที่วิกฤตที่สุดของจังหวัดเชียงราย เพราะมีฝุ่น PM2.5 เกินมาตรฐาน ทำให้มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ และอาการระคายเคืองตาที่โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ เฉลี่ย 2,200 คนต่อวัน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ เด็ก และเยาวชนในพื้นที่ จ.เชียงราย ร่วมกับ สสส. ดำเนินโครงการห้องเรียนสู้ฝุ่น ตั้งแต่ พ.ศ. 2563 มีโรงเรียนระดับชั้นประถมศึกษาเข้าร่วม 10 โรง “ห้องเรียนสู้ฝุ่น” ถือเป็นนวัตกรรมองค์ความรู้ ที่ทำให้เด็ก และคนในชุมชนรับมือกับผลกระทบจากฝุ่น PM2.5 ที่เกิดจากการเผาในพื้นที่โล่งได้ และทางเชียงรายมุ่งสร้าง “พลเมืองใหม่” ที่สามารถสื่อสารสร้างความตระหนักรู้แก่คนในชุมชนถึงผลกระทบต่อสุขภาวะจากฝุ่น PM2.5 จนเกิดเป็นการเปลี่ยนค่านิยมลดการเผานา-ไร่ในพื้นที่ได้

นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า การลงนาม MOU ครั้งนี้ เป็นการพัฒนาต่อยอดและขยายผลห้องเรียนสู้ฝุ่นในโรงเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาในสังกัด อบจ.เชียงรายทั้งหมด 41 โรง รวม จ.เชียงรายมี 51 โรง โดยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการศึกษา ภาคประชาสังคม ร่วมกันสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับ “มลพิษทางอากาศ ฝุ่นควัน และมลพิษข้ามแดน” โดยการเสริมสร้างทรัพยากรด้านความรู้ พัฒนากลไกการมีส่วนร่วม พัฒนาบุคลากรทางการศึกษาให้มีศักยภาพในการสร้างกิจกรรมเสริมหลักสูตร การเรียนรู้ในโรงเรียน รวมถึงพัฒนาเยาวชน และประชาชนทั่วไปให้สามารถรู้เท่าทันภัยฝุ่น PM2.5 และสื่อสารส่งต่อองค์ความรู้สู้ภัยฝุ่น เพื่อลดผลกระทบต่อสุขภาวะเด็กและประชากรในจังหวัดเชียงรายได้

นายชาติวุฒิ วังวล ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ สสส. กล่าวว่า ปัญหาฝุ่น PM2.5 ถือเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อสุขภาพของประชาชนโดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน สสส. จึงร่วมสานพลังกับภาควิชาการ ภาครัฐ และภาคประชาสังคม ขับเคลื่อนการทำงานตั้งแต่ระดับพื้นที่ไปจนถึงระดับนโยบายเพื่อเร่งแก้ไขปัญหา มุ่งเน้นสร้างความตระหนักและให้ความรู้แก่กลุ่มเด็กและเยาวชน ผ่านการเรียนการสอนในโครงการห้องเรียนสู้ฝุ่น ที่ผ่านมา สสส. และภาคีเครือข่ายนำหลักสูตรห้องเรียนสู้ฝุ่นไปใช้ในจังหวัดแพร่ เชียงราย และแม่ฮ่องสอน จำนวน 30 โรง และเตรียมขยายผลไปยังโรงเรียนจังหวัดอื่น ๆ ภาคเหนือ เพื่อให้เด็กมีค่านิยมและจิตสำนึกไม่เผานา เผาไร่ จนเกิดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้ พร้อมทำหน้าที่ส่งต่อข้อมูลให้กับผู้ปกครอง ครอบครัว และชุมชน เพื่อเป็นการสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน นอกจากนี้กลุ่มผู้นำชุมชนรวมไปถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ให้ความสำคัญขับเคลื่อนนโยบายเพื่อเอื้อต่อการลดปัญหาฝุ่น PM2.5 อย่างยั่งยืน

ต่อมาเวลา 14.00 น. คณะกรรมการบริหารแผนคณะที่ 2 สสส. นำโดยนายชาญเชาวน์     ไชยานุกิจ รองประธานคณะกรรมการบริหารแผนคณะที่ 2 สสส. พร้อมด้วยนายชาติวุฒิ วังวล ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ สสส. ลงพื้นที่ศึกษาการดำเนินงาน “ห้องเรียนสู้ฝุ่น” สนับสนุนโดย สสส. ที่โรงเรียนบ้านป่าแฝ-หนองอ้อ-สันทรายมูล อ.แม่สาย จ.เชียงราย 1 ใน 10 โรงเรียนต้นแบบห้องเรียนสู้ฝุ่น จ.เชียงราย 

โดย ดร.พัชรินทร์ จันทาพูน ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านป่าแฝ-หนองอ้อ-สันทรายมูล กล่าวว่า โรงเรียนบ้านป่าแฝฯ เคยประสบกับปัญหาฝุ่นควันจนต้องหยุดทำการเรียนการสอน แต่เมื่อได้เข้าร่วมโครงการห้องเรียนสู้ฝุ่นในเดือนตุลาคม 2563 ทางโรงเรียนได้เพิ่มกิจกรรม “ห้องเรียนสู้ฝุ่น” เสริมหลักสูตรการเรียนการสอนแบบบูรณาการ ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ตลอดระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา เด็ก ๆ มีความรู้สามารถอ่านค่าจากเครื่องวัดค่าฝุ่น และติดธงสีต่าง ๆ เพื่อแจ้งเตือนสถานการณ์ 2 ครั้งต่อวัน คือ ในช่วงเช้าและเที่ยง หากแกนนำนักเรียนปักธงสีแดง หมายถึง มีค่าฝุ่น PM2.5 ตั้งแต่ 91 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรขึ้นไป เด็กนักเรียนจะงดกิจกรรมกลางแจ้ง พร้อมกันนี้ยังได้นำความรู้เรื่องการไม่เผานา-ไร่ ส่งต่อยังผู้ปกครอง แนะนำการกำจัดฟางข้าวด้วยการหมักทำปุ๋ยทดแทนการเผา เพื่อป้องกันการเกิดฝุ่นควันในพื้นที่

พังงา - ททท.พังงาชูท่องเที่ยวชุมชน เปิดตัวแคมเปญ "Amazing Thailand enjoy Local" แจกคูปอง1000บาท ดึงชาวต่างชาติในประเทศไทยกลุ่มเอ็กซ์แพต (expat) เข้าเที่ยวในพื้นที่

ที่โรงแรม ลา ฟลอรา รีสอร์ท & สปา เขาหลัก อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา  นายจำเริญ ทิพญพงศ์ธาดา ผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา นายชูชาติ อ่อนเจริญ ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานพังงา และนายสมพร สาระการ ประธานเครือข่ายท่องเที่ยวชุมชนฝั่งอันดามัน ร่วมแถลงข่าวเปิดตัวแคมเปญ "Amazing Thailand enjoy Local" เพื่อดึงตลาดชาวต่างชาติที่อยู่ในประเทศไทยกลุ่มเอ็กซ์แพต (expat) ช่วงสภาวการณ์ปิดการเดินทางระหว่างประเทศ มอบส่วนลดแพคเกจท่องเที่ยวชุมชน พร้อมรับ Free Voucher มูลค่า 1,000 บาท

เนื่องจากสถานการณ์ปิดการเดินทางระหว่างประเทศ นักท่องเที่ยวต่างชาติยังไม่สามารถเดินทางเข้ามาเที่ยวในประเทศไทยได้ในระยะนี้ นอกจากการกระตุ้นให้คนไทยเกิดการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศแล้ว อีกกลุ่มที่น่าสนใจคือตลาดต่างชาติที่อยู่ในประเทศไทย หรือที่เรียกว่ากลุ่มเอ็กซ์แพต (expat) คือ กลุ่มชาวต่างชาติที่ทำงานหรือศึกษาต่ออยู่ในประเทศไทย ปัจจุบันมีจำนวนมากกว่า 1.8 แสนคน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพและกำลังซื้อและมีศักยภาพในการเดินทางท่องเที่ยวสูง ทำให้กลุ่ม Expat มีความสำคัญอย่างยิ่งในเวลาที่ไม่สามารถเปิดการเดินทางระหว่างประเทศได้แบบมีเงื่อนไขที่จะมาถึง นอกจากนี้กลุ่ม Expat ยังมีศักยภาพในฐานะที่เป็นผู้สื่อสารออกไปได้ทั่วทุกประเทศทั่วโลกเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศด้วย

โดยปกตินักท่องเที่ยวกลุ่มเอ็กซ์แพต (expat) จะนิยมเดินทางแบบอิสระด้วยตัวเองเหมือนกับคนไทย แต่ต้องมีค่าใช้จ่ายในการเข้าสู่สถานที่ท่องเที่ยวที่แพงกว่าคนไทย ทำให้นักท่องเที่ยวกลุ่ม Expat ตัดสินใจเดินทางได้ยากขึ้น หากสามารถจัดแพคเกจเดินทางท่องเที่ยวที่ค่อนข้างยืดหยุ่นและสามารถรับส่วนลดพิเศษก็อาจดึงดูดความสนใจของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ได้มากขึ้น ดังนั้น ททท.สำนักงานพังงา จึงได้กำหนดจัดโครงการ Amazing Thailand Enjoy Local เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวกลุ่ม Expat ให้เดินทางมาท่องเที่ยวจังหวัดพังงาและส่งเสริมให้เกิดการใช้จ่ายต่อทริปเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการท่องเที่ยวภายหลังสถานการณ์โควิด-19 คำนึงถึงความปลอดภัยด้านสุขอนามัยตามมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุข โดยททท.สำนักงานพังงาร่วมกับพันธมิตรโรงแรมระดับพรีเมี่ยมและโรงแรมระดับ Inter chains จำนวน 15 แห่ง จัดทำแพคเกจนำเที่ยวเสนอขายผ่านประสบการณ์ท่องเที่ยวชุมชนในจังหวัดพังงาจำนวน 8 แห่ง โดยได้มอบส่วนลดแพคเกจท่องเที่ยวชุมชนในจังหวัดพังงาสำหรับนักท่องเที่ยวกลุ่ม EXPAT และผู้เข้าพักอื่นๆ "FREE VOUCHER มูลค่า 1,000 บาท ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด 1 VOUCHER สำหรับผู้เข้าพัก 1 ห้อง ต่อ 2 ท่าน ซึ่งมีจำนวนจำกัดเพียง 1,500 ใบเท่านั้น ใช้ได้ตั้งแต่วันที่ 8 เมษายน - 30 มิถุนายน 2564 โดยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยว expat เดินทางเข้าจังหวัดพังงาไม่ต่ำกว่า 1,500 คน และสร้างรายได้ไม่ต่ำกว่า 5 ล้านบาท

ทั้งนี้ สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ททท.สำนักงานพังงา หมายเลขโทรศัพท์ โทรฯ 0-7641-3400-2การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท)


ภาพ/ข่าว  อโนทัย  งานดี  

เชียงราย - สสส.-กพย. ชู กลุ่มงานเภสัชกรรมและคุ้มครองผู้บริโภค รพ.สมเด็จพระยุพราชเชียง เป็นต้นแบบอำเภอขับเคลื่อนการใช้ยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพเหมาะสม-ปลอดภัย ลุยแก้เครื่องสำอางค์-ยาอันตรายในชุมชน-ปัญหายาชายแดนสำเร็จ

เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2564 ที่โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชเชียงของ จ.เชียงราย คณะกรรมการบริหารแผนคณะที่ 2 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) นำโดยนายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ รองประธานคณะกรรมการบริหารแผนคณะที่ 2 สสส. พร้อมด้วยนายชาติวุฒิ วังวล ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ สสส. ลงพื้นที่ศึกษาดูงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพและระบบยา : อำเภอเชียงของ พบการดำเนินงานเข้มแข็งและสอดรับกับแนวทางการดำเนินงานของ สสส. พร้อมหนุน “กลุ่มงานเภสัชกรรมและคุ้มครองผู้บริโภค รพ.สมเด็จพระยุพราชเชียงของ” สู่การขับเคลื่อนอำเภอต้นแบบการใช้ยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพอย่างสมเหตุผลและปลอดภัย

นายชาติวุฒิ วังวล ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ สสส. กล่าวว่า ปัญหาผลิตภัณฑ์สุขภาพที่เป็นอันตราย และการใช้ที่ไม่เหมาะสมจากการได้ข้อมูลและความรู้ความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องของผู้บริโภค เป็นปัญหาที่นำไปสู่การผลกระทบต่อสุขภาพและสูญเสียค่าใช้จ่ายของประชาชน  สสส. จึงมียุทธศาสตร์ในการสร้างความเข้มแข็งให้กับกลไกการคุ้มครองผู้บริโภค เพื่อให้ประชาชนมีความสามารถและมีระบบและสังคมช่วยลดปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ โดยสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพองค์กรภาคประชาชนให้สามารถคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพได้อย่างมีคุณภาพ รวมถึงสนับสนุนการพัฒนามาตรการควบคุมเฝ้าระวังสินค้าและบริการที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพประชาชน เช่น ปัญหาจากสารเคมีในผลิตภัณฑ์อาหาร ยา ที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค อีกทั้งได้ร่วมกับศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) สร้างความเข้มแข็งของกลไกเฝ้าระวังระบบยาในระดับพื้นที่และระดับภาค  สร้างและจัดการความรู้เพื่อการเฝ้าระวัง เตือนภัยสังคม เพื่อลดอันตรายจากความเสี่ยงดังกล่าว

“จากข้อมูลการเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์สุขภาพหรือยาที่ไม่เหมาะสมจากต่างประเทศ (ยาชายแดน) ในพื้นที่  อ.เชียงของ จ.เชียงราย ตั้งแต่ พ.ศ. 2557-2562 โดยกลุ่มงานเภสัชกรรมและคุ้มครองผู้บริโภค รพ.สมเด็จพระยุพราชเชียงของ พบว่า ยาที่มีการจำหน่ายมาก 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.ยากลุ่มสเตียรอยด์ (Dexamethasone Prednisolone) 2.ยาแก้ปวดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ 3.สเตียรอยด์ครีมสำหรับเป็นเครื่องสำอางค์ 4.สเตียรอยด์ครีมสำหรับใช้ทั่วไป และ 5.ยาสมุนไพรผสมสเตียรอยด์ ปัจจัยที่ซื้อบริโภค แบ่งเป็น 3 กลุ่มได้แก่ 1. กลุ่มผู้สูงอายุและใช้แรงงานใช้ยาสเตียรอยด์แก้ปวดเพื่อให้สามารถทำงานต่อได้ 2. กลุ่มวัยรุ่นใช้ยาครีมสเตียรอยด์ทาเพื่อให้ผิวขาว และ 3. กลุ่มประชาชนทั่วไปใช้ยาครีมสเตียรอยด์ในการแก้แพ้ แก้คัน จากกลไกการเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์สุขภาพหรือยาที่ไม่เหมาะสมจากต่างประเทศ (ยาชายแดน) ของกลุ่มงานเภสัชกรรมฯ ทำให้ผลิตภัณฑ์ยาต้นเหตุที่ก่อให้เกิดปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพในพื้นที่เชียงของ ลดลงจากร้อยละ 100 ใน พ.ศ. 2557 เหลือร้อยละ 20 ใน พ.ศ. 2562  ซึ่งเป็นการดำเนินงานที่เข้มแข็งสอดรับกับแนวทางการดำเนินงานของ สสส. จึงขอยกระดับกลุ่มงานเภสัชกรรมฯ สู่การเป็น “อำเภอต้นแบบการใช้ยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพอย่างสมเหตุผลและปลอดภัย” นายชาติวุฒิ กล่าว

ภก.อิ่นแก้ว สิงห์แก้ว เภสัชกรชำนาญการกลุ่มงานเภสัชกรรมและคุ้มครองผู้บริโภค รพ.สมเด็จพระยุพราชเชียงของ กล่าวว่า ปัญหาการใช้ยาสเตียรอยด์อาจส่งผลให้เกิดผู้ป่วยโรคไต และเสียชีวิตจากอาการไตวายเฉียบพลัน จากการลงพื้นที่เยี่ยมบ้านของผู้ป่วย ของกลุ่มงานเภสัชกรรมและคุ้มครองผู้บริโภค รพ.สมเด็จพระยุพราชเชียงของ ร่วมกับทีมสหวิชาชีพ พบว่า มีผลิตภัณฑ์ยาที่มีฉลากที่ไม่ใช่ภาษาไทยและยาแก้ปวดกลุ่มสเตียรอยด์ที่บ้านผู้ป่วยหลายราย และเมื่อลงพื้นที่สำรวจและพูดคุยกับคนผู้ขายในพื้นที่ใกล้เคียง เช่น อำเภอเวียงแก่น พบว่า ยาส่วนหนึ่งนำเข้าจากต่างประเทศมาจำหน่ายในตลาดนัดชายแดน ตลาดนัดพื้นที่ใกล้เคียง และกระจายวงกว้างไปยังจังหวัดอื่น ๆ รวมถึงในกรุงเทพฯ ผ่านรถประจำทาง ขนส่งเอกชนและทางพัสดุไปรษณีย์

“การดำเนินการคุ้มครองสุขภาพประชาชนและแก้ไขปัญหาการใช้ยาสเตียรอยด์ที่ไม่เหมาะสมในชุมชน มีวิธีการทำงานแบบคู่ขนาน คือ การให้ความรู้ในชุมชนควบคู่ไปกับการใช้มาตรการทางกฎหมาย โดยประสานงานกับเจ้าของตลาดและประชาสัมพันธ์ให้ผู้ค้าในตลาดรับทราบถึงผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยง ร่วมกับเจ้าหน้าที่ รพ.สต. ลงพื้นที่เยี่ยมบ้าน ให้ความรู้ในโรงเรียนผู้สูงอายุ และร่วมกับ อสม. เฝ้าระวังผลิตภัณฑ์ไม่เหมาะสมในชุมชน สำรวจร้านชำ รวมถึงการ MOU ร่วมกับหน่วยงานทางปกครอง ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ด่าน อย. เชียงของ ด่านควบคุมโรคเชียงของ รพ.สต. และประเทศเพื่อนบ้าน ในการเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์ข้ามแดนระหว่าง 2 พื้นที่ ไทย-ลาว เพื่อป้องกันควบคุมการลักลอบนำเข้าและการจำหน่ายในพื้นที่  ซึ่งทาง สสส. จัดเวทีให้มีพื้นที่แลกเปลี่ยนงานวิชาการต่าง ๆ ผ่านทางศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) อย่างต่อเนื่อง ทำให้การเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์สุขภาพหรือยาที่ไม่เหมาะสมจากต่างประเทศ (ยาชายแดน) มีการขยายพื้นที่การทำงานไปได้มากขึ้น จากเดิมที่เริ่มต้นในสามพื้นที่ ปัจจุบันได้ขยายไปครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศไทย” ภก.อิ่นแก้ว กล่าว

ด้าน นายธนชัย ฟูเฟื่อง สมาคมประชาสังคมเพื่อการพัฒนา กล่าวว่า สมาคมฯ ดำเนินงานด้านคุ้มครองสิทธิ์ผู้บริโภค สสส.ได้ร่วมสนับสนุนการยกระดับความเข้มแข็งให้เป็นองค์กรผู้บริโภคที่มีคุณภาพ ผ่านกลไกสนับสนุนในภาคเหนือ ทำหน้าที่เฝ้าระวังและรับเรื่องร้องเรียนที่เกี่ยวข้องกับประเด็นอาหาร ยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ ให้คำปรึกษาให้ความรู้กับประชาชน ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยเหลือเยียวยา รวมถึงดำเนินงานเชิงรุกร่วมกับ กพย. ทำให้ได้รับการพัฒนาความรู้ด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพ ยาอันตราย บทบาทการเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพในพื้นที่ เฝ้าระวังโฆษณาทางวิทยุ รวมถึงการทำงานร่วมกับเภสัชด้านคุ้มครองผู้บริโภค ที่ กพย. ได้ช่วยในการให้มีกระบวนการดำเนินงานร่วมกัน ถือเป็นการเชื่อมโยงกับองค์กรปกครองท้องถิ่น หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ความสำคัญกับการดำเนินงานด้านการคุ้มครองผู้บริโภคทุกมิติ

ราชบุรี – แห่ชื่นชมครูหนุ่มที่สละเงินเดือนและทำไร่หาเงินซื้อคอมให้นักเรียนมาตลอด 10 ปี

แห่ชื่นชม!! ครูหนุ่ม โรงเรียนวัดเขาวัง ราชบุรี ที่สละเงินเดือนซื้อ คอมพิวเตอร์แบบโน้ตบุ๊ก ราคากว่าหมื่นบาท ให้นักเรียนที่เรียนดีแต่ขาดทุนทรัพย์ ได้ใช้ประโยชน์ในการเรียน และ หารายได้ระหว่างเรียน มาตลอด 10 ปี โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนขอเพียงเป็นเด็กดี ตั้งใจเรียนและทำประโยชน์มีโอกาสช่วยเหลือน้อง ๆ ที่ด้อยโอกาส

(9 เมษายน 2564) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าโลกโซเชียลในจังหวัดราชบุรี ได้กล่าวชื่นชม ครูหนุ่มนายหนึ่งของโรงเรียนวัดเขาวัง (แสง ช่วงสุวนิช) เขตเทศบาลเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี ที่ยอมสละเงินเดือนของตนเองเพื่อจัดซื้อ คอมพิวเตอร์แบบโน้ตบุ๊ก ที่มีราคาชุดละ 15,000 – 19,000 บาท เพื่อให้นักเรียนที่เรียนดีแต่ขาดทุนทรัพย์ เพื่อใช้ในการเรียนการสอน และ เพื่อเป็นอุปกรณ์ใช้ในการหารายได้ระหว่างเรียน

โดยผู้ใช้บริการ Facebook ชื่อ นวพร ช่างพานิช หรือ ด.ญ.นวพร ช่างพานิช ได้ออกมาเผยเรื่องราวความประทับใจของครูหนุ่มนายดังกล่าวที่ให้โอกาสตนเองจนเรียนจบ ซึ่งได้ระบุใจความว่า “หนูขอขอบคุณคุณครูโอ้น สมไชย กระต่ายทอง ที่ได้ไห้ประสบการณ์ต่าง ๆ ตั้งแต่สมัยหนูเข้าเรียน ม.1 หนูไม่รู้จักครู ครูไม่รู้จักหนู แต่ครูก็ยังให้คอมพิวเตอร์แบบโน้ตบุ๊ก เพื่อให้หนูใช้ในการเรียนเป็นแบบจอสัมผัสด้วย หนูได้พัฒนาทักษะทางด้านการเขียนโปรแกรมสร้างเกมอย่างสร้างสรรค์ อีกยังใช้ในการเรียนรู้ได้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น คุณครูสมไชย กระต่ายทอง มอบโอกาสกับหนูและเพื่อน ๆ ให้โอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาตนเองโดยมีครูคอยแนะนำชี้แนะแนวทางต่าง ๆ เป็นผู้เพิ่มเติมในสิ่งที่หนูขาดให้สมบูรณ์และมีศักยภาพมากยิ่งขึ้น ตอนนั้นกลัวมาก ๆ ว่า จะสร้างเกมไม่ได้ ครูก็ให้กำลังใจและแนะนำจุดอ่อนจุดแข็งพัฒนาหนูจนผ่านไปได้ด้วยดี สุดท้ายนี้ หนูอยากจะบอกกับครูว่า ครูเป็นครูที่ดีที่สุดเลย ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดหนูจะจดจำทุก ๆ อย่างที่นี่ไว้เสมอ ขอบคุณคะครู #บันทึกไว้ในความทรงจำ #ขอบคุณตลอดระยะเวลา 3 ปี

ส่วน ผู้ใช้บริการ Facebook  ชื่อ  Pim Amporn หรือ ด.ญ.อัมพรพิมพ์ จันทร์ประทุม โพสต์ข้อความว่า “หนูขอบคุณสำหรับโอกาสดี ๆ ทุกอย่างที่คุณครูมอบให้ทั้งประสบการณ์ในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ที่ไม่เคยเจอมาก่อน พอได้มีโอกาสมาเรียนรู้กับคุณครู ได้ลงมือทำอะไรเอง ได้รู้จักการแก้ปัญหาด้วยตัวเอง และนอกจากครูจะเป็นผู้มอบโอกาสให้หนูแล้วครูยังเป็นผู้ให้ที่ดีเสมอมา “โน้ตบุ๊ก” ที่คุณครูได้ให้มาใช้ในการเรียน ฝึกฝนทักษะต่าง ๆ ตั้งแต่ ม.1 จนได้มีความรู้ ได้รับรางวัลมามากมาย สุดท้ายนี้หนูขอขอบคุณคุณครูที่เป็นผู้ให้ ทั้งความรู้และโอกาสในการพัฒนาตัวเอง รวมไปถึงคำแนะนำต่าง ๆ หนูขอขอบคุณคุณครูสำหรับทุกการสนับสนุนค่ะ สมไชย กระต่ายทอง ต่อไปนี้หนูจะไปศึกษาต่อที่อื่นแล้วแต่ก็จะแวะมาให้กำลังใจครูบ่อย ๆ นะคะ

ซึ่งเรื่องราวดังกล่าวได้ถูกเผยแพร่ผ่านโลกโซเชียลในสังคมคนราชบุรี และมีการกล่าวชื่นชม ครูสมไชย กระต่ายทอง กันจำนวนมาก ซึ่งเป็นครูผู้เสียสละโดยการซื้อ คอมพิวเตอร์แบบโน้ตบุ๊ก ให้นักเรียนจนได้ใช้จนจบการศึกษา

ผู้สื่อข่าวจึงเดินทางไปยังโรงเรียนดังกล่าว คือ โรงเรียนวัดเขาวัง (แสง ช่วงสุวนิช) เขตเทศบาลเมืองราชบุรี ตั้งอยู่ที่เชิงเขาวัง ต.หน้าเมือง อ.เมือง จ.ราชบุรี พบกับ เจ้าของโพสต์ดังกล่าว ด.ญ.นวพร ช่างพานิช นักเรียน ม.3/4 ชาว ต.คูบัว อ.เมือง, ด.ญ.อัมพรพิมพ์ จันทร์ประทุม นักเรียน ม.3/3 ชาว ต.หน้าเมือง อ.เมือง, ด.ญ.ภาศิณี หาโอกาส นักเรียน ม.3/2 ต.เจดีย์หัก อ.เมือง และ นางสาวสุกัญญา ศรีคง ครูฝึกสอน ชาว ต.เกาะพลับพลา อ.เมือง จ.ราชบุรี ซึ่งทั้ง 4 คน เป็นนักเรียนทีได้รับเครื่องคอมพิวเตอร์แบบโน้ตบุ๊ก ที่ นายสมไชย กระต่ายทอง ครูผู้สอนคอมพิวเตอร์ชั้นมัธยมศึกษาโรงเรียนวัดเขาวัง (แสง ช่วงสุวนิช)

โดยทั้ง 4 คนต่างเล่าถึงเรื่องราวที่ตนเองได้รับโอกาสจากครูสมไชย นายนี้ว่า เมื่อครั้งที่ตนเองได้เข้ามาเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยที่ครอบครัวมีฐานะปานกลางแต่ยังไม่มีกำลังที่จะซื้อ คอมพิวเตอร์ แต่ปรากฏว่า ได้รับอากาศจากคุณครูสมไชย ที่ทราบว่าพวกตนไม่มีคอมพิวเตอร์ใช้ ซึ่งคุณครูก็ได้ซื้อให้ไว้ใช้ โดยบอกกับพวกตนว่า “รักษาไว้ให้ดี ใช้ให้เกิดประโยชน์” ซึ่งหลังจากที่พวกตนได้ คอมพิวเตอร์แบบโน้ตบุ๊กมา ก็ได้นำมาใช้ประกอบการเรียน และ นำไปทำงานด้วยการรับจ้างพิมพ์รายงานต่าง ๆ และ ออกแบบเกมส์ประกอบการเรียนการสอน เพื่อหารายได้ระหว่างเรียน และที่สำคัญพวกตนไม่คิดว่าจะได้รับโอกาสแบบนี้ เพราะไม่เห็นมีครูท่านไหนที่ใช้เงินส่วนตัวซื้อให้กับนักเรียนแบบนี้ พวกตนต้องกราบขอบพระคุณคุณครูสมไชย กระต่ายทอง เป็นอย่างมาก คุณครูที่เป็นผู้ให้ ทั้งความรู้และโอกาสในการพัฒนาตัวเอง รวมไปถึงคำแนะนำต่าง ๆ ต่อไปนี้หนูจะไปศึกษาต่อที่อื่นแล้วแต่ก็จะแวะมาให้กำลังใจครูบ่อย ๆ

ผู้สื่อข่าวจึงได้ติดต่อขอสัมภาษณ์กับครูนายดังกล่าว ทราบชื่อคือ นายสมไชย  กระต่ายทอง หรือ ครูโอ้น เป็นคน ต.ปากช่อง อ.จอมบึง จ.ราชบุรี ปัจจุบันเป็นครูผู้สอนคอมพิวเตอร์ชั้นมัธยมศึกษา โรงเรียนวัดเขาวัง (แสง ช่วงสุวนิช) เขตเทศบาลเมืองราชบุรี

ครูโอ้น เปิดใจกับผู้สื่อข่าวว่า จากประสบการณ์สอนตนพบว่านักเรียนแต่ละคนต้องการการสนับสนุนด้านศักยภาพส่วนบุคคลที่ไม่เหมือนกัน และมีปัจจัยพื้นฐาน ต้นทุนทางครอบครัวที่ต่างกัน ตนจึงมีแนวคิดที่ว่า ถ้าเราพอมีพอใช้บ้างแล้วและสามารถที่จะร่วมกันช่วยแม้เพียงนิดหน่อย หรือเริ่มจากที่อยู่ใกล้ๆตัวเรา จะเป็นการส่งเริมและเปลี่ยนแปลงชีวิตเด็ก ๆ ได้ ด้วยแรงเราอาจจะไม่สามารถช่วยได้ทุกคน แต่ถ้าเราทุกคนร่วมช่วยกันคนละนิด ไม่คิดคาดหวังผลตอบแทน จะเกิดผลที่ดีกับนักเรียนหลายคน จะได้เติมเต็มความฝัน ประสบความสำเร็จ เติบโตขึ้นและมีความสุข จากการมอบให้และได้รับ เกิดการเติมเต็มให้สังคมของเรา

ครูโอ้น  กล่าวต่อว่า ในส่วนของตนเองพอที่จะช่วยได้และไม่ได้ทำให้เดือดร้อนมากก็ได้เริ่มช่วยนักเรียนตามสมควร โดยเริ่มจากเมื่อประมาณ 10 ปี ตอนสมัยอยู่ รร.วัดดอนตลุง อ.เมือง ได้พบนักเรียนที่สนใจด้านคอมพิวเตอร์มีความรู้ที่ครูได้มอบให้ แต่ขาดอุปกรณ์เพื่อเข้าไปเสริมไปพัฒนาขีดความสามารถและอาจจะต่อยอดเป็นอาชีพ ตอนนั้นตนเองรู้สึกว่าเราพอมีเงินเดือน ถ้าได้แบ่งไปให้นักเรียนคนที่มีขาดแคลนและควรได้ได้รับการสนับสนุน จึงได้เริ่มทำเงียบ ๆ อย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันที่โรงเรียนวัดเขาวัง(แสง ช่วงสุวนิช) โดยนำเงินเดือนส่วนหนึ่ง และปีไหนเงินไม่พอก็จะกลับไปทำไร่ที่บ้าน แล้วนำเงินที่ได้มารวบรวมซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์แบบโน้ตบุ๊ก ให้กับนักเรียน ราคาเรื่องละประมาณ 15,000 บาท บางปีจะสูงถึง 19,000 บาท 1 ปี จะได้ประมาณ 3-4 เครื่อง ซึ่งทำมาตลอด 10 ปี หลังจากที่ซื้อและมอบให้นักเรียนไป พบว่าทุกคนสามารถใช้อย่างคุ้มค่าเกิดประโยชน์ต่อตัวเองและประสบความสำเร็จทางการศึกษา หลาย ๆ คนสามารถคว้าทุนการศึกษาหรือนำไปรับทำงานพิเศษด้านคอมพิวเตอร์สร้างรายได้เสริมช่วยแบ่งเบาภาระของครอบครัวได้อีกทางหนึ่ง

ครูโอ้น กล่าวทิ้งท้ายว่า สิ่งที่ตนเองมอบให้นักเรียนไปตนไม่เคยขอคืน โดยให้ไปเลยฟรี ๆ ตนอยากให้นักเรียนได้รับโอกาสเหมือนเพื่อน บางคนไม่มีเงิน บ้านที่ตนเองไปเยี่ยม ส่วนใหญ่บ้านจะยากจน บางรายพ่อแม่หาเช้ากินค่ำ ไม่เงินให้ลูกซื้อคอมพิวเตอร์แบบโน้ตบุ๊ก ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ที่ตนได้ใช้เงินส่วนตัวซื้อและมอบให้นักเรียนไป ได้เห็นนักเรียนประสบความสำเร็จ ตนก็ดีใจและภูมิใจที่สุด โดยที่ตนเองไม่หวังสิ่งตอบแทนขอเพียงเป็นเด็กดี ตั้งใจเรียนและทำประโยชน์มีโอกาสช่วยเหลือน้อง ๆ ที่ด้อยโอกาสแบบนี้บ้าง


ภาพ/ข่าว  ตาเป้ จ.ราชบุรี

บึงกาฬ - หน่วยเรือ นรข.ยึดไอซ์กลางน้ำโขง 36 กก.มูลค่า 10 ล้าน

เมื่อเวลา 07.30 น วันที่ 8 เม.ย.จากการสืบทราบของ นาวาเอกราฆพ เทวะประทีป ผบ.นรข.เขตหนองคาย ว่าจะมีการลักลอบนำยาเสพติดเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้านเพื่อส่งมอบให้กับพ่อค้าชาวไทยบริเวณริมโขงบ้านท่าไคร้ หมู่ที่ 5 ต.บึงกาฬ อ.เมืองบึงกาฬ จ.บึงกาฬ จึงได้สนธิกำลังกับ พ.ต.อ.สุกฤษณ์ ข้อร่วมคิด ผกก.สืบสวน ภ.จว เมืองกาฬ พ.ต.อ.เอกนรินทร์ สุวรรณทา.ผกก ตม.บึงกาฬ พ.ต.ต.นิคสัน ดียา รอง สว.สส.สภ.เมืองบึงกาฬ พ.ต.ท.พลสันต์ คมขาวผบ ร้อย ตชด.244.ร.ต.อ.ทองจันทร์ หิรัญวร รอง สว.(ป.)ตำรวจน้ำบึงกาฬ นายพงษ์ชัย ศิลปะอาชา นายด่านศุลกากรบึงกาฬ นายสมบัติ ฆ้อนทอง ผอ.ส่วนควบคุมทางศุลกากร และนายภูมินทร์ ศรีโฉม ปลัดป้องกันอำเภอเมืองบึงกาฬ นำกำลังอาสาร่วมวางแผนจับกุม

ขณะที่เจ้าหน้าที่บางส่วนได้ลาดตระเวนทางบก ที่แม่น้ำโขงมี น.ต.วชิรวิชญ์ ใจสัตว์ หัวหน้าสถานีเรือบึงกาฬ ร.ท.ประพนธ์ สิวะกุล ประจำ บก.สน.เรือบึงกาฬ ร.ต.ศกุนต์ พรมเจริญ ผค.เรือ 179 และร.ต.สัญญา จันจี ผค.เรือ ล.111 ขับเรือลาดตระเวนไปถึงกลางน้ำโขงได้เห็นชายต้องสงสัยท่าทางมีพิรุธลุกลี้ลุกลนกำลังเก็บตาข่ายดักปลากลางลำน้ำโขงอย่างรีบเร่ง จึงได้ขับเรือไปใกล้พร้อมเรียกให้หยุดเพื่อตรวจค้น แต่ชายคนดังกล่าวเกิดความตกใจจึงพายเรือขวางลำน้ำโขง ที่ไหลเชี่ยวเพื่อหันหัวเรือกลับข้ามไปเส้นเขตแดน สปป.ลาว ทำให้เรือพลิกตะแคงคว่ำ สิ่งของในเรือจึงกระจายไหลไปตามน้ำมีทั้งเป็นกระสอบปานสีขาวและถุงเล็ก 6 ถุง พร้อมกับพยุงเรือที่พลิกตะแคงข้ามเขตแดนไทย-ลาว ด้วยความชำนาญ และรอดไปได้อย่างปลอดภัย

จากนั้นเจ้าหน้าจึงตามไปเก็บกระสอบสีขาว 1 ใบและกล่องวัสดุที่ไหลไปกับน้ำด้วย 6 กล่อง นำมาตรวจเช็คที่สถานีเรือบึงกาฬ พบว่าเป็นยาเสพติดประเภท 1 คือไอซ์จำนวน 36 กิโลกรัม มูลค่าประมาณ 10 ล้านบาทจึงได้นำมาจัดแถลงพร้อมกับส่งของกลางดังกล่าวให้ พงส.สภ.เมืองบึงกาฬเพื่อติดตามหาตัวเจ้าของมาดำเนินคดีต่อไป


ภาพ/ข่าว  เกรียงไกร  พรมจันทร์

5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ - ค่ายสิ่งแวดล้อมธรรมชาติเขาใหญ่ “สานใจไทยสู่ใจใต้” รุ่นที่ 38

วันที่ 6-8 เมษายน 2564 มูลนิธิรัฐบุรุษ มูลนิธิรักเมืองไทย และมูลนิธิพิทักษ์อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จัดค่ายสิ่งแวดล้อมธรรมชาติเขาใหญ่ ในโครงการ “สายใจไทย สู่ใต้” รุ่นที่ 38 ณ อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ โดยมีพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี (ประธานคณะกรรมการอำนวยการโครงการฯ) เป็นประธานในพิธี และนายอดิศักดิ์ ภูสิทธิ์วงศานุยุต หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ กล่าวรายงานวัตถุประสงค์ของการจัดโครงการ มีเยาวชนจาก 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ ยะลา นราธิวาส ปัตตานี สงขลา และสตูล จำนวน 320 คน เข้าร่วมโครงการ

สำหรับกิจกรรมของค่ายฯ ในวันที่ 6 เมษายน 2564 เวลา 16.30 น. คณะเยาวชนฯ เดินทางมาถึงอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เข้าพักที่อาคารค่ายเยาวชนสุรัสวดี ช่วงค่ำแบ่งเยาวชนออกเป็น 2 กลุ่ม สลับกันเข้าร่วมกิจกรรม 2 กิจกรรม ได้แก่ การบรรยายโครงการศึกษาวิจัยด้านธรรมชาติ และการส่องสัตว์ศึกษาชีวิตสัตว์ป่าเวลากลางคืน

วันที่ 7 เมษายน 2564 เวลา 10.30 น. เป็นพิธีเปิดค่ายสิ่งแวดล้อมธรรมชาติเขาใหญ่ โครงการ “สานใจไทย สู่ใจใต้” รุ่นที่ 38 โดยพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ และบรรยายพิเศษ เรื่อง “การอนุรักษ์ธรรมชาติ” การจัดกิจกรรมอวยพรวันสงกรานต์ มอบของแก่คณะเยาวชนฯ ปลูกต้นไม้ ถ่ายภาพหมู่เป็นที่ระลึก และกิจกรรมเดินป่าศึกษาธรรมชาติ ในภาคบ่ายเป็นกิจกรรมเข้าฐานศิลปะและดนตรี ประกอบด้วย ฐานสร้างสรรค์งานศิลป์จากวัสดุธรรมชาติ ฐานวาดภาพด้วยดินสอถ่านชาร์โคล ฐานวาดภาพแอบแสตรกต์ ฐานดนตรี ฐานดนตรีสากล ฐานภาพพิมพ์จากวัสดุธรรมชาติ และฐานภาพพิมพ์โฟมอัด ของชมรมศิลปะนางรองพิทฯ รร.นางรองพิทยาคม กลุ่มศิลปะเด็กบ้านลูกพิมพ์ และรร.เกล้าปัญญา จ.บุรีรัมย์ ส่วนในภาคกลางคืนเป็นการแสดงของเยาวชนฯ ทั้ง 5 จังหวัด และกิจกรรมอำลา ซึ่งก่อนพิธีเปิดค่ายฯ มีการสร้างบรรยากาศด้วยเสียงเพลงอย่างสนุกสนาน จากโจนัส แอนเดอร์สัน และร้องเพลงต้นไม้ของพ่อก่อนปลูกต้นไม้อีกด้วย

พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ กล่าวตอนหนึ่งว่า ‘...ขอฝากให้เยาวชนช่วยกันดูแลรักษาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อย่างน้อยให้ทุกคนปลูกต้นไม้อย่างน้อยปีละ 1 ต้น รวมทั้งให้ทุกคนทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ เพราะคนที่ทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ก็จะเป็นคนดีด้วย คนไม่ดีก็มักจะทำสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ และขอให้การจัดกิจกรรมในโครงการฯ บรรลุตามวัตถุประสงค์ต่อไป...”

วันที่ 8 เมษายน 2564 เวลา 06.30 น. คณะเยาวชนฯ เดินทางจากอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ไปยังมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา และทัศนศึกษาอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาต่อไป


ภาพ/ข่าว  สมพุด เกตขจร ผู้สื่อข่าวภูมิภาคจังหวัดบุรีรัมย์

เปิดรายละเอียดการจัดตั้ง “โรงพยาบาลพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร” ภายใต้แนวคิด “ให้เพื่อสร้าง” เพื่อเป็นโรงพยาบาลวิจัยนวัตกรรมการแพทย์ครบวงจรครั้งแรกของประเทศไทย และอาเซียน

ปัจจุบันแม้ประเทศไทยจะมีคณะแพทยศาสตร์ในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เพื่อผลิตบุคลากรทางการแพทย์ ล่าสุดสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง หรือ สจล. เป็นอีกสถาบันที่มีแผนจัดตั้งโรงพยาบาลอีกแห่งในประเทศไทยขึ้น

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ในฐานะ ประธานมูลนิธิโรงพยาบาลพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ในพระสังฆราชูปถัมภ์ ได้เล่าถึงการจัดตั้งคณะแพทย์ศาสตร์ ของ สจล. ผ่านหนังสือ “คิดต่างสร้างการเปลี่ยนแปลง” ไว้ว่า

“หมอที่ประสบความสำเร็จในอนาคตต้องเก่งทั้งศาสตร์และศิลป์ ข้อหนึ่งที่เรายังไม่ได้ใช้ประโยชน์จากความเก่งของนักศึกษาแพทย์ได้เต็มที่ก็คือ จริง ๆ คนที่จะเข้ามา เรียนหมอ คือ เด็กที่ได้ที่หนึ่งคณิตศาสตร์ ที่หนึ่งฟิสิกส์ พอมาเรียนกลับไม่ได้ใช้วิชาพวกนี้ พอเรียนจบออกไปก็รักษาคน แต่หมอในอนาคตต้องดีลกับเครื่องมือแพทย์ใหม่ ๆ ชิ้นหนึ่งราคาเป็นล้าน ๆ แล้วต้องซื้อทุกชิ้น เข็มฉีดยาก็ต้องซื้อ แล้วจะให้วิศวกรไปทำอุปกรณ์ทางการแพทย์ เขาก็ไม่เข้าใจ ทำไมไม่เอาหมอที่เก่งทั้งฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ไปต่อยอดสร้างองค์ความรู้ สร้างนวัตกรรม คิดดูว่าประเทศไทยจะลดการนำเข้า ประหยัดงบประมาณทางสาธารณสุขได้กี่ล้านล้านบาท นี่คือความแตกต่างของคณะแพทยศาสตร์ ลาดกระบัง กับคณะแพทย์ที่อื่น ๆ”

นอกจากนี้ ศาสตราจารย์ ดร.สุชัชวีร์ เห็นว่า การเปิดคณะแพทยศาสตร์ ถือเป็นการช่วยสังคม ช่วยชีวิตคน และสามารถต่อยอดเป็นโรงพยาบาลได้ นั่นคือ “โรงพยาบาลพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร” (KMC Hospital) ที่ไม่ใช่แค่ศูนย์การแพทย์เท่านั้น แต่เพื่อนำไปสู่ “โรงพยาบาลวิจัย” ในอนาคต รวมทั้งคณะแพทยศาสตร์ สจล. ที่นอกจากเชี่ยวชาญด้านการรักษา ยังต้องมีความเป็นนักวิจัยที่สามารถพัฒนานวัตกรรมทางการแพทย์ และเรียนรู้ความเป็นสากล สู่การเป็น “หมอพันธุ์ใหม่” ที่เข้าใจบริบทการแพทย์ทั่วโลก และมีทักษะของศตวรรษที่ 21 เช่น ทักษะการคิดวิเคราะห์ (Critical Thinking) ความคิดสร้างสรรค์ (Creative Thinking) ตลอดจนทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเอง

ทั้งนี้ “แพทย์” จึงเป็นอาชีพของโลก เพราะไม่ได้เป็นเพียงแพทย์ที่แค่จบการศึกษา หรือเป็นแพทย์ที่รักษาแค่ในประเทศไทยเท่านั้น แต่สามารถเป็นหมอที่อื่นได้ทั่วโลก ที่มีความรู้รอบทั้งด้านวิศวกรรม สถาปัตยกรรม และความรู้สมัยใหม่ของโลก เพื่อให้เป็นแพทย์ที่ก้าวทันโลกยุคใหม่ และมีความสามารถในการสร้างนวัตกรรมทางการแพทย์ พัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการรักษาโรคได้ด้วย

เพราะปัจจุบันประเทศไทย ต้องเสียเงินให้กับต่างชาตินับหลายหมื่นล้านบาท ในการซื้อเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์เข้ามาใช้งาน ซึ่งหากแพทย์ของเรามีความรู้ และสามารถสร้างเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ได้ ไม่ใช่แค่ลดการสูญเสียเงินให้กับต่างประเทศ แต่ยังได้เครื่องมือแพทย์ในราคาที่ถูกลง และมีประสิทธิภาพตามหลักการแพทย์แล้ว สิ่งเหล่านี้ยังได้ชื่อว่าเป็นนวัตกรรมและฝีมือของคนไทย เป็นความภาคภูมิใจ และสามารถสร้างรายได้กลับมาในอนาคตอีกด้วย

ดังนั้น แผนการจัดตั้ง “โรงพยาบาลพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร” (KMC Hospital : King Mongkut Chaokhun Thahan Hospital) ภายใต้แนวคิด “ให้เพื่อสร้าง” เพื่อเป็นโรงพยาบาลวิจัยนวัตกรรมการแพทย์ครบวงจรครั้งแรกของประเทศไทย และอาเซียน ที่พร้อมดูแลรักษาผู้ป่วย และเป็นศูนย์วิจัยเครื่องมือทางการแพทย์ เพื่อสร้างอุปกรณ์ทางการแพทย์ สร้างศูนย์รวมนวัตกรรม และสร้างองค์ความรู้ด้านเครื่องมือแพทย์ ผ่านการบูรณาการองค์ความรู้หลากสาขา เพื่อผู้สูงอายุ คนพิการ รองรับวิกฤตสุขภาพ โรคระบาด หลังพบข้อจำกัดด้านการขาดโอกาสเข้าถึง ขาดแคลนนวัตกรรมทางการแพทย์ รวมถึงการลดการพึ่งพิงต่างชาติ


ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพ: https://www.hfocus.org/content/2021/03/21316

กาฬสินธุ์ – โครงการส่งน้ำ หาดดอกเกดเขื่อนลำปาว พร้อมรับนักท่องเที่ยวสงกรานต์เข้มมาตรการโควิด

โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำปาว หรือเขื่อนลำปาวกาฬสินธุ์ ระดมทุกภาคส่วนวางมาตรการความปลอดภัย เตรียมรับนักท่องเที่ยวช่วงเทศกาลสงกรานต์ พร้อมคุมเข้มมาตรการป้องกันโควิด-19 อย่างเคร่งครัด

เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 8 เมษายน 2564 ที่ห้องประชุมโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำปาว นายพิชัย ส่งสุขเลิศสันติ ปลัด จ.กาฬสินธุ์ นายฤาชัย จำปานิล ผอ.โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำปาวหรือเขื่อนลำปาว จ.กาฬสินธุ์ นายธนทร ศรีนาค หัวสำนักงาน ปภ.กาฬสินธุ์ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ต่าง ๆ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่สาธารณสุข กรมเจ้าท่า หน่วยกู้ภัยเมตตาธรรมกาฬสินธุ์ ผู้นำชุมชน คณะอนุกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน จ.กาฬสินธุ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันประชุมเพื่อเตรียมพร้อมรับนักท่องเที่ยวและประชาชนที่จะเดินทางมาเที่ยวยังหาดดอกเกด จุดผันน้ำเขื่อนลำปาว และบริเวณแหลมโนนวิเศษ สะพานเทพสุดา ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของเขื่อนลำปาว จ.กาฬสินธุ์

จากนั้นได้ลงพื้นที่ตรวจความพร้อม และร่วมกันวางมาตรการในการดูแลความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว ที่บริเวณหาดดอกเกดเขื่อนลำปาว และวางมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 ตลอดจนกำชับมาตรการป้องกันการเอารัดเอาเปรียบในการจำหน่ายสินค้าและอาหารให้กับนักท่องเที่ยวอย่างเป็นธรรม

นายฤาชัย จำปานิล ผอ.โครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำปาวหรือเขื่อนลำปาว จ.กาฬสินธุ์  กล่าวว่า สำหรับจุดผันน้ำ หาดดอกเกดเขื่อนลำปาว และบริเวณสะพานเทพสุดา อ.สหัสขันธ์ ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่โดดเด่นของ จ.กาฬสินธุ์ โดยเฉพาะหาดดอกเกด ซึ่งได้ขึ้นชื่อว่าเป็นทะเลอีสาน ซึ่งช่วงเทศกาลมักจะมีประชาชน และนักท่องเที่ยวพาครอบครัวเดินทางมาสัมผัสอากาศบริสุทธิ์ เล่นน้ำเขื่อนลำปาวคลายร้อนจำนวนมาก โดยเฉพาะช่วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งปีนี้มีวันหยุดติดต่อกันหลายวัน คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวและประชาชนเดินทางมาเที่ยวที่หาดดอกเกดและจุดผันน้ำจำนวนมาก หลังจากช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2563 ที่ผ่านมา สถานที่ท่องเที่ยวทั้ง 2 แห่ง ได้ปิดบริการ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในขณะนั้นได้แพร่ระบาดในหลายพื้นที่ ซึ่งในปีนี้เบื้องต้นได้เตรียมความพร้อมเปิดรับนักท่องเที่ยว แต่ก็ต้องมีการวางมาตรการป้องกันเรื่องต่าง ๆ ไว้อย่างเข้มงวด

นายฤาชัย กล่าวอีกว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงต้องมีการเตรียมความพร้อมในเรื่องความปลอดภัยต่าง ๆ ทั้งการจัดระเบียบจราจรป้องกันอุบัติเหตุ การป้องกันอันตรายผู้เล่นน้ำ กำชับให้พ่อค้าแม่ค้าติดป้ายแสดงราคาอาหาร และขอความร่วมมือจำหน่ายในราคาเป็นธรรมไม่เอาเปรียบผู้บริโภค และยังมีการเพิ่มมาตรการในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยจะต้องมีการตั้งจุดคัดกรอง ตรวจวัดอุณหภูมิ เว้นระยะห่าง สวมหน้ากาก และเจลล้างมือ พร้อมทั้งจะมีเจ้าหน้าที่คอยกำชับให้นักท่องเที่ยวและผู้ประกอบการปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัดอีกด้วย


ภาพ/ข่าว  ณัฐพงษ์  ประชากูล


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top