Saturday, 29 June 2024
SPECIAL

อุทัยธานี - จัดงานเกษตรอินทรีย์ฯ ปี 2 ชูไฮไลต์ “กัญชาพืชเศรษฐกิจใหม่” ครั้งแรก เพื่อเกษตรกรและนักท่องเที่ยว

จังหวัดอุทัยธานี โดยสำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดอุทัยธานี เทศบาลเมืองอุทัยธานี และภาคีเครือข่ายต่าง ๆ ร่วมกันจัดงาน “เกษตรอินทรีย์ วิถีอุทัย ปี 2… เกษตรปลอดภัย คือความภูมิใจของเรา” ระหว่างวันที่ 9 -10 เมษายนนี้ ณ ตรอกโรงยา อ.เมือง จ.อุทัยธานี พร้อมกระตุ้นและขับเคลื่อน “เกษตรอินทรีย์และเกษตรปลอดภัย” ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของจังหวัดให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ทั้งประชาชนในจังหวัด และนักท่องเที่ยว รวมทั้งชูไฮไลต์ “กัญชาพืชเศรษฐกิจใหม่” ผ่านนิทรรศการ และเสวนาเกี่ยวกับกัญชาในทุกมิติ เพื่อมุ่งให้ความรู้แก่เกษตรกร รวมทั้งผู้ที่สนใจการปลูกกัญชาทางการแพทย์ ตลอดจนการนำเปลือก ลำต้น เส้นใย กิ่งก้าน ใบ และราก ไปใช้ เพื่อให้นโยบาย "กัญชาเสรี" ถูกนำไปใช้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งนับเป็นมิติใหม่ที่ประเทศไทยได้เริ่มเปิดกว้างในเรื่องกัญชาโดยมีหน่วยงานของรัฐกำกับ 

สำหรับไฮไลต์ในครั้งนี้ คือนิทรรศการ “เกษตรอินทรีย์ วิถีอุทัย” และ “กัญชาพืชเศรษฐกิจใหม่ที่เกษตรกรไทยต้องรู้” ครั้งแรกของจังหวัดอุทัยธานี โดยจะขนต้นกัญชาที่ปลูกได้จริงในจังหวัดอุทัยธานีมาจัดแสดง พร้อมฟังเสวนา “กัญชาทางเลือกใหม่ของเกษตรกรไทยจริงหรือ” โดยเกษตรกรผู้ปลูกกัญชา หน่วยงานภาครัฐ และกูรูด้านกัญชาที่จะมาร่วมพูดคุย และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ในทุกมิติเกี่ยวกับการปลูกกัญชาที่ถูกต้องตามกฎหมาย

นายณรงค์ รักร้อย ผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานี กล่าวว่า แม้จังหวัดอุทัยธานีจะเป็นจังหวัดเล็ก ๆ แต่เป็นจังหวัดที่มีศักยภาพและความโดดเด่นด้านการเกษตร และการท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศ เนื่องจากมีความอุดมสมบูรณ์และมีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่หลากหลาย โดยเฉพาะภาคการเกษตรที่ถือว่ามีความสำคัญกับจังหวัดอุทัยธานีเป็นอย่างมาก เห็นได้จากทิศทางหรือนโยบายการพัฒนา รวมถึงการขับเคลื่อนด้านการเกษตร และอุตสาหกรรมการเกษตรมาอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตภาคการเกษตร สร้างมูลค่าเพิ่มภายใต้ “เกษตรปลอดภัย เกษตรอินทรีย์” ควบคู่กับพัฒนานวัตกรรมอุตสาหกรรมแปรรูปเกษตรและสิ่งเหลือใช้จากภาคเกษตรให้มีความหลากหลาย สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ซึ่งเป็นเทรนด์ที่สำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือเรื่องสุขภาพและสิ่งแวดล้อม 

“ปีที่แล้วเราจัดงานเกษตรอินทรีย์วิถีอุทัยขึ้นเป็นครั้งแรก นับว่าได้รับการตอบรับและประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ เนื่องจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดงาน ซึ่งที่ผ่านมาเราก็ได้รณรงค์ ส่งเสริมเกษตรกร ให้หันมาผลิตสินค้าเกษตรปลอดภัย โดยลด ละ เลิก การใช้สารเคมี ซึ่งมีผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม และพยายามส่งเสริมให้เกษตรกรหันมาใช้องค์ความรู้ใหม่ ๆ จากธรรมชาติ และเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม เรายังพยายามผลักดันให้เกษตรกรพัฒนาการผลิตไปสู่ “เกษตรอินทรีย์” ซึ่งถือว่ามีความปลอดภัยต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมสูงสุด ตามนโยบายภาครัฐ ตลอดจนพยายามเชื่อมโยงเรื่องเกษตรกับการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ซึ่งได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ที่สำคัญในขณะนี้มีกระแสพืชเศรษฐกิจใหม่อย่าง “กัญชา” เข้ามา ซึ่งกัญชาทางการแพทย์จะต้องปลูกแบบอินทรีย์เท่านั้น ทำให้เกษตรกรในจังหวัดอุทัยธานี ซึ่งมีองค์ความรู้เรื่องเกษตรอินทรีย์เป็นอย่างดีอยู่แล้ว สามารถต่อยอดไปปลูกพืชกัญชาซึ่งถือเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ได้ง่ายขึ้น และคาดว่ากัญชาจะเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ที่สร้างรายได้แก่ประชาชนในจังหวัดในอนาคต”

สำหรับงาน “เกษตรอินทรีย์ วิถีอุทัยปี 2” นอกจากความรู้ด้านการเกษตรแล้ว ผู้เข้าชมงานยังสามารถเลือกซื้อสินค้าเกษตรคุณภาพจากกลุ่มเครือข่ายเกษตรอินทรีย์วิถีอุทัย ที่จะนำสินค้าเกษตรปลอดภัย สินค้าเกษตรอินทรีย์ และสินค้าเกษตรแปรรูปที่ขึ้นชื่อของจังหวัด ผลผลิตสด ๆ จากไร่มาให้นักท่องเที่ยวเลือกช้อป เลือกชิมอย่างจุใจในที่เดียว อาทิเช่น พืชผักสวนครัวพื้นบ้าน และผักสลัด, ข้าวอินทรีย์ และเห็ดอินทรีย์, ผลไม้ ได้แก่ ส้มโอ มะม่วง, ผลิตภัณฑ์จากปลาแรด GI จากแม่น้ำสะแกกรัง เช่น ปลาแรดทอดกระเทียม ปลาแรดแดดเดียว แหนมปลาแรด ไส้กรอกปลาแรด ปลาแรดหยอง ซาลาเปาไส้ปลาแรด, ข้าวเกรียบปลาแรด น้ำพริกปลาแรด ทอดมันปลาแรด ห่อหมกปลาแรด, ไข่ไก่ นมพาสเจอร์ไรซ์ 

พลาดไม่ได้กับเมนูสุดฮอตจากวิสาหกิจชุมชนสุขฤทัยเกษตรปลอดภัย และเครือข่ายเกษตรกรกลุ่มต่างๆ เช่น ยำผักกูดกัญชา ข้าวไข่เจียวกัญชา ขนมจีนกัญชา ก๋วยเตี๋ยวกัญชา ผัดกะเพราหมูป่า ชวนชิมน้ำชากัญ ขนมปังเฮฮา สังขยาหัวเราะ จมูกข้าวยิ้ม ขนมกงกัญ และคุ้กกี้สมายด์ ฯลฯ พร้อมไฮไลต์เด็ด การสาธิตเมนูสร้างสรรค์จากกัญชา มาให้นักท่องเที่ยวได้ทดลองชิม อาทิ เมนูแรดอารมณ์ดี และเตี๋ยวรักกัญ (ชา) กิจกรรมแข่งขันกินข้าวเหนียวมะม่วง รวมทั้งกิจกรรมการแสดงดนตรี การแสดงทางวัฒนธรรม ภายใต้มาตรการวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) รองรับสถานการณ์โควิด – 19 อย่างเคร่งครัด

กรุงเทพฯ - ‘มาดามแป้ง’ ลงพื้นที่เหตุเพลิงไหม้อาคารถล่ม พร้อมมอบเงินเยียวยาช่วยครอบครัวอาสาผู้เสียสละ

‘มาดามแป้ง’ นวลพรรณ ล่ำซำ ประธานกรรมการมูลนิธิมาดามแป้ง รุดลงพื้นที่หลังเกิดเหตุเพลิงไหม้จนอาคารถล่มที่หมู่บ้านกฤษดานคร 31 ในวันที่ 3 เมษายน ที่ผ่านมาเพื่อให้กำลังใจอาสาสมัครที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ พร้อมทั้งเตรียมมอบเงินเยียวยาหรือทุนการศึกษาแก่ทายาทให้ความช่วยเหลือครอบครัวอาสาสมัครที่เสียชีวิตทั้ง 4 ราย นอกจากนี้ยังได้ตั้งครัวมาดามทำอาหารแจกเจ้าหน้าที่และอาสาสมัคร ตามเจตนารมณ์สำคัญของการก่อตั้ง

‘มาดามแป้ง’ นวลพรรณ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เมืองไทยประกันภัย ในฐานะประธานกรรมการมูลนิธิมาดามแป้ง ได้เดินทางไปยังพื้นที่เกิดเหตุพร้อมทีมงาน เพื่อให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ที่ยังต้องปฏิบัติหน้าที่กันตลอดคืน โดยยื่นมือให้ความช่วยเหลือครอบครัวของอาสาสมัครที่เสียชีวิตทุกราย พร้อมยกย่องงานอาสาคืองานที่ช่วยเหลือสังคมอย่างแท้จริง และจัดตั้งครัวมาดาม เพื่อสนับสนุนด้านอาหารเครื่องดื่มแก่เจ้าหน้าที่และอาสาสมัครทุกภาคส่วนที่เร่งปฎิบัติงานในพื้นที่จนกว่าภารกิจจะเรียบร้อยตลอดทั้งวัน

“ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิต งานอาสาคืองานที่ต้องทำด้วยใจและต้องเสียสละอย่างแท้จริง ซึ่งวันนี้ทุกท่านได้ทำงานเพื่อสังคมจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต ขอยกย่องทุกท่านด้วยใจ ซึ่งแม้จะเป็นมูลนิธิเล็ก ๆ ที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นมา แต่ก็มีเจตนารมณ์ที่ชัดเจนในการช่วยเหลือเยียวยาในยามเกิดภัยพิบัติต่าง ๆ

“วันนี้เราจึงขอมาเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเยียวยาทางใจให้แก่ครอบครัวผู้เสียสละ ด้วยทราบว่าทั้ง 4 ท่านมีลูกที่อยู่ในวัยเรียน และมีครอบครัวที่ต้องดูแล จึงหวังจะช่วยบรรเทาความลำบากดังกล่าว และขอเป็นกำลังใจเล็กๆ ให้กับสมาชิกในครอบครัวต่อไป” นางนวลพรรณ กล่าวปิดท้าย

 

นครพนม - ผู้ว่านครพนม ลมออกหู สั่งสอบผู้ประกอบการท่าทราย 10 ล้าน จ่อถอนใบอนุญาตขึ้นแบล็คลิส

ผู้ว่านครพนม เอาจริง สั่งสอบผู้ประกอบการท่าทราย บางรายฉวยโอกาสเลี่ยงจ่ายภาษีให้ท้องถิ่น ติดต่อหลายปี พบมูลค่าความเสียหายไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท ตั้งคณะทำงานตรวจสอบ จับตากลุ่มเลี่ยงภาษี ทำรัฐเสียหาย ฉวยโอกาสลักลอบนำเข้าส่งออกสิ่งของผิดกฎหมาย แรงงานต่างด้าว ยาเสพติด พบสั่งเพิกถอนใบอนุญาตทันที ขึ้นแบล็คลิส ย้ำผู้ประกอบการอย่าเห็นแก่ได้ ต้องทำตามกฎหมาย

เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2564 นายไกรสร กองฉลาด ผวจ.นครพนม เปิดเผยเกี่ยวกับกรณีปัญหากิจการดูดทรายในพื้นที่ จ.นครพนม ยอมรับว่า ปัจจุบันยังคงมีปัญหา มีผู้ประกอบการบางราย ที่ฉวยโอกาสขออนุญาตดูดทราย ทั้งนำเข้า ซึ่งเป็นส่วนที่ศุลกากรดูแลรับผิดชอบ ตาม พ.ร.บ.ศุลกากร มาตรา 86 วรรค 2 เกี่ยวกับการขออนุญาตนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน ในส่วนของจังหวัดนครพนม จะดูแลเรื่องความมั่นคง รวมถึงในมาตรา 9 ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการขออนุญาตให้ดูดทราย พ.ศ.2546 โดยเป็นการดูดทรายในราชอาณาจักร แต่จะต้องไม่เป็นพื้นที่มีเขื่อนป้องกันตลิ่ง

ซึ่งผู้ประกอบการจะต้องขออนุญาต จากทางคณะกรรมการระดับจังหวัดทำการตรวจสอบก่อนออกใบอนุญาต โดยมีอายุ ครั้งละ 1 ปี แต่ปัจจุบันยอมรับว่า จากการตรวจสอบของคณะกรรมการระดับจังหวัด มีผู้ประกอบการบางราย ฉวยโอกาสเลี่ยงจ่ายภาษีให้ท้องถิ่น คือ องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ ทำให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ ติดต่อกันมาหลายปี มูลค่าไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างการติดตามตรวจสอบแก้ไข

ทั้งนี้การที่จังหวัดนครพนม เห็นชอบกับผู้ประกอบการในการทำกิจการดูดทราย เพราะมีทั้งผลดี และผลเสีย แยกเป็นผลดี คือ ทรายสะสมมากขึ้นทุกปี ทำให้เกาะสันดอนเกิดขึ้นเป็นพื้นที่กว้าง หากมีการดูดทรายจะเกิดประโยชน์ ลดปัญหาการเกิดสันดอนทรายกีดขวางทางน้ำ และส่งผลดีต่อภาคเศรษฐกิจการค้า เกี่ยวกับโครงการก่อสร้าง ส่วนผลเสีย ต้องยอมรับว่ายังมีผู้ประกอบการบางราย ฉวยโอกาสแฝงลักลอบกระทำผิดกฎหมาย ในการนำเข้า ส่งออกของผิดกฎหมาย ยาเสพติด แรงต่างด้าว 

ล่าสุดได้ตั้งคณะทำงานระดับจังหวัด ร่วมกับหน่วยงานความมั่นคง ในการลงพื้นที่ตรวจสอบดูแล ป้องกันการกระทำผิดกฎหมาย หากพบผู้ประกอบการบางรายกระทำผิดระเบียบขั้นตอน จะต้องดำเนินคดี ตามกฎหมายทันที เพราะผู้ประกอบการได้ประโยชน์มหาศาล แต่ละปี แต่กับมีการเลี่ยงภาษี เพราะทางจังหวัดไม่ได้มีการติดตามตรวจสอบ ว่ามีการจ่ายชำระภาษีทุกปีให้ท้องถิ่น จนเกิดปัญหายืดเยื้อมานาน ทั้งที่ได้ประโยชน์มหาศาล 

อย่างไรก็ตามหลังจากนี้ จะต้องตรวจสอบ ทุกราย ซึ่งมีผู้ประกอบการ ยื่นขออนุญาต ประมาณกว่า 20 ราย ในพื้นที่ จ.นครพนม หากใครมีการเลี่ยงจ่ายภาษา จะมีการเพิกถอนใบอนุญาต และขึ้นบัญชีแบล็คลิส ไม่มีการต่อใบอนุญาต รวมถึงเฝ้าตรวจสอบติดตามผู้ประกอบการบางรายที่ฉวยโอกาสหาผลประโยชน์ที่ผิดกฎหมาย จะต้องดำเนินคดี และเพิกถอนใบอนุญาตทันทีหากตรวจสอบพบกระทำผิด 

ซึ่งที่ผ่านมา ยอมรับมีการปล่อยปะละเลยมานาน แต่ทางจังหวัดยินดีอำนวยความสะดวกสำหรับผู้ประกอบการที่ดำเนินการตามกฎหมาย


ภาพ/ข่าว  สุเทพ หันจรัส (ผสข.นครพนม)

จันทบุรี - พบเด็กป่วย ‘โรคเบอรี่ซินโดม’ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ มูลนิธิพระพุทธบาทพลวงและคณะสงฆ์จังหวัดจันทบุรี เข้าช่วยเหลือเบื้องต้น

ที่บ้านพักของครอบครัวผู้ยากไร้ ที่อาศัยสวนผลไม้ของญาติในบ้านที่ไม่มั่นคง อาชีพรับจ้างทำสานผลไม้ และ รับจ้างทั่วไป ของครอบครัว ศรีบุรุษ ในหมู่บ้านพังตะแคง หมู่ที่ 7 ต.พลวง อ.เขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี พระครูประดิษฐ์ ศาสนการ เจ้าอาวาสวัดทุ่งตาอินท์ ประธานที่ปรึกษามูลนิธิพระพุทธบาทพลวง / พระครูพุทธบท บริบาล ประธานมูลนิธิพระพุทธบาทพลวง / พระครูปลัดน้ำ มันตะชาโต เลขามูลนิธิพระพุทธบาทพลวง พร้อมด้วย คณะกรรมการฯ ได้เดินทางเข้าเยี่ยมครอบครัว ของ นายสถาพร  ศรีบุรุษ ( น้องอ๋อ ) ที่ป่วยเป็นโรคเบอรี่ซินโดรม ซึ่งเป็นโรคที่รักษาหายยาก เคยเข้ารักษาแล้วแต่ไม่มียารักษาให้หายขาด ต้องใช้เวลา สภาพแวดล้อม และการเอาใจใส่ของคนในครอบครัว

ซึ่งโอกาสเกิดโรคนี้ในประเทศไทย น้อยมากถือว่าเป็น 1 ในล้าน สถิติที่ผ่านมาส่วนใหญ่ที่พบเจอ จะเป็นโรค ดาวน์ซินโดม แต่ผู้ป่วย โรคเบอรี่ซินโดม จะมีอาการหนักกว่า สาเหตุอาจเป็นไปได้หลายทาง ทั้ง พันธุ์กรรมที่มีโครโมโซนเกินจากเด็กปกติทั่วไป หรือ ช่วงตั้งครรภ์ได้รับผลกระทบ ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีพัฒนาการล่าช้า มีใบหน้าเป็นลักษณะเฉพาะที่เห็นชัดถึงความแตกต่างจากเด็กปกติทั่วไป  อาการ จะลักษณะคล้ายเด็กที่ป่วยเป็นดาวซินโดม แต่ จะหนักกว่าตรงที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย และ จะนิ่งเฉย ขณะเดียวกัน บิดา – มารดา เป็นครอบครัวที่ยากไร้ อาศัยญาติ พี่ น้อง ปลูกสร้างบ้านที่ไม่มั่นคง ต้องรับจ้างทั่วไปรายวันเพื่อเลี้ยงครอบครัว ที่มีน้องชายอีก 1 คน เวลาออกไปทำงาน พ่อ แม่ ต้องนำน้องอ๋อ นั่งรถซาเล้งออกไปดูแลอยู่ใกล้ ๆ เพราะหากปล่อยทิ้งไว้ก็อาจเกิดอันตรายเพราะเด็กไม่รู้สึกตัวเองเลย และช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เหมือนเด็กที่ป่วยเป็นดาวน์ซินโดม

ซึ่งหากปล่อยให้เด็กเสียชีวิตไปโดยไม่เหลียวแลก็ดูเหมือนจะผิดนิสัยมนุษย์เมื่อลูกเกิดมาแล้ว สภาพร่างกายแบบไหน พ่อ แม่ ก็ต้องพร้อมเลี้ยงดูจนถึงที่สุด ถึงแม้ชีวิตจะยากลำบาก ยากจนข้นแค้นอยู่แล้ว แต่ก็ต้องทนรับสภาพ ในการที่ มูลนิธิพระพุทธบาทพลวงและคณะสงฆ์จังหวัดจันทบุรีเข้ามาช่วยเหลือเบื้องต้น ทั้งการต่อเติมที่อยู่อาศัยให้มั่นคง หลบแดด ลม ฝนได้ และ อาหารเครื่องอุปโภคบริโภคที่นำมาให้สามารถแบ่งเบาภาระได้ระดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม หากผู้มีจิตศรัทธาประสงค์จะทำบุญช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ยากไร้ ลำบาก สามารถร่วมบริจาคสมทบได้ที่มูลนิธิพระพุทธบาทพลวง หรือที่วัดพลวง และ วัดทุ่งอินท์ อ.เขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี

ภาพ/ข่าว จรัล บรรยงคเสนา  (ผู้สื่อข่าว จ.จันทบุรี)

นายพรเทพ เขม้นเขตวิทย์ (รายงานจากศูนย์ข่าวภาคตะวันออก)

วิธีรับมือกับเรื่องไม่คาดคิด บริหารอารมณ์ให้นิ่งก่อนเผชิญปัญหา แชร์วิธีง่าย ๆ ที่ใช้ได้ผลจริง ทำให้เราสามารถก้าวข้ามปัญหา และสามารถพาชีวิตเติบโตแบบก้าวกระโดด

ทำไมหลายคนแก้ปัญหาชีวิตตัวเองไม่ได้ ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องง่ายๆ ก็คงจะเหมือนผงเข้าตานั่นแหละค่ะ ที่ต้องให้คนอื่นเขี่ยออก

ถ้าคุณเคยสังเกต คุณก็จะรู้ว่าปัญหา มาจาก "การขาดสติในการตอบโต้ ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น" นั่นเอง

วันนี้ผู้เขียน ขอแชร์วิธีง่าย ๆ ที่ใช้ได้ผลจริง

ผู้เขียนค้นพบคีย์สำคัญ ที่ทำให้เราสามารถก้าวข้ามปัญหา และสามารถพาชีวิตเติบโตแบบก้าวกระโดด

เห็นด้วยไหมคะว่า เมื่ออารมณ์ของเราไม่คงที่ เราจะแก้ปัญหาไม่ได้

มี 2 วิธีปรับอารมณ์ ให้เป็นปกติก่อนแก้ปัญหา

1.) จงทำในเรื่องที่สวนทางกับความรู้สึกในตอนนั้น

2.) ตอบโต้ให้ช้าลง แล้วทุกอย่างจะเบาลง

เช่น เจอสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด คุณตกงาน คุณถูกเลิกจ้าง สภาวะตอนนั้น ใจคุณสั่น ไม่ปกติ คุณโกรธ บ่น ด่า อาฆาต แค้น ของขึ้น เลือดขึ้นหน้า

เกิดคำถามมากมายตามมา เพราะอะไร ทำไมต้องเป็นคุณ เต็มหัว ความกลัวความกังวล ว้าวุ่น ความเครียด ความรู้สึกไม่มั่นคง โทษสิ่งรอบตัว ตีโพยตีพาย

ความคิดคุณตอนนั้น ถ้าเดาไม่ผิด คุณอยากเดินไปหาเจ้านาย ขอคุยตรง ๆ ทะเลาะเพื่อหาเหตุผล เอาให้ตายกันไปข้างหนึ่ง

คุณลองทำในสิ่งตรงข้ามดูสิ

- สูดลมหายใจลึก ๆ เรียกสติ ยอมรับความจริง มองอย่างเข้าใจ

- คิดใหม่ในมุมที่แตกต่าง "ถึงเวลาที่คุณจะได้หาประสบการณ์ใหม่แล้วสินะ ดีเลยได้ทำในสิ่งที่ท้าทาย ไม่แน่อาจดีกว่าเดิม ถ้าผ่านไปได้คุณจะเติบโตขึ้นอีกหนึ่งขั้น นั่นถือว่าเป็นสิ่งที่ดี

- จากนั้นก็เริ่มต้นจากสิ่งที่คุณมี ไม่ใช่มองแต่สิ่งที่คุณขาด

แค่นี้คุณก็ไปต่อได้แล้ว

วิธีก้าวข้ามเหตุการณ์ที่คุณไม่คาดคิด

ได้แก่ เหตุการณ์ที่คุณไม่อยากให้เกิด แต่มันดันเกิด กับเหตุการณ์ที่คุณอยากให้เกิด แต่มันก็ไม่เกิด

จริง ๆ แล้ว เรื่องต่าง ๆ มันก็เกิดขึ้นตามปกติของมัน ที่กลายเป็นปัญหา ก็เพราะใจของคุณรับไม่ได้ มันจึงกลายเป็น "ปัญหา"

ถ้าคุณต้องการปลดล็อคปัญหา ก็แค่ ปรับใจของคุณให้ "ยอมรับความจริง" ไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้น คุณพอใจหรือไม่พอใจก็ตาม ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว "จงยอมรับมันซะ" ขอย้ำว่า จงละทิ้งความพอใจและไม่พอใจลง แค่นั้นก็หมด "ปัญหา"

หลายคนอาจพูดว่า มันไม่ง่ายแบบนั้นหรอก แต่มันก็ไม่ยากเกินไปไม่ใช่หรอคะ

ข้อคิดสำหรับวันดี ๆ "ทุกอย่างจบลงที่ใจ❤️" "ยอมรับมันซะ" จากนั้น ตั้งสติ ปรับใจให้ปกติ ตั้งเป้าหมาย แก้ไขไปทีละเรื่อง อดทนเข้าไว้

ขอให้ทุกท่านเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต

ขอเป็นกำลังใจ


เขียนโดย อ.นิธิมา กุญชร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาบุคลากร โปรเฟสชั่นนอล เทรนเนอร์

#Talktonitima

Surf ไม่ Safe

Surf Skate เล่นไม่ Safe เจ็บจนซี๊ดดดด

.

.

 

“เมื่อ...เลือกทำในสิ่งที่รัก ไม่ใช่สิ่งที่เรียนมา”

“โตขึ้นอยากเป็นอะไร” ประโยคที่ทุกคนในวัยเด็กต้องผ่านการตอบคำถามนี้ ประกอบกับท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และจนถึงวันนี้ที่เราต้องอยู่ในสภาวะปกติใหม่ (New Normal) ทำให้อาชีพทุกวันนี้ หลากหลายและมีทางเลือกมากขึ้น บางคนได้ทำในสิ่งที่เรียนมาตรงสาย บางคนอาจจะค้นพบตัวเองหลังจากที่เรียนจบแล้ว ในความเป็นจริงไม่มีสูตรตายตัวสำหรับโลกของการทำงาน

แต่เราต้องทำตัวเองให้พร้อม เพื่อจะเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานในปัจจุบัน ศิลปิน ดารา นักแสดงหลาย ๆ คน ก็ไม่ได้เรียนมาทางนิเทศศาสตร์ แต่ผันตัวเองมาสู่การทำงานในวงการบันเทิง เช่น โดม จารุวัฒน์ เชี่ยวอร่าม จบนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์

แต่ด้วยความรักในเสียงเพลง ทำให้โดม ก็มุ่งมั่นงานวงการบันเทิง จนปัจจุบันเปิดค่ายเพลงเป็นของตัวเองกับค่าย LIT ENTERTAINMENT ปั้นเด็กใหม่ให้วงการ T-POP แม้เจ้าตัวจะไม่ได้เรียนทางสายดนตรีมา แต่เก็บเกี่ยวจากประสบการณ์การทำงานมาใช้ในการบริการค่ายเพลง และยังได้นำความรู้จากตอนเรียนมาช่วยเรื่องการทำสัญญา เรื่องลิขสิทธิ์เพลง และแนวคิดในการใช้ชีวิตเรื่องของเหตุและผลต่าง ๆ ที่ปรับเอามาใช้ในชีวิตประจำวัน

จากตัวอย่าง จะเห็นได้ว่าองค์ความรู้ที่เราเรียนมาก็ไม่ได้หล่นหายไปไหน เพียงแค่ความรู้ถูกแปลงไปใช้งานตามสถานการณ์ที่เราได้เจอ เช่นเดียวกันกับอีกหนึ่งศิลปินที่เรียนมาคนละสายกับงานที่ทำในปัจจุบัน ได้แก่ ณัฐ ศักดาทร จบมาทางด้านเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และก้าวเข้ามาสู่วงการบันเทิง ในการเป็นนักร้อง นักแสดง โดยในงานประชุมวิชาการ “นักเศรษฐศาสตร์และผองเพื่อน” ของคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยศีนครินทร์วิโรฒ ณัฐ ศักดาทร ได้ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องนี้ไว้ว่า “ตอนที่เลือกเรียนเศรษฐศาสตร์ เป็นสาขาที่คิดว่าน่าจะสามารถไปประยุกต์ใช้กับสิ่งที่ต่าง ๆ ได้ง่ายในชีวิต โดยสิ่งที่เรียนมาแล้วได้ใช้ในชีวิตประจำวันจริง ๆ ทุกวันเลยคือเรื่อง opportunity cost (ต้นทุนค่าเสียโอกาส) การเลือกซื้อของบางอย่าง เราก็จะต้องแลกกับเงินที่จะไม่ได้ซื้อของบางอย่าง เพราะเรามีทรัพยากรที่จำกัด ซึ่งทรัพยากรตรงนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่รวมถึงเรื่องเวลาด้วย คนเรามี 24 ชั่วโมงเท่ากัน อยู่ที่เราเลือกที่จะทำอะไร ถ้าเราเลือกที่จะเล่นโซเชียลมีเดีย เราก็อาจจะเสียโอกาสในการออกกำลังกาย หรือการพัฒนาทักษะอื่น ๆ” ซึ่งก่อนหน้านี้ ในรายการตามสัญญา ทางช่อง PPTV ณัฐ ศักดาทร ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า เคยติดโซเชียลมีเดีย ถึงขั้นต้องพบจิตแพทย์มาแล้ว ดังนั้น การนำหลักคิดเรื่องต้นทุนค่าเสียโอกาสมาใช้ บางทีก็ทำให้เราแยกออกว่าอะไรคือสิ่งที่เราควรที่จะต้องทำมากกว่ากัน

ณัฐ ศักดาทร ยังทิ้งท้ายไว้ในงานประชุมวิชาการว่า “การเรียนเศรษศาสตร์มาทำให้เรามีความคิดแบบนี้ตลอดเวลา ในการคิดเรื่องต้นทุนค่าเสียโอกาส และการเรียนเศรษฐศาสตร์พอเข้ามาทำงานในวงการบันเทิง มันยังอยู่ในกระบวนการคิดทุก ๆ วัน และการทำงานในวงการบันเทิงมันมีอะไรที่สนับสนุนกันอยู่”

แม้วันนี้ หลาย ๆ คนที่เรียนจบไปแล้ว เราอาจจะไม่ได้เรียนมาตรงกับสิ่งที่เราชอบ หรือไม่ได้ทำตามคำตอบของคำถามที่ว่า “โตขึ้นอยากเป็นอะไร” แต่เราสามารถพาตัวเองไปอยู่ในสิ่งที่เราชอบได้ ฝึกฝน เรียนรู้ทักษะต่าง ๆ เพื่อให้เราได้ทำในสิ่งที่เรารัก และความรู้ที่เกิดขึ้นที่เราได้สั่งสมมา วันนี้อาจจะยังไม่ได้หยิบมันขึ้นมาใช้งาน แต่ไม่แน่ว่าอนาคตข้างหน้า เราอาจจะได้รื้อฟื้นกล่องความทรงจำความรู้นั้น ๆ มาใช้แบบไม่รู้ตัว ...


ข้อมูลอ้างอิง

สัมภาษณ์ : จารุวัฒน์ เชี่ยวอร่าม

https://www.pptvhd36.com/programs/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B9%89/%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B2/79328#part-1

https://www.sanook.com/campus/1404051/

‘แก้ม ปุณิกา’ หรือฉายา PUKACHEEK สลัดลุคดีเจสาวสวยสุดคูล สู่การโชว์ลีลาพลิ้วไหวบนเซิร์ฟสเกต เพราะเชื่อว่าการเล่นเซิร์ฟสเกต ใช้ท่วงท่าที่สวยงาม ท้าทายไม่ต่างจากการเปิดเพลงบนเวที

ในยุคนี้คงแทบไม่มีใครไม่รู้จัก Surf Skate (เซิร์ฟสเกต) กีฬาสไตล์เอ็กซ์ตรีมที่กำลังเป็นกระแสมาแรงอย่างมากในไทย ด้วยการผสมผสานระหว่างการเล่นสเกตบอร์ดและการเล่นเซิร์ฟ โดยผู้เล่นจะต้องทรงตัวอยู่บนแผ่นไม้กระดาน บิดสะโพกเพื่อให้เกิดแรงเหวี่ยงในการควบคุมบังคับทิศทาง พร้อมทั้งใช้เทคนิคการถ่ายเทน้ำหนักที่เท้าในการเลี้ยวซ้าย-ขวา ส่งผลให้กีฬาชนิดนี้กลายเป็นความท้าทายใหม่ ที่ต้องผ่านการฝึกฝนอย่างหนักเพื่อโชว์ลีลาการเล่นเฉพาะตัว

กระแสที่มาแรงแซงทางโค้งของเซิร์ฟสเกต นี้เอง ทำให้มีผู้คนออกมาฝึกฝนทักษะ โชว์ลีลากันอย่างมากมาย หนึ่งในนั้นคือ ‘แก้ม ปุณิกา’ หรือที่รู้จักกันในนาม PUKACHEEK ดีเจสาวสวยสุดคูล ที่มีความเชื่อว่าการเล่นเซิร์ฟสเกตใช้ท่วงท่าที่สวยงาม ท้าทายไม่ต่างจากการเปิดเพลงบนเวที 

แนะนำตัวหน่อยค่ะ
: สวัสดีค่ะ เราชื่อแก้ม นะคะ ปุณิกา เกษมจิตต์ อายุ 24 ปี เรียนจบจากคณะการสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ค่ะ 

ได้ข่าวว่าแก้มเป็นดีเจ?
: ใช่แล้วค่ะ ชื่อเวลาเราเล่นดีเจ จะชื่อ "PUKACHEEK" (ปู-ก้า-ชีค)

จุดเริ่มต้นในการเล่น เซิร์ฟสเกต
: ตอนแรกที่มาเล่นเพราะว่า เห็นว่าเป็นกีฬาที่มีท่วงท่าสวยงาม มีความท้าทายเหมือน ๆ กับตอนที่เราเปิดเพลงเลยแหละ เลยมาลองเล่นดู เลยติดใจค่ะ 

การเล่นสเก็ตท้าทายเหมือนตอนเปิดเพลง? 
: เวลาเล่นสเก็ตความท้าทายก็อยู่ที่การทำท่าใหม่ ๆ ที่ยากขึ้น ต้องใช้ความพยายามและอดทนสู้กับตนเองค่ะ ก็เหมือนกับตอนเปิดเพลงที่เราต้องพยายามทำให้ทุกคนสนุกไปกับเรา 

ฝึกมานานแค่ไหนแล้ว?
: ประมาณ 2 เดือนค่ะ 

ปกติเล่นที่ไหน กับใคร มีกลุ่มประจำไหม?
: ปกติก็จะเล่นที่ศูนย์ประชุมนานาชาติเชียงใหม่ค่ะ มีคนเล่นเยอะมาก มีทั้งรุ่นเด็ก รุ่นเพื่อน และผู้ใหญ่ เราว่าอีกอย่างที่ทำให้เรายังเล่น Surf Skate ก็เพราะว่าสังคมที่เราเล่นอบอุ่น อยู่กันแบบครอบครัว มีอะไรก็ช่วยสอน ช่วยแนะนำกันอย่างเต็มใจค่ะ 

แก้มถือว่าเล่นได้ในระดับไหน?
: สำหรับเรา ยังขั้นเริ่มต้นอยู่เลยค่ะ กำลังพยายามอยู่ค่ะ 55555555 

เคยเจ็บตัวบ้างไหม หนักที่สุดคือ?
: เราไม่ค่อยเจ็บตัวหนักมากเท่าไหร่ค่ะ เพราะเวลาเล่นก็จะใส่พวกสนับมือ สนับศอก สนับเข่าแบบจัดเต็ม กลัวเจ็บนั่นแหละ แต่ที่เจ็บก็คงจะเป็นตอนที่เล่นลงเนินละบอร์ดปลิว เลยวิ่งเอาหน้าขาไปรับบอร์ด ขาช้ำหลายวันเลยค่ะ 

เคยมีช่วงที่ถอดใจ ไม่อยากเล่นไหม บอกตัวเองว่ายังไง?
: ก็มีบางวันที่ปวดไปทั้งตัวเลยนะคะ เพราะเวลาเล่น Surf Skate ต้องใช้ทั้งตัวเลย ทั้งช่วงแขน ช่วงเอว ช่วงขา ทุกอย่างต้องสัมพันธ์กัน แต่เราฮึด! ขึ้นมาได้ เอาชนะความเจ็บปวดที่ว่า 'หนามยอกเอาหนามบ่ง' มันก็จะทำให้กล้ามเนื้อเราสร้าง และแข็งแรงขึ้น ทำให้เราทำท่าต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น 
แต่สำหรับคนที่ปวดมาก ๆ จนทนไม่ไหว เราแนะนำให้พักร่างกายก่อนซัก 2-3 วันนะคะ ดีกว่าเจ็บมากกว่าเดิม ละจะอดเล่นไปเลย

ความแตกต่าง ข้อได้เปรียบ เสียเปรียบ ระหว่างผู้หญิง-ผู้ชาย ในการเล่นเซิร์ฟสเกต
: จริง ๆ เราว่ากีฬานี้แต่ละคนอาจจะเล่นออกมาในท่วงท่าที่ไม่เหมือนกัน เพราะด้วยรูปร่างสรีระด้วย ในความคิดของเรา เราคิดว่าผู้ชายอาจจะได้เปรียบในเรื่องของความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ในการฝึกฝนท่าบน Wave Ramp ได้ง่ายกว่าผู้หญิง ส่วนผู้หญิงก็จะได้เปรียบในเรื่องความพริ้วไหวเวลาเล่นมากกว่า เพราะว่า Surf Skate เป็นการจำลองการเล่น Surf ในทะเลมาค่ะ 

ความท้าทายในการเล่นเซิร์ฟสเกต
: แก้มคิดว่า ช่วงเวลาของการฝึกฝนท่าใหม่ ๆ ที่มีความยากมากขึ้นค่ะ เวลาทำไม่ได้ก็มีบ้างนะคะที่ท้อ แต่เพื่อความสำเร็จเราต้องสู้ค่ะ เวลาที่เราทำได้แล้ว เราจะมีความภาคภูมิใจในตนเองมาก ๆ เลย 

เสน่ห์ของเซิร์ฟสเกต ในมุมมองของแก้ม
: เสน่ห์ของ Surf Skate แก้มคิดว่า มันคือความเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละคนที่จะมีลีลาที่แตกต่างกันค่ะ 

สิ่งที่ได้จาก เซิร์ฟสเกต
: ข้อแรกเลย คือ ความแข็งแรง เพราะรู้สึกว่ากล้ามเนื้อมาจริงและมาไว 555555 ส่วนข้อต่อมาก็คงเป็นความสุขที่ทำท่าใหม่ ๆ สำเร็จ ส่วนข้อสุดท้ายก็เป็นการที่ได้ไปเจอผู้คนดี ๆ ได้รับมิตรภาพดี ๆ จากการเล่น Surf Skate ค่ะ 

ให้ฝากถึงคนที่อยากเริ่มเล่นเซิร์ฟสเกต ต้องเตรียมตัวยังไง มีอะไรอยากแนะนำไหม?
: คนที่อยากเริ่มเล่น แก้มอยากให้มาลองเล่นก่อน แล้วจะติดใจ จริง ๆ นะ 5555555 อย่ากลัวที่จะลองอะไรใหม่ ๆ ค่ะ ส่วนถ้าจะเริ่มเล่นแล้วก็อย่าลืมเรื่องความปลอดภัยนะคะ อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอ เราต้องป้องกันไว้ก่อนค่ะ สู้ ๆ ไปด้วยกันค่ะทุกคน 

ติดตามแก้มผ่านช่องทางไหนได้บ้าง?
: ฝากทุกคนติดตามผลงาน และมาเป็นเพื่อนกับแก้มที่ Instagram @pukacheek ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนค่ะ ขอบคุณนะคะ 

ถึงแม้จะฝึกเล่น เซิร์ฟสเกต ได้เพียงแค่สองเดือน แต่ลีลาการเล่นของเธอก็นับได้ว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว ของแบบนี้ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย แต่ต้องอาศัยการฝึกฝนและความพยายามอย่างหนัก เชื่อว่าจะได้เห็นแก้มทั้งในบทบาทของดีเจสาวและนักสเกตสาวแสนสวยสุดเท่อย่างแน่นอน! 


ขอบคุณผู้ให้สัมภาษณ์ แก้ม ปุณิกา เกษมจิตต์

Game Changer ของวิกฤติ Covid-19

อินเดีย ประเทศที่มีประชากรมากเป็นอันดับ 2 ของโลก และเป็นประเทศผู้ผลิตวัคซีนรายใหญ่ที่สุดของโลก 60% ของวัคซีนที่ใช้กันอยู่ทั่วโลก ผลิตในอินเดีย และ 2 ใน 3 ของเด็ก และ ทารกทั่วโลก ต้องเคยได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1 ชนิดที่ผลิตในอินเดีย

และวันนี้ อินเดียกำลังจะกลายเป็นผู้ผลิตวัคซีน Covid - 19 ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกแล้ว ที่คาดหมายว่าจะเป็นจุดพลิกชะตา จบเกมส์ Covid-19 ได้เลยทีเดียว ที่หลายฝ่ายมั่นใจเช่นนี้ เพราะปรัชญาการผลิตเวชภัณฑ์ของรัฐบาลอินเดีย มีเป้าหมายให้ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ทุกระดับชั้น โดยเฉพาะ ชาวอินเดียที่มีความหลากหลายในวรรณะ และชาติพันธุ์ ที่อยู่รวมกันมากถึง 1.3 พันล้านคน

ซึ่งปรัชญานี้ ก็ใช้กับการผลิตวัคซีน Covid-19 วัคซีนซึ่งเป็นที่ต้องการมากที่สุดในโลกแล้วในขณะนี้

และหากพูดถึงการผลิตวัคซีน Covid-19 ในอินเดีย บริษัทที่ไม่อาจมองข้ามไปได้เลยก็คือ Serum Institute of India หรือ SII บริษัทผู้ผลิตวัคซีนที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย และเป็นพาร์ทเนอร์คนสำคัญที่ร่วมในการทดลองและพัฒนาวัคซีนของ Oxford-AstraZeneca

SII ตั้งเป้าหมายในการผลิตวัคซีน AstraZeneca ให้ได้ถึง 1 พันล้านโดสภายในสิ้นปี 2021 รวมทั้ง ยังต้องผลิตวัคซีนเข้าโครงการ COVAX ขององค์การอนามัยโลกถึง 200 ล้านโดส เพื่อแจกจ่ายให้กับประเทศในโลกที่ 3

บริษัทผู้ผลิตวัคซีนที่เข้ามารับภารกิจระดับโลกครั้งนี้ มีที่มาเช่นไร วันนี้เราจะมาทำความรู้จัก Serum Institute of India - SII กัน

จุดเริ่มต้นของบริษัท Serum Institute of India เกิดจาก ครอบครัวผู้เพาะพันธุ์ม้าในเมืองปูเน่ รัฐมหาราษฎระ ทางตะวันตกของอินเดีย โดยนาย ไซปรัส ปูนะวัลลา รับหน้าที่ดูแลคอกม้าให้พ่อ แต่มาวันหนึ่ง แม่ม้าตัวหนึ่งของเขาโดนงูกัด แล้วเขาได้พยายามติดต่อสัตวแพทย์ หาเซรุ่มแก้พิษงูมาฉีดให้ม้า แต่ปรากฏว่าทั้งเมืองหาเซรุ่มไม่ได้ ศูนย์เซรุ่มที่อยู่ใกล้ที่สุดคือบอมเบย์ ที่ห่างไปไกลเกิน 100 กิโลเมตร และต้องรอเจ้าหน้าที่รัฐอนุมัติเสียก่อนถึงจะเบิกเซรุ่มมาใช้ได้

การสื่อสารก็ติดขัด หน่วยงานราชการทำงานล่าช้ามาก และหากจำเป็นต้องสั่งเซรุ่มจากต่างประเทศ ก็ราคาสูงมาก จนเขาไม่คิดว่าคนยากจน ที่ถูกงูกัดจะสามารถซื้อได้

และกว่าจะได้เซรุ่มมา ใช้เวลานานถึง 4 วัน ซึ่งไม่ทันที่จะช่วยชีวิตแม่ม้าของเขาได้ ความเสียใจนั้นกลายเป็นจุดเริ่มต้นของปณิธานของเขาว่า เขาจะตั้งโรงงานผลิตวัคซีน และเซรุ่ม ในราคาถูก มีคุณภาพดี และมีปริมาณเพียงพอให้ชาวอินเดียสามารถเข้าถึงได้ทุกคน ไม่ว่าจะยากจนแค่ไหน

ครอบครัวปูนะวัลลา ก็ได้ลงทุนก่อตั้งโรงงานผลิตวัคซีน Serum Institute of India (SII) ในปี 1966 ที่ผลิตตั้งแต่เซรุ่มแก้พิษงู วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ บาดทะยัก โรคหัด ไข้หวัดใหญ่ และอื่นๆอีกเป็นจำนวนมาก ในราคาประหยัด แต่ได้มาตรฐานสูง รับประกันคุณภาพผลงานด้วยการได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในบริษัทผู้ผลิตยา และวัคซีนให้แก่องค์กรระดับโลก อย่างองค์การอนามัยโลก Unicef Pan American Health Organization และอีกหลายองค์กร

จนกระทั่งในเดือนมิถุนายน 2020 ทางบริษัทก็ได้รับการติดต่อจาก AstraZeneca ที่กำลังพัฒนาวัคซีนต้าน Covid-19 และต้องการให้ SII ร่วมทดสอบวัคซีน และเป็นฐานการผลิตให้กับ AstraZeneca หลังจากผ่านการทดสอบขั้นสุดท้าย

ซึ่งทางครอบครัวปูนะวัลลา ที่ปัจจุบัน อดาร์ ปูนะวัลลา บุตรชายของนาย ไซปรัส ผู้ก่อตั้ง เป็นผู้สืบทอดกิจการ และดำรงตำแหน่งประธานบริหารสูงสุด ก็รู้ทันทีว่าข้อตกลงครั้งนี้ พ่วงมาด้วยความกดดันในทุกขั้นตอนของการผลิต โดยต้องประสานงานกับโรงพยาบาลกลางในเมืองปูเน่ ในการทดลองวัคซีนให้กับ AstraZeneca ในเฟส 2 และ 3 เพื่อดูผลการทดสอบอย่างใกล้ชิด

เมื่อมีการรับรองผลการทดสอบวัคซีนในขั้นสุดท้ายแล้ว SII ก็ได้รับใบอนุญาตในการผลิตวัคซีน AstraZenca ทันทีภายใต้ชื่อวัคซีน Covashield ในช่วงที่อินเดียกำลังเจอกับวิกฤติครั้งใหญ่ ของการแพร่ระบาดของ Covid-19 พอดี ที่ยอดผู้ติดเชื้อในประเทศพุ่งสูงขึ้นไปเป็นอันดับ 2 ของโลก

SII ต้องเร่งขยายฐานการผลิต เพื่อให้สอดคล้องกับปริมาณที่ต้องผลิตวัคซีน Covid-19 ที่ไม่ใช่แค่เพียงพอต่อการใช้ในประเทศเท่านั้น แต่ต้องผลิตให้มากพอที่จะส่งให้กับประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกด้วย

อดาร์ ปูนะวัลลา เล่าว่า แค่เพิ่มสต็อคขวดบรรจุวัคซีนเพียงอย่างเดียว ทางบริษัทต้องลงทุนเพิ่มอีกหลายสิบล้านดอลลาร์ ยังไม่รวมการเพิ่มแรงงาน ที่ทำงานกันไม่หยุด 7 วัน 24 ชั่วโมง และทุกวันก่อนเที่ยงคืน ก็จะมีข้อความผ่านทาง WhatApp จาก ด็อกเตอร์ เค. วิชัยราฆวัน ที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์ ของนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดิ เพื่อติดตามรายงานความคืบหน้าของการผลิตวัคซีนให้กับรัฐบาลเป็นประจำ ถึงจะมีการเตรียมงานอย่างดี และมีประสบการณ์ในด้านการผลิตวัคซีนมานานกว่า 50 ปี แต่กลับมีอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น เมื่อโรงงานหลังหนึ่งของ SII ถูกไฟไหม้! เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2021

ความรุนแรงของเหตุไฟไหม้ ทำลายบางส่วนของอาคารโรงงาน และมีผู้เสียชีวิตในโรงงานถึง 5 คน ซึ่งโรงงานนั้นก็เป็นหนึ่งในฝ่ายการผลิตวัคซีน AstraZeneca

แม้จะไม่ทราบสาเหตุของต้นเพลิง แต่ SII ยังต้องเดินหน้าการผลิตวัคซีนตามเป้าหมายต่อไป ยังโชคดีที่สามารถควบคุมเพลิงได้เร็ว ทำให้โรงงานส่วนใหญ่ไม่เสียหายมากนัก จึงยังคงดำเนินการผลิตต่อไปได้

แม้ในวันนี้ SII ยังคงเร่งผลิตวัคซีน AstraZenca อย่างต่อเนื่องด้วยความเร็ว 5,000 ขวดต่อนาที กับแรงงานของพนักงานหลายร้อยชีวิตที่นี่ ต่างทำงานอย่างขมักเขม้น ที่พวกเขาต่างตระหนักรู้ว่า นี่ไม่ใช่แค่การทำงานเพื่อผลิตสินค้า แต่เป็นการต่อสู้กับภัยโรคระบาดระดับโลก ซึ่งทาง SII มั่นใจว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายการผลิตวัคซีนให้ได้ 1 พันล้านโดส ภายในสิ้นปีนี้อย่างแน่นอน

และนอกจากจะผลิตวัคซีน AstraZeneca แล้ว SII ก็เพิ่งเซ็นข้อตกลงร่วมพัฒนาวัคซีน Covid-19 ให้อีก 2 บริษัทยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ได้แก่ Novavax ที่อยู่ขั้นการทดลองวัคซีนช่วงสุดท้ายแล้ว และคาดหวังว่าจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของวัคซีนราคาประหยัด และสามารถเก็บได้ในตู้แช่ทั่วไปได้ เช่นเดียวกับ AstraZeneca และ ล่าสุด Codagenix วัคซีน Covid-19 รุ่นใหม่ ที่ใช้หยอดทางจมูกแทนการฉีดเข้าร่างกาย

ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ ที่ไปในทิศทางเดียวกันทั้งภาครัฐ และ เอกชน จึงไม่แปลกใจว่าทำไมอินเดีย ถึงได้รับฉายาว่าเป็นคลังวัคซีนโลก แต่จะเป็นผู้ปิดเกมส์เจ้าไวรัส Covid-19 ได้จริง ๆ อย่างที่หลายคนคาดไว้หรือไม่ คงต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ แต่ที่สามารถยืนยันได้แล้วในตอนนี้ คือ อินเดีย สามารถพลิกวิกฤติ Covid-19 ให้กลายเป็นโอกาสให้กับเศรษฐกิจอินเดีย และเป็นหนึ่งในผู้ที่มอบแสงสว่างในปลายอุโมงค์ให้แก่ประชาชนในประเทศยากจนที่ไม่มีโอกาสเข้าถึงวัคซีน Covid-19 ได้นับล้านคนทั่วโลกทีเดียว


อ้างอิง

https://www.reuters.com/article/us-health-coronavirus-india-serum-insigh/how-one-indian-company-could-be-worlds-door-to-a-covid-19-vaccine-idINKBN22Y2BI?edition-redirect=in

https://www.straitstimes.com/asia/south-asia/indias-serum-institute-a-look-inside-the-worlds-biggest-covid-19-vaccine-factory

https://www.npr.org/sections/goatsandsoda/2021/03/18/978065736/indias-role-in-covid-19-vaccine-production-is-getting-even-bigger

https://en.wikipedia.org/wiki/Serum_Institute_of_India

สตรีนิยม (Feminism) การต่อสู้บนพื้นฐานของสตรีนิยม... แต่จงเป็นการใช้เสรีภาพและลงมือทำอย่างสร้างสรรค์

ภาพโปสเตอร์นี้มาจากงาน Black Feminist Festival ณ กรุงปารีสในปี 2017 ปรัชญาของ Feminism เกิดขึ้นเมื่อราว 100 ปีก่อน เพื่อให้สตรีมีความเท่าเทียมในสังคม เช่นการมีสิทธิในการเลือกตั้ง แต่สิทธิในการครองสมบัติในนามของตน เมื่อเข้ายุค 1960s จนถึง 1970s การเคลื่อนไหวของสตรีนิยม เน้นการต่อสู้เพื่อขจัดการกีดกันสตรี และการกดขี่ทางเพศ ซึ่งได้รับการเสริมด้วยกระแสด้านสิทธิมนุษยชน และการต่อต้านสงครามเวียดนาม

Don't agonize, ORGANIZE! อย่าโอดครวญด้วยความทรมาน แต่ลงมือทำอย่างสร้างสรรค์

เมื่อเข้าสู่ทศวรรษ 1990s สตรีในสหรัฐอเมริกา มีสิทธิต่าง ๆ มากขึ้นจากกฎหมายที่ให้ความคุมครองแก่สตรีเพิ่มขึ้นในหลายมิติ เช่นสิทธิเกี่ยวกับการลางานโดยได้ค่าจ้างช่วงตั้งครรภ์ เมื่อมีอาการป่วยและลาคลอด การเคลื่อนไหวของสตรีนิยมในช่วงที่สตรีมีสิทธิต่าง ๆ มากขึ้น เปิดโอกาสให้สตรี ได้สร้าง อัตลักษณ์ของตนเอง พัฒนาความเป็นปัจเจกบุคคล และแนวคิดนอกกรอบ โดยไม่ต้องหวั่นกระแสสังคมอย่างที่เป็นมาก

การต่อสู้บนพื้นฐานของสตรีนิยม ดำเนินต่อมาจนถึงปัจจุบัน และกระแสในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา จะเป็นการต่อสู้เรื่องการโดนรังแกทางเพศ ที่โยงไปถึงการใช้อำนาจของผู้ชายในด้านอาชีพ เช่นกระแส MeToo และยังเกิดการโจมตีการเคลื่อนไหวของกลุ่มสตรีนิยม ว่าเป็น White Feminism หรือ “สตรีผิวขาวนิยม” เพราะไม่ได้ให้ความสำคัญต่อสตรีผิวดำ และเชื้อชาติอื่น ๆ

บ่อยครั้งการเคลื่อนไหวทั้งในการรณรงค์และโดยพฤติกรรมส่วนตัวของผู้หญิง มีการแสดงออกอย่างก้าวร้าว จนเกิดคำวิพากษ์วิจารณ์ว่า สตรีนิยมไม่จำเป็นต้องก้าวร้าว พร้อมชนกับทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว จนคนทั่วไปบางครั้งเข้าใจว่า คนเหล่านี้เป็นทอม หรือเลสเบี้ยน หรือเกลียดผู้ชาย

การแสวงหาความเท่าเทียมยังคงมีอยู่ในกลุ่มคนหลากหลายทุกกลุ่มจึงมีการใช้คำว่า LGBTQ และเป็นสิ่งที่ยังต้องมีต่อไป เพื่อปรับทัศนะของผู้คนในสังคม

กาลเวลาผ่านมา ในหลายประเทศทั่วโลก สตรีมีสิทธิในการศึกษา ได้รับค่าจ้างเท่ากับผู้ชาย ได้รับตำแหน่งบริหารระดับสูงทั้งในรัฐบาลและบริษัท สตรีได้เป็นผู้นำประเทศมากมาย ทั้งในศรีลังกา อินเดีย ปากีสถาน อิสราเอล อังกฤษ เยอรมันนี นิวซีแลนด์ ฯลฯ ศักยภาพเหล่านี้ ยืนยันว่าสังคมไม่ได้คิดว่าผู้หญิงด้อยกว่าเพศชายหรือเพศอื่น ๆ และได้สร้าง "พลัง" และ "ศักดิ์ศรี" ให้กับผู้หญิงโดยรวม ยืนยันสถานภาพความเป็นมนุษย์ที่ได้รับการยกย่องเช่นเดียวกับเพศชาย

เมื่อมีพลังและศักดิ์ศรีแล้ว การเคลื่อนไหวของแนวคิดสตรีนิยม ก็ต้องทำในสิ่งที่เพิ่มพลังและศักดิ์ศรีแก่สตรีเพศ ดังจะเห็นว่า female empowerment หรือการสร้างพลังให้แก่สตรี นอกเหนือจากด้านกฎหมายแล้ว ยังพัฒนาโอกาสให้ผู้หญิงได้เติบโตและมีบทบาทสำคัญในทุกมิติของสังคม

ไม่ว่าจะอ้าง แนวคิดสตรีนิยมเชิงทฤษฎี แบบ มาร์กซิสต์ เฟมินิสม์ (Marxist Feminism) โซเชียลลิสต์ เฟมินิสม์ (Socialist Feminism) คัลเจอรัล เฟมินิสม์ (Cultural Feminism) หรือ อินเตอร์เซคชันแนล เฟมินิสม์ (Intersectional Feminism) ต้องไม่ทำการเหยียด ความเป็นมนุษย์ผู้หญิง

มาร์กซิสต์ เฟมินิสท์ เป็นแนวปรัชญาที่แตกมาจากเฟมินิสซึม โดยผสมทฤษฏีของมาร์กซิสต์เข้าไว้ เช่นการวิเคราะห์มิติที่สตรีถูกกีดกันในระบบทุนนิยม และการเป็นเจ้าของทรัพย์สิน ส่วนสตรีนิยมแบบสังคมนิยมนั้นต่อยอดจากแนวคิดแบบมาร์กซิสต์เฟมินิสต์เรื่องระบบทุนนิยมที่กดขี่สตรีเพศ และอ้างถึงทฤษฎีเฟมินิสต์ที่ว่าด้วยบทบาทของเพศสภาพ และสถานภาพที่ผู้ชายเป็นใหญ่

Cultural feminism มองสตรีเพศ โดยพิจารณา “ธรรมชาติของเพศหญิง และแก่นแท้ของความเป็นผู้หญิง โดยมีเจตนาที่จะประเมินคุณค่าและศักยภาพของสตรี และให้นิยามใหม่กับความเป็นผู้หญิง โดยแยกลักษณะของเพศหญิงและเพศชายที่แตกต่างกันตั้งแต่เกิด

Intersectional feminism ต้องการวิเคราะห์บทบาทของสตรีในกรอบของสังคมและการเมือง อันทำให้เกิดการกีดกัน และอภิสิทธิ์ ที่เกี่ยวข้องกับสตรีเพศ

การอ้างว่า การใช้ sex toy หรือการสนุกทางเพศอย่างสำส่อน ในการชุมนุมเพื่อเรียกร้องทางการเมือง คือ การเหยียด ลบหลู่ และด้อยค่าความเป็นสตรี อย่างชัดเจน เพราะพฤติกรรมเหล่านี้ ผู้ชาย กะเทย LGBTQ ที่เป็นอารยชน ก็ไม่ทำ

แม้ว่าการกีดกัน หรือเหยียดสตรีเพศ ยังมีอยู่ในสังคมปัจจุบัน ในวัฒนธรรมต่าง ๆ ทั่วโลก แต่มนุษย์ที่ อยู่ร่วมสังคมกันโดยยึดถือในบรรทัดฐานอื่น ๆ ไม่ใช่เพียงเพศสภาพ หรือเพศสภาวะเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องจริยธรรมและกาลเทศะ อันเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับสตรีเพศ ผู้หญิงไม่ว่าจะเก่งกาจเพียงใด หากไม่รู้จักกาลเทศะ ขาดจริยธรรม ย่อมไม่ได้รับการยกย่องจากสังคมอารยะ ยิ่งกว่านั้น พฤติกรรมที่ไม่แยแสต่อจริยธรรมและกาลเทศะ ยังเป็นการ “ด้อยค่า” ให้กับสตรีเพศ

การต่อสู้เพื่อความเท่าเทียม และอิสระทางความคิด ไม่สามารถจะไปถึงจุดหมายได้ ถ้าเน้นย้ำแต่เพียงความสนุกทางเพศ เวลาใดก็ได้ ที่ไหนก็ได้ นิทรรศการของกลุ่มเฟมินิสต์ปลดแอก ที่จัดขึ้นในช่วงที่มีการชุมนุมประท้วงรัฐบาล ก็ดูเหมือนจะเน้นแต่การสำรวจความเป็นผู้หญิง ผ่านเรื่องเซ็กส์และอวัยวะเพศหญิง ซึ่งเป็นเรื่องที่ล้าสมัย เชย ตกยุค เพราะสังคมปัจจุบัน ไม่ได้รังเกียจอวัยวะเพศหญิง โดยการตีตราให้เป็นสัญลักษณ์แห่งความสกปรกอย่างในอดีตอย่างที่เคยเป็นมาในอดีต แม้ว่าในบางสังคมยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนักเพราะมีการบัญญัติไว้ในความเชื่อทางศาสนา

การนำแนวคิด feminism มาอ้าง ต้องทบทวนให้รอบคอบก่อนพูด ก่อนตอบโต้ การแย้งกับค่านิยมของสังคมและเหตุผลขาดน้ำหนัก ยิ่งทำให้การเคลื่อนไหวของเฟมินิสต์ ดูเป็นเรื่องตลก

ผู้หญิงเก่งในสังคมไทยมีมากมายทั้งในองค์กรของรัฐ และในบริษัทเอกชน และถ้าไม่ต้องการให้สังคมมองเห็นว่า สตรีผู้มีศักยภาพสูงเท่าเพศชาย หรือเหนือกว่าผู้ชายทั่วไป ต้องแสดงให้สังคมเห็นการเคลื่อนไหวอย่างสร้างสรรค์ เช่นการช่วยสร้างแรงบันดาลใจ ให้การสนับสนุนแก่เยาวชนหญิง ให้เกิดความมั่นใจในความเป็นเพศหญิงที่ไม่ได้ด้อยกว่าเพศชาติ ให้เกิดความมุ่งมั่น ผ่านความรู้สึกว่าเป็นมนุษย์ที่มีศักยภาพเช่นคนอื่น และจะได้รับความเกรงใจ และความนับถือจากสังคม ด้วยพฤติกรรมที่สังคมมองว่าเป็นคุณค่าที่ควรแก่การยกย่อง ไม่ใช่เพราะมีใจเสรี อยากทำอะไรก็ได้ไม่แคร์

Feminism ที่มีความจริงใจในการเคลื่อนไหวเพื่อให้สตรีเพศมีความเข้มแข็ง มีความสำคัญในสังคมทุกระดับ จะรู้แก่ใจว่า You are what you do การใช้เสรีภาพอย่างสร้างสรรค์ มีพื้นที่อีกมากไม่ใช่แค่บนเตียง

กระแสมา ราคาโดด กระแสไม่โหลด อ่าว หมดตัณหา !!

Surf Skate เป็นกีฬาบนแผ่นกระดานชนิดหนึ่ง ที่เกิดจากการผสมผสานกันระหว่างสเก็ตบอร์ด กับกีฬาเซิร์ฟบอร์ดโต้คลื่นที่เล่นในทะเล ซึ่งการออกแบบแผ่น Surf Skate นั้นก็เพื่อให้เราสามารถเล่นเซิร์ฟในรูปแบบบอร์ดขนาดเล็ก มีล้อเคลื่อนไหว บนบกได้ จนกลายมาเป็น ‘กีฬาเซิร์ฟสเก็ต (Surf Skate)

เจ็ดย่านน้ำ (มีได้หลายความหมาย) ในเรื่อง ‘ Surf Skate … เจ็ดย่านน้ำ’ ขอแทนความหมายว่า มาก มากมาย ทั่วทุกแห่งหน ปฎิเสธไม่ได้...จึงเปรียบเทียบให้เข้ากับยุคในตอนนี้ที่มีกระแสโด่งดังของ Surf Skate ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจริง ๆ พอทราบได้ว่า Surf Skate เข้ามาในช่วงของสถานการณ์ Covid19 เป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้น จากการที่ผู้คนได้ริเริ่มหาอะไรทำใหม่ ๆ

 โดยเฉพาะบรรดาเหล่าคนดัง ดาราในวงการบันเทิง บางคนเรียกว่าเป็นผู้บุกเบิกเข้ามา ทำให้ผู้คนอีกหลายภาคส่วน ก็หันมาเล่น Surf Skate กันหมด จนตอนนี้เรียกได้ว่าเล่นกันแบบทั่วบ้านทั่วเมือง สิ่งนี้จึงทำให้กลายเป็นเป็นไลฟ์สไตล์ใหม่ กระแสนิยม Surf Skate ซึ่งถือว่าเป็นปรากฎการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นในไทย

ในขณะเดียวกันเมื่อมีปรากฎการณ์แบบนี้เกิดขึ้นแล้ว... ไทยแลนด์ โอนลี่ (ไหมหล่ะ) ความต้องการซื้อ Surf Skate ในตลาดพุ่งขึ้นสูงแบบไม่ทันตั้งตัว ทำให้ Surf Skate ไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ของผู้คนหลายภาคส่วน และนี่คือสิ่งสำคัญที่จะมาพูดถึงในวันนี้ คือ “ กระแสมา ราคาโดด ” เมื่อกระแส Surf Skate กำลังมา ทำให้คนหัวการค้าเห็นช่องทางในการค้าขาย ซึ่งนี่คือสิ่งที่ทำให้ผู้ขายบางกลุ่ม ทุ่มเงินลงทุนซื้อ Surf Skate หมดตลาด มีเท่าไหร่ลงทุนให้หมด ส่งผลให้สินค้าไม่เพียงพอในการขาย เพราะฉันจะเอามาขายเอง ...สักเท่าไหร่ดี ? แต่ไม่ใช่ทุกคนที่คิดจะหากำไรแบบเป็นธรรม นิด ๆ หน่อย ๆ คนไทยด้วยกันขอกำไรสัก สองร้อย สามร้อย ไม่สิ !! คนไทยด้วยกันขอกำไร ... สักพัน สองพัน สามพันหน่อยนะ ๆ ๆ

ในช่วงเดือนกันยายน 2563 จากความสนใจในกีฬา Surf Skate อยากทำความรู้จัก และอยากเล่นมาก ๆ ผู้เขียน ได้เริ่มศึกษาบ้างแบบคร่าว ๆ เช่น ความเป็นมา ประเภท แบรนด์ รุ่น ราคา ต่าง ๆ ซึ่งช่วงนั้นมีกระแสเริ่มเข้ามาพอสมควรแล้ว และมาเร็วมากเรื่อย ๆ ตอนนั้นตั้งใจว่าอยากได้ Surf Skate สักตัวเป็นของตัวเอง ได้ศึกษาราคาที่สามารถจับต้องได้ แบรนด์ Decathlon เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เนื่องจากมี Shop ให้เลือกซื้อได้ในไทย (ซึ่งอาจจะต่างจากแบรนด์อื่นที่ต้อง Pre Order) และราคาสามารถจับต้องได้ ถ้าเปรียบเทียบกับแบรนด์อื่นราคาอาจจะแตะหมื่น หรือหมื่นขึ้นไป บอร์ดรุ่นนี้ถือว่าเป็นราคาที่เหมาะสม เป็นที่รู้จัก ซึ่งส่วนใหญ่เรียกกันว่า “บอร์ดนก” เพราะใต้บอร์ดเป็นลายนก

ราคา ณ ตอนนั้น อ้างอิงจากเว็บไซต์ https://www.decathlon.co.th/th/ อยู่ที่ ราคา 3,400 บาท แต่ทว่าตอนนี้ ราคาก็ยัง 3,400 บาท เหมือนเดิม !! แล้วอะไรเปลี่ยน ? ตอนนี้บอร์ดขาดตลาด ผลิตไม่ทัน แต่ถ้าไม่นับว่าสินค้าขาดตลาด ก็สามารถซื้อสินค้าแบบจำนวนจำกัด ‘1 แผ่น ต่อ 1 สมาชิก’ ในขณะที่ตอนนั้น ยังไม่มีกระแสมาก สามารถกดเลือกซื้อสิ้นค้าใส่ตะกร้าได้เลยหลาย ๆ ชิ้น แล้วถ้าช่องทางที่เป็นทางการของผู้ผลิตโดยตรงนี้ขาดตลาด จะหาซื้อ Surf Skate ได้จากที่ไหน ?

ขออนุญาตเอ่ยถึง Platform Facebook มีกลุ่มซื้อขาย Surf Skate มีสมาชิกในกลุ่มแสนกว่าคนในช่วงเวลาอันสั้น ๆ เดิมทีส่วนใหญ่จะเป็นกิจกรรมการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ วิธีการเล่นสะมากกว่า รู้ตัวอีกทีตอนนี้กลับกลายเป็นว่าส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการโพสต์ขายสินค้า Surf Skate เต็มหน้าฟีดไปสะแล้ว ไม่รู้ตอนไหน แต่สิ่งที่น่าตกใจคือ ราคาที่สูงขึ้นมาก 2 - 3 เท่า จากราคาเดิม ...เปรียบเทียบกับบอร์ดนกเลยแล้วกัน เดิมราคา 3,400 บาท (ขณะที่เว็บไซต์ทางการยังขายในราคาเดิม) แต่กลุ่มใน Facebook ขายอยู่ที่ราคาประมาณ 6,000 - 8,000 บาท และมี Surf Skate รุ่นตัวท็อปของญาญ่า ราคาปกติราคาอยู่ที่ 18,000 บาท แต่ตอนนี้สูงลิ่วอยู่ที่ 40,000 บาท เขาว่ากันว่าเพื่อให้สมกับการที่ ณ ตอนนี้วัตถุมีมูลค่า และหายากในตลาด ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ... ผู้บริโภคจับจองกันอย่างไว ราคานี้ฉันก็ยอม แรร์ไอเทม (Rare item) / Limited บลา ๆ ๆ คนซื้อหงาย คนขายรอด

ต้องขนาดไหนถึงยอมซื้อในราคาที่สูงขนาดนั้น ? เชื่อว่าหลาย ๆ คน คงอาจจะทราบก็ได้ว่าเดิมทีแล้วมันราคาเท่าไหร่บ้าง แต่ก็ยอมที่จะเลือกซื้อ เพราะอยากได้มันมาจริง ๆ แม้ว่าราคาโดดขึ้นมาขนาดนี้

หรืออาจจะเป็นเพราะว่าสิ่งนี้ มันก็คงสร้างมูลค่าให้ตัวมันเองจริง ๆ ใช่หรือไหม หวังว่า จะมีใครที่อยากเล่นเพราะหลงใหลมันจริง ๆ ไม่ใช่ชอบเพราะตามกระแสนิยม แล้วพอหมดความชอบลงก็ปล่อยมันทิ้งไปแบบไม่มีมูลค่า...


ข้อมูลอ้างอิง

https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/926899

https://www.decathlon.co.th/th/

รูปภาพจาก Youtube SUNDAY SURF & SKATE https://www.youtube.com/watch?v=Vs1b5cjirXk

8 ท่าโยคะอย่างง่าย ทำเองได้ที่บ้าน ป้องกันโรคออฟฟิศซินโดรม

ในยุคที่มีการแข่งขันสูง การใช้ชีวิตด้วยความเร่งรีบ การทำงานด้วยความเครียด และการใช้เทคโนโลยีเพื่ออำนวยความสะดวกต่างๆทำให้ทุกคนใช้เวลาในแต่ละวันอย่างน้อย 8 - 9 ชั่วโมงในการนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ ใช้มือถือ แทปเลต ประกอบกับท่านั่งที่ไม่เหมาะสม จึงเกิดการใช้งานกล้ามเนื้อแบบผิดปกติ ทำให้กล้ามเนื้อสูญเสียความยืดหยุ่น ร่วมกับการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อเป็นเวลานาน ส่งผลไปยังข้อต่อและกระดูกต่าง ๆ บางคนอาจมีอาการชาหรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง เริ่มจากการปวดบริเวณกล้ามเนื้อคอลุกลามไปยังกล้ามเนื้อหลังและกล้ามเนื้อส่วนอื่นๆ โดยการปวดกล้ามเนื้อที่เกิดขึ้นจากการทำงานเรียกว่า “โรคออฟฟิศซินโดรม”

ข้อแนะนำสำหรับผู้เป็นโรคออฟฟิศซินโดรม

พักยืดเส้นยืดสาย หรือลุกขึ้นจากเก้าอี้และเปลี่ยนอิริยาบททุก 1 ชั่วโมง เปลี่ยนจากการจ้องมองหน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วมองไปยังพื้นที่สีเขียวหรือต้นไม้

ปรับสภาพโต๊ะทำงานให้เหมาะสม ระดับหน้าจอคอมพิวเตอร์, คีย์บอร์ดและการวางเม้าส์อยู่ในองศาการใช้งานที่ถูกต้องตามสรีระ

ปรับความสูงของเก้าอี้พนักพิง มีการเสริมหมอนหนุนหลังเพื่อให้นั่งสบายขึ้นและเลือกใช้เก้าอี้ที่มีที่วางแขน

ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเอง ไม่นั่งหลังค่อม ไม่ห่อไหล่

ท่าโยคะอย่างง่ายป้องกันโรคออฟฟิศซินโดรม

ท่าแรก

: นอนคว่ำ วางแขนห่างกันเท่าความกว้างของหัวไหล่ ใช้มือดันตัวขึ้น

: เหยียดข้อศอก ยกศีรษะ ไหล่ หน้าอก เอว ให้สูงขึ้นเงยหน้าไปด้านหลัง

: สะโพกด้านหน้า ต้นขา และเท้า วางราบกับพื้น

: ท่านี้จะรู้สึกตึงบริเวณหลังและหน้าท้องเล็กน้อย หายใจเข้าออกปกติ ค้างไว้ 10 - 20 วินาที ทำซ้ำ 5 - 10 ครั้ง

ท่าที่สอง

: นอนหงาย ยกขาขึ้น2ข้าง (ถ้าตึงมากให้ยกทีละข้าง)

: พยายามใช้มือแตะปลายเท้า ถ้าไม่ถึงให้ใช้ผ้าขนหนูคล้องปลายเท้า

: ออกแรงดึงขายกสูงขึ้นมาทางศีรษะโดยให้เข่าเหยียดตรงตลอด

: สะโพกลอยพ้นพื้นเล็กน้อย คอและไหล่วางบนพื้นด้วยความผ่อนคลาย

: ท่านี้จะรู้สึกตึงบริเวณกล้ามเนื้อขาโดยเฉพาะด้านหลังของเข่า ค้างไว้ 10 - 20 วินาที ทำซ้ำ 5 - 10 ครั้ง

ท่าที่สาม

: นั่งขัดสมาธิ หลังตรง มือสอดใต้สะโพก (นั่งทับ)

: ก้มศีรษะเล็กน้อย เอียงศีรษะทางซ้าย มือซ้ายจับศีรษะ กางศอกออก กดลงเบาๆ

: ท่านี้จะรู้สึกตึงบริเวณกล้ามเนื้อคอและบ่าด้านตรงข้าม ค้างไว้ 10 - 20 วินาที ทำซ้ำ 5 - 10 ครั้ง

: สลับข้าง ทำเช่นเดียวกัน

ท่าที่สี่ : นั่งขัดสมาธิ หลังตรง มือสอดใต้สะโพก (นั่งทับ)

: ก้มศีรษะลงกดคางชิดอก เอียงศีรษะทางซ้าย มือซ้ายจับศีรษะ กดศอกเอียงด้านหน้า

: ท่านี้จะรู้สึกตึงบริเวณคอสะบักขวา ค้างไว้ 10 - 20 วินาที แล้วตั้งศีรษะตรง ทำซ้ำ 5 - 10 ครั้ง

: สลับข้าง ทำเช่นเดียวกัน นั่งทับมือซ้าย แล้วก้มเอียงศีรษะทางขวา มือขวาออกแรงกดเบาๆ

ท่าที่ห้า : นั่งขัดสมาธิ หลังตรง พาดแขนซ้ายมาด้านหน้าอก

: นำศอกขวากดศอกซ้าย เข้าหาไหล่ขวา หันหน้าไปทางด้านซ้าย

: ท่านี้จะรู้สึกตึงบริเวณต้นแขนด้านหลังและสะบัก ค้างไว้ 10 - 20 วินาที ทำซ้ำ 5 - 10 ครั้ง

: สลับข้าง ทำเช่นเดียวกัน แขนขวาพาดด้านหน้า ศอกซ้ายกดหาไหล่ซ้าย หันหน้าไปทางขวา

ท่าที่หก : นั่งขัดสมาธิ หลังตรง ประสานมือทั้ง 2 ข้างด้านหลัง บีบมือเข้าหากันให้แน่น

: ยืดอก ยืดหลังขึ้น บีบสะบักเข้าหากัน ดันแขนออกไปไกลลำตัวให้มากที่สุด

: ท่านี้จะรู้สึกตึงบริเวณต้นแขน หน้าอกและสะบัก ค้างไว้ 10 - 20 วินาที ทำซ้ำ 5 - 10 ครั้ง

ท่าที่เจ็ด : นั่งหลังตรง เหยียดขาซ้ายไปด้านหน้า ขาขวาข้ามวางข้างเข่าซ้ายด้านนอก

: ศอกซ้ายออกแรงดันเข่าขวาไปทางซ้าย บิดตัวไปทางขวาให้มากที่สุด

: มือขวาวางด้านหลัง หันหน้ามองข้ามไหล่ขวาไปด้านหลัง

: ท่านี้จะรู้สึกตึงบริเวณสะโพกและลำตัวด้านข้างขวา ค้างไว้ 10 - 20 วินาที ทำซ้ำ 5 - 10 ครั้ง

: สลับข้าง ทำเช่นเดียวกัน เหยียดขาขวา งอเข่าซ้าย ศอกขวาออกแรงดัน บิดตัวไปทางซ้าย

ท่าที่แปด : นั่งขัดสมาธิ หลังตรง จากนั้นเหยียดขาขวาออกไปด้านข้างให้ตั้งฉากมากที่สุด

: มือขวาจับเข่าซ้าย บิดตัวไปทางซ้าย ยกมือซ้ายขึ้นแนบหู เอื้อมหลังศีรษะไปจับปลายเท้าขวา

: ถ้าตึงขาหรือลำตัวมาก จับไม่ถึง ให้ใช้ผ้าคล้องปลายเท้าขวาช่วยได้

: ท่านี้จะรู้สึกตึงลำตัวและต้นแขนซ้าย ต้นขาหลังและน่องขวา ค้างไว้ 10 - 20 วินาที ทำซ้ำ 5 - 10 ครั้ง

: สลับข้าง ทำเช่นเดียวกัน งอเข่าขวา เหยียดขาซ้าย มือซ้ายจับเข่าขวา มือขวาจับปลายเท้าซ้าย

ไทยสเก็ต ใครสกัด ??

ปัจจุบันกีฬา “Surf Skate” กำลังเป็นที่นิยมในประเทศไทยด้วยอิทธิพลจากดารา คนมีชื่อเสียง เริ่มหันมาเล่นกิจกรรม Surf Skate ในช่วงกักตัวโควิด-19 ด้วยความที่มีสไตล์เท่ และ เป็นกิจกรรมที่สามารถเล่นได้ทุกเพศ ทุกวัย ทำให้กีฬาชนิดนี้ได้เริ่มกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง

และด้วยความที่เริ่มเป็นที่นิยมมากยิ่งขึ้น ทางผู้ประกอบการก็ได้เล่งเห็นถึงความสำคัญของกิจกรรมประเภทนี้จึงได้มีการเริ่มจัดพื้นที่สำหรับการเล่น Surf Skate อย่างเช่นห้างร้านต่าง ๆ ก็จะมีกิจกรรมลานกว้าง สำหรับเล่นกีฬา Surf Skate ให้ผู้คนได้ออกมาวาดลวดลายโชว์ฝีมือ และเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจให้คนไทยได้ออกมาทำกิจกรรมนอกบ้าน

รวมไปถึงมีการจัดการประกวดมีทั้งประกวดลีลาท่าทาง ความสวยงาม ชิงเงินรางวัลกัน นับได้ว่ากีฬา Surf Skate ทำให้หลาย ๆ คนที่ไม่คิดจะออกกำลังกาย หรือ อยากอยู่แต่บ้าน ได้หันกลับมาทำกิจกรรมแก้เบื่อในช่วงโควิด-19 กัน

ด้วยความนิยมของเจ้ากีฬา Surf Skate ก็ทำให้กระทรวงวัฒนธรรมได้คิดงานอีเว้นท์รวมเหล่าคนชื่นชอบ Surf Skate มาร่วมกิจกรรมในงาน “รัตนโกเสิร์ฟ” ที่จัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม 64 นำทีมโดย โจอี้ บอย ( อภิสิทธิ์ โอภาสเอี่ยมลิขิต ) และ มาดามเดียร์ (วทันยา วงษ์โอภาสี) นำทัพคนรักกีฬา Surf Skate กว่า 300 คนมาเล่นรอบเกาะรัตนโกสินทร์ในระยะทางกว่า 4 กิโลเมตร โดยมีธีมการแต่งกายด้วยชุดไทย เพื่อผสมผสานกีฬา Surf Skate และ ความเป็นไทยเข้าด้วยกัน กิจกรรมนี้ก็เรียกได้ว่าได้รับความสนใจอย่างมาก

แต่แล้วเรื่องก็ดันมาเกิดขึ้นในวันที่จัดงาน “รัตนโกเสิร์ฟ” ถึง 2 ประเด็นด้วยกันนั้นก็คือ

เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยเรายังมีมาตรการของเรื่องโควิด-19 ที่ทางรัฐบาลยังคงขอความร่วมมือกำชับให้ทุกคนสวมใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันเชื้อโควิด-19 แต่ทำไมทุกคนที่ไปร่วมกิจกรรม ไม่มีใครสวมใส่หน้ากากอนามัยสักคน ?? สร้างความงุนงง ฉงนไปทั้งโซเชียลมีเดีย มีคำถามเกิดขึ้นมากมายจนติดเทรนด์ #รัตนโกเซิร์ฟ พุ่งขึ้นอันดับ 1 ในทวิตเตอร์กันเลยทีเดียว เพราะในงานมีทั้งผู้ปกครองที่พาลูกเล็กเด็กแดงไปเล่นด้วย ผู้คนก็มากหน้าหลายตา ชาวเน็ตก็ตั้งข้อสงสัยว่าทำไมถึงกล้าที่จะไม่ปกป้องตัวเอง ไม่ใส่หน้ากากอนามัย เข้าเมืองไปเล่น Surf Skate กันได้อย่างสบายใจ โดยที่ไม่แคร์สุขภาพตัวเอง ถ้าติดโควิด-19 กันเป็นหมู่เป็นคณะขึ้นมาจะทำยังไง จะต้องกักตัวกันอีกสักกี่รอบกันคะคุณ ?

และอีกประเด็นที่รุนแรงไม่แพ้กันคือม็อบที่จัดตรงกับวันที่เหล่าชาว Surf Skate ได้ไปเล่นทั่วเกาะรัตนโกสินทร์นั้นก็คือ ม็อบ “NME of Anachy” หรือ ม็อบ “หมู่บ้านทะลุฟ้า” (ซึ่งหมู่บ้านทะลุฟ้า เป็นค่ายพักแรมของผู้ประท้วงในระหว่างการประท้วงในประเทศไทย พ.ศ. 2563–2564 ก่อตั้งโดยกลุ่มเดินทะลุฟ้า เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2564 ตั้งอยู่บริเวณสะพานชมัยมรุเชฐ ข้างทำเนียบรัฐบาล โดยมีข้อเรียกร้อง ได้แก่ การประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน, การยกเลิกกฎหมายความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ไทย และการปล่อยตัวนักโทษการเมือง) ซึ่งผู้จัดประกาศว่าจะปักหลักชุมนุมไปอย่างไม่มีกำหนด) โดยทางฝั่งม็อบก็เรียกร้องกันกัน แต่กลับโดนเหล่าเจ้าหน้าที่ตำรวจขอเรียกคืนพื้นที่ แต่ไม่เป็นผลจึงได้รีบดำเนินจับกุมผู้ชุมนุมด้วยข้อหามีการชุมนุมมั่วสุมกันและฝ่าฝืนกฎ พ.ร.บ. ควบคุมโรค

อ่าว….แล้วทำไมม็อบถึงโดนจับด้วยข้อหานี้แล้วฝั่งรัตนโกเสิร์ฟถึงเล่นได้ล่ะเนี่ย… มันยังไงกันคะ คุณตำรวจ ?

ทางทีมผู้จัดงานถึงกับต้องชี้แจงรายละเอียดอย่างเร่งด่วนให้ชาวเน็ตผู้ที่สงสัยใคร่รู้แต่ไม่ได้เป็นคนไปร่วมกิจกรรมรัตนโกเสิร์ฟได้กระจ่างแจ่มแจ้งกันเลยทีเดียว ซึ่งมาดามเดียร์ก็ได้ออกมาแถลงผ่านเฟซบุ๊ค “เดียร์ วทันยา วงษ์โอภาสี”

แบบปัง ๆ ว่า

.

ขอชี้แจงการจัดงานรัตนโกเซิร์ฟ ที่เหมือนๆกำลังจะเป็นประเด็นดราม่า ดังนี้นะคะ

1. เรื่องการไม่ใส่แมสก์

ขออธิบายด้วยภาพนะคะ จะเห็นได้ว่าภายในงานก่อนที่จะเริ่มมาที่จุดสตาร์ท ผู้ร่วมกิจกรรมสวมแมสก์ตามปรกติ แต่ภาพที่เราเห็นกัน เป็นการถอดมาเพื่อถ่ายภาพที่ระลึกจังหวะก่อนเริ่มออกตัวจากจุดสตาร์ท และพอออกจากจุดสตาร์ทไปแล้ว การเล่นเซิร์ฟสเกตก็ถือเป็นกีฬาชนิดหนึ่งจึงจำเป็นต้องถอดแมสก์ออกเพื่อระบบการหายใจที่สมบูรณ์ในขณะที่มีอากาศร้อน และการเล่นเซิร์ฟสเกตนั้นในข้อเท็จจริงเราไม่สามารถเล่นในติดกันในระยะประชิดได้อยู่แล้ว เพราะตัวบอร์ดจะไปเกี่ยวกันทำให้เกิดอันตรายได้ ก็ถือเป็นการรักษาระยะห่างไปในตัว อีกทั้งการเล่นเซิร์ฟสเกตนี้เราเล่นอยู่ในสถานที่เปิดที่มีอากาศถ่ายเท ไม่ใช่สถานที่ปิด และเมื่อกลับถึงเส้นชัยทุกคนก็กลับมาใส่แมสก์กันตามปกติค่ะ

2. เรื่องจำนวนคนและความปลอดภัย

งานนี้ต้องลงทะเบียนล่วงหน้า จริงๆมีคนต้องการเข้าร่วมงานจำนวนมากแต่เราจำกัดคนตามกฎของ ศบค. ในการจัดงานที่ไม่เกิน 300 คน นอกจากนี้ภายในงานเรายังมีการควบคุมความปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นการลงทะเบียนไทยชนะ การคัดกรองวัดอุณหภูมิ และมีจุดวางเจลแอลกอฮอล์ตามคำแนะนำของ ศบค. ทุกอย่าง ทั้งนี้เราเป็นห่วงความปลอดภัยของผู้เข้าร่วมกิจกรรมเป็นสิ่งสำคัญ เรามีการจัดเตรียมรถพยาบาล และอาสาจราจรตลอดเส้นทาง เพื่อคอยดูแลความปลอดภัยของผู้เข้าร่วมงาน และผู้ที่สัญจรไปมา จึงจะเห็นได้ว่าการจัดกิจกรรมครั้งนี้จึงผ่านไปด้วยดีไม่มีผู้ได้รับอุบัติเหตุใดๆ

สุดท้ายเดียร์หวังว่า การจัดงานกิจกรรมครั้งนี้เริ่มต้นจากความตั้งใจของคนส่วนหนึ่งในสังคมที่มีใจรักในกีฬาเซิร์ฟสเก็ต และอยากให้ออกมาทำกิจกรรมให้เป็นตัวอย่างต่อภาคส่วนอื่นๆที่จะออกมาสร้างกิจกรรมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจหรือสังคมภายใต้กฎระเบียบที่รัฐได้กำหนดไว้อย่างถูกต้องต่อไป

กิจกรรมครั้งนี้เกิดขึ้นจากคนที่รักในการเล่นกีฬา พวกเราทุกคนทักทายพูดคุยกันโดยไม่รู้ว่าใครทำงานอะไร หรือมีตำแหน่งหน้าที่อะไรในสังคม จึงอยากขอพื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่ที่ปลอดเรื่องของการเมืองนะคะ

.

เคลียร์ประเด็นเรียบร้อย แจ่มแจ้งทุกข้อสงสัย หมดข้อสงสัยกันแล้วนะ เหล่าชาวเน็ตทั้งหลาย แต่อีกประเด็นนั้น (อาจจะ) ไม่เกี่ยวกับการจัดงานในครั้งนี้ ก็…ตามนั้นแหละค่ะ

สุดท้ายนี้ก็ดูแลตัวเองในช่วงโควิด-19 กันด้วยนะคะ รอวัคซีนปัง ๆ มา เราก็คงอุ่นใจขึ้นอีกนิดละคะ และถ้าใครที่อยากที่จะลองเล่นเจ้า Surf Skate นี่ล่ะก็ ลองศึกษาวิธีการเล่น ราคาของเจ้าบอร์ด Surf Skate และ อุปกรณ์ป้องกันด้วยนะคะ เพราะกีฬาทุกชนิดก็มีความอันตรายของมันอยู่ ถ้าพลาดเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจะไม่คุ้มเสี่ยงเอานะคะ Have a good day ค่ะ


ข้อมูลอ้างอิง

https://siamrath.co.th/n/230967

https://www.zipeventapp.com/blog/2021/03/12/surf-skate-location/

https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/929651

https://www.thairath.co.th/news/politic/2059487

https://www.facebook.com/dear.watanya.wongopasi/posts/298935548255742

Surf Skate เทรนด์ใหม่แห่งยุค ก็ของมันต้องมี...

Surf Skate (เซิร์ฟสเก็ต) เป็นกีฬาบนแผ่นกระดานชนิดหนึ่ง ที่เป็นการผสมผสานกันระหว่างสเก็ตบอร์ดกับกีฬาเซิร์ฟ โดยได้พัฒนาและปรับปรุงอุปกรณ์ให้ผู้เล่นสามารถต่อยอดทักษะการเล่นเซิร์ฟ นั่นเอง และให้ความรู้สึกคล้ายการเล่นเซิร์ฟบอร์ดในทะเลมากที่สุด ถึงจะไม่ได้ไปทะเล แต่ก็ให้ความรู้สึกเหมือนโต้คลื่นทะเลได้เหมือนกันนะ

ลักษณะของ Surf Skate มีขนาดความยาวมีตั้งแต่ 26 นิ้ว จนถึง 40 นิ้ว โดยแผ่น Surf Skate ไม่แข็งเท่ากับ Skate Board และล้อหน้าของ Surf Skate สามารถหมุนซ้าย - ขวา หรือ 360 องศา ถือว่าเป็นกีฬาสไตล์เอ็กซ์ตรีมที่กำลังมาแรงตัวหนึ่งในยุคนี้เลยก็ว่าได้ แล้วยังสามารถเล่นได้ตั้งแต่เด็กไปจนถึงผู้สูงวัยอีกด้วย...

แล้วการเล่น Surf Skate แตกต่างจากการเล่น Skate Board ตรงไหน? 
สเก็ตบอร์ดทั่วไปจะไม่สามารถหมุนล้อได้ จะต้องไปในทิศทางเดียวเท่านั้น แต่เซิร์ฟสเก็ตสามารถบิดไปในทิศทางไหนก็ได้ เพราะตัวบอร์ดมีสปริงอยู่ข้างใต้ ช่วยให้บิดไปในทิศทางที่ต้องการได้ง่าย ด้วยการกดน้ำหนักและปล่อย ย้ำซ้ำ ๆ เพื่อเหวี่ยงไปยังทิศทางที่ต้องการ ซึ่งฟังก์ชันการใช้งานนี้เองที่พิเศษกว่าสเก็ตบอร์ดทั่ว ๆ ไป จนผู้คนหันมาเล่นแล้วถูกใจไปตาม ๆ กัน

เรามารู้ถึงต้นกำเนิดของ Surf Skate กันบ้าง เริ่มต้นจาก Neil Stratton และ Greg Falk สองผู้ก่อตั้ง Carver Skateboards พวกเขารู้สึกว่าสเก็ตบอร์ดแบบเดิมที่เล่นกันอยู่ ไม่ใกล้เคียงกับคำว่าเซิร์ฟแม้แต่นิดเดียว ทั้ง ๆ ที่ทุกแบรนด์ต่างก็โฆษณาว่าการเล่นสเก็ตบอร์ดก็เหมือนกับการเซิร์ฟบนบก ให้ความรู้สึกเหมือนการเล่นเซิร์ฟในทะเล... แต่จริง ๆ แล้วพวกเขารู้สึกว่ายังไม่เป็นแบบนั้น จึงทำให้ทั้งคู่ช่วยกันคิดและพัฒนาสเก็ตบอร์ด และนำเทคนิคของการเล่นเซิร์ฟมาใช้ร่วมด้วย จึงกลายมาเป็น Surf Skate ในปัจจุบันนี้นี่เอง

เอาล่ะ! แล้วทำไมถึงเกิดมาฮิตที่ไทยได้ หรือเริ่มมีกระแสคนหันมาเล่นกันเยอะ แล้วของมันต้องมีหรือไม่ ลองมาคิดดูแล้ว ในไทยก็มีกลุ่มคนเล่น Surf Skate จำนวนหนึ่งอยู่แล้ว แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าดารา ศิลปิน หรือแม้แต่ไอดอล เป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลมาก ในการที่จะหยิบสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาเล่น หรือ มาใช้ เมื่ออัปลงโซเชียลแล้วล่ะก็ แฟนคลับต่างหันไปซื้อมาใช้ตาม ๆ กัน จนเกิดเป็นเทรนด์ขึ้นมา และหนึ่งในนั้นคือ Surf Skate นั่นเอง กลายเป็นกีฬาฮิตกันทั่วเมือง จนมีสถานที่เปิดให้เล่นมากมายเกิดขึ้น ขนาดในช่วงปี 2020 แม้จะดูเศรษฐกิจซบเซาในยุคโควิท-19 แต่ก็ทำให้ธุรกิจเกี่ยวกับการเล่นเซิร์ฟเติบโตถึง 5 เท่า! และตอนนี้ก็ยังคงเป็นที่ต้องการของตลาดเป็นอย่างมาก โดยมีแบรนด์ยอดนิยม หรือ ลวดลายที่ผู้คนต้องการ จนราคาพุ่งขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง ไม่หยุดหย่อน ทีนี้ถ้าหากใครยังลังเล อยากจะได้มาเป็นเจ้าของหรือว่าของมันต้องมีจริง ๆ ต้องพิจารณาให้ดีเชียวล่ะ ว่า Surf Skate จะเป็นเพียงกีฬากระแสหรือไม่...


อ้างอิง

https://thomasthailand.co/activity/surfskate/ 
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/926899 
https://www.mainstand.co.th/catalog/1-Feature/2239

นาคในพม่า ตำนานที่มีตัวตน

“นาค” เป็นสัตว์ที่มีอยู่ในตำนานของพระพุทธศาสนา และผูกพันกับคนไทย ลาว และเขมรหรือเราเรียกว่าผู้คนลุ่มน้ำโขงมาช้านาน ในฐานะสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ผู้พิทักษ์ศาสนสถานและโบราณสถานต่าง ๆ แต่ต้นกำเนิดของคำว่านาคนั้นห่างไทย ลาว และเขมรมาก ลึกเข้าไปในดินแดนที่เป็นพรมแดนอินเดียและเมียนมาร์ในปัจจุบัน และพวกเขายังมีตัวตนอยู่ พวกเขาคือ “เหล่านาคา”

เผ่านาคา หรือนากา เป็นชนเผ่าโบราณเชื่อว่ามีมาก่อนสมัยพุทธกาลอาศัยอยู่บริเวณรัฐมณีปุระ (Manipur) รัฐอรัณาจัล ประเทศ (Arunachal Pradesh) และรัฐอัสสัม (Assam) ในอินเดีย จวบจนถึงรัฐสะกาย (Sagaing) และรัฐคะฉิ่น (Kachin) ในเมียนมาร์แต่สถานที่ที่มีชาวนาคาอยู่มากที่สุดคือ นากานาคาแลนด์ได้รับการจัดตั้ง ขึ้นเป็นรัฐที่ 16 ของประเทศอินเดียในวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2506

โดยแบ่งการปกครองภายในออกเป็น 11 เขต อันได้แก่ Kohima (เมืองหลวง), Phek, Mokokchung, Wokha, Zunheboto, Tuensang, Mon, Dimapur, Kiphire, Longleng และ Peren สภาพภูมิประเทศของนากาแลนด์ส่วนใหญ่มีพื้นที่เป็นภูเขา โดยมีเทือกเขา Naga Hills เป็นเทือกเขาขนาดใหญ่ตั้งอยู่ทิศตะวันออกเฉียง ใต้ของรัฐนาคาแลนด์ มีจุดที่สูงที่สุด คือ ภูเขาสรามาติ (Mount Saramati) ซึ่งมีความสูง 3,826 เมตร อีกทั้งเทือกเขานากา นี้ยังเชื่อมต่อกับทิวเขา Patkai ของประเทศเมียนม่าร์อีกด้วย เผ่านาคาไม่ใช่ชนเผ่าศักดิ์สิทธิ์แต่อย่างใด เพียงแต่เป็นชาติพันธุ์หนึ่งที่มีวัฒนธรรมเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง

เผ่านากาก็เฉกเช่นชนกลุ่มน้อยทั่วไปซึ่งมีหลายกลุ่ม โดยจะแบ่งเผ่านากาใหญ่ ๆ ในเมียนมาร์ได้เป็น 8 กลุ่มแยกตามภาษาที่สื่อสารคือ Konyak, Lainong, Makury, Nokko, Para, Somra Tangkhul, Tangshang, Anal Naga นอกจาก 8 กลุ่มนี้แล้วยังมีกลุ่มย่อย ๆ อีกมากมาย ส่วนชาวนากาในอินเดียนั้นประกอบไปด้วยประชากรที่เป็น ชนเผ่า หลัก 16 เผ่า และ เผ่าย่อย ๆ อีกมากมาย ภาษา ท้องถิ่นที่ใช้ในการสื่อสารระหว่างชาวนากาแลนด์จึงมีมากถึง 60 ภาษา ทั้งหมดอยู่ในตระกูลภาษา Tibeto – Burman ดังนั้นการสื่อสารระหว่างเผ่า และ ภาษาราชการในนากาแลนด์จึงใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักในการสื่อสาร

สาเหตุว่าทำไมคนในอดีตถึงเรียกเผ่านี้ว่าเผ่านากา มีปรากฎในงานเขียนของจิตร ภูมิศักดิ์ กล่าวไว้ในความเป็นมาของคำสยาม ไทย ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2519 อธิบายความหมายของคำว่า “นากา” หรือ “นาค” ไว้ดังนี้ คือ ‘ชาวอารยันยุคโบราณ สมัยที่ยังไม่เกิดเป็นรัฐประชาชาตินั้น มีการเหยียดหยามดูถูกพวกนาคมาก ถือเป็นพวกลักขะพวกหนึ่ง และคำเรียกชื่อชนชาติก็กล่าวกันว่ามาจากภาษาอัสสัม ซึ่งเขียน naga แต่อ่านออกเสียงเป็น นอค (noga) แปลว่า เปลือย แก้ผ้า บ้างก็มาจากภาษาฮินดูสตานีว่า นัค (nag) แปลว่า คนชาวเขา ในขณะที่ สุจิตต์ วงษ์เทศ กล่าวไว้ในนาคในประวัติศาสตร์อุษาอาคเนย์ ตีพิมพ์โดยมติชน เมื่อปี พ.ศ. 2546 สรุปความว่า สังคมอินเดียเมื่อสมัยพุทธกาลมีการเหยียดหยามคนกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยที่มีอารยธรรมด้อยกว่าตน เหยียดลงให้เป็นผี เป็นสัตว์ เป็นยักษ์ ไม่อาจเทียบชั้นกับพวกตนที่เป็นมนุษย์ได้ โดยเฉพาะการไม่ยอมรับชนเผ่านาคหรือนาคาว่าเป็นมนุษย์ แม้จะพูดคุยภาษามนุษย์ด้วยกันรู้เรื่อง โดยมองพวกเขาเป็นเพียงสัตว์อย่างลิงค่างบ่างชะนีป่าเถื่อน จึงไม่ยอมรับให้ชนเผ่านาคหรือนาคาเข้าอุปสมบทในพุทธศาสนา

เป็นความเชื่อกันว่า คำว่า “นากา” หรือ “นาค” เป็นคำในภาษาอินเดียซึ่งใช้เรียกชนกลุ่มน้อยของตนที่ถูกมองว่ามีอารยธรรมต่ำต้อยกว่าในเชิงดูถูก ในขณะที่บางท่านเชื่อว่า คำว่า “นากา หรือ นาค” นี้ ชาวอินเดียหมายถึงผู้คนในแถบอุษาคเนย์ทั้งหลายด้วย เป็นลักษณะของพวกคนเถื่อนไม่นุ่งผ้าไร้อารยธรรมนั่นเอง แต่ก็ได้หลักฐานทางวิชาการอีกฝ่ายกล่าวว่า คำว่า “นากา” (Naga) เป็นคำที่มาจากคำว่า “Naka” ในภาษาพม่า แปลว่า “ผู้ที่เจาะจมูก”… ก็เพราะชาวนาคาในอดีตเจาะจมูกห้อยห่วงไว้ตามขนบประเพณีของพวกเขานั่นเอง

แต่หากมองจากอีกมุมจะเห็นว่าเผ่านากา หรือ นาคนั้นเป็นชนเผ่าที่มีการรักษาเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ของตนไว้ได้อย่างเหนียวแน่นผ่านกาลเวลาและภูมิประเทศแม้จะถูกแบ่งออกเป็น 2 แผ่นดินแต่มิอาจแบ่งแยกวัฒนธรรมของเผ่านากาได้

ปัจจุบันมีพิธี Hornbill Festival ในอินเดียเป็นงานมหกรรมวัฒนธรรมประจำรัฐที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชาวนากาแลนด์ จัดขึ้นเป็นประจำระหว่างวันที่ 1 - 7 ธ.ค.ของทุกปี (วันที่ 1 ธ.ค.เป็นวันก่อตั้งรัฐนากาแลนด์) ชื่องานนี้แปลตรงตัวว่า “เทศกาลนกเงือก” ส่วนในเมียนมาร์นั้นมีงานเทศกาลปีใหม่ของชาวนากาที่จัดขึ้นทุกเดือนมกราคมของทุกปีช่วงหลังเก็บเกี่ยว

ในอดีตก่อนที่จะมีนากาแลนด์ชาวนากาคือนักรบผู้ยิ่งใหญ่หลายคนรู้จักพวกเขาในนามนักล่าหัวคนและหลังจากที่อินเดียพยายามผนวกดินแดนนากาแลนด์เป็นส่วนหนึ่งของอินเดียนั้น พวกเขาก็ต่อสู้เพื่อเอกราชของเขามาตลอดจนอินเดียเลือกที่จะทำสนธิสัญญาหยุดยิงและให้มอบนากาแลนด์ให้เป็นเขตพื้นที่ปกครองตนเองเช่นเดียวกับฝั่งเมียนมาร์ที่มอบพื้นที่ให้เป็นเขตปกครองตนเองนากาเช่นกัน


ขอบคุณข้อมูลจาก

1. เพจศิลปะวัฒธรรมเวปไซต์วิกิพีเดีย

2. เวปไซต์วิกิพีเดีย

3. เวปไซต์สถานทูตไทยในกรุงเดลฮี


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top