Monday, 16 June 2025
SPECIAL

สตูล - มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ส่งมอบหน้ากากอนามัยให้ประชาชน จังหวัดสตูล 144,000 ชิ้น

วันนี้ 16 กันยายน 2564 ที่ อาคารเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ศาลากลางจังหวัดสตูล นายเอกรัฐ หลีเส็น ผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล ในฐานะประธานกรรมการมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ประจำจังหวัดสตูล เป็นประธานในพิธีมอบสิ่งของพระราชทาน หน้ากากอนามัย โดยมีนาวาตรีหญิงโนสมา หลีเส็น นายกเหล่ากาชาดจังหวัดสตูล ปลัดจังหวัดสตูล หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสตูล นายอำเภอทั้ง 7 อำเภอ และหัวหน้าส่วนราชการเข้าร่วมพิธีฯ

โดยมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดส่งสิ่งของพระราชทานหน้ากากอนามัย เพื่อให้ประชาชนที่มีฐานะยากจนและขาดแคลนในพื้นที่จังหวัดสตูล จำนวน 2,880 กล่อง กล่องละ 50 ชิ้น รวมเป็นจำนวน 144,000 ชิ้น ให้กับนายอำเภอทั้ง 7 อำเภอ อำเภอละ 288 กล่อง สำนักงานเหล่ากาชาดจังหวัดสตูล 288 กล่อง และสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสตูล 288 กล่อง เพื่อนำไปส่งมอบต่อให้กับประชาชนในพื้นที่ใช้ในการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19

ทั้งนี้ กรรมการมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ประจำจังหวัด นายอำเภอทุกอำเภอ หัวหน้าส่วนราชการ รวมถึงประชาชนชาวจังหวัดสตูล ต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว "พระบรมราชูปถัมภ์" แห่งมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ อย่างหาที่สุดมิได้ ที่พระองค์ ทรงห่วงใยทุกข์ยากของประชาชนชาวจังหวัดสตูล และเป็นขวัญกำลังใจให้ประชาชน สามารถผ่านความทุกข์ยากเดือดร้อนในเบื้องต้นต่อไปได้


ภาพ/ข่าว  นิตยา แสงมณี / ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดสตูล

ตำรวจเตือน! นักลงทุนแชร์ออนไลน์ ระวังถูกหลอกสูญเงิน ใครคิดโกงระวังโทษหนัก!! แถมถูกยึดทรัพย์อีกด้วย

วันที่ 16 ก.ย.2564 พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ปัจจุบันมีพี่น้องประชาชนต้องการนำเงินเก็บของตนเองมาลงทุนเพื่อให้ได้ผลกำไร หรือต้องการเงินโดยไม่ต้องผ่านสถาบันการเงินหรือเงินกู้นอกระบบที่มีการเรียกอัตราดอกเบี้ยที่สูงมาก จึงเข้าร่วมเล่นแชร์ออนไลน์ที่มีการชักชวนผ่านสื่อสังคมออนไลน์  ซึ่งบางครั้งก็ไม่รู้จักตัวตนจริงของอีกฝ่าย แต่นำเงินหลักหมื่นหลักแสนมาร่วมเล่นแชร์ออนไลน์และถูกมิจฉาชีพหลอกลวงสูญเงินเป็นจำนวนมาก จนกระทั่งคิดสั้น ตัดสินใจไปก่ออาชญากรรมเพื่อให้ได้เงินคืนมา ยกตัวอย่าง

กรณีนักเรียนมัธยม อายุ 17 ปี ที่ก่อเหตุใช้อาวุธมีดชิงทรัพย์ร้านค้าทอง และถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัว

พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ฯ กล่าวต่อไปว่า แต่เดิมนั้น “การเล่นแชร์” ส่วนใหญ่จะเล่นกันในหมู่คนที่ใกล้ชิดหรือคนรู้จักคุ้นเคยกัน เพราะต้อง อาศัยความไว้เนื้อเช่ือใจซึ่งกันและกันพอสมควร แต่มาถึงโลกยุคดิจิทัลที่ประชาชนเข้าถึงสื่อสังคมออนไลน์มากขึ้น จึงมีมิจฉาชีพหลอกลวงประชาชนผ่านการเล่นแชร์ออนไลน์ โดยจะมีการโฆษณาชักชวน ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ให้ออมเงินโดยอ้างว่าจะให้ดอกเบี้ยสูงกว่าสถาบันการเงินสุดท้ายก็ปิดวงแชร์หลบหนีพร้อมเงินที่ผู้เสียหายร่วมเล่นแชร์ หรือ หลอกให้ร่วมลงทุนในธุรกิจ(ที่ไม่มีอยู่จริง)ในลักษณะแชร์ลูกโซ่ โดยมิจฉาชีพจะอ้างว่าได้ผลกำไรสูง ในระยะเวลาสั้น ๆ  ซึ่งมิจฉาชีพมักจะทำให้ตายใจด้วยการจ่ายผลตอบแทนตามที่โฆษณาไว้เพื่อเป็นการหลอกให้ลงทุนสูงขึ้น และบางคนถึงขั้นไปชักชวนญาติพี่น้องและเพื่อนฝูงมาร่วมลงทุนอีกด้วย ซึ่งสุดท้ายมิจฉาชีพมักจะอ้างว่าธุรกิจขาดทุน มีปัญหา จึงไม่สามารถส่งเงินได้ตามปกติ พร้อมทั้งบอกกับผู้เสียหายว่าอย่าเพิ่งแจ้งความ สุดท้ายจะตัดการติดต่อและหลบหนีไปในที่สุด

สำหรับความผิดที่เกี่ยวข้องนั้น จะขอกล่าวเฉพาะประเด็นสำคัญ ดังนี้

1.พ.ร.บ.การเล่นแชร์ พ.ศ. 2534 มาตรา 6กำหนดว่า

ห้ามมิให้บุคคลธรรมดาเป็นนายวงแชร์หรือจัดให้มีการเล่นแชร์ที่มีลักษณะ อย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้(1) เป็นนายวงแชร์หรือจัดให้มีการเล่นแชร์มีจำนวนวงแชร์ รวมกันมากกว่าสามวง

1.1) มีจำนวนสมาชิกวงแชร์รวมกันทุกวงมากกว่าสามสิบคน

1.2) มีทุนกองกลางต่อหนึ่งงวดรวมกันทุกวงเป็นมูลค่ามากกว่า จำนวนที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง

1.3) นายวงแชร์หรือผู้จัดให้มีการเล่นแชร์นั้นได้รับประโยชน์ ตอบแทนอย่างอื่นนอกจากสิทธิที่จะได้รับทุนกองกลางในการเข้าร่วมเล่นแชร์ ในงวดหนึ่งงวดใดได้โดยไม่ต้องเสียดอกเบี้ย ฯ ผู้ใดฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำท้ังปรับ”

มาตรา 9 ห้ามมิให้ ผู้ใดโฆษณาชักชวนให้ประชาชนทั่วไปเข้าร่วมในการเล่นแชร์ ผู้ใดฝ่าฝืนต้อง ระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท

2.พ.ร.ก.การกู้ยืมเงิน ที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน มาตรา 12 ผู้ใดกระทําความผิดตามมาตรา 4หรือมาตรา 5 ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่ห้าแสนถึงหนึ่งล้านบาท และปรับอีกไม่เกินวันละหนึ่งหมื่นบาทตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนอยู่

3.ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ฉ้อโกงประชาชน ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

4.พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(1) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหาย แก่ประชาชนฯ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

นอกจากนี้ความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญาหรือความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนยังเป็นหนึ่งในมูลฐานความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 ดังนั้นหากเจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนได้ว่าผู้กระทำผิดโอน รับโอน หรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด หรือปกปิดที่มาของทรัพย์สินนั้น หรือกระทำการใด ๆ เพื่อปกปิดการจำหน่าย การโอน การได้สิทธิใด ๆ ของทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด หรือได้มาหรือครอบครองทรัพย์สิน โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ผู้กระทำผิดจะต้องถูกดำเนินคดี ตามมาตรา 5 ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปี ถึง สิบปี หรือปรับตั้งแต่สองหมื่นบาท ถึงสองแสนบาท และอาจถูกยึดหรืออายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดด้วย

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความห่วงใยพี่น้องประชาชน ไม่อยากให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ จึงขอประชาสัมพันธ์การลงทุนแชร์หรือร่วมทำธุรกิจที่มีการชักชวนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ควรตรวจสอบความน่าเชื่อถือของการลงทุนตามที่มีการกล่าวอ้างว่าเป็นจริงหรือไม่อย่างไร โดยเฉพาะการลงทุนที่อ้างว่าได้รับผลตอบแทนสูงในระยะเวลาสั้น ๆ ที่สำคัญการร่วมลงทุนกับบุคคลรู้จักกันในสื่อสังคมออนไลน์ แต่ไม่เคยเจอตัวจริง ควรหลีกเลี่ยงอย่างเด็ดขาด

ทั้งนี้ขอความร่วมมือมายังพี่น้องประชาชน หากพบเห็นการกระทำผิดกฎหมายดังกล่าว กรุณาแจ้งเบาะแสไปยังสายด่วน 191 และสายด่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สุโขทัย - เปิดนิทรรศการภาพถ่าย “การท่องเที่ยววิถีใหม่ สุขใจ ณ สุโขทัย”

วันนี้ (15 กันยายน 2564) เวลา 09.00 น. ที่ศาลาเอนกประสงค์ ศาลากลางจังหวัดสุโขทัย นายวิรุฬ พรรณเทวี ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย เป็นประธานเปิดนิทรรศการภาพถ่าย “การท่องเที่ยววิถีใหม่ สุขใจ ณ สุโขทัย” โดยสํานักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดสุโขทัย ร่วมกับจังหวัดสุโขทัย จัดโครงการประกวดภาพถ่ายเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดสุโขทัย ภายใต้หัวข้อ “การ ท่องเที่ยววิถีใหม่ สุขใจ ณ สุโขทัย” เพื่อกระตุ้นกระแสการท่องเที่ยว ทําให้นักท่องเที่ยวได้รับรู้ และกลับเข้ามาเที่ยวในจังหวัดสุโขทัย หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา 2019 (COVID -19) มีแนวโน้มดีขึ้น นําไปสู่การเพิ่มจํานวนนักท่องเที่ยว และรายได้จากการท่องเที่ยวของจังหวัดสุโขทัยต่อไป

โครงการประกวดภาพถ่ายฯ ในครั้งนี้แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ประเภทภาพดิจิทัล มีผู้ส่งเข้าประกวดจำนวน 82 ภาพ และประเภทภาพสมาร์ทโฟน มีผู้ส่งเข้าประกวด 35 ภาพ รวม 117 ภาพ ซึ่งเป็นภาพที่เล่าเรื่องการท่องเที่ยวของจังหวัดสุโขทัย ภาพทั้งหมดสามารถนําไปใช้ในการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยว เพื่อก่อให้เกิดความประทับใจแก่นักท่องเที่ยว และเพื่อนักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสกลิ่นอายความเป็นสุโขทัย อีกทั้งยังก่อให้เกิดจินตนาการในการ ท่องเที่ยวมุมมองใหม่ ๆ ด้วย

ภายใต้แผนปฏิบัติการ สยบไพรี 64/18 “ปิดฉากนักค้าภาคเหนือตอนล่าง” มุ่งเน้นการสกัดกั้นลำเลียงยาเสพติดไปประเทศที่ 3 โดยผ่านระบบคมนาคมโลจิสติกส์ - บริษัทขนส่งพัสดุทั้งในและต่างประเทศ

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ในการแก้ไขปัญหายาเสพติดและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีการขับเคลื่อนตามนโยบายดังกล่าว เพื่อร่วมกันทุกฝ่ายในการปราบปราม สืบสวน จับกุม แก้ไขปัญหายาเสพติด ตามยุทธศาสตร์ชาติ

วันที่ 15 กันยายน 2564 เวลา 11.00 น. พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก รอง ผบ.ตร.(ปป) พร้อมด้วย พล.ต.ท.มนตรี ยิ้มแย้ม ผบช.ปส.,พล.ต.ท.อภิชาติ ศิริสิทธิ์ ผบช.ภ.6,พล.ต.ต.พรชัย เจริญวงศ์ รอง ผบช.ปส.(1),พล.ต.ต.อนุภาพ ศรีนวล รอง ผบช.ปส.(4),พล.ต.ต.พยูห์ ธนศรีสืบวงศ์ รอง ผบช.ภ.6,พล.ต.ต.สมบัติ ชูชัยยะ ผบก.อก.บช.ปส.,พล.ต.ต.รพีพงษ์ สุขไพบูลย์ ผบก.ภ.จว.นครสวรรค์, นายสราวุธ ภักดี ผอ.ป.ป.ส.ภาค 6, นายรณกร เผ่าวิจารณ์ นายอำเภอพยุหะคีรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมแถลงข่าว ณ ด่านตรวจยานพาหนะพยุหะคีรี อ.พยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ ภายใต้แผนปฏิบัติการ สยบไพรี 64/18 “ปิดฉากนักค้าภาคเหนือตอนล่าง” มุ่งเน้นการสกัดกั้นลำเลียงยาเสพติดไปประเทศที่ 3 โดยผ่านระบบคมนาคมโลจิสติกส์และบริษัทขนส่งพัสดุทั้งในและต่างประเทศ ตลอดจนทำลายเครือข่ายกลุ่มนักค้ายาเสพติดระหว่างประเทศจากพื้นที่ชายแดนภาคเหนือตอนบนลักลอบลำเลียงมาพักคอยในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างเพื่อกระจายเข้าไปในพื้นที่ตอนในของประเทศ

โดยเข้าปฏิบัติการ 125 จุด ผลการปฏิบัติสามารถจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายสำคัญ จับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ จำนวน 78 ราย และตรวจยึดตาม พ.ร.บ.มาตรการฯ รายละเอียดดังนี้ เงินสดจำนวน 62,000 บาท ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง มูลค่าประมาณ 25 ล้านบาท  รถยนต์ 11 คัน มูลค่าประมาณ 11 ล้านบาท รถแทร็คเตอร์ 1 คัน มูลค่าประมาณ 1 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ 11 คัน มูลค่าประมาณ 3 ล้านบาท โทรศัพท์มือถือ 6 เครื่อง มูลค่าประมาณ 54,900 บาท เงินฝากในบัญชีธนาคาร 8 รายการ มูลค่าประมาณ 90,000 บาท รวมตรวจยึดทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 40 ล้านบาท โดยเจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุมทำการตรวจยึดของกลางทั้งหมด และส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย เพื่อขยายผลออกหมายจับบุคคล ในเครือข่ายและยึดทรัพย์สินตามพ.ร.บ.มาตรการฯ ต่อไป

กองบังคับการตรวจ จับกุม 2 คดี! “แก๊งชาวมาเลเซียหลบหนีเข้าเมือง ย่องทำบ่อนคาสิโนออนไลน์ประเทศเพื่อนบ้าน” - “รวบหนุ่มไทยขบวนการขนแรงงานคาบ้านจุดพักคอย แอบซุกแรงงานผิดกฎหมาย”

ตามนโยบายของ  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาเพื่อท่องเที่ยวในประเทศไทย โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ หรือทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ                 

   

สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.รุ่งโรจน์ ฐากูรปุณยสิริ ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.ทรงโปรด สิริสุขะ รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.กฤตัชญ์ บำรุงรัตนยศ รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.รัชธพงศ์ เตี้ยสุด รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.หฤษฎ์ เอกอุรุ รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.จิรพงศ์ รุจิรดำรงค์ชัย ผกก.สส.บก.ตม.3, พ.ต.อ.เฉลิมชนม์ แหลมทอง ผกก.ตม.จว.จันทบุรี และ พ.ต.อ.สุทธิพงษ์ พุทธิพงษ์ ผกก.ตม.จว.ประจวบคีรีขันธ์  ร่วมแถลงข่าวการจับกุมคดีที่น่าสนใจ จำนวน 2 คดีดังนี้

1.“จับกุมแก๊งชาวมาเลเซียหลบหนีเข้าเมือง ย่องทำบ่อนคาสิโนออนไลน์ประเทศเพื่อนบ้าน” - ตม.จว.จันทบุรี

กล่าวคือ ตม.จว.จันทบุรี ได้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ ออกตรวจตามแนวชายแดน ช่องทางธรรมชาติ และพื้นที่เสี่ยงต่อการหลบหนีเข้าเมือง เพื่อป้องกันปรามปราบขบวนการลักลอบนำพาคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ได้ร่วมกันจับกุมคนต่างด้าวสัญชาติมาเลเซีย จำนวน3ราย คือ 1.นายลิม(ขอสงวนสกุล) อายุ33ปี กล่าวหาว่า“เป็นบุคคลต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด” ซึ่งอยู่เกินอนุญาตเป็นเวลา 536 วัน 2.นายอึง(ขอสงวนสกุล) อายุ 17 ปี และ3.นางเจ๊าะ(ขอสงวนสกุล) อายุ39ปี กล่าวหาว่า“เป็นบุคคลต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” เหตุเกิดบริเวณหลังโกดังรับซื้อผลไม้ใกล้คลองกั้นระหว่างประเทศไทย-กัมพูชา ม.4 ต.เทพนิมิต อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี

โดยได้ทำการสืบสวนสอบสวนผู้ต้องหาทั้งหมด ทราบว่า ได้เดินทางจากกรุงเทพฯมายังจังหวัดจันทบุรีในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อที่จะลักลอบหลบหนีตามช่องทางธรรมชาติข้ามไปฝั่งประเทศเพื่อนบ้านไปทำงานในบ่อนพนันคาสิโนออนไลน์ โดยได้เสียค่าใช้จ่ายคนละ 10,000 บาท เนื่องด้วยในสถานการณ์ปัจจุบัน ได้มีกลุ่มขบวนการลักลอบนำพาคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายข้ามไปยังฝั่งประเทศเพื่อนบ้านที่มีพฤติการณ์การกระทำความผิดเช่นเดียวกันนี้อยู่เป็นจำนวนมาก จากกรณีดังกล่าวมีพยานหลักฐานที่จะต้องดำเนินการสืบสวนขยายผลไปยังผู้ร่วมขบวนการต่อไป

2.“รวบหนุ่มไทยขบวนการขนแรงงานคาบ้านจุดพักคอย แอบซุกแรงงานผิดกฎหมาย” - ตม.จว.ประจวบคีรีขันธ์

ก่อนเกิดเหตุ ชุดสืบสวน ตม.จว.ประจวบคีรีขันธ์ ได้ทำการสืบสวนขยายผลจากการลักลอบขนแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายครั้งที่ผ่านพบว่า ประจวบคีรีขันธ์เป็นทางผ่านมุ่งหน้าไปทำงานปลายทางหลายที่ไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพฯ หรือทางใต้เช่นจังหวัดภูเก็ต สุราษฎร์ธานี ซึ่งจะมาพักคอยเปลี่ยนรถที่ละแวกอำเภอปราณบุรี ชุดสืบสวนได้ทำการสืบสวนลงไปจนพบลักษณะบ้านที่ต้องสงสัยอยู่ในพื้นที่ ม.3 ต.วังก์พง อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นบ้านที่เกิดเหตุในครั้งนี้ และต่อมาได้สืบทราบว่ามีแรงงานที่ลักลอบเข้ามามาพักคอยที่บริเวณดังกล่าว จึงได้วางแผนจับกุมโดยวางกำลังซุ่มดู ซึ่งซุ่มดูอยู่ระยะหนึ่งจนกระทั่งเวลาประมาณ 12.00 น.ในวันเดียวกันก็พบว่ามีคนหลายคนทั้งหญิงชายอยู่ในบ้านหลังดังกล่าวภาษาพูดคุยไม่ใช่ภาษาไทย จึงแน่ใจว่าเป็นคนต่างด้าวและได้เข้าไปตรวจสอบพบ นายศักดิ์ชัย(ขอสงวนสกุล) อายุ 54 ปี เป็นเจ้าบ้านและมีคนสัญชาติกัมพูชา จำนวน  5 คน เป็นชาย 3 คน หญิง 2 คน และมีคนสัญชาติเมียนมา เป็นเพศหญิงอีก 1 คน ตรวจสอบกับระบบ Biometrics ไม่พบในฐานข้อมูลสอบถามรับว่าเป็นบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้ามาจริงและพักคอยอยู่หลายวันแล้ว จึงได้จับกุมทั้งหมดนำดำเนินคดี โดยแจ้งข้อกล่าวหานายศักดิ์ชัยฯ ว่า “ช่วยเหลือ หรือ ซ่อนเร้นด้วยประการใด ๆ เพื่อให้บุคคลต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมายหรือพ้นจากการจับกุม” และแจ้งข้อกล่าวหา บุคคลต่างด้าวจำนวน 6 คนว่า “เป็นบุคคลต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต”

จากการสอบถามข้อมูลคนต่างด้าวพบว่าหลบหนีเข้ามา ระหว่างนี้พักคอยเพื่อรอติดต่อหางานทำเมื่อได้งานจะมีรถเข้ามารับที่บ้านที่เกิดเหตุเพื่อเดินทางต่อไป ปลายทางต้องการไปหางานทำที่จังหวัดภูเก็ตเสียค่าใช้จ่ายคนละประมาณ 18,000 บาท โดยนายศักดิ์ชัยฯ เจ้าของบ้านให้การรับสารภาพว่ารับคนมาจากเพื่อนที่รู้จักกัน ให้มานอน พักคอยระหว่างคนต่างด้าวหางานโดยรับค่าจ้างเหมา 1,500 บาทต่อคน ซึ่งจากพยานหลักฐานที่พบจะมีการสืบสวนขยายผลดำเนินไปยังผู้ร่วมขบวนการที่เกี่ยวข้องต่อไป

สตม.ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม.มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ  รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับและมีเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178  หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

สตม. รวบสาวใหญ่ อ้าง! ซี้นักการเมือง หลอกตุ๋นต่างด้าว สามารถให้สัญชาติไทยได้ สูญเงินหลายแสนบาท!

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.สถิตย์ พรมอุทัย รอง ผบก.สส.สตม. พ.ต.อ.ชย พานะกิจ ผกก.(สอบสวน)กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. และเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สส.สตม. ร่วมกับเจ้าหน้าที่ ศปชก.สตม. ร่วมแถลงข่าวการจับกุม

น.ส.ชลิดาฯ อายุ 32 ปี ในข้อหา “ฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น”

ซึ่งมีพฤติการณ์หลอกลวงคนต่างด้าวที่ทำงานในบริษัทเดียวกัน ว่าสามารถขอสัญชาติไทยให้ได้ เพราะรู้จักกับนักการเมืองท้องถิ่นใน จ.ชลบุรี โดยมีการสร้างโปรไฟล์ปลอมเป็นนักการเมืองท้องถิ่นและส่งให้ผู้เสียหายติดต่อ ซึ่งมีการเรียกรับเงินโดยอ้างว่าเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการต่อคน รายละ 60,000 บาท เมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อและได้โอนเงินให้ น.ส.ชลิดาฯ ไปแล้วนั้น ปรากฏว่าไม่สามารถติดต่อได้อีก จึงเชื่อว่าตนถูก น.ส.ชลิดาฯ หลอกลวงให้โอนเงิน เบื้องต้นพบผู้เสียหาย 3 ราย เป็นชาวกัมพูชา ความเสียหายประมาณ 200,000 บาท ซึ่งเชื่อว่ามี ยังมีผู้เสียหายในพื้นที่จังหวัดชลบุรี ที่ถูกหลอกให้โอนเงินในลักษณะดังกล่าวอีกหลายราย แต่ไม่กล้าแจ้งความดำเนินคดี

ต่อมา ชุดจับกุม สตม. ได้สืบสวนติดตามจนทราบว่า น.ส.ชลิดาฯ หลบหนีมาพักอาศัยอยู่ในพื้นที่ อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา และ ชุดจับกุม สตม. ได้ร่วมกันจับตัว น.ส.ชลิดาฯ ในข้อหา “ฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น”ตามหมายจับศาลจังหวัดชลบุรี ที่ จ.336/2564 โดย น.ส.ชลิดาฯ รับสารภาพว่า เป็นผู้หลอกลวงผู้เสียหายคนต่างด้าวหลายราย โดยการปลอมเป็นนักการเมืองท้องถิ่นรวมถึงเจ้าหน้าที่ เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ เนื่องจากตนติดการพนันอย่างหนักและเป็นหนี้สินจึงคิดหาเงินด้วยวิธีดังกล่าว ซึ่งชุดจับกุม สตม. ได้นำตัว น.ส.ชลิดาฯ ส่งสถานีตำรวจภูธรแสนสุข จ.ชลบุรี ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแส การกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th  จักขอบพระคุณอย่างยิ่ง

รวบคนร้าย! แฝงตัวเป็น ADMIN FACEBOOK PAGE “djpoom” หลอกเอาเงินบริจาค ขยายผลพบว่ามีการปลอม PAGE FACEBOOK ที่ LIVE สดขายสินค้า พบผู้เสียหายร่วม 100 ราย ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาท

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในปัจจุบัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาด ซึ่ง พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม.ระดมกวาดล้างคนต่างด้าว ที่ลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย ขบวนการขนคนต่างด้าวเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ตลอดจนการขนแรงงานต่างด้าวเข้า – ออกพื้นที่จังหวัดที่มีคำสั่งห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าว เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค  โควิด-19 และรวมถึงการที่คนต่างชาติเข้ามาใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.สมพงษ์  ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.พันธนะ  นุชนารถ ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.สถิตย์ พรมอุทัย รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ณภัทรพงศ สุภาพร ผกก.ปอพ.บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชย พานะกิจ ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม.,พ.ต.ท.ภาสกร นภาโชติ รอง ผกก.กก.3.บก.ปอศ, พ.ต.ท.วิศรุต ละเอียดอ่อง รอง ผกก.สส.บก.ตม.3

เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ ว่าที่ พ.ต.ต.สิทธิมณ  สร้อยภู่ระย้า สว.กก.ปอพ.บก.สส.สตม., ร.ต.อ.อดิศร บุญชุ่ม รอง สว.กก.ปอพ.บก.สส.สตม, ร.ต.อ.ฉัตรมงคล มิ่งเชื้อ รอง สว.กก.ปอพ.บก.สส.สตม,ร.ต.อ.จตุรโชค เพชรคง รอง สว.ฝอ.ภ.จว.ปราจีนบุรี เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.ปอพ.บก.สส.สตม.ร่วมกับเจ้าหน้าที่ ศปชก.สตม. และ ศปอส.ตร. ได้ร่วมกันจับกุม นายอดิศร (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 29 ปี  ตามหมายจับศาลแขวงพระนครเหนือ ในข้อหา “ฉ้อโกง,ลักทรัพย์และเข้าถึงข้อมูลของผู้อื่นซึ่งมีมาตรการในการป้องกันโดยมิชอบ”

สืบเนื่องจาก กองบังคับการสืบสวนสอบสวน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ศูนย์ปราบปรามคนร้ายข้ามชาติและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  ได้รับการร้องเรียนจากผู้เสียหาย เจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงไทย เจ้าหน้าที่ธนาคารไทยพาณิชย์ ว่าได้มีคนร้ายเข้ามาทำการแฝงตัวเป็น ADMIN PAGE “djpoom” และทำการหลอกลวงผู้เสียหายให้โอนเงินที่ทาง PAGE “djpoom” ต้องการนำไปบริจาคไป และมีคนร้ายได้ปลอมเป็น PAGE ใน FACEBOOK ที่ทำการ LIVE สด ขายสินค้า จากนั้นจะทำการหลอกลวงเอาข้อมูลส่วนบุคคลของผู้เสียหายและทำการโอนเงินออกจากบัญชีของผู้เสียหายไปเข้าบัญชีกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์และโอนต่อไปยังบัญชีที่คนร้ายต้องการจนมีผู้เสียหายหลายราย  

ต่อมาทาง เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.ปอพ.บก.สส.สตม. , ศปชก.สตม. และ ศปอส.ตร. ได้ทำการสืบสวนจนทราบว่าคนร้ายในคดีนี้คือ นายอดิศรฯ จึงได้ทำการรวบรวมพยานหลักฐานและทำการออกหมายจับผู้ต้องหา ในข้อหา  “ฉ้อโกง,ลักทรัพย์และเข้าถึงข้อมูลของผู้อื่นซึ่งมีมาตรการในการป้องกันโดยมิชอบ” ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ได้ทำการสืบสวนจนทราบว่า นายอดิศรฯ ได้พักอาศัยอยู่ที่บ้านพักในจังหวัดนนทบุรี จึงได้ทำการขอหมายค้นและเข้าทำการตรวจค้นและจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับศาลแขวงพระนครเหนือ

โดยจากการตรวจค้นจับกุมครั้งนี้ สามารถตรวจยึดคอมพิวเตอร์และสมุดบัญชีหลายรายการ ที่ผู้ต้องหานำมาใช้ในการกระทำความผิด ซึ่งผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า ได้ทำการสร้าง PAGE FACEBOOK “รับซื้อบัญชีธนาคาร - บัญชี true wallet รับซื้อในราคาสูง” ต่อมาได้มีนายวิรุณฯ ได้ติดต่อเข้ามายัง PAGE  และทำการขายบัญชีธนาคารจำนวน 2 บัญชี คือบัญชีธนาคารกรุงไทยและบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ พร้อมทั้งได้ขายบัญชี กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ จำนวน 2 บัญชี ในราคา 7,000 บาท ซึ่งหลังจากที่นายอดิศรฯ ได้บัญชีมาแล้วก็ได้เข้าไปแฝงตัวปลอมเป็น ADMIN  ของ PAGE  “djpoom” ที่กำลัง LIVE สด ในการหาเงินมาร่วมบริจาคช่วยในสถานการณ์ COVID – 19 และทำการส่งเลขที่บัญชีที่ซื้อมาจากนายวิรุณฯไปยังผู้เสียหาย และให้ผู้เสียหายทำการโอนเงินมาให้ อีกทั้งนายอดิศรฯ ยังมีพฤติการณ์ในการปลอม PAGE FACEBOOK ที่กำลัง LIVE สด ขายสินค้า และจากนั้นจะทักไปหาผู้เสียหายทาง MASSENGER  และจะหลอกผู้เสียหายโอนเงินมาให้โดยอ้างว่าต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม รวมทั้งหลอกเอาข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลธนาคารจากผู้เสียหายและทำการโอนเงินออกจากบัญชีของผู้เสียหายไป ซึ่งจากการสืบสวนขยายผลพบว่ามีผู้เสียหายร่วม 100 ราย ความเสียหายไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาท ซึ่งนายอดิศรฯ ยอมรับว่าได้ทำมาแล้วหลายครั้งและจากการตรวจสอบพบว่าเคยเป็นผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับในคดีฉ้อโกงมาก่อน

สตม. จึงขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดต่างๆ รวมทั้งการดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนหรือ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเบาะแสในการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

ขอนแก่น - พร้อมจัดการเลือกตั้ง อบต.140 แห่ง “อภินันท์” ย้ำชัด! ว่าที่ผู้สมัครต้องเตรียมตัวให้พร้อมตามระเบียบที่กำหนด เตือนผู้ใจบุญฉวยโอกาสโควิดมอบสิ่งของแฝงหาเสียง หากมีการร้องเรียนต้องเข้ารับการสอบสวนทันที

เมื่อเวลา 08.30 น.วันที่ 15 ก.ย. 2564 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำ จ.ขอนแก่น หรือ กกต. นายอภินันท์  จันทร์อุปละ ผอ.กกต.ขอนแก่น เปิดเผยว่า ขณะนี้การเตรียมการเลือกตั้ง อบต.ภาพรวมของ จ.ขอนแก่น ภายหลังจากที่ ครม.มีมติเห็นชอบให้มีการจัดการเลือกตั้ง และ กกต.กลางได้กำหนดแผนการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาฯและ นายก อบต. โดยมีการส่งเรื่องให้กับ กกต.จังหวัดได้รับทราบแล้วนั้น ซึ่งขณะนี้ กกต.ขอนแก่น ได้มีการประสานงานไปยัง อบต. 140 แห่งที่ต้องจัดการเลือกตั้งในแผนการจัดการเลือกตั้งตามที่ กกต.กำหนด เพื่อให้ ปลัด อบต.ฯทุกแห่ง ในฐานะ ผอ.กกต.ประจำ อบต.ได้ดำเนินการตามแผนการจัดการเลือกตั้งโดยเฉพาะการเสนอรายชื่อ กกต.อบต.แห่งละ 3 คนให้กับ กกต.พิจารณาแต่งตั้งให้แล้วเสร็จภายในเดือน ก.ย.เนื่องจากการประกาศให้มีการเลือกตั้ง สมาชิกสภาฯและ นายก.อบต.ในวันที่ 1 ต.ค.ดังนั้นนอกจากการที่ สมาชิกสภาฯและ นายก อบต.ทั้งประเทศจะต้องหยุดปฎิบัติหน้าที่ในวันที่ 30 ก.ย.แล้ว ขั้นตอนการดำเนินงานของ ผอ.กกต.อบต.จะต้องดำเนินการในด้านต่าง ๆ จะต้องเป็นไปตามแนวทางที่ กกต.ได้กำหนดไว้ในภาพรวมเช่นกัน

“การเลือกตั้ง อบต.ที่จะเกิดขึ้น ตามการประกาศของ กกต.ให้มีการเลือกตั้ง สมาชิกสภาฯและ นายก อบต.ทั้งประเทศในวันที่ 1 ต.ค. ซึ่งในแผนงานดังกล่าวการรับสมัครรับการเลือกตั้งจะมีขึ้นในวันที่ 11-15 ต.ค.และกำหนดให้มีการจัดการเลือกตั้งในวันที่ 28 พ.ย. ดังนั้นว่าที่ผู้สมัคร สมาชิกสภาฯและนายกฯ จะต้องเตรียมเอกสารหลักฐานและดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติ รวมทั้งระเบียบข้อบังคับต่าง ๆ ที่ กกต.กำหนดไว้ 26 ข้อ ที่ถือเป็นกฎเหล็กของการสมัครรับการเลือกตั้งในครั้งนี้อย่างไรก็ดี การเลือกตั้ง อบต.ทั้ง 140 แห่งของ จ.ขอนแก่น ในครั้งนี้ ซึ่งมีทั้งหมด 1,546 หน่วยเลือกตั้ง ซึ่ง กกต.กำหนดเขตเลือกตั้ง คือ 1 หมู่บ้าน 1 เขต มีสมาชิก อบต.ได้ 1 คน ขณะที่ นายก อบต. คือ 1 ตำบลคือ 1 เขตเลือกตั้ง ยังคงมั่นใจว่าชาวขอนแก่นจะให้ความสนใจในการออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งแบวิถีใหม่นิวนอมอลกันอย่างพร้อมเพรียง”

นายอภินันท์ กล่าวต่ออีกว่า การจัดการเลือกตั้งโดยเฉพาะสถานที่สำหรับการจัดการเลือกตั้งนั้น กกต.ประจำ อบต.ทุกตำบล จะต้องปฎิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยด้านสาธารณสุขขอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะคูหาเลือกตั้งที่จะต้องมีการแยกคูหาเฉพาะสำหรับผู้ที่ไข้สูงหรือกลุ่มเสี่ยง ขณะที่ อบต.บางแห่ง อาจจะมีการทำฉากกั้นในช่อลงคะแนนเพื่อความปลอดภัยของผู้ที่มาใช้สิทธิ์ลงคะแนน ซึ่งในการเลือกตั้งเทศบาลฯที่ผ่านมา อบต.หลายแห่งได้มาดูงานและร่วมเป็นคณะทำงานในการจัดการเลือกตั้งแล้ว ดังนั้นในการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นมั่นใจว่า ทุก อบต.จะดำเนินการจัดการเลือกตั้งที่เป็นไปด้วยความเรียบร้อย แต่ถึงอย่างไรยังคงแจ้งเตือนว่าที่ผู้สมัครทุกคนว่าอย่าฉวยโอกาสในสถานการณ์โควิดที่กำลังเกิดขึ้นในการมอบสิ่งของ หรือกระทำการที่หมื่นเหมาต่อกฎหมาย ซึ่งแม้ว่า ตามกฎหมายคือตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.เป็นต้นไปจะเข้าสู่ช่วงเลือกตั้งแต่การกระทำการใดที่หมิ่นเหม่และขัดต่อกฎหมายเลือกตั้งซึ่งว่าที่ผู้สมัครทุกคนนั้นรู้ถึงข้อกฎหมายอยู่แล้ว ดังนั้นหากมีการร้องเรียน กกต.จะต้องมีการสอบสวนทันทีโดยไม่ละเว้น และในการเลือกตั้ง ผู้ที่ปฎิบัติหน้าที่ อสม. สามารถลงสมัครรับการเลือกตั้งได้โดยกระทรวงมหาดไทยได้มีเอกสารชี้แจงในประเด็นดังกล่าวนี้มาแล้ว

พิจิตร - กอ.รมน.พิจิตร ร่วมกับเกจิดังเมืองพิจิตร ‘หลวงปู่นวล อัคคธัมโม’ ช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ covid

ณ วัดศรีสุทธาวาส ต.ท้ายทุ่ง อ.ทับคล้อ กอ.รมน. จังหวัดพิจิตรนำโดย พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ นิลจันทร์ รอง ผอ.กอ.รมน.พิจิตรร ร่วมกับ พระครูพิเศษสุทธิคุณ หรือหลวงปู่นวล อัคคธัมโม เกจิอาจารย์ชื่อดังแห่งเมืองพิจิตร จิตอาสา 904 และกลุ่มเพื่อนรักบางมูลนาก ร่วมกันทำกิจกรรมดี ๆ เพื่อสังคมในห้วงที่เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือโรคโควิด ที่กำลังแพร่ระบาดส่งผลกระทบในการดำรงชีวิต รวมไปถึงเกิดพิษเศรษฐกิจทำให้พี่น้องประชาชนในพื้นที่เกิดความยากลำบากในการดำรงชีวิต   

โดยความร่วมมือของภาคส่วนต่าง ๆ อาศัยศูนย์รวมใจของชาวพุทธก็คือวัด โดยหลวงปู่นวล นอกจากเป็นที่พึ่งทางใจของศาสนิกชนแล้ว ก็ยังมาสงเคราะห์ช่วยเหลือชาวบ้าน ในกิจกรรมครั้งนี้ ได้มอบข้าวสารอาหารแห้ง ยารักษาโรค นม และน้ำดื่ม จัดเป็นชุดมอบให้แก่ครัวเรือนที่ประสบปัญหาทางสังคม ได้แก่ ผู้ป่วยติดเตียง ผู้พิการ ผู้ยากไร้ และผู้ประสบปัญหาว่างงาน บริเวณหมู่ที่ 11 ตำบลท้ายทุ่ง อำเภอทับคล้อ จังหวัดพิจิตร ในการนี้พระเดชพระคุณหลวงปู่นวล เกจิอาจารย์ชื่อดังได้ประพรมน้ำมนต์เพื่อสร้างขวัญกำลังใจ ให้แก่เจ้าหน้าที่ที่มาร่วมพิธี และผู้ที่มารับของในการร่วมต่อสู้กับโรคร้ายด้วย


ภาพ/ข่าว  ไอซ์ ทับคล้อ มนสิชา คล้ายแก้ว

ลำปาง - มจร.วส.นครลำปางจัดกิจกรรม "ปันน้ำใจ เราไม่ทิ้งกัน ครั้งที่ 2" ครบรอบสถาปนา "134 มหาจุฬา

เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2564 มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง จัดกิจกรรม โครงการ "ปันน้ำใจ เราไม่ทิ้งกัน ครั้งที่ 2" เนื่องในโอกาสครบรอบสถาปนา "134 มหาจุฬา" โดยทางกิจการนิสิตฯได้นำนิสิตบรรพชิตและคฤหัสถ์มาช่วยกันจัดทำข้าวกล่องเพื่อนำไปมอบให้แก่บุคลากรทางการแพทย์และประชาชนผู้มาฉีดวัคซีนที่วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ซึ่งเป็นโครงการ "ปันน้ำใจ เราไม่ทิ้งกัน" ครั้งที่ 2 โดยวิทยาลัยสงฆ์นครลำปางได้จัดกิจกรรมเพื่อสังคมสนองนโยบายอธิการบดีและในวันนี้ ซึ่งได้ร่วมบูรณาการกับทางวิทยาลัยอาชีวศึกษาลำปาง ซึ่งเป็นสถานที่ผลิตจัดทำข้าวกล่องจำนวน 600 ชุด โดยในงานนี้ได้รวบรวมปัจจัยจากคณะครู อาจารย์ นิสิต ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ และผู้มีจิตศรัทธา จำนวนหนึ่งมาเป็นค่าใช้จ่ายในครั้งนี้ ในยามเกิดวิกฤตทางวิทยาลัยสงฆ์นครลำปาง ก็ไม่ทอดทิ้งกัน จะช่วยเหลือแบ่งปันซึ่งกันและกันตามกำลังความสะดวก ดังสุภาษิตคำพังเพยที่ว่า "เพื่อนแท้ก็จะเห็นใจกัน ในยามทุกข์ยากลำบาก"

โดยในช่วงเวลา 11.00 น. ตัวแทนผู้บริหาร คณาจารย์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายบรรพชิตและคฤหัสถ์ ได้เดินทางไปมอบข้าวกล่องให้กับบุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่อบจ.ลำปางที่ปฏิบัติหน้าที่ จำนวน 200 ชุด และ ได้ร่วมออกโรงทานแจกอาหาร น้ำดื่ม ให้กับประชาชนที่มาเข้ารับการฉีดวัคซีน จำนวน 400 กล่อง ณ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ถ.ป่าขาม ต.หัวเวียง อ.เมือง จ.ลำปาง "134 ปี มหาจุฬาฯ พัฒนาปัญญาและคุณธรรม นำสังคมสู่สันติสุข"


ภาพ/ข่าว  ภาวินันท์ บุตรหล้า รายงาน

แม่ฮ่องสอน - ชาวบ้านลุ่มน้ำยวมส่งหนังสือถึง “บิ๊กป้อม” วอน กก.วล.เลื่อนการพิจารณา EIA ผันน้ำยวม

เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2564 นายสะท้าน ชีวะวิชัยพงศ์ ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำยวม เงา เมย สาละวิน เปิดเผยว่า ขณะนี้เครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำยวม-เงา-เมย-สาละวินได้ส่งหนังสือ ถึงคณะรัฐมนตรี ประธานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ(กก.วล.)และคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการบริหารจัดการลุ่มน้ำทั้งระบบ เพื่อขอให้เลื่อนการพิจารณารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ของ คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และขอให้ส่งกลับรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ให้คณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ (คชก.) ทบทวนการพิจารณารายงานให้ครอบคลุมในทุกมิติ 

นายสะท้านกล่าวว่าเครือข่ายฯ  ทราบว่า คชก. ได้พิจารณาผ่านรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพล แนวส่งน้ำยวม-อ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล และสำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อม (สผ.) ได้จัดส่งรายงานดังกล่าวให้ กก.วล.เพื่อพิจารณาแล้ว และ กก.วล.จะมีการพิจารณาในวันที่15 กันยายน 2664 ซึ่งซึ่งเครือข่ายประชาชนลุ่มน้ำยวม-เงา-เมย-สาละวิน เห็นว่า EIA ฉบับนี้จะส่งผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสังคม ซึ่งโครงการประกอบด้วยโครงสร้างต่าง ๆ อาทิ เขื่อนแม่น้ำยวม ถังพักน้ำ อุโมงค์ส่งน้ำ ฯลฯ จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงและกว้างขวาง ต่อประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ริมแม่น้ำเมย แม่น้ำยวม แม่น้ำสาละวิน และพื้นที่ของอุโมงค์ส่งน้ำใน 3 จังหวัด คือ แม่ฮ่องสอน ตาก และเชียงใหม่ นอกจากนี้โครงการดังกล่าว ยังจะส่งผลกระทบต่อแม่น้ำเมยและสาละวิน อันเป็นเขตพรมแดนไทย-พม่า ซึ่งเป็นแม่น้ำระหว่างประเทศ และอาจจะส่งผลกระทบต่อประชาชนในประเทศเมียนมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

โดยที่ผ่านมาทางเครือข่ายฯ ได้ยื่นหนังสือต่อเลขาธิการ สผ และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เพื่อแสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยกับการดำเนินโครงการผันน้ำข้ามลุ่มน้ำดังกล่าวไปยังหน่วยงานตลอดมา 

“เราระบุในหนังสือว่า คชก. ก็ยังคงผ่านรายงานเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม โดยหนังสือฉบับนี้ เครือข่ายฯ ขอเรียนมาเพื่อขอแสดงจุดยืนคัดค้านไม่เห็นด้วยกับโครงการฯ โดยขอให้เลื่อนการพิจารณารายงาน EIA ของ กก.วล.และขอให้ส่งกลับรายงานให้คณะกรรมการผู้ชำนาญการฯทบทวนการพิจารณารายงานให้ครอบคลุมในทุกมิติ พร้อมทั้งขอให้ดำเนินการจัดกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่อย่างรอบด้านครบทุกกลุ่ม อีกทั้ง ขอให้นำข้อห่วงกังวลหรือข้อคิดเห็นของชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการโดยตรง ให้ดำเนินการทบทวนการทำรายงานรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการฯ ให้ครอบคลุมในทุกมิติ” นายสะท้าน กล่าว

ในวันเดียกันมูลนิธิสืบนาคะเสถียร ได้ออกแถลงการณ์ คัดค้านโครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพลแนวส่งน้ำยวม – อ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล  โดยระบุว่าโครงการดังกล่าว ต้องใช้พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ 5 แห่ง และพื้นที่เตรียมประกาศอุทยานแห่งชาติ 1 แห่ง สูญเสียพื้นที่ป่าทั้งสิ้น 3,641.77 ไร่ ปัจจุบันรายงาน EIA กำลังจะเข้าสู่การพิจารณาของ กก.วล.พิจารณาทั้งที่รายงานดังกล่าว ยังมีข้อกังขาถึงกระบวนการจัดทำรายงานฯ ความถูกต้องของข้อมูล และการเข้าถึงข้อมูลของประชาชนในพื้นที่ที่อยู่ห่างไกล ว่าผู้มีส่วนได้-เสียในพื้นที่ได้มีส่วนร่วมอย่างแท้จริงหรือไม่

“มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ในนามของตัวแทนเครือข่ายองค์กรอนุรักษ์ 19 องค์กรตามรายชื่อแนบท้าย ได้ทำการยื่นจดหมายถึง ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี และพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานการประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการขนาดใหญ่และโครงการสำคัญ และประธานคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2564 ขอให้ยุติโครงการพัฒนาแหล่งน้ำทุกขนาดในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ และทบทวนนโยบายการจัดการน้ำของทั้งประเทศ เพื่อประเมินความเสี่ยงจากภาวะโลกร้อน

โดยมี นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้แทนรับมอบเอกสารคัดค้านดังกล่าว โดยขอแสดงเจตนายืนยันไม่เห็นด้วยที่จะมีการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำ หรือโครงการพัฒนาแหล่งน้ำประเภทอื่น ๆ เช่น อุโมงค์ผันน้ำที่ผ่าใจกลางผืนป่าในพื้นที่อนุรักษ์อีกต่อไป ซึ่งโครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพลแนวส่งน้ำยวม – อ่างเก็บน้ำเขื่อนภูมิพล และระบบสายส่งไฟฟ้าแรงสูงโครงการเพิ่มน้ำต้นทุนให้เขื่อนภูมิพล แนวส่งน้ำยวม-เขื่อนภูมิพล คือ 2 โครงการจาก 77 โครงการ องค์กรเครือข่ายอนุรักษ์ฯ ขอแสดงเจตนายืนยันที่จะเรียกร้องให้รัฐบาลยุติโครงการพัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ทั้งหมด ยกเลิกการเร่งผลักดันโครงการพัฒนาแหล่งน้ำแบบเหมารวม และเลือกการจัดการแหล่งน้ำนอกพื้นที่ป่าอนุรักษ์เป็นลำดับแรก ส่งเสริมนวัตกรรมการจัดการน้ำแบบไม่ทำลายพื้นที่ป่าเพื่อให้คนและสัตว์ป่าอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน” แถลงการณ์ของมูลนิธิสืบระบุ 

อุดรธานี - ทหารอุดร บูรณาการ 14 หน่วยงาน ฝึกซ้อมบรรเทาสาธารณภัย เตรียมพร้อมช่วยเหลือประชาชนเมื่อเกิดเหตุ

เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2564 ณ  บริเวณลานหน้าพระอนุสาวรีย์พลตรีพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ค่ายประจักษ์ศิลปาคม ต.หมากแข้ง อ.เมือง จ.อุดรธานี พลตรี พิทักษ์ จันทร์เขียว ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 24 /ผู้อำนวยการศูนย์บรรเทาสาธารณภัยมณฑลทหารบกที่ 24 เป็นประธานเปิดการฝึกการซักซ้อมบรรเทาสาธารณภัย และช่วยเหลือประชาชน โดยมี พันเอก ปฏิวัติ ชื่นศรี เสนาธิการ ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย กรมทหารราบที่ 13 และหน่วยงาน ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง 14 หน่วยงาน เข้าร่วมพิธีฯดังกล่าว 

โดยการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง อบรมให้ความรู้ ซักซ้อมแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รวมถึงการช่วยเหลือประชาชนเพื่อให้เข้าใจในเรื่องการบรรเทาสาธารณภัย ให้มีความพร้อมในการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่รับผิดชอบของหน่วย ระหว่างวันที่ 13 – 14 กันยายน  2564

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน ในการให้ความช่วยเหลือประชาชน โดยได้ฝึกเตรียมความพร้อมด้านกำลังพล และยุทโธปกรณ์ให้เกิดความชำนาญในการใช้ยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ อย่างปลอดภัย ทั้งผู้ให้การช่วยเหลือ และผู้ได้รับการช่วยเหลือ สามารถวิเคราะห์สถานการณ์ในพื้นที่ ที่จะเข้าให้การช่วยเหลืออย่างทันท่วงที รวมทั้งบูรณาการวางแผน ประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วน เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ  


ภาพ/ข่าว  จ.ส.อ.กฤษฎา มณีใส กรมทหารราบที่ 13

จันทบุรี - ประชุมหารือแนวทางการจัดการมูลฝอยติดเชื้อ ของศูนย์พักคอยในชุมชน CI ในสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ท้องถิ่นร่วมกันจัดตั้งรวม 37 แห่ง

วันนี้ ( 14 ก.ย.64 ) ที่ห้องประชุมไพลิน องค์การบริหารส่วนจังหวัดจันทบุรี นายสุธี ทองแย้ม ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี ในฐานะ ผู้กำกับการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินจังหวัดจันทบุรี เป็นประธานการประชุมหารือแนวทางการจัดการมูลฝอยติดเชื้อของศูนย์พักคอยในชุมชน Community Isolation หรือ CI ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019

โดยมีส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในจังหวัดจันทบุรีร่วมประชุม ทั้งนี้ จังหวัดจันทบุรีได้บูรณาการความร่วมมือและจัดตั้งศูนย์พักคอยในชุมชน Community Isolation หรือ CI รวมแล้ว 37 แห่งครอบคลุมทั้ง 10 อำเภอ ซึ่งการประชุมครั้งนี้มีเรื่องเพื่อพิจาณาในการหารือแนวทางการจัดการมูลฝอยติดเชื้อของศูนย์พักคอยในชุมชน รวมทั้งเรื่องเพื่อทราบสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของจังหวัดจันทบุรี / การมอบหมายการจัดตั้งศูนย์พักคอยในชุมชน / กฎหมายที่เกี่ยวข้องในการจัดการมูลฝอยติดเชื้อขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น / การจัดการขยะมูลฝอยติดเชื้อของศูนย์พักคอยในชุมชนที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและอำเภอดำเนินการอยู่ / การจัดการมูลฝอยติดเชื้อในโรงพยาบาลสนาม และศูนย์พักคอยในชุมชนที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดจันทบุรีดำเนินการอยู่ 


ภาพ/ข่าว จรัล บรรยงคเสนา จ.จันทบุรี

พรเทพ เขม้นเขตวิทย์ รายงานจากศูนย์ข่าวภาคตะวันออก

พังงา - “จี้แดง” วันดี ปิยนามวาณิช ได้รับเลือกเป็นประธานกรรมการพัฒนาสตรีจังหวัดพังงา ต่ออีก 1 วาระแบบไร้คู่แข่ง

ที่ห้องประชุมโรงแรม เลอ เอราวัณ อ.เมืองพังงา นายก้องเกียรติ รองรัตนพันธ์ ผอ.กลุ่มงานส่งเสริมการพัฒนาชุมชน สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดพังงา เป็นประธานการประชุมการคัดเลือกคณะกรรมการพัฒนาสตรีจังหวัดพังงา โดยมีคณะกรรมการพัฒนาสตรีระดับอำเภอจาก 8 อำเภอและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเข้าร่วม ซึ่งที่ประชุมได้มีมติอย่างเอกฉันท์เลือก “จี้แดง”นางวันดี ปิยนามวาณิช ประธานคณะกรรมการสตรีจากอำเภอตะกั่วทุ่ง และประธานคณะกรรมการพัฒนาสตรีจังหวัดพังงา ที่เพิ่งหมดวาระ เป็นประธานคณะกรรมการฯต่ออีก1วาระแบบไร้คู่แข่ง พร้อมกันนั้นทางที่ประชุมได้เลือกรองประธานและคณะกรรมการด้านต่าง ๆ พร้อมคณะที่ปรึกษา เพื่อดำเนินงานขับเคลื่อนโครงการต่าง ๆ ในการพัฒนาสตรีของจังหวัดพังงาในวาระ 4 ปี

“จี้แดง” นางวันดี ปิยนามวาณิช กล่าวว่า ต้องขอขอบคุณคณะกรรมการพัฒนาสตรีจากทุกอำเภอและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ที่ได้ให้เกียรติและไว้วางใจให้เป็นประธานอีก1วาระ กรมการพัฒนาชุมชนได้เริ่มดำเนินงานพัฒนาสตรีในชนบทตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายตั้งแต่ พ.ศ.2505 จนถึงปัจจุบัน โดยยึดนโยบายให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตสตรีให้มีความพร้อมเกี่ยวกับคุณลักษณะส่วนตัว ชีวิตในครอบครัว และการมีส่วนร่วมในสังคม โดยกระตุ้นให้สตรีมีความคิดริเริ่ม ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ มีความกระตือรือร้น มีความเชื่อมั่นในตัวเอง สามารถช่วยตนเองและครอบครัวได้ ตลอดจนมีความรู้ในการประกอบอาชีพและมีส่วนรับผิดชอบในการพัฒนาท้องถิ่น

โดยจัดตั้งและพัฒนาองค์กรสตรีแต่ละระดับ เพื่อเป็นแกนนำในการคิด ตัดสินใจ วางแผน แก้ไขปัญหาชนบทและการพัฒนาสตรี ประกอบกับคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบและอนุมัติให้ประกาศใช้ปฏิญญาสตรีไทยอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่  4 มกราคม  2537 โดยให้หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กร ธุรกิจ สื่อมวลชนและประชาชนร่วมมือกันในการพัฒนาสตรีเพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งที่ผ่านมาคณะกรรมการพัฒนาสตรีจังหวัดพังงา ได้ดำเนินการกิจกรรมและโครงการต่าง ๆ ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตสตรีในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาบุคลิกภาพ การสนับสนุนด้านอาชีพ การปลูกผักสวนครัวสร้างแหล่งอาหารในชุมชน การส่งเสริมและอนุรักษ์การแต่งกายด้วยผ้าพื้นถิ่น การให้ความรู้ในการใช้โซเชียลมีเดีย ฯลฯ รวมถึงการร่วมสนับสนุนกิจกรรมต่าง ๆ ของกรมการพัฒนาชุมชนและจังหวัดพังงาด้วยดีอย่างเสมอมา


ภาพ/ข่าว  อโนทัย งานดี / พังงา

แถลงผลการจับกุม 2 คดีสำคัญ! รวบ 5 ผู้ต้องหา พบของกลางยาบ้า 5,400,000 เม็ด และกัญชา 560 กก.

วันที่ 13 ก.ย. 64 เวลา 10.00 น. ณ บช.ปส. พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก รอง ผบ.ตร., พล.ต.ท.มนตรี ยิ้มแย้ม ผบช.ปส., พล.ต.ต.อนุภาพ ศรีนวล รอง ผบช.ปส., พล.ต.ต.สมบัติ ชูชัยยะ ผบก.อก.บช.ปส., พล.ต.ต.พรพิทักษ์ รู้ยืนยง ผบก.ปส.1, พล.ต.ต.วัชรินทร์ บุญคง ผบก.ปส.2, พล.ต.ต.บรรพต มุ่งขอบกลาง ผบก.ปส.3, พล.ต.ต.วุฒิพงษ์ นาวิน ผบก.ปส.4, พล.ต.ต.พลัฎฐ์ วิเศษสิงห์ ผบก.สกส., พล.ต.ต.หญิง วนิดา หาญบุญเศรษฐ ผบก.ประจำ บช.ปส. ร่วมกันแถลงผลการจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายสำคัญ จำนวน 2 คดี ผู้ต้องหารวม 5 คน ของกลางยาบ้า 5,400,000 เม็ด, กัญชา 560 กก. รายละเอียดมี ดังนี้    

เมื่อวันที่ 12 ก.ย. 2564 เวลาประมาณ 12.00 - 12.20 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สกส.บช.ปส. เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. เจ้าหน้าที่ กอง 12 ศรภ. เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธร บก.สส.ภ.5 และ เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงสิงห์บุรี และ อยุธยา ได้ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติด จำนวน 1 คดี ผู้ต้องหา 3 คน    

1. นายขวัญนภัส ลี้เจริญสุวรรณ อายุ 32 ปี ที่อยู่ บ้านเลขที่ 18/18 ม.13 ต.ช่องแคบ อ.พบพระ จว.ตาก (ผู้ต้องหาที่ 1) 

2. ส.ต.ตั๋ว เจริญภัย อายุ 40 ปี ที่อยู่ บ้านเลขที่ อายุ 82 ม.1 ต.รวมไทยพัฒนา อ.พบพระ จว.ตาก (ผู้ต้องหาที่ 2) ยศ.รด.  3. ส.ต.สิทธิพล เจริญงดงาม อายุ 40 ปี ที่อยู่ 6/2 ม.1 ต.รวมไทยพัฒนา อ.พบพระ จว.ตาก (ผู้ต้องหาที่ 3)  ยศ.รด.

พร้อมของกลาง จำนวน 5 รายการ  

1. ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) จำนวน 27 กระสอบ จำนวนประมาณ 5,400,000 เม็ด

2. รถยนต์กระบะแครี่บอย ยี่ห้อ Nissan สีบรอนด์ทอง จำนวน 1 คัน

3. รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน ยี่ห้อ Honda รุ่น City สีดำ จำนวน 1 คัน

4. เงินสด จำนวน 17,000 บาท 

5. โทรศัพท์ มือถือ จำนวน 4 เครื่อง

โดยกล่าวหาว่า “ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย  โดยไม่ได้รับอนุญาต” บริเวณถนนหมายเลข 3283 ต.ท่างาม อ.อินทร์บุรี จว.สิงห์บุรี ต่อเนื่อง บริเวณถนนหมายเลข 32 ต.โพบางดำออก อ.สรรพยา จว.ชัยนาท เวลาประมาณ 12.00-12.20 น. ของวันที่ 12 ก.ย. 64

ตามที่หน่วยปราบปรามยาเสพติดอุดรธานี ได้เข้าขยายผลจากการจับกุมผู้ต้องหานายชัยณรงค์ หมั่นเขตรกิจ ข้อหาเสพยาเสพติดให้โทษตามกฎหมายขณะขับรถ (เสพขับ) ในพื้นที่ สภ.บ้านแพง จว.นครพนม โดยสังเกตพบว่ารถยนต์ตู้ที่ผู้ต้องหาขับขี่มาภายในรถถอดเบาะโดยสารออกทั้งหมด มีลักษณะต้องสงสัย จึงได้สืบสวนขยายผลจนทราบว่ามีความเกี่ยวข้องกับการจับกุมเครือข่ายลักลอบลำเลียงกัญชา 274 กิโลกรัม ที่ด่านตรวจยานพาหนะสีคิ้ว ของ บก.ปส.2 บช.ปส. เมื่อวันที่ 22 มิ.ย.64 จนกระทั่งทำการจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 2 คน  

1. นายนิพนธ์ หรือแสบ เก่งธัญการ อายุ 43 ปี ที่อยู่ 8/2 หมู่ที่ 7 ต.วังเมือง อ.ลาดยาว จว.นครสวรรค์   

2. นายสุรศักดิ์ หรือศักดิ์ พันธุ์สวัสดิ์ อายุ 28 ปี ที่อยู่ 182/1 หมู่ที่ 5 ต.ระบำ อ.ลานสัก จว.อุทัยธานี

พร้อมของกลาง จำนวน 4 รายการ 

1. ยาเสพติดให้โทษประเภท 5 (กัญชา) จำนวน  560 แท่ง/กิโลกรัม

2. รถยนต์นั่งส่วนบุคคล ยี่ห้อเซฟโลเล็ต เทรลเบลเซอร์ สีขาว ทะเบียน 4 กล 516 กรุงเทพมหานครเป็นยานพาหนะใช้ในการลำเลียงยาเสพติด

3. รถยนต์กระบะยี่ห้อโตโยต้า รุ่นรีโว่ สีเทา ทะเบียน กษ 6187 นครสวรรค์ เป็นยานพาหนะใช้ในการสำรวจเส้นทางในการลำเลียงยาเสพติด

4. โทรศัพท์มือถือ 4 เครื่อง

โดยกล่าวหาว่า “ร่วมกับพวกที่หลบหนีมียาเสพติดให้โทษประเภท 5 (กัญชา) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย” บริเวณถนนบ้านผือ – กุดจับ ในเขตพื้นที่บ้านเม็ก หมู่ที่ 1 ต.ข้าวสาร อ.บ้านผือ จว.อุดรธานี

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการแก้ไขปัญหายาเสพติด และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีการขับเคลื่อนตามนโยบายดังกล่าวภายใต้การอำนวยการ ของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.,พล.ต.อ.มนู เมฆหมอก รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ชินภัทร สารสิน ผช.ผบ.ตร.


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top