Tuesday, 17 June 2025
SPECIAL

'อลงกรณ์' เชื่อมั่นแพลตฟอร์มปฏิรูปเกษตร '12 ก้าวใหม่ที่กล้าเดิน' คานงัดสร้างจุดเปลี่ยนนำไทยสู่เกษตรมูลค่าสูงตอบโจทย์ Next Normal

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯ เขียนบทความเผยแพร่ในโลกโซเชียลมีเดียวันนี้ (9 ก.ค.) เรื่อง '12 ก้าวใหม่ที่กล้าเดิน มิติใหม่การปฏิรูปภาคเกษตรของไทย' โดยเชื่อมั่นว่าเป็นคานงัดการปฏิรูปภาคเกษตรกรรมและกระทรวงเกษตรฯ ยุค 'รัฐมนตรีเฉลิมชัย' เพื่อสร้างจุดเปลี่ยนในมิติต่างๆอย่างน่าสนใจ ระบุว่า...

'12 ก้าวใหม่ที่กล้าเดิน มิติใหม่การปฏิรูปภาคเกษตรของไทย' โดย อลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (9 กรกฎาคม 2565)

ท่ามกลางวิกฤติโควิด19และสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ส่งผลกระทบกว้างไกลทำให้เศรษฐกิจประเทศต่างๆชะลอตัว ราคาน้ำมัน ราคาปุ๋ยและอาหารสัตว์แพงขึ้น กระทบต่อราคาและระบบผลิตอาหารทั่วโลก เกิดภาวะเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น

นับเป็นวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ที่ยาวนานมากว่า 2 ปีที่ยังไม่มีใครคาดเดาว่าจบลงเมื่อใด

แต่ในวิกฤติมีโอกาสเสมอ 

องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) วิเคราะห์ว่าโลกกำลังเผชิญกับภาวะขาดแคลนอาหารที่รุนแรงมากขึ้นโดยเฉพาะประเทศที่ขาดความมั่นคงทางอาหาร และนี่คือโอกาสของไทยในฐานะประเทศผู้ส่งออกอาหารอันดับ13ของโลกที่จะปฏิรูปตัวเองสร้างความเข้มแข้งและขีดความสามารถใหม่ของประเทศไทย

ในฐานะที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯ ผมจะเล่าเรื่อง '12 ก้าวใหม่ที่กล้าเดิน มิติใหม่ภาคเกษตรของไทย' เป็นแพลตฟอร์มการปฏิรูปสร้างจุดเปลี่ยนเชิงโครงสร้างและระบบเพื่อตอบโจทย์โอกาสของวันนี้และอนาคตที่กำลังจะมาถึง

ก้าวที่ 1 >> ศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม เราจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (Agritech and Innovation Center) เรียกสั้นๆว่า ศูนย์ AIC 77 จังหวัดเป็นฐานการพัฒนาเชิงพื้นที่ (Area based Development) ของเทคโนโลยีในทุกจังหวัดและจัดตั้งศูนย์ AIC ประเภทศูนย์ความเป็นเลิศเฉพาะด้าน (Center of Excellence: COE) อีก 23 ศูนย์ โดยศูนย์ AIC ทำหน้าที่เป็นศูนย์การวิจัยและพัฒนา (R&D) และเป็นศูนย์วิจัยพัฒนาและเป็นศูนย์อบรมบ่มเพาะเกษตรกรผู้ประกอบการและถ่ายทอดนวัตกรรมเน้นเมดอินไทยแลนด์ (Made In Thailand) เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีของเราเอง โดยคิกออฟพร้อมกันทุกศูนย์ทุกจังหวัดทั่วประเทศเมื่อ 1 มิถุนายน 2563 วันนี้เรามีเทคโนโลยีเกษตร 766 นวัตกรรมที่ถ่ายทอดต่อยอดสู่แปลงนาแปลงสวนแปลงไร่และอุตสาหกรรมต่อเนื่องกว่า10,000รายแล้ว

ก้าวที่ 2 >> ระบบบิ๊กดาต้าเกษตร เราจัดตั้งศูนย์ข้อมูลเกษตรแห่งชาติ (National Agriculture Big Data Center: NABC) ภายใต้แพลตฟอร์มดิจิตอลใหม่ๆตั้งอยู่ที่สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เริ่มดำเนินการตั้งแต่มีนาคม 2563 ทั้งนี้เพราะเทคโนโลยีข้อมูล (Information Technology) คือเครื่องมือเอนกประสงค์ของทุกภารกิจและทุกหน่วยงานโดยกำลังเชื่อมต่อกับ Big Data ของหน่วยงานรัฐ เอกชน สถาบันเกษตรกรและศูนย์ AIC ทุกจังหวัดโดยจะให้เกษตรกรและผู้ประกอบการสามารถใช้ประโยชน์ข้อมูลเกษตรในมิติต่างๆ บนมือถือและคอมพิวเตอร์

ก้าวที่ 3 >> ดิจิทัลทรานสฟอร์เมชั่น (Digital Transformation) เรากำลังปฏิรูป 22 หน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ ให้เป็นกระทรวงที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี (TechMinistry) ภายใต้โครงการ GovTech อย่างคืบหน้าด้วยแพลตฟอร์มดิจิทัล ทรานสฟอร์เมชั่น (Digital Transformation) เพื่อเปลี่ยนการบริหารและการบริการแบบอนาล็อคเป็นดิจิตอล เปลี่ยนการลงนามอนุมัติด้วยมือเป็นลายเซ็นดิจิตอล (Digital Signature) และเร่งรัดพัฒนาการโครงการ National Single Window สนับสนุนการค้าระหว่างประเทศ ฯลฯ เป็นการปฏิรูประบบราชการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ใหม่ในการทำงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

ก้าวที่ 4 >> เกษตรอัจฉริยะ เราขับเคลื่อนฟาร์มอัจฉริยะ(Smart farming)ตามแผนปฏิบัติการเกษตรอัจฉริยะโดยใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ของไทยเช่น ระบบสมาร์ทฟาร์ม ระบบเซนเซอร์ตรวจวัดดินน้ำอากาศและการอารักขาพืช การพัฒนาเครื่องจักรกลเกษตร การปรับระดับพื้นแปลงเกษตร (Land Leveling) ระบบเทคโนโลยีเมล็ดพันธุ์ (Sead Technology) ระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) ระบบชลประทานอัจฉริยะรวมทั้งการใช้โดรนการใช้เทคโนโลยีดาวเทียมและแพลตฟอร์มเกษตรดิจิตอล (Agrimap platform) โดยมีโครงการเกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture) 5 ล้านไร่ เป็นโครงการเรือธงโดยร่วมมือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (AIC : Agritech and Innovation Center) รวมทั้งการส่งเสริมการตลาดแบบออนไลน์ (Digital Marketing)โดยการสนับสนุนแพลตฟอร์มร้านค้าอีคอมเมิร์ซ และโครงการพัฒนาเกษตรกรเป็นนักการค้าออนไลน์ทุกจังหวัดเช่นโครงการ Local Hero เป็นต้น โดยมีทีมเกษตรอัจฉริยะ ทีมอีคอมเมิร์ซ (E-Commerce) ทีม Big Data และG ovTech ภายใต้คณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายเทคโนโลยีเกษตร 4.0 รับผิดชอบ

ก้าวที่ 5>>เกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง-ชนบท เราริเริ่มโครงการใหม่ๆเช่นการส่งเสริมเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง (Sustainable Urban Agriculture Development) อย่างเป็นระบบมีโครงสร้างครอบคลุมทั่วประเทศเป็นครั้งแรกตอบโจทย์การขยายตัวของเมือง (Urbanization) ที่ขาดความมั่นคงทางอาหารและระบบนิเวศน์ทางธรรมชาติ (ประชากรไทยในเมืองมากกว่าในชนบทเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี2562) ตลอดจนการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์โดยจัดตั้งสภาเกษตรอินทรีย์ PGS แห่งประเทศไทยได้สำเร็จเป็นครั้งแรก และการขยายพื้นที่เกษตรอินทรีย์ 1.3 ล้านไร่ การพัฒนาสวนยางยั่งยืนรวมทั้งการพัฒนาแปลงเกษตรทฤษฎีใหม่บนฐานศาสตร์พระราชา 4,009 ตำบล และโครงการข้าวอินทรีย์1ล้านไร่ โครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนระดับตำบล ฯลฯ นับเป็นการวางหมุดหมายใหม่ของระบบเกษตรกรรมยั่งยืนที่ประกอบด้วย เกษตรอินทรีย์ เกษตรทฤษฎีใหม่ เกษตรผสมผสาน วนเกษตรและเกษตรธรรมชาติทั้งในเมืองและในชนบทครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศ

ก้าวที่ 6 >> เกษตรแห่งอนาคต อาหารแห่งอนาคต เราขับเคลื่อนนโยบายอาหารแห่งอนาคต พืชแห่งอนาคต (Future Food Future Crop) เพื่อสร้างเกษตรทางเลือกใหม่แปรรูปเป็นอาหารคน อาหารสัตว์ เวชสำอางค์ เวชกรรม น้ำมันชีวภาพเพื่อสร้างงานสร้างอาชีพสร้างรายได้ใหม่ๆให้เกษตรกรของเราและเป็นสินค้าส่งออกตัวใหม่สร้างรายได้ให้ประเทศเป็นการตอบโจทย์เทรนด์ของโลกยุค Next Normal ที่สนใจสุขภาพมากขึ้นหลังจากเกิดโควิดแพร่ระบาดไปทั่วโลก (Covid Pandemic) ได้แก่ การสนับสนุนโปรตีนทางเลือกจากแมลง (Edible Inseat base Protein) ตามนโยบายฮับแมลงโลก ปัจจุบันมีเกษตรกรกว่า 1 แสนรายทำฟาร์มแมลงเช่น ดักแด้ไหม ดักแด้อีรี่ จิ้งหรีด แมลงวันลาย (bsf) หนอนนกฯลฯ สอดรับกับนโยบายขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ที่ประกาศว่าแมลงกินได้ Edible Insect คืออนาคตใหม่ของโปรตีนโลกและทศวรรษแห่งโภชนาการ รวมไปถึงโปรตีนทางเลือกจากพืช (Plant base Protein) เช่น สาหร่าย ผำ เห็ด ถั่วเหลืองถั่วเขียว แหนแดง ฯลฯ มีบริษัท Startup ใหม่ๆ เกิดขึ้นหลายบริษัท และการส่งเสริมอาหารฮาลาลซึ่งมีลูกค้ากลุ่มประชากรมุสลิมและไม่ใช่มุสลิมกว่า 2 พันล้านคน มูลค่าตลาดกว่า 30 พันล้านบาท

ก้าวที่ 7 >> โลจิสติกส์เกษตร เชื่อมไทย-เชื่อมโลก เราได้วางโรดแม็ปเส้นทางโลจิสติกส์เกษตรเชื่อมไทยเชื่อมโลกในระบบการขนส่งหลายรูปแบบ (Multimodal Transportation) ทั้งทางรถทางรางทางน้ำและทางอากาศ (Low Cost Air Cargo) เพื่อลดต้นทุนโลจิสติกส์และเพิ่มความรวดเร็วในการเข้าถึงตลาดทั่วโลกและตลาดเป้าหมายใหม่เช่นโครงการดูไบคอริดอร์-ไทยแลนด์ คอริดอร์ (Dubai Coridor- Thailand Corridor), เส้นทางรถไฟอีต้าอีลู่ (BRI) เชื่อมไทย-ลาว-จีน-เอเซียใต้-เอเซียตะวันออก-เอเซียกลาง-ตะวันออกกลาง-รัสเซียและยุโรป และกำลังเปิดประตูใหม่จากอีสานสู่แปซิฟิกไปทวีปอเมริกาเหนืออเมริกาใต้และเปิดประตูตะวันตกประตูใต้สู่ทะเลอันดามัน-อ่าวเบงกอลและมหาสมุทรอินเดียสู่เอเซียใต้ แอฟริกา ตะวันออกกลางและยุโรป

ก้าวที่ 8 >> เกษตรแปลงใหญ่ สตาร์ทอัพเกษตร เรากำลังปรับเปลี่ยนเกษตรแปลงย่อยเป็นเกษตรแปลงใหญ่ (Big Farm) ซึ่งขณะนี้ขยายเพิ่มเป็น กว่า 8,000 แปลง โดยมีการสนับสนุนเครื่องจักรกลเกษตรและระบบเกษตรอัจฉริยะเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ปีนี้จะเริ่มโปรแกรมอัพเกรดวิสาหกิจชุมชน สหกรณ์ เกษตรแปลงใหญ่และสถาบันเกษตรเป็นสตาร์ทอัปเกษตร (Startup เกษตร) และเอสเอ็มอีเกษตร (SME เกษตร)

ก้าวที่ 9 >> ยกระดับเกษตรกรก้าวใหม่ เราพัฒนาเกษตรกรรุ่นใหม่เป็นyoung smart farmerได้กว่า 20,000คนและส่งเสริมพัฒนาศูนย์ศพก.เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ระดับอำเภอโดยสมาร์ทฟาร์มเมอร์ (Smart farmer) ปราชญ์เกษตรและอาสาสมัครเกษตร (อกษ.)เป็นทีมงานแนวหน้าทุกหมู่บ้านชุมชนพร้อมกับยกระดับเกษตรกรที่มีประสบการณ์สู่ระบบคุณวุฒิวิชาชีพโดยร่วมมือกับภาคเอกชน ศูนย์ AIC  สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพซึ่งเป็นองค์การมหาชนในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอว.และกระทรวงพาณิชย์

ก้าวที่ 10 >> เกษตรสร้างสรรค์สู่ The Brand Project เรากำลังนำระบบทรัพย์สินทางปัญญา  (Intellectual property) มาใช้ในการเดินหน้าสู่เกษตรสร้างสรรค์เกษตรมูลค่าสูงด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และสร้างแบรนด์ (Branding) ตามแนวทางเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตเกษตร พืช ประมงและปศุสัตว์เป็นการเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรและประเทศภายใต้โครงการ เดอะ แบรนด์ โปรเจกต์ (The Brand Project)

ก้าวที่ 11>> การพัฒนาเชิงพื้นที่ (Area base) ไม่มีเหลื่อมล้ำ เราบริหารการพัฒนาเชิงพื้นที่ (Area base) ควบคู่กับการบริหารการพัฒนาเชิงคลัสเตอร์เช่น โครงการ 1 กลุ่มจังหวัด 1 นิคมอุตสาหกรรมเกษตรอาหารทั้งหมด 18 กลุ่มจังหวัดครอบคลุม 77 จังหวัดเป็นศูนย์กลางการแปรรูปผลผลิตเกษตรตามศักยภาพของแต่ละกลุ่มจังหวัดเพื่อกระจายโอกาสการพัฒนาทุกภาคทุกจังหวัดไม่ให้เจริญแบบกระจุกตัวเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำของการพัฒนาโดยปลายปี 2564 รัฐมนตรีเกษตรฯ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อนได้แต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาการเกษตรทุกอำเภอทุกจังหวัดและปีนี้กำลังจัดตั้งคณะทำงานเกษตรกรรมยั่งยืนระดับตำบล 7,435 ตำบลให้แล้วเสร็จ เพื่อสร้างจุดเปลี่ยนระดับพื้นที่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด

เรายังริเริ่มและเดินหน้าอีกหลายโครงการเช่นการจัดตั้งองค์กรชุมขนประมงท้องถิ่น 2,600 องค์กรใน 50 จังหวัด การดำเนินการโครงการธนาคารสีเขียว (Green Bank) ตอบโจทย์ Climate Change โดยเพิ่มต้นไม้ลดก๊าซเรือนกระจก รวมทั้งโครงการพัฒนาระบบความเย็น (Cold Chain) ตลอดห่วงโซ่อุปทานและระบบแช่แข็งด้วยไนโตรเจนเหลวแบบ Nitrogen Freezer เป็นต้น

ก้าวที่ 12 >> เปิดกว้างสร้างหุ้นส่วน (Partnership platform) ความก้าวหน้าของงานแต่ละด้านเกิดจากการบริหารแบบเปิดกว้างสร้างหุ้นส่วน (Partnership platform) ในการทำงานกับทุกภาคีภาคส่วนเช่นสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หอการค้าไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมต่างๆ สถาบันอาหาร มหาวิทยาลัยและวิทยาลัย สถาบันเกษตรกร สมาพันธ์ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ไทย เครือข่ายองค์กรเอกชน ทุกกระทรวงและทุกพรรคการเมืองไม่ว่าฝ่ายค้านหรือรัฐบาลโดยยึดประโยชน์บ้านเมืองมาก่อนประโยชน์ทางการเมืองได้สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจนำมาซึ่งความร่วมมืออย่างจริงจังและจริงใจ ประการสำคัญคือการทำงานอย่างทุ่มเทของคนกระทรวงเกษตรฯ

'จุติ' ยัน!! เบี้ยยังชีพพิเศษผู้สูงอายุ งวดแรกวันที่ 19 ก.ค.นี้ แน่นอน

(9 ก.ค.65) นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวในรายการ 'คุยเรื่องบ้าน คุยเรื่องเมือง คุยทุกเรื่องกับรัฐมนตรี' ว่า..

ผู้สูงอายุที่จะได้รับเงินช่วยเหลือเพิ่มเติมเป็นเบี้ยยังชีพพิเศษ หลังได้รับผลกระทบช่วงโควิด-19 ตามมติคณะรัฐมนตรี ได้แก่ ผู้สูงอายุจำนวน 10.95 ล้านคน ระยะเวลา 6 เดือน ระหว่าง เม.ย. – ก.ย. 2565 จะแบ่งตามช่วงอายุ ระหว่าง 100 – 250 บาทต่อคนต่อเดือน เพื่อบรรเทาผลกระทบเศรษฐกิจ โดยจะเริ่มจ่ายครั้งแรกวันที่ 19 ก.ค. เป็นการจ่ายย้อนหลังตั้งแต่เดือน เม.ย. – ก.ค.  

ส่วนครั้งที่ 2 วันที่ 19 ส.ค. และครั้งที่ 3 วันที่ 19 ก.ย. จึงขอให้ผู้สูงอายุได้นำเงินที่รัฐบาลให้ไปใช้ประโยชน์ให้เต็มที่

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้าฯ เสด็จพระราชดำเนิน ทอดพระเนตรสายการผลิตรถโดยสารไฟฟ้า-แบตฯ EA

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนิน ทอดพระเนตรสายการผลิตรถโดยสารไฟฟ้าและโรงงานผลิตแบตเตอรี่ลิเทียม ณ บริษัท แอ๊บโซลูท แอสแซมบลี จำกัด และ บริษัท อมิตา เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด

(9 ก.ค.65) สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรสายการผลิตรถโดยสารไฟฟ้า ณ บริษัท แอ๊บโซลูท แอสแซมบลี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยในกลุ่มบริษัทพลังงานบริสุทธิ์ (EA) เป็นบริษัทพลังงานของคนไทย ที่เริ่มต้นจากธุรกิจไบโอดีเซล และขยายสุ่ธุรกิจพลังงานทดแทน ทั้งไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม โดยเล็งเห็นถึงประโยชน์ของพลังงานสะอาดที่มีประโยชน์ทั้งด้านเศรษฐกิจ ลดการนําเข้า เชื้อเพลิง และด้านสิ่งแวดล้อมที่ลดปัญหามลพิษ และลดภาวะโลกร้อน ให้ความสําคัญต่อการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ ประกอบกับการเปลี่ยนผ่านในเทคโนโลยียานยนต์แบบเดิมที่ใช้น้ำมันในการขับเคลื่อนมาเป็นยานยนต์ไฟฟ้า เพิ่มเสถียรภาพของโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน เพิ่มประสิทธิภาพในระบบผลิตและจําหน่ายไฟฟ้าของประเทศ ผลักดันให้เกิดผลสําเร็จของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าที่เป็น New S-Curve ตามยุทธศาสตร์ ของประเทศ 

ในการนี้ ทรงทอดพระเนตรวีดิทัศน์กระบวนการเชื่อมรถการชุบสีรถโดยสารไฟฟ้า และสายการประกอบรถโดยสารไฟฟ้า ซึ่ง บริษัท แอ๊บโซลูท แอสแซมบลี จำกัด ได้สร้างโรงงานผลิตรถโดยสารไฟฟ้าภายในประเทศ ได้แก่ รถโดยสารพลังงานไฟฟ้า 'MINE Bus' เรือโดยสารพลังงานไฟฟ้า 'MINE Smart Ferry' ที่เปิดให้บริการแล้วในแม่น้ำเจ้าพระยา และรถบรรทุกพลังงานไฟฟ้า ตลอดจนสถานีชาร์จ อัดประจุไฟฟ้าที่มีชื่อว่า 'EA Anywhere' เพื่อยกระดับการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ ให้มีความทันสมัย สะดวกสบาย ช่วยลดมลภาวะอย่างยั่งยืน

จากนั้น เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่งไปยัง บริษัท อมิตา เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด หนึ่งบริษัทในกลุ่มย่อยของบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) โดยมีนายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) เข้าเฝ้าทูลรายงาน ซึ่งบริษัท อมิตา เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายโรงงานผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนและระบบกักเก็บพลังงานแบบครบวงจรที่ทันสมัยและมีกำลังการผลิตขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน 

ในการนี้ ทอดพระเนตรอาคารผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน และระบบกักเก็บพลังงานไฟฟ้า / นิทรรศการ Blue Mind City / ตัวอย่างวัตถุดิบในการผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน / ตัวอย่างชิ้นงานที่ถูกตัดด้วยกระบวนการ High Speed Die Cutting / กระบวนการอบสุญญากาศชิ้นงานให้แห้งสนิทเพื่อใช้ประกอบเป็นเซลล์แบตเตอรี่ จากนั้นฉลองพระองค์ชุดกาวน์ ทอดพระเนตรเครื่องจักรและกระบวนการกำจัดแก๊สออกจากเซลล์แบตเตอรี่ / ตัวอย่าง Cell Module ซึ่งเป็นการนำเซลล์แบตเตอรี่ที่ได้พ่วงต่อกันเพื่อให้ได้พลังงานที่สูงขึ้น เหมาะสมต่อการใช้งานของยานยนต์ไฟฟ้า

'กรณ์' ชี้!! ราคาน้ำมันลด เพราะกลไกตลาดโลก ยัน!! โรงกลั่นยังฟันกำไร ไม่ช่วยประชาชน

'กรณ์' ส่งจดหมาย และสติกเกอร์รณรงค์ ลดค่าการกลั่น = ลดราคาน้ำมัน ถึง นายก – รมว.พาณิชย์ - รมว.พลังงาน ชี้ลดราคาน้ำมันได้อีกมาก พร้อมระบุ  2-3 วันนี้ น้ำมันลดมาจากกลไกตลาดโลก ไม่เกี่ยวบริหารจัดการ ชี้โรงกลั่นยังฟันกำไร ไม่ช่วยประชาชน 

(8 ก.ค.65) นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า เดินทางไปยังศูนย์พัสดุสินค้า Flash Express พร้อมด้วยว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคกล้า ภูเก็ต นายเทมส์ ไกรทัศน์ เพื่อส่งสติกเกอร์รณรงค์ “ลดค่าการกลั่นน้ำมัน = ลดราคาน้ำมัน” ให้กับ 3 ผู้มีอำนาจในการแก้ปัญหาราคาน้ำมันแพง ได้แก่ นายกรัฐมนตรี, รมว.พาณิชย์, รมว.พลังงาน 

หัวหน้าพรรคกล้า ไลฟ์สดโดยระบุว่า วันนี้ราคาน้ำมันกลุ่มเบนซินและแก๊ซโซฮอลล์ลดลงสูงสุด 3 บาท แต่ความจริงสามารถลดได้มากกว่านี้ ซึ่งถ้าเทียบกับเมื่อเดือนมิถุนายนที่พรรคกล้าออกมาเรียกร้องให้ลดค่าการกลั่นจนถึงวันนี้ ค่าการกลั่นลดลงไปถึง 5 บาทต่อลิตรแล้ว แต่ราคาหน้าปั๊มยังไม่ลดลง 

“เมื่อเป็นเช่นนี้ ผมจึงอยากจะช่วยนำเสนอวิธีการที่จะให้พวกเรามีส่วนร่วมที่จะส่งสัญญาณต่อผู้อำนาจในเรื่องนี้ คือ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงพลังงาน และในส่วนของรัฐบาลเองว่า ราคาน้ำมันลดลงมา 3 บาทนั้น ประชาชนยังเดือดร้อน ข้าวของยังแพงอยู่มาก และราคาที่ลดก็เพราะราคาน้ำมันดิบตลาดโลกลด ยังไม่ได้ลดในส่วนของกำไรจากค่าการกลั่น และค่าการตลาดที่สูงเกินไปจากผู้ประกอบการแต่อย่างใด  

ประชาชนสอบถามมายังเพจส่วนตัวของผม และเพจของพรรคกล้าเป็นจำนวนมาก ว่าจะทำอย่างไร ที่จะส่งเสียงไปยังรัฐบาลและผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้รู้ว่าเขาเดือดร้อนกันมากจากปัญหาราคาน้ำมัน เราก็เลยเสนอง่ายๆ โดยการผลิตสติกเกอร์ ลดค่าการกลั่น=ลดค่าน้ำมัน ขึ้นมา ซี่งถ้าแฟนเพจท่านใดต้องการให้เราส่งให้ก็ขอให้ส่งชื่อที่อยู่เบอร์โทร.เข้ามาเราจะจัดส่งให้” หัวหน้าพรรคกล้า กล่าว 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกรณ์ ได้ส่งสติกเกอร์และข้อความรณรงค์ ใส่ซอง และจ่าหน้าซองถึง 3 ผู้มีอำนาจโดยตรง ได้แก่ นายนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โดยส่งไปที่กระทรวงพาณิชย์ เพื่อให้นำไปติดรถและกระตุ้นให้ใช้อำนาจที่กระทรวงพาณิชย์มี ด้วยกฎหมายที่มีในมือคือ พรบ.ราคาสินค้าและบริการบวกกับตำแหน่งของที่มีอยู่ในคณะกรรมการกำกับนโยบายพลังงานเพื่อช่วยขับเคลื่อนการปรับลดค่าการกลั่นในเรื่องของค่าการตลาดเพื่อนำไปลดราคาน้ำมันแบ่งเบาภาระภาระของประชาชน คนที่สองคือ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โดยส่งไปที่กระทรวงพลังงาน เนื่องจากมีบทบาทหน้าที่โดยตรงในการบริหารจัดการค่าการกลั่นและค่าการตลาด โดยนายกรณ์ระบุว่า ความจริงกระทรวงพลังงานก็อยู่ในบริเวณเดียวกันกับ ปตท. ซึ่งเป็นผู้ค้าน้ำมันที่เป็นรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ เพียงแค่ข้ามถนนผ่านร้านกาแฟอะเมซอนก็ถึงแล้ว ก็ขอฝากท่านรมว.พลังงาน ช่วยส่งถึง ปตท.ด้วย 

และสุดท้ายคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยส่งไปที่ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งนายกรณ์ได้แสดงความเห็นใจต่อภารกิจอันมากมายที่ท่านมี แต่ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในเรื่องข้าวของที่แพงขึ้นมาก ก็เป็นเรื่องที่ตนและนายกรัฐมนตรีคิดตรงกัน  และโดยส่วนตัวตนก็ถือเป็นหน้าที่ของนักการเมืองคนหนึ่งที่จะเสนอข้อมูลข้อเท็จจริง เพื่อให้ท่านประกอบใช้ในการตัดสินใจ วันนี้ท่านอาจจะรู้สึกคลายความกดดันเพราะราคาน้ำมันลดลงมา แต่มันสามารถลดได้มากกว่านี้ เพราะราคาที่ลดลงมันเป็นเพราะราคาน้ำมันในตลาดโลก ไม่ใช่เกิดจากการบริหารจัดการ

รู้จักกฎหมายควบคุมอาวุธปืนในญี่ปุ่น ความเข้มงวดที่คนส่วนใหญ่ยังคงยึดมั่น

แม้ ชินโซ อาเบะ’ (Shinzo Abe) อดีตนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น จะเสียชีวิตจากการถูกยิงโดยอดีตTetsuya Yamagami สมาชิกของกองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลวัย ๔๑ ปี ทั้งๆ ที่ญี่ปุ่นมีกฎหมายควบคุมอาวุธปืนที่เข้มงวดที่สุดประเทศหนึ่งในโลกนั้น อาจจะทำให้หลายคนเริ่มตั้งคำถามถึงความปลอดภัย ความน่าอยู่ และน่าไปเยี่ยมเยือนดินแดนแห่งนี้อยู่อีกหรือไม่

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ดร.โญธิน มานะบุญ นักวิชาการอิสระ ด้านความมั่นคง และประวัติศาสตร์สงครามสมัยใหม่ ได้ไขข้อข้องใจให้เห็นถึงกฎระเบียบและทัศนคติของคนในประเทศที่เชื่อว่ายังคงแอนตี้ทั้งอาวุธและความรุนแรงอยู่ไม่เปลี่ยน โดยมีเนื้อหาระบุดังนี้…

ข่าวที่น่าจะเป็นที่สนใจมากที่สุดของเมื่อวาน คงหนีไม่พ้นเรื่องของ Shinzo Abe (ชินโซ อาเบะ) อดีตนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นถูกยิงขณะกล่าวปราศรัยในเมืองนาราทางตะวันตกของประเทศ ซึ่งผมขอไม่กล่าวถึงสาเหตุหรือการเมืองของญี่ปุ่น เพราะเดี๋ยวจะมีทั้ง Guru และ ‘กูรู้’ มากมายออกมาให้ความเห็น จะขอเล่าเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับกฎหมายควบคุมอาวุธปืนที่เข้มงวดมากๆ ของญี่ปุ่น

กฎหมายอาวุธของญี่ปุ่น (The Swords and Firearms Possession Control Law) เริ่มต้นด้วยการระบุว่า...

ประชาชนไม่สามารถครอบครองอาวุธปืนหรือดาบ โดยไม่ได้รับอนุญาต” และการขออนุญาตทำได้ยากมากมากๆ พลเมืองญี่ปุ่นได้รับอนุญาตให้ครอบครองอาวุธปืนสำหรับล่าสัตว์และกีฬายิงปืน แต่สามารถครอบครองได้ภายหลังจากผ่านการยื่นขออนุญาตตามขั้นตอนในการออกใบอนุญาตที่นานและยืดเยื้อแล้วเท่านั้น ส่วนหนึ่งของขั้นตอนการทดสอบ จะต้องผ่านการทดสอบในสนามยิงปืนด้วย “คะแนนอย่างน้อย 95%” มีการประเมินสุขภาพจิตจากโรงพยาบาล และผ่านการตรวจสอบประวัติอย่างละเอียด ซึ่งมีการสัมภาษณ์ครอบครัวและเพื่อนฝูง อันเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการในการขออนุญาตเช่นกัน

ใบอนุญาตครอบครองและใช้อาวุธปืน มีอายุสามปี หลังจากนั้นจะต้องผ่านการทดสอบเพื่อขอใบอนุญาตซ้ำอีกครั้ง หลังจากเป็นเจ้าของปืนลูกซองครบ ๑๐ ปีแล้ว ผู้ที่มีใบอนุญาตครอบครองอาวุธปืนจึงจะสามารถขอครอบรองปืนไรเฟิลได้ ไม่อนุญาตให้ครอบครองอาวุธปืนพกสั้นเด็ดขาด

ทั้งนี้ญี่ปุ่นถือว่าเป็นประเทศที่มี “โครงการซื้อคืนปืนเป็นครั้งแรก” ในปี ค.. 1685 และเป็นประเทศแรกในโลกที่ออกกฎหมายเกี่ยวกับอาวุธปืน ดังนั้น อัตราการครอบครองอาวุธปืนจึงต่ำมากๆ เฉลี่ยการครอบครองอาวุธปืนอยู่ที่ ๐.๖ กระบอกต่อประชากร ๑๐๐ คนเท่านั้น (สถิติในปี พ.. ๒๕๕๐) ส่งผลให้การสังหารหมู่ในญี่ปุ่นนั้น บรรดาคนร้ายจึงนิยมใช้มีดหรือวิธีการอื่นๆ ที่ไม่ใช่ปืน อย่างในปี พ.. ๒๕๕๗ ญี่ปุ่นมีผู้เสียชีวิตจากอาวุธปืนเพียงหกราย เป็นต้น

ตำรวจญี่ปุ่นที่พกอาวุธปืน

 

นอกจากนี้ ในแต่ละจังหวัด ยังสามารถเปิดร้านขายปืนได้เพียงสามร้าน แถมกระสุนปืนสามารถซื้อได้หลังจากนำปลอกกระสุนปืนที่ยิงแล้วมาแสดงด้วยเท่านั้น และหากเจ้าของอาวุธปืนเสียชีวิต ครอบครัวของพวกเขาต้องส่งมอบอาวุธปืนให้ทางการ

ในส่วนของตำรวจที่ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ ก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้พกอาวุธปืน ซึ่งโดยปกติตำรวจก็ไม่ค่อยได้ปฏิบัติหน้าที่ที่จำเป็นต้องใช้อาวุธปืนบ่อยครั้งนัก ยกเว้นหน่วยปฏิบัติการพิเศษ และโดยทั่วไปแล้วตำรวจญี่ปุ่นจะทำการจับกุมโดยไม่ใช้อาวุธปืน ซึ่งคาดว่า ตำรวจญี่ปุ่นน่าจะถูกฝึกให้มีความเชี่ยวชาญในด้านศิลปะการต่อสู้เช่น คาราเต้ หรือ ยูโด

หากย้อนกลับไปในอดีต หลังจากสมเด็จพระจักรพรรดิทรงได้พระราชอำนาจคืนจากโชกุน ได้ทำให้มีกฎหมายที่เรียกว่า พระราชกฤษฎีกายกเลิกดาบ’ (Haitorei) เป็นพระราชกฤษฎีกาที่ออกโดยรัฐบาลเมจิของญี่ปุ่นเมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม พ.. ๒๔๑๙ ซึ่งห้ามประชาชน ยกเว้นอดีตขุนนาง (Daimyōs) ทหาร และเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย พกพาอาวุธดาบไปในที่สาธารณะ ผู้ฝ่าฝืนจะถูกยึดดาบเอาไว้

Haitorei เป็นหนึ่งในขั้นตอนที่รัฐบาลดำเนินการเพื่อยกเลิกสิทธิพิเศษดั้งเดิมของชนชั้นซามูไร โดยกฎหมาย Haitorei ฉบับแรกออกในปี พ.. ๒๔๑๓ ห้ามชาวนาหรือพ่อค้าพกดาบและแต่งกายคล้ายซามูไร ซึ่งมาตรการนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามที่จะฟื้นฟูความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองสำหรับประชาชนในช่วงระยะเวลาอันวุ่นวายทันทีหลังการฟื้นฟูเมจิและระหว่างสงคราม Boshin

ในปี พ.. ๒๔๑๔ รัฐบาลได้ออกพระราชกฤษฎีกา Danpatsurei อนุญาตให้ซามูไรตัดผมและไว้ผมแบบตะวันตก อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องจำเป็น เพราะเป็นการอนุญาตและสนับสนุน จากนั้นเริ่มมีการเกณฑ์ทหารเพื่อสร้างกองทัพตามแบบสากลขึ้นในปี พ.. ๒๔๑๖ โดยการสร้างกองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นในช่วงนั้น บรรดาซามูไรไม่สามารถผูกขาดการรับราชการทหาร ไม่ได้รับทั้งค่าจ้างค่าตอบแทนที่ขุนนางศักดินาที่เป็นเจ้านายเคยจ่ายให้กับซามูไรในสังกัด ซึ่งถกยกเลิกเช่นเดียวกันในปี พ.. ๒๔๑๖ และนำมาสู่ข้อห้ามในการพกพาดาบเป็นที่ถกเถียงกันเป็นที่ถกเถียงกันต่อมา จนสุดท้ายการพกพาดาบก็ถูกห้ามตามกฎหมายในที่สุด

โดยวันที่ ๒๘ มีนาคม พ.. ๒๔๑๙ พระราชกฤษฎีกา Haitō ก็ผ่าน Daijō-kan (รัฐสภาแห่งรัฐของจักรวรรดิญี่ปุ่น) ห้ามอดีตซามูไร (Shizoku) พกพาดาบไปในที่สาธารณะอย่างเด็ดขาด แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงในสังคมญี่ปุ่นและสถานะทางสังคมและเศรษฐกิจของซามูไรเหล่านี้ เป็นสาเหตุหลักของความไม่พอใจในสมัยเมจิตอนต้นของญี่ปุ่น และนำไปสู่การจลาจลที่นำโดยซามูไรจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในญี่ปุ่นแถบตะวันตก และคิวชู นอกจากนี้ ผลของ Haitorei ทำให้ดาบหมดบทบาทที่สำคัญไปกับเหล่าบรรดาซามูไรทั้งหลาย จนทำให้ช่างตีดาบจำนวนมากต้องเปลี่ยนไปผลิตอุปกรณ์ทำการเกษตรและมีดต่างๆ ในครัวเพื่อความอยู่รอดแทน

อาวุธปืนที่จับกุมได้จากแก๊งยากูซาต่าง

 

หลังสงครามโลกครั้งที่สอง กองทัพญี่ปุ่นถูกปลดอาวุธ จนนำไปสู่การประกาศใช้กฎหมายควบคุมการครอบครองดาบและอาวุธปืนในปี พ.. ๒๕๐๑ เพื่อป้องกันการต่อสู้ด้วยอาวุธปืนและดาบของแก๊งยากูซาต่างๆ โดยกฎหมายฉบับแรกมีผลบังคับใช้ในปี พ.. ๒๕๐๑ มีวัตถุประสงค์ “...กฎระเบียบด้านความปลอดภัยที่จำเป็นสำหรับการป้องกันอันตรายที่เกี่ยวข้องกับการครอบครองและการใช้อาวุธปืนและดาบ” กฎระเบียบและข้อห้ามส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการครอบครอง การใช้งาน การนำเข้า การอนุญาต การขนส่ง การรับ และการขายอาวุธปืนและชิ้นส่วนของอาวุธปืน รวมทั้งระเบียบที่ต้องปฏิบัติในการขออนุญาตมีและใช้อาวุธปืน ทั้งยังคงข้อจำกัดในอดีตเกี่ยวกับดาบและอาวุธมีดอื่นๆ และทำให้อาวุธปืนพก/อาวุธปืนสั้นถูกห้ามครอบครองโดยสมบูรณ์

กฎหมายถูกแก้ไขหลายครั้งเพื่อสนองตอบต่อเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้อาวุธปืน การแก้ไขครั้งสำคัญรวมถึงการเพิ่มการห้ามนำเข้าและเพิ่มอายุในการเป็นเจ้าของปืนไรเฟิลล่าสัตว์ในปี พ.. ๒๕๐๘ และข้อจำกัดที่เข้มงวดยิ่งขึ้นสำหรับการครอบครองอาวุธปืนลูกซอง เพื่อสนองตอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี พ.. ๒๕๕๑ เนื่องจากการควบคุมอาวุธปืนอย่างเข้มงวด จึงมีเพียงชาวญี่ปุ่นไม่กี่คนที่สามารถเป็นเจ้าของอาวุธปืน

ดังนั้นอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับการใช้อาวุธปืนจึงต่ำมาก ในช่วงระยะเวลา ๓๐ ปีที่ผ่านมา โดยปี พ.. ๒๕๔๔ มีผู้เสียชีวิตจากปืนมากที่สุดคือ ๓๙ คน และเพียง ๔ คนในปี พ.. ๒๕๕๒ และนี่ก็ยิ่งทำให้ชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่ไม่สนใจอาวุธปืน และการรับรู้ของสาธารณชนเกี่ยวกับอาวุธปืน คือ ความอันตรายอย่างแท้จริงและจำเป็นที่จะต้องควบคุมอย่างเข้มงวด

๑๓ ขั้นตอนในการขออนุญาตครอบครองอาวุธปืนของญี่ปุ่น

. เข้าชั้นเรียนอาวุธปืนและสอบผ่านข้อเขียน ซึ่งจัดขึ้นปีละ ๓ ครั้ง

. รับบันทึกรับรองจากแพทย์ว่า มีความพร้อมทางจิตใจ และไม่มีประวัติการใช้ยาในทางที่ผิด

. ขอใบอนุญาตให้เข้ารับการฝึกยิง ซึ่งอาจใช้เวลาถึงหนึ่งเดือน

. อธิบายในการสัมภาษณ์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ทำไมถึงต้องการครอบครองอาวุธปืน

. ตรวจสอบประวัติอาชญากรรมของผู้ขอ ประวัติการครอบครองอาวุธปืน หน้าที่การเงิน เคยมีประวัติเกี่ยวข้องกับกลุ่มอาชญากรหรือไม่ หนี้สินส่วนบุคคล และความสัมพันธ์กับเพื่อน ครอบครัว และเพื่อนบ้าน

. ขอใบอนุญาตซื้อกระสุนปืน

. เข้ารับการฝึกหนึ่งวัน และต้องผ่านการทดสอบการยิง

. ขอรับใบรับรองจากร้านค้าปืนที่ให้รายละเอียดของอาวุธปืนที่ผู้ซื้อต้องการ

. หากต้องการซื้อปืนล่าสัตว์ ต้องขอใบอนุญาตล่าสัตว์ด้วย

๑๐. ซื้อตู้เซฟเก็บปืนและตู้เก็บกระสุนตรงตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัย

๑๑. ยินยอมให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจสอบที่เก็บอาวุธปืนของผู้ขอ

๑๒. ผ่านการตรวจสอบประวัติเพิ่มเติม

๑๓. ซื้ออาวุธปืน

3 แกนกลยุทธ์ฝ่าวิกฤติ 'รัฐบาลประยุทธ์'

ไม่มีคำว่าดีที่สุด!! หรือสมบูรณ์แบบที่สุด!!

ขนาดรสชาติของอาหารยังไม่สามารถนิยามคำว่าอร่อยที่สุดให้คนทุกคนยอมรับได้ จะมีก็แต่ถูกปากหรือไม่ถูกปากที่สุดสำหรับใครเท่านั้น

นั่นจึงไม่แปลกที่ภาพรวมผลงานของทุกๆ รัฐบาลไทยที่ผ่านมาหลายทศวรรษ จะโดนบ้าง ไม่โดนบ้าง ทันใจบ้าง ไม่ทันใจบ้าง รับรู้ได้บ้าง ไม่รับรู้ได้บ้าง

แต่เชื่อว่าทุกๆ รัฐบาลไทย ล้วนมีธงแห่งความท้าทายในการสร้างสรรค์สิ่งดีงามทิ้งไว้ เพื่อเป็นเกียรติประวัติแก่ตน รวมถึงนำประโยชน์มาสู่คนในสังคม และประเทศชาติไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง (ส่วนคอรัปชันก็ละไว้ในฐานที่เข้าใจ)

คำถาม คือ คนไทยในวันนี้ใจกว้างแค่ไหนที่จะมองไปรอบๆ ตัว ว่าประเทศไทยเปลี่ยนไปในทางที่ดีบ้างแล้ว? หรือสนใจแค่ความสะใจจากกระแสสื่อที่เอามันส์ จนกลบความเปลี่ยนแปลงแบบมโหฬารมันช่างดูไร้ค่า!!

>> พัฒนาการที่เด่นชัดของโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานทั่วไปและเมืองท่าสำคัญ รถไฟ, รถไฟฟ้า, ถนน, สนามบิน, ท่าเรือและโครงสร้างที่เอื้อต่อระบบเศรษฐกิจในยุคโลกไร้รอยต่อมากเป็นประวัติการณ์

>> การวางแผนต่อยอดให้คนไทยดำเนินชีวิตต่อได้ในวันที่ Climate Change เข้ามาแทรกซึมสังคมโลก แต่เรายังไม่เคยชะโงกหน้าออกนอกจอมือถือ แล้วไปส่องดูว่าระบบนิเวศแห่งพลังงานสะอาดและยานยนต์ไฟฟ้าที่กำลังค่อยๆ เปลี่ยนผ่านเข้ามาใกล้ชีวิตขึ้นเรื่อยๆ จากการผลักดันของรัฐบาลที่รวดเร็วขึ้นทุกวันๆ จนรู้ตัวอีกทีปั๊มน้ำมันอาจจะค่อยๆ เปลี่ยนไปเป็นปั๊มชาร์จไฟ

>> คนรุ่นใหม่ทึ่อยากทำธุรกิจ และคนค้าขายทึ่เริ่มติดขัดทางธุรกิจ ขาดทุนหมุนเวียน เพราะแหล่งทุนใหญ่จมอยู่แต่คนมีเครดิต ก็กำลังจะถูกปรับโดยรัฐบาลที่ค่อยๆ เข้าไปเจรจากับนายแบงก์อย่างละมุนละม่อม และรอวันที่สุกงอม เปิดโอกาสให้ทุนหมุนเวียนเข้าถึงประชาชนทุกคนที่พร้อมนำไปบริหารชีวิตตนเองได้ง่ายดายขึ้น

Trümmerfrau ‘เหล่าสตรี’ ผู้เก็บกวาดเศษซากปรักหักพังของเยอรมนี หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒


ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง อาคารบ้านเรือน ๓.๖ ล้านหลัง จาก ๑๖ ล้านหลัง ใน ๖๒ เมืองของเยอรมนีถูกทำลายจากการทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตรในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองจนพังราบ และอีก ๔ ล้านหลังได้รับความเสียหาย 

ครึ่งหนึ่งของอาคารบ้านเรือนทั้งหมด โครงสร้างพื้นฐานกว่าร้อยละ ๔๐ และโรงงานมากมายหลายพันแห่งได้รับความเสียหายหรือถูกทำลาย ประมาณว่า ทำให้มีเศษหินหรืออิฐประมาณ ๕๐๐ ล้านลูกบาศก์เมตร (คิดเป็นปริมาตรที่มากกว่าหินที่ใช้สร้างมหาพีระมิดแห่งกิซา ๑๕๐ เท่า) และทำให้ชาวเยอรมันราว ๗.๕ ล้านคนกลายเป็นคนไร้บ้าน

นับตั้งแต่การโจมตีทิ้งระเบิดของฝ่ายสัมพันธมิตรครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๔๘๓ ชาวเยอรมันต่างก็คุ้นเคยกับการเก็บกวาดซากเศษอันเกิดจากความเสียหายของการทิ้งระเบิด ซึ่งงานเก็บกวาดเหล่านี้ส่วนใหญ่ดำเนินการโดยแรงงานบังคับและเชลยศึก แต่หลังจากสิ้นสุดสงคราม พวกเขาไม่สามารถใช้แรงงานเหล่านั้นได้อีกต่อไป ดังนั้นชาวเยอรมันจึงต้องทำงานเก็บกวาดเศษซากปรักหักพังต่าง ๆ ด้วยตนเอง
 

Trümmerfrau (The rubble woman) เป็นภาษาเยอรมันที่เรียกหญิงซึ่งภายหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ได้ออกมาช่วยเก็บกวาดซากเศษ รวมถึงการสร้างเมืองที่ถูกทิ้งระเบิดในเยอรมนีและออสเตรียขึ้นใหม่ เมืองหลายร้อยแห่งได้รับความเดือดร้อนจากการทิ้งระเบิด และความเสียหายจากเพลิงไหม้จากการโจมตีทางอากาศและสงครามภาคพื้นดิน และด้วยผู้ชายจำนวนมากที่เสียชีวิตหรือตกเป็นเชลยศึก ภารกิจอันยิ่งใหญ่นี้จึงตกอยู่กับหญิงชาวเยอรมันจำนวนมาก

ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๘๘ ถึง พ.ศ. ๒๔๘๙ ภายใต้การยึดครองของกองกำลังสัมพันธมิตรทั้งในเยอรมนีตะวันตกและเยอรมนีตะวันออก ได้มีคำสั่งให้หญิงชาวเยอรมันทุกคนที่มีอายุระหว่าง ๑๕ ถึง ๕๐ ปี ต้องมีส่วนร่วมในการทำความสะอาดเก็บกู้จัดการเศษซากปรักหักพังอันเกิดจากสงคราม โดยทำงานนี้เพื่อแลกกับอาหาร (ซุป) เมื่อสิ้นสุดการทำงานในแต่ละวัน

และเนื่องจากการสูญเสียชายชาวเยอรมันในสงคราม ทำให้มีประชากรหญิงมากกว่าประชากรชายในเยอรมนีถึงเจ็ดล้านคน
 

ตอนแรก ๆ งานที่ออกมายังไม่เรียบร้อย ทั้งยังไม่ประสบผลสำเร็จมากนัก โดยมีรายงานว่า เศษหินหรือเศษอิฐ มักถูกทิ้งลงไปในปล่องระบายอากาศของรถไฟใต้ดินที่อยู่ใกล้ที่สุด ซึ่งต่อมาต้องรื้อถอนออก ตามปกติบริษัทเอกชนจะได้รับมอบหมายให้ขนย้ายเศษซากปรักหักพังออกไป พร้อมกับอนุญาตให้จ้างผู้หญิงเพื่อทำงานดังกล่าว โดยงานหลักคือการรื้อถอนส่วนต่าง ๆ ของอาคารที่เหลือรอดจากการทิ้งระเบิด แต่ไม่มีความปลอดภัยพอและไม่เหมาะสำหรับการซ่อมแซมปรับปรุง

ปกติแล้วการทำงานแบบนี้จะไม่ใช้เครื่องจักรกลหนัก โดยมีเครื่องมือหลักคือ ค้อน เลื่อย จอบ บุ้งกี๋ และรอกกว้านมือหมุน หลังจากรื้อซากปรักหักพังแล้ว ส่วนที่เหลือจะต้องถูกรื้อถอนเพิ่มเติมต่อไป 

'อรรถวิชช์' เตือน!! ทฤษฎีแตกแบงก์พันอาจขัดกฎหมาย ชี้!! หาร 500 ได้พรรคการเมืองหลากหลาย ตรวจสอบถ่วงดุลได้จริง ไม่ขัด รธน.

'อรรถวิชช์' เตือน!! ระวังทฤษฎีแตกแบงก์พันอาจขัดกฎหมาย ชี้!! หาร 500 เป็นวิวัฒนาการทางการเมือง ได้พรรคการเมืองหลากหลาย ตรวจสอบถ่วงดุลได้จริง พัฒนาประชาธิปไตยไทย มั่นใจไม่ขัดรัฐธรรมนูญ พร้อมเปิดตัว 'KLA Sport' ใช้กีฬาเชื่อมสัมพันธ์เยาวชน

นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรคกล้า เปิดงาน 'กล้าจตุจักร ฟุตซอลเกม' กิจกรรมแข่งขันฟุตซอลเยาวชน ในเขตจตุจักรและใกล้เคียงเข้าร่วมแข่งขัน ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการ KLA Sport ตามนโยบายสนับสนุนเยาวชนสู่กีฬาอาชีพ สร้างสัมพันธ์กับเยาวชนและพื้นที่ รวมถึงสนับสนุนนโยบายด้านกีฬาของพรรค และใช้กีฬาต้านยาเสพติด โดยเฉพาะล่าสุดมีเรื่องกัญชาเสรี หากเยาวชนนำไปใช้ผิดทางก็เกิดอันตราย ถ้าใช้ถูกทางก็กลายเป็นประโยชน์ หากมีเครือข่ายเยาวชนเป็นหูเป็นตาช่วยกันดูแลถือเป็นเรื่องที่ดี

นายอรรถวิชช์ ยังกล่าวถึงระบบเลือกตั้งแบบใหม่ โดยขอบคุณ ส.ส. และ ส.ว. ที่โหวตเห็นชอบให้ใช้วิธีการคำนวณจำนวน ส.ส.ด้วยวิธีการหารด้วย 500 ซึ่งพรรคกล้านั้นจัดตั้งขึ้นมาเพื่อให้สอดรับกับการหารด้วย 500 ตั้งแต่ต้น เนื่องจากมองว่าการหารด้วย 500 จะทำให้คนรุ่นใหม่ทางการเมือง มีโอกาสเข้าสู่การเมืองได้ ทำให้มีพรรคเฉพาะกิจ เฉพาะด้านเกิดขึ้น ทั้งพรรคด้านเศรษฐกิจ ด้านกีฬา ด้านสิ่งแวดล้อม และเชื่อว่าในอนาคตจะเป็นรัฐบาลผสมที่มีความหลากหลาย ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสนใจ เพราะเมื่อเข้าไปทำการเมืองจริง จะทำให้ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารมีการตรวจสอบกันได้จริง ประชาธิปไตยจะมีการพัฒนา แต่หากกลับไปใช้สูตรเดิมที่ผ่านมา ก็ทราบดีว่ามีบทเรียนอะไรเกิดขึ้น ก็จะกลายเป็น ส.ส.ทำการเมืองคล้ายกับนักการเมืองท้องถิ่น ยืนยันว่าพรรคกล้าพร้อมกับกติกาที่จะออกมา และคิดว่าแนวทางนี้น่าจะไปได้ดี ทำให้พรรคสามารถจะเป็นเวทีให้กับคนรุ่นใหม่ได้ ซึ่งภายหลังจากที่มีการประกาศสูตรหาร 500 ก็มีคนสมัครเข้าพรรคเพื่อแสดงเจตจำนงลงสมัคร ส.ส.ในเขตพื้นที่ต่าง ๆ จำนวนมาก 

“สูตรหาร 100 เคยเกิดขึ้นแล้ว กลายเป็น ส.ส.ต้องลงไปทำการเมืองคล้ายกับนักการเมืองท้องถิ่น ไม่ใช่การเมืองที่สู้ในระดับชาติ ที่มากกว่านั้นคิดว่าสูตรหาร 500 ไปได้ มันทำให้การเมืองเปลี่ยน เราเคยลองมาแล้วทั้งสูตรหาร 100 ทั้งบัตรเลือกตั้งใบเดียวแบบหาร 500 แต่ครั้งนี้เป็นบัตรสองใบหาร500 ผมว่ามันคือวิวัฒนาการทางการเมือง”

ส่วนกรณีที่หลายคนที่กังวลเรื่องจะทำให้เกิดพรรคเล็กจำนวนมากแบบที่เคยเกิดขึ้นหรือไม่นั้น นายอรรถวิชช์ เชื่อว่า ไม่น่าจะเกิดขึ้น เนื่องจากใน พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง กำหนดไว้ชัดเจนถึงวิธีของการคำนวณ อ่านและเข้าใจกติกาง่ายกว่า จะไม่เกิดการเขย่งเหมือนในอดีตที่ผ่านมา เพราะมีแนวโน้มว่าเมื่อคำนวณคะแนนเสียงแล้ว จำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อจะเกินกว่าที่กำหนด ดังนั้นจำนวนคะแนนเสียงต่อ ส.ส. 1 คน อาจต้องใช้มากกว่า 7 หมื่น หรือ 8 หมื่นเสียง ไม่เหมือนอย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ 

นายอรรถวิชช์ ยังกล่าวถึงกรณีจะมีการแตกแบงค์พันของพรรคการเมืองบางพรรคว่า เรื่องนี้จะต้องทำด้วยความระมัดระวัง เพราะหากเป็นกรรมการบริหารอยู่พรรคหนึ่ง แล้วไปจัดตั้งพรรคการเมืองอีกพรรค จะเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย แต่ทั้งนี้ความจริงไม่จำเป็นต้องไปแตกแบงค์พัน เป็นพรรคแบบไหน ก็ต่อสู้แบบนั้น มีโอกาสชนะได้ ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้เทคนิค แต่ขอว่าสู้กับอะไร ก็ขอให้มีความชัดเจนของเป้าหมาย ว่าต้องการต่อสู้กับใคร 

'เชียงราย' - ช่วยเหลือ 6 คนไทยที่ถูกหลอกไปทำงานในเขตปกครองพิเศษประเทศเมียนมากลับไทย

เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2565 ที่ผ่านมา พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มอบหมายให้ พล.ต.ต.พนัญชัย ชื่นใจธรรม รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค1และเจ้าหน้าที่หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารม้าที่3 เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองเชียงราย เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองพร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันแถลงข่าวและได้เดินทางมายังสะพานมิตรภาพชายแดนไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 

อำเภอแม่สายจังหวัดเชียงรายเพื่อมารับตัวเหยื่อทั้ง 6 ราย ซึ่งได้รับการช่วยเหลือโดยทางการเมียนมาได้ส่งตัวกลับมายังประเทศไทยโดยปลอดภัยซึ่งหลังจากนี้จะได้นำเหยื่อทั้ง6รายเข้าสู่กระบวนการตามมาตรการสาธารณสุขและกระบวนการคัดแยกเหยื่อตามลำดับต่อไป 

จากเหตุการณ์นี้สืบเนื่องจากกรณีที่มีคลิปของกลุ่มหญิงสาวที่ร้องขอความช่วยเหลือปรากกฎตามสื่อและโซเชียลมีเดียเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมาโดยกลุ่มหญิงสาวดังกล่าวถูกเอเจนซี่คนไทยชักชวนไปทำงานเป็นพีอาร์ที่ประเทศเมียนมาร์มีการข้ามแดนไปยังประเทศเมียนมาร์โดยผิดกฎหมายสุดท้ายถูกบังคับค้าประเวณีที่สถานบริการภายในเมืองป๊อกรัฐฉาน (เขตปกครองพิเศษว้า) ประเทศเมียนมา มีหัวหน้าชาวจีนเป็นคนดูแลผลประโยชน์โดย

ภายในคลิปได้ร้องขอมายังทางการไทยเพื่อให้เจ้าหน้าที่รัฐให้ความช่วยเหลือในการนำพาพวกตนกลับมายังประเทศไทยนั้นหลังจากภาพคลิปดังกล่าวปรากฎในสื่อต่างๆนั้นทางการไทยจึงประสานขอความร่วมมือไปยังทางการเมียนมา จนสามารถช่วยเหลือคนไทยทั้ง 6 คนกลับมาได้สำเร็จจากนี้ก็จะให้คนไทยทั้ง 6 คนเข้าสู่กระบวนการคัดแยกเหยื่อหากเป็นเหยื่อจากการค้ามนุษย์จริง จะได้ประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการให้ความช่วยเหลือในฐานะเหยื่อต่อไป หากพบว่าไม่ได้เป็นเหยื่อจากการค้ามนุษย์ ก็จะให้มีการดำเนินคดีตามกฎหมายโดยเด็ดขาดต่อไป

‘น้องเมย์ รัชนก นักแบดมินตันขวัญใจชาวไทย ไม่ทำให้แฟนๆผิดหวัง หลังตบเอาชนะ เฉิน ยู่ เฟย คู่แข่งชาวจีน 2-1 เซต ผงาดคว้าแชมป์ขนไก่มาเลเซีย โอเพ่น 2022

การแข่งขันแบดมินตันในศึก “ปิโตรนาส มาเลเซีย โอเพ่น 2022” ทัวร์นาเมนต์ระดับเวิลด์ทัวร์ 750 ชิงเงินรางวัลรวม 675,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 23,625,000 บาท ที่เอเซียต้า อารีน่า ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย

ประเภทหญิงเดี่ยว รอบชิงชนะเลิศ น้องเมย์ รัชนก อินทนนท์ นักแบดมินตัน มือ 8 ของโลกชาวไทย โคจรมาพบกับ เฉิน ยู่ เฟย มือ 4 ของโลกชาวจีน โดยรัชนก เอาชนะ หวัง ซียี มืออันดับ 13 ของโลกจากจีน 2 เกมรวด ขณะที่ ยู่ เฟย เอาชนะ ไถ้ ซื่อหยิง มืออันดับ 2 ของโลกจากไต้หวันมาในรอบที่แล้ว

ปรากฎว่าแมตช์นี้ ในเกมแรกสาวไทยทำได้ดีกว่าเก็บเกมแรกไปก่อน 21-15 อย่างไรก็ตามเกมที่สอง เฉิน ยู่ เฟย ทำได้ดีกว่าพร้อมทำแต้มออกนำห่าง แต่รัชนกยังไม่ยอมแพ้พยายามไล่ตามมา แต่อย่างไรก็ตามเกมเป็นของสาวจีนเอาชนะไป 21-13 ในเกมที่สามเกมตัดสินทั้งสองคนสู้กันอย่างสูสี ท่ามกลางเสียงเชียร์แฟนแบดมินตันที่ดังสนั่น ซึ่งปรากฎว่าเป็น รัชนก ที่ทำได้แน่นอนกว่า เอาชนะไป 21-16 สรุปรัชนก ชนะ 2-1 เกม 21-15, 13-21 และ 21-16 ผงาดคว้าแชมป์ มาเลเซีย โอเพ่น 2022 ไปครองได้สำเร็จ ถือเป็นแชมป์รายการนี้ หนที่ 2 ของเจ้าตัว หลังเคยทำได้เมื่อปี 2016 และถือเป็นแชมป์แรกในรอบ 2 ปี ของเมย์ รัชนกอีกด้วย ด้าน เฉิน ยู่ เฟย คว้ารองแชมป์ปลอบใจ

ย้อนอดีต 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2440 เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เสด็จพระราชดำเนินเยือนรัสเซีย นับเป็นปฐมบทความสัมพันธ์ไทย – รัสเซีย มายาวนานครบ 125 ปี

ไทยและรัสเซียได้ยึดถือการเสด็จประพาสรัสเซียของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (3-11 กรกฎาคม พ.ศ. 2440/ค.ศ.1897) เป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน โดยความสัมพันธ์ระหว่างพระราชวงศ์มีความใกล้ชิด 

การเสด็จฯ ในครั้งนั้น นับเป็นการเยือนยุโรปอย่างเป็นทางการครั้งแรก ซึ่งต่อมาได้ถือวันดังกล่าวเป็นวันสถาปนาความสัมพันธ์ไทยและรัสเซีย 

โดยก่อนหน้านั้น พระเจ้าซาร์ นิโคลัสที่ 2 เมื่อครั้งยังดำรงพระอิสริยศที่ "มกุฎราชกุมาร" แห่งรัสเซีย ได้เสด็จพระราชดำเนินมาเยือนราชอาณาจักรสยามอย่างเป็นทางการ ในฐานะพระสหายสนิทในสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ระหว่างวันที่ 20 - 24 มีนาคม พุทธศักราช 2434 รวมเวลาทั้งสิ้น 5 วันโดยได้รับการต้อนรับอย่างสมพระเกีรยติเช่นกัน 

ว่ากันว่า ด้วยพระราชไมตรีอันแน่นแฟ้นของพระราชวงศ์ทั้งสองนี้ ก็ได้คานอำนาจของประเทศมหาอำนาจในยุโรปอย่างฝรั่งเศสและอังกฤษ ทำให้สยามดำรงเอกราชเพียงประเทศเดียวในภูมิภาคจวบจนกระทั่งทุกวันนี้

“เฉลิมชัย”เดินหน้าขยายตลาดญี่ปุ่น ส่ง”อลงกรณ์”กระชับความร่วมมือกับบริษัทการค้าญี่ปุ่นหวังพัฒนาสินค้าเกษตรของไทยเพิ่มส่งออกกว่าแสนล้านบาท

   รายงานข่าวจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แจ้งวันนี้(3ก.ค.)ว่า นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายสมศักดิ์ วิวิธเกยูรวงศ์ อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายเกษตร) ประจำกรุงโตเกียว  โชติ พึงเจริญพงศ์ คณะทำงานที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯ. นายณฐกร สุวรรณธาดา  คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯ. น.ส.นิณา รัตนจินดา ผู้บริหารโปรเฟสอินเตอร์เนชั่นแนลและคณะเข้าเยี่ยมชมระบบความเย็น(Cold Chain)และรับฟังข้อมูลระบบโลจิสติกส์ ระบบเครือข่ายตลาดค้าส่งค้าปลีก รวมถึงการบริหารจัดการคลังสินค้าในการนำเข้าสินค้าเกษตรของไทยมายังประเทศญี่ปุ่น ณ บริษัท P.K. SIAM  เมืองโยโกฮามา จังหวัดคานากาวะ โดยมีนายรุ่งสิทธิ์ สนธิอัชชรา ผู้จัดการฝ่ายการค้า(Trading Division Manager) ให้การต้อนรับ พาชมพร้อมบรรยายสรุป โดยบริษัท พี.เค.สยาม(P.K.SIAM )เป็นบริษัทผู้นำเข้า  ผักและผลไม้รายใหญ่ในกรุงโตเกียว  อาทิ มะม่วงทุเรียน กล้วยหอม ส้มโอ มะพร้าว มังคุด  ผักสด น้ำมะนาวคั้นสด รวมถึงสินค้าแปรรูป อาหาร ผลไม้กระป๋อง เป็นต้น 

จากนั้นนายอลงกรณ์และคณะะได้เดินทางไปพบหารือกับคณะผู้บริหารของบริษัทไนไกนิตโตะซึ่งเป็นบริษัทโลจิสติกส์รายใหญ่มีการร่วมทุนกับไทยจัดตั้งบริษัทในประเทศไทยมากว่า25ปีพร้อมกับเยี่ยมชมระบบขนส่งทางเรือทางอากาศซึ่งมีบริการขนส่งยางพาราและเครื่องจักรกลการเกษตรด้วย 
 

สวนนงนุชพัทยา ร่วมปลูก ต้นพระศรีมหาโพธิ์ กับ ท่านผู้ว่ากรุงเทพมหานคร ในกิจกรรมปลูกต้นไม้ล้านต้น สร้างพื้นที่สีเขียว และกำแพงกรองฝุ่นทั่วกรุง  ณ สวนวชิรเบญจทัศ

         เมื่อวันที่ 3 ก.ค.65นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และ ดร.มนัส โนนุช ประธานมูลนิธิ มิราเคิล ออฟไลฟ์ ฯพร้อมด้วย นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา แขกผู้มีเกียรติร่วมกิจกรรมตามนโยบายปลูกไม้ล้านต้น  สร้างพื้นที่สีเขียวและกำแพงกรองฝุ่นทั่วกรุง  ณ สวนวชิรเบญจทัศ ( สวนรถไฟ) เขตจตุจักร  กรุงเทพมหานคร 

          นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครปลูกต้นศรีมหาโพธิ์    ซึ่งสมเด็จพระสังฆราชมีพระบัญชาให้ขยายพันธุ์จากต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่รับมาจากสถานที่ตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ พุทธคยา ประเทศอินเดีย         
         
         

ชาวเน็ตจีน รีวิว ‘มังคุด’ ชี้ไม่สมชื่อราชินีผลไม้ ไม่อร่อยลิ้น ทั้งแพงทั้งขม ซื้อมาไม่คุ้ม ชอบกินกันไปได้ไง แต่พอได้เห็นสภาพแล้ว หัวจะปวด!!

มังคุด ผลไม้ที่โปรดปรานของหลาย ๆ คน ได้รับการขนานนามว่าเป็นราชินีแห่งผลไม้ หากจะมีใครที่ไม่ชอบกินมังคุด ก็อาจจะมีเหตุผลส่วนตัวที่เข้าใจได้ แต่สำหรับบางเหตุผล ทำเอาหลายคนต้องตกตะลึงไปตามกัน โดยเฉพาะเหล่าคนรักผลไม้ ต้องมีเคืองกันบ้างงานนี้

เว็บไซต์ Says เผยว่า เมื่อไม่นานมานี้ มีกลุ่มชาวเน็ตจีนจำนวนหนึ่ง ได้ออกมาแชร์ประสบการณ์การกินมังคุดของพวกเขา ผ่านทางแอปฯ Xiaohongshu โซเชียลมีเดียของจีน โดยหลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า มังคุดนั้น "ขม" หลังจากพยายามมาหลายครั้ง ก็รู้สึกผิดหวัง เนื่องจากซื้อมาในราคาแพง และรสชาติก็ยังแย่ด้วย

ชาวเน็ตจีนรายหนึ่ง กล่าวว่า "ฉันเก็บเงินไปซื้อมังคุดมา 2-3 ลูก ฉันขอเตือนทุกคนไม่ให้ตกหลุม (โดนหลอก) อย่างฉัน อย่าซื้อเลย มันกินยากมาก"

ขณะที่อีกรายกล่าวว่า "ฉันไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมคนจำนวนมากถึงชอบกินมังคุด มันทั้งขม และเป็นกรด แถมมีราคาแพง"

ในขณะเดียวกันชาวเน็ตเหล่านี้ก็เผยภาพมังคุดของพวกเขาให้เห็น เพื่อเป็นการยืนยันว่า มันไม่อร่อยจริง ๆ ซึ่งเมื่อได้เห็นภาพแล้วก็ต้องตกใจมาก เพราะพวกเขากัดมังคุดกินทั้งเปลือก ลักษณะเหมือนกินแอปเปิล ไม่ได้กินเนื้อมันด้านใน นี่จึงเป็นเหตุที่พวกเขาเข้าใจว่า มังคุดขม  

‘ดร.กอบศักดิ์’ เตือน เศรษฐกิจประเทศในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ส่อเค้าวิกฤตหนัก หลังเผชิญปัจจัยลบรอบด้าน คาดอีก 2 ปี ข้างหน้าถึงเวลาเผาจริงกระจายทั่วทุกภูมิภาค

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่และเลขานุการ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Kobsak Pootrakool หัวข้อ ‘Emerging Market Crisis 2022-2023’ เตือนถึงความเสี่ยงจากวิกฤตที่อาจมาเยือนในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ว่า สิ่งหนึ่งที่น่าจับตามองอย่างใกล้ชิดต่อไปก็คือ วิกฤตในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ หรือ Emerging Market ที่รอบนี้เริ่มต้นจากประเทศเล็กๆ เช่น ประเทศศรีลังกา และกำลังค่อยๆ กระจายออกไปยังประเทศอื่นๆ เช่น ปากีสถาน, กานา, แซมเบีย และ สปป.ลาว โดยจะสะสมพลังมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วง 2 ปีข้างหน้า 

ที่กล่าวเช่นนี้ก็เพราะ Emerging Market โดยรวมกำลังถูกกดดันจาก

ดอกเบี้ยโลกที่กำลังเพิ่มขึ้นจากการสู้ศึกกับเงินเฟ้อของประเทศหลักๆ ทำให้ต้องมีภาระในการจ่ายดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น

วิกฤตพลังงานและวิกฤตอาหารโลก ที่ทำให้ราคาพลังงาน ราคาอาหาร และราคาปุ๋ยแพงขึ้น 

การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่ทำให้ส่งออกได้น้อยลง

ทั้งหมดนี้จะนำไปสู่การขาดดุลการค้าที่เพิ่มขึ้น และการไหลออกของเงินจากกลุ่ม Emerging Market นำไปสู่เงินสำรองระหว่างประเทศที่ลดลง ค่าเงินที่อ่อน เงินเฟ้อที่สูง และสุดท้ายลุกลามขึ้นเป็นวิกฤตในที่สุด

ยิ่งวิกฤต Perfect Storm จากสามทวีปที่กำลังถาโถมเข้าใส่ประเทศหลักของระบบเศรษฐกิจโลก เช่น สหรัฐอเมริกา, ยุโรป, อังกฤษ และญี่ปุ่น มีความรุนแรง ยาวนานมากขึ้นเท่าใด วิกฤตใน Emerging Market ก็จะมีความลำบาก ท้าทายมากขึ้นเท่านั้น

สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับวิกฤตในตลาดเกิดใหม่รอบนี้ก็คือ โดยปกติแล้ว วิกฤตในประเทศเกิดใหม่จะเกิดเป็นพื้นที่ เช่น 

Latin American Debt Crisis ที่เริ่มในปี 1982

Asian Financial Crisis ระหว่างปี 1997-1998

Eastern European Crisis หลังเกิดวิกฤตการเงินโลกในปี 2008

เนื่องจากประเทศในพื้นที่เดียวกัน มักจะทำตัวคล้ายๆ กัน มีปัญหาคล้ายๆ กัน ทำให้เวลาที่เกิดวิกฤตก็จะล้มไปในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน 

แต่ในรอบนี้ วิกฤตจะกระจายไปทุกพื้นที่ ทุกภูมิภาค โดยจะเริ่มจากประเทศเล็กๆ ที่มีฐานะการเงินและเศรษฐกิจอ่อนแอก่อน เช่น ศรีลังกา, กานา, ปากีสถาน และ สปป.ลาว และค่อยๆ วนขึ้นมาในประเทศที่ใหญ่ขึ้นในช่วง 2 ปีข้างหน้า 



© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top