Tuesday, 17 June 2025
SPECIAL

กมธ.งบฯ เพื่อไทย ถกงบ 3 กระทรวง : DE ลุยสร้างตึก 2,500 ล้าน ศึกษา 10 จังหวัดกินงบ 1/3 พลังงานหมดมุกแก้น้ำมันแพง

ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ในฐานะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 กล่าวถึงการพิจารณางบสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า กมธ.ได้พิจารณางบใน 3 กระทรวงสำคัญ โดยมีประเด็นที่น่าสนใจ ดังนี้

1. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม 
1.1. สถานการณ์ด้านดิจิทัลไทยย่ำแย่ สัดส่วนการส่งออกบริการทางด้าน ICT ของไทยเกือบรั้งท้ายอยู่อันดับ 60 จาก 64 ประเทศ การศึกษาทางด้านดิจิทัลอยู่อันดับที่ 56 จาก 64 ประเทศ 
1.2. แต่การจัดสรรงบประมาณกลับไม่ได้รู้ร้อนรู้หนาว 86 ล้านบาทถูกตั้งให้กับศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม 2,125 ล้านบาท หรือ 31% ของงบทั้งกระทรวงถูกจัดไปที่กรมอุตุฯ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ลงทุนกับอุปกรณ์เครื่องมือเยอะ แต่หน้าที่การพยากรณ์อากาศซ้อนทับกับภาคเอกชน ซึ่งทำได้ดีกว่า และต้องลงทุนอีกเยอะในอนาคต จึงตั้งข้อสังเกตว่าในภารกิจนี้ยังจำเป็นหรือไม่ 
1.3. DEPA ได้ของบโครงการสตาร์ทอัพคนละครึ่ง ร่วมลงทุนกับสตาร์ทอัพ สร้างข้อกังขาในการคัดเลือกสตาร์ทอัพที่จะร่วมทุน โอกาสเสียหายจากการลงทุน และแนวทางลดความเสี่ยง โครงการดิจิทัลวัลเล่ย์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการก่อสร้างอาคาร IOT มีงบตั้งแต่เริ่มผูกพันต่อเนื่องถึงปี 67-68 รวมกว่า 2,500 ล้านบาท ซึ่งการสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลนั้น หัวใจคือการสร้างระบบนิเวศ ไม่ใช่สร้างอาคาร
1.4. กระทรวง DE ใช้งบประมาณไม่น้อยกับการอบรมดิจิทัล และศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชน ศูนย์ดิจิทัลชุมชน ซึ่งบางส่วนเป็นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การเช่าอุปกรณ์ ซึ่งสามารถทดแทนการใช้ Content กระจายผ่าน Platform ที่มีอยู่ และร่วมมือกับกระทรวงศึกษาฯ จะประหยัดงบกว่า DE ทำเอง และต่างคนต่างทำ

2. กระทรวงศึกษาธิการ
2.1. คุณภาพการศึกษาไทยตกต่ำสุดขีด เด็กวัยเรียนส่วนใหญ่ IQ ต่ำกว่าค่ากลางมาตรฐานสากล EQ ต่ำกว่าเกณฑ์ปกติ O-NET เฉลี่ยต่ำในทุกกลุ่มสาระ PISA ต่ำกว่าประเทศคู่แข่งในระดับเดียวกัน สถานศึกษาจำนวนมากตกเกณฑ์ประเมิน ปัญหาหนี้สินครู การพัฒนาครูถูกละเลย
2.2. ตั้งเป้าหมายเน้นเอาง่าย : อันดับความสามารถในการแข่งขัน (IMD) ย่ำแย่ อยู่อันดับ 53 จาก 64 ประเทศ แต่กระทรวงกับตั้งเป้าอยู่ที่อันดับ 55 ซึ่งแย่กว่าอันดับปัจจุบันเสียอีก ตัวชี้วัดเข้าถึงการเรียนรู้ตลอดชีวิต ตั้งเป้าหมายต่ำลงเกือบครึ่งจากปีที่แล้ว
2.3. ในงบส่วนของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) งบก่อสร้างซ่อมแซมอาคารและสิ่งก่อสร้างสูงถึง 4,058 ล้านบาท ยังเป็นแนวคิดแบบเก่า โดยการใช้ “สิ่งก่อสร้างนำ ความรู้ตาม” ในขณะที่โครงการจัดการศึกษาเพื่อการมีงานทำ กลับได้งบเพียง 5 ล้านกว่าบาท ผ่านโครงการห้องเรียนอาชีพเพียง 6 แห่ง
2.4. ในแง่ของการกระจายงบ จังหวัด TOP 10 ได้งบกว่า 1 ใน 3 ของงบทั้งหมด เป็นจังหวัดเดิมๆ และจังหวัดรั้งท้ายได้งบน้อยกว่าจังหวัดอันดับ 1 กว่า 22 เท่าตัว

ตร. เตือน กลลวงใหม่ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ อ้าง DSI หลอกให้โหลดแอปป้องกันโกง 

วันที่ 2ก.ค. 2565 พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตามที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้มีนโยบายให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แจ้งเตือนและประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนรู้เท่าทันถึงอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดนั้น

ปัจจุบันแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พยายามพัฒนารูปแบบการหลอกลวงพร้อมทั้งนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาหลอกลวงประชาชนอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งล่าสุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่าคนร้ายได้มีรูปแบบในการหลอกลวงรูปแบบใหม่ โดยการแอบอ้างเป็น กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) แจ้งข้อมูลผ่านระบบเสียงอัตโนมัติแนะนำแอปพลิเคชันป้องกันการถูกโกง ซึ่งมีการอ้างว่าแอปพลิเคชันดังกล่าวสามารถป้องกันการโกงได้ทุกรูปแบบ โดยให้เหยื่อติดตั้งในโทรศัพท์มือถือ ซึ่งหากเหยื่อหลงเชื่อ ติดตั้งแอปพลิเคชันตามที่คนร้ายบอก อาจถูกเข้าถึงข้อมูลในโทรศัพท์ เช่น ข้อมูลบัญชีผู้ใช้ ข้อมูลรหัสผ่าน ข้อมูลบัญชีธนาคาร ทำให้ได้รับความเสียหาย หรือคนร้ายอาจหลอกให้ติดตั้งโปรแกรม Remote Desktop ซึ่งจะทำให้โทรศัพท์ของเหยื่อ ถูกมิจฉาชีพควบคุมได้ และอาจเห็นข้อมูลส่วนตัว รูปถ่าย  หรือไฟล์ข้อมูลสำคัญที่อยู่ในโทรศัพท์ หรืออาจเข้าใช้งานโปรแกรมหรือแอปพลิเคชันที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมทางการเงิน เช่น สั่งให้ถอนเงิน หรือโอนเงินได้อีกด้วย

พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ กล่าวต่อว่า ได้ประสานไปยัง พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผู้อำนวยการกองบริหารคดีพิเศษ ในฐานะโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ ยืนยันว่า กรณีดังกล่าวเป็นการนำชื่อ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ไปใช้แอบอ้าง

นักร้องนำวง 'Green Day' ประกาศสละสัญชาติ ประท้วงสหรัฐฯ หลังยกเลิก 'สิทธิการทำแท้ง'

นักร้องนำวง Green Day ประกาศสละสัญชาติ หลังสหรัฐฯ ยกเลิกสิทธิการทำแท้งตามกฎหมายที่มีมานานเกือบ 50 ปี ชี้ คำตัดสินดังกล่าวเป็นข้ออ้างไร้สาระสำหรับประเทศหนึ่ง

กลายเป็นประเด็นถกเถียงบนโลกโซเชียลไม่น้อย เมื่อศาลสูงสุดของสหรัฐตัดสินยกเลิก “สิทธิทำแท้ง” โดยระบุว่า สิทธิดังกล่าวเป็นความผิดพลาดที่ไม่ควรเกิดขึ้นตั้งแต่แรก จนสร้างความไม่พอใจให้กับหลายคน ประชาชนที่ไม่เห็นด้วยเริ่มเดินขบวนประท้วงตามสถานที่ต่าง ๆ ไม่เว้นแม้แต่บุคคลที่มีชื่อเสียง

ล่าสุด บิลลี โจ อาร์มสตรอง (Billie Joe Armstrong) นักร้องนำและมือกีตาร์ของวง Green Day ถึงกับของขึ้นฉุดไม่อยู่ ประกาศกลางคอนเสิร์ต Hella Mega ในกรุงลอนดอน เตรียมสละสัญชาติอเมริกา โดยระบุว่า “โลกนี้มันแย่เกินไปที่จะกลับไปใช้ข้ออ้างที่น่าสมเพชสำหรับประเทศหนึ่ง” พร้อมระบุว่า อาจจะย้ายมาอยู่ที่อังกฤษแทน และแน่นอนว่าสิ่งที่เขาพูดไม่ใช่เรื่องล้อเล่น

มหกรรมกีฬา 2 มหาสมุทรสุดยิ่งใหญ่ 'Air Sea Land Southern International Sports Tourism Festival 2022' พร้อมดึงนักกีฬาไทย-ต่างชาติร่วมพลิกฟื้นเศรษฐกิจด้วย Sports Tourism นำร่อง 7 จังหวัดภาคใต้ตอนล่าง

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานในการแถลงข่าวการแข่งขันมหกรรมกีฬา 2 มหาสมุทรสุดยิ่งใหญ่ “Air Sea Land Southern International Sports Tourism Festival 2022” โดยมี ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย และดร.สุปราณี คุปตาสา ผู้จัดการกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ร่วมแถลง ณ โรงแรมแกรนด์โฟร์วิงส์ ศรีนครินทร์ เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2565 ที่ผ่านมา 

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า สืบเนื่องมาจากการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี พ.ศ.2563 ณ จังหวัดภูเก็ต ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 อย่างหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคการท่องเที่ยว และการจัดการแข่งขันกีฬา ซึ่งถือเป็นหนึ่งยุทธศาสตร์ที่สำคัญในการขับเคลื่อนทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย รัฐบาลโดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีนโยบายให้การส่งเสริม สนับสนุนพื้นที่ในยุทธศาสตร์ดังกล่าว โดยเฉพาะจังหวัดในรอบทะเลอันดามันและอ่าวไทย เพื่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ และสนับสนุนผู้ประกอบการด้านการกีฬา และการท่องเที่ยวไม่ว่าจะเป็นสถานที่พัก การเดินทาง สถานที่ท่องเที่ยว สถานที่จัดกิจกรรมกีฬา ร้านค้า ด้วยการจัดมหกรรมการแข่งขันกีฬาและการท่องเที่ยวรวมไว้ด้วยกัน รัฐบาลจึงได้อนุมัติงบประมาณในการจัดมหกรรมท่องเที่ยวเชิงกีฬา 2 มหาสมุทร หรือ Air Sea Land Southern International Sports Tourism Festival โดยได้รับงบประมาณ การสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ การกีฬาแห่งประเทศไทย จำนวน 125 ล้านบาท และจากสำนักงบประมาณ จำนวน 52 ล้านบาท เพื่อจัดกิจกรรมการแข่งขัน จำนวน 12 ชนิดกีฬา และกิจกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในพื้นที่นำร่อง 7 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดสงขลา สตูล พัทลุง กระบี่ พังงา ภูเก็ต และสุราษฎร์ธานี โดยคาดการณ์ว่าจะทำให้เกิดการหมุนเวียนรายได้หรือเศรษฐกิจในพื้นที่ไม่น้อยกว่า 10 เท่าของงบประมาณที่ลงทุน

นอกจากนี้การจัดการแข่งขันมหกรรมท่องเที่ยวเชิงกีฬา 2 มหาสมุทร ยังก่อให้เกิดผลลัพธ์ในมิติด้านสังคมที่ต้องการส่งเสริม และกระตุ้นให้เยาวชน ประชาชนได้ชื่นชอบในการเล่น และชมกีฬา จนสามารถพัฒนาตนเองไปสู่การเป็นนักกีฬาในอนาคตได้

เปิดใจ 'หนุ่มกู้ภัย' อาสามัดศพติดหลัง พาออกจากป่า เผย!! ไม่กลัว หวังแค่นำส่งให้ญาติอย่างดีที่สุด

เปิดใจหนุ่มอาสากู้ภัยมูลนิธิสยามรวมใจ (ปู่อินทร์) เขตเวียงป่าเป้า..บอกคิดเหมือนเป็นญาติ-ไม่กลัวผี รับหน้าที่มัดร่างผู้ตายติดหลังนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์ลงดอยออกจากป่า หวังส่งให้ญาติที่รออยู่บ้านอย่างดีและเร็วที่สุด

กรณีโลกออนไลน์แห่แชร์ชื่นชมหนุ่มอาสาสมัครกู้ภัยประจำมูลนิธิสยามรวมใจ (ปู่อินทร์) เขตเวียงป่าเป้า คือ นายจตุพร วิรัตน์เกษม อายุ 25 ปี หรือ "ฟลุ๊ค" นำร่างผู้เสียชีวิตดังกล่าวมัดและซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ออกจากป่าเป็นระยะทางกว่า 7 กม. ทำให้เจ้าหน้าที่และญาติขอบคุณในความเสียสละนั้น

ล่าสุดนายจตุพรเปิดเผยว่า ตนมาเป็นอาสากู้ภัยกับสยามรวมใจฯ มาเกือบ 8 ปี แล้ว ได้ประสบการณ์และความรู้มากมาย ที่เป็นประโยชน์ และสามารถช่วยเหลือผู้คนใกล้ตัวให้รอดพ้นจากอันตรายได้

ส่วนเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อ 31 พ.ค. 65 ที่ผ่านมา ซึ่งทางกู้ภัยฯ ได้รับแจ้งจาก สภ.แม่เจดีย์ว่ามีผู้เสียชีวิตอยู่ในป่า พื้นที่บ้านจำบอน ต.แม่เจดีย์ใหม่ อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย ทางมูลนิธิฯ จึงได้ออกให้การช่วยเหลือ ซึ่งช่วงเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน รถตู้ของมูลนิธิฯ เดินทางไปถึงหมู่บ้านจำบอนและพบกับผู้ใหญ่บ้านในเวลาประมาณ 20.00 น.

จากนั้นได้ใช้รถยนต์ตู้เดินทางเข้าไปตามถนนในป่าแต่เข้าไปได้ระยะหนึ่งก็ต้องหยุด เพราะรถยนต์เข้าไปต่อไม่ได้ เนื่องจากเส้นทางเป็นลูกรัง แคบ และเป็นโคลน รวมทั้งเป็นทางเนินเขาสูงชัน เสี่ยงที่จะทำให้เกิดอันตรายได้ ทำให้ต้องเดินทางต่อไปด้วยรถจักรยานยนต์ของชาวบ้านเข้าไปต่ออีก 5-6 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง

ILINK เจ๋ง!! คว้า 2 งานใหญ่ ปรับปรุงสถานีไฟฟ้าย่อย เติม Backlog มูลค่ารวมกว่า 900 ล้านบาท

นางสาววริษา อนันตรัมพร กรรมการ และผู้จัดการทั่วไป กลุ่มบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ILINK ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายสายสัญญาณที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน และผู้นำเข้า และค้าส่งอุปกรณ์เครือข่ายส่งสัญญาณ เปิดเผยว่า...

"บริษัทฯ มุ่งมั่นในการนำเทคโนโลยีอัจฉริยะมาขับเคลื่อน และพัฒนาประเทศไทยให้ก้าวทันยุคสมัยอยู่เสมอ นับเป็นปีฟ้าสดใสของทุกๆ ธุรกิจภายใต้กลุ่ม ILINK ที่กลับมาตื่นตัว ซึ่งสนับสนุนให้องค์กรของเราเดินหน้าเติบโตอย่างต่อเนื่อง"

'อดีตนักสร้างสารคดี' สอนพวกเสี้ยม อย่าชักศึกเข้าบ้าน บางเหตุเป็น 'สิ่งปกติ' ยัน!! 'ไทย-เมียนมา' เพื่อนกันกว่าที่คิด

แม้จะมีความพยายามสร้างรอยร้าวให้เกิดขึ้นกับความสัมพันธ์ระหว่าง 'ไทย-เมียนมา' จากกรณีเครื่องบินรบเมียนมาตีวงเลี้ยวล้ำน่านฟ้าไทย แต่สุดท้ายก็เป็นเพียงแค่เหตุสุดวิสัย ที่พูดคุยกันด้วยความเข้าใจ ก็จบ

เพราะสุดท้ายแล้ว โดยพื้นเพของคนทั้ง 2 ฝั่งประเทศ ที่เราอาจจะเรียกว่า 'คนระดับล่าง' นั้น เขามีน้ำใจต่อกันแบบที่คนไม่รู้ ก็อาจจะพูดให้เกิดความกังวลใจในภาพใหญ่ ซึ่งเรื่องนี้ ผู้ใช้เฟซบุ๊กในชื่อ 'อัครวุฒิ จันทร์ขจร' ได้โพสต์ข้อความที่ช่วยขยายความสัมพันธ์อันดีของคน 2 ชาติที่สะท้อนจากเรื่องจริง มาถ่ายทอดจนเห็นเป็นภาพชัดว่า 'ไทย-เมียนมา' ต่างกันแค่ลำธารกั้น แต่เป็นเพื่อนกันเมื่อได้พบเจอและพูดคุย ว่า...

เรื่องของเพื่อนประเทศ...

ในสมัยที่ผมทำสารคดีทุ่งใหญ่แถบบ้าน 'ทิไล่ป้า' มันเป็นเขตติดกับพม่าแค่ 'ลำธารกั้น'

ผมก็เดินถ่ายไปของผม​ เพราะธรรมชาติสวยดี​ แต่พอมารู้ตัว​ 'มีทหารพม่า 3 คนเดินเข้ามา' พูดภาษาไทยชัดมาก

>> ทหารพม่า: คุณมาทำอะไร​ 
>> ผมบอก: มาสร้างโรงเรียนทิไล่ป้า
>> ทหารพม่า: อ๋อ!! ลูกชายผม 2 คนก็เรียนที่นั่น​

เรานั่งคุยกัน​ ผมมีช็อกโกแลตไป 5-6 ชิ้น​ ก็แบ่งกันกินเพราะเห็นว่าเค้าน่าจะไม่เคยกิน​ คุยกันถามสารทุกข์สุขดิบ​ จนสุดท้ายผมขอตัวกลับ​...เดินต่อ​ 

>> ทหารพม่าบอก: พี่โอมครับ...แผ่นดินไทยไปทางโน้นครับ​ นี่เขตพม่าครับ
>> ผม: อ้าว​นี่พี่ล้ำแดนมาพม่ารึนี่
>> ทหารพม่า: ไม่เป็นไรครับ​ เราพม่าไทยก็เหมือนเพื่อนกัน​ และยิ่งมาสร้างโรงเรียนให้ลูกผมได้เรียน...ยิ่งอยากต้อนรับครับ

นี่คือ...น้ำใจระดับล่างของประเทศเพื่อนบ้าน...ถ้าเค้ามีความคิดเป็นอย่างฝ่ายค้านบางคนของไทย​ ป่านนี้ผมคงตายเป็นผีเฝ้าป่าไปแล้ว​  

แต่นี่...มันเป็นเรื่องของเพื่อนบ้านรั้วติดกัน​ และผมก็เคยคุยกับพี่ๆ นักบินฮ.ชายแดน​ เค้าบอก​บางทีเราก็ตีวงเข้าพื้นที่กันบ้างเป็นเรื่องธรรมดา​ ไม่ว่า​ทางน้ำ​ ทางบก​ ทางอากาศ​ ถ้าเค้าไม่ตั้งใจเข้ามาถล่มเรา เรื่องเมื่อวานนี้ (30 มิ.ย.) มัน 'คือปกติ' มีแต่ไอ้พวกที่ชอบชักศึกเข้าบ้านนี่แหละที่มันคิดแบบไม่ดี...

ครับ​ ผมเข้าใจเรื่องพวกนี้นะ...บางทีชายแดนลาว​ เขมร​ ผมก็เจอ​ อย่างเช่นปี 2535 ที่บ้าน 'ไทยนิยม' ศรีสะเกษ​มั้ง บ้านเกิดพี่บัวขาวน่ะ...ผมก็ไปทำสารคดี...ขับรถข้ามทุ่งไป​ มันเลี้ยวแยะยุคนั้น...เลยเข้าเขมร​ เค้าก็ออกมาบอกทางว่าไปทางนั้นทางนี้...ทั้งๆ ที่ตอนนั้นประเทศเค้ายังรบกัน​ 

‘Hachiko & Capitan’ สุนัขยอดกตัญญู เพื่อนแท้ของมนุษย์ ตราบสิ้นลมหายใจ



Harry S. Truman อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ เคยกล่าวไว้ว่า “หากคุณต้องการเพื่อนแท้ใน Washington D.C. ให้หาสุนัขมาเลี้ยง” 

ซึ่ง ‘ฮาจิโกะ’ สุนับสายพันธุ์อากิตะ อินุ ในญี่ปุ่น และ ‘Capitan’ (หรือ Captain ในภาษาอังกฤษ) สุนัขสายพันธุ์ German shepherd ในอาร์เจนตินา ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า “สุนัขเป็นเพื่อนแท้ของมนุษย์ แม้กระทั่งภายหลังความตาย” 

รูปปั้นของฮาจิโกะกับศาสตราจารย์อูเอโนะ ผู้เป็นเจ้าของ 

ในประเทศญี่ปุ่นมีเรื่องของ ‘ฮาจิโกะ (Hachiko)’ สุนัขซึ่งเป็นที่รู้จักในนามของ ‘ฮาจิโกะ สุนัขยอดกตัญญู’ โดยเป็นสุนัขสายพันธุ์อากิตะ อินุ (Akita Inu) 

สุนัขสายพันธุ์อากิตะ อินุ มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่เกาะฮอนชู ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งแต่เดิมถูกใช้เป็นสุนัขอารักขาให้กับโชกุน และใช้เป็นสุนัขสำหรับการล่าสัตว์ มีทักษะในการดมกลิ่น การมองเห็น และการได้ยินในระดับสูง 

 

 

ภาพถ่ายของฮาจิโกะ

สำหรับเจ้า ‘ฮาจิโกะ’ นั้นกลายเป็นสัญลักษณ์ถึงความจงรักภักดีอันน่าทึ่ง จากการที่มันเฝ้ารอการกลับมาของศาสตราจารย์อูเอโนะ ภาควิชาการเกษตรกรรมแห่งมหาวิทยาลัยโตเกียว ผู้เป็นเจ้าของ ณ สถานีรถไฟชิบูยะ หลังจากที่ ศ.อูเอโนะเสียชีวิตทุกวันเป็นเวลากว่า ๙ ปี จนกระทั่งมันตาย 

รูปปั้นของฮาจิโกะ ที่ ชิบูยะ กรุงโตเกียว

‘ฮาจิโกะ’ กลายเป็นสัญลักษณ์ของความสัตย์ซื่อ หนุ่มสาวญี่ปุ่นจะไปสัญญารักต่อกันหน้ารูปหล่อของฮาจิโกะที่สถานีรถไฟดังกล่าว

ตร.เตือน วัยคะนองพึงระวัง ชกต่อยหวังเอาเครื่องหมายสถานศึกษา โทษหนัก หมดอนาคต

(1 ก.ค.65) พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตามที่มีเหตุ เด็กนักเรียนโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ถูกคนร้ายเป็นชาย 3 ราย ชักอาวุธมีดขึ้นมาข่มขู่ และลงมือชกต่อยเข้าไปที่ใบหน้าของเด็กนักเรียนที่กำลังเดินกลับบ้าน เพื่อต้องการชิงเข็มพระเกี้ยว ซึ่งเป็นตราสัญลักษณ์ของสถาบันดังกล่าว นั้น

 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอเตือนไปยังกลุ่มนักเรียนนักศึกษา ที่มีความคิดว่าการแย่งชิงตราสัญลักษณ์ของสถาบันการศึกษาอื่น เป็นเรื่องสนุกของวัยรุ่น ทำให้ได้รับการยอมรับจากเพื่อน เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ซึ่งไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด หากแต่เป็นการกระทำที่ขาดการยั้งคิด และเป็นความผิดร้ายแรงตามกฎหมายที่ได้บัญญัติไว้

 

ซึ่งการที่บุคคลใดลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือ ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น หรือเพื่อเอาทรัพย์นั้นเป็นของตน จะเป็นความผิดฐาน ชิงทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 และหากร่วมกันกระทำความผิดตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป จะเป็นความผิดฐาน ปล้นทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ซึ่งอัตราโทษจะขึ้นอยู่กับความร้ายแรงของการกระทำ ซึ่งสรุปได้ดังนี้...

 

ความผิดฐานชิงทรัพย์ (ผู้กระทำผิด 1 ถึง 2 คน)

- ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 100,000 บาท ถึง 200,000 บาท 

- เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 10 ปี ถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 200,000 บาท ถึง 400,000 บาท

- เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 15 ปี ถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 300,000 บาท ถึง 400,000 บาท

- เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต

ความผิดฐานปล้นทรัพย์ (ผู้กระทำผิด 3 คน ขึ้นไป)

- ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 10 ปี ถึง 15 ปี และปรับตั้งแต่ 200,000 บาท ถึง 300,000 บาท

- ผู้กระทำความผิดคนใดคนหนึ่ง พกอาวุธติดตัวไปด้วย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 12 ปี ถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 240,000 บาท ถึง 400,000 บาท

- เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 15 ปี ถึง 20 ปี

- กระทำโดนแสดงความทารุณ เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ใช้ปืนยิง วัตถุระเบิด หรือกระทำทรมาน ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 15 ปี ถึง 20 ปี

- เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษประหารชีวิต

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ เปิดปฏิบัติไล่ล่าผู้ต้องหา หลังนำอาวุธสงครามยิงถล่มบ้านคู่อริ

จากกรณีสื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียนำเสนอ เมื่อวันที่ 18 มิ.ย.65 เวลาประมาณ 23.00 น. มีคนร้ายจำนวน 2 คน นำอาวุธปืนสงครามชนิดเอ็ม 16 ยิงถล่มบ้านและรถของนายภาสกร หลินมา อายุ 38 ปี ผู้เสียหาย ขณะที่ตนเองและครอบครัวกำลังพักผ่อนภายในบ้าน ในพื้นที่ อ.ควนขนุน จ.พัทลุง ทำให้คนในบ้านต้องพยายามหนีเอาชีวิตรอด วิ่งหลบกันชุลมุน ซึ่งต่อมาผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดีกับกลุ่มคนร้ายนั้น พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. จึงได้สั่งการให้ พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้ช่วย ผบ.ตร. ควบคุมการปฏิบัติในการสืบสวนติดตามและจับกุมคนร้ายกรณีดังกล่าวอย่างเร่งด่วนเนื่องจากเป็นคดีอุกฉกรรจ์ที่ทำให้ประชาชนรู้สึกหวาดกลัวและไม่มั่นใจความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน โดยเฉพาะกลุ่มคนร้ายมีการนำอาวุธปืนสงคราม ซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงมาใช้ก่อเหตุ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ฯ ได้ควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด พร้อมกันนี้ได้สั่งการให้ พล.ต.ท.นันทเดช ย้อยนวล ผบช.ภ.9, พล.ต.ต.วัลลพ จำนงค์อาษา รอง ผบช.ภ.9,พล.ต.ต.ทิวธวัช นครศรี ผบก.สส.ภ.9, พล.ต.ต.ตานิตย์ รามดิษฐ์ ผบก.ภ.จว.พัทลุง, พ.ต.อ.ยศวรรธน์ กระจ่างวงศ์ ผกก.สส.ภ.จว.พัทลุง, พ.ต.อ.สการียา ยูโซ๊ะ ผกก.สภ.ควนขนุน และเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวนสอบสวนเร่งรัดติดตามกลุ่มคนร้ายทันที

ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.65 พ.ต.อ.บรรพต เดชมา ผกก.สส.2 บก.สส.ภ.9, เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวนและเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ควนขนุน ได้ขออนุมัติหมายจับศาลจังหวัดพัทลุง และสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้จำนวน 2 ราย ประกอบด้วย..

1. นายพีรพงษ์ สงวนนามสกุล อายุ 40 ปี อยู่ที่ หมู่ 3 ต.เกาะเต่า อ.ป่าพยอม จ.พัทลุง ทำหน้าที่เป็นคนยิง (จับกุมตัวได้ที่ ม.1 ต.เกาะพะงัน อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี)

2. นายเกียรติศักดิ์ สงวนนามสกุล อายุ 38 ปี อยู่ที่ หมู่ 13 ต.เกาะเต่า อ.ป่าพะยอม จ.พัทลุง  ทำหน้าที่เป็นคนขับรถพาไปยังที่เกิดเหตุ (จับกุมได้ที่หน้าบ้านเลขที่ ม.8 ต.เกาะเต่า อ.ป่าพะยอม จ.พัทลุง) โดยกล่าวหาว่า ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น, ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย และร่วมกันพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนเข้าไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตฯ 

พร้อมตรวจยึดอาวุธปืนสงครามชนิด เอ็ม 16 เอ 2 จำนวน 1 กระบอก และเครื่องกระสุนปืน ขนาด 5.56 จำนวน 30 นัด และรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อฮอนด้า ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน จำนวน 1 คัน

จากการซักถามเบื้องต้น นายพีรพงษ์ฯ ยอมรับว่าตนเองเป็นผู้ก่อเหตุดังกล่าวจริง โดยตนเป็นผู้ชักชวน นายเกียรติศักดิ์ฯ ให้ขับรถพาตนไปก่อเหตุดังกล่าว ส่วนมูลเหตุจูงใจเกิดจากความโกรธแค้นที่นายภาสกรฯ ผู้เสียหาย ได้ขับรถเฉี่ยวชนกับรถของตน ในพื้นที่บ้านคลองใหญ่ อ.ป่าพะยอม จ.พัทลุง เมื่อวันที่ 27 พ.ค.65 ที่ผ่านมา ซึ่งไม่ได้มีการแจ้งความดำเนินคดีกันแต่อย่างใด หลังการพูดคุยตกลงกัน นายภาสกรฯ ยอมรับที่จะชดใช้ค่าเสียหายให้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป นายพีรพงษ์ฯ ได้พยายามทวงถาม นายภาสกรฯ กลับบ่ายเบี่ยงนิ่งเฉย ไม่ยินยอมชดใช้ นายพีรพงษ์ฯ  จึงได้ชักชวนนายเกียรติศักดิ์ฯ ร่วมกันก่อเหตุอุกฉกรรจ์ดังกล่าวในที่สุด

ทูตนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา ระบุข้อความตำหนิผู้จัดศึกแดงเดือดปมการขายบัตรเข้าชมเกมดังกล่าว ชี้ ริจะจัดงานระดับโลก อย่ามักง่ายพึ่งแม่ค้าออนไลน์ มันได้ไม่คุ้มเสีย

จากกรณี เหตุดราม่ากรณีบัตรฟุตบอลแมตช์แดงเดือด ระหว่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ปะทะ ลิเวอร์พูล ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน วันที่ 12 กรกฎาคมนี้ ที่ "พิมรี่พาย" พิมรดาภรณ์ เบญจวัฒนะพัชร์ ไลฟ์สดขายบัตรเกมดังกล่าวแบบหั่นราคา และป่าวประกาศว่าสามารถนำบัตรไปทานข้าวกับนักฟุตบอล และศิลปินแจ็คสัน หวัง ได้อีกด้วย

แต่สุดท้ายบัตรรับประทานอาหารกับนักฟุตบอล และแจ็คสัน หวัง ไม่ได้มีอยู่จริง โดยทั้ง 2 สโมสร อย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด และลิเวอร์พูล รวมถึงต้นสังกัดของแจ็คสันหวัง ก็ออกมายืนยันว่าไม่มีบัตรรับประทานอาหารแต่อย่างใด เป็นเพียงบัตรเข้าชมการแข่งขันฟุตบอล และมินิคอนเสิร์ตเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม วันนี้ (26 มิ.ย.) นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา ได้ออกมาโพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว "Fuangrabil Narisroj" เกี่ยวกับประเด็นดรามาดังกล่าวว่า

"การที่ทั้งสโมสร แมนยู และลิเวอร์พูล ออกแถลงการณ์ ตบหน้า นั้น เป็นเรื่องน่าอายมาก และต้องเป็นอุทาหรณ์สำหรับผู้จัดงานว่า

ถ้าริจะจัดงานระดับโลก อย่ามักง่ายพึ่งแม่ค้าออนไลน์ มันได้ไม่คุ้มเสีย มีแต่พังกับพัง เหมือน down grade งานระดับโลกให้กลายเป็นแค่ “งานวัด” !!!"

การรถไฟฯ ทำพิธีเชื่อมต่อสะพานรถไฟข้ามแม่น้ำแม่กลอง สะพานรถไฟแบบขึงแห่งแรกของประเทศไทย แลนด์มาร์คแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของจังหวัดราชบุรี ในโครงการรถไฟทางคู่สายใต้ 

เมื่อวันที่  24 มิถุนายน 2565 ณ สถานที่ก่อสร้างสะพานฝั่งค่ายภาณุรังษี อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี นายจเร รุ่งฐานีย รองผู้ว่าการกลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน การรถไฟแห่งประเทศไทย  และนายอุดม เพชรคุต รองผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี เป็นประธานในพิธีเชื่อมต่อสะพานรถไฟช่วงสุดท้ายข้ามแม่น้ำแม่กลอง สะพานรถไฟแบบขึงแห่งแรกในประเทศไทย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่เส้นทางสายใต้ ช่วงนครปฐม–หัวหิน โดยมีพลตรีวิกร เลิศวัชรา รองเจ้ากรมการทหารช่าง และนายดนุช ยนตรรักษ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท เอ.เอส. แอสโซซิเอท เอนยิเนียริ่ง (1964) จำกัด พร้อมด้วยหน่วยงานจังหวัดราชบุรีเข้าร่วมพิธี 

นายจเร รุ่งฐานีย รองผู้ว่าการกลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน การรถไฟฯ เปิดเผยว่า การสร้างสะพานรถไฟแบบขึงข้ามแม่น้ำแม่กลอง เป็นส่วนหนึ่งของโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ช่วงนครปฐม-หัวหิน สัญญาที่ 1 ช่วงนครปฐม – หนองปลาไหล โดยได้มีการสร้างสะพานรถไฟคู่ขนานกับสะพานรถไฟเดิมหรือสะพานรถไฟจุฬาลงกรณ์ เพื่อรองรับการให้บริการรถไฟทางคู่สายใต้ พร้อมกับมีการออกแบบด้วยเทคนิคทางวิศวกรรมพิเศษให้โครงสร้างสะพานรถไฟใช้คานขึง ที่มีตอม่ออยู่บนฝั่งแม่น้ำทั้ง 2 ฝั่ง แทนรูปแบบเดิมที่มีตอม่อกลางแม่น้ำ เนื่องจากก่อนที่จะมีการก่อสร้างสะพานรถไฟดังกล่าว การรถไฟฯ ได้ทำการสำรวจพื้นที่แล้วพบวัตถุระเบิดสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ขนาด 1,000 ปอนด์ จำนวน 7 ลูก จมอยู่ในแม่น้ำแม่กลองบริเวณใต้สะพานรถไฟจุฬาลงกรณ์ ตรงกับแนวเขตการก่อสร้างสะพานรถไฟ หากจะก่อสร้างสะพานในรูปแบบเดิม จำเป็นต้องมีการเคลื่อนย้ายวัตถุระเบิดออกจากพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะเป็นอันตราย ดังนั้น จึงได้ให้ผู้รับจ้างก่อสร้างโครงการฯ ปรับเปลี่ยนรูปแบบการก่อสร้างสะพานรถไฟใหม่ เพื่อไม่ให้เกิดความเสี่ยงจากวัตถุระเบิด จึงเป็นที่มาของรูปแบบการสร้างสะพานรถไฟแบบขึง (Extradosed Bridge) หรือ เรียกสั้นๆ ว่า “สะพานขึง”  ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการขอพระราชทานชื่อสะพาน 

'ทิพานัน' นำร่องพาวัยเก๋า 'เดิน ล่อง ท่องคลอง ณ จอมทอง' โชว์ศักยภาพด้านการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ฝั่งธน ต่อยอดและสร้างรายได้ให้ชุมชน ดัน 'ตะลิงปลิงแช่อิ่ม' เป็นซอฟต์พาวเวอร์ของดีกระตุ้นเศรษฐกิจเขตจอมทอง

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ ประจำสำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรี อดีตผู้สมัครส.ส.กทม.เขตจอมทอง-ธนบุรี อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ตนได้จัดโครงการ 'เดิน ล่อง ท่องคลอง ณ จอมทอง' เพื่อให้ชุมชนตระหนักและมีส่วนรวมในการอนุรักษ์คลองธรรมชาติ ภูมิปัญญา ศิลปวัฒนธรรม การเกษตรและวิถีชีวิตของชุมชนริมคลอง พัฒนาศักยภาพด้านการท่องเที่ยวในเชิงสร้างสรรค์ สร้างโอกาสและต่อยอดรายได้ให้กับพี่น้องประชาชนในชุมชน เชื่อมโยงยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์ของไทยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ 

โดยกลุ่มเป้าหมายโครงการนี้ ได้นำผู้สูงอายุ วัยเก๋า! เข้าร่วมโครงการเนื่องจาก สังคมไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเพื่อเป็นไอเดียให้กับลูกหลานพาคุณพ่อ คุณแม่ ปู่ย่า ตายายในครอบครัวมาเที่ยวในกรุงเทพฯ แบบวันเดย์ทริป หรือวันเดียวจบ ซึ่งผู้สูงอายุจะได้ความเพลิดเพลิน และไม่เหนื่อยกับการเดินทางมากเกินไป ที่สำคัญผู้สูงอายุส่วนใหญ่มีศักยภาพในการใช้จ่าย

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า โดยทริปนี้ได้พาคณะล่องเรือจากวัดราชโอรสารามราชวรวิหาร (จอมทอง) เข้าชมวัดนางชี ซึ่งมีงานศิลปะการประดับมุกบนบานประตู หน้าต่างของญี่ปุ่นแบบนางาซากิ ผ่านวัดปากน้ำภาษีเจริญ ซึ่งเป็นแลนด์มาร์คย่านฝั่งธนบุรี  ชม 'พระพุทธธรรมกายเทพมงคล' พระองค์ใหญ่สูงเท่าตึก 20 ชั้นจากมุมมองที่สวยที่สุด จากนั้นมนัสการพระประธานปางทรงเครื่องจักรพรรดิราชวัดนางนองราชวรวิหาร  หรือ พระพุทธมหาจักรพรรดิ แวะรับประทานอาหารกลางวันภูมิใจการ์เด้น สวนลิ้นจี่โบราณอายุกว่า 100 ปี ริมคลองบางขุนเทียน จากนั้นเดินทางกลับวัดราลโอรสารามราชวรวิหาร 

"ในการมาครั้งนี้ ได้มีสินค้าชุมชนมาออกร้านขาย ที่พร้อมผลักดันเป็นของอร่อยย่านจอมทอง เป็นสินค้าของท้องถิ่นที่จะเตรียมผลักดัน ให้เป็นซอฟต์พาวเวอร์ของเขตจอมทอง คือ 'ตะลิงปลิงแช่อิ่ม' ให้เป็นเมนูยอดนิยม สูตรพิเศษที่เฉพาะเขตจอมทองเท่านั้น   เรียกว่าอิ่มบุญ อิ่มอร่อยและสุขใจสำหรับผู้สูงอายุได้เป็นอย่างดี" น.ส. ทิพานัน กล่าว 

ชื่นชม!! ‘พญาหงส์ อโยธยาไฟท์ยิม’ หลังเอาชนะนักชกสาวญี่ปุ่น คว้าเข็มขัดแชมป์ K-1 รุ่น 45 กก. มาครองได้สำเร็จ นับเป็นหญิงไทยคนแรกที่เป็นแชมป์ดังกล่าว

‘พญาหงส์ อโยธยาไฟท์ยิม’ หรือ จันทกานต์ มโนบาล สร้างชื่อกระหึ่มอีกครั้ง หลังเอาชนะนักชกสาวชาวญี่ปุ่น MIYUU SUGAWARA คว้าเข็มขัด แชมป์ K-1 รุ่น 45 กิโลกรัม ได้สำเร็จ บนสังเวียนที่ประเทศญี่ปุ่น นับเป็นนักชกหญิงไทยคนแรกที่คว้าแชมป์รายการดังกล่าว

สำหรับ พญาหงส์ เป็นชาวจังหวัดบุรีรัมย์ เริ่มชกมวยมาตั้งแต่อายุ 9 ขวบ เป็นอดีตนักเรียนโรงเรียนกีฬานครราชสีมา ปัจจุบันเป็นนิสิตคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

ชุมพร จัดแข่งขันวิ่งแหวกทะเลสู่เกาะพิทักษ์หลังสวนมินิมาราธอน ครั้งที่ 16

 วันที่ 26 มิถุนายน 2565 เวลา 06.00 น นายโชตินรินทร์ เกิดสม ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพรให้เกียรติมาเป็นประธานในพิธีเปิดงานการแข่งขันวิ่งแหวกทะเลสู่เกาะพิทักษ์ หลังสวนมินิมาราธอน ครั้งที่ ๑๖ ประจำปี ๒๕๖๕ร่วมกับพล.ต.ท.เทศา สิริวาโท อดี ต ผบช ภ 8 พล.ต.ท รณพงษ ทรายแก้ว อดีต รอง ผบช.ภ8 พล.ต.ต.วรรณรัตน คชรักษ อดีต ผบช.น ชาวหลังสวน  พลตำรวจตรี วิรุฬห์ สุวรรณวงศ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชุมพร  ว่าที่ร.ต.กิตติภพ รอดดอน นายอำเภอหลังสวน นายวิชัย อนันตเมฆนายกเทศบาลตำบลปากน้ำหลังสวน  สมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัดชุมพร แขกผู้มีเกียรติ และนักวิ่งที่เข้าร่วมการแข่ง จำวน ๕,๐๐๐ คน รวมทั้ง ๒ รายการการแข่งขัน

นายวิชัย อนันตเมฆ กล่าวว่า ในนามคณะกรรมการจัดการแข่งขันวิ่งแหวกทะเลสู่เกาะพิทักษ์ หลังสวนมินิมาราธอนครั้งที่๑๖ ประจำปี ๒๕๖๕ การจัดกิจกรรมวิ่งแหวกทะเลสู่เกาะพิทักษ์ในครั้งนี้ องค์การบริหารส่วน จังหวัดชุมพร ร่วมกับ อำเภอหลังสวน เทศบาลตำบลปากน้ำหลังสวน องค์การบริหารส่วนตำบลบางน้ำจืด หน่วยงานภาครัฐ และเอกชน ได้ดำเนินการจัดกิจกรรมดังกล่าวขึ้น ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งที่ ๑๖ ประจำปี ๒๕๖๕ โดย มีวัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวของอำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร เพื่อส่งเสริมการออกกำลังกายหลีกเลี่ยงห่างไกลยาเสพติด เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์เพื่อส่งเสริมการเพิ่มรายได้ของประชาชนในท้องถิ่นและส่งเสริมให้ประชาชนในท้องถิ่นหวงแหนทรัพยากรธรรมชาติโดยเฉพาะนักวิ่งจากต่างจังหวัด ได้สัมผัสกับเส้นทางวิ่งที่แปลกไม่เหมือนที่ใดมีเส้นทางวิ่งที่โค้ง ลาดเอียง สูงชัน และพิเศษสุดคือต้องวิ่งข้ามทะเลไปยังจุดหมาย เส้นชัย ณ เกาะพิทักษ์ สำหรับกิจกรรมแข่งขันวิ่งแหวกทะเลสู่เกาะพิทักษ์ หลังสวนมินิมาราธอน ครั้งที่ ๑๖ ประจำปี ๒๕๖๕ โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดชุมพรเทศบาลตำบลปากน้ำหลังสวน องค์การบริหารส่วนตำบลบางน้ำจืด ซึ่ง กิจกรรมในครั้งนี้ แบ่งนักวิ่งออกเป็น  ประเภท ได้แก่ ประเภทมินิมาราธอน เส้นทางวิ่งประมาณ ๑๔ กิโลเมตร จุดเริ่มต้นจากเรือจำลองจักรีนฤเบศร สู่ เกาะพิทักษ์และประเภทฟันรัน เส้นทางวิ่งประมาณ ๓.๕ กิโลเมตร จุดเริ่มต้นจากศูนย์หมู่บ้าน หมู่ที่ ๑๓ ตำบลบางน้ำจืด สู่ เกาะพิทักษ์ ซึ่งผู้เข้าเส้นชัยทุกคนจะได้รับเหรียญที่ระลึกวิ่ง แหวกทะเลสู่เกาะพิทักษ์ สำหรับผู้เข้าเส้นชัย ลำดับที่ ๑ - ๑๐ ประเภทมินิมาราธอน ๑๔ กิโลเมตร และ ประเภทฟันรัน ๓.๕ กิโลเมตร จะได้รับถ้วยรางวัลเกียรติยศ และ รางวัลพิเศษเฉพาะนักวิ่งมินิมาราธอน รุ่นประชาชนทั่วไปทั้งชาย และหญิง รางวัลที่ ๑ ได้รับเงินสด ๕,๐๐๐ บาท รางวัลที่ ๒ ได้รับเงินสด ๓,๐๐๐ บาท รางวัลที่ ๓ ได้รับ เงินสด ๒,๐๐๐บาท รางวัลที่ ๔ ได้รับเงินสด ๑,๕๐๐ บาท และรางวัลที่ ๕ ได้รับ เงินสด ๑,๐๐๐ บาท


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top