Friday, 20 June 2025
SPECIAL

'ภูมิใจไทย' เสนอนโยบาย 'ภูมิใจกรุงเทพ 24/7' ยึดหลัก 'เพิ่มรายได้-ลดรายจ่าย-ให้โอกาส'

(14 ม.ค. 66) หลังจาก บี พุทธิพงศ์ ปุณณกันต์ ประกาศเข้าร่วมทัพภูมิใจไทย และได้มีงานเปิดตัวไปเมื่อวันที่ 11 ม.ค. 66 ที่ผ่านมา ในวันเดียวกันก็ยังได้ประกาศนโยบายขับเคลื่อนกรุงเทพมหานคร ภายใต้ชื่อ 'ภูมิใจกรุงเทพ' โดยยึดหลักการ 'เพิ่มรายได้-ลดรายจ่าย-ให้โอกาส' พร้อมแสดงจุดยืนขอรับใช้พี่น้องประชาชนกรุงเทพฯ ตลอด 24 ชม. 

สำหรับนโยบาย 'ภูมิใจกรุงเทพ' มีรายละเอียดดังนี้

>> เพิ่มรายได้ <<

-การหารายได้เพิ่มได้ 3 กะ เปิดพื้นที่ใหม่ๆ ส่งเสริมกิจกรรมใหม่ๆ เพราะวิถีชีวิตของคนกรุงเทพฯ หมุนตลอด 24 ชม. เปิดพื้นที่การค้าขาย ที่ขายได้ตลอดวัน เน้นการสร้างงาน กระจายรายได้ เพิ่มกิจกรรมที่สามารกรองรับนักท่องเที่ยวตลอด 24 ชม. คล้ายตลาดนัด ที่ได้รับความนิยมที่ประเทศไต้หวัน หรือประเทศเกาหลี และเราต้องจัดระบบดูแลความปลอดภัยทั้งแสงสว่าง กล้องวงจรปิด รวมทั้งระบบการขนส่งเพื่อรองรับ คนทำงานช่วงกลางคืน

-พันธบัตรรัฐบาล (Thai Power Bond) พันธบัตรรัฐบาลที่ประชาชนมีสิทธิซื้อก่อนนิติบุคคล หรือสถาบันการเงินต่างประเทศ เป็นการส่งเสริมการออม และ ประกันเงินฝาก สามารถเพิ่มรายได้จากดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และเพิ่มความมั่นคงในการออมเงิน และเศรษฐกิจของประเทศ

>> ลดรายจ่าย <<

-พักหนี้ 3 ปี หยุดต้น ปลอดดอก ไม่เกินคนละ 1 ล้านบาท หากเปรียบเทียบกับเงินกู้นอกระบบที่คิดร้อยละ 3 ต่อเดือน ถือได้ว่า สามารถช่วยผู้กู้ประหยัดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยตรงนี้ได้ถึง 30,000 บาทต่อเดือน

-One day Pass Ticket ตั๋ววัน ค่าเดินทางที่เป็นต้นทุนของการดำเนินชีวิต หากเราสามารถล็อกค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไม่ให้แพงเกินไป

◇รถ เรือ เริ่มต้น 15 บาท ตลอดวัน ไม่เกิน 50 บาท

◇รถไฟฟ้า เริ่ม 15 บาท ตลอดสายไม่เกิน 40 บาท

-เครื่องกรองน้ำดื่มทุกชุมชน น้ำดื่มเป็นต้นทุนที่สูงประชาชนส่วนหนึ่งเพื่อมาซื้อน้ำดื่ม จ่ายเงินเพื่อเติมเงิน เพื่อกรองน้ำไปใช้ ส่วนนี้จะต้องไม่เป็นภาระของประชาชนในทุกขุมชนอีกต่อไป

-ค่าไฟที่เพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ภูมิใจไทย จะนำนโยบาย ติดโซลาร์ รูฟ ฟรี ทุกครัวเรือน เพื่อให้ประชาชนสามารถนำส่วนนี้มาเป็นการลดภาระของค่าไฟ

-ลดภาษี 2 ทาง ผู้ให้/ผู้รับ

◇ วัยทำงานต้องไม่เสียภาษีซ้ำซ้อน (ใช้ VAT เพื่อหักภาษีส่วนบุคคลสูงสุด 150,000 บาท/ปี) วัยทำงานที่ต้องเสียภาษีซ้ำซ้อนจะต้องหมดไป และจะได้นำเงินส่วนนี้ไปใช้จ่ายส่วนอื่นในการสร้างเนื้อสร้างตัว

◇ วัยเกษียณที่ยังคงทำงานจะต้องมีนโยบายในการปรับเพดานภาษีเงินได้ เงินส่วนนี้ต้องเสียน้อยที่สุด เพื่อนำเงินส่วนต่างมาเป็นเงินออมเก็บไว้ใช้จ่ายดูแลตัวเอง

'ก้าวไกล' กางนโยบาย ‘การศึกษาไทยก้าวหน้า’ ชู 'เรียนฟรี - รร.ปลอดภัย - ส่งเสริมเรียนรู้นอกห้องเรียน'

(14 ม.ค.66) ที่ศูนย์เยาวชนเตชะวณิช กรุงเทพมหานคร (บางซื่อ) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แถลงเปิดนโยบาย 'การศึกษาไทยก้าวหน้า' ซึ่งเป็นชุดนโยบายที่ 5 จากทั้งหมด 9 ชุดนโยบาย เพื่อขับเคลื่อนภารกิจของพรรค สร้างประเทศที่ 'เท่าเทียม ก้าวทันโลก ประชาชนเป็นเจ้าของ'

พิธา กล่าวว่า พรรคก้าวไกลตั้งใจเปิดนโยบายการศึกษาในวันเด็กแห่งชาติ เพราะทุกปีเรามักคุ้นเคยกับคำขวัญวันเด็กที่ผู้ใหญ่ตั้งขึ้นเพื่อบอกว่าเด็กควรเป็นอย่างไร แต่สำหรับพรรคก้าวไกล เราต้องการพลิกแนวคิดเรื่องการศึกษา จากการศึกษาแบบอำนาจนิยม ที่สั่งให้เด็กต้องเป็นแบบที่ผู้ใหญ่เห็นว่าดี มาเป็นการศึกษาแบบโลกเสรี ที่สร้างพื้นที่ปลอดภัยให้เด็กมีเสรีภาพในการเรียนรู้อย่างเสมอภาคและหลากหลาย การจัดกิจกรรมวันนี้ จึงต้องการให้ผู้ใหญ่ รวมถึงนักการเมือง มารับฟังเด็กเพื่อเข้าใจปัญหาของเด็กและเสนอทางออก ซึ่งเรื่องนี้ควรเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทุกวัน ไม่ใช่เฉพาะวันเด็ก

พิธากล่าวว่า เราต่างรู้ดีว่าการศึกษาที่ดีคืออะไร การศึกษาที่ดีคือการศึกษาที่ทุกคนเข้าถึงได้ไม่เหลื่อมล้ำ การศึกษาที่มีคุณภาพ ส่งเสริมทักษะที่จำเป็นต่ออนาคตและการใช้ชีวิต และการศึกษาที่ไม่สิ้นสุด ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต แต่หัวใจสำคัญของนโยบายการศึกษาไทยก้าวหน้าของพรรคก้าวไกลคือการเน้นที่ประสิทธิภาพ เพื่อแก้ปัญหาในการศึกษาไทยที่มีมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็น การที่เด็กไทยเรียนหนักเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก แต่ผลการประเมินทักษะกลับตามหลังสากล การที่กระทรวงศึกษาธิการได้รับงบประมาณสูงมากทุกปี แต่กลับไม่สามารถลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาในประเทศ เรียนฟรีก็ยังไม่ฟรีจริง หรือคุณครูที่ต้องทำงานหนัก แต่กลับหมดเวลาแต่ละวันไปกับเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการสอน

'ชาติพัฒนากล้า' ชู '1 จิตแพทย์ ต่อ 1 สถาบันฯ' 'กรณ์' ย้ำ เด็กจะเติบโตได้ดี ต้องมีคำชี้แนะที่ถูกต้อง

(14 ม.ค. 66) นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวว่า วันนี้เป็นวันเด็กแห่งชาติอีกปีหนึ่ง 20 กว่าปีที่ผ่านมาตนได้มาทักทายในฐานะคุณพ่อ แต่ปีนี้มีบทบาทเพิ่มเติมคือมีหลานปู่แล้ว ยิ่งทำให้เห็นว่าพัฒนาการของเด็ก ๆ แต่ละยุคแต่ละสมัยก็มีความเปลี่ยนแปลงและแตกต่างกันไป ส่วนวิธีคิด และเรื่องที่เขาสนใจ ก็จะมีความแตกต่างในทุก ๆ ปีด้วย แต่เรื่องเดียวที่เหมือนกัน และนับวันจะตระหนักในภาระหน้าที่มากขึ้น คือ เรื่องของการสร้างโอกาสให้กับคนรุ่นใหม่ให้กับเด็ก ๆ เพราะว่าหน้าที่ของพวกเราที่เป็นผู้ใหญ่ก็คือ คอยช่วยให้คำแนะนำในกรณีที่เขาอยากที่จะได้รับคำแนะนำจากเรา ที่สำคัญคือช่วยกันสร้างโอกาส ให้กับคนรุ่นใหม่

“ผมในฐานะสวมหมวกนักการเมือง ก็มีหน้าที่สร้างโอกาสด้วยนโยบาย ไม่ว่าจะเป็นกองทุนริเริ่มกิจการ เรื่องของการพัฒนาช่องทางและแนวทางการศึกษาที่เหมาะต่อยุคสมัยและอื่น ๆ แต่วันนี้ อยากสื่อไปถึงผู้หลัก ผู้ใหญ่ คุณพ่อ คุณแม่ ทุก ๆ คน ก็คือเรามาช่วยกันครับ เราอยากที่จะเห็นเด็กโตขึ้นอย่างไร ก็ขอทำตัวเราเองให้เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเขา ให้เขามองเราแล้วรู้สึกว่านี่คือแนวทางในการวางตัว ในการประพฤติตนที่จะทำให้เขามีโอกาสที่ดีในชีวิตด้วย ขอให้ทุกคนมีความสุขด้วยกัน ร่วมกันในฐานะครอบครัว ในวันเด็กแห่งชาติในปีนี้ด้วยครับ” หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าว 

‘เพื่อไทย’ ชูนโยบาย ‘ส่งเสริม-พัฒนาทรัพยากรมนุษย์’ ชี้ ‘เสรีภาพ-โอกาส’ คือกุญแจสู่ความคิดสร้างสรรค์

(13 ม.ค. 66) เมื่อเวลา 11.30 น. ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) น.ส.ณหทัย ทิวไผ่งาม กรรมการบริหารพรรค และประธานคณะทำงานด้านการส่งเสริมศักยภาพการแข่งขันของประเทศและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ พรรคเพื่อไทยกล่าวเนื่องในโอกาสวันเด็กแห่งชาติ 2566 ว่า พรรคเพื่อไทยให้ความสำคัญและมีนโยบายเพื่อส่งเสริมศักยภาพและสร้างคน ด้วยความเชื่อว่าเสรีภาพและโอกาส ซึ่งเป็นแก่นหัวใจที่แท้จริงของประชาธิปไตย จะเป็นที่มาของการปลดปล่อยศักยภาพและความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ ที่จะนำสู่การสร้างรายได้อย่างไม่สิ้นสุด และการสร้างคนจะต้องเริ่มต้นที่ครอบครัว 

ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยพร้อมทุ่มเท เพื่อส่งเสริมและสร้างคนให้ประเทศไทยแข่งขันได้อย่างมีศักดิ์ศรีในเวทีโลก เรามีเป้าเพื่อสร้างคนทำงานทักษะสูง สร้างงาน 20 ล้านตำแหน่ง รายได้ไม่ต่ำกว่า 200,000 บาทต่อปี มีค่าแรงไม่ต่ำกว่า 600 บาทต่อวัน ปริญญาตรีมีค่าตอบแทน 25,000 บาทต่อเดือนภายในปี 2570 เรามีแผนฟื้นเศรษฐกิจทั้งระบบ ด้วยการเฟ้นหา สร้างโอกาสศักยภาพที่ซ่อนเร้นในทุกครัวเรือน ออกมาฝึกฝนเจียระไน สร้างแนวทางชัดเจนเพื่อหารายได้ผ่านโครงการ 1 ครอบครัว 1 ศักยภาพซอฟต์พาวเวอร์

‘ปชป.’ เรียกน้ำย่อย คิกออฟ 8 นโยบายฐานราก ก่อนชูยุทธศาสตร์ใหญ่ ‘สร้างเงิน สร้างคน สร้างชาติ’

(13 ม.ค. 66) ที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์, นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรค และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และผู้อำนวยเตรียมการเลือกตั้งของพรรค ได้ร่วมกันแถลงข่าวถึงนโยบายซีซั่น 1 ของพรรคภายใต้สโลแกน ‘ทำได้ไว ทำได้จริง’ โดยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ได้กล่าวว่า... 

ขณะนี้เรากำลังเข้าสู่โหมดของการเลือกตั้ง และเหลือเวลาประมาณ 2 เดือนเศษที่จะต้องมีการเลือกตั้ง ซึ่งทางพรรคประชาธิปัตย์ได้เตรียมความพร้อมในการเลือกตั้งมาตลอดเวลา ทั้งด้านนโยบายและด้านตัวบุคคล โดยมียุทธศาสตร์ ‘สร้างเงิน สร้างคน สร้างชาติ’ สร้างเงิน เป็นยุทธศาสตร์ทางด้านเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นหลายเรื่อง เช่น ประกันรายได้คนไทย และประกันรายได้ให้กับประเทศ ส่วนการสร้างคนนั้น คือยุทธศาสตร์ทางด้านสังคมซึ่งจะมุ่งเน้นในเรื่องของการศึกษาและการสาธารณสุข สวัสดิการตลอดชีพ และสุดท้ายการสร้างชาติ ก็จะสร้างชาติด้วยนโยบายทางการเมืองที่จะมุ่งเน้นประชาธิปไตยอันนี้มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและประชาธิปไตยสุจริต ซึ่งจะมีรายละเอียดตามมาอีกครั้ง ส่วนวันนี้จะเป็นการเปิดตัว 8 นโยบายฐานรากก่อน 

สำหรับนโยบายทั้ง 8 นั้น จะมุ่งเน้นหลักไปที่การพัฒนาเกษตรและการพัฒนาหมู่บ้านชุมชนทั้งในต่างจังหวัดและในกรุงเทพมหานคร โดยทางด้าน นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรค ได้กล่าวเสริมเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า นโยบายด้านการเกษตรเป็นนโยบายฐานรากของคนไทย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ประกอบไปด้วย 8 นโยบายหลัก รายละเอียดดังนี้…

นโยบายที่ 1. ประกันรายได้ จ่ายเงินส่วนต่าง ข้าว มัน ยาง ปาล์ม ข้าวโพด ซึ่งเป็นนโยบายต่อเนื่องจากความสำเร็จของพรรคประชาธิปัตย์ในการประกันรายได้ เราจะจ่ายเงินส่วนต่างให้กับเกษตรกร

นโยบายที่ 2. ชาวนารับ 30,000 บาทต่อครัวเรือน ปัจจุบันมีเกษตรกรปลูกข้าวกว่า 4.7-4.8 ล้านครัวเรือน เราช่วยให้ชาวนารับ 30,000 บาทต่อหนึ่งครัวเรือน นโยบายนี้สร้างความเข้มแข็งให้กับพี่น้องชาวนา ให้มีความสามารถในการพัฒนาตัวเอง อย่างยั่งยืน

นโยบายที่ 3. ฟรี นม โรงเรียน 365 วัน เพื่อเป็นการพัฒนาเด็ก พัฒนาบุคลากรของประเทศ ซึ่งประเทศชาติต้องการพัฒนาเด็กให้กลายเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพในวันข้างหน้า และยังเป็นการช่วยเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมได้มีส่วนช่วยดูแลเด็กไทยอีกด้วย 

นโยบายที่ 4. ประมงท้องถิ่น รับ 100,000 บาททุกปี นโยบายนี้จะให้กลุ่มประมงทุกกลุ่ม กว่า 2,800 กลุ่ม ซึ่งจะได้รับทันทีเมื่อประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล เพื่อให้กลุ่มประมงมีความเข้มแข็งในตัวเองอย่างยั่งยืน

‘บี พุทธ์พงษ์’ เผยเหตุผลหลักร่วมทัพภูมิใจไทย เพราะมีนโยบายปกป้องและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์

“พรรคภูมิใจไทยยืนยันนโยบายปกป้องและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ผมมายืนตรงนี้เพราะเรื่องนี้เป็นอันดับหนึ่ง” 

อุดมการณ์สำคัญที่สุด

‘สมาชิกเพื่อไทย’ โอด ป้ายหาเสียงถูก ‘เผา-กรีด’ โร่แจ้งความหาตัวคนผิด ชี้!! ไม่อยากให้เกิดซ้ำอีก

มือมืดโผล่! เผาป้ายหาเสียงพรรคเพื่อไทย แม่ฮ่องสอน สมาชิกพรรคโร่แจ้งความเอาผิด วอนตำรวจเร่งหาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ ชี้ไม่อยากให้มีเหตุการณ์แบบนี้ในเมืองสามหมอก ด้าน กกต.ระบุเป็นคดีอาญา เร่งเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบหาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษโดยด่วน

(13 ม.ค. 66) นายสมภพ คงความซื่อ หรือ สจ.โจ้ อายุ 49 ปี ที่อยู่ 47 ม.4 ต.ห้วยโป่ง อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน สมาชิกพรรคเพื่อไทย เขต 1 เปิดเผยต่อผู้สื่อข่าวว่า ได้รับแจ้งจากประชาชนในพื้นที่ เขตเลือกตั้งที่ 1 จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งประกอบด้วย อ.ขุนยวม, อ.เมือง, อ.ปางมะผ้า และ อ.ปาย ว่าป้ายแสดงนโยบายของพรรคเพื่อไทย ที่ถูกติดไว้ในหลายพื้นที่ กว่า 10 จุด ได้ถูกลอบเผาทำลาย และบางป้ายมีการใช้ของมีคมกรีดจนเสียหาย จึงได้เดินทางไปตรวจสอบ ก็พบว่ามีการทำลายป้ายดังกล่าวจริง และมีป้ายที่ถูกทำลายเสียหายกว่า 10 จุด จึงได้เดินทางไปแจ้งความ ที่ สภ.เมืองแม่ฮ่องสอน เพื่อเอาผิดกับคนที่ลักลอบทำลายป้ายแสดงนโนบายพรรคเพื่อไทยต่อไป ทั้งนี้ ไม่อยากให้ภาพแบบนี้เกิดใน จ.แม่ฮ่องสอน อีกต่อไป เพราะทำให้ จ.แม่ฮ่องสอน เสียหาย

ขณะที่ นายณัฐเศรษฐ์ ราชไชยา ผอ.กกต.แม่ฮ่องสอน เปิดเผยว่า การลักลอบเผาป้ายหาเสียง ทาง กกต.แม่ฮ่องสอน ได้รับแจ้งเหตุจากทางกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดแม่ฮ่องสอนแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นในพื้นที่ของ จ.แม่ฮ่องสอน อย่างไรก็ตาม ทางด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนหาตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ในห้วงนี้ ถือเป็นห้วง 180 วันก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง ซึ่งทาง กกต.ได้เปิดโอกาศให้พรรคการเมืองสามารถติดป้ายแสดงนโยบายพรรคหรือหาเสียงได้

สำหรับในพื้นที่ จ.แม่ฮ่องสอน พบว่า ทางพรรคการเมืองแต่ละพรรค ยังไม่ได้ส่งรายชื่อผู้แทนพรรคในพื้นที่ ให้แก่ทางคณะกรรมการการเลือกตั้งแต่อย่างใด ทำให้การหาเสียงในนามพรรคยังไม่ชัดเจน อีกทั้งพบว่า แต่ละพรรคการเมืองมีการเปลี่ยนตัวผู้ที่คาดว่าจะลงสมัครรับเลือกตั้งบ่อยครั้ง ส่งผลให้ประชาชนเฝ้ามองว่าพรรคการเมืองแต่ละพรรคจะส่งผู้สมัครที่แท้จริงลงสมัครเมื่อใด แต่ก็พบว่ามีหลายคนได้มีการหาเสียงล่วงหน้ามาหลายเดือนแล้ว

สำหรับบัญชีรายชื่อผู้ที่คาดว่าจะลงรับสมัครเลือกตั้ง เป็น ส.ส.แม่ฮ่องสอน เบื้องต้นได้แก่ 
เขตเลือกตั้งที่ 1 พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นายดานุภัทร์ เชียงชุม เขต 2 นายสมบัติ ยะสินธุ์

ผบ.ตร.เซ็นส่งสำนวนคดีนายตู้ห่าวกับพวก ให้อัยการสูงสุดพิจารณา มั่นใจพยานหลักฐานแน่นหนา เอาผิดเครือข่ายทุนจีนสีเทาได้

(13 ม.ค. 66) เวลา 9.30 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ในฐานะหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวน สำนวนคดีนายชัยณัฐร์ หรือตู้ห่าว กรณ์ชายานันท์ กับพวก เดินทางไปส่งสำนวนคดี 'ตู้ห่าว' ให้อัยการสูงสุด ณ สำนักงานอัยการสูงสุด อาคารแจ้งวัฒนะศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ

ผบ.ตร.กล่าวว่า "คดีนี้สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 26 ต.ค.65 ที่ บช.น. นำกำลังเข้าตรวจค้นผับจินหลิง พบและยึดยาเสพติด พร้อมอุปกรณ์การเสพหลายรายการเป็นของกลางพร้อมจับกุมตัวผู้ต้องหาที่มั่วสุมเสพยา และจำหน่ายยาเสพติด นำสง พงส. สน.ยานนาวา ดำเนินคดีตามกฎหมาย ต่อมาศาลได้ออกหมายจับนายตู้ห่าวกับพวก ในข้อหาร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดและสมคบ และแจ้งข้อหาเพิ่มเติมในข้อหาร่วมกันฟอกเงินและมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พร้อมทั้งขยายผลสืบสวนจับกุมบุคคลผู้เกี่ยวข้อง

คดีนี้เป็นความผิดที่เกี่ยวเนื่องนอกราชอาณาจักร อัยการสูงสุดได้มอบหมายให้กับตน เป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบร่วมกันทำการสอบสวนกับ พงส. ในสังกัด 4 กองบัญชาการประกอบด้วย บช.น. บช.ก. บช.สอท. บช.ปส. และร่วมกับพนักงานอัยการทำการสอบสวนคดีนี้ บัดนี้การสอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว ทางคดีมีการสอบสวนพยานบุคคล 444 ปาก สืบพยานล่วงหน้า 20 ปาก ตรวจยึดทรัพย์สิน 5,345 ล้านบาท มีพยานเอกสาร พยานนิติวิทยาศาสตร์ และอื่นๆกว่า 67 แฟ้ม จำนวน 26,892 แผ่น  สอบสวนผู้ต้องหา ทั้งหมด 43 คน แบ่งเป็นบุคคลธรรมดา 38 คน นิติบุคคล 5 ราย 

ในส่วนของบุคคลธรรมดา 38 คน จับกุมดำเนินคดีแล้ว 20 คน ยังหลบหนี 18 คน ได้สั่งการให้เร่งรัดติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดีให้ได้โดยเร็ว ส่วนผู้ต้องหาที่เป็นนิติบุคคลอีกจำนวน 5 บริษัทแจ้งข้อหาดำเนินคดีแล้วเช่นกัน

‘เต้น’ เผย ‘อุ๊งอิ๊ง’ เตรียมนำทัพบุกอุดรฯ พร้อมขึ้นเวทีปราศรัยครั้งใหญ่ 15 ม.ค.นี้

(12 ม.ค. 66) เมื่อเวลา 10.45 น. ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยเตรียมจัดกิจกรรม ‘ครอบครัวเพื่อไทย : อีสานยามใด๋ เพื่อไทยทอนั่น’ ที่ จ.อุดรธานี ในวันที่ 15 ม.ค.นี้ โดยในช่วงเช้าทีมครอบครัวเพื่อไทย จะลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชน ที่ อ.บ้านดุงและ อ.เพ็ญ เพื่อนำเสนอนโยบายที่พรรคเพื่อไทยได้ประกาศเอาไว้ รวมทั้งรับฟังปัญหาของพี่น้องประชาชน 

และในเวลา 16.30 น. เป็นต้นไป จะมีการจัดเวทีปราศรัยใหญ่ที่ทุ่งศรีเมือง อ.เมือง นำโดยนพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค, นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย, นายอดิศร เพียงเกษ โฆษกผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ, น.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด และจะเป็นครั้งแรกที่น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทยขึ้นปราศรัยใหญ่เวทีกลางแจ้งในบรรยากาศของการเตรียมการเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์สำคัญของประเทศไทย ที่จะนำเสนอนโยบายและเป้าหมายไปสู่การเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลจากฝ่ายประชาธิปไตยในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง

เปิดม่านเมืองกาญจน์ สังเวียนวัดพลัง ‘พท-ภท.’ ชิงชัย 5 เขต 'อุ๊งอิ๊ง' เตรียมพาเหรดเรียกเรตติ้ง

แม้สัญญาณลั่นระฆังเลือกตั้งจะยังคงแผ่วเบา แต่คาดว่าอีกไม่นานก็คงดังกังวาล หลังวาระ 4 ปีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะเวียนบรรจบมาในวันที่ 23 มีนาคม 2566 ซึ่งเราจะได้เห็นท่าทีของ ‘บิ๊กตู่’ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศยุบสภาก่อนครบวาระ 4 ปีหรือไม่ ก็คงต้องตามดูกัน

ทว่าในกรณีที่มีการประกาศยุบสภาก่อนวาระจริง ก็คงจะต้องมีการจัดให้มีการเลือกตั้งขึ้นภายใน 45 วัน แต่ไม่เกิน 60 วัน หลังจากวันที่พระราชกฤษฎีกายุบสภามีผลบังคับใช้นั้น และนั่นก็ทำให้บรรดาพรรคการเมืองเปิดยุทธศาสตร์ชิงพื้นที่กันอย่างไวว่อง

อย่างไรก็ตาม แม้สัญญาณจะยังไม่ชัด แต่หลายพรรคการเมืองก็เริ่มออกมาอัดนโยบายและเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส.ในหลาย ๆ พื้นที่จังหวัดกันบ้างแล้ว 

หนึ่งในสนามที่ตอนนี้เริ่มมีความชัดเจนในการปูตัวผู้สมัคร ส.ส.ที่น่าจับตาไม่น้อยนั้น ก็คือ จังหวัด กาญจนบุรี โดยการเมืองในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรีทั้ง 5 เขตนั้น เริ่มมีการเคลื่อนพลสมาชิกและว่าที่ผู้สมัครฯ ออกมาแล้วหลายพรรค แต่ก็มีอีกหลายพรรคการเมืองยังคงเงียบเหงา เพราะยังไม่มีการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครเลยแม้แต่เขตเดียว เช่น พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) พรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) พรรคก้าวไกล (กก.) พรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.)หรือแม้กระทั่งพรรค ประชาธิปัตย์ (ปชป.) เป็นต้น

สำหรับพรรคการเมืองที่มีการเปิดตัวสมาชิกและว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กาญจนบุรี ที่ชัดเจน แต่ยังไม่ครบทั้ง 5 เขต ที่ฮือฮาที่สุดคือ พรรคภูมิใจไทย (ภท.) เนื่องจากว่าที่ผู้สมัครส่วนใหญ่ล้วน เป็น ส.ส.ที่ย้ายออกจากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่สำคัญเป็นนักการเมืองรุ่นเก๋าที่มีประสบการทางด้านการเมืองที่สุดที่ชาวกาญจนบุรีต่างก็รู้จัก เช่น พล.อ.สมชาย วิษณุวงศ์ อดีต ส.ส.กาญจนบุรี พรรคพลังประชารัฐ เขต 1 ครั้งนี้ลงในนามพรรคภูมิใจไทย แต่พื้นที่เขต 1 (อ.เมือง อ.ศรีสวัสดิ์) ยังมีว่าที่ผู้สมัครที่พรรคภูมิใจไทยเปิดตัวไปก่อนหน้านี้ คือ ดร.วรสุดา สุขารมณ์ หรือ ดร.จุ๊บ ลูกสาวสุดที่รักของ นาวาโท นพ.เดชา สุขารมณ์ หรือหมอเดชา อดีต ส.ส.กาญจนบุรี หลายสมัยที่เสียชีวิตไปแล้ว ซึ่งเขตนี้ขึ้นอยู่กับผลโพลว่าใครจะได้รับความนิยมมากกว่า พรรคภูมิใจไทย ก็จะส่งคนนั้นลงสมัคร

ด้านเขต 2 (อ.ท่าม่วง อ.ด่านมะขามเตี้ย) ขณะนี้ยังไม่ปรากฏชื่อผู้สมัคร แต่คาดว่าพรรคภูมิใจไทยน่าจะอยู่ระหว่างการพิจารณาตัวว่าที่ผู้สมัครที่เหมาะสม 

ส่วนเขต 3 (อ.ท่ามะกา อ.พนมทวน) นายยศวัฒน์ มาไพศาลสิน หรือ ส.ส.กุ๊ก แชมป์เก่า ที่เป็นดาวเด่นในสภา ได้ลงสมัครพื้นที่เดิม 100% 

เขต 4 (อ.ห้วยกระเจา อ.เลาขวัญ อ.หนองปรือ และ อ.บ่อพลอย) นายธรรมวิชญ์ โพธิพิพิธ หรือผู้ใหญ่แหลม อดีต ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ไม่พลาดที่จะได้เป็นว่าที่ผู้สมัครในนามพรรคภูมิใจไทยอย่างแน่นอน 

ขณะที่ เขต 5 (อ.ไทรโยค อ.ทองผาภูมิ อ.สังขละบุรี) นายอัฏฐพล โพธิพิพิธ หรือพี่เมศ อดีต ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ จะได้ลงสมัครในนามพรรคภูมิใจไทย 100% เช่นกัน

ถัดจากพรรคภูมิใจไทย ก็มีอีก 1 พรรคสำคัญที่จะต้องเอ่ยถึง คือ พรรคเพื่อไทย (พท.) โดยครั้งนี้พรรคเพื่อไทย ประกาศส่งชื่อว่าที่ผู้สมัครครบแล้วทั้ง 5 เขต ซึ่งที่น่าสนใจที่สุดคือ ว่าที่ผู้สมัครทั้ง 5 เขต ล้วนเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถทั้งสิ้น ไล่มาตั้งแต่เขต 1 (อ.เมือง อ.ศรีสวัสดิ์) นายอัครนันท์ กัณณ์กิตตินันท์ หรือ กอล์ฟ นักธุรกิจอาหารเสริมที่ประสบความสำเร็จ และอยากกลับมาพัฒนาบ้านเกิด โดยได้รับการชักชวนให้เข้าสู่วงการการเมืองจาก มดดำ คชาภา ตันเจริญ พิธีกรชื่อดังของเมืองไทย

เขต 2 (อ.ท่าม่วง อ.ด่านมะขามเตี้ย) นายชูเกียรติ จีนาภักดิ์ อดีต สมาชิกสภา อบจ.กาญจนบุรี คนนี้ถือว่าเป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรงเช่นกัน

แต่ว่าที่ผู้สมัครที่พรรคเพื่อไทยเปิดตัวแล้วสร้างความฮือฮาให้กับคอการเมืองในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรีมากที่สุดคือ ว่าที่ผู้สมัคร เขต 3 (อ.ท่ามะกา อ.พนมทวน) น.ส.พลอย ธนิกุล หรือน้องพลอย ทายาท แคล้ว ธนิกุล อดีตเจ้าพ่อนครบาล และ เขมพร ต่างใจเย็น หรือเจ๊เขม เจ้าแม่ธุรกิจก่อสร้าง โดยที่ผ่านมา น.ส.พลอย หรือ น้องพลอย ลงพื้นที่พบปะประชาชนในพื้นที่ในนามพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ของบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มาโดยตลอด แต่ในที่สุดกลับกลายเป็นพรรคเพื่อไทยที่คว้าตัวไปครอง หลังจากเปิดตัว น.ส.พลอย ได้โพสต์ข้อความและรูปภาพลงเฟซบุ๊กส่วนตัว ซึ่งได้รับเสียงตอบรับจากชาว อ.พนมทวน อ.ท่ามะกา กันอย่างล้นหลาม มีผู้เข้าไปแสดงความยินดีและต้อนรับกันเป็นจำนวนมากเลยทีเดียว

'ตร.' รวบอดีตหนุ่มธนาคาร ปลอมแปลงเอกสาร ใช้ข้อมูลลูกค้าขอสินเชื่อบัตรเครดิต กดเงินใช้ส่วนตัว

(12 ม.ค. 66) พล.ต.ต.พุฒิเดช บุญกระพือ ผบก.ปอศ.สั่งการ พ.ต.อ.ภาดล จันทร์ดอน ผกก.5 บก.ปอศ., พ.ต.ต.วรวุฒิ คงรักษา สว.กก.5 บก.ปอศ. นำกำลังจับกุม นายณัฐพล (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 30 ปี ตามหมายจับศาลอาญาที่ 634/2565 ลงวันที่ 4 เม.ย. 2565 ข้อหา 'เอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่นในประการที่น่าจะเกิดความเสียหาย, ปลอมและใช้เอกสารปลอม, ใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ และลักทรัพย์ผู้อื่น' ได้ที่หน้าตลาดสดคลองเตย ถนนพระราม 4 แขวงและเขตคลองเตย จังหวัดกรุงเทพฯ

จากการจับกุม เมื่อปี 2564 เจ้าหน้าที่ได้รับการร้องเรียนจากธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง ว่ามีบุคคลนำเอกสารข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อื่น มายื่นสมัครขอสินเชื่อบัตรเครดิต ก่อนนำไปกดเงินสด จำนวน 38 ครั้ง ทำให้ธนาคารได้รับความเสียหาย 494,300 บาท จึงทำการสืบสวนสอบสวนจนทราบว่าผู้ก่อเหตุดังกล่าว คือนายณัฐพล ผู้ต้องหารายนี้ จึงรวบรวมพยานหลักฐานขอศาลออกหมายจับ ก่อนเข้าจับกุมดังกล่าว

ลือหึ่ง! ลูก-หลานชาย ‘วีรศักดิ์’ ย้ายซบ ‘เพื่อไทย’ ลงเลือกตั้ง ‘เสิงสาง - ปักธงชัย’ แข่ง ส.ส.ภูมิใจไทย

สะพัด! ลูก-หลานชาย ‘วีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล’ ย้ายซบ ‘เพื่อไทย’ สู้ศึกเลือกตั้งแข่ง ส.ส.ภูมิใจไทย หลังเข้าประกาศวางมือการเมือง อ้างปัญหาสุขภาพ

(12 ม.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รมช.คมนาคม และกรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทย ประกาศจะยุติบทบาททางการเมือง เนื่องจากมีปัญหาสุขภาพ แต่ยังคงให้การสนับสนุนพรรคภูมิใจไทยอยู่นั้น

‘อรรถวิชช์’ ตอบข้อสงสัย นโยบายยกเลิกแบล็กลิสต์ ชี้!! ทำคนตัวเล็กกู้ยาก แนะใช้ระบบ ‘Credit scoring’

‘อรรถวิชช์’ ตอบทุกคำถาม ย้ำแบล็กลิสต์มีจริง!! คนตัวเล็กกู้ยาก ดอกเบี้ยสูง ระบบประมวลข้อมูลเครดิตมีปัญหา ต้องรื้อกฎหมายใหม่ 

(12 ม.ค. 66) ดร.อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ได้โพสต์วิดีโอลงช่องทาง TikTok ‘atavit’ และโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก อธิบายถึงนโยบายยกเลิกแบล็กลิสต์ ที่พรรคชาติพัฒนากล้าเพิ่งเปิดตัวไป โดยสรุปได้ว่า…

แบล็กลิสต์บูโร มีจริง!!

>> แบล็กลิสต์มีจริง เพราะระบบการบันทึกข้อมูลเครดิต จะคล้ายกับบันทึกประวัติอาชญากรรม โดยบริษัทข้อมูลเครดิตจะบันทึกและรายงานต่อสถาบันการเงิน ถึง ‘ประวัติพฤติกรรม ทั้ง 3 ปี’ ไม่ใช่แค่สถานะเครดิตปัจจุบันเท่านั้น จะเห็นว่า ‘ความเป็นจริง’ แม้คนที่จ่ายหนี้คงค้างไปแล้ว ก็ยังมีประวัติด่างพร้อยที่ยากต่อการกู้เงินได้ โดยกว่าจะกลับมากู้ได้ปกติ หรือกู้ดอกเบี้ยต่ำได้อีก ต้องใช้เวลายาวนาน คนตัวเล็กเสียเปรียบ ฟื้นตัวยาก

แม้บริษัทข้อมูลเครดิต หรือธนาคารไม่ได้ทำรายการ ‘บุคคลห้ามกู้’ แต่การรายงานประวัติพฤติกรรมสินเชื่อทั้งชุดดังกล่าว ก็ทำให้ธนาคารมีสบช่องปฏิเสธสินเชื่อนั่นเอง

‘นักรบใด ไม่เคยมีบาดแผลบ้าง?’ ถ้าเอาประวัติ ‘เคยผิดนัด’ มารายงาน มันก็คือ ‘แบล็กลิสต์’ นั่นเอง

>> นโยบายยกเลิกแบล็กลิสต์ ของพรรคชาติพัฒนากล้า ไม่ได้ลบประวัติการชำระหนี้ แต่จะไม่รายงานประวัติพฤติกรรมทั้ง 3 ปี ของผู้กู้ แต่จะแจ้งเฉพาะ ‘คะแนน’ ที่สะท้อนสภาพปัจจุบันของผู้กู้ ด้วยเครื่องมือประเมินคุณภาพสินเชื่อ (Credit Scoring) ที่ใช้กันในหลายประเทศ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระดมกำลังปูพรมค้น 91 จุดทั่วประเทศ ตามแผน 'พิทักษ์ประชา ปราบยาเสพติด 1/66'

พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะ รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. เปิดเผยว่า ตามนโยบาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหายาเสพติดในทุกมิติ ทั้งการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ทำลายและตัดวงจรเครือข่ายค้ายาเสพติด ทั้งรายใหญ่และรายย่อย ขยายผล ยึดและอายัดทรัพย์สินให้ได้มากที่สุด รวมทั้งการสกัดกั้นลำเลียงยาเสพติดเข้าสู้ประเทศไทย และการส่งออกจากประเทศในผ่านระบบขนส่งพัสดุภัณฑ์ ไปรษณีย์ และระบบ Logistics ทุกรูปแบบ นั้น

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายใต้การนำของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้นำนโยบายรัฐบาล มาสู่การปฏิบัติ โดยมีนโยบายให้ดำเนินการปราบปรามทำลายเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติดทุกระดับ และเพิ่มความเข้มในการทำลายเครือข่ายผู้ค้ารายย่อยในระดับชุมชนอย่างจริงจัง สืบสวนจับกุมผู้ค้ารายย่อยในชุนชน ขยายผลไปสู่การจับกุมเครือข่ายผู้ค้ารายสำคัญ และหากมีการจับกุมผู้ต้องหาพร้อมของกลางยาเสพติดจำนวนมาก ให้ทุกหน่วยดำเนินการขยายผล จับกุม ยึด อายัดทรัพย์สินเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติดทุกราย โดยดำเนินการสืบสวนและวิเคราะห์ข้อมูลเส้นทางการเงินเพื่อหาความเชื่อมโยงเครือข่ายการค้ายาเสพติด เพื่อกำหนดเป้าหมายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องดำเนินการสืบสวนจับกุมทำลายเครือข่ายผู้ค้ารายกลางและรายย่อยในพื้นที่ชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

โดยมอบหมายให้ พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร. และ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. ขับเคลื่อนการปฏิบัติ ควบคุมกำกับดูแลและสั่งการให้สืบสวนขยายผลคดีรายสำคัญของตำรวจภูธรภาค 5 หลังจากเมื่อวันที่ 28 ก.ย.65 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการจับกุมผู้ต้องหา 5 คน พร้อมของกลาง รถยนต์ 3 คัน ยาบ้า 1.5 ล้านเม็ด ในพื้นที่ จว.เชียงใหม่ จากนั้นจึงสืบสวนขยายผลและวิเคราะห์ข้อมูลทางโทรศัพท์และเส้นทางการเงิน จนทราบว่ามีเครือข่ายที่เชื่อมโยงกับตัวการสำคัญ เครือข่ายผู้ค้าระดับกลางและรายย่อยในชุมชน กระจายตัวอยู่ในหลายจังหวัดทั่วประเทศ จึงได้กำหนด เปิดปฏิบัติการ 'พิทักษ์ประชาปราบยาเสพติด 1/66' เมื่อวันพุธที่ 11 ม.ค.66 ที่ผ่านมา โดยปิดล้อมตรวจค้นเป้าหมาย 91 จุด พร้อมกันทั่วประเทศ ในพื้นที่ 13 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร, พระนครศรีอยุธยา, ปทุมธานี, สิงห์บุรี, สระบุรี, ลพบุรี, เชียงใหม่, นครสวรรค์, นครปฐม, สมุทรสงคราม, กาญจนบุรี, เพชรบุรี, และ สุพรรณบุรี โดยมีเป้าหมายจับ 10 หมายจับ

'กรณ์' เปิดตัว 3 ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. สุราษฎร์ธานี ชาติพัฒนากล้า ชูนโยบาย 'งานดี มีเงิน ของไม่แพง' ปลดแอกประชาชน

‘กรณ์’ นำทีมพรรคชาติพัฒนากล้า เปิดวิสัยทัศน์ 3 ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. สุราษฎร์ธานี ชูนโยบาย งานดี มีเงิน ของไม่แพง รื้อโครงสร้างเศรษฐกิจ จับตา ชุดนโยบาย พร้อมปล่อยทุกสัปดาห์ เน้นรื้อโครงสร้าง ปลดแอกประชาชน เชื่อ สะเทือนหลายวงการ 

(12 ม.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดสุราษฎร์ธานี พรรคชาติพัฒนากล้า ได้จัดเวทีเปิดวิสัยทัศน์ ว่าที่ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ของพรรค ใน จ.สุราษฎร์ธานี ภายใต้ชื่องาน ‘งานดี มีเงิน ของไม่แพง รื้อโครงสร้างเศรษฐกิจสุราษฎร์ธานี’ นำทีมโดยนายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า พร้อมด้วย นายวรวุฒิ อุ่นใจ รองหัวหน้าพรรค ผศ.ดร.เอราวัณ ทับพลี รองเลขาธิการพรรค นายอรัญ พันธุมจินดา ผู้อำนวยการพรรค นายวรนัยน์ วาณิชกะ ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค โดยมีประชาชนเข้าร่วมกิจกรรมกันอย่างเนืองแน่น 

สำหรับว่าผู้สมัคร ส.ส.สุราษฎร์ธานี ที่ร่วมแสดงวิสัยทัศน์ในวันนี้ มี 3 คน จาก 3 เขตเลือกตั้ง คือ เขตเลือกตั้งที่ 1 ได้แก่ นายอนุวัตร์ รจิตานนท์ เขตเลือกตั้งที่ 2 นางพงศ์ศรี นาคเมือง เขตเลือกตั้งที่ 5 นายวศุธน เรืองขนาบ ซึ่งว่าที่ผู้สมัครทั้ง 3 คน เป็นคนที่มีความรู้ ความสามารถ มีความตั้งใจ และพร้อมที่จะนำประสบการณ์การทำงานมาพัฒนาสุราษฎร์ธานีให้เข้มแข็ง เพื่อชีวิตความเป็นอยู่ของชาว จ.สุราษฎร์ธานี ให้ดีขึ้น โดยทุกคนได้ลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่อง ได้รับการตอบรับจากพี่น้องประชาชนอย่างกว้างขวาง 

นายอนุวัตร์ ว่าที่ผู้สมัคร เขต 1 เคยเป็นผู้บริหารท้องถิ่นมากว่า 8 ปี ทั้งตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองท่าข้าม ประธานสภาเทศบาลเมืองท่าข้าม และสมาชิกสภาเทศบาลเมืองท่าข้าม 2 สมัย ปัจจุบันประกอบธุรกิจส่วนตัว โดยนายอนุวัตร์ กล่าวว่า ตนมีความมุ่งมั่นที่จะพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยไปสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ สร้างมูลค่าเพิ่มในทุกระดับการผลิต ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ที่ไม่สร้างความเสียหายทางจริยธรรมทางสังคม การเลือกตั้ง ส.ส.ครั้งนี้มาถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญระหว่าง กลไกทุน และระบบความคิดของประชาชน ที่จะทำให้เมืองสุราษฎร์ธานีก้าวไปสู่ความสำเร็จ แต่การจะไปสู่จุดหมายได้นั้น ต้องมีความกล้าที่จะกำจัดสิ่งปนเปื้อนประชาธิปไตยไทยให้หมดไปสิ้นไป พลเมืองของแผ่นดินจะเลือกเส้นทางใด ระหว่างสิ่งปนเปื้อน หรือเป็นผู้กำจัดสิ่งปนเปื้อน 

นางพงศ์ศรี ว่าที่ผู้สมัครเขต 2 ประกอบอาชีพ ทนายความ ชาวบ้านเรียกว่า ทนายอ๋อย เจ้าของธุรกิจโรงแรม และสำนักงานทนายความ โดยเจ้าตัวเปิดเผย ถึงเหตุผลในการตัดสินใจเข้าสู่การเมือง ว่า เนื่องจากมีแรงผลักดันจากวิกฤตชีวิตของครอบครัว ที่เกือบต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ทั้งสามี ลูก และหลาน เนื่องจากการเดินทางที่ยากลำบากเพื่อให้ได้รับเข้ารับการรักษาพยาบาลได้ทันท่วงที จึงตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้ง ผลักดันการก่อสร้างสะพานข้ามเกาะสมุย เพื่อช่วยเหลือชาวเกาะสมุย ที่ต้องประสบปัญหาความเดือดร้อนจากการผูกขาดการเดินทาง ของเครื่องบิน และเรือข้ามฟาก ทำให้ประชาชนต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่มากกว่าคนบนเกาะถึง 2 เท่า และยังเป็นปัญหาต่อการทำมาหากิน การสร้างสะพาน จึงเป็นการชุบชีวิตคนรากหญ้า และกระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ จากการลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชนพบว่าเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์เห็นด้วยที่จะให้สร้างสะพานเชื่อมเกาะ ประชาชนต้องสามารถกำหนด กฎเกณฑ์การเข้าเกาะสมุย ไม่ใช่เอกชนเพียงไม่กี่รายที่ได้ประโยชน์บนความทุกข์ยากของประชาชน  

นายวศุธน ว่าที่ผู้สมัคร เขต 5 เป็นนักธุรกิจเจ้าของอู่ซ่อมรถยนต์ มีความสนใจการเมือง เนื่องจากพรรคชาติพัฒนากล้า ให้โอกาสคนรุ่นใหม่เข้ามาเสนอตัวรับใช้คนสุราษฎร์ธานี ซึ่งตนต้องการเห็นเศรษฐกิจสุราษฎร์ดี คนสุราษฎร์รวย รู้เท่าทันเทคโนโลยี ถึงเวลาแล้วที่สุราษฎร์ธานีต้องเปลี่ยนแปลงด้วยการปฏิรูปสังคมให้ทันยุคทันสมัย ปลดล็อกการค้าเสรี สุรา เบียร์ ต้องไม่ถูกผูกขาดโดยกลุ่มทุน นอกจากนี้ตนยังสนใจกีฬามวยไทยเป็นพิเศษ และพร้อมผลักดันสู่การเป็น Soft power ซึ่งคุณกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรค ได้ประกาศจุดยืนในเรื่องนี้มาตลอด

ด้าน นายกรณ์ กล่าวว่า สุราษฎร์ธานี เป็นจังหวัดที่อุดมสมบูรณ์ทั้งด้านการเกษตรและท่องเที่ยว ในแง่ทรัพยากรธรรมชาติได้เปรียบหลายจังหวัด แต่ขาดแรงผลักดันที่จะไปต่อ ทั้งที่สามารถทำได้ดีกว่านี้มาก เช่นเดียวกับ สะพานข้ามเกาะสมุย ตนก็เห็นด้วยที่จะต้องสร้าง เพราะต้นทุนความเป็นอยู่ของชาวเกาะสมุยสูงกว่าแผ่นดินใหญ่มาก ซึ่งการมีสะพานนอกจากสร้างเศรษฐกิจให้กับชาวเกาะสมุย และจ.สุราษฎร์ธานีแล้ว ยังส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในภาคใต้ ที่สามารถต่อยอดการท่องเที่ยวและธุรกิจอื่น ๆ ได้ 

นอกจากนี้ โครงการมอเตอร์เวย์ จะต้องเกิดที่ภาคใต้ เพราะจะทำให้ต้นทุนความเป็นอยู่ของประชาชนลดลง โอกาสในการค้าขายเพิ่มขึ้น ซึ่งในทุกความคิด ทุกข้อเสนอ จะมีโอกาสผลักดันให้เป็นจริงได้ ถ้าประชาชนไว้วางใจ ว่าที่ผู้สมัคร 3 คน ของพรรคชาติพัฒนากล้า ที่พรรคได้คัดสรรมา ว่าจะเป็นผู้แทนที่ดีให้กับ ชาวสุราษฎร์ธานีอย่างแน่นอน ซึ่งตนและว่าที่ผู้สมัคร ก็พร้อมสู้ในทุกสนามเลือกตั้ง 

นายกรณ์ กล่าวว่า พรรคชาติพัฒนากล้า เปิดพื้นที่ให้คนทั้ง รุ่นเก๋ามากประสบการณ์ ผสมผสานคนรุ่นใหม่ที่มีจินตนาการ ได้มีโอกาสมารับใช้ชาติ เพื่อให้ทันโลกที่เปลี่ยนแปลงไป เศรษฐกิจไทยต้องเข้มแข็งเพื่อการแข่งขันได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่ถ้าการเมืองไทยยังเป็นแบบเดิม โอกาสที่ประเทศจะเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เรื่องง่าย เราจึงต้องยึดความกล้าเป็นปัจจัยและเงื่อนไขในการทำงาน เพื่อให้เกิดประโยชน์กับคนทุกช่วงวัย ที่ผ่านมานโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล เน้นแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ซึ่งแม้จะเป็นสิ่งจำเป็น แต่ไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นตอ ยกตัวอย่าง นโยบายการช่วยเหลือเกษตรกร ไม่เคยแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน นับวันนับปี เงินภาษีก็ใช้ไปเรื่อย ๆ แต่คนก็ยังจนเหมือนเดิม


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top