Friday, 20 June 2025
SPECIAL

‘ภูมิใจไทย’ กรุงเทพฯ เปิดแคมเปญรับศึกเลือกตั้ง ชูนโยบายบ้าน ๆ แต่โดนใจ "เพิ่มรายได้-ลดรายจ่าย-ให้โอกาส"

ภูมิใจไทย กรุงเทพฯ ขอดูแลคนเมืองกรุง ทุกวัน ทุกเวลา และครอบคลุมทุกวัย ด้วยนโยบาย 24 ชั่วโมง 7 วัน 'ภูมิใจกรุงเทพฯ 24/7' นโยบายบ้านๆ เพื่อแก้ไขปัญหาให้ชาวบ้าน โดยยึดหลักการ 'เพิ่มรายได้-ลดรายจ่าย-ให้โอกาส'

พรรคภูมิใจไทย กรุงเทพฯ เปิดแคมเปญหาเสียงเลือกตั้ง 'ภูมิใจกรุงเทพฯ 24/7' พร้อมติดป้ายพรึ่บทั่วกรุง ด้วยนโยบายที่ครอบคลุมทุกการใช้ชีวิตของคนเมืองกรุง ตลอด 24 ชั่วโมง 7 วัน

ส่องนโยบายพรรคภูมิใจไทย สำหรับพี่น้องชาวกรุงเทพฯ

'เพิ่มรายได้'
-การหารายได้เพิ่มได้ 3 กะ เปิดพื้นที่ใหม่ๆ ส่งเสริมกิจกรรมใหม่ๆ เพราะวิถีชีวิตของคนกรุงเทพฯ หมุนตลอด 24 ชม. เปิดพื้นที่การค้าขาย ที่ขายได้ตลอดวัน เน้นการสร้างงาน กระจายรายได้ เพิ่มกิจกรรมที่สามารถกรองรับนักท่องเที่ยวตลอด 24 ชม. คล้ายตลาดนัด ที่ได้รับความนิยมที่ประเทศไต้หวัน หรือประเทศเกาหลี และเราต้องจัดระบบดูแลความปลอดภัยทั้งแสงสว่าง กล้องวงจรปิด รวมทั้งระบบการขนส่งเพื่อรองรับ คนทำงานช่วงกลางคืน

-พันธบัตรรัฐบาล (Thai Power Bond)
พันธบัตรรัฐบาลที่ประชาชนมีสิทธิ์ซื้อก่อนนิติบุคคล หรือสถาบันการเงินต่างประเทศ เป็นการส่งเสริมการออม และ ประกันเงินฝาก สามารถเพิ่มรายได้จากดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และเพิ่มความมั่นคงในการออมเงิน และเศรษฐกิจของประเทศ

'ลดรายจ่าย'
-พักหนี้ 3 ปี หยุดต้น ปลอดดอก
ไม่เกินคนละ 1 ล้านบาท หากเปรียบเทียบกับเงินกู้นอกระบบที่คิดร้อยละ 3 ต่อเดือน ถือได้ว่า สามารถช่วยผู้กู้ประหยัดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยตรงนี้ได้ถึง 30,000 บาทต่อเดือน

-One day Pass Ticket ตั๋ววัน
ค่าเดินทางที่เป็นต้นทุนของการดำเนินชีวิต หากเราสามารถล็อกค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไม่ให้แพงเกินไป
◇รถ เรือ เริ่มต้น 15 บาท ตลอดวัน ไม่เกิน 50 บาท
◇รถไฟฟ้า เริ่ม 15 บาท ตลอดสายไม่เกิน 40 บาท

-เครื่องกรองน้ำดื่มทุกชุมชน
น้ำดื่มเป็นต้นทุนที่สูงประชาชนส่วนหนึ่งเพื่อมาซื้อน้ำดื่ม จ่ายเงินเพื่อเติมเงิน เพื่อกรองน้ำไปใช้ ส่วนนี้จะต้องไม่เป็นภาระของประชาชนในทุกชุมชนอีกต่อไป

‘นฤมล’ ย้ำบัตรประชารัฐ 700 บ. สอดรับเงินเฟ้อ ลั่น ยังมีสวัสดิการช่วยเหลือประชาชนอีกเพียบ

‘ศ.ดร.นฤมล’ ย้ำ นโยบายบัตรประชารัฐ 700 บาท/เดือน สอดรับภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มสูง หลังฟังเสียงสะท้อนจากการลงพื้นที่ของ ส.ส. 200-300 บาทไม่เพียงพอใช้จ่าย ลั่นยังมีสวัสดิการช่วยเหลือ ปชช.อีกเพียบ แย้มเตรียมประกาศนโยบาย "ที่ดินประชารัฐ" เร็วๆ นี้ 

วันนี้ (19 ม.ค. 66) ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ให้สัมภาษณ์ถึงนโยบายการเพิ่มวงเงินในบัตรประชารัฐเป็น 700 บาทต่อเดือน ของพรรคพลังประชารัฐว่า ในปี 2566 จะมีประชาชนได้รับสิทธิประมาณ 18 ล้านคน คนละ 700 บาทต่อเดือน จะต้องใช้งบประมาณเดือนละ 1.2 หมื่นล้านบาท หรือ ปีละ 1.5 แสนล้านบาท ซึ่งงบประมาณดังกล่าวมีการคำนวนแหล่งที่มาของงบประมาณมาจากที่ใดแล้ว ในส่วนของบัตรประชารัฐที่เราได้ทำมาตั้งแต่ปี 61 ไม่ใช่มีแค่เงินรายเดือน 200 หรือ 300 บาทเท่านั้น แต่ยังมีสวัสดิการอื่น ๆ อีก อย่างเช่น ค่าแก๊สหุงต้ม ค่าเดินทาง จิปะถะ เราพยายามจัดการสิ่งเหล่านี้ให้สอดคล้อง กับความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่ บางคนได้ไปก็ไม่ได้ใช้ ค่าเดินทางไม่ได้ใช้ แก๊สหุงต้มไม่ได้ใช้  

ศ.ดร.นฤมล กล่าวต่อว่า เมือปี 2561 ตนก็เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี ดูแลรับผิดชอบสวัสดิการแห่งรัฐ ในช่วงนั้น เราอยากจะให้พี่น้องประชาชน ผู้ที่มีรายได้น้อย สามารถที่จะมีเงินประทังชีวิตต่อเดือน สิ่งจำเป็นขั้นพื้นฐาน เขาสามารถไปซื้อ ข้าวสาร น้ำปลา อาหารแห้ง ได้ ในต่างจังหวัดอยู่ได้โดยไม่ลำบาก แต่ปัจจุบันสภาวะ ทางเศษฐกิจทั่วโลกเผชิญกับสภาวะเงินเฟ้อ ไม่ต่างกับประเทศไทย สินค้ามีราคาที่สูงขึ้นมาก ดังนั้นเงิน 200-300 บาทต่อเดือน ก็ไม่เพียงพอ เสียงสะท้อนก็ออกมาจากผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค ที่ลงพื้นที่ไปพบปะกับประชาชนต่างก็บอกเงินไม่พอแล้ว

คนเสื้อแดงนครพนม จวก 'หมอชลน่าน' ปมวางตัวผู้สมัคร ส.ส. ไม่ถามชาวบ้าน

บรรยากาศความเคลื่อนไหวทางการเมืองในพื้นที่จังหวัดนครพนม เริ่มมีแนวโน้มการแข่งขันมากขึ้น ทั้งที่ยังไม่มีการยุบสภาหรือครบวาระ 4 ปี โดยพรรคการเมืองใหญ่ต่างทยอยพากันเปิดตัวว่าที่สมัคร ส.ส. ทั้ง 4 เขต ส่วนใหญ่เป็นการแข่งขันระหว่าง 3 พรรคใหญ่ คือ พรรคพลังประชารัฐ พรรคภูมิใจไทย และพรรคเพื่อไทย

โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย ถือเป็นพรรคที่มีฐานที่มั่น เคยเป็นแชมป์ชนะการเลือกตั้งทั้ง 4 เขตมาหลายครั้ง แต่การเลือกตั้ง ส.ส. ปี 2562 ที่ผ่านมา ได้เสียที่นั่ง ส.ส.ในเขตเลือกตั้งที่ 1 โดยนายศุภชัย โพธิ์สุ หรือครูแก้ว ที่พรรคภูมิใจไทยส่งเข้าประกวด ชนะเลือกตั้งสามารถล้ม นายยุทธจักร เรืองวรบูรณ์ อดีต ส.ส.นครพนม เขต 1 พรรคเพื่อไทย ทำให้พรรคเพื่อไทยได้ ส.ส.เพียง 3 เขตเท่านั้น

แม้เขตเลือกตั้งที่ 4 ครอบคลุมพื้นที่ อ.นาแก อ.วังยาง อ.ปลาปาก และ ต.บ้านผึ้ง,ต.กุรุคุ อ.เมืองนครพนม จะถูกพลังดูดจากพรรคพลังประชารัฐ ทำให้ นายชูกัน กุลวงษา อดีต ส.ส.นครพนม เขต 4 พรรคเพื่อไทย เปลี่ยนใจไปสังกัดพรรคพลังประชารัฐ แต่พ่ายแพ้ให้กับนายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.นครพนม บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ที่หันมาลงสมัคร ส.ส.เขตฯ ชนะการเลือกตั้ง คะแนนนำโด่งเกินคาดหมาย แสดงถึงกระแสความนิยมพรรคเพื่อไทย สูงกว่าคะแนนนิยมตัวบุคคล

ทั้งนี้ การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในปี 2566 นี้ เป็นที่น่าจับตามองตั้งแต่ปี 2565 ทั้งที่เจ้าของพื้นที่นายชวลิต วิชยสุทธิ์ มีข่าวลือว่าจะย้ายไปซบพรรคไทยสร้างไทย มีคุณหญิงหน่อย-สุดารัตน์ เกยุราพันธ์ เป็นหัวหน้าพรรค เพื่อตอบแทนบุญคุณทางการเมือง ส่วนทางด้านพรรคภูมิใจไทยนายศุภชัย โพธิ์สุ ส.ส.นครพนม เขต 1 ได้ย้ายลงสมัครเขตเลือกตั้งที่ 2 ชนกับ ดร.มนพร เจริญศรี ส.ส.ฯ พรรคเพื่อไทย โดยพรรคภูมิใจไทยหวังให้ครูแก้วโค่นแชมป์เก่า และล้มแลนด์สไลด์พรรคเพื่อไทย พร้อมเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.นครพนม เขต 1 หน้าใหม่คือนางพูนสุข โพธิ์สุ ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหนเป็นภรรยาของครูแก้วนั่นเอง 

จนกระทั่งช่วงต้นสัปดาห์ พรรคเพื่อไทยในพื้นที่จังหวัดนครพนม กลายเป็นประเด็นร้อนทางการเมืองขึ้นมาทันที เมื่อนายแพทย์ ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ออกมาแถลงการณ์เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.นครพนม ทั้ง 4 เขต ประกอบด้วย เขตเลือกตั้งที่ 1 คือ ดร.ภูมิพัฒน์ พชรทรัพย์ มีดีกรีเป็นอดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคภูมิใจไทย, เขตเลือกตั้งที่ 2 แชมป์เก่า ดร.มนพร เจริญศรี, เขตเลือกตั้งที่ 3 ได้แก่แชมป์ตลอดกาล 12 สมัยคือ ดร.ไพจิต ศรีวรขาน ส่วนเขตเลือกตั้งที่ 4 ถือเป็นการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร เกินความคาดหมาย หลังพรรคประกาศรายชื่อนายณพจน์ศกร ทรัพยสิทธิ์ อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคภูมิใจไทย, พรรคเพื่อคนไทย และ อดีตผู้สมัครนายก อบจ.นครพนม ที่ล่าสุดหันมาซบพรรคเพื่อไทย และมีชื่อเป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขตเลือกตั้งที่ 4 นครพนม ทั้งที่ก่อนหน้านี้มีชื่อ ดร.สมชอบ นิติพจน์ อดีตนายก อบจ.นครพนม รวมถึง นายชาญชัย คำจำปา นายกเทศมนตรีตำบลพระซอง อ.นาแก จ.นครพนม ที่มีฐานสร้างครอบครัวเพื่อไทยได้มากเป็นอันดับต้น ๆ ของภาคอีสาน

ถอดรหัสสโลแกนใหม่ ‘พรรคพลังประชารัฐ’ กับนัยยะ ‘ก้าวข้ามความขัดแย้งไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย’

ยิ่งใกล้ครบวาระรัฐบาล การเมืองไทยยิ่งทวีความเข้มข้น ทุกการเคลื่อนไหวของทุกพรรคการเมืองล้วนถูกจับจ้อง 

เช่นเดียวกับ ‘พรรคพลังประชารัฐ’ พรรคแกนนำรัฐบาล จากการเลือกตั้งครั้งก่อน แต่ทว่า การเลือกตั้งครั้งหน้า หลายฝ่ายวิเคราะห์ว่า อาจจะไม่ได้เป็นพรรคแกนนำในการรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาล นั่นเพราะส.ส.ในสังกัดยังไหลออกไม่หยุด หลังการเลือกตั้งครั้งหน้า เก้าอี้ส.ส.ที่เคยมี คงไม่ได้เท่าเดิม

นั่นจึงเป็นโจทย์ใหญ่ที่ท้าทาย พี่ใหญ่ 3 ป. ‘บิ๊กป้อม - พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ’ ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่ต้องทำการบ้านอย่างหนัก หากต้องการนำพรรคกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้งให้ได้ 

เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2566 ที่ผ่านมา เป็นการประกาศนโยบายแรก ที่สร้างความฮือฮา และ เป็นกระแสให้พูดถึงอย่างมาก กับการประกาศ ‘เพิ่มเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็น 700 บาทต่อเดือน’ หากได้จัดตั้งรัฐบาล

แน่นอนว่า นโยบายที่ออกมา ถูกใจชาวบ้านในระดับรากหญ้า และกลุ่มเปราะบาง เพราะเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์เต็ม ๆ ขณะที่ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ถือเป็นนโยบายที่สร้างชื่อให้กับพรรคพลังประชารัฐอย่างมาก

ไม่เพียงเท่านั้น ในงานแถลงข่าวเปิดตัวนโยบายของพรรคพลังประชารัฐ ยังมีอีกหนึ่งไฮไลท์ที่น่าสนใจ นั่นคือการชูคำขวัญ หรือ สโลแกนใหม่ของพรรคที่จะใช้หาเสียงเลือกตั้งครั้งหน้า ว่า “ก้าวข้ามความขัดแย้ง ขจัดทุกปัญหา พัฒนาทุกพื้นที่”

คำขวัญดังว่า อาจจะดูเป็นสโลกแกนธรรมดา แต่หากวิเคราะห์ลึกลงไป จะเห็นนัยยะที่ซ่อนไว้ และจุดยืนของพรรคพลังประชารัฐและพลเอกประวิตรได้เป็นอย่างดี

โดยเฉพาะคำว่า “ก้าวข้ามความขัดแย้ง” ที่พลเอกประวิตร ย้ำเป็นพิเศษ และถือเป็นจุดยืนของพรรค ที่พร้อมจะสานสัมพันธ์กับทุกฝ่าย ก้าวข้ามความขัดแย้ง และหาทางออกร่วมกัน เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ โดยไร้ความขัดแย้ง

“ปัจจุบันสังคมไทยยังคงมีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย แตกแยกเป็น 2 ขั้ว ผมขอยืนยันจุดยืนของพรรคพลังประชารัฐ อย่างหนักแน่นว่า เราพร้อมจะสานสัมพันธ์กับทุกฝ่ายเพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง และเพื่อสร้างพลังแห่งความสามัคคี เพื่อนำทุกฝ่ายหาทางออกร่วมกัน เพื่อนำประเทศไทย ไปสู่เป้าหมายที่ดีที่สุดสำหรับคนไทยทุกคน” พล.อ.ประวิตร ประกาศต่อหน้าสื่ออย่างหนักแน่น

เลือกตั้ง 6 ก.พ. 48 ‘ไทยรักไทย’ ชนะขาด สร้างปรากฏการณ์รัฐบาลพรรคเดียว

งวดเข้ามาทุกขณะ สำหรับการเลือกตั้งใหญ่ ที่เริ่มส่งสัญญาณออกมาเป็นระยะ เพราะไม่ว่ารัฐบาลลุงตู่ จะอยู่ครบเทอม หรือ จะเลือกยุบสภาก่อน สุดท้ายแล้วการเลือกตั้งจะมีขึ้นภายในปีนี้อย่างแน่นอน

ส่งผลให้สถานการณ์การเมืองในช่วงนี้ ต้องใช้คำว่า ‘ระอุ’ จะเริ่มเห็นส.ส. ย้ายค่าย พรรคการเมืองเปิดตัว ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. กันอย่างคึกคัก

โดยเป้าหมายหลักของพรรคการเมือง ย่อมอยู่ที่การได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคใหญ่อย่าง ‘เพื่อไทย’ ที่หมายมั่นปั้นมือว่า เลือกตั้งครานี้ จะต้องเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลให้ได้ บนโจทย์ที่สุดท้าทายนั่นคือ จะต้องชนะการเลือกตั้ง กวาดที่นั่ง ส.ส. ในสภาได้อย่างถล่มทลาย หรือ ที่ตั้งสโลแกนคุ้นหู ‘แลนด์สไลด์เพื่อไทย’ โหมโรงออกมาเป็นระยะ

นั่นเพราะการชนะเลือกตั้งมีจำนวน ส.ส. มาเป็นอันดับหนึ่ง ไม่ได้การันตีว่าจะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เพราะยังมีเงื่อนไข ส.ว. 250 เสียงโหวตนายกรัฐมนตรีได้ เป็นเงื่อนปมที่ ‘เพื่อไทย’ อกหักมาแล้วในการเลือกตั้งปี 2562 ที่ครั้งนั้นได้จำนวนส.ส.มาเป็นอับดับหนึ่ง แต่ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ เพราะรวมเสียงแล้วสู้ อีกขั้วอำนาจไม่ได้

เลือกตั้งครั้งที่จะถึงนี้ จึงเปรียบเป็นเวทีแก้มือ ของเพื่อไทย ที่ระดมทุกสรรพกำลังที่มี ทุ่มอย่างเต็มที่ เพื่อไปถึงจุดหมาย ‘แลนด์สไลด์’ ให้ได้ดังฝัน ถึงขั้นไปเอา ‘อุ๊งอิ๊งค์ - แพทองธาร ชินวัตร’ ลูกสาวสุดรักของ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ มาโหมโรงเรียกเรตติ้งจากสาวก

จะว่าไปแล้ว ในอดีต เมื่อครั้งยังเป็น ‘พรรคไทยรักไทย’ ภายใต้การนำ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ ในขณะนั้น ไทยรักไทย เคยสร้างปรากฏการณ์แลนด์สไลด์ ชนะเลือกตั้งถล่มทลาย กลายเป็นรัฐบาลพรรคเดียวมาแล้ว ในการเลือกตั้งปี 2548

โดยการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อปี 2548 มีขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 หลังจากรัฐบาลทักษิณ อยู่ครบวาระ 4 ปี ซึ่งขณะนั้นคะแนนนิยมในตัวทักษิณ มีสูงมาก จากนโยบายประชานิยมที่โดนใจชาวบ้าน รวมถึงการรวมสมาชิกจากพรรคต่าง ๆ ได้แก่ พรรคความหวังใหม่, พรรคชาติพัฒนา, พรรคกิจสังคม, พรรคเสรีธรรม และพรรคเอกภาพ เข้ากับพรรคไทยรักไทย มาลงเลือกตั้ง ภายใต้สโลแกนหาเสียงว่า '4 ปีซ่อม 4 ปีสร้าง' และผลการเลือกตั้งปรากฎว่าพรรคไทยรักไทย กวาดไปได้ถึง 377 ที่นั่ง จากจำนวนทั้งหมด 500 ที่นั่ง

สมรภูมิ ส.ส.กทม. เขต 1 เดือด! ‘ก้าวไกล’ เปิดตัว ‘ปารเมศ วิทยารักษ์สรรค์’ ลงชน ‘กานต์กนิษฐ์’ เพื่อไทย ‘เจิมมาศ’ ปชป. เชื่อมาแรงชนะใจคนกรุงเทพฯชั้นในได้

ภายหลังจากที่พรรคเพื่อไทยเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขต 1 (ป้อมปราบศัตรูพ่าย พระนคร สัมพันธวงศ์) อย่างเป็นทางการ พรรคก้าวไกลได้เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ในเขตดังกล่าว คือ นายปารเมศ วิทยารักษ์สรรค์ เพื่อแข่งขันกับนางเจิมมาศ จึงเลิศศิริ ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ และ น.ส.กานต์กนิษฐ์ แห้วสันตติ ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย

นายปารเมศ กล่าวว่า ไม่มีความกังวลที่พรรคเพื่อไทยเปิดตัวอดีต ส.ส. ลงแข่งในสนามเลือกตั้งครั้งนี้ แล้วมองว่ายิ่งเป็นการเพิ่มความคึกคักให้กับการแข่งขันในศึกเลือกตั้ง 2566 ที่กำลังจะมาถึง โดยมีแรงบันดาลใจในการทำงานการเมืองคือเห็นวิวัฒนาการ ตั้งแต่จีนที่โดนดูถูกว่าสินค้าจีนแดง ไปจนถึงจีนที่ไปดวงจันทร์ได้ เป็นช่วงที่จีนกำลังเติบโตแบบก้าวกระโดด เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้อยากมีส่วนร่วมทางการเมือง เพราะตลอดเวลาที่อยู่จีน เห็นการพัฒนาแบบก้าวกระโดด ตอนที่ไปเรียน หยุดพักร้อน 2-3 เดือน มีอะไรใหม่ ๆ ตึกใหม่ ๆ เทคโนโลยีใหม่ ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา ในขณะที่กลับมามองประเทศไทย เรากลับไม่มีการพัฒนาเลย คนจีนบอกว่า ไทยเคยเป็น 'ซื่อเสี่ยวหลง' หรือ 'มังกร 4 ตัว' แต่ตอนนี้เราเป็นแค่หางหมา ไม่ใช่หางมังกร

“ในยุค 90 คนจีนมาเมืองไทยแล้วตื่นเต้นจะเพราะรู้สึกว่าเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว มีรถไฟฟ้า มีตึกสูง ผ่านไป 30 ปี ตั้งแต่เล็กจนโต ผมรู้สึกว่าประเทศไทยย่ำอยู่กับที่ ไม่ใช่แค่ย่ำอยู่กับที่แต่ยังถอยหลังไปอีก ขณะที่ประเทศอื่นเดินหน้าแบบก้าวกระโดด ผมได้เรียนรู้จากคนจีนเรื่องการแก้ปัญหาคอรัปชั่น นโยบายรัฐบาลจีนปัจจุบันเราเห็นข้าราชการระดับสูง นายพล อดีตรัฐมนตรีเข้าคุกไปหลักพันคนแล้ว ถ้าระดับเจ้าหน้าที่เข้าคุกไปหลักแสนคนแล้ว ประเทศจีนเคยขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่มีการคอร์รัปชั่น มาก ถ้ามีผู้บริหารประเทศที่เอาจริงเอาจัง กล้าตรวจสอบอย่างไม่กลัวเส้นสายก็สามารถขจัดอิทธิพลได้ แต่สำหรับประเทศไทย เราเห็นหลายกรณี เช่น คดีบอสกระทิงแดง ทำให้เห็นว่าประเทศไทยยังเต็มไปด้วยระบบอุปถัมภ์ เงินซื้ออำนาจ และทำให้คุณพ้นความผิดได้” นายปารเมศ กล่าว

ในส่วนของกระแสตอบรับของพรรคก้าวไกล นายปารเมศ กล่าวว่า สมัยอนาคตใหม่เป็นพรรคอนาคตใหม่ เราโดนขับไล่ โดนด่า แต่สมัยนี้ผมลงพื้นที่ได้รับกระแสตอบรับที่ดีมาก และยิ่งตนเป็นลูกหลานคนจีน เข้าหา นอบน้อมทำให้คนในพื้นที่ตอบรับดีมาก ประชาชนชอบ ส.ส.เจี๊ยบ ทิม พิธา พรรคก้าวไกลเป็นที่ยอมรับและเป็นที่รู้จัก

“มีบางพื้นที่มีคนที่เห็นเห็นต่างทางการเยอะ เช่น ป้อมปราบศัตรูพ่าย ที่มีรากฐานจากพรรคประชาธิปัตย์ทำงานมานาน แต่กลยุทธ์เราก็ยังเดินเข้าไปหา เข้าไปแนะนำตัวเพราะ ผมเชื่อว่าคะแนนเสียงของประชาชนทุกคนมีความสำคัญเท่าเทียมกัน” นายปารเมศ กล่าว

นายปารเมศ กล่าวด้วยว่า สำหรับสิ่งที่ต้องการผลักดันถ้าได้เป็น ส.ส. ปารเมศการเข้ามาของคนจีน สร้างทั้งโอกาสและความท้าทายให้กับประเทศไทย ตนจึงอยากส่งเสริมให้พื้นที่กรุงเทพ เขต 1 และประเทศไทยให้ความสนใจกับประเทศจีน เพราะคนจีนที 1,400 ล้านคน มีคนจีนอยู่ทุกที่และมีกำลังซื้อสูงมาก การที่เราเรียนรู้ภาษาจีน และทำการค้าขายกับคนจีนมากขึ้นจะเป็นโอกาสดีถ้าประเทศไทยสามารถจับกระแสนี้ได้

‘ภูมิใจไทย’ ชูนโยบาย รักษามะเร็งฟรี แบ่งเบาทุกข์ของทุกคนในครอบครัว

(18 ม.ค. 66) หลังจากที่พรรคภูมิใจเปิดตัวนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ เป็นสมาชิกพรรคไปแล้ว พรรคภูมิใจไทยก็ได้เปิดตัวนโยบาย ‘รักษามะเร็งฟรี’ โดยมีจุดประสงค์เพื่อแบ่งเบาความทุกข์ของคนครอบครัว โดยระบุว่า

โรคมะเร็งถือเป็นโรคร้ายที่คร่าชีวิตของคนไทยมากที่สุดเป็นอันดับต้น ๆ มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง ที่น่ากลัวไปกว่านั้นยังพบว่า มะเร็งมีโอกาสเกิดขึ้นกับคนอายุน้อยลงมากขึ้นอีกด้วย

แน่นอนว่าโรคร้ายนี้ไม่มีใครอยากเป็น และไม่มีใครอยากให้โรคนี้เกิดขึ้นกับคนที่เรารัก เพราะเมื่อเป็นแล้วไม่ใช่แค่ตัวผู้ป่วยเท่านั้นที่ทุกข์ใจ แต่ทำให้ทุกข์ใจทั้งบ้าน นอกจากในส่วนของอาการป่วยแล้ว บางบ้านยังต้องมาทุกข์ใจกับค่าใช้จ่ายในการรักษา จนถึงกู้หนี้ยืมสินมารักษาคนที่เรารัก ถือเป็นความทุกข์หลายต่อ

รวบแก็งกันน็อกแดงเขียวตระเวนลัก จยย.ทั่วกรุงเทพฯ ปริมณฑลส่งเอเยนต์ออกนอก

ตามนโยบายของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. เร่งรัดปราบปรามแก็งโจรกรรมรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ซึ่งตระเวนลักรถจักรยานยนต์ของชาวบ้านซึ่งจอดรถอยู่บริเวณที่พักอาศัยและแหล่งชุมชนในพื้นที่ กรุงเทพฯ และปริมณฑลอย่างหนักเป็นการสร้างความเดือดร้อนและกระทบการดำรงชีวิตของประชาชนทั่วไปอย่างรุนแรงเป็นวงกว้าง โดยชุดลาดตระเวนออนไลน์ บก.สส.บช.น. IDMB รับแจ้งเรื่องร้องเรียนจากภาคประชาชนในพื้นที่ย่านพหลโยธินและย่านบางเขน กรุงเทพฯว่าในห้วงตั้งแต่เดือน พ.ย.65 จนถึงปัจจุบัน พบแก็งมิจฉาชีพโจรกรรมรถจักรยานยนต์สร้างความหวาดวิตกกังวลแก่เจ้าของและ ผู้ครอบครองรถจนไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข จึงได้สั่งการให้ บก.สส.บช.น. เร่งรัดออกสืบสวนปราบปราม

เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2566 เวลา ประมาณ 12.00 น. พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. , พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. , พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ สระทองออย รอง ผบก สส.บช.น. จึงได้สั่งการให้ชุดลาดตระเวนออนไลน์ประกอบด้วย พ.ต.อ.วิชิต ถิรขจรวงศ์ ผกก.สืบสวน 1 บก.สส.บช.น. , พ.ต.ต.พิสิทธิ์ เตชะ สว.กก.1 บก.สส.บช.น. และ ด.ต.อุทัย กิ่งแก้ว ผบ.หมู่ กก.สส.1ฯ ลงพื้นที่สืบสวน หาข่าว และติดตามพฤติกรรรม เบาะแสและแผนประทุษกรรมของกลุ่มคนร้ายซึ่งก่อเหตุในคดีนี้ โดยพบว่า คนร้ายเป็นชายวัยรุ่นจำนวน 2 ราย ขับรถจักรยานยนต์ตระเวนออกลักรถจักรยานยนต์ในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งมีตำหนิพิเศษโดยคนร้ายทั้งสองมักจะใส่หมวกกันน็อกสีเขียวและสีแดงออกตระเวนลักทรัพย์ฯ เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจึงได้สืบสวนและจับกุมตัว

1.) นายเจษฏาพร หรือบอล ไพรเวหา อายุ 20 ปี ภูมิลำเนาอยู่ที่ ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ตามหมายจับของศาลอาญาที่ 71/2566 ลงวันที่ 12 มกราคม 2566  
2.) นายธรรมนูญ หรือแบงค์ เลิศชัย อายุ 20 ปี ภูมิลำเนาอยู่ที่ ต.บาดสวาย อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ตามหมายจับของศาลอาญาที่ 72/2566 ลงวันที่ 12 มกราคม 2566 
3.) นายพจน์ รุ่งแสง อายุ 46 ปี อยู่บ้านเลขที่ 121 ม.8 ต.ธงชัยเหนือ อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา 

โดยกล่าวหาผู้ต้องหาที่ 1 และ 2 ว่า “ร่วมกันลักทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยร่วมกันกระทำผิดตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปโดยใช้ยานพาหนะ เพื่อสะดวกในการกระทำผิดหรือการพาทรัพย์นั้นไป เพื่อให้พ้นการจับกุม” โดยกล่าวหาผู้ต้องหาที่ 3 ว่า รับของโจร
พร้อมยึดของกลาง
1. รถจักรยานยนต์ที่ใช้ก่อเหตุจำนวน 2 คัน
2. รถจักรยานยนต์ที่ลักมาจำนวน 2 คัน
3. รถจักรยานยนต์จำนวน 6 คัน จากการตรวจสอบพบว่าได้แจ้งหายในพื้นที่ กรุงเทพฯ
3. เสื้อผ้า หมวกกันน็อก
4. อุปกรณ์ที่ใช้ในการก่อเหตุรวมทั้งสิ้นกว่า 25 รายการ

จับกุมได้ที่ห้องพักเลขที่ 306 , 309 บ้านเลขที่ 29/44 แขวงคูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี

‘บิ๊กป้อม’ ยัน พร้อมเป็นนายกฯ คนที่ 30

เมื่อวานนี้ (17 ม.ค. 66) ที่งานเปิดตัวนโยบายแรก ‘เพิ่มเงินบัตรสวัสดิการ 700 บาทต่อเดือน’ 
ของพรรคพลังประชารัฐ ผู้สื่อข่าวได้สอบถาม พล.อ.ประวิตรว่า พร้อมที่จะเป็นนายกฯ คนที่ 30 หรือไม่ 

‘ภูมิใจไทย’ ปรับเป้า ขอกวาด 5 ส.ส. เมืองคอน หลัง ‘อารี’ เดินสายถี่ยิบ ทำกระแสเริ่มมาแรง

‘อารี ไกรนารา’ นำทีมผู้สมัครพรรคภูมิใจไทย เดินหน้าเต็มสูบ พบปะประชาชนวันละหลายจุด หลัง กก.บริหารพรรคตั้งเป้าหมายชนะเลือกตั้งเพิ่มเป็น 5 เขต ยืนยันคะแนนนิยมดีวันดีคืน

เมื่อวานนี้ (17 ม.ค. 66) ที่ศาลาประชาคมหมู่บ้านโคกเลา หมู่ 6 ต.เคร็ง อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช นายอารี ไกรนรา ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา หัวหน้าทีมเลือกตั้ง พรรคภูมิใจไทย จังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมทีมงานรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ส.ส.ของนายณัฐกิตติ์ หนูรอด ว่าที่ผู้สมัคร โซนชะอวด-จุฬาภรณ์ ร่วมกันจัดกิจกรรม 'เหลียวหน้าแลหลัง พัฒนาบ้านเรา' เปิดตัวนายณัฐกิตติ์ หนูรอด ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.โซนนี้ของพรรคภูมิใจไทย จ.นครศรีธรรมราช โดยเชิญนายไพฑูรย์ อินทศิลา ผู้สื่อข่าวอาวุโส จังหวัดนครศรีธรรมราช ในฐานะที่เป็นคน ต.เคร็ง โดยกำเนิด มาร่วมปราศรัยทำความเข้าใจในกฎระเบียบการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นช่วงกลางปี 2566 มีประชาชนในพื้นที่หมู่ 6 ต.เคร็ง อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช กว่า 200 คนเดินทางมาร่วมกิจกรรมและรับฟังการปราศรัยในแนวนโยบายของพรรคภูมิใจไทยในการเลือกตั้ง ส.ส.ครั้งต่อไป 

ในขณะที่พื้นที่ อ.ชะอวด และ ต.เคร็ง ประกาศชัดเจนที่จะสร้าง ส.ส.ของคนพื้นที่เขตป่าพรุควนเคร็งด้วยกันเอง โดยการเลือกนายณัฐกิตติ์ หนูรอด จากพรรคภูมิใจไทยที่เป็นคน ต.เคร็ง อ.ชะอวด โดยกำเนิด และในวันเดียวกันนี้ได้มีการเปิดเวที 'เหลียวหน้าแลหลัง พัฒนาบ้านเรา' ในพื้นที่บ้านเสม็ดงาม หมู่ 8 ต.เคร็ง อ.ชะอวด อีกด้วยและมีประชาชนมาร่วมกิจกรรมกว่า 200 คนเช่นเดียวกัน

นายอารี ไกรนรา กล่าวว่า ตนได้ตัดสินใจลาออกจาก ส.ส. บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อชาติและย้ายมาสังกัดพรรคภูมิใจไทยในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2565 โดยได้รับความไว้วางใจจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้รับผิดชอบพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช ทั้ง 9 เขตเลือกตั้ง และจากการลงพื้นที่พบปะประชาชนในพื้นที่ทั้ง 9 เขตเลือกตั้ง พบว่า ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคภูมิใจไทย ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีและมีกระแสดีขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะนายณัฐกิตติ์ หนูรอด ว่าที่ผู้สมัคร เขต อ.ชะอวด ,จุฬาภรณ์ และบางส่วน อ.ร่อนพิบูลย์ 

ล่าสุดพรรคภูมิใจไทยได้จัดประชุมว่าที่ผู้สมัครในภาคใต้ และสรุปว่าพรรคภูมิใจไทยมีโอกาสสูงที่จะชนะการเลือกตั้ง และบางจังหวัดมั่นใจว่าพรรคภูมิใจไทยจะชนะยกจังหวัด สำหรับจังหวัดนครศรีธรรมราช เดิมผู้หลักผู้ใหญ่ในพรรคตั้งเป้าว่าจะชนะการเลือกตั้ง 3 เขต แต่หลังจากที่มีการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครและตนลงพบปะประชาชนทั่วจังหวัดต่อเนื่องกว่า 1 เดือน และทางพรรคได้ทำโพลสำรวจพบว่าโอกาสที่จะชนะการเลือกตั้งมากถึง 6-7 เขต ทางผู้หลักผู้ใหญ่และคณะกรรมการพรรคจึงปรับการตั้งเป้าหมายที่จะชนะการเลือกตั้งเป็น 5 เขตจาก 9 เขตเลือกตั้ง

‘เพื่อไทย’ ลงพื้นที่พบปะพี่น้องชาว ‘นนทบุรี’ ลั่น!! ไม่สน พปชร. เพิ่มบัตรประชารัฐเป็น 700 บาท

(18 ม.ค. 66) เวลา 08.17 น. นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย, น.ส.แพทองธาร ชินวัตร (อุ๊งอิ๊ง) หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และชาวคณะ นำทีมเยี่ยมประชาชนตลาดประชานิเวศน์ 3 นนทบุรี

อุ๊งอิ๊งกล่าวว่า เสียงตอบรับจากการลงพื้นที่วันนี้ดีมากมาก ได้รับการต้อนรับอบอุ่นอย่างอบอุ่นจากพี่น้องประชาชนตลาดประชานิเวศน์ 3 ก็มีคนบอกว่าอยากจะเลือกตั้งแล้ว ซึ่งก็ถือว่าสําหรับพรรคเพื่อไทยก็เป็นกําลังใจอย่างมาก ที่ทําให้เราอยากจะเดินสายหาเสียงต่อ เราพร้อมแล้วที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของพี่น้องประชาชนให้ดีกว่าเดิม 

“นโยบายเราได้รับการตอบรับดีมาก ระหว่างเดินพบปะก็มีคนโชว์บัตรลายเซ็นต์ของท่านนายกทักษิณ ตั้งแต่ที่อยู่พรรคไทยรักไทย เห็นก็ชื่นใจมากมากนะคะ ที่พี่น้องประชาชนยังไว้ใจเรามายาวนานยี่สิบปีขนาดนี้ค่ะ แล้วก็ แน่นอนค่ะ เราจะไม่ทําให้พี่น้องประชาชนผิดหวังค่ะ” อุ๊งอิ๊งกล่าว

'ประชาธิปัตย์' เล็งกวาด 3 ที่นั่งในพื้นที่สกลนคร หลังอดีต 'ส.ส.สาคร' มั่น!! นโยบายพรรคโดนใจปชช.

อดีต ส.ส.สกลนคร 'สาคร พรหมภักดี' มั่นใจ ผู้สมัคร ส.ส.ประชาธิปัตย์ จะปักธงได้ถึง 3 คน หลังพรรคประกาศ 8 นโยบายโดนใจประชาชน

เมื่อวานนี้ (17 ม.ค. 66) นายสาคร พรหมภักดี ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ เขต 3 จังหวัดสกลนคร กล่าวเปิดใจถึงการสมัครเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ และประสงค์ลงสมัคร ส.ส. ในนามพรรคฯ ว่า จากการที่ได้ลงพื้นที่ พบปะ พูดคุยกับประชาชน ได้เห็นถึงการตื่นตัว และพึงพอใจในนโยบายประกันรายได้ของพรรคประชาธิปัตย์ภายใต้การนำของ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จึงตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคไทยสร้างไทย เพื่อมาลงสมัครสมาชิกผู้แทนราษฎรในนามพรรคประชาธิปัตย์

“ตลอดระยะเวลากว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมา กับการเดินสายพบปะประชาชนพื้นที่จังหวัดสกลนคร ในฐานะว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ของพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อพรรคประกาศนโยบาย 8 ด้านออกมานั้น โดยเฉพาะนโยบายชาวนารับ 30,000 บาทต่อครัวเรือน การออกโฉนดที่ดิน 1 ล้านแปลง ภายใน 4 ปี และการออกกรรมสิทธิ์ทำกิน ให้ผู้ทำกินในที่ดินของรัฐ รวมทั้งธนาคารหมู่บ้าน - ชุมชน แห่งละ 2 ล้านบาท ที่มีความชัดเจนขึ้นนั้น เป็นที่พึงพอใจของประชาชนอย่างมาก และเชื่อว่าผู้สมัคร ส.ส. ของพรรคประชาธิปัตย์ทั้ง 3 คน จะสามารถปักธงในพื้นที่จังหวัดสกลนครได้อย่างแน่นอน หลังพรรคประกาศนโยบายที่โดนใจประชาชน” นายสาครฯ กล่าว

ตำรวจ ปส. รุกหนักเด็ดปีกนักบิน 3 เครือข่าย สกัดยาบ้ากว่า 15 ล้านเม็ด

เมื่อวานนี้ (17 ม.ค. 66) ที่ กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด แถลงข่าวจับกุม 3 เครือข่ายกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง โดยภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร.(กม)/ผอ.ศอ.ปส.ตร., พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผช.ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร., พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ปส., พล.ต.ต.คมสิทธิ์ รังไสย์ ผบก.ปส.3, พล.ต.ต.พลัฏฐ์ วิเศษสิงห์ ผบก.สกส. พ.ต.อ.กฤษดา ศรีอิสาณ ผกก.2 บก.ปส.3, พ.ต.อ.ไพฑูรย์ งามลาภ ผกก.1 บก.สกส. และ พ.ต.อ.บุญส่ง สนธยานนท์ ผกก.3 บก.สกส.  ตำรวจ ปส. เร่งเดินหน้ากวาดล้าง จับกุม และขยายผลเครือข่ายค้ายาเสพติด รวมทั้งการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดจากประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ให้เข้าสู่พื้นที่ชั้นในและในชุมชน และการทำลายเครือข่ายค้ายาเสพติดให้ครอบคลุมในทุกมิติการทำงาน เน้นย้ำ ในการสืบสวนหาข่าวเครือข่ายหน้าใหม่ รวมทั้งกลุ่มเครือข่ายเก่า ตามนโยบายเร่งด่วนของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.  

คดีแรก เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปส.3 บูรณาการร่วมกับหน่วยที่เกี่ยวข้อง จับกุมนายใจ (สงวนนามสกุล) อายุ 45 ปี ได้บริเวณริมถนนทางหลวงชนบท หลักกิโลเมตรที่ 20 ต.เวียง อ.เทิง จว.เชียงราย ซึ่งก่อนจับกุมเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปส.3 ได้รับแจ้งว่าเครือข่ายยาเสพติดกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง กับพวก มีพฤติการณ์ลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ อ.เมืองเชียงราย  เพื่อนำไปพักคอยในพื้นที่ อ.เทิง จว.เชียงราย ก่อนที่จะส่งต่อให้กับกลุ่มลำเลียงยาเสพติดเข้าสู่พื้นที่ตอนในของประเทศ โดยใช้รถยนต์เก๋ง ยี่ห้อ ฮอนด้า ทะเบียน กพ 71X เชียงราย ซึ่งช่วงเช้าวันที่ 11 ม.ค.66 เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจึงได้เฝ้าติดตามจนได้พบรถยนต์ที่ได้รับแจ้งจริง และพบรถยนต์กระบะ ยี่ห้อ โตโยต้า ทะเบียน บธ 78XX พะเยา ขับนำ รถยนต์กระบะ ยี่ห้อ โตโยต้า รุ่นวีโก้ สีเทา หมายเลขทะเบียน บน 98XX พะเยา (คนขับหลบหนี) และ รถยนต์กระบะยี่ห้ออีซูซุ ทะเบียน บน 31XX พะเยา (หลบหนี)  

สอบสวน ผู้ต้องหา อ้างว่า รู้จักกับ นายอ้าย อาศัยอยู่ในหมู่บ้านห้วยหาญ ม.9 ต.ปอ อ.เวียงแก่น จว.เชียงราย ว่าจ้างตน 20,000 บาท  ขับรถยนต์เก๋ง ยี่ห้อฮอนด้า ทะเบียน กพ-71X เชียงราย เพื่อดูต้นทางสำหรับลักลอบลำเลียงยาบ้า โดยจะมีชายไม่ทราบชื่อโดยสารรถคันดังกล่าวไปด้วย ก่อนจะเดินทางเข้าไปเปิดห้องพักที่รีสอร์ตแห่งหนึ่ง ห้อง A110 เพื่อรอกลุ่มลักลอบลำเลียงยาเสพติดอีกกลุ่มเดินทางมาถึง และขับรถดังกล่าวลำเลียงยาเสพติดไปตามเส้นทาง กระทั่ง นายใจฯ ถูกจับกุม เบื้องต้นตรวจยึดรถยนต์กระบะ หมายเลขทะเบียน บน 98XX พะเยา (ใช้ในการลำเลียงยาเสพติด), รถยนต์เก๋ง หมายเลขทะเบียน กพ 71X เชียงราย (ขับนำคุ้มกัน สำรวจเส้นทาง), โทรศัพท์มือถือ 3 เครื่อง และอื่น ๆ อีกหลายรายการ  พร้อมตรวจยึดยาบ้าห่อหุ้มด้วยกระดาษสาสีขาว ประทับตราใบกัญชาและตัวหนังสือ ภาษาอังกฤษ DON’T WORRY BE HAPPY สีน้ำเงิน และ ยาบ้าห่อหุ้มด้วยกระดาษสาสีขาว ประทับตราเลข 999 สีน้ำเงิน เคลือบเทียนไขสีเหลืองอีกชั้นหนึ่ง ถูกซุกซ่อนในรถกระบะ รวมยาบ้าทั้งหมด 3,500 มัด จำนวน 7,000,000 เม็ด ทั้งนี้ได้แจ้งข้อหา “ร่วมกันกับพวกที่หลบหนีมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตอันเป็นการก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชนและทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป” 

คดีที่ 2 เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สกส.และ บก.ขส. ได้ร่วมกันทำการจับกุมตัว นายมานพ (สงวนนามสกุล) ภูมิลำเนา ต.รวมไทยพัฒนา อ.พบพระ จว.ตาก ได้บริเวณป่าข้างทางริมถนนหมายเลข 33 หลัก กม.ที่ 52-53 ต.บางระกำ อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา สืบเนื่องจากได้รับแจ้งจากสายลับว่านายมานพฯ กับพวก มีพฤติการณ์ ร่วมกันลำเลียงยาเสพติด จากพื้นที่ทางภาคเหนือ ไปส่งมอบให้กับลูกค้า ในพื้นที่ภาคกลางและปริมณฑล และพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งในวันที่ 10-13 ม.ค.66 จะใช้รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล ยี่ห้อ ISUZU รุ่น D-MAX สีเทา หมายเลขทะเบียน ผข 76XX พิษณุโลก และรถยนต์บรรทุก TOYOTA  สีเขียว หมายเลขทะเบียน 1ฒท 82XX  กรุงเทพมหานคร และรถยนต์ TOYOTA  สีดำ หมายเลขทะเบียน ขร 92XX เชียงใหม่ เป็นยานพาหนะที่จะใช้ในการนำทาง, สำรวจด่านตรวจ และลำเลียงยาเสพติดจำนวนมากจากพื้นที่ทางภาคเหนือ ไปส่งมอบให้กับลูกค้าในพื้นที่ภาคกลางและปริมณฑล และพื้นที่ใกล้เคียง เจ้าหน้าที่จึงระดมกำลังสกัดกั้นตลอดเส้นทาง ถนนสายหลัก ถนนสายรอง และเส้นทางเชื่อมต่อที่คาดว่ากลุ่มบุคคลดังกล่าวจะใช้เป็นเส้นทางในการลำเลียงยาเสพติด ในเขตพื้นที่ จว.นครสวรรค์, ชัยนาท, สิงห์บุรี, อ่างทอง, ลพบุรี, สระบุรี, พระนครศรีอยุธยา กระทั่งเวลา 21.30 น. ของวันที่ 12 ม.ค.66 สามารถสกัดกั้นรถยนต์เป้าหมายทั้ง 3 คัน ไว้ได้ หลังพบวิ่งตามถนนเลียบคลองชลประทาน ทิศทางมุ่งหน้า อ.บางปะหัน จว.พระนครศรีอยุธยา แต่ระหว่างตรวจค้นจับกุม ผู้ขับขี่ รถยนต์ TOYOTA  สีดำ หมายเลขทะเบียน ขร 92XX เชียงใหม่ ได้อาศัยจังหวะเร่งเครื่องยนต์ขับหลบหนีไปได้ เบื้องต้น ตรวจยึดยาบ้า 604 มัด รวมจำนวน  1,208,000 เม็ด  และ ยึดรถกระบะ หมายเลขทะเบียน ผข 76XX พิษณุโลก (ใช้ขับนำทาง/สำรวจด่านตรวจ), รถบรรทุก หมายเลขทะเบียน 1ฒท 8296 กรุงเทพมหานคร (ยึดได้ที่หน้าร้านหน้าสะดวกซื้อ ต.หัวไผ่ อ.มหาราช จว.พระนครศรีอยุธยา ผู้ต้องหาหลบหนี),โทรศัพท์มือถือ 2 เครื่อง พร้อมแจ้งข้อหา “จำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า) โดยผิดกฎหมาย อันเป็นการกระทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป และก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน”

'อุ๊งอิ๊งค์' ย้ำแนวทางแลนด์สไลด์ เพื่อหนุนนโยบาย พท. ชี้!! ยังเร็วไป หากจะรับไมตรีที่ 'ลุงป้อม' ทอดสะพาน

'ชลน่าน-แพทองธาร' นำทีมว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.นนทบุรี เดินตลาด สอบถามปัญหาเศรษฐกิจ ด้าน 'อุ๊งอิ๊งค์' ไม่สน 'พปชร.' ให้บัตร 700 เย้ยกลับค่าแรงเพื่อไทยทำได้จริง พร้อมกั๊กจับมือขั้ว 'บิ๊กป้อม' หลังเลือกตั้ง

(18 ม.ค. 66) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) พร้อมด้วยนายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา เลขาธิการพรรค พท., น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม และผู้ประสงค์สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.นนทบุรี ร่วมลงพื้นที่จังหวัดนนทบุรี โดยมีพี่น้องประชาชน พ่อค้า แม่ค้า ในตลาดสดนนทบุรี ให้กำลังใจต้อนรับเป็นอย่างดี

จุดแรก นพ.ชลน่าน พร้อม น.ส.แพทองธารและคณะเข้าสักการะศาลเจ้าพ่อเสือ ที่พุทธสถานเชิงท่า-หน้าโบสถ์ เพื่อความเป็นศิริมงคล โดยมีนายสมนึก ธนเดชากุล นายกเทศมนตรีนครนนทบุรี ให้การต้อนรับและพาชมสถาปัตยกรรมบริเวณโดยรอบ จากนั้นได้เดินทางมาที่ตลาดกรมชลประทาน พบปะพี่น้องประชาชน พ่อค้า แม่ค้า ที่ทำมาค้าขายภายในพื้นที่

น.ส.แพทองธารพร้อมคณะได้สอบถามถึงการค้าขายและภาวะเศรษฐกิจกับแม่ค้าร้านขนมครก ปาท่องโก๋ ร้านขายไข่ไก่และร้านผักสด รวมทั้งให้กำลังใจอวยพรให้ค้าขายดี ซึ่งนายมนัส พ่อค้าเจ้าของแผงผักในตลาดกรมชลประทาน กล่าวว่า 8 ปีที่ผ่านมา คนจนไม่เคยได้อะไรเลย คนรวยมีแต่รวยเอา ขอฝากให้พรรคเพื่อไทยได้ช่วยแก้ไขปัญหานี้ด้วย ปีนี้รับรองได้เลยว่าพรรคเพื่อไทยจะแลนด์สไลด์แน่นอน น.ส.แพทองธาร รับปากพ่อค้ารายดังกล่าว พร้อมนำเสนอนโยบายที่จะช่วยยกระดับชีวิตให้ประชาชน

ต่อมาคณะ พท.ได้เดินพบปะพูดคุยกับ พี่น้องประชาชนและพ่อค้าแม่ค้าที่ตลาดประชานิเวศน์ 3 เพื่อสอบถามปัญหาราคาสินค้า ในปัจจุบัน โดย น.ส.แพทองธารได้สอบถามและให้กำลังใจพ่อค้าแม่ค้า ในตลาดเกี่ยวกับราคาสินค้า และยอดขาย ซึ่งบรรยากาศมีพ่อค้า แม่ค้า และประชาชนได้เดินทางมามอบดอกไม้ให้กำลังใจและขอถ่ายภาพเป็นที่ระลึกด้วย

น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ ทั้ง 2 ตลาดพบว่า ได้รับการต้อนรับจากพี่น้องประชาชนอย่างอบอุ่น พี่น้องประชาชนรู้สึกทนไม่ไหว อยากเลือกตั้งแล้ว ถือเป็นกำลังใจให้พรรคเพื่อไทยอยากเดินสายพบปะพี่น้องประชาชนต่อไป เพื่อยืนยันว่า พรรคเพื่อไทยมีความพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงให้พี่น้องประชาชนให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยตลอดเส้นทางในการลงพื้นที่ในวันนี้พบว่าพี่น้องประชาชนให้การตอบรับให้กับนโยบายของเราเป็นอย่างดี โดยสองข้างทางมีป้ายประชาสัมพันธ์นโยบายของพรรค โดยเฉพาะข้อความที่ว่า นโยบายดี ๆ ใครก็พูดได้ แต่คนที่ทำได้คือพรรคเพื่อไทย รวมถึงมีพี่น้องประชาชน นำเอาบัตรสมาชิกพรรคไทยรักไทยที่มีลายเซ็น ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งรู้สึกชื่นใจที่พี่น้องประชาชนไว้ใจเรามาอย่างยาวนานขณะนี้กว่า 20 ปี แน่นอนว่าเราจะไม่ทำให้พี่น้องประชาชนผิดหวัง

‘บิ๊กป้อม’ นำทัพ พปชร. เปิดนโยบายแรก ลั่น ได้จัดตั้ง รบ. เพิ่มเงินบัตรสวัสดิการทันที 700 ต่อเดือน

‘พปชร.’ คึกคัก ‘บิ๊กป้อม’ เปิดนโยบายแรก ชู เพิ่มเงินบัตรสวัสดิการ 700 ต่อเดือน เกทับเพื่อไทย ค่าแรง 600 บาท ยัน พร้อมสานสัมพันธ์ทุกคน ลั่น พร้อมเป็นนายกฯถ้าประชาชนเลือก

เมื่อเวลา 14.30 น. (17 ม.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ก่อน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค พปชร. จะแถลงเปิดนโยบายของพรรคเพื่อใช้หาเสียงในการเลือกตั้งครั้งหน้าเป็นไปอย่างคึกคัก บรรดารัฐมนตรีของพรรคเดินทางมาเกือบทั้งหมด ได้แก่ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ในฐานะเลขาธิการพรรค นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ประธานยุทธศาสตร์พรรค นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม และรองหัวหน้าพรรค น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รมช.คมนาคม 

เช่นเดียวกับกรรมการบริหารพรรค นายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรค นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรค  ส.ส.รวมถึงว่าที่ผู้สมัครส.ส.ของพรรค ที่มาร่วมงานกันอย่างคับคั่ง ขณะที่บริเวณด้านหน้าที่ทำการพรรคและโดยรอบพรรค ได้ติดป้ายสโลแกน และป้ายนโยบายบัตรประชารัฐ เพิ่มสวัสดิการ ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 700 บาท จำนวนมาก ทั้งนี้ ยังมีนโยบายที่เตรียมหาเสียง ครอบคลุม 16 ด้าน โดยชูนโยบายที่เป็นไฮไลต์ “บัตรประชารัฐ เพิ่มเงิน-เพิ่มสวัสดิการ ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 700 บาทต่อเดือน เป็นการสานต่อนโยบาย บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ สำหรับประชาชนไปใช้จ่ายในครัวเรือน เพื่อใช้สิทธิประโยชน์ในการเป็นค่าโดยสารรถสาธารณะ ค่าสาธารณูปโภค ก๊าซหุงต้ม ไฟฟ้าและน้ำประปา ขณะที่นโยบายด้านอื่นจะทยอยแถลงเป็นระยะ

จากนั้นเวลา 15.30 น. พล.อ.ประวิตร และผู้บริหารพรรค ได้ร่วมกันแถลงข่าวเปิดนโยบายแรกของพรรค คือ นโยบายบัตรประชารัฐ เพื่อรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง โดยมีคณะผู้บริหารพรรค ส.ส. และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. เข้าร่วมงานอย่างพร้อมเพียง 

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า จากการที่พรรคพปชร.เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลและบริหารประเทศมาเกือบ 4 ปี ด้วยอุดมการณ์และนโยบายของพรรคที่ยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สร้างความสามัคคีปรองดองของคนในชาติ เป็นประชาธิปไตยที่มีเสถียรภาพไร้ความขัดแย้งสังคมสงบสุข ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และในช่วงที่ผ่านมา พรรคพปชร.ในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ได้ขับเคลื่อนนโยบายของพรรค และมีผลงานที่เป็นรูปธรรม ได้รับตอบรับจากพี่น้องประชาชน ทั้งในทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศ โดยเฉพาะการแก้ไขความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำตามนโยบายของพรรค ในเรื่องการสร้างสวัสดิการประชารัฐ ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ การบริหารจัดการน้ำ การจัดที่ดินทำกิน การปราบปรามการค้ามนุษย์ อุตสาหกรรมประมง และอื่น ๆ ที่มากมาย

“ความหวังของคนไทย ที่รอคอยให้คนที่มีความพร้อมเข้ามาแก้ไขปัญหาให้กับคนไทยคือ สังคมไทยยังคงมีแตกแยกทางความคิด แต่ขอยืนยันว่าพรรคพลังประชารัฐพร้อมสานสัมพันธ์กับทุกฝ่าย เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง เดินหน้าสร้างพลังแห่งความปรองดองและสามัคคี โดยเราพร้อมร่วมมือกับทุกฝ่ายหาทางออกร่วมกัน เพื่อนำพาประเทศไทยไปสู่เป้าหมายที่ดีที่สุดสำหรับคนไทยทุกคน โดยประเทศไทยของเราต้องมีแต่ความสงบสุข" พล.อ.ประวิตร กล่าว

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า การเลือกตั้งที่จะมาถึง ตนขอนำเสนอบุคลากรของพรรคที่มีคุณภาพ และเข้าใจปัญหาของพี่น้องประชาชนได้อย่างถ่องแท้ เพราะเราเข้าใจว่าในความต้องการของแต่ละพื้นที่ และพร้อมอาสาเข้ามาเป็นผู้แทนในการแก้ปัญหา เพื่อพัฒนาประเทศให้เกิดความยั่งยืน โดยทางพรรคพร้อมสานต่อนโยบายที่เป็นประโยชน์กับประชาชน ที่ได้ทำไว้ และริเริ่มนโยบายใหม่ๆ ให้คนไทยได้เห็นถึงความมุ่งมั่นของพรรคพลังประชารัฐ ที่จะตอบสนองและแก้ไข ปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชน ทุกพื้นที่ทุกเพศทุกวัย ด้วยคำว่า พลัง สามัคคี ประชามีสุข รัฐพลิกโฉมบริการ 

พล.อ.ประวิตร ประกาศว่า พร้อมเดินหน้าการจัดทำนโยบายบัตรประชารัฐ 700 บาทต่อเดือน ให้กับประชาชน และเริ่มมีผลทันทีหลังจากที่พรรคพปชร.เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ในส่วนงบประมาณที่จะนำมาใช้เพื่อเพิ่มวงเงินในบัตรประชารัฐ จะนำมาจากงบประมาณในช่วง 3 เดือนสุดท้าย ของงบประมาณปี 2566 หลังจากได้รับเลือกตั้ง ทั้งนี้หากมีผู้ได้รับสิทธิ์ ประมาณ 18 ล้านคน คาดว่าจะต้องใช้งบประมาณเดือนละ 1.2 หมื่นล้านบาท หรือ ปีละ 1.5 แสนล้านบาท

“เนื่องจากพรรคพปชร.ได้ดูแลช่วยเหลือกลุ่มผู้มีรายได้น้อยไม่เกิน 1 แสนบาท เป็นเงิน 200-300 บาทต่อเดือน ด้วยค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น ยังไม่ครอบคลุมค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้นในปัจจุบัน ทำให้พรรคได้มีการประเมิน จากการลงพื้นที่ ของส.ส. และว่าที่ผู้สมัคร พบว่าเงินที่ช่วยเหลือดังกล่าวยังไม่เพียงพอ ต่อการใช้ชีวิตในปัจจุบัน เพราะในแต่ละพื้นที่มีสภาพเศรษฐกิจและค่าครองชีพที่แตกต่างกัน ดังนั้นเสียงสะท้อนจากผู้ได้รับสิทธิว่า ที่นำไปใช้จ่ายในครัวเรือน โดยเฉพาะในการซื้อเครื่องอุปโภคและบริโภคที่จำเป็น ทำให้ประเมินว่า ควรมีการเพิ่มเงินช่วยเหลือ อีกประมาณ 500 บาท ทำให้พี่น้องประชาชน มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แม้ว่าเงินที่ได้รับอาจจะไม่เพียงพอ ที่จะนำไปแก้ไขปัญหาได้ครอบคลุมในทุกด้าน  สอดรับกับการจัดสรรงบประมาณที่ช่วยเหลือประชาชนเพิ่มขึ้น”พล.อ.ประวิตร กล่าว 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top