Tuesday, 10 June 2025
WEEKEND NEWS

“ปันรักษ์ คาเฟ่” สมาคมแม่บ้านตำรวจ ร้านกาแฟ สร้างโอกาส สร้างกำลังใจพัฒนาคุณภาพชีวิตชุมชน รร.ตชด.บนดอยสูง

“ปันรักษ์ คาเฟ่” สมาคมแม่บ้านตำรวจ ร้านกาแฟ สร้างโอกาส สร้างกำลังใจพัฒนาคุณภาพชีวิตชุมชน รร.ตชด.บนดอยสูง พร้อมเปิดให้ลิ้มรสกาแฟหอมกรุ่นแล้ว ที่ “ปันรักษ์ คาเฟ่” ร้านกาแฟที่เกิดจากความตั้งใจพัฒนาคุณภาพชีวิตครอบครัวตำรวจ กับกาแฟจากดอยสูง “บ้านสามหมื่น” ที่เต็มไปด้วยเรื่องราว และรอยยิ้มของนักเรียนโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนเบญจมะ 1

ปันรักษ์ คาเฟ่ (Punrak Cafe) สาขาแรก พร้อมเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการแล้ว ในวันจันทร์ที่ 25 เมษายน นี้ โดยร้านตั้งอยู่ในบริเวณกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ถนนพหลโยธิน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร

ปันรักษ์ คาเฟ่ เป็น “คาเฟ่” ที่สร้างจากความตั้งใจ โดยสมาคมแม่บ้านตำรวจ นำโดย “คุณรัตนาภรณ์ สีวลีพันธ์” นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ ภริยา พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นส่วนหนึ่งในโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตครอบครัวตำรวจ หลังจากสมาคมแม่บ้านตำรวจ เปิด “ร้านปันรักษ์” ร้านค้าร้านแรกที่รวบรวมสินค้า ผลิตภัณฑ์คุณภาพ ของที่ระลึก ของขวัญ ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น ของดีประจำจังหวัด ตลอดจนของกินแสนอร่อย จากครอบครัวตำรวจทั่วประเทศ เปิดหน้าร้านในบริเวณโรงพยาบาลตำรวจไปแล้ว เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา ครั้งนี้ต่อยอดร้านปันรักษ์ เปิดร้าน “ปันรักษ์ คาเฟ่” ร้านกาแฟบรรยากาศดี ใจกลางกรุงเทพฯ

นอกจากจะได้จิบกาแฟหอมกรุ่น ได้เลือกซื้อผลิตภัณฑ์ ของขวัญเก๋ๆ จากครอบครัวตำรวจติดไม้ติดมือ สิ่งที่ได้มากกว่าคือกาแฟ เครื่องดื่มทุกแก้ว ในร้านคือการให้โอกาส สร้างความภาคภูมิใจ

 

• กว่าจะเป็น “ปันรักษ์ คาเฟ่”
“พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข” ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มอบหมายให้สมาคมแม่บ้านตำรวจ ดำเนินการพัฒนายกระดับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของครอบครัวข้าราชการตำรวจและชุมชน ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

ช่วงเดือนพฤศจิกายน 2563 สมาคมแม่บ้านตำรวจ โดยคุณรัตนาภรณ์ฯ จึงได้สำรวจความต้องการความช่วยเหลือของโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน ทั่วประเทศ 220 แห่ง เป้าหมายคือกลุ่มนักเรียนโรงเรียนในพื้นที่ทุรกันดารห่างไกลจากความเจริญและมีสภาพความเป็นอยู่ที่ขาดแคลน พบว่ามี 34 แห่ง ที่ต้องการความช่วยเหลือ แบ่งกลุ่มประเภทการช่วยเหลือตามความต้องการของโรงเรียน 5 กลุ่ม ประกอบด้วย 1. ความต้องการต้านปัจจัยพื้นฐานที่จำเป็น 2. การก่อสร้าง ปรับปรุง ซ่อมแซมอาคารเรียน 3. ด้านทุนการศึกษา 4. ด้านส่งเสริมอาชีพ และ 5.การส่งเสริมพัฒนากาแฟ ซึ่งสมาคมแม่บ้านตำรวจได้จัดทำโครงการให้ความช่วยเหลือแต่ละประเภทตามความเหมาะสมของสภาพพื้นที่ไปเรียบร้อยแล้ว

“ปันรักษ์ คาเฟ่” เกิดจากโครงการการส่งเสริมพัฒนากาแฟ ความต้องการของ“โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน เบญจมะ 1” ซึ่งตั้งหมู่บ้านสามหมื่น อ.เวียงแหง จว.เชียงใหม่ ที่สมาคมแม่บ้านตำรวจเข้าไปให้ความรู้ร่วมพัฒนา ต่อยอด ส่งเสริมด้านการตลาด

• เล่าเรื่องกาแฟ “จากต้นน้ำ สู่ปลายน้ำ” เมล็ดกาแฟคุณภาพดีจากดอยสูง สู่คาเฟ่ในกทม.
ด.ต.หญิง รำพึง ต่อปัญญา ครูใหญ่โรงเรียนตชด.เบญจมะ 1 เล่าว่า ในชุมชนบ้านสามหมื่น ที่ตั้งของโรงเรียน เพาะปลูกกาแฟตั้งแต่ปี 2525 โดยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร “ในหลวงรัชกาลที่ 9” ทรงพระราชทานเมล็ดกาแฟพันธุ์อาราบิก้า เพื่อทดแทนการปลูกฝิ่นในพื้นที่

“หมู่บ้านสามหมื่นมีสภาพอากาศที่เหมาะสม พื้นที่ปลูกกาแฟสูงจากระดับน้ำทะเลกว่า 1,400 เมตร ค่ากาแฟอีนในกาแฟจะดีมาก อากาศเย็นตลอดทั้งปี เหมาะกับกาแฟสายพันธุ์อาราบิก้า แต่เมื่อผลผลิตออกมาไม่สามารถจำหน่ายได้ จึงยังไม่ประสบความสำเร็จเพราะการขนส่งไม่สะดวก เดินทางลำบาก และยังไม่มีหน่วยงานใดเข้าไปส่งเสริม อย่างจริงจัง ผลผลิตออกมาไม่มีตลาดรองรับ”

สมาคมแม่บ้านตำรวจ ได้เข้าไปสำรวจพื้นที่ปลูกกาแฟของโรงเรียน และนำเมล็ดกาแฟมาทดสอบรสซาติ พบว่าเมล็ดกาแฟมีคุณภาพ รสชาติดีเยี่ยม ปริมาณผลผลิตของเมล็ดกาแฟมีจำนวนมาก และได้เชิญผู้เชี่ยวชาญจากทรูคอฟฟี่ ลงพื้นที่ ให้ความรู้ถึงบนดอย เพื่อพัฒนาผลผลิต เพิ่มมูลค่า

คุยดูดทรัพย์ ‘แก๊งคอลเซนเตอร์’ อัปเกรดมุกหลอกเหยื่อ ไม่ถามเลขบัญชี แต่คุยอยู่ดีๆ เงินหายเกลี้ยง

ปัจจุบัน “แก๊งคอลเซนเตอร์” มีพัฒนาการหลอกในรูปแบบต่างๆ เรื่อยมา จนบางคนหลงเชื่อทำให้สูญเงินจนเกลี้ยงบัญชี ล่าสุด พ...อังกูร อนุวงศ์ เป็นศัลยแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดส่องกล้อง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Angkoon Anuwong ระบุว่า…

เตือนภัย!! ระวัง! แกงค์คอลเซนเตอร์มุขหลอกใหม่ โหด อันตรายกว่าเดิม”!!….

วันนี้เที่ยงๆ มีเบอร์แปลกเข้ามา รับสาย เสียงอัตโนมัติ บอกว่าจาก FEDEX มีพัสดุตกค้าง ฟังแล้วรู้เลย ว่าแก็งคอลเซ็นเตอร์โทรมาหลอกแน่นอน ด้วยความอยากรู้ว่าจะมีมุขอะไรมาหลอกอีก ทั้งๆที่เขารู้กันทั้งประเทศแล้ว เลยลอง ตามน้ำ คุยกับ จนท (ปลอม) ไปเกือบชั่วโมง (จริงๆพักกินข้าว เหงาๆอยู่พอดี)

ในช่วงแรก ก็เป็นมุขคลาสสิคที่ได้ยินกันทั่วไป มีพัสดุชื่อเรา ส่งไปไต้หวันทาง FEDEX แต่ติดด่านศุลกากร กักไว้ เพราะมีของผิดกฎหมาย เป็น “กัญชา ยัดไว้ในตุ๊กตาหมี” ก็ถามว่าเราเป็นคนส่งไหม ได้ทำเอกสารไรหาย ได้ซื้อของออนไลร์ อะไรไหม ฯลฯ ถ้าไม่ใช่ของเราจริง แนะนำให้ไปแจ้งความ ที่ สภ.เมืองเชียงราย ที่เป็นที่เกิดเหตุ ถ้าไม่สะดวกไป จนท จะประสานให้ … ตามสูตรปกติ

ตัดมาที่ ตำรวจ สภ เมือง เชียงราย ร้อยเวรเป็นผู้หญิงโทรมา สอบถามโน่นนี่นั่น ทำเสียงดุๆ (เล่นให้สมเป็นตำรวจ) สุดท้าย สอบปากคำประกอบสำนวน โดยการแอดไลน์ line id: police…191 (แอดไปป่วนได้เลย 555) มันมีเหตุผลที่เค้าต้องลากเหยื่อมาแอดไลน์อยู่ แต่ไม่ใช่มุขวีดีโอคอล แบบเดิมแล้ว แต่โหดกว่าเดิม

ทีนี้ จะเป็นการโทรทางไลน์ ก็สอบถามข้อมูลส่วนตัว พอบอกชื่อ เลขบัตรประชาชนมั่วๆ ไป ทักขึ้นมาทันที ว่าเลขบัตรไม่ใช่ (เค้าคงมีข้อมูลบัตรเราอยู่แล้ว) พยายามจะให้ถ่ายบัตรประชาชนส่งให้ได้ เราก็ประวิงเวลาไปก่อน

จุดที่ว่าพีค และโหดสุด อยู่ตรงนี้ครับ เมื่อก่อน เค้าจะสอบถามบัญชี สอบถามจำนวนเงิน และให้เราโอนไปบัญชีม้า ใช่ไหมครับ แต่มันคงรู้ว่า คนรู้หมดแล้ว และไม่ยอมโอนแน่ เค้าเลยใช้มุข “ขอตรวจสอบโทรศัพท์ของเรา ว่ามีข้อมูลส่วนตัวรั่วไหลไปได้ยังไง” โดยให้ ตำรวจไซเบอร์มาคุยกับเรา เพื่อติดตั้งแอพตรวจสอบความปลอดภัยมือถือ วิธีการนี้ คนทั่วไปจะยอมครับ เพราะไม่เกี่ยวกับเงินเหมือนเมื่อก่อน

จนท จะให้เราโหลดโปรแกรม ตามลิงค์ข้างล่าง (มีอยู่ใน app store) (ถ้าเป็น android จะส่งของแอนดรอยด์)

https://apps.apple.com/.../teamviewer.../id661649585

มันคือ โปรแกรม Team Viewer Support ถ้าคนทั่วไป ที่ไม่ใช่สาย tech จะไม่ค่อยรู้ว่ามันคืออะไร. โปรแกรมพวกนี้ เป็นหนึ่งในสิ่งที่เรียกว่า Remote Desktop Connection กล่าวคือ เรานั่งอยู่ กทม. สามารถ คอนโทรลเครื่องคอมหรือมือถือคนที่อยู่เชียงใหม่ได้แทบจะ 100% เค้าออกแบบมาเพื่อให้สามารถแก้ไข ควบคุมอีกเครื่องได้ (ต้องได้รับการอนุญาตให้เข้าถึงเครื่องก่อน) ปัจจุบัน มีการพัฒนา version มือถือแล้ว ซึ่งก็คือลิงค์ข้างบน สามารถให้คอม ควบคุม มือถือเป้าหมาย จะเห็นทั้งหมดบนหน้าจอ เลื่อน เปิดโปรแกรม รับ sms ได้เสมือนเราเป็นเจ้าของเครื่องเอง

เริ่มปะติดปะต่อได้แล้วใช่ไหมครับ ว่าโหดยังไง … ตำรวจ Cyber (ปลอม) จะสอนให้เรา รับ Connection และเปิดกลับมาหน้าจอ Home ทิ้งไว้ ห้ามปิด แล้วจะส่งให้ ร้อยเวร สภ.เมืองเชียงรายคนเดิมคุยต่อ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยสถิติคดีออนไลน์  หลังเปิดศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.- 20 เม.ย.65 รวมกว่า 14,794 เรื่อง

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยถึงสถิติคดีออนไลน์หลังเปิดศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.- 20เม.ย.65 เป็นต้นมา รวมกว่า 14,794 เรื่อง รวมถึงประชาสัมพันธ์การเตรียมตัวก่อนแจ้งความออนไลน์

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีความห่วงใยต่อภัยทางสื่อสังคมออนไลน์ที่หลอกลวงสร้างความเสียหายให้กับประชาชน จึงมีนโยบายให้จัดตั้งศูนย์รับแจ้งความออนไลน์คดีทางเทคโนโลยี เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินคดีและแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากกรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้ขับเคลื่อนศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ฯ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการแจ้งความและเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ง่ายขึ้นพร้อมกำชับให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเร่งทำการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้แนวทางการป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและข่าวสารข้อมูลที่เป็นปัจจุบันให้ประชาชนรับทราบ 

หลังจากที่ได้มีการเปิดศูนย์รับแจ้งความออนไลน์เฉพาะคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้ประชาชน ก็ได้มีประชาชนเข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากการรวบรวมสถิติพบว่ามีการแจ้งความออนไลน์ ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.- 20 เม.ย.65 มีการแจ้งความคดีออนไลน์รวมแล้วกว่า 14,794 เรื่อง แบ่งเป็นการแจ้งความเกี่ยวกับ การหลอกลวงด้านการเงิน 8,126 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 55 การจำหน่ายสินค้าออนไลน์ 5,859 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 39 Fake news 147 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ1 ล่วงละเมิดทางเพศ 38 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 0.25  การพนันออนไลน์ 137 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 0.9  คดีออนไลน์อื่นๆ 487 เรื่อง คิดเป็นร้อยละ 3.2  โดยได้ดำเนินการขออายัดบัญชีกว่า 3,972 บัญชี ยอดเงินรวมกว่า 806,134,920 บาท  ยอดที่สามารถอายัดได้กว่า 56,660,122 บาท 

พร้อมกันนี้ขอประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบถึงสิ่งที่ต้องเตรียมเพิ่มเติมไว้ล่วงหน้าเพื่อความสะดวกรวดเร็วในการแจ้งความ  ผ่านศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ ดังนี้...
1.บัตรประจำตัวประชาชน ควรอยู่กับตัว เนื่องจากในการลงทะเบียนจะต้องกรอกข้อมูล ทั้งหมายเลขบัตรและหมายเลขหลังบัตรประชาชน เพื่อเป็นการยืนยันตัวตน
2.อีเมล ผู้แจ้งควรจะต้องมีอีเมลส่วนตัว เพราะหลังจากกรอกรายละเอียดเบื้องต้นแล้ว ระบบจะส่งรหัส OTP ผ่านทางอีเมล เพื่อจะนำมากรอกในระบบ เพื่อยืนยันตัวตนผู้แจ้ง และจะเข้าสู่กระบวนการถัดไป
3.ข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับคดี ทั้งข้อมูลส่วนตัวของผู้แจ้งและข้อมูลเกี่ยวกับผู้ต้องหาเท่าที่ทราบได้แก่ ชื่อ นามแฝง เลขบัตรประชาชน หมายเลขโทรศัพท์ หมายเลขบัญชีธนาคารที่ใช้ในการทำธุรกรรม ช่องทางติดต่ออื่น ๆ เช่น Line Facebook Instagram Twitter เป็นต้น รวมถึงรูปแบบคำโฆษณาของเหล่ามิจฉาชีพ เพื่อใช้ในการเชื่อมโยงข้อมูลคดีอื่น ๆ ที่เคยแจ้งมาก่อน และจะเป็นประโยชน์ต่อการสืบหาคนร้าย   ที่ทำในรูปแบบขบวนการ

รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากได้รับข้อมูลจากระบบรับแจ้งความออนไลน์ ผู้บริหารการรับแจ้ง (Admin) และผู้บริหารคดี (Case Manager) วิเคราะห์ข้อมูลและส่งเรื่องต่อไปยังสถานีตำรวจที่ผู้แจ้งสะดวกในการเดินทางไปแจ้งความแล้ว ก็จะเริ่มดำเนินกระบวนการสืบสวนในทันที โดยพนักงานสอบสวนจะทำการโทรนัดหมายผู้แจ้งหรือผู้เสียหายมาสอบปากคำ อายัดบัญชี ทำการออกหมายเรียก และดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องทางคดีตามขั้นตอนกฎหมาย พร้อมทั้งจะรายงานความคืบหน้าคดีในระบบออนไลน์ ซึ่งผู้เสียหายสามารถติดตามความคืบหน้า ส่งข้อมูลเพิ่มเติม หรือสอบถามปัญหาผ่านระบบได้ตลอดเวลา

แต่ทั้งนี้ประชาชนก็ยังสามารถไปแจ้งความโดยตรงได้ทุกสถานีตำรวจที่สะดวก แม้สถานีนั้นจะไม่มีอำนาจการสอบสวน ก็จะส่งเรื่องต่อไปยังสถานีตำรวจที่มีอำนาจการสอบสวนต่อไป

'อ๋อม สกาวใจ' ตอกย้ำความเสี่ยงคุณภาพชีวิต 'สายไฟ - สายสื่อสาร' ระโยงระยางและชำรุด

ยังคงยืนหนึ่งในการเป็นนักแสดงที่มีความชัดเจนเรื่องการเมือง รวมถึงเป็นกระบอกเสียงให้ประชาชนมาโดยตลอด สำหรับดาราสาว 'อ๋อม สกาวใจ พูนสวัสดิ์' ล่าสุดเจ้าตัวก็ออกมาโพสต์ภาพสายไฟ สายสื่อสารที่ระโยงระยางค์พันกันยุ่งเหยิง รวมถึงภาพอันตรายจากสายไฟที่ชำรุด ซึ่งสะท้อนถึงคุณภาพชีวิตของประชาชนที่อาจได้รับอันตรายได้ทุกเมื่อ ด้วยแคปชั่นว่า...

ความเสี่ยง ที่คุณสัมผัสได้!!!

บ้านเราเค้าใช้ระบบเก็บสายต่างๆ ผูกไว้กับสะพานลอยเหรอคะ??? ลงพื้นที่ ไม่มีค่าใช้จ่ายค่ะ คุณภาพชีวิตของประชาชนต้องดีกว่านี้ได้ซิ!!! เลื่อนดูความน่ากลัวค่ะ”

‘สนธิรัตน์’ ประกาศสานต่อนโยบายพลังงาน “Energy For all” หนุนเศรษฐกิจฐานราก ลั่น พร้อมผลักดันแก้ กม.ให้ประชาชนผลิตไฟฟ้าโซลาร์เซลล์ใช้เอง-ขายคืน รบ.ทั่วประเทศ

ที่ศูนย์เรียนรู้พลังงานทดแทน โรงเรียนเชตวันวิทยา ตําบลหัวทุ่ง อําเภอลอง จังหวัดแพร่ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคสร้างอนาคตไทย (สอท.) พร้อมด้วยนายวิเชียร ชวลิต รองหัวหน้าพรรคฯ นายวัชระ กรรณิการ์ รองเลขาธิการพรรคฯ และนายบุญส่ง ชเลธร สมาชิกพรรคฯ พบปะผู้นำชุมชน เครือข่ายองค์กรชุมชน ปราชญ์ชุมชน กว่า 200 คน จาก 9 จังหวัดภาคเหนือได้แก่ จังหวัดแพร่, เชียงใหม่, ลำพูน, ลำปาง, เชียงราย, น่าน, สุโขทัย, อุตรดิตถ์ และเพชรบูรณ์ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก โดยมีพระครูโสภณปัญญาธร ให้การต้อนรับและร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคสร้างอนาคตไทย (สอท.) กล่าวว่า สถานการณ์โลกทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วท่ามกลางความไม่แน่นอนและผลกระทบจากปัจจัยที่เหนือการควบคุมอย่างเช่น โรคระบาดโควิด-19 สงครามรัสเซีย-ยูเครน ปัญหาโลกร้อน รวมถึงการดิสรัปชั่นของเทคโนโลยีต่างๆ ที่นำมาสู่การสร้างเงื่อนไขใหม่ๆ ในสังคมโลก ซึ่งประเทศไทยจำเป็นต้องมีความเข้มแข็งจากภายในประเทศทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมเพื่อรับมือต่อสถานการณ์การดังกล่าว และหัวใจสำคัญที่จะนำไปสู่ปัจจัยดังกล่าวก็คือการสร้างเศรษฐกิจฐานให้แข็งแรงซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบาย 5 สร้างของพรรคสร้างอนาคตไทย

ทั้งนี้ การลงมาจังหวัดแพร่ครั้งนี้ ตั้งใจมาเยี่ยมชมศูนย์การเรียนรู้พลังงานทดแทนโรงเรียนเชตวัน และพบปะรับฟังข้อเสนอเชิงนโยบายจากผู้นำชุมชน เครือข่ายองค์กรชุมชน ปราชญ์ชุมชน และชาวบ้านในพื้นที่ 9 จังหวัดในภาคเหนือ โดยศูนย์การเรียนรู้พลังงานทดแทนโรงเรียนเชตวัน ที่ขับเคลื่อนโดยพระครูโสภณปัญญาธร ถือเป็นหนึ่งในต้นแบบของระบบเศรษฐกิจฐานรากที่ครบวงจรทั้งด้านพลังงาน สิ่งแวดล้อม และการสร้างอาชีพชุมชน ที่พัฒนาคู่ขนานนวัตกรรมต่างๆ เช่น การประยุกต์ใช้ถ่านเป็นพลังงานทดแทนแก๊สแอลพีจี ในครัวเรือน และน้ำมันเบนซินที่ใช้ในรถตุ๊ก ตุ๊ก

นอกจากนี้ ยังได้รับฟังการดำเนินงานโครงการฝายมีชีวิต จากเครือข่ายชุมชนจังหวัดน่าน ซึ่งเป็นแนวคิดที่น่าสนใจในด้านการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาน้ำท่วม การพังทลายของหน้าดินต่างๆ เพื่อสร้างแหล่งน้ำชุมชน ต่อยอดกลายเป็นแหล่งอาหารของชุมชนที่อุดมสมบูรณ์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นความสำคัญของแหล่งน้ำ ที่เห็นได้ชัดว่าหากมีแหล่งน้ำที่ไหน ความอุดมสมบูรณ์ก็จะตามมา

นายสนธิรัตน์ กล่าวต่อว่า สิ่งต่างๆ ที่ได้แลกเปลี่ยนในวันนี้สอดคล้องกับนโยบาย 5 สร้างของพรรคสร้างอนาคตไทย ซึ่งพรรคฯ จะนำข้อมูลทั้งหมดทั้งปวงนี้ไปบูรณาการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันและกลั่นกรองเป็นนโยบายที่พรรคจะใช้ขับเคลื่อนในเชิงพื้นที่ให้ตอบโจทย์ชุมชนและประชาชนให้ได้มากที่สุด โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อแก้ปัญหาปากท้องและสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจของประเทศต่อไป

อย่างไรก็ตาม การขับเคลื่อนเรื่องเศรษฐกิจฐานรากของพรรคสร้างอนาคตไทยทั้งเรื่องพลังงาน และเรื่องการส่งเสริมสินค้าชุมชน จะไม่รอเลือกตั้ง ไม่รอการเป็นรัฐบาล แต่จะขอมาร่วมกับแกนนำที่เข้มแข็งอย่างเช่นพระครูโสภณปัญญาธรที่เริ่มต้นไว้แล้ว เพื่อขยายไปสู่จังหวัดเครือข่ายทั่วประเทศให้ได้

ผมมองว่าชุมชนรากหญ้าทั่วประเทศมีศักยภาพจากทรัพยากรในฐานะประเทศเกษตรกรรมอยู่แล้ว ซึ่งหากมีนโยบายเข้าไปพัฒนาที่ตอบโจทย์กับศักยภาพของพื้นที่ ทั้งเรื่องการแก้ปัญหาแหล่งน้ำ การเข้าถึงพลังงาน และการพัฒนาอาชีพท้องถิ่น เชื่อว่าจะนำมาซึ่งความเข้มแข็งทั้งในส่วนของชุมชนและเศรษฐกิจฐานรากของประเทศได้ โดยพรรคฯ ให้ความสำคัญทั้งเรื่องการต่อยอดสิ่งที่ชุมชนทำมาดีอยู่แล้ว ควบคู่กับการเติมในส่วนที่ขาด พร้อมทั้งส่งเสริมในด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่ให้มีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันผมจะมาสานต่อนโยบาย Energy For All ที่ริเริ่มไว้เมื่อครั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โดยจะประกาศนโยบายให้ประชาชนสามารถติดตั้งโซลาร์เซลล์ผลิตไฟฟ้าใช้เองทั่วประเทศ และขายคืนส่วนเกินให้กับรัฐบาล โดยจะผลักดันให้มีการแก้หลักเกณฑ์และกฎหมายให้ประชาชนเข้าถึงพลังงานและเป็นเจ้าของพลังงานเพื่อสร้างรายได้และลดค่าใช้จ่ายของประชาชนทั้งในเรื่อง Net Metering และ Smart Meter เพราะนโยบายพลังงานถือเป็นปัจจัยต้นๆ ที่จะมีส่วนช่วยสร้างให้สร้างเศรษฐกิจฐานรากทั่วประเทศให้มีความเข้มแข็ง เพื่อเป็นรากฐานผลักดันเศรษฐกิจระดับประเทศให้เติบโตในเวทีโลกได้อย่างยั่งยืน ผมและพรรคสร้างอนาคตไทยพร้อมเปิดรับข้อเสนอเชิงนโยบายจากพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ เพื่อจับมือสร้างอนาคตเศรษฐกิจฐานรากไทยไปด้วยกัน” เลขาธิการพรรคสร้างอนาคตไทย กล่าว

‘พิธา’ มั่น!! ‘ก้าวไกล’ ปักธง ส.ส.เขตภาคใต้ แซะ!! หมดยุคส่งเสาไฟฟ้าลงแล้วชนะ

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ปลุกพลังว่าที่ผู้สมัคร ส..ภาคใต้ เตรียมสู้ศึกเลือกตั้ง - ลั่นหมดยุคส่งเสาไฟฟ้าลงแล้วชนะ ชี้!! สนามการเมืองภาคใต้เปิดแล้ว…มั่นใจ ‘ก้าวไกล’ จะมี ส..เขตได้แน่นอน

ที่ จ.สุราษฎร์ธานี พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวในการอบรมสัมมนาว่าที่ผู้สมัคร ส..พรรคก้าวไกล พื้นที่ภาคใต้ว่า ความฝันอย่างหนึ่งของตัวเองตั้งแต่มาเป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกลนั่นก็คือ จะต้องมี ส..เขต ในพื้นที่ภาคใต้ให้ได้ และสถานการณ์ตอนนี้นับว่าเป็นช่วงที่ใกล้เคียงมากที่สุด สนามการเมืองภาคใต้เปลี่ยนแปลงมากที่สุดเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น หมดยุคที่บอกว่าเอาเสาไฟฟ้ามาลงก็ชนะ และยิ่งถ้าไปดูเส้นทางของพวกเราตั้งแต่เป็นพรรคอนาคตใหม่ กว่า 5 แสนเสียง จาก 6.3 ล้านเสียง ถือเป็นเกือบ 10 เปอร์เซ็นต์ ที่พี่น้องปักษ์ใต้ให้ความไว้วางใจ นับเป็นคะแนนที่สูงมาก ตนไม่เคยลืมความไว้วางใจนี้ และในการทำงานในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (..) ของพวกเรา ตั้งแต่สมัยเป็นพรรคอนาคตใหม่มาจนเป็นพรรคก้าวไกล ก็พยายามยามผลักดันประเด็นปัญหาของพื้นที่ให้ได้รับการแก้ไขหลายเรื่องมาก ไม่ว่าจะเป็นกรณีโรงไฟฟ้าจะนะ จ.สงขลา ที่เรามี ส..อภิปรายไม่ไว้วางใจในเรื่องนี้ด้วย, กรณีโรงไฟฟ้านาบอน จ.นครศรีธรรมราช หรือเหตุการณ์น้ำท่วมในตัวเมืองนครศรีธรรมราช เราก็ได้เข้ามาช่วยเหลือพี่น้องอย่างเต็มที่ ทั้งหมดได้รับการต้อนรับจากพี่น้องชาวใต้เป็นอย่างดี หรืออย่างครั้งนี้ เมื่อเสร็จจากการอบรมสัมมนาแล้ว ตนจะเดินทางต่อไปยัง 3 จังหวัดชายแดนใต้ เพื่อพบปะและรับฟังปัญหาจากพี่น้องประชาชนในพื้นที่ สำหรับออกแบบนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาต่อไป

'วิโรจน์' ชู!! สวัสดิการคนเมืองต้องเกิด เพื่อโอบอุ้มชีวิตคนกรุง หลังลงพื้นที่พบคนกรุง-ภาพศก.ชุมชนไม่คึกคักสะพัด

'วิโรจน์' บุก ตลาดศิริเกษมบางแค ควง 'อำนาจ ปานเผือก' แนะนำตัวต่อหน้าประชาชน พร้อมชูนโยบาย สวัสดิการคนเมือง เพื่อคุณภาพชีวิตของคนกรุง

วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. เบอร์ 1 พรรคก้าวไกล เยือนตลาดศิริเกษม เขตบางแค พร้อมด้วย อำนาจ ปานเผือก ผู้สมัครสมาชิกสภากรุงเทพ (..) เพื่อพบปะและแนะนำตัวกับพี่น้องประชาชน โดยพ่อค้าแม่ขาย รวมถึงประชาชนที่ออกมาจับจ่ายใช้สอยในตลาดช่วงเช้า ต่างให้การตอบรับเป็นอย่างดี

หลังจากเดินแนะนำตัวกับประชาชนเสร็จเรียบร้อย วิโรจน์ได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ตนเคยมาที่ตลาดศิริเกษมหลายครั้ง เห็นได้ชัดเจนว่าไม่คึกคักเหมือนแต่ก่อน เป็นภาพที่สะท้อนปัญหาเศรษฐกิจเป็นอย่างดี ตนเชื่อว่านโยบายของเราในเรื่องสวัสดิการคนเมือง ที่จะโอบอุ้มเด็ก คนชรา และผู้พิการ จะสามารถทำให้คุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนคนกรุงเทพดีขึ้นอย่างแน่นอน

'ทนายตั้ม' เอือม!! ถูกขอให้ 'ลบ-แก้ไขข้อมูล' คดีปริญญ์ ลั่น!! ไม่ทำให้ เน้นเรื่องจริง ขออนุญาตก่อนเผยแพร่เสมอ

ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด เผยมีหนึ่งในผู้เสียหายคดีปริญญ์คุกคามทางเพศ อยู่ดีๆ กลัว มาขอให้ลบ-ดัดแปลงข้อมูล ลั่นไม่ทำให้ ย้ำเน้นเรื่องจริง ขออนุญาตก่อนเผยแพร่เสมอ อีกด้านโวยสื่อค่ายหนึ่งลงข่าวบิดเบือน

(23 เม..65) นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ทนายความชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก 'นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ' ถึงกรณีที่หนึ่งในผู้เสียหายจากคดีที่นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คุกคามทางเพศ ขอให้ลบข่าวหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูล ระบุว่า...

"ถ้าใครมาขอให้ผมช่วยทำคดีอะไร แล้วผมขออนุญาตนำเรื่องลงเพจแล้วเป็นคดีดังขึ้นมา อยู่ดีๆ มาขอให้ลบ หรือดัดแปลงข้อมูลเพื่อเอาตัวรอด ผมไม่ทำให้นะครับ เพจผมเน้นเรื่องจริง และขออนุญาตก่อนเผยแพร่เสมอ จะอยู่ดีๆ มากลัว มาขอลบ บอกเลยผมไม่ทำให้ ตัวผมเองก็เสี่ยงเปิดหน้าสู้ มีเครดิต มีความน่าเชื่อถือต้องรักษา ถ้าใจไม่สู้จริง อย่ามาขอความช่วยเหลือจากผม"

"หาว่าผมถ่ายรูปโดยไม่อนุญาต วันนั้นผมไปคนเดียว ผมให้พนักงานในร้านถ่ายรูปให้ ผมยังเดินไปหามุมกล้องให้พนักงาน แถมบอกน้องว่าให้จัดผมหน่อย ข้างหลังมันกระเซิง แม่มาพูดแบบนี้ผมเสียนะครับ ผู้เสียหายทุกคนก่อนจะทำอะไรผมขออนุญาตทุกครั้ง แม้แต่เรื่องเล็กน้อย ผมป้องกันแค่ไหน พี่ๆ นักข่าวลองถามผู้เสียหายที่ไม่มีปัญหาทั้ง 14 คนจะรู้ความจริงครับ"

นอกจากนี้ ทนายตั้มยังนำข้อความสนทนาระหว่างแม่ของผู้เสียหายรายหนึ่ง กับทีมงานของทนายษิทรา ถึงการนำเสนอข่าวของสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่ง ที่กล่าวหาว่านายษิทราโพสต์รูปผู้เสียหายจนเป็นข่าว บอกให้ลบก็ไม่ลบ และไม่เคยแต่งตั้งให้เป็นทนายความด้วย โดยนายษิทราระบุว่า "ความจริงจากฝั่งคุณแม่ครับ นักข่าวควรมีจรรยาบรรณในการนำเสนอข่าวมากกว่านี้นะ การนำเสนอข่าวแบบนี้มันทำคนอื่นเสียหาย ส่วนโพสต์นี้ผมไม่ได้หมายถึงใครโดยเฉพาะเจาะจง ผมหมายถึงทุกเคส ทุกกรณี เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรก"

"อลงกรณ์" พอใจผลการเยือนลาวเพิ่มการขนส่งสินค้าเกษตรบนเส้นทางรถไฟ "จีน-ลาว"

"อลงกรณ์" พอใจผลการเยือนลาวเพิ่มการขนส่งสินค้าเกษตรบนเส้นทางรถไฟ "จีน-ลาว" จับมือท่าบกท่านาแล้งเคลียร์ปัญหาคอขวดตั้งเป้าร่นเวลาขนส่งจากเวียงจันทน์ถึงคุนหมิงไม่เกิน2วันภายใต้นโยบายอีสานเกตเวย์เชื่อมไทยเชื่อมลาวเชื่อมโลก 

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยวันนี้ (23เม.ย) ภายหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจการเยือนสปป.ลาวระหว่างวันที่ 21-22 เมษายน 2565 ว่า พอใจต่อผลการเจรจาความร่วมมือกับบริษัทเวียงจันทน์โลจิสติกส์ปาร์คและบริษัทท่าบกท่านาแล้งในการเพิ่มศักยภาพระบบรถไฟ”ลาว-จีน”ในการขนส่งสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นและแก้ปัญหาคอขวดของระบบโลจิสติกส์

กระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยรัฐมนตรี ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน มีนโยบายอีสานเกตเวย์เชื่อมไทยเชื่อมลาวเชื่อมโลกโดยความร่วมมือระหว่าง3ประเทศได้แก่ ไทย-ลาว-จีน ในการพัฒนาการขนส่งระบบใหม่คือรถไฟลาว-จีนให้เป็นเส้นทางสำคัญสำหรับการค้าระหว่างประเทศด้วยระบบโลจิสติกส์ผสมผสาน "ราง-รถ" (Multi Modal Trasportation) ในการขนส่งสินค้าต่างๆโดยเฉพาะสินค้าเกษตรจากไทยไปสู่จีน เอเซียกลาง ตะวันออกกลางและยุโรปภายใต้การทำงานเชิงรุกร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน

นายอลงกรณ์กล่าวต่อไปว่า การเจรจากับนายจันทอน สิทธิชัย ประธานบริหารบริษัทเวียงจันทน์โลจิสปาร์ค(VLP)และคณะผู้บริหารบริษัทท่าบกท่านาแล้งร่วมกับนายสุวิทย์ รัตนจินดา ประธานสมาพันธ์ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ไทยและนายณฐกร สุวรรณธาดา คณะทำงานที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรและสหกรณ์ที่นครหลวงเวียงจันทน์ได้เห็นพ้องต้องกันในการเพิ่มขบวนรถไฟ การเพิ่มตู้สินค้า การอำนวยความสะดวกการขนส่งสินค้าผ่านแดน การเชื่อมโยงท่าบกท่านาแล้วกับสถานีเวียงจันทน์ใต้ การพัฒนาสถานีขนถ่ายสินค้า (ICD) การพัฒนาระบบการจองขบวนรถสินค้าและการเพิ่มตู้คอนเทนเนอร์และการเปิดบริการด่านตรวจโรคพืชที่ด่านรถไฟโมฮ่านภายในเดือนมิถุนายนหรือพฤษภาคมปีนี้ จะทำให้การขนส่งผลไม้ภายใต้พิธีสารไทย-จีนด้วยระบบรางสะดวกรวดเร็วมากขึ้นโดยจะใช้เวลาเพียง 1-2 วัน จากเวียงจันทน์ถึงคุนหมิง รวมไปถึงข้อเสนอเพิ่มเติมเรื่องการพัฒนาระบบเอกสารอีเล็กทรอนิคส์ระหว่างด่านหนองคายกับท่าบกท่านาแล้งเพื่อแก้ปัญหาความล่าช้าของพิธีการเอกสารและการจราจรที่ติดขัดบริเวณพรมแดนซึ่งเป็นปัญหาคอขวดมานานโดยจะเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุดรวมทั้งข้อเสนอให้เปิดด่าน 24 ชั่วโมงโดยจะรายงานผลการเจรจาให้กับดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีเกษตรฯ รองนายกรัฐมนตรี นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป

สะพัด! ปลด 'นายกสภามทร.พระนคร' เซ่น!! ถอดชื่อ 'ราชมงคล'

นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กว่า คงจะจำกันได้ ข่าวนายกสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ที่ผลักดันให้มีการถอดชื่อ “ราชมงคล” ซึ่งในหลวงรัชกาลที่ 9 พระราชทานให้กับวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา นอกจากนี้ยังจะเปลี่ยนชื่อวิทยาเขตทั้งหมดซึ่งเป็นพระนามของพระบรมวงศานุวงศ์ที่มีคุโณปการต่อสถาบันการศึกษาแห่งนี้

โดยสมาคมศิษย์เก่าร่วมกับคัดค้าน แต่นายกสภากล่าวว่า ศิษย์เก่าไม่มีสิทธิ์เพราะเรียนจบไปแล้วก็ไม่มีความเกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัย

ซึ่งไม่ว่าการเปลี่ยนชื่อ หรือการไม่ยอมรับศิษย์เก่า เป็นทัศนคติที่ ไม่ให้ความสำคัญกับรากเหง้าของมหาวิทยาลัย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top