Wednesday, 18 June 2025
NEWS FEED

เพนกวินติดคุกโพสต์ไม่ได้ แอดมินเพจเพนกวินโพสต์ปั่นแทน เรือนจำแจงไม่มีอภิสิทธิเหนือใคร

'ราชทัณฑ์' ระบุ ข้อความบนเฟซบุ๊ก 'เพนกวิน' เป็นการโพสต์โดยบุคคลอื่น ‘เหตุ’ ผู้ต้องขังห้ามใช้เครื่องมือสื่อสารทุกชนิด

นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ชี้แจง กรณีการโพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊กของนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน แกนนำคณะราษฎร ซึ่งถูกคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร จนเกิดข้อสงสัยว่าเหตุใดจึงสามารถโพสต์ข้อความผ่านสื่อโซเชียลได้แม้กระทั่งถูกคุมขังอยู่ และเป็นการได้รับสิทธิพิเศษเหนือนักโทษคนอื่นหรือไม่นั้น

กรมราชทัณฑ์ ขอเรียนว่า ภาพกระดาษพร้อมลายมือของนายพริษฐ์ฯ ที่กำลังเป็นที่สนใจอยู่ในขณะนี้นั้น เป็นข้อความที่นายพริษฐ์ ได้เขียนขึ้น ณ ห้องเวรชี้สองสถานของศาลอาญา และส่งต่อให้แก่ทนายความของตนเอง ภายหลังจากที่ศาลอาญามีคำสั่งยกคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564 เวลาประมาณ 17.55 น. ก่อนที่จะถูกนำตัวกลับมาคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร 

ดังนั้น การที่ภาพดังกล่าวไปปรากฏอยู่บนเพจเฟซบุ๊กของนายพริษฐ์ เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 00.05 น. เป็นการดำเนินการโดยผู้ดูแลหรือแอดมินแฟนเพจ ซึ่งมีได้หลายคน ไม่ใช่การโพสต์โดยตัวนายพริษฐ์ฯ เอง เนื่องจากโทรศัพท์หรือเครื่องมือสื่อสารอื่นๆ เป็นสิ่งของต้องห้าม ตามมาตรา 72 แห่งพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 จึงเป็นไปไม่ได้ที่นายพริษฐ์ จะมีโทรศัพท์มือถืออยู่ในความครอบครอง ขณะถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ

นายอายุตม์ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอให้สังคมและประชาชนทุกฝ่ายเชื่อมั่นต่อการปฏิบัติงานของกรมราชทัณฑ์ในการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน และเป็นมาตรฐานตามหลักสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะข้อกำหนดแมนเดลา (Mandela Rules) ซึ่งเป็นข้อกำหนดขั้นต่ำขององค์การสหประชาชาติในการปฏิบัติต่อผู้ต้องขัง และพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 รวมถึงกฎ ระเบียบ และวินัยต่างๆ ที่ข้าราชการกรมราชทัณฑ์ทุกคนพึงปฏิบัติและได้ยึดถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด 


ที่มา: https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/922368

สุ่มเก็บตัวอย่างเชื้อโควิด เชื้อโควิด-19 อาจอยู่ในฝรั่งเศส ตั้งแต่ พฤศจิกายน 2019

ไม่นานมานี้ได้มีการศึกษาตัวอย่างเซรุ่มหรือน้ำเหลืองของผู้ใหญ่ชาวฝรั่งเศสกว่า 9,000 คน บ่งชี้ว่า ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (SARS-CoV-2) อาจปรากฏในฝรั่งเศสครั้้งแรกสุด ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2019 เนื่องจากบางตัวอย่างที่เก็บระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2019 ถึงเดือนมกราคม 2020 มีผลตรวจแอนติบอดีต้านไวรัสฯ เป็นบวก 

การวิจัยดังกล่าวนำโดย ฟาบรีส การ์ราต์ ผู้อำนวยการสถาบันระบาดวิทยาและสาธารณสุขปีแยร์ หลุยส์ (iPLESP) และถูกตีพิมพ์ลงวารสารระบาดวิทยายุโรป (EJE) เมื่อวันที่ 6 ก.พ. ที่ผ่านมา

การศึกษาข้างต้นระบุว่าตัวอย่างเซรุ่มทั้งหมด 9,144 ตัวอย่าง ถูกเก็บระหว่างวันที่ 4 พ.ย 2019 ถึง 16 มี.ค. 2020 จากผู้อยู่อาศัยใน 12 ภูมิภาคบนแผ่นดินใหญ่ของฝรั่งเศส โดยกลุ่มผู้เข้าร่วมมีอายุเฉลี่ย 55 ปี และร้อยละ 51 เป็นผู้หญิง

“นักวิจัยได้จำแนกผู้เข้าร่วม 353 ราย ที่มีแอนติบอดีอิมมูโนโกลบูลินจี (IgG) ของไวรัสฯ เป็นบวก” และ “พบแอนติบอดีชนิดลบล้างฤทธิ์ในผู้เข้าร่วม 44 ราย”

ตัวอย่างจากผู้เข้าร่วมที่มีแอนติบอดีอิมมูโนโกลบูลินจีและแอนติบอดีชนิดลบล้างฤทธิ์ 13 ราย ถูกเก็บระหว่างวันที่ 5 พ.ย. 2019 ถึง 30 ม.ค. 2020 โดยตัวอย่างของผู้เข้าร่วมี 7 ราย ถูกเก็บในเดือนพฤศจิกายน 2019 ซึ่งนักวิจัยเชื่อว่าการศึกษานี้ชี้ว่าโรคโควิด-19 อยู่ในฝรั่งเศสมาอย่างน้อยตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2019

เมื่อวันที่ 7 พ.ค. 2020 โรงพยาบาลอัลเบิร์ต ชไวต์เซอร์ (Albert Schweitzer hospital) ในเมืองกอลมาร์ทางตะวันออกของฝรั่งเศส แถลงข่าวว่าคณะรังสีแพทย์ของโรงพยาบาลฯ ได้วิเคราะห์ผลสแกนทรวงอก 2,456 รายการ ที่ดำเนินการระหว่างวันที่ 1 พ.ย. 2019 ถึง 30 เม.ย. 2020 และพบว่ามีผู้ป่วยต้องสงสัยเป็นโรคโควิด-19 รายแรกสุดที่ย้อนไปถึงวันที่ 16 พ.ย. 2019

เมื่อวันที่ 3 พ.ค. 2020 อีฟส์ โคเฮน หัวหน้าแผนกผู้ป่วยหนักของโรงพยาบาลสองแห่งในเครือเอพี-เอชพี (AP-HP) แถลงข่าวว่าโรงพยาบาลทั้งสองแห่งได้วิเคราะห์ตัวอย่างจากผู้ป่วยโรคปอดบวม 24 ราย ระหว่างเดือนธันวาคม 2019 ถึงมกราคม 2020 และพบชายคนหนึ่งที่ถูกส่งมารักษาตัวในโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 2019 มีผลตรวจโรคโควิด-19 เป็นบวก


ที่มา: https://www.naewna.com/inter/552418
 

ดร.จักษ์ พันธ์ชูเพชร โพสต์บทกลอนผ่านเฟซบุ๊ก กลอนยกย่อง รปภ.คนกล้า กรีดฝ่ายบริหาร มธ.

ดร.จักษ์ พันธ์ชูเพชร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์) โพสต์บทกลอนผ่านเฟซบุ๊ก โดยมีเนื้อหาดังนี้

มีคนฝากมา เขียนแทนใจคนไทยหลาย ๆ คน

“องค์กรใบ้ ไร้ผู้กล้า
ซุกหว่างขา ไม่กล้าสู้
ทั้งหนุ่มแก่ แค่นั่งดู
ความอดสู สู่องค์กร
หัวหน้านิ่ง ลูกน้องเงียบ
ยอมให้เหยียบ จนเรียบกร่อน
ความบรรลัย เข้าไชชอน
บทสะท้อน องค์กรทรุด
คงเหลือเพียง รปภ.
กล้าต้านต่อ จรยุทธ์
ยืนปักหลัก พิทักษ์สุด
มุ่งยื้อยุด หยุดพวกพาล
หลายคนฝาก อยากร้องขอ
รปภ. ผู้กล้าหาญ
อยากให้เป็น อธิการ
หรืออาจารย์ ฝ่ายปกครอง”

เก็บภาษี 'อี - เซอร์วิส , เฟซบุ๊ก และกูเกิล' ดีเดย์ 1 กันยา

เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 53) พ.ศ.2564 ว่าด้วยการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) กรณีการให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศ (อี-เซอร์วิส) โดยกำหนดให้ผู้ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศ รวมถึงแพลตฟอร์มออนไลน์จากต่างประเทศที่มีรายได้เกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี จากการให้บริการทางออนไลน์แก่ผู้ใช้บริการในประเทศไทย ซึ่งไม่ใช่ผู้ประกอบการจดทะเบียนจะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มยื่นแบบแสดงรายการ และนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นรายเดือนให้กรมสรรพากรภายใต้ระบบ “ภาษีจ่าย” (pay-only) ห้ามหักภาษีซื้อ โดยไม่ต้องจัดทำใบกำกับภาษีและรายงานภาษีซื้อโดย พ.ร.บ.ฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ก.ย.2564 เป็นต้นไป 

ทั้งนี้กฎหมายดังกล่าวนั้น จะจัดเก็บภาษีจากผู้ประกอบการที่ให้บริการ e-Service จากต่างประเทศ ได้แก่ การให้บริการดาวน์โหลด หนัง/ภาพยนตร์ เพลง เกม สติกเกอร์ นายหน้า สื่อโฆษณา เป็นต้น 

เช่นเดียวกันกับแพลตฟอร์มจากต่างประเทศที่ให้บริการในประเทศไทย เช่น Apple , Google, Facebook, Netflix, Line, Youtube Tiktok ซึ่งถือเป็นกลุ่มมีรายได้จากการให้บริการเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี 

สำหรับข้อดีของกฎหมายฉบับนี้ จะช่วยสร้างความเป็นธรรมในการเสียภาษี ระหว่างผู้ประกอบการไทยกับผู้ประกอบการต่างประเทศ โดยเฉพาะบริการอี-เซอร์วิส อีกทั้งยังช่วยยกระดับการจัดเก็บภาษีของประเทศไทยให้ทัดเทียมนานาประเทศที่หลายประเทศก็มีการจัดเก็บภาษีบริการออนไลน์ เช่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ไต้หวัน สิงคโปร์ และมาเลเซีย อีกทั้งยังเป็นการดำเนินการสอดรับการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล โดยคาดว่าการจัดเก็บภาษีดังกล่าว กรมสรรพากรจะจัดเก็บรายได้ปีละ 5,000 ล้านบาท

ทั้งนี้จากข้อมูลการใช้งานอินเตอร์เน็ตของประชากรไทย พบว่า ปัจจุบันมีการใช้งานและเข้าถึงอินเตอร์เน็ตมากกว่า 75% ของจำนวนประชากร ราว 69 ล้านคน ซึ่งมากกว่า 50% ใช้บริการออนไลน์ ทั้งดูหนัง ฟังเพลง เล่มเกมและใช้โซเชียลมีเดียเพิ่มสูงขึ้นทุกๆ ปี

ด้านนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า ขณะนี้กรมสรรพากรอยู่ระหว่างสร้างความรู้ ความเข้าใจกับผู้ประกอบการ เพื่อดำเนินการจ่ายภาษีให้ง่ายที่สุด และถูกต้องด้วย โดยจะเป็นการจ่ายภาษีทางอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด 



ที่มา: https://www.thairath.co.th/news/business/finance-banking/2031664

ชาวลาวเดือด ! ม็อบสามนิ้วพ่นสเปรย์เหยียดเชื้อชาติใส่รถตำรวจ

บนโลกโซเชียลมีเดีย ประชาชนชาวลาวไม่พอใจอย่างมากกับกลุ่มม็อบที่เรียกตัวเองว่า คณะราษฎร 2563 ในไทย หลังไปพ่นสีสเปรย์เหยียดเชื้อชาติใส่รถตำรวจ สน.ปทุมวัน

จากกรณีที่ผู้ชุมนุมกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า คณะราษฎร 2563 นำโดย น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ 'รุ้ง'​ นำผู้ชุมนุมกดดันให้เจ้าหน้าที่ตำรวจปล่อยเพื่อนของตัวเองที่ถูกจับกุม เพราะทำผิดกฎหมาย แต่มีผู้ชุมนุมพ่นข้อความใส่รถตำรวจ สน.ปทุมวัน เสียหาย 8 คัน เมื่อวันที่ 10 ก.พ. 

โดยหนึ่งในนั้นพ่นข้อความว่า “พ่อมึงลาว” ทำให้ นายประวิตร โรจนพฤกษ์ ผู้สื่อข่าวอาวุโสเว็บไซต์ข่าวสดอิงลิช แสดงความไม่เห็นด้วย เพราะเป็นการเหยียดหรือดูถูกทางชาติพันธุ์ ตามที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น

ผู้ใช้เฟซบุ๊กชาวลาวรายหนึ่งได้โพสต์ภาพรถตำรวจ สน.ปทุมวัน ถูกพ่นสี พร้อมวงคำว่า “พ่อมึงลาว” และข้อความบรรยายแปลเป็นภาษาไทย ระบุว่า “พ่อมึงลาว เป็นคำศัพท์ที่ผู้ประท้วงในไทยใช้ด่าตำรวจ แต่อีกมุมหนึ่งคือการเหยียดเชื้อชาติ เป็นคำศัพท์ดูถูก” 

ทำเอาประชาชนชาวลาวแสดงความไม่พอใจจำนวนมาก ทำนองว่า ประท้วงกลุ่มคนที่กล่าวหาว่าไม่ดี แต่คำพูดและการกระทำมีแต่ท่าทีแข็งกระด้างและรุนแรง บางคนกล่าวว่าแม้แต่คนลาว (ไทยอีสาน) ก็ยังเหยียด


ที่มา: https://mgronline.com/onlinesection/detail/9640000014245
 

นักศึกษา วิทยาลัยการอาชีพ บางสะพาน ไอเดียบรรเจิด ประดิษฐ์อุปกรณ์ทุ่นแรงเจาะมะพร้าวอ่อน ใช้งานง่ายไม่เกิน 3 วินาที ได้ดื่ม

นายจิตวัฒนา บุญเลิศ หัวหน้าแผนกวิชาช่างกลโรงงาน วิทยาลัยการอาชีพบางสะพาน อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เปิดเผยว่า หลังจากมีกระแสในโซเชียลมีเดียกรณีการดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนโดยมีความเชื่อว่าจะช่วยบำรุงร่างกาย ทำให้มีแนวคิดในการผลิตอุปกรณ์เจาะผลมะพร้าวอ่อนเพิ่ม

ซึ่งที่ผ่านมาครูและนักศึกษาในแผนกร่วมกันผลิตเพื่อส่งเข้าประกวดเพียง 5 ชิ้น หลังทดสอบพบว่าเจาะน้ำมะพร้าวใช้เวลาไม่เกิน 3 วินาที เพื่อใส่หลอดพลาสติคดูดน้ำมะพร้าวได้ทั้งผล สำหรับผลงานดังกล่าวเป็นสิ่งประดิษฐ์ด้านพัฒนาคุณภาพชีวิต ขณะนี้ ได้วิทยาลัยฯได้จดอนุสิทธิบัตรกับกรมทรัพย์สินทางปัญญาไว้แล้ว

"อุปกรณ์ต้นแบบที่นักศึกษาผลิตเป็นงานแฮนด์เมด แต่สามารถนำไปผลิตในภาคอุตสาหกรรมได้ เนื่องจากเจาะมะพร้าวอ่อนได้รวดเร็ว 3 วิธี โดยใช้คู่กับสว่านไฟฟ้าแบบมือถือ ใช้มือหมุนกด หรือใช้มือกระแทก เมื่อเจาะแล้วสามารถเก็บเศษชิ้นส่วนจากเปลือกมะพร้าวไว้ได้ การใช้งานมีความรวดเร็ว สะดวก ปลอดภัย พกพาสะดวก ช่วยในการผ่อนแรง ลดค่าใช้จ่ายจากการผ่ามะพร้าวแบบเดิม สามารถนำไปประกอบอาชีพได้อย่างมีประสิทธิภาพ" นายจิตวัฒนา กล่าว

นายจิตวัฒนา กล่าวอีกว่า "เดิมวิธีการดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนที่ใช้ในปัจจุบัน ต้องอาศัยมีดในการผ่าส่วนบนของผลมะพร้าว ผู้ผ่าต้องมีความชำนาญในการใช้มีดขนาดใหญ่ บุคคลทั่วไปที่ไม่มีประสบการณ์หรือทักษะไม่สามารถใช้มีดในการผ่าได้เพียงลำพัง หรือทำได้แต่มีความลำบากและไม่ปลอดภัย สำหรับพ่อค้าที่จำหน่ายมะพร้าวอ่อนสำหรับบริโภคน้ำ ต้องผ่ามะพร้าวจำนวนมากทำให้มีความเมื่อยล้าและ ความล่าช้าเป็นปัญหาในการประกอบอาชีพประกอบกับวิธีการผ่ามะพร้าวอ่อนด้วยวิธีที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน อาจก่อให้เกิดอันตรายจากคมมีด รวมทั้งขยะจากเปลือกมะพร้าว"


ภาพ /ข่าว : นิพล ทองเก่า

ฉากรบทางการเมืองและเศรษฐกิจระหว่าง ‘สหรัฐอเมริกา’ และ ‘จีน’ ยิ่งนานวันยิ่งเหมือนปมเงื่อนที่รัดแน่น แม้อำนาจของสหรัฐฯ จะเปลี่ยนมือจาก ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ มาสู่ ‘โจ ไบเดน’ ก็ยังไม่คลาย

เกิดภาพการตอบโต้ทางการเมืองระหว่างประเทศ สงครามเศรษฐกิจการค้า เทคโนโลยี วัคซีน และการประกาศศักดาแนวรบทั้งทัพฟ้าและทัพเรือ สะเทือนสะท้านไปกระแทกกับคู่มิตรของแต่ละฝ่าย

คำถามปลายเปิดเกิดขึ้นมากมาย และพยายามหาคำตอบปลายปิดว่า สรุปแล้วผู้ใดที่ทำให้โลกสั่นคลอน

สหรัฐฯ คือ พี่ใหญ่ผู้ระราน หรือ จีน คือ มหาอำนาจมาดร้ายแห่งยุคใหม่

แต่ไม่ว่าเรื่องนี้ผลลัพธ์จะออกทางใด อุณหภูมิในฟากฝั่งแดนมังกร ก็คงร้อนผ่าวๆ อยู่ตลอด เพราะเหมือนกับที่ผ่านมาจีนกำลังถูกโลกมองว่าเป็นวายร้ายตัวใหม่ ทั้งๆ ที่เป้าหมายใหญ่ของพวกเขาคือการลืมภาพขี้โรคแห่งเอเชียเสียมากกว่า

ก่อนหน้านี้ เคยมีบทความหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความคิดของคนในชาติจีน ที่อ่านแล้วรู้สึกสะเทือนใจ ขณะเดียวกันก็ทำให้เลือดในกายชาวจีนหลายคนเริ่มเดือดไม่น้อย ผ่านมุมมองของ ‘ดร.หลินเหลียงตอ’ ดร.ฟิสิกส์กิตติมศักดิ์ชาวอเมริกาเชื้อสายจีน ที่ได้เขียนบทกวีภาษาอังกฤษตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ เพื่อถามสหรัฐอเมริกาว่า #พวกท่านจะให้เราอยู่อย่างไร

โดยในเนื้อหาของบทความนี้ สร้างความสะเทือนใจแก่หลายคนที่ได้อ่าน และมีการส่งต่อในโลกออนไลน์ ส่งผลชาวเน็ตทั้งชาวจีนและชาวตะวันตกได้อภิปรายกันอย่างเผ็ดร้อน

บทกวีนี้ ได้สะท้อนความรู้สึกค้างคาใจชาวจีนมาช้านาน ความกดดันโกรธแค้นต่ออคติของตะวันตก และถูกมองว่าเป็นลูกดอกอันคมกริบที่ชาวจีนโพ้นทะเลยิงใส่อคติชาวตะวันตก ความว่า…

...สมัยก่อนประเทศเราอ่อนแอถูกข่มเหงรังแก ไม่ง่ายเลยที่เราผงาดขึ้นได้ แต่กลับถูกมองด้วยสายตาที่เป็นศัตรู คนจีนทำอะไรดูเหมือนผิดไปหมด ชาวตะวันตกควรอ่านซัก 3 จบ ควรที่ชาวจีนต้องอ่าน 3 จบ พวกท่านจะให้เราอยู่อย่างไร?

...สมัยที่เราเป็นคนขี้โรคแห่งเอเชีย เราถูกเรียกว่าเป็นภัยเหลือง

...เราถูกพยากรณ์ว่า เป็นอภิมหาอำนาจรายต่อไป และเราก็ถูกชี้ว่าเป็นภัยคุกคามที่สำคัญ

...ตอนที่เราปิดประเทศขังตัวเอง ท่านเอาฝิ่นเถื่อนมาบังคับให้เราเปิดประเทศ

...เมื่อเราโอบกอดการค้าเสรี ท่านด่าว่าเราไปแย่งที่ทำมาหากินของพวกท่าน

...ตอนที่เราลำบากยากเข็น รองเท้าบูทท่านมาเหยียบอก เรียกร้องเฉลี่ยโอกาสเท่าๆ กัน

...เราจะรวมแผ่นดินที่แตกแยกเป็นปึกแผ่น ท่านบอกว่าเราเป็น “ผู้รุกราน”

...เราทดลองกู้ชาติด้วยมาร์กซ์-เลนิน ท่านว่าพวกเราเป็นพวกนอกรีต

...เมื่อเราโอบรับทุนนิยม ท่านเจ็บแค้นว่าเราเป็นนายทุน

...แล้วเมื่อประชากรเราทะลุพันล้าน ท่านว่าเรากำลังทำลายโลก

...เมื่อเราจำกัดการเกิดของประชากร ท่านว่าเราเหยียบย่ำสิทธิมนุษยชน

...สมัยโน้นเรายากจนข้นแค้น ท่านมองเราเป็นหมาตัวหนึ่ง

...เมื่อเรามีเงินให้ท่านยืม ท่านกลับมาโทษเราว่าทำให้ท่านมีหนี้สินล้นพ้นตัว

...เมื่อเราพัฒนาอุตสาหกรรม ท่านบอกว่าเราทำให้เกิดมลภาวะ

...เมื่อเรามีสินค้าขายให้ท่านท่านบอกว่าเราเป็นต้นเหตุทำให้โลกร้อน

...เราซื้อน้ำมันปิโตรเลียม ท่านบอกว่าเรารีดเค้นและจะสูญเผ่าพันธุ์ พวกท่านทำสงครามเพื่อน้ำมันปิโตรเลียม

...ตอนที่บ้านเมืองเราวุ่นวายไร้ระเบียบ ท่านบอกว่าเราไม่ปกครองด้วยกฎหมาย

...ตอนนี้เราใช้กฎหมายปราบวายร้าย ท่านบอกว่าเราละเมิดสิทธิมนุษยชน

ถามหน่อย #ท่านจะให้เราอยู่อย่างไรกันแน่

ก่อนตอบคำถาม นึกทบทวนให้รอบคอบก่อน เพราะโลกใบนี้รับนักบุญจอมปลอมมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว

สิ่งที่เราต้องการคือสันติสุขของโลกเดียวกัน ฝันเหมือนกัน โลกสีครามที่กว้างใหญ่ไพศาลสามารถรองรับพวกท่าน รองรับพวกเรา

การผงาดขึ้นอย่างรวดเร็วของจีน ทำให้อเมริกาจิตใจว้าวุ่น

การขึ้นสู่อวกาศของจีน และการใช้ในเชิงพาณิชย์อย่างทั่วด้านของ 5G ก็คือการตอบโต้ที่ดีที่สุด

ยิ่งไปกว่านั้น อย่าได้ประเมินพลังทางจิตใจที่เหนียวแน่นของจีนต่ำไป

ประเทศที่เคยตกต่ำและคุกเข่า แต่สุดท้ายสามารถลุกขึ้นยืน จะไม่มีวันคุกเข่าลงอีกเป็นอันขาด

ประเทศจีนมีความปักใจ ไม่สนทั้งไม้แข็ง และไม้อ่อน และมีกำลังยืนได้ เราจะไม่มีวันถูกต่างชาติข่มเหงรังแกอีกต่อไป

เรามีความฝันฟื้นฟูประชาชาติจีนที่ยิ่งใหญ่ ในที่สุดจะปรากฎเป็นจริง ภายใต้การต่อสู้อย่างทรหดอย่างแน่นอน

เรียกได้ว่าบทกวีสะท้อนเสียงชาวจีนบทนี้ อ่านกี่ทีก็คงทำให้เลือดในกายชาวจีนสูบแรงไม่น้อยได้ทุกครั้งกันเลยทีเดียว...


ที่มา: https://www.thansettakij.com/content/world/421363?fbclid=IwAR33ZDbOSf-s8168o3Ky_GQbR_mnNR8j2B7rcsc8YRd6WZqyfAUlwNdT9tM#.XkN8bSydtqo.lineme

‘กระทรวงวัฒนธรรม’ ย้ำ แนวทางปฎิบัติ ไหว้สถานที่ศักดิ์ช่วงตรุษจีน - วาเลนไทน์ ต้องยึดมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข และมาตรการผ่อนคลายของศบค. พร้อมยันไม่เลือกปฏิบัติระหว่าง ‘ม็อบ - งานประเพณี’

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีวัฒนธรรม ให้สัมภาษณ์ถึงข้อกังวลว่า การรวมตัวของคนจำนวนมาก เช่น การไหว้พระตรีมูรติ หน้าเซ็นทรัลเวิลด์ รวมถึงสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ช่วงแพร่ระบาดโควิด-19 ในช่วงเทศกาลตรุษจีนและวันวาเลนไทน์นั้น ทางรัฐบาลโดยศบค. เน้นย้ำให้ ผู้ว่าราชการจังหวัดรณรงค์ให้ประชาชนรับทราบถึงการปฎิบัติตามมาตรการ และเฝ้าระวังการทำกิจกรรมรวมกัน และเท่าที่เห็นการไหว้ในเทศกาลตรุษจีนตามสถานที่ต่าง ๆ ส่วนใหญ่สวมหน้ากากอนามัยเกือบ 100%

ถึงกระนั้นกระทรวงต่างๆ ก็ได้ย้ำหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ข้อแนะนำในการปฏิบัติตัว โดยกระทรวงวัฒนธรรม ได้แจ้งไปยังศาสนสถาน เครือข่ายวัฒนธรรมประเพณี ที่จัดกิจกรรมในสถานที่ต่างๆ ไปเรียบร้อยแล้วว่าให้ปฎิบัติเป็นไปตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข และมาตรการผ่อนคลายของศบค.

อย่างไรก็ตามในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ก็งดกิจกรรมบางอย่าง เช่น งานจดทะเบียนสมรสวันวาเลนไทน์ ที่คนมารวมตัวกันมาก ถึงแม้เวลานี้สถานการผู้ติดเชื้อจะเบาบางลง แต่ยังมีจำนวนมากกว่าระลอกแรก จึงต้องไม่ประมาท

ผู้สื่อข่าวถามถึงเสียงวิจารณ์ว่า อนุญาตให้ทำกิจกรรมได้ในเทศกาลได้ แต่ห้ามการชุมนุม โดยอ้างว่าเพื่อป้องกันโควิด นายอิทธิพล กล่าวว่า เราห่วงใยทุกกิจกรรมไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมทางวัฒนธรรมประเพณี การประชุมสัมมนา หรือการชุมนุมทางการเมือง เราห่วงใยมาตลอด ซึ่งทางสาธารณสุขเน้นย้ำตลอดเรื่องการรวมตัว

แม้จะสวมหน้ากากอนามัย ก็อาจจะไม่สามารถคัดกรองได้ทุกคน เรื่องนี้ภาครัฐประเมินสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา เพราะเราอยากให้การแพร่ระบาดสงบโดยเร็วภายในเดือนมี.ค. ที่จะเริ่มมีวัคซีนล็อตแรกเข้ามา

เมื่อถามว่าจะไม่เลือกปฏิบัติ ระหว่างการชุมนุมทางการเมืองกับการจัดกิจกรรมประเภทอื่น นายอิทธิพล กล่าวว่า เรายึดการประเมินความเสี่ยงทางสาธารณสุขว่ามีมากน้อยแค่ไหน ไม่ได้เลือกว่าเป็นกิจกรรมประเภทใด ทั้งนี้ขอฝากให้ทุกคนดูแลสุขภาพ และระมัดระวัง ถึงแม้จะเป็นการพบปะในครอบครัวก็ตาม

ชื่นชม รปภ.ธรรมศาสตร์ ใจเด็ด โดดขวางนักศึกษาพยายามชักธง 112 หน้าอาคารโดมบริหาร ศูนย์รังสิต อดีตรองอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชี้เสรีภาพในการแสดงออกต้องอยู่ในขอบเขต ไม่ไปละเมิด หรือหมิ่นประมาท ทำให้ผู้อื่นเสียหาย

รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Harirak Sutabutr กรณีที่นายชนินทร์ วงษ์ศรี หรือบอล และ น.ส.เบนจา อะปัญ นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสมาชิกกลุ่มที่เรียกตัวเองว่าแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม พยายามนำธงยกเลิก 112 มาขึ้นแทนธงไตรรงค์

แต่ถูก รปภ.ห้ามไว้ ระบุว่า “ได้ดูคลิปที่มีนักศึกษาธรรมศาสตร์ ทั้งหญิงและชาย รวม 4 คน พยายามนำธงแดงมีข้อความยกเลิก 112 ขึ้นบนเสาธงไตรรงค์หน้าอาคารโดมบริหารที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต แต่ไม่สำเร็จ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ รปภ.หลายคนช่วยกันเจรจาห้ามปรามไว้ได้ แต่กว่านักศึกษาจะยอมก็ต้องถกเถียงกันอยู่นานพอควร เจ้าหน้าที่พยายามอธิบายว่ายอมให้ทำไม่ได้ เพราะต้องเคารพธงชาติไทย และต้องให้เกียรติพระมหากษัตริย์

เหตุผลที่นักศึกษาอ้าง สรุปความได้ว่า “นักศึกษาธรรมศาสตร์คนหนึ่ง ต้องติดคุกเพราะมาตรา 112 นักศึกษาจึงต้องการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นดินแดนแห่งเสรีภาพ ดังนั้นต้องทำได้ หากทำไม่ได้ ธรรมศาสตร์ก็ไม่มีเสรีภาพจริง ถ้าเอาธงแดงขึ้นแล้วประเทศจะล่มสลาย หรือจะมีใครต้องตายหรืออย่างไร”

นักศึกษาหญิงที่เถียงกับเจ้าหน้าที่เป็นส่วนใหญ่ ดูเหมือนจะเป็นนักศึกษาหญิงคนเดียวกันกับที่ไปชูป้ายเรื่องวัคซีนที่ไอคอนสยามนั่นเอง เหตุผลที่นักศึกษาใช้อ้าง เป็นเหตุผลที่แกนนำม็อบ 3 นิ้ว และผู้อยู่เบื้องหลังใช้กันอย่างฟุ่มเฟือย ซ้ำแล้วซ้ำเล่า นั่นคือคำว่า “เสรีภาพในการแสดงออก” ซึ่งดูเหมือนจะฝังแน่นอยู่ในสมองของคนกลุ่มนี้แบบที่ไม่มีใครจะโยกคลอนได้เลยว่า เสรีภาพคือการที่เราสามารถจะทำอะไรก็ได้ทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้แต่การทำผิดกฎหมายหากเราไม่เห็นด้วยกับกฎหมายนั้น

ไม่ว่าจะอธิบายกันกี่ครั้งว่า เสรีภาพต้องอยู่ในขอบเขตเสมอ ก็ไม่สามารถทำให้คนกลุ่มนี้เข้าใจได้เลย ไม่ต่างจากคำว่า “ภาษีกู” ที่พวกเขาเข้าใจว่า ทุกคนมีสิทธิจะทำอะไรก็ได้กับสิ่งของ หรือถาวรวัตถุที่มาจากเงินภาษีของประเทศ เป็นความเข้าใจที่เข้าข้างตัวเองอย่างถึงที่สุด

เรามีเสรีภาพในการแสดงออกก็จริง แต่การแสดงออกนั้นต้องไม่ไปละเมิด หรือหมิ่นประมาท หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย ไม่รู้ว่าใครไปฝังชิปลงในสมองของพวกเขาได้แน่นหนาขนาดนี้ อยากรู้เหลือเกินว่าพ่อแม่ และครอบครัวของพวกเขาเหล่านี้คิดอย่างไร เห็นอย่างไร หากคิดเหมือนกัน เห็นเหมือนกันทั้งครอบครัว ก็น่าเป็นห่วงอนาคตของประเทศมาก หากพ่อแม่หรือครอบครัวไม่ได้เห็นแบบนี้ คิดแบบนี้ ก็น่าสงสารพ่อแม่และครอบครัวของพวกเขาเหล่านี้มาก ต้องกลัดกลุ้ม และไม่มีความสุขแน่ๆ

ต้องขอชมเจ้าหน้าที่ รปภ.ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่รับมือกับสถานการณ์นี้ได้โดยไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น เจ้าหน้าที่คนแรกที่มาห้ามปราม เป็นเจ้าหน้าที่ที่ผมค่อนข้างจะคุ้นเคย ตั้งแต่ผมยังทำงานอยู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปัจจุบันเวลาไปประชุม เจ้าหน้าที่ผู้นี้ก็จะมาช่วยดูแลเรื่องที่จอดรถให้เสมอ เจอครั้งหน้าเห็นท่าจะต้องขอสัมภาษณ์ และให้รางวัลสักหน่อยเสียแล้วครับ”

รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า กลุ่มนักเคลื่อนไหวที่ใช้วิธีการชักเสาธงเพื่อแสดงออกทางการเมือง เคยเกิดขึ้นมาหลายครั้ง อาทิ เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 2556 นายศรันย์ ฉุยฉาย หรืออั้ม เนโกะ และนายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือจ่านิว เคยปลดธงชาติไทยแล้วนำธงดำขึ้นเสาบริเวณตึกโดมบริหาร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อไว้อาลัยอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กรณีที่ประกาศหยุดเรียนหยุดสอนหยุดทำงานในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ต่อมาวันที่ 24 ก.พ. 2563 น.ส.สิรินทร์ มุ่งเจริญ หรือเฟลอ นิสิตคณะอักษรศาสตร์ อดีตรองประธานสภานิสิตคนที่ 2 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และแกนนำกลุ่มวิ่งไล่ลุง พยายามนำธงดำขึ้นสู่ยอดเสา อ้างว่าแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เพื่อไว้อาลัยแก่กระบวนการยุติธรรม แต่ถูก รปภ.ห้ามไว้

ล่าสุดเมื่อวันที่ 15 ม.ค. 2564 นายพริษฐ ชิวารักษ์, น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล, น.ส.เบนจา อะปัญ แกนนำกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า คณะราษฎร 2563 และกลุ่มการ์ดวีโว่ นำโดย นายปิยรัฐ จงเทพ อดีตผู้สมัคร ส.ส.กาฬสินธุ์ พรรคอนาคตใหม่ ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ทายาทกลุ่มไทยซัมมิท ร่วมกันปลดธงชาติไทยแล้วนำธงสีแดงระบุข้อความ 112 มาชักขึ้นแทน หน้า สภ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ระหว่างที่นายชยพล ดโนทัย หรือเดฟ นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ หนึ่งในสมาชิกแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ได้เดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหาความผิดตามมาตรา 112 และเกิดเหตุชุลมุนแย่งธงคืนจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ

อนึ่ง พระราชบัญญัติธง พ.ศ. 2522 มาตรา 54 ผู้ใดกระทำการใดๆ อันมีลักษณะเป็นการเหยียดหยามต่อธง รูปจำลองของธง หรือแถบสีธงที่ได้บัญญัติกำหนดลักษณะไว้ในพระราชบัญญัตินี้ หรือตามที่กำหนดในกฎกระทรวงซึ่งออกตามพระราชบัญญัตินี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


ที่มา : https://mgronline.com/onlinesection/detail/9640000014197

https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=4061779217165936&id=100000016923106


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top