Thursday, 19 June 2025
NEWS FEED

กรมทรัพย์สินทางปัญญา ชี้ วัดบ้านไร่ได้ลิขสิทธิ์คุ้มครอง 'ผ้ายันต์หลวงพ่อคูณ' 50 ปี หากมีหลักฐานยืนยันการสร้าง ระบุ ก่อนนำภาพผ้ายันต์ไปใช้ ต้องขออนุญาตก่อน

นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เปิดเผยว่า หลังจากมีกระแสข่าวในสื่อสังคมออนไลน์นำเสนอแบรนด์สินค้าแฟชั่นชื่อดัง เปิดตัวคอลเล็กชันใหม่ โดยใช้ยันต์หลวงพ่อคูณ พระเกจิชื่อดังแห่งวัดบ้านไร่ จังหวัดนครราชสีมา ไปสกรีนบนเสื้อ เบื้องต้นได้ตรวจสอบเกี่ยวกับเรื่องของลิขสิทธิ์ ก็ไม่พบข้อมูลเกี่ยวกับผ้ายันต์รูปหลวงพ่อคูณ แต่หากวัดบ้านไร่เป็นผู้จัดทำผ้ายันต์รูปหลวงพ่อคูณนี้ขึ้นมา โดยมีหลักฐานยืนยันการสร้างสรรค์งานลิขสิทธิ์นี้ ก็สามารถแจ้งข้อมูลได้ เพื่อได้รับความคุ้มครองเป็นเวลา 50 ปีนับตั้งแต่วันที่สร้างสรรค์ขึ้น ดังนั้น หากมีผู้นำยันต์ดังกล่าวไปใช้ ก็ต้องขออนุญาตจากวัดบ้านไร่ด้วย

ทั้งนี้จากการตรวจสอบในฐานข้อมูลลิขสิทธิ์ พบว่ามีผู้มายื่นแจ้งข้อมูลงานลิขสิทธิ์เกี่ยวกับหลวงพ่อคูณไว้ 21 รายการ ประกอบด้วย ผลงานเพลง 15 รายการ งานวรรณกรรม 1 รายการ คือ หนังสือเจาะลึกข้อมูลเหรียญรุ่นพิเศษ หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ วัดบ้านไร่ ปี 2517 งานโสตทัศนวัสดุ 1 รายการ คือ สารคดีเรื่องแรงศรัทธาแด่หลวงพ่อคูณ และงานศิลปกรรม 4 รายการ ได้แก่ รูปปั้น รูปหล่อ และเหรียญ

นายวุฒิไกร ยอมรับว่า ตามกฎหมายลิขสิทธิ์ โดยเฉพาะในกรณีของรูปหลวงพ่อคูณในผ้ายันต์ ถือเป็นงานศิลปกรรม และจัดเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ประเภทหนึ่ง โดยผู้สร้างสรรค์จะได้รับความคุ้มครองทันทีเมื่อสร้างสรรค์ผลงานขึ้น

ซึ่งกฎหมายจะให้สิทธิเจ้าของลิขสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียว เช่น ทำซ้ำ ดัดแปลง เผยแพร่ต่อสาธารณะ หรืออนุญาตให้ผู้อื่นนำงานไปใช้ประโยชน์ หากการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งกับงานอันมีลิขสิทธิ์โดยไม่ได้รับอนุญาต อาจเข้าข่ายเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์

กลายเป็นอีกเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ไทยที่น่าสนใจ หลังจาก ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ (ดร.นิว) นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ได้โพสต์เฟซบุ๊ก เล่าถึงความเป็นมาของเพลงชาติไทยในอีกมุมที่หลายคนอาจจะไม่เคยรู้

#เพลงชาติไทยที่ถูกปล้น

ทำไมเพลงชาติอังกฤษสรรเสริญสมเด็จพระราชินีทั้งเพลง แต่เพลงชาติไทยกลับไม่กล่าวถึงสถาบันพระมหากษัตริย์เลยแม้แต่คำเดียว?

หลักฐานจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ยืนยันชัดเจนว่า ‘คณะราษฎร’ จงใจลบสถาบันพระมหากษัตริย์ออกจากเพลงชาติไทย เพราะเมื่อก่อนเพลงชาติไทย คือ ‘เพลงสรรเสริญพระบารมี’ ซึ่งมีเนื้อหาเหมือนกับเพลงชาติอังกฤษที่สอดคล้องกับอัตลักษณ์ของระบอบการปกครองแบบ Constitutional Monarchy

แต่คณะราษฎรกลับปล้นเพลงชาติไทย แล้วสร้างจุดเริ่มต้นของเพลงชาติที่ไม่กล่าวถึงสถาบันพระมหากษัตริย์เลยแม้แต่คำเดียว อีกทั้งยังมีความเจาะจงมุ่งหวังให้เพลงชาติไทยมีเนื้อหารุนแรงเหมือนกับเพลงชาติฝรั่งเศส ซึ่งไม่สอดคล้องกับอัตลักษณ์ของระบอบการปกครองแบบ Constitutional Monarchy

เพลงชาติไทย จึงเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญอย่างหนึ่ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่า คณะราษฎร ไม่ได้มีความตั้งใจที่จะเปลี่ยนระบอบการปกครองเป็น Constitutional Monarchy อย่างถูกต้อง แต่กลับสร้างระบอบเผด็จการของคนส่วนน้อยที่เป็นลัทธิรัฐธรรมนูญขึ้นมาหลอกลวงประชาชน เป็นเหตุผลว่าทำไมประชาธิปไตยที่แท้จริงยังไม่เคยเกิดขึ้น อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนแค่ในกระดาษ และประเทศไทยไม่เคยมี Constitutional Monarchy ที่ถูกต้อง

ความจริงเหล่านี้คือสิ่งที่ ‘ปิยบุตร แสงกนกกุล’ หรือ ‘ฟายบูด’ รวมถึงเครือข่ายทั้งหมดที่ถือแนวทางผิดของคณะราษฎรไม่เคยพูดถึง เพราะคนเหล่านี้มุ่งเน้นแต่ความบิดเบือน สานต่อความบ้าคลั่งการปฏิวัติฝรั่งเศสตามรอยคณะราษฎร สร้างความแตกแยก บ่อนทำลายความมั่นคงของชาติและประชาชน บิดเบือนให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์

แค่เพลงชาติที่เป็นเรื่องพื้นฐานที่สุด สถาบันมหากษัตริย์ไทยยังถูกคณะราษฎรกำจัดออกไป จนถึงทุกวันนี้เพลงชาติไทยก็ยังไม่มีการกล่าวถึงสถาบันพระมหากษัตริย์แม้แต่คำเดียว แล้วแบบนี้ฟายบูดยังมีหน้ามาใส่ร้ายว่าเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์อีกหรือ?

คณะราษฎรตลอดจนผู้ถือแนวทางผิดของคณะราษฎรเองมิใช่หรือ ที่บิดเบือนและบ่อนทำลายความถูกต้องของระบอบ Constitutional Monarchy มาโดยตลอด?


ที่มา: https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=3907320779330531&id=100001579425464

‘อนุทิน’ ย้ำ กระทรวงสาธารณสุข พร้อมสนับสนุนทีมพัฒนาวัคซีนโควิด-19 จากจุฬาฯ อย่างเต็มที่ เผย ข่าวดีผลการทดลองในสัตว์ผ่านฉลุย เตรียมทดลองในอาสาสมัครเดือนพฤษภาคมนี้ ได้ที เกทับ “ไม่แทงม้าตัวเดียว แต่เป็นเจ้าของคอกม้า”

วันนี้ (18 กุมภาพันธ์) ที่ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) พร้อมด้วย ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม ผู้อำนวยการบริหารโครงการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ นพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ แถลงข่าวความก้าวหน้าล่าสุดของการพัฒนาวัคซีน Chula Cov19 คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและความพร้อมในการทดสอบในอาสาสมัคร

นายอนุทิน กล่าวว่า ตนและกระทรวงสาธารณสุข พร้อมสนับสนุนโครงการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ของจุฬาฯ ในทุกวิถีทาง เพื่อให้ประสบความสำเร็จโดยเร็วที่สุด ให้คนไทยปลอดภัยจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และเพื่อส่งเสริมฐานที่แข็งแกร่งของระบบสาธารณสุขของประเทศเรา ให้มีความมั่นคงมากยิ่งขึ้น จากการที่สามารถผลิตวัคซีนได้ในประเทศ ถึงแม้ จะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของจุฬาฯ แต่ก็มีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะเห็นโครงการฯ ประสบความสำเร็จ พร้อมให้ความช่วยเหลือสนับสนุนในทุกด้านที่ได้รับการร้องขอ เปรียบเสมือนทีมเดียวกัน

ที่สำคัญ นี่คือเครื่องพิสูจน์ ว่า ไทยไม่ได้แทงม้าแค่ตัวเดียว แต่เราพยายามทำทุกทางอย่างเหมาะสม เพื่อให้ไทย ได้วัคซีนโควิด-19 ได้เร็วที่สุด และต้องปลอดภัยที่สุด กระทรวงสาธารณสุข ให้ความสำคัญกับเรื่องวัคซีนมาก มิได้เพิกเฉย เหมือนที่ฝ่ายการเมืองนำมาวิพากษ์วิจารณ์ เพราะตั้งแต่ได้ยินคำว่าโควิด-19 ครั้งแรก ก็นึกถึงในหัวคือ วัคซีน จะต้องหามาให้ได้ และเชื่อมั่นในศักยภาพของระบบการแพทย์ไทยว่าวันหนึ่งเราจะประสบความสำเร็จในการพัฒนาวัคซีนในประเทศ ไทยต้องยืนบนขาตัวเอง ไม่แทงม้าตัวเดียว แต่เราจะเป็นเจ้าของคอกม้า

ที่ผ่านมาประเทศไทย พยายามปรับใช้ประสบการณ์ เพื่อรับมือกับสถานการณ์การระบาด ณ ปัจจุบัน ปัจจุบัน ไทยมีความสามารถในการผลิตอุปกรณ์ป้องกันได้เอง อาทิ หน้ากากอนามัย ชุดป้องกันส่วนบุคคล(PPE) รวมถึงยารักษาด้วย ปัจจุบัน ไทยมีวัคซีนโควิด-19 ในมือแล้ว 63 ล้านโดส และในอนาคต หวังว่าจะมีวัคซีนที่ผลิตในประเทศ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับความก้าวหน้าล่าสุดของการพัฒนาวัคซีน ChulaCov19 จากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ล่าสุด ผ่านการทดลองในหนูและลิง สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันในระดับสูง และกำลังจะเข้าสู่การทดลองในคนระยะที่ 1

เบื้องต้น วัคซีนของจุฬาฯ สามารถเก็บในอุณหภูมิตู้เย็นปกติคือ 2 - 8 องศาเซลเซียส และอย่างน้อย 1 เดือน ขณะนี้กำลังรอผลวิจัยที่ 3 เดือน ดังนั้นการขนส่งกระจายวัคซีนไปยังต่างจังหวัดทั่วประเทศจึงสามารถทำได้อย่างสะดวก ทั้งนี้ คาดว่าจะผลิตเสร็จเพื่อนำมาทดลองในอาสาสมัครได้ประมาณต้นเดือนพฤษภาคมนี้

ขณะเดียวกันก็กำลังเตรียมการพัฒนารุ่น 2 เพื่อทดสอบในหนูทดลองเพื่อรองรับเชื้อดื้อวัคซีนในอนาคตเพราะเนื่องจากมีเชื้อโคโรนาสายพันธุ์ใหม่กำลังระบาดในหลายประเทศและบางสายพันธุ์ ซึ่งวัคซีน mRNA มีจุดเด่นคือสามารถออกแบบวัคซีนรุ่นที่ 2 เพื่อตอบโต้เชื้อดื้อวัคซีนได้อย่างรวดเร็ว

โดนแล้ว!! ผู้ใช้งาน Facebook ในออสเตรเลียไม่สามารถเข้าถึง และแชร์เนื้อหาข่าวของสำนักข่าวทุกแห่งบนโลก ไม่เว้นแม้แต่สื่อในประเทศตัวเอง เช่นเดียวกันกับผู้ใช้งานในต่างประเทศ ที่จะไม่สามารถเข้าถึง และแบ่งปันเนื้อหาของสำนักข่าวจากออสเตรเลีย

นี่ถือเป็นการตอบโต้รัฐบาลแคนเบอร์รา (เมืองหลวงของเครือรัฐออสเตรเลีย) ที่ผลักดันกฎหมาย 'เก็บค่าข่าว' จาก Facebook

ทั้งนี้ มีรายงานว่า เพจบน Facebook ของหน่วยงานรัฐหลายแหงในออสเตรเลีย รวมถึงสำนักงานอุตุนิยมวิทยาแห่งชาติ และสำนักงานสาธารณสุขของหลายรัฐ ไม่สามารถเข้าถึงได้เช่นกัน

ขณะที่สำนักข่าวทุกแห่งในออสเตรเลียพร้อมใจกันวิพากษ์วิจารณ์สถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างหนัก ต่อมากระทรวงการสื่อสารในกรุงแคนเบอร์รา ออกแถลงการณ์ว่า รัฐบาลออสเตรเลียไม่ได้รับแจ้งล่วงหน้าว่า Facebook จะตัดสินใจแบบนี้ และเรียกร้องอีกฝ่ายกลับมาเชื่อมต่อระบบโดยเร็วที่สุด

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวของ Facebook เกิดขึ้นในเวลาเดียวกับที่สภาผู้แทนราษฎรของออสเตรเลีย ‘อยู่ในขั้นตอนสุดท้าย’ ของการพิจารณาและลงมติรับรองกฎหมายว่าด้วยการที่บริษัทเทคโนโลยีต้องบรรลุข้อตกลงเรื่องผลตอบแทนกับสำนักข่าว หรือบริษัทผู้ผลิตเนื้อหาในประเทศ ก่อนนำข้อมูลไปเผยแพร่บนแพลตฟอร์มเพื่อผลประโยชน์ทางการค้า โดยกฎหมายมีแนวโน้มได้รับความเห็นชอบสูงมาก เมื่อพรรคแรงงาน ซึ่งเป็นพรรคแกนนำฝ่ายค้าน ส่งสัญญาณสนับสนุน

นอกจาก Facebookแล้ว ในอีกด้านหนึ่ง ‘อัลฟาเบ็ต’ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล ก็ได้ขู่ว่าจะระงับการให้บริการในออสเตรเลียเช่นกัน แต่ต่อมามีรายงานว่า ผู้บริหารของกูเกิลบรรลุข้อตกลงกับ นิวส์ คอร์ปอเรชั่น อาณาจักรสื่อสารมวลชนของตระกูลเมอร์ด็อก ซึ่งเป็นเจ้าของสื่อใหญ่หลายแห่ง รวมถึง ฟ็อกซ์ นิวส์ และ เดอะ วอลล์ สตรีท เจอร์นัล เกี่ยวกับการซื้อขายข่าวแล้ว

อย่างไรก็ตามรัฐบาลสหรัฐยังไม่มีปฏิกิริยาอย่างเป็นทางการต่อการดำเนินการของ Facebook กับรัฐบาลออสเตรเลียในครั้งนี้ มีเพียงก่อนหน้าที่รัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคยประสานมายังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของออสเตรเลีย เพื่อขอมีการให้ระงับการพิจารณากฎหมายนี้เท่านั้น แต่ไม่ประสบความสำเร็จ


ที่มา: https://www.dailynews.co.th/foreign/826081

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิดเผยว่า หลังจากพบประชาชนกลุ่มที่ไม่มีสมาร์ตโฟนไปลงทะเบียนรับสิทธิโครงการเราชนะที่ธนาคารกรุงไทยจำนวนมาก ล่าสุดกระทรวงการคลังได้ขยายจุดให้บริการเพิ่มตั้งแต่วันที่ 22 ก.พ.นี้

โดยสามารถใช้บัตรประชาชนลงทะเบียนที่ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่ว่าการอำเภอ หรือผู้ใหญ่บ้าน โดยใช้มือถือเจ้าหน้าที่ลงทะเบียนเพื่อจดเลขบัตรประชาชน เพื่อส่งให้ธนาคารกรุงไทยต่อไป

"กระทรวงการคลังต้องขออภัยที่ประชาสัมพันธ์ไม่ชัดเจนในเรื่องระยะเวลาการลงทะเบียน ทำให้ทุกคนมาในวันแรกวันเดียว แต่คลังได้ขยายเวลาในการลงทะเบียนแล้วตั้งแต่วันที่ 15 ก.พ. - 25 มี.ค.นี้ และประสานผู้ว่าราชการทุกจังหวัด กรมสรรพากร กรมสรรพสามิตร ช่วยกันให้บริการและอำนวยความสะดวก แต่ผู้ให้บริการหลัก ยังเป็นพนักงานธนาคารกรุงไทยอยู่"

'อานนท์ นำภา’ ติดอันดับ TIME 100 NEXT เป็นผู้ทรงอิทธิพลต่อการเปลี่ยนอนาคต

เว็บไซต์ ไทม์ (TIME) ได้เผยแพร่ 100 บุคคลผู้ทรงอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงอนาคต ในปี 2021 TIME 100 NEXT โดยมีรายชื่อของ นาย อานนท์ นำภา ทนายความสิทธิมนุษยชนชื่อดัง ที่กำลังถูกคุมขังในความผิด ม.112 และไม่ได้รับสิทธิประกันตัว

โดย ไทม์ ได้ระบุว่า นายอานนท์ นำภา ทนายความสิทธิมนุษยชน ได้ขึ้นอภิปรายในชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ สร้างความสั่นสะเทือนให้กับประเทศไทย ซึ่งไทยนับเป็นพันธมิตรที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของสหรัฐ ในเอเชีย แต่ประชาธิปไตยของไทย ได้ถูกกัดกร่อน หลังจากการขึ้นมามีอำนาจของจีน

อานนท์ ได้ปลุกพลังคนไทยรุ่นใหม่ ด้วยการถอดรากของอำนาจทางการเมืองในไทย และแก้รัฐธรรมนูญที่ร่างโดยทหาร ทำให้เขาถูกจับกุมถึง 3 ครั้งในช่วงไม่กี่เดือน และการปลุกระดมฝูงชนให้ต่อต้านรัฐบาล แม้ว่าโควิด 19 จะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว และเศรษฐกิจของประเทศ แต่คนรุ่นใหม่ ก็ยังคงเข้าร่วมการเคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งนับได้ว่าใหญ่ที่สุดนับแต่การรัฐประหารปี 57 ที่ ผู้เชี่ยวชาญได้ระบุว่า สร้างความกดดันให้กับรัฐบาลทหาร

“ประชาชนป่วย และเหนื่อยในการใช้ชีวิต ภายใต้ระบบการปกครองแบบอดกลั้น” อานนท์ เปิดเผยกับไทม์ เมื่อปีที่แล้ว

ทั้งนี้ นอกจากนายอานนท์ นำภา แล้ว ไทม์ยังได้เลือกบุคคลผู้มีชื่อเสียง เข้ามาอยู่ในลิสต์ 100 รายชื่อครั้งนี้ อาทิ ซานนา มาริน นายกรัฐมนตรีหญิงแห่งฟินแลนด์ ซึ่งอายุน้อยที่สุดในโลก, ดูอา ลิปป้า นักร้องชื่อดัง, จอห์น เดวิด วอชิงตัน นักแสดงชาวอเมริกัน อดีตนักฟุตบอลอเมริกัน, เรกเก้ ฌอง เพจ นักแสดงจาก บริดเจอร์ตัน, อะแมนดา กอร์แมน กวีหญิงวัย 22 ปี ผู้ได้รับรางวัลกวีเยาวชนแห่งชาติคนแรกของสหรัฐ, อันยา เทย์เลอร์ จอย นักแสดงชื่อดัง จาก ควีน แกมบิต, โคโยฮารุ โกโตเกะ ผู้เขียนการ์ตูนชื่อดังแห่งปี ดาบพิฆาตอสูร และ มาร์คัส แรชฟอร์ด จาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด


ที่มา: https://www.matichon.co.th/politics/news_2583813

‘ศรีสุวรรณ จรรยา’ เตรียมยื่น ป.ป.ช. สอบ ‘สิระ เจนจาคะ’ ผิดจริยธรรมร้ายแรง ปม ทำเหรียญ ‘หลวงพ่อป้อม’ รุ่น ‘ป่ารอยต่อ’ ซัด ให้ข้อมูลอันเป็นเท็จต่อสาธารณชน

นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ตามที่นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ ได้จัดทำเหรียญทองคำรุ่น “หลวงพ่อป้อม” และรุ่น “ป่ารอยต่อ” ที่นำมาโชว์แสดงต่อสื่อมวลชนเมื่อเช้าของวันที่ 17 ก.พ.64 ที่ผ่านมา จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันของสาธารณชนเป็นจำนวนมากนั้น

กระทั่งช่วงบ่ายโมง นายสิระได้ออกมาแถลงอีกว่าการจัดทำเหรียญดังกล่าวที่เป็นใบหน้ารูป พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้รับอนุญาตจาก พล.อ.ประวิตรเรียบร้อย และท่านไม่ได้ว่าอะไร และตนได้นำเหรียญไปให้ พล.อ.ประวิตรดู ซึ่งท่านได้เป่าพร้อมให้พรเพื่อความเป็นสิริมงคล ขอให้คุ้มครองแคล้วคลาดจากศัตรูและคู่อริ

แต่ทว่าเมื่อเย็นของวันเดียวกัน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้กล่าวถึงกรณีนายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ จัดทำเหรียญทองคำรุ่น"หลวงพ่อป้อม" และรุ่น"วัดป่ารอยต่อ"ว่า ตนไม่รู้เรื่องและไม่เคยให้คำแนะนำการจัดทำเหรียญดังกล่าว และนายสิระไม่เคยมาปรึกษา และก็ไม่ได้เห็นด้วยที่จะให้ทำเหรียญดังกล่าว และอย่าเอาตนไปเกี่ยวข้อง ไม่สนับสนุน

กรณีดังกล่าว เป็นการชี้ให้เห็นว่า การนำเหรียญทองดังกล่าวมาแถลงข่าวในบริเวณรัฐสภาของนายสิระ ถือว่าเป็นเรื่องของผลประโยชน์ส่วนตน มิได้เป็นประโยชน์ใดๆแก่ประเทศชาติ อีกทั้งเป็นการให้ข้อมูลอันเป็นเท็จต่อสาธารณชน เพียงเพราะต้องการสร้างข่าวให้เกิดความหวือหวาหรือเพื่อการเป็นข่าวเท่านั้น

ซึ่งมิได้เกิดประโยชน์ใด ๆ ต่อสาธารณชนหรือประเทศชาติแต่อย่างใด และการแกะชื่อพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในเหรียญดังกล่าวก็ทำผิดทั้งชื่อและนามสกุล กลายเป็นที่ตลกขบขันของสื่อมวลชนและสาธารณชนทั่วไป ซึ่งการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายขัดต่อมาตรฐานทางจริยธรรมของ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ.2561 ข้อ 7 ข้อ 15 และข้อ 17 ที่ว่า “ต้องถือผลประโยชน์ของประเทศชาติเหนือกว่าประโยชน์ส่วนตน” “ต้องให้ข้อมูลข่าวสารตามข้อเท็จจริงแก่ประชาชนหรือสื่อมวลชนอันอยู่ในความรับผิดชอบของตน ถูกต้องครบถ้วนและไม่บิดเบือน” และ “ไม่กระทําการใดที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดํารงตําแหน่ง”

ด้วยเหตุดังกล่าวสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงจะนำความไปร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. ในวันศุกร์ที่ 19 ก.พ.64 เวลา 13.00 น. ที่สำนักงาน ป.ป.ช. นนทบุรี เพื่อให้ดำเนินการไต่สวน สอบสวนกรณีดังกล่าวว่าเข้าข่ายเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงหรือไม่ อย่างไร หาก ป.ป.ช.วินิจฉัยว่าฝ่าฝืนจักได้ดำเนินการส่งให้ศาลฎีกาพิพากษาในลักษณะเดียวกับปารีณา

ศาลสิงคโปร์ตัดสินจำคุกและปรับเงิน โจโลแวน แวม นักเคลื่อนไหวชาวสิงคโปร์ หลังจัดม็อบบนขบวนรถไฟใต้ดินและข้อหาอื่น ๆ

ศาลสิงคโปร์จำคุก 'โจโลแวน แวม' วัย 40 ปี เมื่อวันที่ 15 ก.พ. ที่ผ่านมา หลังรับสารภาพว่าจัดประท้วงเล็ก ๆ บนรถไฟใต้ดินโดยไม่ได้รับอนุญาต เมื่อเดือนมิถุนายน 2017 ซึ่ง แวม เผยว่า เขาจัดม็อบเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้แก่กลุ่มคน 22 คนที่ถูกจับกุมในปี 1987 ภายใต้กฎหมายโทษร้ายแรง จึงถูกสั่งให้กักขังได้โดยไม่ต้องพิจารณาคดี

นอกจากการประท้วงโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้ว แวมยังถูกตั้งข้อหาทำลายทรัพย์สิน เพราะไปติดประกาศบนหน้าต่างรถไฟ และข้อหาปฏิเสธลงนามในแถลงการณ์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องกับการประท้วง

แวมรับสารภาพผิดทั้ง 3 ข้อหา ซึ่งเขาจะถูกปรับเป็นเงิน 8,000 เหรียญสิงคโปร์ หรือประมาณ 180,000 บาท หรือรับโทษจำคุก 32 วัน โดยแวมเลือกที่จะจ่ายค่าปรับส่วนหนึ่งและรับโทษจำคุก 22 วัน

ทั้งนี้ ผู้พิพากษาระบุว่า แวมเป็นผู้กระทำความผิดซ้ำ เนื่องจากในปี 2016 เขาเคยถูกตัดสินโทษจำคุก 10 วันหลังจัดกิจกรรมทางการเมือง ซึ่งมี โจชัว หว่อง นักเคลื่อนไหวชื่อดังร่วมสนทนาผ่านทางสไกป์ด้วย


ที่มา: https://www.posttoday.com/world/645611

อิสราเอล พบ ตัวอ่อนในครรภ์ อายุ 25 สัปดาห์ ดับจาก โควิด-19 ครั้งแรก

สำนักข่าวกานนิวส์ของรัฐบาลอิสราเอล รายงานเมื่อวันอังคาร (16 กุมภาพันธ์ 2564) กรณีตัวอ่อนในครรภ์เสียชีวิตจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือ โรคโควิด-19 (COVID-19) ครั้งแรกในอิสราเอลหลังรับเชื้อจากแม่

รายงาน ระบุว่า หญิงวัย 29 ปี ซึ่งตั้งครรภ์อายุ 25 สัปดาห์ ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลในเมืองแอชดัดทางตอนใต้ หลังจากไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์ ต่อมาแพทย์พบว่าเด็กในครรภ์เสียชีวิตแล้ว จึงทำคลอดร่างของทารกออกมา

หญิงรายดังกล่าวมีอาการไข้เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และมีผลตรวจโรคโควิด-19 เป็นบวกที่โรงพยาบาล ขณะการทดสอบเพิ่มเติมบ่งชี้ว่าทารกในครรภ์ก็มีผลตรวจโรคเป็นบวกเช่นกัน

โรงพยาบาล เปิดเผยว่า กรณีดังกล่าวเป็นหนึ่งในไม่กี่กรณีในโลกที่ตัวอ่อนเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ขณะอยู่ในครรภ์ของผู้เป็นแม่


ที่มา: https://www.xinhuathai.com/high/178188_20210217


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top