Saturday, 21 June 2025
NEWS FEED

ทุกข์หลังสุข!! ‘แข้งเมียนมา’ สุดซวย!! ถูกสมาคมบอลมาเลเซียแบน หลังชูสามนิ้วดีใจ สะท้อนต้านคณะรัฐประหาร

เฮียน เทต อ่อง นักฟุตบอลเมียนมา ในตำแหน่งปีกวัย 19 ปี ของสโมสรสลังงอร์ ในลีกรองของมาเลเซีย ถูกสมาคมฟุตบอลมาเลเซีย หรือ FAM สั่งแบน 1 นัด จากเหตุการณ์ที่เขาได้แสดงความดีใจหลังทำประตูได้ ด้วยการชูสามนิ้ว เพื่อแสดงสัญลักษณ์ต่อต้านรัฐประหารในประเทศ ในการแข่งขันเมื่อวันที่ 6 มีนาคม ที่ต้นสังกัดเอาชนะ PDRM เอฟซี 3-0

แถลงการณ์ระบุว่า การกระทำเช่นนี้เป็นการกระทำที่ไม่มีน้ำใจนักกีฬา ตามระเบียบข้อที่ 59 เรื่องการแสดงภาษากายที่ไม่เหมาะสม และการพาดพิงถึงผู้อื่นอันเป็นการแสดงความแตกแยก

ทั้งนี้ แข้งรายนี้จะหมดสิทธิ์ลงสนามในเกมวันที่ 2 เมษายน ที่ต้นสังกัดจะเจอกับ เปรัค เอฟซี (ทีมสำรอง)

ทางด้าน เฮต ออง กล่าวหลังได้รับบทลงโทษดังกล่าวว่า “ผมถูกลงโทษฐานความประพฤติผิดในเกมฟุตบอล แต่ผมทำไปเพื่อจริยธรรมและมนุษยธรรม”

.
ที่มา: https://www.thairath.co.th/sport/thaifootball/changsuek/2058883


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

น้องภูผา อายุ 9 ขวบ เรียนอยู่ชั้น ป.2 โรงเรียนประจำแห่งหนึ่ง ในอำเภอเขาพนม จังหวัดกระบี่ ถูกรุ่นพี่ชั้น ป.5 และ ม.4 ทำโทษที่เข้าแถวไม่เป็นระเบียบ และถูกสั่งให้วิ่ง แต่น้องภูผาวิ่งไม่ไหวเพราะเจ็บขา รุ่นพี่ทั้ง 2 คน จึงใช้ยาซีม่า จำนวน 6 ขวด ราดตามร่างกาย

เป็นแผลพุพองโดยเฉพาะที่ขาหนีบและอวัยวะเพศ เป็นแผลมากที่สุด ต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเขาพนม กว่า 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา

ซึ่งขณะนั้น ผู้อำนวยการโรงเรียน ให้ข้อมูลที่แตกต่างกัน โดยยอมรับว่า รุ่นพี่ได้ทำโทษน้องภูผาจริง เพราะไม่รักษาความสะอาด จนเป็นหิด รุ่นพี่จึงใช้สำลีชุบยาซีม่า ทาที่ตัวน้องภูผาด้วยความหวังดี จนเป็นแผลพุพอง

ต่อมา นางจินตนาพร แม่ของน้องภูผา ยืนยันว่า น้องถูกรุ่นพี่ทำร้ายร่างกายอย่างแน่นอน ยอมรับยังคาใจในหลายประเด็นกับเรื่องที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะครูที่รู้ว่าน้องเป็นแผลตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม แต่กลับไม่ยอมพาไปส่งโรงพยาบาล พร้อมกับจะดำเนินคดีกับครู และ รุ่นพี่ทั้งสองคนให้ถึงที่สุด

ขณะที่ ผู้อำนวยการโรงเรียน เปิดเผยว่า ตอนนี้ได้ตั้งกรรมการสอบสวนครูแล้ว ส่วนรุ่นพี่ที่ทำร้ายน้อง ผลสอบเสร็จสิ้นแล้ว เกิดจากรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทางโรงเรียนได้ว่ากล่าวตักเตือน พร้อมทั้งตัดคะแนนความประพฤติตามระเบียบ และ ทางโรงเรียนไม่ได้นิ่งนอนใจ พร้อมเยียวยาช่วยเหลือเด็ก และครอบครัว

เรื่องนี้กลายเป็นกระแสร้อนทั้ง สื่อหลัก และสื่อออนไลน์ ตลอดช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมีบุคคลเข้ามาเกี่ยวข้องหลายฝ่าย อาทิ ผู้อำนวยโรงเรียน คณะครู นายอำเภอ สส.พื้นที่ และเจ้าหน้าที่ พมจ. รวมถึงนายจ้างของแม่น้องภูผา ขอให้ยุติไม่แจ้งความเอาผิดกับคนที่เกี่ยวข้อง ไม่เช่นนั้นจะให้ออกจากงาน

ความคืบหน้าวันนี้ ที่โรงพยาบาลเขาพนม ทางแม่ของน้องภูผา ซึ่งยังคงเฝ้าดูอาการป่วยของน้องมาอย่างต่อเนื่อง และมีลูกสาวและลูกชายพี่ๆ ของน้องที่มาคอยช่วยดูแล โดยอาการพบว่าบาดแผลพุพองได้หาย และตกสะเก็ดเกือบทั้งหมดแล้ว ยังมีเพียงเล็กน้อยในร่มผ้า และวันนี้แพทย์ได้อนุญาตให้กลับไปพักฟื้นต่อที่บ้านได้

โดยจะออกจากโรงพยาบาลในช่วงบ่ายวันนี้ ซึ่งวันนี้ได้มีครูของน้องเดินทางมาดูแลด้วย โดยได้นำหนังสือเรียนมาให้น้องทั้ง 3 คน ได้อ่านเพื่อเตรียมตัวสอบในสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นการสอบปลายภาค เพื่อไม่ให้การเรียนสะดุด และทางครูก็จะนำข้อสอบไปให้น้องทำที่บ้านต่ออีกด้วย

ขณะที่ แม่ของน้องภูผา บอกว่า อาการของน้องดีขึ้นมากแล้ว และขณะนี้จิตใจตนก็ดีขึ้นตามอาการของน้อง จึงได้ข้อสรุปว่า จะไม่ขอแจ้งความเอาผิดกับโรงเรียนทั้งในส่วนของนักเรียนรุ่นพี่ที่กระทำน้อง ครูที่ดูแล รวมถึงทางโรงเรียน และจะไปหาโรงเรียนใหม่ให้น้องทั้ง 3 คน เป็นโรงเรียน อ.เหนือคลอง เพราะบ้านของตนอยู่นั่น และขณะนี้ตนก็ได้งานใหม่แล้ว ก็เลยไม่หนักใจมากนัก แต่หากจะให้เรียนที่เดิม ก็จะลำบากตนเรื่องการเดินทางที่จะต้องไปมา 2 อำเภอ

ด้าน ครู บอกว่า ทาง ผอ.เป็นห่วงนักเรียนอย่างมาก จึงได้มอบหมายให้มาช่วยดูแลเรื่องการเรียนของเด็กที่ต้องต่อเนื่อง โดยจะดูแลจนกว่าจะสอบเสร็จ และหากทางแม่ต้องการให้เรียนที่โรงเรียนเดิม ทางโรงเรียนก็พร้อมที่จะดูแลอย่างเต็มที่ ส่วนหากจะย้ายโรงเรียนนั้นก็จะเดินเรื่องให้

ที่มา: https://www.thainewsonline.co/news/809181



สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

แกนนำม็อบส่งจดหมายเปิดผนึก เรียกร้องกองกำลังชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์ร่วมลุกขึ้นสู้ต่อต้านกองทัพ หลังกองกำลังด้านความมั่นคงของพม่าสังหารพลเรือนไม่หยุด หวังเบรกการประท้วงรัฐประหาร

จนถึงตอนนี้ มีรายงานข่าวว่ากองกำลังด้านความมั่นคงของพม่า ได้สังหารพลเรือนที่ออกมาประท้วงไปแล้วร่วม 510 ศพ ในช่วงระยะเพียงแค่เกือบ 2 เดือน เพื่อหยุดการประท้วงต่อต้านรัฐประหารในช่วงที่ผ่าน ถึงกระนั้นประชาชนหลายพันคน ก็ยังออกสู่ท้องถนนอีกครั้งในวันจันทร์ (29 มี.ค.) ส่งผลผู้เสียชีวิตยังคงเพิ่มขึ้นไม่หยุด 

จากข้อมูลของสมาคมช่วยเหลือนักโทษการเมืองพม่า (AAPP) เผยว่า มีพลเรือนเสียชีวิตเพิ่มอีก 14 ราย ในวันจันทร์ (29 มี.ค.) พร้อมกับอัปเดตตัวเลขของวันที่ผ่าน ๆ มา โดยปรับเพิ่มยอดผู้เสียชีวิตเมื่อวันเสาร์ (27 มี.ค.) ซึ่งเป็นวันนองเลือดที่สุดนับตั้งแต่รัฐประหาร เป็น 141 ราย

ทั้งนี้ เหตุการณ์อาจจะส่อบานปลาย หลังจากหนึ่งในกลุ่มหลักที่อยู่เบื้องหลังการประท้วง และคณะกรรมการนัดหยุดงานประท้วงทั่วประเทศแห่งชาติพันธุ์ (General Strike Committee of nationalities หรือ GSCN) ได้เรียกร้องในจดหมายเปิดผนึกบนเฟซบุ๊ก ร้องขอกองกำลังชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์ ช่วยผู้คนที่กำลังยืนหยัดต่อสู้กับการกดขี่ที่ไม่ยุติธรรมของกองทัพ

“มันจำเป็นที่องค์การติดอาวุธชาติพันธุ์ต่าง ๆ ต้องร่วมมือกันเพื่อปกป้องประชาชน” ทางกลุ่มระบุและเผยต่อว่า... 

“กองทัพพม่าอ้างความชอบธรรมการกุมอำนาจไว้นานหลายทศวรรษว่า อ้างว่าพวกเขาเป็นสถาบันเดียวที่มีศักยภาพสงวนไว้ซึ่งความสามัคคีของชาติ ส่วนการยึดอำนาจเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์นั้น และพวกเขาอ้างว่าศึกเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายนปีก่อน ที่พรรคของนางอองซาน ซูจี คว้าชัยชนะอย่างถล่มทลาย มีการโกงอย่างกว้างขวาง ทั้ง ๆ ที่คำกล่าวหาดังกล่าวนั้น ทางคณะกรรมการเลือกตั้งได้ปฏิเสธ” 

สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าว มีกระแสการต่อต้านจากทั่วโลกมากมาย เช่น ฟากทำเนียบขาวที่ออกมาประณามการเข่นฆ่าพลเรือนและการใช้กำลังถึงตายว่าเป็นเรื่อง ‘น่ารังเกียจ’ ของกองทัพพม่า ขณะที่ อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการใหญ่สหประชาชาติ เรียกร้องเหล่านายพลพม่า หยุดฆ่าและปราบปรามผู้ประท้วง
.
อย่างไรก็ตาม เสียงประณามจากต่างชาติและมาตรการคว่ำบาตรจากตะวันตกดูท่าจะล้มเหลวในการชักจูงการตัดสินใจของเหล่านายพลพม่า

ทั้งนี้ในส่วนของจีนและอินเดีย ได้ปฏิเสธการประณามรัฐประหาร ส่วนรัสเซียเน้นย้ำความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพม่า ด้วยการส่ง อเล็กซานเดอร์ โฟมิน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ไปร่วมพิธีสวนสนาม และให้คำสัญญากระชับความสัมพันธ์ทางทหาร โดยเครมลินอ้างว่ารัสเซียมีความสัมพันธ์ที่สร้างสรรค์กับพม่ามายาวนาน แต่พวกเขาก็ไม่ได้เห็นด้วยกับเหตุการณ์ที่น่าเศร้าต่าง ๆ ในพม่า 

ที่มา: https://mgronline.com/around/detail/9640000030136


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

รัฐบาลญี่ปุ่น มีมติห้ามใช้ Line ส่งข้อมูลลับ หวั่นรั่วไหลถึงจีน หลังพบวิศวกร Line ในจีนเข้าถึงข้อมูลลูกค้ามาตั้งแต่ปี 2561

นายคัตสึโนบุ คาโตะ หัวหน้าเลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น กล่าวว่า รัฐบาลญี่ปุ่นมีมติห้ามการใช้แอปพลิเคชัน Line ส่งข้อมูลที่มีความอ่อนไหวเป็นการชั่วคราว

การตัดสินใจดังกล่าวมีขึ้น หลังจากที่สื่อรายงานว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคของบริษัทในเครือของ Line ที่ตั้งในจีน สามารถเข้าถึงข้อมูลของลูกค้าในญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 2561 ซึ่งได้แก่ ข้อมูลเกี่ยวกับชื่อของผู้ใช้บริการ หมายเลขโทรศัพท์ และอีเมลแอดเดรส

นายคาโตะ ระบุว่า รัฐบาลจะระงับการใช้ Line เมื่อมีการส่งข้อมูลที่มีความอ่อนไหว และจะจัดตั้งคณะทำงานเพื่อออกแนวปฏิบัติในไม่ช้า 

ทั้งนี้ Line ถือเป็นแอปพลิเคชันยอดนิยมในโลกออนไลน์ โดยมีผู้ใช้บริการกว่า 86 ล้านรายในญี่ปุ่น รวมทั้งมีผู้ใช้บริการจำนวนมากในไทย ไต้หวัน และอินโดนีเซีย

ที่มา : https://www.infoquest.co.th/2021/74209


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

สื่อรัสเซียได้รายงานว่า ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน เกิดอาการข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์เล็กน้อยหลังได้รับวัคซีน Covid-19 เข็มแรกเมื่อวันอังคารที่ 23 มีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการฉีดวัคซีนแบบส่วนตัวในห้องปิด และไม่ได้นำเสนอภาพการฉีดวัคซีนออกสื่อ

และเมื่อวันอาทิตย์ ปูตินก็ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อรัสเซียว่า เขามีอาการปวดกล้ามเนื้อ ในเช้าวันถัดมา แต่พอใช้ปรอทวัดไข้แล้ว อุณหภูมิร่างกายก็ปกติ ไม่มีปัญหาอะไร ซึ่งวัคซีนที่ปูตินได้รับ ก็ไม่มีการเปิดเผยว่าเป็นวัคซีนตัวไหน เพียงแต่รู้ว่าเป็นวัคซีนที่พัฒนาโดยรัสเซียเอง ซึ่งนอกจากปูตินแล้ว ก็มีเพียงแพทย์ 3 คน ที่รับหน้าที่ฉีดวัคซีนให้กับปูตินเท่านั้นที่รู้

ตอนนี้ ที่รัสเซียสามารถพัฒนาวัคซีน Covid-19 ในประเทศได้แล้วถึง 3 ตัว วัคซีนจากรัสเซียที่ทั่วโลกรู้จักมากที่สุดคือ Sputnik-V ที่มีผลการทดสอบว่าสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันโรค Covid-19 ได้สูงถึง 92%

ส่วนวัคซีนล่าสุดอีก 2 ตัว ซึ่งอยู่ในช่วงการรอผลการทดสอบในขั้นสุดท้าย แต่ทางรัฐบาลรัสเซียได้รับรองแล้ว คือ EpiVacCorona และ CoviVac

ซึ่งวัคซีน Covid-19 ที่ฉีดให้แก่ปูติน คือ 1 ใน 3 วัคซีนจากรัสเซีย แต่เนื่องจากปูตินไม่ยอมเปิดเผย และไม่ยอมให้แพร่ภาพการฉีดวัคซีนของตัวเองออกสื่อ จึงเปิดช่องให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ โดยสื่อฝ่ายตรงข้ามว่า เป็นแค่การฉีดทิพย์ ไม่ได้มีการฉีดวัคซีนจริงๆ เป็นแค่น้ำตาลกลูโคสต่างหาก

ถึงจะโดนโจมตีแรง แต่ฝ่ายรัฐบาลก็ออกมายืนยันว่า ปูตินได้รับวัคซีนแล้วจริง ๆ หลังจากฉีดแล้วก็มาทำหน้าที่ตามปกติในวันถัดมา ส่วนผลข้างเคียงมีเพียงอาการปวดกล้ามเนื้อตามคำให้สัมภาษณ์ของปูตินเมื่อช่วงสุดสัปดาห์เท่านั้น

แต่การที่ปูตินไม่ยอมให้นำเสนอภาพการฉีดวัคซีนออกสื่อสาธารณะ จึงกลายเป็นประเด็นที่ถูกนำไปเปรียบเทียบกับผู้นำชาติอื่นๆ โดยเฉพาะ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐ และ บอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ที่ให้สื่อมวลชนถ่ายทอดสด ช่วงที่ได้รับวัคซีน ให้ประชาชนเห็นกันจะ ๆ ว่าฉีดแล้ว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในความปลอดภัยของวัคซีน

และรัสเซียก็เป็นหนึ่งในประเทศแรก ๆ ที่สามารถพัฒนาวัคซีน Covid-19 ได้สำเร็จ โดยมีการนำเอาชื่อ Sputnik ที่เป็นดาวเที่ยมดวงแรกของโลก ที่สร้างขึ้นในยุคสหภาพโซเวียต และเป็นหนึ่งในความภูมิใจของชาวรัสเซียมาตั้งเป็นชื่อวัคซีน และมีการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพในการป้องกันได้ถึง 92% ซึ่งรัสเซียก็เป็นชาติแรกๆในยุโรปอีกเหมือนกันที่เดินหน้าโปรแกรมฉีดวัคซีนทั่วประเทศ

และปูตินก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์เองว่า ตอนนี้มีชาวรัสเซียมากกว่า 4.3 ล้านคน รับวัคซีน Sputnik-V ครบ 2 เข็มไปแล้ว และมั่นใจว่าจะสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในรัสเซียได้ไม่เกินช่วงฤดูร้อน หรือราว ๆ เดือนสิงหาคมของปีนี้

แต่จากผลสำรวจล่าสุดกลับพบว่า มีชาวรัสเซียมากถึง 2 ใน 3 ลังเลใจที่จะมารับวัคซีน Sputnik-V เพราะกลัวผลข้างเคียง และไม่เชื่อมั่นในข้อมูลของรัฐบาล ทั้ง ๆ ที่มีการทุ่มงบประมาณอย่างมากเพื่อรณรงค์ให้ชาวรัสเซียเข้ามาฉีดวัคซีน จึงทำให้โปรแกรมวัคซีนของรัสเซียยังคงหลุดเป้า

เพราะถึงจะออกแคมเปญ โฆษณามากมายเพียงใด แต่ถ้าคนระดับผู้นำอย่างวลาดิมีร์ ปูติน ยังต้องแอบฉีดในที่ลับตา และปิดข้อมูลเป็นความลับ ก็คงยากที่จะให้ชาวรัสเซียมั่นใจได้ว่า ตกลงปูติน ฉีดวัคซีนจริงๆ หรือเป็นเพียงยาหลอกที่ทำจากน้ำตาลกลูโคส

เห็นท่าว่า ท่านป๋าปูติน ผู้มีภาพลักษณ์แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี ต้องออกสื่อฉีดวัคซีนโชว์ให้ดูจริงๆสักเข็ม วัดกันแบบใจๆไปเลย เหมือนลุงที่บ้านเราซะแล้วหล่ะมั้ง

.

อ้างอิง:

https://www.express.co.uk/news/world/1416167/Covid-latest-vladimir-putin-russian-vaccine-sputnik-v-pandemic-lockdown-rossiya-petrov-ont

https://www.dw.com/en/two-more-russian-vaccines-what-we-do-and-dont-know/a-56811025


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

ปักกิ่งประกาศต่อสาธารณะต่อสหรัฐอเมริกา และแคนาดาในวันเสาร์ (27 มีนาคม) ต่อการที่ชาติตะวันตกเข้ามาวิพากษ์วิจารณ์ต่อการที่ปักกิ่งปฏิบัติต่อมุสลิมอุยกูร์ในเขตปกครองตนเองซินเจียงอย่างไร้มนุษยธรรม

ด้าน วอชิงตันชี้ ยิ่งจีนตอบโต้ยิ่งทำให้เพิ่มความสนใจต่อปัญหาซินเจียงจากทั่วโลกมากขึ้น

ก่อนหน้านี้เอเอฟพีรายงานว่า รัฐบาลปักกิ่งสั่งจับชนกลุ่มน้อยอุยกูร์ไม่ต่ำกว่าล้านคนให้อยู่ภายในค่ายกักกัน อ้างอิงจากกลุ่มสิทธิมนุษยชน และยังมีการใช้กำลังบังคับจับหญิงชนกลุ่มน้อยเหล่านี้ทำหมันโดยไม่สมัครใจ รวมไปถึงการใช้แรงงานบังคับ และส่งผลให้สหภาพยุโรป, อังกฤษ, แคนาดา และสหรัฐฯ ออกคำสั่งคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่จำนวนไม่กี่คนของซินเจียงที่อยู่ในระดับทางการเมือง และเศรษฐกิจต่อปัญหานี้

ทันทีที่เหตุการณ์ล่วงล้ำเรื่องราวอุยกูร์ในซินเจียงขยายวง ทำให้จีนได้ออกแถลงการณ์ประณามอังกฤษโดยชี้ว่า ลอนดอนได้ออกมาตรการลงโทษคว่ำบาตรต่อจีนแต่ฝ่ายเดียว เพื่อลงโทษบุคคลต่อประเด็นสิทธิมนุษยชนซินเจียง โดยระบุว่า ความเคลื่อนไหวนี้ไม่ตั้งอยู่บนพื้นฐานใด นอกจากคำโกหก และข้อมูลเท็จ และขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ และประเพณีพื้นฐานการกำกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ยุ่งเกี่ยวกิจการภายในของจีนอย่างเลวร้าย รวมไปถึงบั่นทอนความสัมพันธ์จีน-อังกฤษ

โดยกลุ่มในอังกฤษที่ตกเป็นเป้าหมายการคว่ำบาตรของจีนในครั้งนี้ ได้ครอบคลุมไปถึงสมาชิกรัฐสภาสามัญชนผู้ดี 5 คน และสภาขุนนางอังกฤษอีก 2 คน และรวมไปถึงนักกฎหมาย และนักวิชาการ

นอกจากนี้ยังมีอีก 4 องค์กรที่ถูกคว่ำบาตรได้แก่ กลุ่มวิจัยจีน (China Research Group) คณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนพรรคคอนเซอร์เวตีฟ (Party Human Rights Commission) องค์กรตรวจสอบอุยกูร์ อุยกูร์ ทริบูนอล (Uyghur Tribunal) และองค์กรทางกฎหมาย Essex Court Chambers

ขณะเดียวกันยังมีการคว่ำบาตรของจีนต่อสหรัฐฯ และแคนาดา โดยทางปักกิ่งให้เหตุผลว่า ต้องการตอบโต้เนื่องมาจากวอชิงตัน และออตตาวาใช้สิทธิ์คว่ำบาตรบนพื้นฐานของข่าวลือ และข้อมูลที่เป็นเท็จ

โดยกระทรวงต่างประเทศจีนระบุว่า สมาชิก 2 คนของคณะกรรมาธิการด้านเสรีภาพทางศาสนาระหว่างประเทศประจำสภาคองเกรสสหรัฐฯ 2 คนและสมาชิกรัฐสภาแคนาดา 1 คน รวมไปถึงสมาชิกคณะกรรมาธิการด้านสิทธิมนุษยชนประจำรัฐสภาแคนดา 1 คนถูกห้ามเดินทางเข้าจีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกง และมาเก๊า

การตอบโต้ทางการทูตระหว่างปักกิ่ง และชาติตะวันตกเกิดขึ้นหลังจากก่อนหน้าปัญหาฝ้ายซินเจียงปะทุจนเป็นประเด็นหลังเสื้อผ้าแบรนด์ดังชาติตะวันตกเข้าร่วมขบวน เป็นต้นว่า ร้านเสื้อผ้าชื่อดังสวีเดน H&M ออกมาปฏิเสธที่จะไม่ซื้อฝ้ายจากซินเจียงที่เชื่อว่ามีการใช้แรงงานบังคับของมุสลิมอุยกูร์ ซึ่งในแถลงการณ์ของ H&M ปีที่แล้วทางบริษัทยืนยันว่า ไม่มีความร่วมมือกับบริษัททอผ้าตั้งอยู่ในเขตปกครองตนเองซินเจียงสำหรับผลิตภัณฑ์ของบริษัท อ้างอิงจากหนังสือพิมพ์เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์รายงาน

เอเอฟพีรายงานว่า ผลจากปัญหาฝ้ายซินเจียงทำให้ดาราชื่อดังของจีน และบริษัทไฮเทคต่างแห่ถอนตัวจากการเป็นพันธมิตรทางการค้ากับไนกี้ H&M อดิดาส เบอร์บิวรี และแคลวิน ไคลน์

.

ที่มา: https://mgronline.com/around/detail/9640000029511?fbclid=IwAR0DnHsmKBd2nzgwXocbRJ5x8aNuM8uBfeBnrUagA2ObgTLnnq8oier6xkk


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

เอย่าได้ดูคลิปที่หลายคนจะเรียกได้ว่าเป็นคลิปเรียกน้ำตาแห่งปีก็ว่าได้ เมื่อ มิสแกรนด์เมียนมา ‘ฮันเลย์’ (Han lay) ใช้เวทีประกวดขอให้นานาชาติเข้ามาช่วยประเทศของเธอ เพราะตอนนี้ทหารกำลังเข่นฆ่าประชาชน

สำหรับคนที่ไม่อยู่ในเมียนมาตอนนี้ คงน้ำตาท่วมจอแล้วบอกว่า ทหารเมียนมาช่างเป็นคนโหดร้ายฆ่าคนเป็นผักเป็นปลา แต่สำหรับ เอย่า ที่อยู่ในเมียนมาตอนนี้ อยากตั้งคำถามไปยัง ฮันเลย์ ว่า “ทำไมเธอพูดความจริงเพียงครึ่งเดียวล่ะ”

อย่างที่คนไทยทราบดีว่าเวทีมิสแกรนด์นี้ เป็นเวทีประกวดนางงามที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นเวทีเรียกแขกได้ตลอด ตั้งแต่ผู้จัดที่เอียงข้าง จนถึงตัวแทนประเทศไทยที่จะเรียกได้ว่าได้ตำแหน่งเพราะถอดแบบผู้จัดออกมาแบบด้ามเดียวกัน โดยเฉพาะทัศนคติทางการเมืองที่สุดโต่งแบบค้านระบอบการปกครองของไทยที่เป็นประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

แต่ดูเหมือนว่าทุกสิ่งสุดโต่งของเวทีนี้จะไม่ได้สะเทือนแค่ในประเทศไทยเท่านั้น เมื่อตัวแทนมิสแกรนด์คนนี้ได้ขึ้นพูดสุนทรพจน์ด้วยน้ำตาประหนึ่งว่าช่วยผู้คนของเธอด้วย และพยายามบอกว่าประชาชนของพวกเขากำลังโดนฆ่าด้วยทหารของพวกเขาเอง เอย่าว่านี่มันไม่ใช่แล้ว

อันแรกฮันเลย์ ถ้าเธอจำได้ เมื่อหลายปีก่อนผู้นำหญิงที่เธอรักตอนนั้นได้ร่วมมือกับทหารในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โรฮิงญา แม้ต่างประเทศจะประณามอย่างไร จะถอดรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพอย่างไรก็ตาม ‘โนสน โนแคร์’ ทำไมเธอไม่พูดล่ะ หรือเพราะนั่นเป็นผู้นำที่เธอรัก

อย่างว่าแหละ…รักใครชอบใคร ตดที่ว่าเหม็นก็ยังหอม!!

เรื่องต่อมาทำไมเธอไม่พูดให้ครบล่ะว่าภาพที่เกิดขึ้นหลายๆ ภาพในประเทศเธอทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นการปิดกั้นถนนด้วยวัสดุต่างๆ ก็ดี หรือล่าสุดคือการเผายางกลางถนนก็ดี มันไม่ได้เป็นฝีมือของทหาร แต่เป็นฝีมือของชาวบ้านที่ข่าวใช้คำว่าผู้ก่อการร้าย

ในเมียนมาตอนนี้ไม่มีผู้ก่อการร้ายหรอก มีแต่ผู้ประท้วงหัวรุนแรงเท่านั้นแหละ!!

ทำไมเธอไม่พูดให้หมดละว่าทำไมคนเมียนมาที่เขาไม่ยอมรับในอำนาจทหารแต่เขาเลือกจะอยู่ที่บ้าน ไม่ออกไปประท้วงหรือไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้ประท้วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่เป็นแกนนำ ก็ไม่เสียชีวิต

ทำไมเธอไม่พูดล่ะว่าการที่ทหารบุกค้นบ้านพักหรือสถานที่ใดๆ ก็ดี เขาเรียกให้เปิดก่อน แต่ด้วยคนในบ้านไม่เปิดไม่ตอบ เขาถึงต้องใช้กำลังในการบุกเข้าไป

อย่าลืมสิว่าเขาเข้าตรวจค้นนะ จะรอให้พวกคุณทำลายหลักฐานก่อนก็คงไม่ใช่!!

ความสูญเสียที่เกิดขึ้นตามภาพข่าวนั้น พวกคุณน่าจะรู้ดีนะ บ้านพม่าไม่ใช่หลังใหญ่ขนาดคนเคาะประตูหน้าห้องแล้วจะไม่ได้ยิน ถ้าคุณรีบเปิดประตู ความสูญเสียจากการใช้กระสุนปืนคงไม่เกิดขึ้น คงไม่ต้องบอกนะว่า เอย่า กำลังพูดถึงกรณีไหน? หลายๆ คนคงทราบดี

ถามว่าทำไมถึงรู้? เพราะการบุกค้นไม่ได้เกิดขึ้นกับแค่บ้านหรือสำนักงานของคนเมียนมาเท่านั้น แม้แต่สำนักงานที่มีเจ้าของเป็นชาวต่างชาติเขาก็ค้น แต่ถ้าเราไม่ขัดขืน ทำตามที่เขาบอก เขาอยากดูอะไร เช็คอะไร เปิดให้เขาดู

คุณรู้ไหมฮันเลย์ ตำรวจและทหารที่เข้าตรวจค้น เขาพูดว่าอะไร เขาบอกว่า “ขอโทษนะครับที่ทำให้พวกคุณกลัว พวกผมทำไปตามหน้าที่ครับ”

ถามว่าคำพูดแบบนี้ทำไมมันไม่เคยปรากฎต่อหน้าสื่อละ เพราะพูดไปใครๆ ก็หาว่าโกหกไงละ เพราะคนพม่าเลือกจะเชื่อไปแล้ว

สุดท้ายในเมื่อคุณเลือกที่จะ ‘หาแสง’ คุณอย่ามาอ้างว่าคุณกลับประเทศคุณไม่ได้ คุณสามารถดำเนินการกลับประเทศคุณได้นะ โดยติดต่อสถานทูตเมียนมาประจำประเทศไทย ไม่ต้องทำอะไรเลยจ้า แค่ยื่นพาสปอร์ต ลงชื่อไว้ เดี๋ยวเดือนหน้ามี Relieve Flight ทางสายการบินก็ติดต่อคุณเพื่อซื้อตั๋วก็แค่นั้น

แถมไม่ต้องมีการตรวจโควิดหรือทำเอกสาร Fit to Fly ก่อนบินด้วยนะไม่เหมือนคนต่างชาติ…อ้อ ได้ข่าวว่าต้นเดือนเมษายนนี้นี่ มีไฟลท์ คุณก็กลับได้แล้ว อย่าใช้คำอ้างว่าอันตรายแล้วตีเนียนขอลี้ภัยใช้ประเทศไทยเพื่อมาสร้างปัญหาในประเทศเมียนมา

ส่วนคนไทยในคลิปที่อ้างว่านางกลับไปเมียนมาไม่ได้นั้น ไม่ใช่นะจ๊ะ คนเมียนมาไม่มีเงิน เดินทางโดยเครื่องบินไม่ได้หรอก การที่นางมาได้ นางต้องประเมินค่าใช้จ่ายสำหรับตอนกลับไว้แล้ว สิ่งที่นางได้กระทำบนเวทีมิสแกรนด์นั้น นางก็แค่เป็นเหมือนดาราจำนวนหนึ่งที่ไม่เอาด้วยกับการรัฐประหารครั้งนี้

อย่ามาหากินกับวิกฤตบ้านเมืองตัวเอง ถ้าอยากออกตัวแรงวิ่งหาแสง ก็ควรจะรับผิดชอบโดยไปร่วมชุมนุมกับผู้เรียกร้องของเธอนะ อย่ามาเสวยสุขกินหรูอยู่สบายในไทย แล้วปล่อยให้พี่น้องที่เธอบอกว่าทหารกำลังฆ่าพวกขาตายนั้นถูกฆ่าไป โดยอ้างว่ากลับไปไม่ได้

เลือกจะพูดแล้วก็ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่พูดนะคะ เอย่าหวังว่าทางการไทยคงไม่ปล่อยให้นางเป็นคนที่จะสร้างปัญหาในประเทศไทยนะคะ ทุกวันนี้ลำพังปัญหาคนกลุ่มนี้ในประเทศไทยก็มากมายเหลือคนานับแล้ว เป็นเอย่าจะรีบส่งกลับประเทศเมียนมาให้ไวเลยค่ะ

.

ที่มา: AYA IRRAWADEE


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

"สิระ" ซัด "อมรัตน์" หยุดสะตอ ชี้! เลือกปฏิบัติ ย้อน! เคยไปดูตำรวจที่บาดเจ็บบ้างหรือไม่ แนะ ปชช.จำหน้าคนผลาญภาษีให้ดี ครั้งหน้าอย่ากาผิดอีก

วันที่ 29 มีนาคม 2564 นายสิระ เจนจาคะ ส.ส. กทม.พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ระบุว่ายาเสพติดที่อ้างว่าตรวจค้นเจอในหมู่บ้านทะลุฟ้า ยืนยันไม่ได้ว่าเป็นเรื่องจริง รวมไปถึงเซ็กส์ทอย ถุงยางอนามัย เป็นของกลุ่มหลากหลายทางเพศที่นำเข้าไปจัดกิจกรรมนิทรรศการนั้น นางอมรัตน์ต้องหยุดสะตอ...ก่อน หยุดเอานิสัยตัวเองมาเป็นบรรทัดฐานชี้ว่าคนอื่นเขาจะต้องทำเหมือนตัวเองคิด แต่ละครั้งที่ออกมาแพล่ม ลักษณะเหมือนคนอ่านนิยายเยอะ มโนภาพ จินตนาการเก่ง น่าจะเหมาะกับอาชีพนักแต่งเรื่องมากกว่า ส.ส.

นายสิระ กล่าวต่อว่า นางอมรัตน์น่าจะเบอร์ต้นๆ ของพรรคก้าวไกลที่เที่ยวตระเวนไปประกันตัวพวกอันธพาลป่วนเมือง ก่อม็อบทำผิดกฎหมายทุกครั้ง แต่กลับไม่เคยเห็นนางอมรัตน์พูดถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ถูกทำร้ายร่างกายจนบาดเจ็บ หรือเสียชีวิตขณะปฎิบัติหน้าที่ในการชุมนุมแม้แต่ครั้งเดียว ทั้ง ๆ ที่ 2 ฝ่ายก็คือสถานะคนไทยทั้งคู่ ทำไมถึงเลือกปฎิบัติ นี่หรือคือความคิดของคนที่เข้ามาเป็นตัวแทนประชาชน ตนขอฝากไปถึงประชาชนที่เคยลงคะแนนเลือกพรรคการเมืองนี้เข้ามา ผ่านมา 2 ปี ส.ส.แต่ละคนของพรรคทำประโยชน์อะไรให้พวกท่านบ้างหรือไม่ จำหน้าคนพวกนี้ที่เข้ามาผลาญภาษีประชาชนให้ดี การเลือกตั้งครั้งต่อไปจะได้ไม่กาผิดพลาด

นายสิระ กล่าวต่อว่า การชุมนุมในวันนี้มีการพัฒนาขึ้นอีกระดับหนึ่ง ช่วงแรกยังเจอแค่เครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ แต่เมื่อวานนี้หมู่บ้านทะลุฟ้าพบทั้งถุงยางใช้แล้ว เซ็กซ์ทอย ยาเสพติด ทำให้ปฎิเสธไม่ได้ว่า ผู้ชุมนุมมีพฤติกรรมมั่วเซ็กส์ มั่วยา ออกมาชุมนุมเพราะต้องการมีแหล่งมั่วสุม ตนก็ขอเตือนให้ผู้ปกครองดูแลบุตรหลานของท่านด้วย นอกจากเรื่องการติดคุก ติดตารางจนหมดอนาคตแล้ว วันนี้สิ่งที่ต้องระวังคือเยาวชนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์กำลังจะตกเป็นเหยื่อทางเพศและยาเสพติด หลอกใช้ให้กระทำผิดกฎหมาย

รัฐบาลอังกฤษ นำโดยนายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสัน ได้ออกกฎใหม่ที่จะมีผลบังคับใช้ทั่วเกาะอังกฤษ ให้สถานที่ราชการทุกแห่งในอังกฤษ เวลส์ และ สก็อตแลนด์ ต้องเชิญธงชาติอังกฤษทุกวัน เพื่อปลุกจิตสำนึกความภาคภูมิใจในความเป็นชาวอังกฤษ

โดยปกติธงชาติอังกฤษจะมีการเชิญสู่ยอดเสาในสถานที่ราชการเฉพาะช่วงวันสำคัญเท่านั้น อาทิ วันเฉลิมพระชนม์พรรษา สมเด็จพระราชินีนาถอลิซเบธที่ 2 ซึ่งในแต่ละปีจะมีพิธีเชิญธงประมาณ 20 วัน

แต่หลังจากที่อังกฤษได้ Brexit ออกจากสมาชิกสหภาพยุโรปโดยสมบูรณ์แล้ว จึงต้องการที่จะปลุกจิตสำนึกความภาคภูมิใจในชาติอังกฤษให้คืนกลับมา โดยทางกระทรวงวัฒนธรรมได้เสนอให้เชิญธงชาติอังกฤษเป็นประจำทุกวันนับจากนี้ เพื่อให้ธง Union Jack เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคนในชาติ

ขณะเดียวกันหากบางสถานที่ราชการมีเสาเชิญธง 2 เสา ที่บางโอกาสต้องเชิญธงสัญลักษณ์มากกว่า 1 ผืน ก็ต้องให้ธงอังกฤษอยู่สูงกว่าธงชาติอื่นเสมอด้วย

สำหรับธง Union Jack ของอังกฤษ เริ่มใช้ครั้งแรกในปี 1606 ในสมัยพระเจ้าเจมส์ ที่ 1 ซึ่งตรงกับสมัยของสมเด็จพระเอกาทศรถของไทย ที่ออกแบบโดยการรวมเอาธงชาติอังกฤษ, สก็อตแลนด์ และไอร์แลนด์ ไว้ด้วยกัน และใช้เป็นธงชาติของสหราชอาณาจักรมาจนถึงทุกวันนี้

ส่วนเรื่องระเบียบพิธีการเชิญธงอังกฤษเคยมีการถกเถียงกันในสภาอังกฤษมาก่อนในช่วงปี 2008 โดยนายกรัฐมนตรี กอร์ดอน บราวน์ แห่งพรรคแรงงาน ต้องการให้หน่วยงานภาครัฐแต่ละแห่งตัดสินใจกันเองว่าช่วงเวลาไหน วันไหน ที่จะเชิญธงชาติขึ้นที่หน้าสำนักงาน โดยไม่จำเป็นต้องมีระเบียบข้อบังคับ

แต่พอมาถึงสมัยของนายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสัน จากพรรคอนุรักษ์ ผู้เป็นแกนนำในการพาอังกฤษออกจากสมาชิกภาพ EU ได้สำเร็จ ต้องการดึงความรู้สึกรัก และความภาคภูมิใจในชาติผ่านสัญลักษณ์ธงชาติ ที่ควรมีการเชิญขึ้นสู่ยอดเสาในสถานที่ราชการทุกแห่งเป็นประจำทุกวัน ทั้งอังกฤษ เวลส์ และ สก็อตแลนด์ ที่ยังมีประเด็นการเคลื่อนไหวเพื่อแยกประเทศออกจากสหราชอาณาจักร

แต่ระเบียบข้อบังคับนี้ ยังไม่ครอบคลุมถึงฝั่งไอร์แลนด์เหนือ ที่ยังคงให้สิทธิ์แก่รัฐบาลท้องถิ่นในการตัดสินใจเรื่องระเบียบการใช้ธงชาติเอง

อย่างไรก็ตาม ได้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากทางผู้แทนฝ่ายพรรคชาติสก็อต หรือ SNP ที่แสดงความไม่เห็นด้วยเรื่องกฏระเบียบการเชิญธงชาตินี้ อย่างเผ็ดร้อนว่า “รัฐบาลพรรคอนุรักษ์น่าจะเน้นเรื่องการแก้ปัญหาปากท้องของประชาชนมากกว่าจะมาวุ่นวายเรื่องการเชิญธงชาติ และต่อให้มีธง Union Jack ติดให้เห็นทุกเสาไฟฟ้า ก็ไม่ได้ช่วยให้กระแสการต้องการแยกประเทศของชาวสก็อตแลนด์ลดน้อยลงแต่อย่างใด และชาวเวลส์ก็น่าจะรู้สึกเช่นเดียวกัน”

ถึงกระนั้นฟากรัฐบาลอังกฤษ ก็ยังคงมั่นใจในนโยบายเรื่องธงชาติ เพราะเชื่อว่าชาวอังกฤษเป็นจำนวนมากโหยหาความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และธง Union Jack ก็มีประวัติศาสตร์อันยานนาน ผ่านร้อน ผ่านหนาวคู่กับชาวอังกฤษมาหลายยุคสมัย ที่ทำให้ชาวอังกฤษได้ระลึกถึงความยิ่งใหญ่ของประเทศ

ก็คงต้องมาดูว่าชาวอังกฤษส่วนใหญ่จะคิดเช่นเดียวกับรัฐบาลหรือไม่ เมื่อเห็นธงชาติโบกสะบัดไหว บนยอดเสาในทุกๆ วันนับจากนี้

.

อ้างอิง

https://www.bbc.com/news/uk-politics-56514501

https://www.theguardian.com/politics/2021/mar/24/government-buildings-to-fly-union-jack-every-day-under-new-rules

https://www.euronews.com/2021/03/24/union-jack-flag-must-be-flown-on-all-government-buildings-uk-decrees


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

ผู้ปกครองแห่แจ้งความเอาผิดผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดสระบุรี ภายหลังชักปืนข่มขู่จ่อหัวนักเรียน ขณะที่เจ้าตัวอ้างไม่ใช่ปืนจริงเป็นแค่ปืนยิงนก

ผู้ปกครองนักเรียนโรงเรียนประถมศึกษาแห่งหนึ่งในพื้นที่อำเภอหนองโดน จังหวัดสระบุรี รวมตัวกันกว่า 20 คน เดินทางเข้าพบผู้อำนวยการโรงเรียน เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ภายหลังมีนักเรียนชั้น ป.4 และ ป.5 รวม 4 คน ระบุว่าถูกผู้อำนวยการโรงเรียนใช้ปืนจ่อหัว ขณะนั่งเรียนหนังสืออยู่ในห้องเรียน ซึ่งเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา

การเจรจาครั้งนี้มี นายสันทัศน์ รันดาเว นายอำเภอหนองโดน ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ดำรงธรรมอำเภอหนองโดน เป็นคนกลางเข้าเจรจา ระหว่างผู้อำนวยการโรงเรียนและกลุ่มผู้ปกครอง

แต่ก็ยังไม่ได้รับการชี้แจงจากทางผู้อำนวยการโรงเรียนแต่อย่างใด ทำให้หลายคนไม่พอใจ โดยเฉพาะผู้ปกครองของนักเรียน 3 คนที่ถูกกระทำ จึงชักชวนกันไปแจ้งความที่ สภ.หนองโดน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย นอกเหนือจากร้องเรียนเอาผิดทางวินัย

จากการสอบถามนักเรียนที่ถูกกระทำดังกล่าว ต่างก็ยืนยันว่าไม่ได้ทำอะไรผิด หรือมีความขัดแย้งกับผู้อำนวยการโรงเรียนแต่อย่างใด และไม่รู้ถึงสาเหตุที่ผู้อำนวยการโรงเรียนใช้ปืนจ่อหัวในครั้งนี้

ส่วนความคืบหน้าล่าสุด ต้นสังกัดของโรงเรียนที่เกิดเหตุ คือ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา สระบุรีเขต 1 ได้ มีคำสั่งให้ผู้อำนวยการโรงเรียนรายนี้ย้ายออกจากพื้นที่แล้ว โดยให้ไปทำหน้าที่ที่สำนักงานพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา สระบุรี มีผลตั้งแต่วันนี้หรือวันที่ 25 มีนาคม เป็นต้นไป จนกว่าการสอบสวนข้อเท็จจริงจะเสร็จสิ้น

.

ที่มา: https://www.bugaboo.tv/news/548391?fbclid=IwAR1cGIbI0-SIKz6FISghs3B6SemTNQPS268Mw-XvcF42993bsX5K_D3bzX0


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top