Friday, 11 July 2025
NEWS FEED

เปิดประวัติและผลงานสำคัญ 'แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต' ผู้ก่อตั้งเสถียรธรรมสถาน

เป็นอีกหนึ่งความเศร้าเสียใจของคนไทย หลังจากเพจเฟซบุ๊ก ‘เสถียรธรรมสถาน Sathira Dhammasathan’ ได้ออกหนังสือแถลงการณ์เกี่ยวกับอาการป่วยของ ‘แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต’ ว่าแพทย์ตรวจพบเชื้อลุกลามของโรคมะเร็งที่กระเพาะอาหารระยะสุดท้าย หลังจากที่ก่อนหน้านี้เข้ารับการรักษาจนสามารถควบคุมอาการของโรคได้แล้ว กระทั่งล่าสุดเพจเฟซบุ๊กดังกล่าวได้ออกแถลงการณ์ฉบับที่สอง แจ้งข่าวการถึงแก่กรรมของแม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต ในช่วงค่ำของวันที่ 7 ธ.ค. 64 สิริอายุ 68 ปี 1 เดือน 7 วัน

แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต นามเดิม ‘ศันสนีย์ ปัญญศิริ’ (ตุ๊กตา) เกิดเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2496 เป็นบุตรีของ นายเฉลียว จรัสศรี นายอำเภอ อำเภอบางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และ นางจำลอง พรหมินทะโรจน์ ครูประจำโรงเรียนบางปะหัน (เชื่อมประชานุกูล) มีพี่สาว 1 คน ชื่อ สายสัมพันธ์ ปัญญศิริ หรือ ตุ๋มติ๋ม

>> เกียรติประวัติ
ในปี 2530 ได้ก่อตั้ง ‘เสถียรธรรมสถาน’ ขึ้นเพื่อเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างศานติ โดยมีพระธรรมนำทางในทุกช่วงวัย ตั้งแต่เกิดจนตายเพื่อสร้างสังคมให้อยู่เย็นเป็นสุข ทั้งยังสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งงานเชิงรุกและเชิงรับ อาทิ โครงการจิตประภัสสรตั้งแต่นอนอยู่ในครรภ์, โรงเรียนพ่อแม่, อารยตาราภาวนาวิชชาลัย, สาวิกาสิกขาลัย, โครงการเยาวชน บ่มเพาะ แตกหน่อ ต่อยอด เมล็ดพันธุ์แห่งปัญญา, รางวัล International Tara Awards รางวัลสำหรับคนปลุกสังคมด้วย "หัวใจโพธิสัตว์", ISV Club (International Spiritual Volunteer Club), CSV Club (Community Spiritual Volunteer Club), ธรรมชาติบำบัด และการเยียวยาผู้ป่วยระยะสุดท้าย

ต่อมาในปีพ.ศ. 2551 ได้ก่อตั้ง สาวิกาสิกขาลัย มหาวิชชาลัยธรรมะเพื่อเยียวยาสังคมเพื่อส่งเสริมคนให้เป็นอริยชน รู้จักการใช้ปัญญาในการดำเนินชีวิต นำหลักพุทธธรรมไปช่วยเยียวยาผู้อื่นและสังคมโดยจัดกระบวนการศึกษาเรียนรู้เพื่อการบรรลุธรรมในระดับปริญญาตรีและปริญญาโท

ในปีพ.ศ. 2560 ได้ก่อตั้ง ธรรมาศรม (Mindfulness Hospital) ที่มีนวัตกรรมแห่งการฉุดช่วยให้คนทุกช่วงวัยใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย สามารถบริหารเวลาได้อย่างมีคุณค่า ใช้เวลาร่วมกันอย่างประเสริฐสุดในขณะที่มีกันและกัน นอกจากนี้ยังได้จัดตั้ง กองทุนเสถียรธรรม โดยมี เสถียร เสถียรสุต เป็นประธาน และ แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต เป็นผู้อำนวยการ มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแผ่ธรรมะแก่เพื่อนมนุษย์ทุกคนในรูปแบบต่าง ๆ เป็นต้น

แม่ชีศันสนีย์ มีบทบาททั้งในระดับชาติและระดับโลกมากมาย อาทิ เป็นคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิปฏิรูประบบสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานปฏิรูประบบสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.), ที่ปรึกษาคณะกรรมการกองทุน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), คณะที่ปรึกษาฝ่ายการวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม, คณะกรรมการอำนวยการ คณะกรรมการบริหาร และศูนย์อำนวยการบริหาร ‘ยุทธศาสตร์เมืองไทยแข็งแรง’ ตามยุทธศาสตร์แห่งชาติ ‘รวมพลังสร้างสุขภาพ’ กระทรวงสาธารณสุข

เป็นประธานคณะอนุกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์ ภายใต้คณะกรรมการอำนวยการจัดงาน 100 ปีพุทธทาสภิกขุ กระทรวงศึกษาธิการ, ที่ปรึกษากรรมการอำนวยการโครงการโรงเรียนวิถีพุทธ กระทรวงศึกษาธิการ, คณะกรรมการกำกับทิศทาง ‘แผนงานสร้างเสริมสุขภาวะทางเพศ’ มูลนิธิสร้างความเข้าใจเรื่องสุขภาพผู้หญิง ขับเคลื่อนด้วยองค์ความรู้เพื่อให้สุขภาพผู้หญิงได้รับความคุ้มครอง (สคส.)

คณะทำงาน คณะกรรมการการดำเนินงานโครงการวิสาขบูชา พุทธศักราช 2550 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, คณะอนุกรรมการอุปถัมภ์ คณะกรรมการการจัดงานวันวิสาขบูชา วันสำคัญของโลกมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย สำนักนายกรัฐมนตรี

รองประธานกรรมการคณะกรรมการอำนวยการสนับสนุนความร่วมมือของหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เพื่อสร้างสังคมคุณธรรม สำนักนายกรัฐมนตรี

อนุกรรมการการพัฒนาและบูรณาการโครงการและกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 ภายใต้คณะกรรมการฝ่ายโครงการและกิจกรรม ในคณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติฯ

ประธานอนุกรรมการการพิจารณาคัคเลือก 100 ตัวแทนทำดีเพื่อพ่อ ในคณะกรรมการการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550, คกก.การจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ, กรรมการกิตติมศักดิ์ มูลนิธิ ซาย มูฟเม้นท์

รองประธานอุปถัมภ์โครงการหุ้มทองคำยอดฉัตรพระมหาเจดีย์ พุทธคยา และคณะกรรมการอำนวยการความร่วมมือสร้างคนดีให้มีคุณธรรมโดยธรรมะ เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ภาคีเครือข่ายความร่วมมือสร้างคนดีให้มีคุณธรรมฯ วัดเทพศิรินทราวาส เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2559 เป็นต้น

บทบาทระดับโลก อาทิ การเป็นประธานร่วมขององค์กร THE GLOBAL PEACE INITIATIVE OF WOMEN (GPIW ), UNDP นอกจากนี้ยังเป็นประธานการจัดการประชุมนานาชาติศากยธิดาเพื่อพุทธสาวิกา ครั้งที่ 12 (12th International Sakyadhita Conference on Buddhist Women) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-18 มิถุนายน 2554
 

ศาลฎีกาสั่งจำคุก ‘เปรมชัย’ 2 ปี 14 เดือน คดีล่าเสือดำ พร้อมชดใช้ค่าเสียหาย 2 ล้าน

8 ธ.ค. 64 - มีรายงานว่าศาลจังหวัดทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีนายเปรมชัย กรรณสูต อดีตประธานบริหารบริษัท อิตาเลี่ยนไทย ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ในคดีล่าเสือดำกับไก่ฟ้าหลังเทา ที่ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร เขตตะวันตก จ.กาญจนบุรี เมื่อวันที่ 4 ก.พ. 61 ว่า ฎีกาของจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้นและไม่มีเหตุต่อการรอการลงโทษ แม้ต่อมาได้มีการแก้ไขพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 โดย พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า แก้ไขเพิ่มเติม ปีพ.ศ. 2562 ให้ยกเลิกมาตรา 55 การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงไม่มีความผิดในส่วนนี้ ตาม ป.อาญา มาตรา 2 คงจำคุกจำเลยที่ 1 คงจำคุก 2 ปี 6 เดือน จำเลยที่ 2 คงจำคุก 2 ปี 9 เดือน จำเลยที่ 4 คงจำคุก 2 ปี 13 เดือน ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย 2 ล้านบาท ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ แต่ให้ปรับแก้ไขดอกเบี้ยให้เป็นไปตามกฎหมายใหม่

ย้อนอดีต เมื่อ 4 กุมภาพันธ์ 2561 ปรากฏข่าวโด่งดัง เมื่อเจ้าหน้าที่ทุ่งใหญ่นเรศวรฝั่งตะวันตก ได้รับแจ้งว่าพบนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่ง ตั้งแคมป์พักในบริเวณจุดห้าม เมื่อเข้าไปตรวจสอบ พบนักล่าสัตว์ป่า เป็นก๊วนเจ้าสัว “นายเปรมชัย กรรณสูต” ประธานบริหารบริษัทอิตาเลี่ยนไทยฯ ในขณะนั้น

สิ่งที่เจ้าหน้าที่ฯ ต้องตกตะลึง คือบริเวณเต็นท์ที่พัก พบซากสัตว์ป่าคุ้มครอง คือ ไก่ฟ้าหลังเทา ซากเนื้อเก้ง พร้อมอาวุธปืนลูกกรดติดลำกล้อง 1 กระบอก ปืนไรเฟิลติดลำกล้อง 1 กระบอก และปืนลูกซองแฝด 1 กระบอก เครื่องกระสุนอีกมาก

ที่สำคัญและกลายเป็นคดีใหญ่คือ พบ “ซากเสือดำ” ถูกชำแหละ ถลกหนัง

เจ้าหน้าที่ฯ จึงทำการจับกุมทั้ง 4 ราย เพื่อส่งคดีไปที่ สภ.ทองผาภูมิ ท่ามกลางการต่อรองเพื่อไม่ให้ดำเนินคดี

ต้นสังกัด ดัน 'ลูกหนัง ศีตลา' ต่อ ย้ำชัด การกระทำของพ่อไม่เกี่ยวกับลูก

8 ธันวาคม 2564 Grand Line Group หรือ GLG ต้นสังกัดของวงรุกกี้เคป็อปน้องใหม่ H1-KEY ได้ออกแถลงการณ์พิเศษเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นกับ เมมเบอร์ชาวไทย ลูกหนัง ศีตลา วงษ์กระจ่าง

ก่อนหน้านี้ ชาวเน็ตชาวไทยจำนวนมาก รวมทั้งชาวเกาหลี และต่างประเทศ ต่างก็ออกมารณรงค์ต่อต้านการเดบิวต์ของ ลูกหนัง ศีตลา ในเกิร์ลกรุ๊ปที่กำลังจะมาถึง โดยมีประเด็นมาจาก บิดาผู้ล่วงลับของศีตลา เคยเข้าร่วมรณรงค์ต่อต้านประชาธิปไตยของประเทศไทย โดยแฟน ๆ ชาวไทย อ้างว่า บิดาของศีตลาเป็นชนชั้นนำที่สนับสนุนการปกครองของไทย ภายใต้ระบบเผด็จการทหาร

และนี่คือแถลงการณ์จาก Grand Line Group

“สวัสดี นี่คือ GLG เอเจนซีของ H1-KEY

ประการแรก เราต้องขอก้มศีรษะเพื่อขอโทษทุกคน ที่อาจได้รับความรู้สึกบาดเจ็บและขุ่นเคืองจากเหตุการณ์ล่าสุด เราปรารถนาสันติภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของชาติไทย

เราขอกล่าวว่า เนื่องจากความซับซ้อนของปัญหานี้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับ ศีตลา สมาชิก H1-KEY และบิดาผู้ล่วงลับของเธอ เคยมีส่วนร่วมของบิดาผู้ล่วงลับในกิจการต่าง ๆ เช่น การเมือง รัฐบาล เศรษฐกิจ และสังคมไทย จึงต้องใช้เวลา หน่วยงานที่จะเข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างถี่ถ้วนและเราระมัดระวังในการจัดการกับเรื่องนี้

นราธิวาส - ผบ.กองกำลังเทพสตรี ตรวจช่องทางธรรมชาติ หวั่น!! โควิด ‘โอมิครอน’ แพร่ข้ามชาติ

พล.ต.วรเดช เดชรักษา ผบ.กองกำลังเทพสตรี/ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 5 ได้เดินทางมายังด่านพรมแดนสุไหงโก-ลก เพื่อเป็นประธานประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ พ.อ.กำธร ศรีเกตุ รอง ผบ.ฉก.นราธิวาส พ.ต.ท.ธีระโชติ  ปฐมวณิชกะ ผบ.ร้อย ตชด.447 เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง เจ้าหน้าที่ด่านศุลกากร เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธร เจ้าหน้าที่ทหารพราน ฝ่ายปกครอง และเจ้าหน้าที่ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ เจ้าหน้าที่ทหารชุดควบคุมป้องกันชายแดน ในการวางมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา หรือโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน OMICRON ที่พบการแพร่ระบาดในประเทศมาเลเซีย

ซึ่งในที่ประชุม พล.ต.วรเดช เดชรักษา ผบ.กองกำลังเทพสตรี/ ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 5 ได้รับฟังการบรรยายสรุปของแต่ละหน่วยงานที่เกี่ยว โดยภาพรวมมีมาตรการที่เคร่งครัด สามารถป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นอย่างดี โดยเน้นย้ำทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่าตั้งอยู่ในความประมาท เนื่องจากทราบว่า สายพันธุ์ติดโดยง่ายและไม่มีการแสดงอาการให้เห็น ซึ่งทุกคนถือว่าสุ่มเสี่ยงอย่าตั้งอยู่ในความประมาท

โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่กองกำลังที่ถูกส่งมาปฏิบัติหน้าที่แนวพรมแดน ทั้ง ตชด. ชุดควบคุมป้องกันชายแดน เจ้าหน้าที่ทหารพราน เราได้ปฏิบัติหน้าที่มากว่า 2 ปีแล้ว ต้องพยายามสร้างการข่าวและดึงชาวบ้านเข้ามามีส่วนร่วม ในการชี้เบาะแสเพื่อทำลายเครือข่ายกลุ่มขบวนการคนนำพาโดยเฉพาะกลุ่มแรงงานต่างด้าว ที่ลักลอบเข้าตามช่องทางธรรมชาติ เพราะคนกลุ่มนี้ถือว่าเป็นกลุ่มที่เสี่ยงในการนำพาโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนเข้ามาแพร่ระบาด จึงถือว่าการสกัดกั้นการแพร่ระบาดของโรคได้ถูกจุด

ต่อมา พล.ต.วรเดช เดชรักษา ผบ.กองกำลังเทพสตรี/ ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 5 ได้เดินทางไปเยี่ยมกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่ตามช่องทางธรรมชาติ บริเวณบ้านน้ำตก ต.ปาเสมัส อ.สุไหงโก-ลก ซึ่งถือว่าเป็นช่องทางธรรมชาติ ที่กลุ่มขบวนการนำพาแรงงานต่างด้าว ลักลอบหลบหนีข้ามแดนจากรัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย เป็นจำนวนมากในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งได้พบปะพูดคุยกับเจ้าหน้าที่กองกำลัง

สาวญี่ปุ่นใจบุญ ทำข้าวกล่องแจกคนไทย เผยอยากตอบแทนน้ำใจคนไทยที่เคยช่วยเหลือ

หญิงสาวชาวญี่ปุ่นที่อาศัยในประเทศไทยแบ่งปันรสชาติจากบ้านเกิด แจกอาหารให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 สื่อญี่ปุ่นชี้ถึงแม้การฟื้นฟูเศรษฐกิจจะค่อยเป็นค่อยไป แต่ยังมีผู้ที่เดือดร้อนอีกมาก

โยชิฮาระ เอริโกะ หญิงสาวชาวญี่ปุ่นที่ทำธุรกิจในประเทศไทย ได้ทำ “โอยะโกะด้ง” หรือ ข้าวหน้าไก่แบบญี่ปุ่น แจกจ่ายให้กับชาวไทยที่เดือดร้อน เธอร่วมกับชาวญี่ปุ่นอีกราว 40 คนผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ทำโครงการช่วยเหลือตั้งแต่เดือนสิงหาคม มาแล้ว 2 ครั้ง โดยทำอาหารญี่ปุ่นแบบง่าย ๆ และนำสิ่งของไปแจกจ่ายให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19

คุณโยชิฮาระ บอกว่า “เธอใช้ชีวิตในประเทศไทย และเมื่อเผชิญความยากลำบากก็มีคนยื่นมือเข้าช่วยเหลือมากมาย แม้เวลาผ่านไปเธอก็ไม่เคยลืมถึงความช่วยเหลือที่เคยได้รับ และอยากจะตอบแทนกลับคืนบ้างไม่มากก็น้อย”

บริเวณถนนราชดำเนินที่เธอนำอาหารและสิ่งของไปแจก มีผู้ยากไร้ที่ใช้ท้องถนนเป็นที่หลับนอนหลายราย ในยามเช้า ผู้คนต่อแถวยาวเพื่อรับอาหารและสิ่งของ ข้าวหน้าไก่ 200 ชุด บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เครื่องดื่ม และขนม ถูกแจกจ่ายจนหมดภายในเวลาไม่ถึง 15 นาที

2 ยักษ์ ‘รัสเซีย-อินเดีย’ เร่งจับมือกระชับมิตร ขยายฐาน ‘ธุรกิจ - พลังงาน - ยุทโธปกรณ์’

‘วลาดิมีร์ ปูติน’ ผู้นำรัสเซีย บินข้ามทวีปมาเยือน ‘นเรนทรา โมดี’ นายกรัฐมนตรีอินเดียอย่างเป็นทางการเมื่อวันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม 2564 ที่ผ่านมา นับเป็นการเดินทางเยือนต่างประเทศเป็นครั้งที่ 2 เท่านั้นตลอดทั้งปีของปูติน เนื่องจากปัญหาการระบาด Covid-19

ครั้งล่าสุดที่เห็นปูตินเดินทางเยือนต่างประเทศ คือ ช่วงกลางเดือนมิถุนายนของปีนี้ ที่มีงานประชุมทวิภาคีระหว่างสหรัฐอเมริกา และ รัสเซีย ที่กรุงเจนีวา ในสวิตเซอร์แลนด์ แล้วหลังจากนั้นก็ยังไม่ได้เห็นปูตินเดินทางไปไหนอีกเลย แม้กระทั่งงานประชุมสุดยอดผู้นำโลก COP26 เพื่อปัญหาสภาพอากาศที่เมืองกลาสโกว์ ในสกอตแลนด์ ก็ยังไร้เงาผู้นำแห่งรัสเซีย

แต่มาครั้งนี้ ทริปสุดท้ายปลายปีที่ปูตินยอมออกเดินทางจากทำเนียบเครมลิน เป็นการนัดพบกับนายกรัฐมนตรีนเนทรา โมดี แห่งอินเดีย พร้อมรัฐมนตรีคนสำคัญชุดใหญ่ทั้งฝ่ายต่างประเทศ และกลาโหม ส่งสัญญาณชัดว่าการพบปะกันของทั้ง 2 ผู้นำระดับยักษ์ใหญ่คนละซีกโลกต้องไม่ธรรมดาแน่ ๆ

และก็เป็นดังคาด หลังจากที่ 2 ผู้นำ ‘ปูติน-โมดิ’ พบกันด้วยบรรยากาศอันชื่นมื่นแล้ว ยังสามารถบรรลุข้อตกลงทางเศรษฐกิจที่สำคัญร่วมกันถึง 28 ฉบับ ที่รวมถึงการขยายฐานการผลิตปืนไรเฟิล Kalashnikov โมเดลคลาสสิกของรัสเซีย ที่เป็นหนึ่งในยุทโธปกรณ์ที่มีการใช้งานมากที่สุดในโลก และอินเดียเป็นหนึ่งในฐานการผลิตปืน Kalashnikov ให้กับรัสเซียที่ปูตินต้องการให้ผลิตเพิ่มขึ้นอีกกว่า 6 แสนกระบอก 

นอกจากนี้รัสเซียตกลงที่จะขายระบบขีปนาวุธรุ่นล่าสุด S-400 ให้กับอินเดีย พร้อมข้อตกลงความร่วมมือทางทหาร และเทคโนโลยีระหว่างกันอีกถึงปี 2031 

ส่วนด้านเศรษฐกิจ ทั้งรัสเซีย และอินเดีย ได้ตกลงที่จะเร่งขยายมูลค่าทางการค้าให้ได้ถึง 3 หมื่นล้านเหรียญต่อปี ภายในปี 2025 และ Rosneft บริษัทน้ำมันรายใหญ่ของรัสเซียก็ได้เซ็นสัญญาส่งน้ำมันให้กับบริษัทน้ำมันของอินเดียในปริมาณมากถึง 2 ล้านตันภายในปี 2022 

นับเป็นการบรรลุข้อตกลง และการเดินหมากภูมิศาสตร์การเมืองที่น่าสนใจมากสำหรับทั้งรัสเซีย และอินเดีย ที่ทุกคนต่างรู้กันว่า ยืนอยู่คนละฝั่งของขั้วอำนาจโลก

โดยทางรัสเซีย นับเป็นพันธมิตรคนสำคัญที่สุดของจีนแผ่นดินใหญ่ และประสานยุทธศาสตร์ เศรษฐกิจ การเมืองร่วมกันอย่างลึกซึ้ง แต่การมาเยือนอินเดียครั้งนี้ของปูติน จำเป็นต้องระมัดระวังอย่างมาก เนื่องจากว่า อินเดียและจีน ยังมีข้อพิพาทรุนแรงในเขตพื้นที่แถบเทือกเขาหิมาลัย เขตหุบเขากัลวาน และเขตที่ราบสูง อัคไซ ชิน ดังนั้น การยกระดับความร่วมมือทางการทหารระหว่างอินเดียและรัสเซีย ก็สุ่มเสี่ยงที่จะสร้างความบาดหมางให้กับทางปักกิ่งได้เช่นกัน 

สหรัฐฯ แถลงไม่ส่งผู้แทนฯ ร่วม ‘โอลิมปิกปักกิ่ง’ เหตุละเมิดสิทธิมนุษย์ฯ จีนโต้ ‘ไม่ได้เชิญฯอยู่แล้ว’

โฆษกทำเนียบขาวแถลงยืนยันเมื่อวานนี้ (6 ธ.ค.) สหรัฐอเมริกาจะไม่ส่งเจ้าหน้าที่รัฐบาลไปเข้าร่วมมหกรรมแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว ณ กรุงปักกิ่งในปีหน้า เพื่อต่อต้านการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยเฉพาะการทำทารุณกรรมต่อชาวมุสลิมอุยกูร์ในมณฑลซินเจียง

ในเดือนที่แล้ว ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ประกาศแก่ชาวโลกว่ากำลังพิจารณามาตรการบอยคอตจีนจากกรณีที่มีวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน รวมทั้งเหตุที่วอชิงตันชี้ว่าเป็น “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” มุสลิมอุยกูร์ในมณฑลซินเจียงทางภาคตะวันตกจีน

“รัฐบาลประธานาธิบดีไบเดนจะไม่ส่งเจ้าหน้าที่ทางการทูตหรือผู้แทนจากหน่วยงานรัฐใด ๆ ไปเข้าร่วมงานแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2022 และพาราลิมปิกเกมส์ เพราะสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ก่ออาชญากรรมทำลายมนุษยชาติในซินเจียง และละเมิดสิทธิมนุษยชนอื่น ๆ” คำแถลงของ นาง เจน ซากิ โฆษกทำเนียบขาวต่อที่ประชุมข่าวในวันจันทร์ (6 ธ.ค.)

คำสั่งแต่งตั้งวาระประจำปี 2564 ออกแล้ว เผยแพร่ทางแอปพลิเคชัน “แทนใจ” ผู้มีรายชื่อรายงานตัวภายใน 5 วัน

7 ธ.ค.64 พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่าคำสั่งแต่งตั้ง รอง ผบก. - สว. วาระ 2564 ออกครบถ้วนแล้ว สำหรับผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งสามารถตรวจสอบคำสั่งผ่าน แอปพลิเคชัน “แทนใจ” และ ให้ไปรายงานตัวที่หน่วยตามที่ได้รับการแต่งตั้งภายใน 5 วัน นับแต่รับทราบคำสั่ง

พล.ต.ต.ยิ่งยศฯ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวต่อว่า ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งไปดำรงตำแหน่งใหม่จะได้รับการแจ้งเตือนในแอปพลิเคชัน “แทนใจ” ขอให้ข้าราชการตำรวจทุกนายดาวน์โหลด แอปพลิเคชัน “แทนใจ” เพื่อที่จะไม่พลาดข่าวสารต่าง ๆ จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ นอกจากนั้นแล้วยังสามารถตรวจสอบสวัสดิการของตนเอง รวมถึงในอนาคตจะมีโครงการตลาดกลางสร้างอาชีพเสริมให้ข้าราชการตำรวจ เป็นศูนย์กลางจำหน่ายสินค้าของข้าราชการตำรวจและครอบครัว เพื่อสร้างรายได้เสริมอีกทางหนึ่งด้วย ในส่วนของการเดินทางไปรายงานตัวรับตำแหน่งใหม่ขอให้ถือปฏิบัติตามหนังสือ ตร. ที่ 0004.25/ว073  ลงวันที่ 24 พ.ค.50 เรื่อง แนวทางปฏิบัติในการเดินทางไปรับตำแหน่งใหม่และการรายงานตัว ระบุไว้ว่าให้เดินทางไปรายงานตัวรับตำแหน่งใหม่ภายในกำหนด 5 วัน นับแต่วันที่รับทราบคำสั่ง

สคบ. เตรียมออกกฎหมายคุม ‘กล่องสุ่ม’ ชี้!! อาจเข้าข่ายการพนัน

‘สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค’ เอาจริง เตรียมออกกฎหมายควบคุมการขายสินค้าประเภท ‘กล่องสุ่มปริศนา’ เผย อาจมีความผิดตามกฎหมายการพนัน นอกจากนี้ หากสินค้าในกล่องไม่มีฉลาก และไม่ระบุราคา ผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภคอีก

จากกรณี แม่ค้าออนไลน์สุดฮอต ‘พิมรี่พาย’ ได้ไลฟ์ขายสินค้าออนไลน์ในเพจพิมรี่พายขายทุกอย่าง ได้สร้างมิติใหม่แห่งการขาย หลังบิวตี้บล็อกเกอร์มาขอเปิดกล่องสุ่มเครื่องสำอาง ราคา 1 แสนบาท ได้เงิน 100 ล้านในเวลา 10 นาที

ต่อมา ได้ทำการขายกล่องสุ่มราคา 1 หมื่นบาทอีกครั้ง และขายได้เงิน 100 ล้านบาท ในเวลา 5 นาที สำหรับก่อนหน้านี้ กล่องสุ่มราคา 1 แสนบาทนั้น ลูกค้าได้นำออกมาเปิดเผยกันเป็นจำนวนมาก พบมีทั้งเครื่องสำอางเคาน์เตอร์แบรนด์จำนวนมาก และยังมีทอง, ไอโฟน ยันรถยนต์! Suzuki Celerio ราคาต่ำ ๆ ก็ 3 แสนกว่าบาทไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. มีรายงานว่า รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) นายสุวิทย์ วิจิตรโสภา ได้ออกมากล่าวถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า...

“ขณะนี้คณะกรรมการว่าด้วยการโฆษณาของ สคบ. เตรียมพิจารณาการออกกฎกระทรวง เพื่อมาควบคุมการโฆษณาขายกล่องสุ่มปริศนา ซึ่งปัจจุบัน กำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในช่องทางออนไลน์ และมักมีการใช้บุคคลที่มีชื่อเสียง ทั้งเน็ตไอดอล, ยูทูบเบอร์ หรือดารานักร้องมารีวิว และโฆษณาชักชวนให้ผู้บริโภคมีความสนใจ จนหลงเชื่อและซื้อสินค้า ซึ่งการออกกฎหมายฉบับนี้จะกำหนดหลักเกณฑ์, วิธีการ และเงื่อนไขต่าง ๆ ให้ชัดเจน เพื่อช่วยคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับความเป็นธรรม”

ทั้งนี้ สคบ. มองว่า ปัญหาสำคัญสำหรับการโฆษณาหรือจำหน่ายกล่องสุ่มมี 2 ประเด็นหลัก โดยประเด็นแรก อาจเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการพนัน ที่ดูแลโดยกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย หากไม่ได้ทำการขออนุญาตอย่างถูกต้อง หรือไม่ผ่านการตรวจสอบ ส่วนประเด็นที่สองเกี่ยวข้องกับผู้บริโภค เพราะการระบุข้อมูลในกล่องว่ามีเพียงประเภทสินค้า เช่น เครื่องสำอาง หรือของใช้ โดยไม่ได้ระบุรายละเอียดสำคัญของสินค้า ทั้งฉลากและราคา มีความผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภคเกี่ยวกับสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้บริโภคต้องได้รับข้อมูลข่าวสาร รวมทั้งคำพรรณนาของสินค้าที่ถูกต้องครบถ้วน เพื่อให้ผู้บริโภคเห็นสินค้าได้อย่างชัดเจนว่ามีความจำเป็นก่อนตัดสินใจซื้อ

"สกลธี" รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เร่งผลักดัน ส่งเสริมและสนับสนุนการจ้างงาน "คนพิการ" อย่างบูรณาการ

ณ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร "นายสกลธี ภัททิยกุล" รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดใจกับรายการเปิดฟ้า ช่วง "คนละไม้คนละมือ" ทาง ททบ.5 พูดคุยกับ นายชัยพร ภูผารัตน์ ผู้อำนวยการสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทย / นายชีวานนท์ พรรัตน์ธนิกกุล นายกสมาคมสหพันธ์แรงงานคนพิการไทย และผู้ดำเนินรายการ เกี่ยวกับนโยบายและวิสัยทัศน์การสนับสนุนส่งเสริมให้ "คนพิการ" มีงานทำ มีอาชีพ มีรายได้ เพื่อเลี้ยงดูแลตนเองและครอบครัว ด้วยความภาคภูมิใจ ซึ่ง"นายสกลธี ภัททิยกุล" รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร

ได้กล่าวถึงแรงบันดาลใจในการผลักดันให้คนพิการมีงานทำ สืบเนื่องจากได้มีการ พูดคุยหารือ กับ "อาจารย์ชูศักดิ์ จันทยานนท์ " ประธานมูลนิธิออทิสติกไทย และตำแหน่ง นายกสมาคมสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทย เพื่อร่วมกันพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ให้เข้าถึงโอกาสการจ้างงาน ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.2550 ในส่วนเกี่ยวข้อง การจ้างงานคนพิการมาตรา 33 / 34 และ 35 อีกครั้ง ยังเล็งเห็นศักยภาพของคนพิการทุกประเภท มีความสามารถทำงานหรือปฏิบัติหน้าที่ ได้ดีเช่นเดียวกับบุคคลอื่นๆ และเพื่อเป็นแบบอย่างให้กับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคสังคม ในการให้โอกาส การมีงานทำ สำหรับคนพิการบนความเสมอภาคและเท่าเทียมกัน

อีกทั้ง ยังมีนโยบายในการเตรียมความพร้อมสำหรับคนพิการ เพื่อการพัฒนาและฝึกฝนทักษะสายงานอาชีพต่างๆ ให้เป็นไปในความต้องการของหน่วยงานของภาครัฐ และภาคเอกชน ที่อยากจะได้บุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในสายงานนั้นๆ 

ทั้งนี้ นอกเหนือจากการเตรียมความพร้อมในด้านอื่นๆแล้ว "กรุงเทพมหานคร" ยังมอบหมาย ให้หน่วยงานต่างๆอาทิเช่น สำนักงานเขต ของกรุงเทพฯ เริ่มต้นจากการจ้างงานคนพิการ 1 คน เพิ่มเป็น 2 คน ก็จะทำให้มีคนพิการ มีงานทำมากกว่า 100 อัตรา และอนาคตอันใกล้นี้ยังจะให้โรงเรียนในสังกัดกรุงเทพฯที่มีมากกว่า 300 แห่ง เปิดรับสมัครคนพิการเข้าทำงานด้วยเช่นกัน ก็จะเป็นการเพิ่มอัตราแรงงานคนพิการ มีอาชีพ มีรายอีก และเป็นการลดภาระแบ่งเบาค่าใช้จ่ายภายในครอบครัวได้เป็นอย่างดี

ท้ายนี้ ได้ลงพื้นที่เยี่ยมชมการเตรียมความพร้อม ในด้านสภาพแวดล้อม สิ่งอำนวยความสะดวก "Universal Design" เพื่อคนทั้งมวล ที่ "สำนักงานเขตราชเทวี" กรุงเทพมหานคร โดยได้รับเกียรติจาก  "ดร.นราทิพย์ ผินประดับ" ผู้อำนวยการสำนักงานเขตราชเทวี และผู้บริหารฝ่ายต่างๆ พาสำรวจอาคารสำหรับต้อนรับคนพิการมาทำงานได้อย่างสะดวก

 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top