Monday, 28 April 2025
ECONBIZ NEWS

‘ถูกดี มีมาตรฐาน’ ร่อนแถลงการณ์ ข้อเท็จจริงปมลงทุน ‘โชห่วย’ หลังมีผู้ร้องเรียน ‘DSI’ ชี้!! สร้างความเสียหายอย่างมาก ให้บริษัท

เมื่อวานนี้ (29 พ.ย. 67) บริษัท ทีดี ตะวันแดง จำกัด ออกแถลงการณ์กรณี มีกลุ่มบุคคลรวมตัวร้องเรียนต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI) ว่า บริษัทฯ หลอกลวงให้ร่วมลงทุนในธุรกิจร้านโชห่วยจนเกิดความเสียหาย พร้อมทั้งมีการเผยแพร่ข่าวสารผ่านสื่อต่าง ๆ รวมถึงโซเชียลมีเดีย ทำให้สาธารณชนเกิดความเข้าใจผิดในวงกว้าง สร้างผลกระทบต่อผู้ประกอบการร้าน ‘ถูกดี มีมาตรฐาน’ รวมถึงก่อให้เกิดความเสียหายต่อธุรกิจและชื่อเสียงของบริษัทฯ

โดยบริษัทฯ ขอยืนยันว่า ได้ดำเนินธุรกิจด้วยความโปร่งใส สุจริต และตรวจสอบได้เสมอมา โดยการดำเนินธุรกิจร้าน ‘ถูกดี มีมาตรฐาน’ มีเป้าหมายเพื่อยกระดับมาตรฐานและเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันให้กับร้านค้าปลีกในชุมชนอันเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจไทย ด้วยการสนับสนุนด้านเงินทุน องค์ความรู้ และเทคโนโลยีในการบริหารจัดการร้าน

ข้อกล่าวอ้างของกลุ่มบุคคลที่ร้องเรียนต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษนั้น เป็นการกล่าวอ้างที่เลื่อนลอยและปราศจากมูลความจริง บริษัทฯ มีพยานหลักฐานที่ชัดเจน และมั่นใจว่าสามารถพิสูจน์ความสุจริตได้ในทุกประเด็น กลุ่มบุคคลดังกล่าวมีการกระทำเป็นขบวนการและก่อนหน้านี้เคยร้องเรียนไปยังหน่วยงานรัฐต่างๆ ซึ่งหน่วยงานรัฐทุกแห่งรวมถึงกรมสอบสวนคดีพิเศษเคยพิจารณาสอบสวนข้อเท็จจริงและมีคำสั่งยุติเรื่องเนื่องจากไม่มีมูลความจริงไปแล้วทั้งสิ้น

กลุ่มบุคคลที่ร้องเรียนส่วนใหญ่มีประวัติเบียดบังทรัพย์สินและเงินของบริษัทฯ ไป และยังคงค้างชำระหนี้สินกับบริษัทฯ และบางรายอยู่ระหว่างถูกดำเนินคดีในข้อหายักยอกทรัพย์ของบริษัทฯ พฤติกรรมการรวมตัวร้องเรียนดังกล่าวแสดงถึงความพยายามเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จด้วยการอ้างว่าถูกหลอกลวงลงทุนเพื่อสร้างกระแสข่าวให้สังคมเกิดความเข้าใจผิด และหวังใช้เป็นเครื่องมือต่อรองในประเด็นหนี้สินและคดีความของตนเอง

การกระทำของกลุ่มบุคคลดังกล่าวทำให้บริษัทฯ เสียหายอย่างมาก ขอให้สื่อมวลชนและบุคคลทั่วไปอย่าตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มบุคคลดังกล่าว ซึ่งท่านสามารถแสวงหาข้อเท็จจริงว่าข้อกล่าวอ้างดังกล่าวเป็นการกล่าวอ้างลอยๆ และปราศจากมูลความจริงได้จากร้าน ‘ถูกดี มีมาตรฐาน’ หลายพันรายที่เชื่อมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างสุจริตและโปร่งใสของบริษัทฯ จึงดำเนินธุรกิจกับบริษัทฯ ด้วยดีมาเป็นเวลาหลายปี และยังคงเปิดดำเนินการอยู่ในชุมชนของท่าน

ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ใช้ความอดกลั้นอย่างสูงในการอธิบายข้อเท็จจริงต่อกลุ่มบุคคลดังกล่าว และพยายามหลีกเลี่ยงการกระทำที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้ง แต่กลับพบว่ากลุ่มบุคคลดังกล่าวยังคงกระทำการให้เกิดความเสียหายต่อธุรกิจและชื่อเสียงของบริษัทฯ อย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ จึงมีความจำเป็นต้องดำเนินการทางกฎหมายอย่างเด็ดขาดกับบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่สร้างความเสียหายต่อธุรกิจและชื่อเสียงของบริษัทฯ เพื่อปกป้องสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมาย และเพื่อรักษาความน่าเชื่อถือในฐานะองค์กรที่มุ่งมั่นในการพัฒนาธุรกิจร้านค้าชุมชนและเศรษฐกิจของประเทศ

บริษัทฯ ขอขอบคุณพันธมิตรทางธุรกิจและผู้สนับสนุนทุกท่านที่ให้ความเชื่อมั่นในความตั้งใจและความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการพัฒนาและยกระดับมาตรฐานร้านค้าปลีกชุมชนอย่างยั่งยืน

‘TOAVH’ ปรับทัพ!! ธุรกิจดีลเลอร์ ดัน!! ‘ไพรม์มัส กรุ๊ป’ สู้ศึกตลาดรถ

(30 พ.ย. 67) นายณัฏฐวุฒิ ตั้งคารวคุณ ประธาน กลุ่มบริษัทในเครือ ทีโอเอ เวนเจอร์ โฮลดิ้ง (TOAVH) เปิดเผยว่า ด้วยนโยบายในการขยายธุรกิจที่มุ่งเน้นการเติบโตอย่างมั่นคงและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งในช่วงปีที่ผ่านมา ทาง TOAVH ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าระดับชั้นแนวหน้าของจีน จำนวน 4 แบรนด์ ได้แก่ DEEPAL, ZEEKR, OMODA&JAECOO และ AION และทุ่มงบการลงทุน จำนวน 220 ล้านบาท ในการก่อสร้างและปรับโฉมโชว์รูม-ศูนย์บริการ เพื่อรองรับการบริการให้แก่ลูกค้าทั้งด้านการขายและบริการหลังการขายที่ครบถ้วนและสมบูรณ์แบบสำหรับรถยนต์ทั้ง 4 แบรนด์

ดังนั้น เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการบริหารงาน และขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจดังกล่าว ซึ่งปัจจุบันสถานการณ์ของตลาดรถยนต์มีความผันผวนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งการแข่งขันทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ทั้งเพื่อรองรับการขยายธุรกิจดีลเลอร์รถยนต์ หรือธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับรถยนต์ในอนาคต

ทาง TOAVH จึงได้มีการปรับโครงสร้างองค์กรในกลุ่มธุรกิจผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ ด้วยการควบรวมบริษัทผู้จำหน่ายรถยนต์ทุกแห่งเข้ามาอยู่ภายในสังกัดการบริหารงานของ ‘ไพรม์มัส กรุ๊ป’ โดยมี ‘จิระพล รุจิวิพัฒน์’ ดำรงตำแหน่งกรรมการบริหาร กำกับดูแลด้านบริหารจัดการโดยรวมของทุกบริษัทในเครือ ‘ไพรม์มัส กรุ๊ป’ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และบรรจุเป้าหมายโดยรวมขององค์กร

‘จิระพล’ นับเป็นผู้บริหารมืออาชีพที่มากประสบการณ์และเป็นผู้บริหารหลักที่สำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจดีลเลอร์รถยนต์ระดับพรีเมี่ยมให้ประสบความสำเร็จอย่างสูง ทั้งด้านการขาย การบริการหลังการขาย และการสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า อันแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ และประสิทธิภาพที่โดดเด่นในการบริหารงานธุรกิจดังกล่าว ซึ่งผมมั่นใจว่า ‘ไพรม์มัส กรุ๊ป’ ภายใต้การบริหารของ ‘จิระพล’ จะขับเคลื่อนให้ธุรกิจดีลเลอร์รถยนต์ของ TOAVH เติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนแน่นอน นายณัฏฐวุฒิ กล่าว

ปัจจุบัน ‘ไพรม์มัส กรุ๊ป’ เป็นผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ รวมทั้งสิ้น 7 แบรนด์  โดยมีโชว์รูม-ศูนย์บริการ ในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล, จังหวัดชลบุรี และจังหวัดเชียงใหม่ รวมทั้งหมด 16 สาขา ได้แก่

1.ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ MERCEDES-BENZ ในนาม บริษัท ไพรม์มัส ออโต้เฮาส์ จำกัด และบริษัท ไพรม์มัส ออโต้เฮาส์ พัทยา จำกัด มีสาขา 2 แห่ง คือ ที่สาขาเลียบด่วน-เอกมัยรามอินทรา กับสาขาพัทยา จ.ชลบุรี เฟส 1 บนพื้นที่พัทยา-นาจอมเทียน และเฟส 2 พื้นที่พัทยาใต้

2.ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ DEEPAL ในเครือ CHANGAN ในนาม บริษัท ไพรม์มัส โมบิลิตี้ จำกัด และบริษัท ไพรม์มัส โมบิลิตี้ ชลบุรี จำกัด มีสาขา 2 แห่ง คือ ที่สาขารามคำแหง และสาขาชลบุรี

3.ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ ZEEKR ในนาม บริษัท ไพรม์มัส เพรสทีจ จำกัด โดยมีสาขาที่ราชพฤกษ์ และป๊อปอัพ สโตร์ ที่เดอะมอลล์ บางแค

4.ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ OMODA&JAECOO ในนามบริษัท ไพรม์มัส โอแอนด์เจ พระราม 9 จำกัด มี 1 สาขา คือ ที่พระราม 9

5.ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ AION ในนาม บริษัท ไพรม์มัส มอเตอร์ส อมตะนคร จำกัด มีสาขาตั้งอยู่ที่อมตะนคร จ.ชลบุรี

6.ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ MG ในนามกลุ่มบริษัท เบส ออโต้ เซลส์ มีสาขาทั้งหมด 7 แห่ง ได้แก่ สาขาเพชรเกษม65, สาขาบางนา กม.5, สาขาบายพาส ชลบุรี, สาขาศรีราชา, สาขาพัทยา นาจอมเทียน และศูนย์ซ่อมสี-ตัวถัง อมตะนคร, สาขาแม่โจ้ และสาขาหางดง เชียงใหม่

7.ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ SUZUKI ในนาม บริษัท ไอทีโอเอ ออโต้เซลส์ มีสาขาอยู่ที่ศรีราชา  จ.ชลบุรี

นายจิระพล รุจิวิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัท ‘ไพรม์มัส กรุ๊ป’ ได้เปิดเผยว่า เป้าหมายหลักของธุรกิจผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ของ ไพรม์มัส กรุ๊ป ไม่ได้คำนึงการทำตัวเลขยอดขายเป็นหลัก หากให้ความสำคัญกับการเปิดประสบการณ์และสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า ด้วยบริการที่ครบวงจร จากทีมงานผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์ด้านรถยนต์โดยเฉพาะ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าในทุกมิติ พร้อมคัดสรร

ผลิตภัณฑ์รถยนต์แบรนด์ต่างๆ ที่หลากหลายรุ่นและเปี่ยมด้วยเทคโนโลยีระดับสูง ทั้งยกระดับการบริการให้มีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับลูกค้าเราในทุกแบรนด์ ตามสโลแกน “เรื่องรถ ให้ไพรม์มัส ดูแล

ทั้งนี้ เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสกับผลิตภัณฑ์และการบริการระดับพรีเมี่ยมของรถยนต์ทั้ง 7 แบรนด์ ได้แก่ Deepal, Mercedes-Benz, Zeekr, Omoda&Jaecoo, Aion, MG และ Suzuki ในช่วงงาน Motor Expo ทาง ‘ไพรม์มัส กรุ๊ป’ จึงได้นำจัดแสดงรถยนต์ให้เลือกชมและเป็นเจ้าของได้อย่างสะดวกสบายที่โชว์รูมและศูนย์บริการของเราทุกแห่ง โดยจะมีการเปิดจองรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุด ที่มาพร้อมกับข้อเสนอสุดพิเศษมากมาย อาทิ ส่วนลดเงินสด, ดอกเบี้ย 0%, เลือกผ่อนเริ่มต้น 222 บาทต่อวัน หรือโปรช่วผ่อน 4 เดือน มูลค่า 100,000 บาท เป็นต้น

และพิเศษ! ในงาน Test Drive Day Primus Expo เฉพาะที่โชว์รูมรถยนต์ MG และ Suzuki ทุกสาขา รับเพิ่ม!! ทองคำ มูลค่า 5,000 บาท เมื่อจองและรับรถยนต์ ตั้งแต่วันที่ 15 พ.ย. ถึง 15 ธ.ค. นี้

‘อินเตอร์ลิ้งค์ฯ’ ได้รับรางวัลเกียรติคุณ จาก ‘สถาบันไทยพัฒน์’ ตอกย้ำ!! ความมุ่งมั่น ด้านความยั่งยืน – ความโปร่งใส ขององค์กร

(30 พ.ย. 67) บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ILINK ได้รับรางวัล ‘Sustainability Disclosure Recognition’ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 จากสถาบันไทยพัฒน์ ซึ่งเป็นการประกาศเกียรติคุณแก่องค์กรที่ให้ความสำคัญในการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนอย่างครบถ้วน และโปร่งใส โดยเน้นการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล  

พิธีมอบรางวัลนี้ ดร.ชลิดา  อนันตรัมพร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ เข้ารับรางวัลเกียรติคุณ Sustainability Disclosure Recognition ประจำปี 2567 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 จาก ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ ประธานสถาบันไทยพัฒน์ จัดขึ้นโดยสถาบันไทยพัฒน์ โดยมี องค์กรชั้นนำในหลายอุตสาหกรรมเข้าร่วมมากมาย มีองค์กรที่ได้รับรางวัลเกียรติคุณ (Award) 58 แห่ง ประกาศเกียรติคุณ (Recognition) 57 แห่ง และกิตติกรรมประกาศ (Acknowledgement) 29 แห่ง รวมทั้งสิ้น 144 รางวัล 

โดยการมอบรางวัลการเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืน ในปี 2567 แบ่งออกเป็น 3 ประเภทรางวัล ได้แก่ 

• Sustainability Disclosure Award มีองค์กรที่ได้รับรางวัลเกียรติคุณ จำนวน 58 แห่ง 

• Sustainability Disclosure Recognition มีองค์กรที่ได้รับประกาศเกียรติคุณ จำนวน 57 แห่ง 

• Sustainability Disclosure Acknowledgement มีองค์กรที่ได้รับกิตติกรรมประกาศ จำนวน 29 แห่ง

และบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ ได้รับการยกย่องในฐานะองค์กรที่มีความมุ่งมั่นในการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกผ่านการบริหารงานที่โปร่งใส พร้อมรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม และยืนยันว่าจะเดินหน้าสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก เพื่อสังคมอย่างต่อเนื่องในอนาคต

นับว่า บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ สังคม หรือ สิ่งแวดล้อม โดยบริษัทฯ ได้มีการจัดทำรายงานความยั่งยืนที่ครอบคลุม เรื่องการบริหารจัดการ ด้าน ESG (Environment, Social, Governance) เพื่อสะท้อนถึงผลกระทบเชิงบวกที่องค์กรมีต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งนับว่ารางวัลนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ ในการตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) เป้าหมายที่ 12.6 ร่วมกัน โดยปัจจุบัน SDC มีองค์กรสมาชิกจำนวน 167 ราย โดยมุ่งเน้นไปที่การสร้างสมดุลระหว่างผลประกอบการ และการช่วยเหลือชุมชน ตลอดจนการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ

ดร.ชลิดา อนันตรัมพร กล่าวเพิ่มเติมว่า “การได้รับรางวัลนี้ เป็นการสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของอินเตอร์ลิ้งค์ฯ ในการดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรม และการตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมถึงการสร้างความไว้วางใจให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในทุกภาคส่วน อีกทั้ง รางวัลนี้ถือเป็นการยืนยันถึงการทำงานของอินเตอร์ลิ้งค์ฯ ที่ไม่เพียงมุ่งเน้นผลประกอบการ แต่ยังใส่ใจต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม เราจะเดินหน้าสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวก และมุ่งสู่เป้าหมายความยั่งยืนอย่างมั่นคง”  

ด้วยความมุ่งมั่นในแนวทางดังกล่าว อินเตอร์ลิ้งค์ฯ จะยังคงเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีการสื่อสารที่ตอบโจทย์แก่ยุค พร้อมร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจ และสังคมที่ยั่งยืนในระยะยาวต่อไป

‘ศาลแพ่ง’ ยกฟ้อง!! ‘ไทยไบโอ อินโนเวชั่น’ จากกรณีผิดสัญญา!! ซื้อขาย น้ำมันปาล์มดิบ

เมื่อวานนี้ (29 พ.ย. 67) บริษัท โกลบอลกรีน เคมิคอล จำกัด(มหาชน) หรือ GGC แจ้งตลาดหลักทรัพย์เกี่ยวกับข้อพิพาทของบริษัท กรณีบริษัท ไทยไบโอ อินโนเวชั่น จำกัด (เดิมชื่อบริษัท อนันตา กรีน จำกัด) เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องบริษัท โดยอ้างว่าบริษัทผิดสัญญาซื้อขายน้ำมันปาล์มดิบและน้ำมันเมล็ดในปาล์มดิบ และเรียกร้องให้บริษัทฯ คืนเงินและชดเชยค่าเสียหายเป็นจำนวนเงิน 595.10 ล้านบาท และดอกเบี้ยนั้น 

ศาลแพ่งมีคำพิพากษายกฟ้องทำให้บริษัทไม่ต้องชำระค่าเสียหายใดตามฟ้อง อย่างไรก็ตามคดีดังกล่าวยังไม่ถึงที่สุด คู่ความฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาสามารถใช้สิทธิยื่นอุทธณณ์ได้ภายใน 1 เดือน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา หรือตามกำหนดเวลาที่ศาลอนุญาตให้ขยายได้ 

‘พีระพันธุ์’ ตรึงค่าไฟฟ้ามาแล้วกว่า 1 ปี พร้อมทำทุกวิถีทางหวังช่วยลดภาระให้ประชาชน

(29 พ.ย.67) งานแรก ๆ หลังจากการเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานของ ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ เมื่อ 1 กันยายน พ.ศ. 2566 คือการออกมาตรการอย่างเข้มใน 6 เดือนแรกของการกำกับดูแลระบบพลังงานโดยรวมของไทยดังนี้ 

(1) พลังงานไฟฟ้า ได้ผลักดันการลดค่าไฟฟ้าให้ประชาชนและสามารถตรึงราคาค่าไฟฟ้าได้อย่างต่อเนื่องไม่ให้สูงขึ้นตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ มีการเร่งรัดในการแก้ไขปัญหาราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างเขื่อนปากมูลและเขื่อนสิรินธรที่ยืดเยื้อมาหลายทศวรรษ 

(2) น้ำมัน ทำการช่วยเหลือประชาชนผู้ใช้น้ำมันโดยใช้กลไกของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและกลไกทางภาษีด้วยความร่วมมือจากกระทรวงการคลัง เร่งรัดในการจัดตั้งระบบสำรองน้ำมันและก๊าซเพลิงยุทธศาสตร์เพื่อความมั่นคงทางพลังงาน และสร้างเสถียรภาพให้กับราคาเชื้อเพลิงพลังงาน 

และ (3) ก๊าซ มีการปรับโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติ (Pool gas) เพื่อให้ต้นทุนก๊าซธรรมชาติในภาพรวมลดลงและเพื่อเป็นการลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซ ติดตามเร่งรัดการขุดเจาะและผลิตก๊าซจากอ่าวไทยเพื่อลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้า

โดยที่พระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่ วันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2550 ทำให้ทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้านั้นอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ทั้งหมด ไม่ว่าการออกใบอนุญาตผลิตกระแสไฟฟ้า การกำหนดราคาค่าไฟฟ้า โดยเฉพาะค่า FT (Fuel Adjustment Charge (at the given time)) ซึ่งใช้ในการคำนวนเพื่อปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ หรือ ‘ค่าไฟฟ้าผันแปร’ อันเป็นค่าไฟฟ้าที่ปรับเปลี่ยนเพิ่มขึ้นหรือลดลง ตามการเปลี่ยนแปลงของต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าจากเอกชนหรือประเทศเพื่อนบ้าน รวมไปถึงค่าใช้จ่ายที่การไฟฟ้าไม่สามารถควบคุมได้ โดย กกพ.เป็นผู้พิจารณาปรับค่า Ft ทุก 4 เดือน

นับแต่ กกพ.ชุดแรกเข้ามาทำหน้าที่ดังกล่าวเมื่อ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานที่ผ่านมาต่างให้ กกพ.เป็นผู้ดำเนินการกำหนดราคาค่าไฟฟ้า ดังนั้น ‘ค่า FT’ จึงถูกกำหนดให้เป็นไปตามเหตุและปัจจัยที่ กกพ. ได้พิจารณา แต่สำหรับ ‘พีระพันธุ์’ แล้วการตรึงค่าไฟฟ้านั้นทำได้ด้วยการใช้มาตรการต่าง ๆ ภายใต้อำนาจหน้าที่ของกระทรวงพลังงานในการทำให้ผู้ผลิตกระแสไฟฟ้ามีต้นทุนการผลิตที่ต่ำที่สุดเพื่อไม่ให้กระทบต่อค่า FT ซึ่ง ‘พีระพันธุ์’ ได้ใช้ความพยายามในการแสวงหาวิธีการและมาตรการใหม่ ๆ เพื่อทำให้ค่า FT ต่ำที่สุด อาทิ มาตรการที่กำลังทำอยู่คือ การสำรองเชื้อเพลิงปิโตรเลียมทางยุทธศาสตร์ (SPR : Strategic Petroleum Reserve) โดยนอกจากจะได้มีการสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซ LPG อันเป็นก๊าซหุงต้มที่พี่น้องประชาชนคนไทยใช้กันมากที่สุดแล้ว ยังมีการสำรองก๊าซ LNG อันเป็นก๊าซเชื้อเพลิงหลักในการผลิตกระแสไฟฟ้าของบ้านเราในปัจจุบันก็จะถูกสำรองเก็บไว้ด้วยเพื่อเป็นหลักประกันด้านความมั่นคงทางพลังงานที่สำคัญของประเทศ

ดังเช่น ค่าไฟฟ้าสำหรับงวดเดือนมกราคม-เมษายน พ.ศ. 2568 ตามที่ประกาศ ถ้าเป็นไปตามที่ กกพ.เสนอจะอยู่ที่หน่วยละ 5.49 บาท ซึ่ง ‘พีระพันธุ์’ ไม่เห็นด้วย กกพ. จึงเสนอให้ราคาคงที่หน่วยละ 4.18 บาทเหมือนเดิม แต่ ‘พีระพันธุ์’ ยังขอให้ลดลงอีกหน่อยจนเหลือหน่วยละ 4.15 บาท ทำให้มีการลดอัตราค่าไฟฟ้าจริงหน่วยละ 1.34 บาท ไม่ใช่  3 สตางค์ตามที่สังคมไทยโดยรวมเข้าใจเช่นนั้น ซึ่งสามารถอธิบายให้เข้าใจได้ง่าย ๆ ผู้ที่ดูแลรับผิดชอบบริหารจัดการในการซื้อขายกระแสไฟฟ้าของประเทศคือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดังนั้นความจริงก็คือ ภาระดังกล่าวถูกผลักให้ ‘กฟผ.’ ต้องรับผิดชอบ โดยพี่น้องประชาชนคนไทยเป็นหนี้ ‘กฟผ.’ เพราะ ‘กฟผ.’ เรียกเก็บค่าไฟฟ้าต่ำกว่าต้นทุนของตัวเองจากนโยบายของรัฐที่จะไม่ให้พี่น้องประชาชนคนไทยผู้ใช้ไฟฟ้าต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานไฟฟ้ามากจนเกินไป 

ทำให้มีความจำเป็นที่จะต้องมีการทยอยใช้หนี้ดังกล่าวคืนให้กับ ‘กฟผ.’ เพื่อให้ ‘กฟผ.’ นำเงินที่ได้ไปใช้หนี้คืนอีกทอดหนึ่ง ทำให้เกิดสมการที่ใช้ในการเก็บ ‘ค่าไฟฟ้าผันแปร’ ว่าจะต้องเก็บเท่าไรเพื่อที่ ‘กฟผ.’ จะมีเงินเพื่อนำไปใช้หนี้ตามข้อเสนอของกกพ.ตามแนวทางที่ได้กล่าวมา 

ซึ่ง ‘พีระพันธุ์’ ตัดสินใจเสนอให้มีการยืดหนี้แล้วจ่ายบางส่วน ทำให้อัตราค่าไฟฟ้าจะอยู่ที่หน่วยละ 4.15 บาท ซึ่งเป็นแนวทางที่ทำให้พี่น้องประชาชนคนไทยรับภาระน้อยกว่าที่กกพ.ได้เสนอมา และในขณะเดียวกัน ‘กฟผ.’ เองก็จะมีเงินเพื่อนำไปชำระหนี้จำนวนหนึ่ง โดยอัตราค่าไฟฟ้าหน่วยละ 5.49 บาท ตามแนวทางแรกที่กกพ.เสนอนั้น ‘กฟผ.’ จะได้เงินเพื่อนำไปชำระหนี้ทั้งยอดจำนวนกว่า 80,000 ล้านบาท แต่ถ้าจ่ายอัตราค่าไฟฟ้าที่หน่วยละ 4.15 บาท ‘กฟผ.’ จะได้เงินเพื่อไปชำระหนี้ 13,000ล้านบาทก่อน ซึ่งทุกวันนี้ ‘กฟผ.’ ต้องแบกรับภาระหนี้แทนพี่น้องประชาชนไทยอยู่ และผู้ใช้ไฟฟ้าจำเป็นที่จะต้องเริ่มผ่อนชำระหนี้ดังกล่าวคืนให้กับกฟผ.เพื่อไม่ให้ยอดหนี้นั้นแกว่งจนเกินไป ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของกฟผ.ด้วย

ดังนั้น ค่าไฟฟ้าของเดือนมกราคม-เมษายน พ.ศ. 2568 มีการใช้ไฟฟ้าไป 100 หน่วย ถ้าต้องจ่ายในอัตราที่กกพ.เสนอที่หน่วยละ 5.49 บาท จะต้องจ่ายค่าไฟฟ้าเป็นเงิน 549 บาท แต่เป็นหน่วยละ 4.15 บาทตามที่ ‘พี่ตุ๋ย’ พีระพันธุ์เสนอแล้วพี่น้องประชาชนคนไทยผู้ใช้ไฟฟ้าจะจ่ายเพียง 415 บาท ซึ่งทำให้จ่ายน้อยลง 134 บาท การแบกรับค่า Ft ของ ‘กฟผ.’ ซึ่งประกอบด้วยต้นทุนของค่าความพร้อมเดินเครื่องเพื่อจ่ายไฟฟ้า (AP) และต้นทุนของเชื้อเพลิง LNG ที่มีการเพิ่มขึ้นสูงอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งต้นทุนการผลิตไฟฟ้ารวมทุกอย่างแล้วสูงกว่าราคาที่ขายให้พี่น้องประชาชนคนไทยในปัจจุบัน เมื่อต้นทุนสูงแต่เพื่อให้พี่น้องประชาชนคนไทยจ่ายในราคาที่ต่ำกว่าต้นทุน ทำให้ ‘กฟผ.’ ต้องไปกู้เงินมาจ่ายค่าไฟฟ้าที่ซื้อมาจากผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าเอกชน รวมทั้งหนี้จากค่า LNG ที่ ‘กฟผ.’ ซื้อมาจากปตท.ในส่วนที่ ‘กฟผ.’ นำมาผลิตไฟฟ้าเอง และเมื่อมีโอกาสหากมีเงื่อนไขที่สามารถทำให้ต้นทุนลดลงได้อีกแล้ว ‘กฟผ.’ จึงค่อยเรียกเก็บเพิ่มจากพี่น้องประชาชนคนไทยผู้ใช้ไฟฟ้าเพื่อมาเฉลี่ยใช้หนี้ดังกล่าวต่อไป

สภา กทม.อนุมัติจ่ายหนี้บีทีเอส 1.4 หมื่นล้านแล้ว ‘ชัชชาติ’ ระบุจ่ายก่อนวันสุดท้าย ช่วยลดดอกเบี้ย

(29 พ.ย.67) ที่ห้องประชุมสภากรุงเทพมหานคร อาคารไอราวัตพัฒนา ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ดินแดง นายสุรจิตต์ พงษ์สิงห์วิทยา ประธานสภากรุงเทพมหานคร (กทม.) เป็นประธานการประชุมสภากรุงเทพมหานคร สมัยประชุมวิสามัญ สมัยที่สาม (ครั้งที่ 3) ประจำปีพุทธศักราช 2567 โดยมี นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. คณะผู้บริหาร หัวหน้าส่วนราชการ และสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) เข้าร่วมประชุม

นายนภาพล จีระกุล ส.ก.เขตบางกอกน้อย ในฐานะประธานคณะกรรมการวิสามัญพิจารณาร่างข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 พ.ศ. …. ได้รายงานผลการพิจารณาร่างข้อบัญญัติดังกล่าว โดยเริ่มจากชื่อร่าง หลักการ เหตุผล คําปรารภ ตัวร่างข้อบัญญัติ เรียงตามลําดับจนจบ ซึ่งคณะกรรมการวิสามัญฯ ได้ร่วมกันพิจารณารายละเอียดและมีมติให้ผ่านงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 พ.ศ…. จำนวน 14,549,503,800 บาท โดยใช้เงินสะสมจ่ายขาดของ กทม. เนื่องจาก กทม.มีความประสงค์ชำระหนี้ค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) ให้กับ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด ผู้ให้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส ตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด เมื่อวันที่ 26 ก.ค. 2567

ที่ประชุมสภากรุงเทพมหานครมีมติเห็นชอบร่างข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 พ.ศ. …. จำนวนเงิน 14,549,503,800 บาท โดยมีผู้เข้าร่วมประชุม 43 คนเห็นชอบให้ประกาศใช้ 33 คน งดออกเสียง 10 คน ทั้งนี้ ให้หน่วยรับงบประมาณเร่งดำเนินการเบิกจ่าย เพื่อเป็นประโยชน์ในการลดภาระดอกเบี้ยของ กทม.

ด้าน นายชัชชาติ เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า ภายในระยะเวลา 34 วัน หลังจากนี้ เมื่อมีการประกาศข้อบัญญัติดังกล่าวในราชกิจจานุเบกษา จะมีการชำระหนี้ให้กับบีทีเอส ภายในสิ้นเดือน ธ.ค.นี้ หรือไม่เกินต้นเดือน ม.ค. 68 โดยจะไม่มีการตั้งคณะกรรมการก่อนชำระหนี้แล้ว เพราะต้องจ่ายดอกเบี้ยตามคำสั่งศาลปกครองสูงสุด โดยคิดคำนวณตามที่ศาลระบุ ซึ่งอาจจะไม่ต้องจ่ายหนี้เต็มยอดเงิน 14,549,503,800 บาท เพราะตัวเลขนี้คิดในกรณีที่ต้องจ่ายวันสุดท้าย (22 มกราคม 2568) ตามคำสั่งของศาล

‘3 Account อวตาร’ รับงานปล่อยข่าวปลอม ตั้งป้อมโจมตีกล่าวหา ‘ผู้บริหาร ปตท.’ ด้วยข้อมูลเท็จ

(29 พ.ย.67) จับตาตำรวจไซเบอร์ พุ่งเป้า ‘3 Account อวตาร’ รับงานปล่อยข่าวโจมตี-กล่าวหา ‘กลุ่มผู้บริหารปตท.’ ด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ เตรียมเอาผิดข้อหาหนัก เผยผู้อยู่เบื้องหลังคือ 'กลุ่มที่ทุจริตปาล์มน้ำมันอินโดฯ-สต๊อกลม' ที่ดิ้นพล่าน ต้องการดิสเครดิตผู้บริหารในปัจจุบัน

จากกรณีที่มีการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารอันเป็นเท็จทางโลกออนไลน์ เกี่ยวกับประเด็นที่แอบอ้างว่า “DSI สรุปสำนวน เชื่อว่าผู้ว่าฯปตท.และ CEO OR เข้าข่ายทุจริต ผิดพ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ, ฟอกเงิน และฉ้อโกงประชาชน” ซึ่งเนื้อหาของข่าวดังกล่าว เป็นการระบุแบบคลุมเครือ ไม่ได้มีการระบุชื่อตัวบุคคลอย่างเป็นทางการ แต่เป็นการอ้างตำแหน่ง เพื่อสร้างความเข้าใจผิดให้กับบุคคลทั่วไปที่รับข่าวสารทางโลกสังคมออนไลน์ อีกทั้งยังมีการรวบรวมหลายประเด็นที่เกิดขึ้นใน 'อดีต' แล้วนำมาร้อยเรียงรวมกันแบบเหวี่ยงแห โดยมีเป้าหมายเพื่อมุ่งทำลายตัวบุคคลที่ยังอยู่ในตำแหน่งปัจจุบัน ซึ่งไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องทุจริต อื้อฉาวใน 'อดีต' แต่อย่างใด

ความคืบหน้าในเรื่องนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้มีการสอบถามไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ (ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ : ศปอส.ตร.) ถึงกรณีการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จดังกล่าวนี้ ทำให้ทราบว่า เบื้องต้นได้ตรวจสอบ Account ที่มีการโพสต์ประเด็นดังกล่าว ไปยังกลุ่มต่าง ๆ ซึ่งมีจำนวนการโพสต์ ดังนี้

-ราชสมัคร xxx จำนวน 4 โพสต์
-ออสติน พระxxxxxx จำนวน 2 โพสต์
-Tom Srixxx จำนวน 1 โพสต์

และเมื่อได้ตรวจสอบพฤติกรรมของ Account ทั้งหมด พบว่า 3 Account ดังกล่าว ได้มีการทิ้งระยะห่างเวลาในการโพสต์ไม่เกิน 2 ชั่วโมง เน้นไปที่ 'กลุ่มการเมือง' ที่เปิดเป็นสาธารณะ อีกทั้งยังมีการใช้รูปภาพเเละเนื้อหาเดียวกันทั้งหมด ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ ได้ตั้งข้อสังเกตว่า

1.Account : ราชสมัคร xxx โพสต์ประเด็นดังกล่าวในลักษณะเดียวกันนี้ จำนวนทั้งสิ้น 4 กลุ่ม ซึ่งที่ผ่านมา หน้าโปรไฟล์มักเเชร์ข่าวเกี่ยวกับ 'การออม/การเงิน/การลงทุน'

2.Account : ออสติน พระxxxxxx และ Tom Srixxxx มีการเข้าร่วมกลุ่ม เเละโพสต์ประเด็นดังกล่าวร่วมกัน

3.ทั้ง 3 Account ไม่ใช้รูปตนเอง เเละตั้งรูปโปรไฟล์เป็นรูปรถ, รูปการ์ตูน เเละรูปสัตว์ทะเล

ข้อมูลเท็จ-บิดเบือน
ทั้งนี้จากการตรวจสอบในเชิงลึกพบว่า กลุ่มบุคคลที่อยู่เบื้องหลังการปล่อยข่าวเท็จ-ข่าวปลอมในเรื่องนี้ คือกลุ่มบุคคลกลุ่มที่มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับกรณีทุจริตปาล์มน้ำมันในอินโดนีเซีย ซึ่งขณะนี้เรื่องอยู่ในระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แล้ว และ บุคคลกลุ่มเดียวกันนี้ ยังเกี่ยวข้องกับกรณี 'สต๊อกลม' ของ GGC มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท บางคดียังคงอยู่ในกระบวนการสอบสวน ซึ่งดำเนินไปอย่างล่าช้าในหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ขณะที่บางคดี ศาลได้มีคำพิพากษาแล้วว่า อดีตผู้บริหารของ GGC และผู้ค้า “ร่วมกันกระทำความผิด” ในกรณีดังกล่าว

ที่ผ่านมา ยังพบว่า บุคคลกลุ่มดังกล่าว ยังมีพฤติกรรมแสวงหาผลประโยชน์จากการขายไบโอดีเซลให้กับกลุ่ม ปตท. ในราคาที่สูงกว่าปกติ แต่ผู้บริหาร ปตท.ในปัจจุบัน ได้ดำเนินมาตรการป้องกัน เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะดังกล่าวอีก เช่น การปฏิเสธการฮั้วประมูลไบโอดีเซล รวมถึงการเร่งรัดกระบวนการพิจารณาคดีในกรณี “สต๊อกลม” ทำให้บุคคลกลุ่มดังกล่าว ซึ่งเกี่ยวข้องกับกรณีทุจริตปาล์มน้ำมันในอินโดนีเซีย ได้ดำเนินการตอบโต้ มีการใช้ 'ทนายความ' ดำเนินการในรูปแบบต่างๆ รวมถึงการเข้าซื้อหุ้นในกลุ่ม ปตท. จำนวน 100 หุ้น โดยที่ไม่มีประวัติการลงทุนในตลาดหุ้นมาก่อน จากนั้นได้มีการยื่นข้อร้องเรียนต่อหน่วยงานต่างๆ โดยพุ่งเป้ามาที่ 'ผู้บริหาร ปตท.ในปัจจุบัน' ที่มีบทบาทในการดำเนินมาตรการป้องกันดังกล่าว ประกอบกับข้อร้องเรียนที่ได้มีการยื่นมา โดยอ้างสถานะการเป็นผู้ถือหุ้น แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายแห่งได้ดำเนินการตรวจสอบแล้ว และ 'ไม่พบข้อบกพร่อง' หรือ 'ประเด็นที่มีมูลความผิด' ตามที่มีการร้องเรียนแต่อย่างใด

ในเรื่องนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ ได้แจ้งว่า ความผิดตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 นั้น ระบุไว้ชัดเจนว่า

1.การกด Like ฐานข้อมูลหรือข้อมูลที่มีผลกระทบต่อสังคม เศรษฐกิจ และความมั่นคงเสี่ยง เข้าข่ายความผิดมาตรา 112 หรือมีความผิดร่วม ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3-15 ปี

2.การกด Share ข้อมูลที่มีความผิดโดยไม่ไตร่ตรองก่อน ถือเป็นการเผยแพร่ หากข้อมูลที่แชร์มีผลกระทบต่อผู้อื่น อาจเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.คอมฯ โดยเฉพาะที่กระทบต่อบุคคลที่ 3 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3-15 ปี

3.การเป็นแอดมินเพจ ที่มีการเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จดังกล่าว มีความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯอย่างชัดเจน ถือเป็นความผิดมาตรา 14 โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท

4.การโพสต์ด่าว่าผู้อื่น โดยเฉพาะการใส่ข้อความ รูปภาพ อันเป็นเท็จ ไม่เป็นความจริง ถือเป็นการละเมิดสิทธิ์ จะถูกฟ้องร้องดำเนินคดี ถือเป็นความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 200,000 บาท

ททท. - มิชลิน เปิด 462 ลิสต์ ร้านอาหารชวนกิน ‘ศรณ์’ คว้ารางวัล ‘สามดาวมิชลิน’ ร้านแรกในไทย

เมื่อวันที่ (28 พ.ย.67) ททท. และมิชลิน จัดงานเปิดตัวคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ฉบับประเทศไทย ประจำปี 2568  (The MICHELIN Guide Thailand 2025) ณ โรงแรมสยาม เคมปินสกี้ กรุงเทพ โดยเปิดรายชื่อ 462 ร้านที่ผ่านการคัดสรร ให้ตีพิมพ์ลงในคู่มือฯ ฉบับล่าสุดแล้ว ทั้งประกาศข่าวดี  ‘ศรณ์’ ได้รับการประกาศชื่อเป็นร้านอาหารที่คว้ารางวัลระดับ ‘สามดาวมิชลิน’ อันทรงเกียรติมาครองได้สำเร็จเป็นร้านแรกในไทย และยังมีพิธีมอบรางวัลและฉลองความสำเร็จให้กับบุคลากรและทีมงานร้านอาหารที่ได้รับรางวัล ‘ดาวมิชลิน’ และรางวัลพิเศษอื่น ๆ อีกด้วย

คู่มือฉบับปีล่าสุดนี้บรรจุรายชื่อร้านอาหารที่ผ่านการคัดสรรรวมทั้งสิ้น 462 แห่ง เป็นร้านที่ได้รับรางวัล ‘สามดาวมิชลิน’ 1 ร้าน (เลื่อนระดับจาก ‘สองดาวมิชลิน’), รางวัล ‘สองดาวมิชลิน’ 7 ร้าน (เลื่อนระดับจาก ‘หนึ่งดาวมิชลิน’ 1 ร้าน), รางวัล ‘หนึ่งดาวมิชลิน’ 28 ร้าน (ติดอันดับครั้งแรก 4 ร้าน และเลื่อนระดับจาก MICHELIN Selected 1 ร้าน), รางวัล ‘บิบ กูร์มองด์’ 156 ร้าน (ติดอันดับครั้งแรก 20 ร้าน) และร้านแนะนำ หรือ MICHELIN Selected อีก 270 ร้าน  (ติดอันดับครั้งแรก 44 ร้าน) โดยในจำนวนร้านใหม่ที่ติดอันดับครั้งแรกในคู่มือฯ ฉบับล่าสุดซึ่งเป็นฉบับที่ 8 ของไทย เป็นร้านที่ตั้งอยู่ในจังหวัดชลบุรี ซึ่ง ‘มิชลิน ไกด์’ ขยายขอบเขตเข้าดำเนินการสำรวจและจัดอันดับเป็นปีแรก รวมทั้งสิ้น 20 ร้าน (ร้านระดับ ‘บิบ กูร์มองด์’ 5 ร้าน และร้านแนะนำ หรือ MICHELIN Selected 15 ร้าน)

เกว็นดัล ปูลเล็นเนค (Gwendal Poullennec) ผู้อำนวยการฝ่ายจัดทำคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ทั่วโลก กล่าวแสดงความเห็นว่า “การที่ประเทศไทยมีร้านอาหารได้รับรางวัล ‘สามดาวมิชลิน’ เป็นร้านแรก ทำให้ปี 2568 เป็นปีสำคัญของไทยในหน้าประวัติศาสตร์แวดวงอาหารระดับสากล  รายชื่อร้านอาหารที่ผ่านการคัดสรรเหล่านี้ไม่เพียงสะท้อนความรุ่มรวยและหลากหลายของอาหารไทย แต่ยังแสดงให้เห็นว่าศาสตร์และศิลป์ด้านอาหารการกินของไทยโอบรับวัฒนธรรม ความทันสมัย และเทรนด์ใหม่ ๆ เอาไว้อย่างลงตัว”

‘ศรณ์’ สร้างประวัติศาสตร์ คว้า ‘สามดาวมิชลิน’ มาครองเป็นร้านแรกในไทย  
ศรณ์ ร้านอาหารใต้ที่ถ่ายทอดศิลปะการปรุงอาหารผ่านฝีมืออันเป็นเลิศ ตลอดจนการผสมผสานอย่าง  ลงตัวระหว่างตำรับโบราณและนวัตกรรมสมัยใหม่ รังสรรค์อาหารขึ้นอย่างประณีต พิถีพิถัน และลุ่มลึก นำเสนอประสบการณ์การรับประทานที่น่าตื่นเต้นและกลมกล่อมอย่างไม่มีที่ติซึ่งได้รับการจัดอันดับในคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ฉบับประเทศไทย ประจำปี 2562 เป็นครั้งแรก โดยได้รับรางวัล ‘หนึ่งดาวมิชลิน’ เพียงหนึ่งปีต่อมาก็ได้รับการเลื่อนระดับเป็นร้าน ‘สองดาวมิชลิน’ และสามารถครองสถานะระดับ ‘สองดาวมิชลิน’ เอาไว้ได้อย่างต่อเนื่องตลอด 5 ปี และล่าสุดก้าวสู่การเป็นร้านอาหารระดับตำนานในฐานะที่คว้ารางวัลอันทรงเกียรติสูงสุดระดับ ‘สามดาวมิชลิน’ มาครองเป็นร้านแรกในประเทศไทย ตอกย้ำถึงความเป็นเลิศ คุณภาพ และความสม่ำเสมอ  กลายเป็นสุดยอดร้านอาหารที่ควรค่าแก่การเป็นจุดหมายปลายทางที่ควรดั้นด้นเดินทางเพื่อไปชิมสักครั้ง

รางวัล ‘สองดาวมิชลิน’ มีร้านติดอันดับเพิ่มหนึ่งแห่ง คือ ‘โค้ท บาย เมาโร โคลาเกรคโค’ ในคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ฉบับประเทศไทย ประจำปี 2568 มีร้านอาหารคว้ารางวัลระดับ ‘สองดาวมิชลิน’ เพิ่มขึ้นเพียงร้านเดียว โดยได้รับการเลื่อนระดับจาก ‘หนึ่งดาวมิชลิน’ คือ โค้ท บาย เมาโร โคลาเกรคโค

สำหรับร้านอาหาร บ้านเทพา, เชฟส์เทเบิล, กา, เมซซาลูน่า, อาหาร และซูห์ริง ยังคงครองสถานะ    ‘สองดาวมิชลิน’ เอาไว้ได้ ทำให้ประเทศไทยมีร้านระดับ ‘สองดาวมิชลิน’ จำนวนทั้งสิ้น 7 ร้าน

รางวัล ‘หนึ่งดาวมิชลิน’ มีร้านติดอันดับเพิ่มขึ้น 5 ร้าน
สำหรับรางวัล ‘หนึ่งดาวมิชลิน’ ซึ่งมีร้านใหม่ติดโผ 5 ร้าน ในจำนวนนี้ 4 ร้านได้รับการจัดอันดับในคู่มือ  ‘มิชลิน ไกด์’ ฉบับประเทศไทย เป็นครั้งแรก ได้แก่ อัคคี จังหวัดนนทบุรี, เอวองท์ กทม.,  โกท กทม.และ อาวลิส จังหวัดพังงา ส่วนอีก 1 ร้านได้รับการเลื่อนระดับจากร้านแนะนำ หรือ MICHELIN Selected คือ โคด้า

รางวัล MICHELIN Green Star หรือ 'ดาวมิชลินรักษ์โลก' มีร้านติดอันดับเพิ่มขึ้นหนึ่งร้าน คือ ‘บ้านเทพา’

นอกจาก พรุ, ฮาโอมา และ จำปา ซึ่งครองรางวัล MICHELIN Green Star หรือ 'ดาวมิชลินรักษ์โลก' ที่มอบให้กับร้านอาหารซึ่งดำเนินกิจการและมีแนวปฏิบัติประจำวันด้านการประกอบอาหารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนแล้ว ยังมีร้านอาหารร่วมครองรางวัลนี้อีก 1 ร้านในคู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ฉบับประเทศไทย ประจำปี 2568 ได้แก่ บ้านเทพา ร้านอาหารไทยร่วมสมัยที่เชฟและทีมงานไม่เพียงทุ่มเทใส่ใจในเรื่องความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และยังริเริ่มโครงการเพื่อขับเคลื่อนชุมชนให้มีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมด้วย 

รางวัลพิเศษ 4 รางวัล
ปัจจุบัน คู่มือ ‘มิชลิน ไกด์’ ฉบับประเทศไทย มอบรางวัลพิเศษรวม 4 รางวัล ให้กับบุคลากรมืออาชีพจากร้านอาหารที่ติดอันดับในคู่มือฯ ซึ่งมีความสามารถโดดเด่นและมีบทบาทในการยกระดับประสบการณ์ด้านอาหารให้ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น

รางวัล MICHELIN Guide Young Chef Award
MICHELIN Guide Young Chef Award เป็นรางวัลพิเศษที่ได้รับการสนับสนุนโดย 'บลองแปง' (Blancpain) แบรนด์นาฬิกาจากสวิตเซอร์แลนด์ รางวัลนี้มอบให้กับสุดยอดเชฟรุ่นใหม่ที่แสดงศักยภาพโดดเด่นตลอดระยะเวลา 12 เดือนที่ผ่านมา ด้วยคุณสมบัติและทักษะความสามารถในการรังสรรค์อาหารอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยผู้ได้รับรางวัลประจำปี 2568 คือ 'อู๋' สิทธิกร จันทป เชฟและเจ้าของร้านอัคคี

รางวัล MICHELIN Guide Opening of the Year Award
MICHELIN Guide Opening of the Year Award เป็นรางวัลที่ได้รับการสนับสนุนโดยธนาคารยูโอบี (UOB) มอบให้กับบุคลากรและทีมงานซึ่งประสบความสำเร็จในการเปิดร้านอาหารใหม่ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา โดยมีแนวคิดที่โดดเด่นในการนำเสนออาหารอย่างสร้างสรรค์ จนกลายเป็นกระแสที่ได้รับความสนใจจากวงการอาหารในประเทศ สำหรับผู้ได้รับรางวัลประจำปี 2568 คือ ดิมิทริออส มูดิออส (Dimitrios Moudios) เชฟและเจ้าของร่วม (Co-Owner Chef) ของร้าน Ōre  

รางวัล MICHELIN Guide Service Award
MICHELIN Guide Service Award เป็นรางวัลที่ได้รับการสนับสนุนโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย มอบให้สุดยอดบุคลากรของร้านอาหารที่ทุ่มเทให้กับการบริการเพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์การทานอาหารที่ยอดเยี่ยม สำหรับผู้ได้รับรางวัลประจำปี 2568 คือ ยุพา สุขเกษม ผู้จัดการร้านบ้านเทพา  

รางวัล MICHELIN Guide Sommelier Award 
MICHELIN Guide Sommelier Award เป็นรางวัลที่มอบให้กับ 'ซอมเมอลิเยร์' หรือผู้เชี่ยวชาญด้านไวน์ที่มีคุณสมบัติโดดเด่น โดยให้บริการอย่างมืออาชีพ และมีความชำนาญในการให้คำแนะนำเกี่ยวกับไวน์ชนิดต่าง ๆ รวมถึงการจับคู่ไวน์กับเมนูอาหาร เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ด้านอรรถรสสูงสุด โดยผู้ได้รับรางวัลประจำปี 2568 คือ ฐานสิทธิ์ วาสินนท์ จากร้าน โค้ท บาย เมาโร โคลาเกรคโค ณ โรงแรมคาเพลลา กรุงเทพ

‘สุริยะ’ เตรียมลงพื้นที่ดูเหตุเครนสร้างทางด่วนพระราม 2 ถล่ม พร้อมเล็งลงโทษบริษัทลดชั้นผู้รับเหมา - ห้ามรับงาน 2 ปี

(29 พ.ย.67) สุริยะสั่งอธิบดีกรมทางหลวงบินด่วนดูเหตุเครนสร้างทางด่วนพระราม 2 ถล่ม ก่อนตามลงพื้นที่เย็นนี้ เล็งตัดคะแนนลดชั้นผู้รับเหมา ห้ามรับงาน 2 ปี ส่วนสาเหตุขอรอตรวจสอบ

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ได้รับรายงานเหตุการณ์คานเหล็กก่อสร้างบนถนนพระราม 2 ถล่มเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาแล้ว พบว่ามีผู้เสียชีวิต 2 ราย สูญหาย 2 คน บาดเจ็บ 10 คน ได้สั่งการให้อธิบดีกรมทางหลวง ที่ขณะนี้มาปฏิบัติงานกับตนเองที่จังหวัดเชียงใหม่ให้กลับไปดูในพื้นที่เพื่อไปดูสาเหตุ

และช่วงเย็นวันนี้ตนก็จะกลับไปตรวจพื้นที่ ก่อนที่จะกลับมาปฏิบัติภารกิจต่อที่จังหวัดเชียงใหม่วันพรุ่งนี้ ซึ่งสิ่งสำคัญที่เคยเน้นย้ำกับผู้รับเหมามาโดยตลอด คือการปฏิบัติภารกิจด้วยความปลอดภัย แต่หากมีอุบัติเหตุทางกรมทางหลวง ก็มีสมุดพกที่จะประเมินตัดคะแนนผู้รับเหมา และประสานกับกรมบัญชีกลาง เพื่อลดชั้นผู้รับเหมา

ปัจจุบันผู้รับเหมาชั้นพิเศษมีแต่ปรับขึ้น แต่ผลงานไม่ดีไม่มีการปรับลง ซึ่งขณะนี้ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากกรมบัญชีกลาง และอย่างกรณีที่เกิดขึ้นนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิต บริษัทผู้รับเหมาที่ทำให้เกิดเหตุจะถูกตัดสิทธิไม่ให้เข้ามารับงาน ซึ่งอาจจะถึง 2 ปี หลังจากนั้นหากปรับปรุงจนดีขึ้นอาจจะคืนสิทธิ ซึ่งเป็นเรื่องที่กระทรวงคมนาคมเห็นถึงความสำคัญและความปลอดภัยกับสาธารณะ

นายสุริยะกล่าวอีกว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นคนละบริษัทกับที่เคยเกิดอุบัติเหตุก่อนหน้านี้ ที่ผ่านมาบริษัทนี้มีผลงานค่อนข้างดี ส่วนข้อผิดพลาดเกิดจากอะไรขอกลับไปตรวจสอบก่อน แต่เมื่อเกิดเหตุก็ได้สั่งการให้หยุดการก่อสร้างทันที ส่วนจะให้หยุดกี่วันขอกลับไปตรวจสอบ ก่อนกำหนดวันอีกครั้ง

นายสุริยะยังกล่าวว่า ตนเองเคยให้สัมภาษณ์ และยืนยันว่าถนนพระราม 2 อยากให้แล้วเสร็จในเดือนมิถุนายนปี 2568 แต่ระยะหลังมีสถานการณ์โควิดที่เกิด จึงทำให้ผู้รับเหมาสามารถขอขยายสัญญาออกไปได้จนถึงสิ้นปี 2568 ซึ่งตามสัญญาถือเป็นสิทธิของผู้รับเหมาที่สามารถทำได้ แต่ได้ขอความร่วมมือในเบื้องต้นให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายนปี 2568

ส่วนกรณีที่ประชาชนหวาดกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุอีก จะมีมาตรการอย่างไร นายสุริยะกล่าวว่า ปัญหาคือ เมื่อไม่มีมาตรการที่จะลดชั้นผู้รับเหมา ทำให้เมื่อเกิดอุบัติเหตุแล้วจะไม่เป็นไร ซึ่งผู้รับเหมาชั้นพิเศษ ถ้าเกิดลดชั้นจะทำให้กระทบต่อธุรกิจ ดังนั้น หากมีมาตรการเรื่องการลดชั้นออกมา ก็จะทำให้ผู้รับเหมาเกรงกลัว ทำให้อุบัติเหตุลดลง

นายสุริยะยังกล่าวถึงการขยายระยะเวลาก่อสร้างให้ผู้รับเหมา อาจจะทำให้ประชาชนวิพากษ์วิจารณ์ ว่าเมื่อเกิดสถานการณ์โควิด ผู้รับเหมาก็มีสิทธิได้รับการขยายสัญญา ไม่ใช่แค่ผู้รับเหมาที่พระราม 2 แต่ผู้รับเหมาทุกโครงการก็ได้รับการขยายระยะเวลาออกไปด้วยเช่นกัน พร้อมย้ำว่า ส่วนตัวอยากให้มีการก่อสร้างแล้วเสร็จโดยเร็ว แต่ก็ต้องเน้นถึงความปลอดภัยเป็นหลักด้วย

ปตท. ชวนสัมผัส ‘งานมหัศจรรย์ไม้เมืองหนาว’ ชมทิวลิปบานกลางกรุง ที่สวนหลวง ร.๙ ตั้งแต่ 1 - 10 ธ.ค.นี้

กลับมาอีกครั้ง กับทุก ๆ ช่วงต้นเดือนธันวาคมของทุกปี ซึ่งเป็นห้วงเวลาที่ชื่นชอบความสวยงามของดอกไม้นานาชนิดไม่ควรพลาด กับงาน “มหัศจรรย์ไม้เมืองหนาว ทิวลิปบานที่สวนหลวง ร.๙” ประจำปี 2567 ระหว่าง 1 – 10 ธันวาคม 2567 โดยในปีนี้ทาง ปตท. เชิญชวนให้มาสัมผัสความงดงามของพรรณไม้เมืองหนาว ที่จะขึ้นภายใต้แนวคิด 'The Charming of Colorful Town'

โดยได้จำลองบรรยากาศเมืองแห่งสีสันในยุโรป มาไว้ภายใน อาคารถกลพระเกียรติ สวนหลวง ร.๙ เพื่อให้ผู้ที่มาเยี่ยมชมได้เพลิดเพลินไปกับดอกไม้เมืองหนาวสุดพิเศษอย่างดอกทิวลิปหลากสี ไฮเดรนเยีย และไม้เมืองหนาวนานาพรรณ 

ไม่เพียงเท่านั้น ภายในงานยังจะมี สตรอว์เบอร์รีเกรดพรีเมียม ที่ปลูกโดยใช้พลังงานความเย็นจากกระบวนการแปรสภาพ LNG นวัตกรรมสุดล้ำที่สะท้อนถึงความยั่งยืน พร้อมอิ่มอร่อยกับเมนูสร้างสรรค์ทั้งขนมและเครื่องดื่มจากสตรอว์เบอร์รีคุณภาพโดยแบรนด์ Harumiki ที่ใช้สตรอว์เบอร์รีญี่ปุ่นพรีเมียมเป็นวัตถุดิบ ยกขบวนมาเสิร์ฟแบบจัดเต็มในงานนี้อีกด้วย

มาร่วมเก็บภาพความทรงจำสุดประทับใจในมุมถ่ายภาพสวย ๆ เหมือนเดินอยู่ในเมืองยุโรป พร้อมเลือกซื้อของฝากสุดพิเศษ ได้ตั้งแต่วัน วันที่ 1 - 10 ธันวาคม 2567 เวลาเข้าชม: 09.00-19.00 น. ค่าผ่านประตูสวนหลวง ร.๙ คนละ 10 บาท และ ค่าจอดรถคันละ 50 บาท สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานมูลนิธิสวนหลวง ร.๙ โทร. 0 2328 1385


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top