Thursday, 15 May 2025
ECONBIZ NEWS

‘ท๊อป Bitkub’ เล็งขยายธุรกิจไป ‘ฮ่องกง’ หลังโดน ก.ล.ต. สั่งปรับหลายครั้ง

'ท๊อป จิรายุส' ผู้ก่อตั้งกระดานเทรด Bitkub เผยผ่าน The South China Morning Post ว่าเตรียมย้ายบ้านธุรกิจซื้อขายเหรียญคริปโต จากประเทศไทย ไปจดทะเบียนในฮ่องกง

จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งกระดานเทรด Bitkub ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลและกระดานซื้อขายแลกเปลี่ยนคริปโตชื่อดังของไทยเปิดเผยในระหว่างการให้สัมภาษณ์เมื่อสัปดาห์ที่แล้วที่การประชุมสุดยอดกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก หรือ APEC2022 ว่า กระดานเทรด Bitkub ซึ่งมีส่วนแบ่งการตลาดในธุรกิจแลกเปลี่ยน cryptocurrency มากที่สุดของประเทศไทย กำลังเล็งการขยายธุรกิจ ไปยังเขตพื้นที่ปกครองพิเศษฮ่องกง โดยเป็นจุดหมายปลายทางในการจดทะเบียนธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งคาดว่าเป็นไปได้ว่าเร็วที่สุดภายในปี 2567

"เนื่องจากที่ตั้งทางภูมิศาสตร์มีส่วนสำคัญในการพิจารณาเลือกฮ่องกงมากกว่านิวยอร์ก เช่นเดียวกับศูนย์กลางทางการเงินในเอเชียที่มีหลักนิติธรรมและสภาพคล่องสูงในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งผมคิดว่าจุดแข็งของเราอยู่ที่ภูมิภาคอาเซียนตะวันออกเฉียงใต้ดังนั้นจึงเป็นการดีที่จะเชื่อมต่อกับตลาดใกล้บ้าน”

นอกจากนี้ ท๊อป ยังได้สะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้นจากการล้มละลายของ FTX อีกด้วยว่า ความผิดพลาดของ FTX ซึ่งเป็นหนึ่งในการแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งได้ยื่นฟ้องล้มละลายในสหรัฐอเมริกา สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อความเชื่อมันในอุตสาหกรรมคริปโตอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตาม ท๊อป จิรายุส ยังคงไม่หวั่นไหวเกี่ยวกับอนาคตของสินทรัพย์ดิจิทัล

“บริษัทส่วนกลางไม่กี่แห่งจัดการเงินของลูกค้าผิดพลาดหรือมีธรรมาภิบาลที่แย่มากไม่ได้หมายความว่าสกุลเงินดิจิทัลนั้นไม่ดี จริงไหม ซึ่งจริง ๆ แล้ว Cryptocurrency เป็นผลิตภัณฑ์ที่ดีกว่ามาก และลูกค้าจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขาเสมอ” ท๊อป จิรายุส กล่าว

อย่างไรก็ดี การที่ผู้ประกอบการ เรียกร้องให้ฮ่องกงเร่งปฏิรูปกฎระเบียบสำหรับแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัล หากตั้งใจที่จะแสวงหาบริษัทด้านการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล และบริษัทอื่น ๆ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน เพื่อผลักดันการขยายตัวทางเศรษฐกิจ แม้ว่าจะไม่ได้ยกตัวอย่างเฉพาะเจาะจงก็ตาม

“ฮ่องกงเป็นผู้นำด้านการเงินเสมอมา แต่เพื่อให้โมเมนตัมดำเนินต่อไปและยังคงเป็นผู้นำ พวกคุณควรมีกฎระเบียบที่เสรีและเปิดกว้างมากขึ้น และเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ๆ มากขึ้น” ท๊อป จิรายุส กล่าวถึงกฎระเบียบที่ฮ่องกงควรมีเพื่อรองรับอุตสาหกรรมคริปโต

ขณะที่ Bitkub ซึ่งเป็นบริษัทแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลในประเทศไทย โดยมีศูนย์กลางธุรกิจในกรุงเทพฯ ซึ่งมีสัดส่วนปริมาณธุรกรรมเงินเสมือนจริงมากถึง 90% ในประเทศ โดยมีปริมาณการซื้อขายสูงถึง 23,000 ล้านบาทไทย (642 ล้านเหรียญสหรัฐ) ต่อวัน

อย่างไรก็ตาม Bitkub เกือบจะกลายเป็นหนึ่งในสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นรายแรกของไทย แม้ว่าบริษัทมีมูลค่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ แต่ธนาคารไทยพาณิชย์ได้ประกาศในเดือนสิงหาคมว่าได้ล้มเลิกแผนการที่จะซื้อหุ้น 51% ในบริษัทย่อยแห่งหนึ่งของบริษัท ท่ามกลางปัญหาด้านกฎระเบียบกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์

นอกจากนี้ ท๊อป ยังได้ตั้งข้อสังเกตว่า จากภาวะเงินเฟ้อและปัญหาเศรษฐกิจที่สร้างแรงกระเพื่อมไปทั่วโลก ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในอุตสาหกรรมคริปโตอย่างชัดเจน ทำให้การขยายธุรกิจสู่สาธารณะนั้นไม่ใช่เรื่องที่ Bitkub ให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกในตอนนี้ โดยเรียกปีที่จะมาถึงนี้ว่าเป็น 'ฤดูหนาว' สำหรับทุกภาคส่วน แต่บริษัทจะมุ่งเน้นไปที่การรวมผลผลิตให้มากขึ้น ในขณะที่ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง

“ปี 2567 เป็นปีที่เราหวังว่าจะสามารถเปิดเผยแผนงานระยะต่อไปสู่สาธารณชนได้ เมื่อสถานการณ์ต่างๆ กลับสู่ภาวะปกติ ซึ่งขณะนี้ เรายังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการสำรวจ” ท๊อป จิรายุส กล่าว

เมื่อเปรียบเทียบกับสิงคโปร์ ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นคู่แข่งตัวฉกาจในด้านการลงทุน ท๊อป จิรายุส ให้ความเห็นว่า ฮ่องกงมีสภาพคล่องสูงกว่า หมายความว่าการแปลงสินทรัพย์เป็นเงินสดทำได้ง่ายกว่า โดยปัจจุบัน ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง มีบริษัทจดทะเบียนจากประเทศไทยเกือบ 40 แห่ง

นอกจากนี้ ท๊อป จิรายุส ยังได้ ฉายภาพเศรษฐกิจในอนาคตว่า 2 ชาติมหาอำนาจที่ใหญ่ที่สุดในโลก คือจีนและสหรัฐฯ แบ่งประเด็นระดับโลกตั้งแต่การค้าไปจนถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งรุนแรงขึ้นจากสงครามรัสเซียกับยูเครน ซึ่งจะส่งผลต่อการตัดสินใจของบริษัทต่างๆ ที่เข้าจดทะเบียนด้วย โดยเฉพาะบริษัทในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะชอบฮ่องกง ในขณะที่บริษัทตะวันตกมีแนวโน้มที่จะมุ่งหน้าไปยังนิวยอร์ก

สรุปสถานการณ์ตลาดน้ำมันสัปดาห์ที่ 14 – 18 พ.ย. 65 จับตาปัจจัย ‘บวก - ลบ’ ชี้ แนวโน้ม 21 – 25 พ.ย. 65

สรุปสถานการณ์ตลาดน้ำมันสัปดาห์ที่ 14 – 18 พ.ย. 65 จับตาปัจจัย ‘บวก - ลบ’ ชี้ แนวโน้ม 21 – 25 พ.ย. 65

ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยสัปดาห์ล่าสุดปรับตัวลดลง ICE Brent ลดลงเกือบ 4% WoW ส่วน NYMEX WTI ลดลงเกือบ 5% WoW โดยวันที่ 18 พ.ย. 65 ราคา ICE Brent และ NYMEX WTI ปิดตลาดต่ำสุดในรอบ 7 สัปดาห์ เนื่องจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในจีนยังไม่คลี่คลาย กดดันกิจกรรมทางเศรษฐกิจและอุปสงค์น้ำมันทางการจีนประกาศมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดในหลายพื้นที่ อาทิ เมืองกว่างโจว, กรุงปักกิ่ง โดยให้ประชาชนอยู่ภายในที่พักอาศัย ปิดกิจการธุรกิจและโรงเรียนชั่วคราว และปรับรูปแบบการเรียนการสอนเป็นออนไลน์ ตั้งแต่วันที่ 21 พ.ย. 65 ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการสาธารณสุขของจีน (National Health Commission: NHC) รายงานผู้ติดเชื้อใหม่รายวันทั่วประเทศ วันที่ 19 พ.ย. 65 อยู่ที่ 24,435 ราย สูงสุดตั้งแต่เดือน เม.ย. 65 ทางเทคนิค ราคาน้ำมันดิบ ICE Brent สัปดาห์นี้มีแนวโน้มเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 85-90 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล

>> ปัจจัยที่กระทบต่อราคาน้ำมันดิบในเชิงลบ

• สำนักสถิติแห่งชาติจีน (National Bureau of Statistics: NBS) รายงานปริมาณการนำน้ำมันดิบเข้ากลั่น (Crude Throughput) ในเดือน ต.ค. 65 ลดลงจากเดือนก่อน  20,000 บาร์เรลต่อวัน อยู่ที่ 13.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน และอัตราการกลั่น (Utilization Rate) อยู่ที่ 73.6%

• รมว.กระทรวงต่างประเทศฮังการี นาย Peter Szijarto รายงานท่อน้ำมันดิบ Southern Druzhba (กำลังการขนส่ง 250,000 บาร์เรลต่อวัน) กลับมาดำเนินการเป็นปกติ หลังหยุดชั่วคราวเพียง 1 วัน เนื่องจากโรงไฟฟ้าซึ่งจ่ายไฟให้สถานีเพิ่มแรงดันตามแนวท่อถูกขีปนาวุธรัสเซียโจมตี ทั้งนี้ท่อดังกล่าวส่งน้ำมันดิบจากรัสเซียผ่านเบลารุส และยูเครน สู่ฮังการี สโลวาเกีย สาธารณะรัฐเช็ก และออสเตรีย

เบอร์ 2 AWS พบ ‘บิ๊กตู่’ ตอกย้ำลงทุนในไทย 1.9 แสนล้าน ช่วยขับเคลื่อนศก.ดิจิทัลไทย สอดรับกลยุทธ์ 3 แกน

รัฐบาลไทย ปลื้ม!! เบอร์ 2 AWS เยือนไทย ชี้ ความร่วมมือกับ AWS (Amazon web service) ผู้ให้บริการระบบคลาวด์ชั้นนำของโลก จะทำให้ไทยยกระดับโครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์ระดับโลกที่ปลอดภัยและยืดหยุ่นมาสู่ประเทศ สอดคล้องกับภารกิจในการนำดิจิทัลเทคโนโลยีมาส่งเสริมกิจการของประเทศ ภายใต้ 3 แกนกลยุทธ์ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เคยได้กล่าวไว้

ไมเคิล พังก์ รองประธานด้านนโยบายสาธารณะ เอมะซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (Amazon Web Services: AWS) / (Mr.Michael Punke, Global Vice President, Public Policy AWS : ยืนข้างนายกรัฐมนตรี) เปิดเผยว่า การกำกับดูแลเป็นเรื่องท้าทายของรัฐบาลทั่วโลก โดยบทบาทของรัฐบาลต้องทำให้เรื่องซับซ้อนนั้นง่ายขึ้น และจัดการปัญหาให้เล็กลง เช่น การคุ้มครองด้านความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัว ดังนั้นรัฐบาลต้องมีการพูดคุยเพื่อหาทางออกร่วมกันกับภาคเอกชน

"สำหรับภูมิภาคนี้มีศักยภาพ รัฐบาลจะต้องให้ธุรกิจเทคโนโลยีสามารถทำงานได้ตามข้อบังคับ เพื่อที่ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจว่าพวกเขาสามารถไว้ใจแบรนด์ไหนได้บ้าง เพราะการทำให้ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นในเทคโนโลยีของเรา เป็นพื้นฐานที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าหลายอย่างถูกใช้ในทางที่ผิด โดยเฉพาะเรื่อง Data localization มีผลสำรวจว่า ประเทศที่มีข้อบังคับเรื่องนี้มากเกินไป มีค่าใช้จ่ายด้านไอทีเพิ่มขึ้น 30% ด้วยต้นทุนขนาดนี้ ดังนั้นจึงยากมากที่จะสร้างการแข่งขันได้ในระดับโลก"

พังก์ กล่าวอีกว่า สำหรับ AWS เทคโนโลยีคลาวด์เป็นพื้นฐานของการสร้างนวัตกรรม คลาวด์เป็นเทคโนโลยีที่เข้ามาได้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม โดย ปัญญาประดิษฐ์ (AI) อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) การเรียนรู้ของเครื่องจักร (machine learning) และ 5G เทคโนโลยีเหล่านี้ต่างดำรงอยู่ได้เพราะมีระบบคลาวด์รองรับทั้งสิ้น

ทั้งนี้การประกาศแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์ของ AWS ได้มีการเผยงบลงทุนในไทยราว 1.9 แสนล้านบาท เป็นการเปิดตัว Region ในประเทศไทย ภายใต้ชื่อ AWS เอเชียแปซิฟิก (กรุงเทพฯ) เพื่อให้ลูกค้าสามารถใช้งานและจัดเก็บข้อมูลในประเทศไทยได้อย่างปลอดภัย

โดย AWS Asia Pacific (Bangkok) จะประกอบด้วย Availability Zone 3 แห่ง ซึ่งเพิ่มเติมจาก Availability Zone ของ AWS ที่มีอยู่แล้ว 87 แห่งใน 27 ภูมิภาคทั่วโลก

นอกจากนี้ AWS ได้ประกาศแผนที่จะสร้าง Availability Zone ทั่วโลกอีก 24 แห่งและ AWS Region อีก 8 แห่งในออสเตรเลีย, แคนาดา, อินเดีย, อิสราเอล, นิวซีแลนด์, สเปน, สวิตเซอร์แลนด์ รวมถึงประเทศไทย AWS Region ที่กําลังจะมีขึ้นในประเทศไทย

โดยการลงทุนในครั้งนี้ จะช่วยให้นักพัฒนา สตาร์ตอัพ และองค์กรต่างๆ รวมถึงภาครัฐ, การศึกษา และองค์กรไม่แสวงผลกําไร สามารถเรียกใช้แอปพลิเคชันของตนและให้บริการผู้ใช้ปลายทางจากศูนย์ข้อมูล AWS ที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย เพื่อให้ลูกค้าที่ต้องการเก็บข้อมูลของตนไว้ในประเทศไทยสามารถทําได้ โดยส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นที่ AWS มีต่อภูมิภาคนี้ AWS วางแผนที่จะลงทุนมากกว่า 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ (หรือ 1.9 แสนล้านบาท) ในประเทศไทยในระยะเวลา 15 ปี

รมว.สุชาติ ชี้!! IMF คาดจีดีพีไทยโต - ว่างงานต่ำสุดในโลก ผลพวงนโยบายรัฐบาลบิ๊กตู่ช่วงโควิด-19

(21 พ.ย. 65) นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่าถึงกรณีที่ IMF หรือ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ ได้ออกรายงานคาดการณ์ GDP ปี 2023 ของประเทศต่างๆ ทั่วโลก ผลปรากฏว่า ประเทศไทย เป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศ ที่ IMF คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะเติบโต มี GDP เป็นบวก คือ จาก 2.8 เป็น 3.7 โดยในเอเชีย มีเพียงไทยและจีน 3.2 เป็น 4.4 เท่านั้น ที่ IMF คาดการณ์ว่า GDP จะเป็นบวก ไม่นับฮ่องกงและมาเก๊า (ข้อมูลอ้างอิงจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ International Monetary Fund (IMF) ที่ได้วิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจโลก ฉบับเดือนตุลาคม 2565) ซึ่งเป็นผลมาจากการเปิดประเทศ ทำให้นักท่องเที่ยวไหลกลับเข้ามา รวมถึงการลงทุนขนาดใหญ่ที่รัฐบาลได้ไปเจรจาไว้ โดยเฉพาะ EEC และเสถียรภาพทางการคลังของประเทศด้วย

‘สุริยะ’ มอบ กนอ. เร่งดำเนินการ หลัง ‘ไทย-จีน’ เซ็น MOU ปั้นนิคมฯ ในไทย พร้อมพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน 

‘สุริยะ’ มอบ กนอ.เร่งดำเนินการประสานงาน หลังกระทรวงอุตสาหกรรม (MOI) จับมือ กระทรวงพาณิชย์แห่งสาธารณประชาชนจีน (MOFCOM) ลงนามบันทึกความเข้าใจตั้งคณะทำงานขับเคลื่อนส่งเสริมความร่วมมือด้านการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม และสนับสนุนกิจกรรมส่งเสริมการลงทุน เจาะกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ การแพทย์ อุตสาหกรรมชีวภาพ และเศรษฐกิจหมุนเวียนชีวภาพ 

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา มีพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่าง กระทรวงอุตสาหกรรม แห่งราชอาณาจักรไทย และ กระทรวงพาณิชย์ แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการจัดตั้งคณะทำงานขับเคลื่อนส่งเสริมความร่วมมือด้านการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม และสนับสนุนกิจกรรมส่งเสริมการลงทุน โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อส่งเสริมนโยบายความคิดริเริ่ม ‘หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง’ (Belt and Road initiatives) เชื่อมโยงสู่นโยบายไทยแลนด์ 4.0 ตลอดจนร่วมกันเสริมสร้างความร่วมมือทวิภาคีด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม การค้า และการลงทุน ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เร่งศึกษาและดำเนินการประสานงานต่อไป

ม.หอการค้า คาดการลงทุน BCG ตามมากว่า 6 แสนล้าน หลังรัฐ 'จุดติด-สร้างความตื่นตัว' ในเวที APEC 2022

(21 พ.ย.65) น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากการที่ประเทศไทยได้ผลักดันให้เกิดการรับรอง 'เป้าหมายกรุงเทพฯ' ว่าด้วยเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bangkok Goals on BCG Model) ในการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ค.ศ. 2022 ได้สำเร็จ ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญสูงสุดของการเป็นเจ้าภาพเอเปคของไทยในปีนี้ ถือเป็นกรอบการดำเนินการกำหนดเป้าหมายร่วมกันเพื่อให้ภูมิภาคเอเซีย-แปซิฟิก เจริญเติบโตอย่างเข้มแข็ง สมดุล มั่นคง และยั่งยืน โดยผ่านความร่วมมือ 4 ด้าน คือ...

1.) การจัดการผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ 
2.) การส่งเสริมการค้าและการลงทุนที่ยั่งยืนและครอบคลุม 
3.) การอนุรักษ์บริหารจัดการและการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยังยืน 
และ 4.) การบริหารจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

‘บิ๊กตู่’ ปลื้ม!! IMF ชี้ เศรษฐกิจไทยขยายตัว ท่ามกลางการชะลอตัวของทั่วโลก

เมื่อวันที่ 21 พ.ย. 65 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้รับทราบถึงรายงานที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประมาณการเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ร้อยละ 3.7 ในปี 2566 จากร้อยละ 2.8 ในปีนี้ พร้อมกับคาดว่าการว่างงานของไทยจะอยู่ในอัตราต่ำที่สุดในเอเชียแปซิฟิกที่ 1.0% โดยไทยเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศในเอเชียที่ IMF มองว่าเศรษฐกิจจะยังขยายตัวได้ท่ามกลางการชะลอตัวของทั่วโลกที่เผชิญกับความท้าทายจากภาวะเงินเฟ้อ และต้นทุนการครองชีพที่สูงขึ้น

นายกรัฐมนตรี ยินดีกับผลการประเมินของ IMF และเห็นว่าความชัดเจนของนโยบายรัฐบาลมีผลสำคัญอย่างยิ่งต่อประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจไทยขององค์กรทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งนับแต่สามารถจัดการกับสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ให้อยู่ภายใต้การควบคุมได้ รัฐบาลได้เร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยเฉพาะการเตรียมภาคการท่องเที่ยวซึ่งเป็นภาคเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่ แรงงานจำนวนมากให้พร้อมรับนักท่องเที่ยว การมีมาตรการดึงดูดนักลงทุน เปิดพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ๆ มาตรการดึงดูดผู้เชี่ยวชาญ กลุ่มศักยภาพสูงเข้าสู่ประเทศไทย

'อินเตอร์ลิ้งค์' เผยโฉม!! 'กิตติภพ สารโพธิ์' ผู้ชนะเลิศ รายการ 'Cabling & Networking Contest ปีที่ 10'

บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ILINK พร้อมด้วย กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม 

ร่วมมือกัน จัดงานอย่างยิ่งใหญ่ กับ การแข่งขัน 'สุดยอดทักษะสายสัญญาณและเน็ตเวิร์ก Cabling & Networking Contest ปีที่ 10' โดยมีเป้าหมายให้ กลุ่มนิสิต นักศึกษา อาชีวศึกษา และเยาวชนไทย ได้มีโอกาสพัฒนาฝีมือ เพิ่มทักษะด้านเทคนิคที่เกี่ยวกับระบบเครือข่าย และเทคโนโลยีทางด้านสายสัญญาณ 

รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ นับเป็นการเสริมความรู้ ได้สัมผัสกับประสบการณ์จริง โดยต้องการให้ผู้เข้าร่วมการแข่งขัน นำประสบการณ์ไปใช้ในชีวิตจริง และต่อยอดไปสู่ความสำเร็จในอนาคตได้ 

ซึ่งการแข่งขันในรอบคัดเลือก ได้ค้นหาตัวแทนประจำภาคจากทั่วประเทศไทย รวมถึงกรุงเทพมหานคร จำนวนรวมกว่า 1,000 คน ได้ผู้ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ ไปชิงถ้วยพระราชทาน จากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมเงินรางวัลมูลค่ารวมกว่า 400,000 บาท จำนวนทั้งสิ้น 60 คน 

และในการแข่งขันรอบสุดท้ายก็ได้ ผู้ชนะเลิศ ซึ่งได้แก่ นายกิตติภพ สารโพธิ์ จากวิทยาลัยเทคโนโลยีพณิชยการอยุธยา ได้รับถ้วยรางวัลพระราชทานจาก สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมเงินรางวัลมูลค่า 30,000 บาท 

รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ นายวิทวัส สิมงาม วิทยาลัยเทคโนโลยีพณิชยการอยุธยา ได้รับถ้วยเกียรติยศ จากนายกรัฐมนตรี พร้อมเงินรางวัลมูลค่า 20,000 บาท และใบประกาศเกียรติคุณ 

รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ นางสาววรรณวิษา มาโยธา วิทยาลัยเทคอำนาจเจริญ ได้รับถ้วยเกียรติยศจาก รัฐมนตรีว่ากระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พร้อมเงินรางวัลมูลค่า 10,000 บาท และใบประกาศเกียรติคุณ

รางวัลชมเชย 3 รางวัล ได้แก่...

1.) นายยุโส๊ป หวันมะเส็น วิทยาลัยการอาชีพนครศรีธรรมราช

2.) นายณัฐกิตต์ ภิรมนัด วิทยาลัยอาชีวศึกษาลำปาง

3.) นายศุคลวัฒน์ ทิพย์ชาติ วิทยาลัยการอาชีพหนองหาน

ได้รับถ้วยเกียรติยศจาก ผู้อำนวยการสำนักพัฒนา

'บิ๊กตู่-ผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค' สนับสนุน WTO ผลักดันการค้าพหุภาคีรูปแบบใหม่ 'เปิดกว้าง-สมดุล-ยั่งยืน'

(19 พ.ย.65) ที่ห้อง Plenary Hall 2 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิต์ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 29 รูปแบบ Retreat ช่วงที่ 2 หัวข้อ 'การค้าและการลงทุนที่ยั่งยืน' ภายหลังเสร็จสิ้น นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญ ดังนี้...

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การค้าและการลงทุนมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนและครอบคลุมทั่วทั้งภูมิภาคและโลก การค้าและการลงทุนถือเป็นหัวใจสำคัญของความร่วมมือในเอเปค โดยองค์ประกอบสำคัญประการหนึ่งที่เอเปคสนับสนุน และสนับสนุนมาโดยตลอด คือ ระบบการค้าพหุภาคี มี WTO เป็นแกนหลัก ทั้งนี้ เอเปคสามารถมีบทบาทในฐานะแหล่งบ่มเพาะทางความคิด โดยร่วมกันหาทางออกใหม่ๆ เพื่อขับเคลื่อนประเด็นต่างๆ อาทิ ความครอบคลุม ความยั่งยืน และการเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิทัล

การสนับสนุนสำคัญอย่างหนึ่งของเอเปคในระบบการค้าพหุภาคี คือ การขับเคลื่อนวาระเรื่องเขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก (Free Trade Area of the Asia- Pacific: FTAAP) ที่ในปีนี้มีความก้าวหน้าอย่างมาก โดยจัดทำแผนงานต่อเนื่องหลายปี เพื่อขับเคลื่อนวาระเรื่อง FTAAP ต่อไป ซึ่งจะช่วยสร้างศักยภาพและเตรียมเศรษฐกิจให้พร้อมสำหรับยุคหน้า รวมถึงประเด็นการค้าและการลงทุนยุคใหม่ เช่น ความยั่งยืน เศรษฐกิจดิจิทัล การค้า และสาธารณสุข

ซึ่งนายกรัฐมนตรี เห็นว่า นอกจากจะต้องดำเนินการตามแผนงานต่อเนื่องแล้ว ยังต้องคำนึงถึงขั้นตอนต่อไปด้วย โดยปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีดิจิทัลช่วยรับมือและให้ฟื้นตัวจากโควิด-19 รวมทั้งยังสนับสนุน MSMEs ที่ถือเป็นกลไกขับเคลื่อนการเติบโต ให้สามารถเข้าสู่ตลาดโลกและห่วงโซ่อุปทาน นอกจากนี้ยังขยายการเข้าถึงและสร้างโอกาสให้กับสตรี เยาวชน ตลอดจนในชนบทและพื้นที่ห่างไกล อย่างไรก็ดี นายกรัฐมนตรีเห็นว่า ยังคงมีช่องว่างอยู่ จึงจำเป็นที่จะต้องลดช่องว่างด้านดิจิทัลและเสริมพลัง เพื่อสร้างหลักประกันให้กับคนทุกกลุ่ม

'นายกฯ ออสเตรเลีย' ปลื้ม!! ไทยมุ่งแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ชม!! เอเปคไทย ช่วยดันความร่วมมือต่างๆ ให้เป็นรูปธรรมขึ้น

'บิ๊กตู่-นายกฯ ออสเตรเลีย' หารือแบบพบหน้าเป็นครั้งแรก ชื่นชม ความสัมพันธ์ระหว่างกัน พร้อมขยายความร่วมมือให้แน่นแฟ้นครอบคลุม แก้ปัญหาความท้าทายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม 

(19 พ.ย.65) ที่ห้อง 111 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้พบหารือกับ นายแอนโทนี แอลบาเนซี (The Honourable Anthony Albanese MP) นายกรัฐมนตรีเครือรัฐออสเตรเลีย ภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญจากการหารือ ดังนี้...

นายกรัฐมนตรียินดีที่ได้หารือแบบพบหน้า หลังจากที่ได้หารือทางโทรศัพท์กันเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งนี้ ปีนี้เป็นปีที่ ไทยและออสเตรเลียได้ร่วมเฉลิมฉลองโอกาสครบรอบ 70 ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและพิเศษจากการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประทับและทรงศึกษาในออสเตรเลียอยู่เป็นระยะเวลานานหลายปี ซึ่งรวมถึงความร่วมมือระหว่างกัน ที่มีพลวัตสูง ครอบคลุม ทุกมิติและเป็นรูปธรรม อยู่บนพื้นฐานของประโยชน์ร่วมกัน 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top