Saturday, 26 April 2025
ECONBIZ NEWS

รู้เรื่อง...ค่าไฟฟ้า (3) : ‘ต้นทุน’ ต่าง ๆ ของ ‘ค่าไฟฟ้า’ ก่อนนำมาคำนวณตามประเภทผู้ใช้งาน

(29 ม.ค.68) ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทต่าง ๆ รายละเอียดส่วนต่าง ๆ ของการเรียกเก็บ และวิธีการคิดคำนวณ ‘ค่าไฟฟ้า’ ตามที่ได้บอกเล่าในบทความ 'รู้เรื่อง...ค่าไฟฟ้า (2)' ไปแล้วนั้น ครั้งนี้จะได้พูดถึง ‘ต้นทุน’ ต่าง ๆ ที่อยู่ใน ‘ค่าไฟฟ้า’ ซึ่งคิดเป็นหน่วยไฟฟ้า หรือ ยูนิต (Unit) หรือ kWh โดยเป็นหน่วยที่ใช้บอกขนาด หรือ ปริมาณของพลังงานไฟฟ้าที่ใช้งาน พลังงานไฟฟ้า 1 ยูนิต หรือ 1 หน่วย เท่ากับ 1 กิโลวัตต์-ชั่วโมง (Kilo watthour = กำลังไฟ 1 กิโลวัตต์ (1,000 วัตต์ (W)) ใช้งานนาน 1ชั่วโมง)

พลังงานไฟฟ้า 1 ยูนิต หรือ 1 หน่วย หรือ 1 kWh สามารถใช้งานอุปกรณ์ไฟฟ้าได้นานแค่ไหน? พลังงานไฟฟ้า 1 หน่วย โดยประมาณแล้วเพียงพอต่อ การเปิดหลอดไฟ LED กำลังไฟ 10 วัตต์ 1 ดวง นาน 100 ชั่วโมง การใช้งานเครื่องซักผ้าขนาด 10 กิโลกรัม กำลังไฟ 500 วัตต์ 1 เครื่อง นาน 2 ชั่วโมง การใช้งานเครื่องปรับอากาศขนาด 18,000 BTU กำลังไฟ 1,500 วัตต์ 1 เครื่อง นาน 40 นาที และเตารีดไอน้ำกำลังไฟ 2,000 วัตต์ 1 เครื่อง นาน 30 นาที เป็นต้น

‘ค่าไฟฟ้า’ ตามบิลค่าไฟฟ้าที่การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เรียกเก็บจากผู้ใช้ไฟฟ้า (ประเภทบ้านพักอาศัย) ประกอบด้วย 

1. ต้นทุนการเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า รวมค่าซื้อไฟฟ้าทั้งจากในประเทศและต่างประเทศจ่ายเข้าสู่ระบบ ค่า Adder* และค่า FiT** เป็นต้นทุนหลัก มีต้นทุนเฉลี่ยอยู่ในบิลค่าไฟฟ้า คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 58-60% ของอัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ย

*ค่า Adder คือ ค่าส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าจากการผลิตไฟฟ้าพลังงานทดแทน โดยเฉพาะจากพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งจะมีการบวกกับราคาขายไฟฟ้าของการไฟฟ้าในอัตราที่กำหนด

**ค่า FiT (Feed-in Tarif) คือค่าส่วนเพิ่มราคาตามมาตรการที่ใช้เพื่อส่งเสริมการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน โดยมีเป้าหมายเพื่อจูงใจให้ผู้ประกอบการเอกชนเข้ามาลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานทดแทน เป็นมาตรการที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในหลายประเทศเพื่อสนับสนุนการผลิตพลังงานจากแหล่งธรรมชาติที่ยั่งยืน ซึ่งปัจจุบันใช้แทนค่า Adder แล้ว ทั้งนี้  เนื่องจากการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนมีขึ้นเป็นระยะ ไม่มีกำหนดเวลาที่แน่นอน จึงไม่ได้เอาไปรวมกับค่าไฟฟ้าฐานซึ่งมีการปรับทุก ๆ 3-5 ปี  แต่นำมารวมไว้คำนวณในค่า Ft

2. ต้นทุนค่าก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่การไฟฟ้าฯ จ่ายให้กับโรงไฟฟ้าเอกชนในรูปแบบของ ‘ค่าพร้อมจ่าย (Availability Payment หรือ ค่า AP)’ เป็นค่าความพร้อมเดินเครื่องเพื่อจ่ายไฟฟ้า เป็นแนวทางปฏิบัติตามหลักสากลสำหรับสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว เพื่อสะท้อนต้นทุนค่าก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่เอกชนต้องลงทุน ครอบคลุมตั้งแต่ (1)ค่าก่อสร้างโรงงานไฟฟ้า ซึ่งรวมถึงการชำระคืนเงินต้น และดอกเบี้ย เงินกู้ค่าบำรุงรักษา ค่าประกัน และค่าใช้จ่ายคงที่อื่น ๆ (2)ค่าใช้จ่ายในการบริหาร (3)ผลตอบแทนจากการลงทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นค่าเช่า ค่าอุปกรณ์อะไหล่โรงไฟฟ้า ค่าจ้างเดินเครื่อง หรือบำรุงรักษา (4)ค่าประกันภัยโรงไฟฟ้า ฯลฯ ซึ่งผู้ใช้ไฟฟ้าทุกคนต้องจ่ายให้กับผู้ผลิตไฟฟ้าทุกเดือน ไม่ว่าโรงไฟฟ้าจะผลิตหรือไม่ก็ตาม ทำให้มีต้นทุนในส่วนนี้เฉลี่ยอยู่ในบิลค่าไฟฟ้า คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 15-17% ของค่าไฟฟ้าเฉลี่ย 

3. ต้นทุนระบบจำหน่ายไฟฟ้าให้กับผู้ใช้ไฟฟ้า (ขายปลีก) ระบบที่นำไฟฟ้าไปสู่ผู้ใช้ไฟฟ้า ประกอบด้วย (1)สายจำหน่ายไฟฟ้าแบ่งเป็นตามระดับแรงดัน (2)หม้อแปลงไฟฟ้า ทำหน้าที่เพิ่มหรือลดระดับแรงดันไฟฟ้าเพื่อให้สามารถนำไปใช้กับระบบไฟฟ้าภายในบ้าน, สำนักงาน, โรงงานอุตสาหกรรม มีต้นทุนเฉลี่ย คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10-12% ของค่าไฟฟ้าเฉลี่ย

4. ต้นทุนระบบสายส่งของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 5-6% ของค่าไฟฟ้าเฉลี่ย ระบบไฟฟ้าจากแหล่งผลิตไฟฟ้าจนถึงสถานีไฟฟ้าของระบบจำหน่ายไฟฟ้าที่ส่งจ่ายไฟฟ้าไปยังระบบจำหน่ายของ กฟน. และ กฟภ. ซึ่งจะปรับลดระดับแรงดันไฟฟ้าก่อนส่งไปยังผู้ใช้ไฟฟ้าทุกภาคส่วนอย่างเหมาะสม ประกอบด้วย (1)สายส่งไฟฟ้าแรงสูง (Transmission Line) (2) สถานีไฟฟ้าแรงสูง (Substation) (3)ศูนย์ควบคุมระบบกำลังไฟฟ้า (National Control Center : NCC) 

5. ต้นทุนในการทยอยชำระหนี้และดอกเบี้ยคืนให้ กฟผ. ภายใน 2-3 ปี จากกรณีที่ กฟผ. ต้องเข้าไปรับภาระค่า Ft ซึ่งปรับตัวสูงขึ้นตามราคาพลังงานแทนประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้า ทำให้มีต้นทุนเฉลี่ย คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 4-5% ของค่าไฟฟ้าเฉลี่ย (ปัจจุบันยอดหนี้ดังกล่าวอยู่ที่ราว 100,000 ล้านบาท)

6. ต้นทุนจากการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐ อาทิ การยกเว้น ‘ค่าไฟฟ้า’ ให้ผู้ใช้ไฟฟ้าในพื้นที่ประสบภัยที่มีความรุนแรง ซึ่งทำให้มีต้นทุนเฉลี่ย คิดเป็นสัดส่วนราว 4-5% ของค่าไฟฟ้าเฉลี่ย 

ทั้งนี้ ‘ค่าไฟฟ้าฐาน’ ซึ่งคิดจากต้นทุนในการผลิตไฟฟ้า มีวิธีการคำนวณตามประเภทผู้ใช้งานได้แก่ [1] บ้านอยู่อาศัย [2] กิจการขนาดเล็ก [3] กิจการขนาดกลาง [4] กิจการขนาดใหญ่ [5] กิจการเฉพาะอย่าง [6] องค์กรที่ไม่แสวงหากำไร [7] กิจการสูบน้ำเพื่อการเกษตร และ [8] ไฟฟ้าชั่วคราว (โดยอัตราค่ากระแสไฟฟ้าต่อหน่วยของแต่ละประเภทจะไม่เท่ากัน) ทำให้ ‘ค่าไฟฟ้า’ ของผู้ใช้ไฟฟ้าจึงมีความแตกต่างกันตามแต่ละประเภท ดังนั้นผู้ใช้ไฟฟ้าจึงต้องดูข้อมูลที่ปรากฏจากใบเรียกเก็บหรือใบเสร็จรับเงิน ‘ค่าไฟฟ้า’ ที่ได้รับ ซึ่ง ‘ค่าไฟฟ้า’ นี้ ประชาชนคนไทยผู้ใช้ไฟฟ้าต้องจ่าย รายละเอียดได้อธิบายในบทความ 'รู้เรื่อง...ค่าไฟฟ้า (2)' ไปแล้ว โดยในตอนต่อไปจะได้เล่าถึง รายละเอียดของการผลิตไฟฟ้าที่ใช้ในประเทศไทย

แบรนด์รองเท้าตั้งราคาผิด เสียหายกว่า 3.58 ล้าน แต่ยัน ไม่ยกเลิกคำสั่งซื้อ ส่งให้ทุกออเดอร์

“Hello Polo" แจงหลังทางแบรนด์รองเท้าตั้งราคาผิดพลาด จากราคาปกติ 175 บาท เหลือ 3 บาท ทำออเดอร์ทะลัก 20,000 คู่ เสียหายกว่า 3.58 ล้าน แต่ยืนยันไม่ยกเลิกคำสั่งซื้อ ส่งให้ตามคำสั่งซื้อที่กำหนดไว้

เมื่อวันที่ (27 ม.ค. 68) เพจ "Hello Polo" ได้ออกมาโพสต์ชี้แจงหลังทางแบรนด์รองเท้าตั้งราคาผิดพลาด จากราคาปกติ 175 บาท เหลือ 3 บาท จนส่งให้ยอดออเดอร์ทะลัก 20,000 คู่ เสียหายกว่า 3.58 ล้าน แต่ยืนยันไม่ยกเลิกคำสั่งซื้อ

โดยมีใจความว่า “เรียน คุณลูกค้าผู้มีอุปการคุณทุกท่าน

ทางบริษัทฯ ขอเรียนชี้แจงในกรณีผิดพลาดในการตั้งราคาสินค้าบางรุ่นบนช่องทาง Shopee ได้แก่ HP8009, HP8035 และ HP8037 จากราคาปกติ 175 บาท ถูกตั้งราคาเป็น 3 บาท ซึ่งส่งผลให้มีคำสั่งซื้อมากกว่า 20,000 คู่ และสร้างความเสียหายต่อบริษัทเป็นอย่างยิ่ง

จากเหตุการณ์ดังกล่าว Hello Polo ขอยืนยันว่าจะดำเนินการจัดส่งสินค้าตามคำสั่งซื้อทั้งหมดในราคาที่กำหนดไว้ โดยไม่มีการยกเลิกคำสั่งซื้อ เพื่อแสดงความขอบคุณและตระหนักถึงความสำคัญของลูกค้าทุกท่าน

ทางแบรนด์ Hello Polo ขอขอบพระคุณสำหรับความเข้าใจและการสนับสนุนจากลูกค้าทุกท่านเสมอมา ทางบริษัทฯ จะปรับปรุงคุณภาพการบริการให้ดียิ่งขึ้น เพื่อมอบประสบการณ์การชอปปิ้งที่ดีที่สุดให้กับทุกท่าน หากท่านมีข้อสงสัยหรือคำถามใดๆ สามารถติดต่อบริษัทผ่านทางช่องแชค

ขอแสดงความนับถือ,
แบรนด์ Hello Polo”

อย่างไรก็ตาม มีลูกค้าบางกลุ่มได้กดยกเลิกสินค้าเพราะเห็นใจแบรนด์ที่ต้องขายขาดทุน โดยคอมเมนต์ว่า ถ้าเป็นเราคงกดยกเลิกคำสั่งซื้อ คงไม่สบายใจที่ต้องมารับรู้ว่าเราได้ของราคาถูกต่ำกว่าทุน แต่ต้องแลกมากับการที่คนอื่นเสียหายหรือขาดทุน, แบรนด์นี้น่าสนับสนุนมากๆ ค่ะ สินค้าคุณภาพดี และเคยมอบรองเท้าให้เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลรัฐด้วยค่ะ ขอบคุณนะคะ, ขอชื่นชมในนโยบายที่มีความรับผิดชอบต่อลูกค้าแม้จะไม่ใช่ความผิดของผู้บริหาร ขอให้กิจการเจริญรุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นไปนะคะ

‘สุริยะ’ เป็นประธานเปิดใช้ ‘สะพานทศมราชัน’ เชื่อมทางด่วนพระราม 3 – ดาวคะนอง ช่วยลดแออัด

เปิดใช้แล้ว ‘สะพานทศมราชัน’ ช่วงสะพานทศมราชัน (บางโคล่) - ด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษสุขสวัสดิ์ เชื่อมทางด่วนพระราม 3 – ดาวคะนอง ช่วยแก้ปัญหาจราจรเชื่อมเส้นทางสะดวกมากขึ้น

(29 ม.ค. 68) เวลา 09.09 น. นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานในการเปิดใช้งาน สะพานทศมราชัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการทางพิเศษสายพระราม 3 - ดาวคะนอง - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก โดยมี นายสุรเชษฐ์ เหล่าพูลสุข ผู้ว่าการ กทพ. และคณะผู้บริหารเข้าร่วมงาน

นายสุรเชษฐ์ เหล่าพูลสุข ผู้ว่าการ กทพ. กล่าวว่า การเปิดใช้ทางพิเศษสายพระราม 3 - ดาวคะนอง - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก ช่วงสะพานทศมราชัน (บางโคล่) - ด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษสุขสวัสดิ์ เป็นการช่วยบรรเทาปริมาณการจราจรของสะพานพระราม 9 เชื่อมโยงโครงข่ายการคมนาคมระหว่างพื้นที่ชั้นนอกและชั้นในของกรุงเทพฯ และอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชน ทั้งนี้ สะพานทศมราชันจะเชื่อมต่อการเดินทางในทิศทางขาเข้าและขาออกกรุงเทพฯ โดยเปิดใช้งานสะพานฯ ครบทั้ง 8 ช่องจราจร เพื่อรองรับปริมาณรถที่เพิ่มขึ้น ซึ่งรายละเอียดเส้นทางการใช้งานมี ดังนี้

- ทิศทางขาเข้ากรุงเทพฯ ประชาชนสามารถใช้ทางขึ้นที่ด่านฯ สุขสวัสดิ์ (ช่องที่ 1-3) วิ่งข้ามสะพานทศมราชัน แล้วเชื่อมต่อเข้าสู่ทางพิเศษเฉลิมมหานครมุ่งหน้าบางนา - ดินแดง หรือทางพิเศษศรีรัชมุ่งหน้าแจ้งวัฒนะและถนนพระราม 9

- ทิศทางขาออกกรุงเทพฯ ใช้ทางพิเศษเฉลิมมหานครหรือทางพิเศษศรีรัชผ่านจุดเชื่อมต่อสะพานทศมราชัน บริเวณทางแยกต่างระดับบางโคล่ และลงที่ทางลงด่านฯ สุขสวัสดิ์ เชื่อมต่อถนนประชาอุทิศและถนนสุขสวัสดิ์เพื่อไปยังถนนพระราม 2

อัตราค่าผ่านทางรถ 4 ล้อ: 50 บาท   รถ 6-10 ล้อ: 75 บาท รถมากกว่า 10 ล้อ: 110 บาท

“ทั้งนี้ สะพานทศมราชัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการทางพิเศษสายพระราม 3 - ดาวคะนอง -วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก ปัจจุบันมีความก้าวหน้าการก่อสร้างทั้งโครงการฯ อยู่ที่ 86.28% คาดว่าจะดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จทั้งโครงการฯ พร้อมเปิดให้บริการประมาณปลายปี 2568 นับเป็นก้าวสำคัญในการช่วยแก้ไขปัญหาการจราจร โดยเฉพาะ “สะพานทศมราชัน” ที่จะช่วยลดความแออัดบริเวณสะพานพระราม 9 และเพิ่มความสะดวกในการเดินทางระหว่างฝั่งกรุงเทพฯ กับฝั่งธนบุรีและจังหวัดรอบนอก ซึ่งคาดว่าจะช่วยประหยัดเวลาและลดปัญหารถติดในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะคาดว่าสะพานฯ นี้ จะช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรที่ติดขัดบนทางพิเศษเฉลิมมหานคร ช่วงบริเวณทางแยกต่างระดับบางโคล่บนสะพานพระราม 9 จนถึงบริเวณด่านฯ สุขสวัสดิ์ และบริเวณถนนพระรามที่ 2 จากปริมาณความแออัดทางจราจร 100,470 คันต่อวัน  ลดลงเหลือ 75.325 คันต่อวัน โดยประชาชนสามารถเริ่มใช้บริการสะพานทศมราชันได้ตั้งแต่วันนี้” นายสุรเชษฐ์ฯ กล่าวในท้ายที่สุด

บริษัทมอง ‘เด็กจบใหม่’ ไม่พร้อมทำงาน -ขาดทักษะที่จำเป็น ชี้ เก่งทฤษฎีอย่างเดียวไม่พอ แถมใช้ AI ทำงานยังคุ้มทุนกว่า

เมื่อไม่กี่วันก่อน มีรายงานการศึกษาวิจัยใหม่สดๆ ร้อนๆ ของ Hult International Business School และบริษัทวิจัยอิสระ Workplace Intelligence ค้นพบว่า บริษัทหลายแห่งทั่วโลกแม้กำลังเผชิญกับการขาดแคลนบุคลากรทักษะสูงอย่างมาก แต่ก็ยังคงต้องการซื้อหรือลงทุนนำ AI มาทำงาน มากกว่าจะจ้างงานเด็กจบใหม่ 

การศึกษาครั้งนี้ได้สำรวจข้อมูลจากผู้นำหรือผู้จัดการฝ่าย HR ของบริษัทต่างๆ  800 คน ขณะเดียวกันก็สำรวจเด็กจบใหม่ที่เพิ่งจะสำเร็จการศึกษาเมื่อไม่นานนี้ 800 คนเช่นกัน (อายุ 22-27 ปี) ในตำแหน่งทางธุรกิจ รวมถึงการเงินการบัญชี, การตลาด, การขาย, การจัดการ, การดำเนินงาน-โลจิสติกส์, การวิเคราะห์-ข่าวกรองทางธุรกิจ ฯลฯ 

บริษัทไม่อยากจ้างงานเด็กจบใหม่ เพราะขาดประสบการณ์-ขาดทักษะที่จำเป็น ผลการสำรวจพบว่า กลุ่มตัวอย่างฝั่งผู้นำด้าน HR มากถึง 98% บอกว่า แม้องค์กรของตนกำลังประสบปัญหาในการหาบุคลากรทักษะสูง แต่ถึงอย่างนั้น 89% ของพวกเขาก็ระบุว่า บริษัทไม่อยากการจ้างงานบัณฑิตจบใหม่ โดยพวกเขามีเหตุผลคือ

- เด็กจบใหม่ขาดประสบการณ์ในโลกแห่งความเป็นจริง (60%)
- ขาดแนวคิดแบบ Global mindset (57%)
- ขาดทักษะการทำงานเป็นทีม (55%)
- ขาดชุดทักษะที่เหมาะสมกับงาน (51%)
- ขาดมารยาททางธุรกิจที่เหมาะสม (50%) 

โดยผู้นำด้าน HR 37% อยากนำหุ่นยนต์หรือ AI เข้ามาทำงานแทนบัณฑิตจบใหม่ ขณะที่ 45% บอกว่าอยากจ้างคนทำงานอิสระมากกว่า อีกทั้งตามรายงานดังกล่าวยังพบด้วยว่า บริษัทที่เคยรับเด็กจบใหม่เข้าทำงานในช่วงปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ (78%) เคยไล่พนักงานเหล่านั้นบางคนออกไปแล้ว

ลูกจ้างเด็กจบใหม่ ชี้ มหาวิทยาลัยไม่ได้ช่วยให้พวกเขาพร้อมสู่โลกการทำงาน ไม่ใช่แค่ฝั่งนายจ้างที่รู้สึกว่าบัณฑิตจบใหม่ยังไม่พร้อมที่จะทำงานในโลกความจริง แต่ฝั่งของเด็กจบใหม่เอง ส่วนใหญ่ก็รู้สึกว่ามหาวิทยาลัยไม่ได้เตรียมพวกเขาให้พร้อมสู่โลกการทำงานเช่นกัน จากการศึกษาชิ้นเดียวกันนี้ กลุ่มตัวอย่างของผู้ที่เพิ่งจบการศึกษาใหม่ๆ ที่เข้าร่วมบริษัทต่างๆ ได้สำเร็จ พบว่า ประสบการณ์การทำงานนั้นมีค่าอย่างยิ่ง 

ลูกจ้างที่เป็นเด็กจบใหม่ 77% บอกว่าเวลาครึ่งปีในที่ทำงานพวกเขาเรียนรู้ได้มากกว่าการเรียนปริญญาตรีสี่ปี และ 87% ยอมรับว่านายจ้างของพวกเขาจัดให้มีการฝึกอบรมงานที่ดีกว่ามหาวิทยาลัย อีกทั้งกลุ่มตัวอย่าง 55% บอกว่ามหาวิทยาลัยไม่ได้เตรียมพวกเขาให้พร้อมสำหรับงานที่พวกเขาทำอยู่ในปัจจุบันแต่อย่างใด

แดน ชอว์เบล (Dan Schawbel) หุ้นส่วนผู้จัดการของ Workplace Intelligence อธิบายเพิ่มเติมว่า การสำรวจนี้เผยให้เห็นว่าหลักสูตรวิทยาลัยแบบดั้งเดิมไม่ได้มอบสิ่งที่นักศึกษาต้องการ เพื่อช่วยให้พวกเขาประสบความสำเร็จในโลกการทำงานยุคใหม่ ที่เทคโนโลยีก้าวหน้ารวดเร็วในปัจจุบัน ผู้นำฝ่าย HR ของบริษัทต่าง ๆ มีความต้องการบัณฑิตจบใหม่ ที่มีทักษะด้านเทคโนโลยี การใช้ AI การวิเคราะห์ข้อมูล และด้านไอทีสูงถึง 97% แต่มีบัณฑิตจบใหม่มีเพียง 20% เท่านั้นที่มีทักษะเหล่านี้

เรียนแต่ทฤษฎีในมหาวิทยาลัย ไม่เพียงพอต่อการทำงานในโลกความจริง ขณะที่ มาร์ติน โบห์ม (Martin Boehm) รองประธานบริหารและคณบดีฝ่ายโครงการระดับปริญญาตรีของ Hult International Business School สะท้อนมุมมองว่า การเรียนแต่ทฤษฎีอย่างเดียวในมหาวิทยาลัย ไม่เพียงพออีกต่อไปแล้ว ยุคนี้สถาบันต่างๆ ต้องเตรียมความพร้อมให้นักศึกษาด้วยวิธีใหม่ๆ เน้นที่การสร้างทั้งทักษะและทัศนคติที่จำเป็นสำหรับการเรียนรู้ต่อเนื่อง ถือเป็นอนาคตของการศึกษาเพื่อเตรียมเด็กให้พร้อมสู่โลกการทำงาน

ไม่เพียงเท่านั้น ที่ปรึกษาฝ่ายทรัพยากรบุคคลอย่าง 'ไบรอัน ดริสโคลล์' (Bryan Driscoll) ให้ความเห็นที่แตกต่างออกไปว่า แน่นอนว่านายจ้างยุคนี้ต้องการใช้ AI มากกว่ามนุษย์ เพราะการลงทุน AI ราคาถูกกว่าลงทุนกับมนุษย์ เพราะไม่จำเป็นต้องมีการดูแลสุขภาพหรือสิทธิมนุษยชนพื้นฐาน ไม่ต้องลาพักร้อน

นี่ไม่ได้เกี่ยวกับเด็กจบใหม่ที่ขาดทักษะ แต่เกี่ยวกับนายจ้างที่พยายามหลบเลี่ยงความรับผิดชอบ พวกเขาใช้เวลาหลายสิบปีในการตัดงบประมาณโครงการฝึกอบรม และโยนภาระนั้นให้พนักงาน(เรียนเองจ่ายเอง) 

เควิน ทอมป์สัน (Kevin Thompson) ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินและผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ 9i Capital Group ให้ความเห็นถึงประเด็นนี้ว่า เป็นเรื่องของเศรษฐศาสตร์และประสิทธิภาพ การฝึก AI ให้ทำงานนั้นง่ายและคุ้มต้นทุนมากกว่าการฝึกมนุษย์ โดย AI จะทำงานตามที่โปรแกรมกำหนดไว้ได้อย่างแม่นยำด้วยต้นทุนที่ถูกกว่า นายจ้างจำนวนมากมองเห็นคุณค่าในการใช้ประโยชน์จาก AI ในการจัดการงานพื้นฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบทบาทสนับสนุนและตำแหน่งงานระดับเริ่มต้น

ทางแก้ของสถานการณ์นี้ เด็กจบใหม่ที่เริ่มหางานอาจจะต้องพึ่งพาตนเองให้มากขึ้นในแง่ของการเพิ่มสกิล พัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยีให้แก่ตนเอง เช่น ลงเรียนคอร์สเสริมทักษะต่างๆ มากขึ้น (มีใบรับรองการจบหลักสูตรต่าง ๆ แนบไปกับเรซูเม่สมัครงาน) เพื่อเข้าสู่ตลาดแรงงานด้วยความพร้อมอย่างเต็มที่ เมื่อนายจ้างและบริษัทต่างก็คาดหวังคุณค่าและทักษะในตัวพนักงานใหม่ทันทีตั้งแต่วันแรกที่เริ่มทำงาน

ก.อุตฯ จับมือ สวทช. เปิดตัว “แจ้งอุต” ผ่าน Traffy Fondue ช่องทางร้องเรียนปัญหานำพาสู่การแก้ไขแบบทันใจประชาชน

กระทรวงอุตสาหกรรม จับมือ สวทช. เตรียมเปิดตัว “แจ้งอุต” ให้ประชาชนแจ้งเผาอ้อย – โรงงานเถื่อน – สินค้าไร้ มอก. ง่าย ๆ ผ่านแพลตฟอร์มร้องเรียนปัญหาอุตสาหกรรมออนไลน์ หวังเป็นช่องทางนำสู่การแก้ไขปัญหารวดเร็ว

(28 ม.ค. 68) นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรม เตรียมเปิดตัว “แจ้งอุต” โดยใช้เทคโนโลยี Traffy Fondue ผ่านความร่วมมือระหว่าง กระทรวงอุตสาหกรรม กับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยจะเปิดให้ประชาชน แจ้งเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับปัญหากากพิษ, โรงงานเถื่อน, สินค้าไร้มาตรฐาน, เผาอ้อย รวมถึงปัญหาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อจะเข้าไปดำเนินการแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้ เชื่อว่า ช่องทางดังกล่าว จะช่วยให้สามารถรับเรื่อง, แก้ไขปัญหา และติดตามสถานะให้ประชาชนได้เพิ่มมากขึ้น จากเดิม 300%

โดยได้ทำการประชุมซักซ้อมการเปิดให้บริการเมื่อวันที่ 28 ม.ค. 68 เพื่ออบรม สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดทั่วประเทศ 300คน ปรากฏว่า ได้มีเคสร้องเรียนจริงจากจังหวัดนครราชสีมาเข้ามา ซึ่งได้เร่งจัดการแก้ไขได้อย่างรวดเร็วทันใจพี่น้องประชาชนในพื้น นับเป็นมิติใหม่ดี ๆ ที่ช่วยให้การแก้ปัญหากากพิษ, โรงงานเถื่อน, สินค้าไร้มาตรฐาน, เผาอ้อย รวดเร็วทันใจและโปร่งใสได้ดียิ่งขึ้น

สำหรับ “แจ้งอุต” เตรียมเปิดตัวในงานแถลงข่าวอย่างเป็นทางการวันที่ 30 มกราคม 68 ที่ ตึกกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม

‘เอกนัฏ’ ส่งทีมสุดซอยตรวจ บ.วินโพรเสส หลังเกิดเพลิงไหม้ ย้ำความปลอดภัยประชาชนต้องมาก่อน

(28 ม.ค. 68) นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากรายงานข่าววานนี้ เวลา 21.30 น. วันที่ 27 มกราคม เกิดไฟไหม้ใน บริษัท วินโพรเสส จำกัด ต.บางบุตร อ.บ้านค่าย จ.ระยอง นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เกิดความห่วงใยประชาชนในพื้นที่ ที่อาจจะได้รับผลกระทบ จึงสั่งการเร่งด่วนให้ทีมตรวจการสุดซอย กระทรวงอุตสาหกรรม  นำโดย น.ส.ฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายเอกนิติ รมยานนท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ผู้แทนกรมโรงงานอุตสาหกรรม นายวีระ นันทเศรษฐ์ อุตสาหกรรมจังหวัดระยอง และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมลงพื้นที่ ณ บริษัท วินโพรเสส จำกัดจ.ระยอง 

จากการรายงานในเบื้องต้นแจ้งว่า ขณะรถของเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนในพื้นที่ได้ขับผ่าน บริษัท วินโพรเสส จำกัด จ.ระยอง พบเห็นว่าภายในโกดังเกิดไฟได้ลุกไหม้ บริเวณโกดัง 5 จึงประสานรถดับเพลิงจาก อบต.บางบุตร เข้ามาเร่งฉีดน้ำเพื่อไม่ให้ไฟลุกลามพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งใช้เวลา 30 นาทีจึงสามารถควบคุมเพลิงได้ หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้ทำการเข้าตรวจสอบและพบว่าพื้นที่ส่วนที่ไฟกำลังไหม้เป็นกองขยะพลาสติก ถุงมือยาง และยังพบ แกลอนพลาสติกขนาด 20 ลิตร จำนวน 2 แกลอนอยู่ในที่เกิดเหตุด้วยซึ่งเจ้าหน้าที่จะทำการตรวจสอบ ทั้งนี้ในส่วนของสาเหตุการเกิดเพลงไหม้นั้น ต้องรอให้เจ้าหน้าที่ทำการเก็บพิสูจน์หลักฐานก่อน ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าอาจจะเป็นการเผาเพื่อสร้างสถานการณ์ หรืออาจจะเป็นการลักลอบเข้าพื้นที่เพื่อโจรกรรมชิ้นส่วนเหล็กนำไปขาย เนื่องจากพบชิ้นส่วนเศษเหล็กในบริเวณดังกล่าวด้วย โดยเจ้าหน้าที่จะทำการตรวจสอบกับร้านรับซื้อของเก่าในพื้นที่ต่อไปและในเบื้องต้นอุตสาหกรรมจังหวัดระยองได้ทำการแจ้งลงบันทึกประจำวันไว้แล้ว เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวกำลังทำการเร่งขนย้ายตะกรันอลูมิเนียมหรืออลูมิเนียมดรอส ทั้ง 7,000 ตัน ออกจากพื้นที่เพื่อนำไปบำบัดกำจัดอย่างถูกวิธีตามหลักวิชาการที่บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี

ซึ่งจากการที่ทีมตรวจสุดซอยลงพื้นที่ในวันนี้ ได้มีการนำรถตรวจวัดคุณภาพอากาศเคลื่อนที่ ของกรมโรงงานอุตสาหกรรมลงไปในพื้นที่ด้วย โดยเบื้องต้นคุณภาพอากาศบริเวณดังกล่าวยังอยู่ในค่าปกติ ไม่พบการปนเปื้อนของสารเคมี ซึ่งทางกรมโรงงานอุตสาหกรรมจะนำรถดังกล่าวจอดไว้ในพื้นที่เพื่อตรวจวัดคุณภาพอากาศจนกว่าประชาชนจะวางใจว่าสามารถใช้ชีวิตได้ปกติไม่มีเคมีอันตรายปนเปื้อนในอากาศ ทั้งนี้พื้นที่ที่เกิดเพลิงไหม้นั้นอยู่ห่างจากจุดที่ทำการขนย้าย ตะกรันอลูมิเนียมหรืออลูมิเนียมดรอสเพียงเล็กน้อย แต่พื้นที่ดังกล่าวไม่ได้ผลกระทบอะไร ซึ่งยอดขนย้ายตะกรันอลูมิเนียม ร่วมกับทีพีไอ โพรลีน ตั้งแต่เริ่มขน 8 ม.ค. 68 จนถึงปัจจุบัน ขนย้ายไปแล้ว 1,592.61 ตัน

“ท่านรัฐมนตรีฯ เอกนัฏ ได้เน้นย้ำกับทีมงานว่าให้ช่วยกันตรวจสอบและให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่
อย่างเต็มที่โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับความปลอดภัยของประชาชนต้องคำนึงถึงเป็นเรื่องแรก และให้มีการตรวจสอบความปลอดภัยด้านต่างๆ การตรวจสอบคุณภาพอากาศหลังเกิดเหตุ เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่ใช้ชีวิตได้อย่างไม่ต้องกังวลเรื่องสารพิษ ส่วนการขนย้ายตะกรันอลูมิเนียมนั้น ยังสามารถดำเนินการต่อได้ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ” เลขาฯพงศ์พล กล่าว

รู้เรื่อง...ค่าไฟฟ้า (2) : ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทต่าง ๆ รายละเอียดการเรียกเก็บและวิธีการคิดคำนวณ ‘ค่าไฟฟ้า’

(28 ม.ค. 68) บทความที่แล้ว (รู้เรื่อง...ค่าไฟฟ้า (1)) ได้เล่าถึงความเป็นมาของกิจการพลังงานไฟฟ้า ซึ่งประกอบด้วยหน่วยงานหลายหน่วยที่มีภารกิจและความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน บทความนี้จะขอกล่าวถึงรายละเอียดของ ‘ค่าไฟฟ้า’ ทั้งประเภทต่าง ๆ รายละเอียดส่วนต่าง ๆ ของการเรียกเก็บ และวิธีการคิดคำนวณ โดยประเทศไทยมีการคิดค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บจากผู้ใช้ไฟฟ้าในแต่ละเดือนประกอบด้วย 4 ส่วน คือ

1. ‘ค่าไฟฟ้าฐาน’ ค่าการใช้ไฟฟ้าจะคิดจากต้นทุนในการผลิตไฟฟ้า โดยวิธีการคำนวณก็จะแบ่งตามประเภทผู้ใช้งานได้แก่ [1] บ้านอยู่อาศัย [2] กิจการขนาดเล็ก [3] กิจการขนาดกลาง [4] กิจการขนาดใหญ่ [5] กิจการเฉพาะอย่าง [6] องค์กรที่ไม่แสวงหากำไร [7] กิจการสูบน้ำเพื่อการเกษตร และ [8] ไฟฟ้าชั่วคราว (โดยอัตราค่ากระแสไฟฟ้าต่อหน่วยของแต่ละประเภทจะไม่เท่ากัน) วิธีการคำนวณค่าไฟฟ้าฐาน คือ ค่าไฟฟ้าฐาน = จำนวนยูนิต x อัตราค่ากระแสไฟฟ้าต่อหน่วย 

2. ‘ค่าบริการ’ เป็นต้นทุนค่าบริการอ่านและจดหน่วยไฟฟ้า จัดทำและส่งบิลค่าไฟฟ้า ระบบรับชำระเงินและบริการลูกค้าของการไฟฟ้าฯ โดยมีความผันแปรไปตามหน่วยไฟฟ้าที่ใช้

3. ‘ค่า Ft’ (Float time) คือ คำที่เรียกสั้น ๆ ของสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ หรือค่าไฟฟ้าผันแปร ซึ่งเป็นค่าไฟฟ้าที่ปรับเปลี่ยนเพิ่มขึ้นหรือลดลง ตามการเปลี่ยนแปลงของต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้า ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของการไฟฟ้า สูตร Ft มีการปรับปรุงสูตรหลายครั้ง เพื่อให้เกิดความเหมาะสมกับสภาวะการณ์ของต้นทุนการผลิตไฟฟ้า ณ ขณะนั้น ๆ ล่าสุดเมื่อเดือนตุลาคม 2548 ได้มีการปรับปรุงสูตร Ft โดยให้คงเหลือเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของค่าเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าเท่านั้น การปรับค่าไฟฟ้า Ft เดิมดำเนินการโดย กกพ. ซึ่งเห็นชอบตามข้อเสนอของคณะอนุกรรมการกำกับดูแลอัตราค่าไฟฟ้าและค่าบริการ ซึ่งต่อมา กพช. ได้ยกเลิกคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการไฟฟ้า และคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับดูแลอัตราค่าไฟฟ้าและค่าบริการ เพื่อทำหน้าที่พิจารณาและให้ความเห็นชอบค่าไฟฟ้า Ft ทั้งนี้ กกพ. ทำหน้าที่กำกับดูแลการประกอบกิจการไฟฟ้าและก๊าซธรรมชาติ ซึ่งรวมถึงการปรับค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ โดยค่า Ft มีการปรับปรุงทุก ๆ 4 เดือน

4. ‘ภาษีมูลค่าเพิ่ม’ นอกจากค่าไฟฟ้าฐาน และค่า Ft แล้ว ผู้ใช้ไฟฟ้าจะต้องชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT 7%) รวมกับค่าไฟฟ้าฐาน และค่า Ft ด้วย วิธีการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม = (ค่าไฟฟ้าฐาน + ค่า Ft + ค่าบริการ) x 7%

จะเห็นได้ว่า ‘ค่า Ft’ มีผลต่อราคาค่าไฟฟ้ามากที่สุด โดยค่า Ft มีองค์ประกอบ ดังนี้ (1) ค่าเชื้อเพลิงฐาน (Base Fuel Cost : BFC) คำนวณจากค่าเชื้อเพลิง ค่าซื้อไฟฟ้าของ กฟผ. และค่าใช้จ่ายตามนโยบายของรัฐ (2) ประมาณการค่าเชื้อเพลิงโรงไฟฟ้าของ กฟผ. (3) ประมาณการค่าซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนของ กฟผ. (4) ประมาณการค่าใช้จ่ายตามนโยบายของรัฐ (Policy Expense : PE) (5) Fuel Adjustment Cost : FAC คำนวณจาก ส่วนต่างระหว่าง “ประมาณการค่าใช้จ่ายในด้านเชื้อเพลิงฯ” (Estimated Fuel Cost : EFC) (6) ยอดสะสมยกมาจากงวดที่ผ่านมา (Accumulate Factor : AF) คือ ส่วนต่างระหว่าง “ค่า Ft ที่เกิดขึ้นจริง”กับ“ค่า Ft เรียกเก็บ”สะสมของงวดที่ผ่านมา (7) Ft ขายปลีก สำหรับงวดปัจจุบันคำนวณจากผลรวมของ “FAC งวดปัจจุบัน” และ (8) Ft ขายส่งประกอบด้วย Ft ขายส่ง กฟน. และ Ft ขายส่ง กฟภ. 

ค่า Ft จะถูกคำนวณด้วยโครงสร้างสูตรคำนวณค่า Ft โดย {1} จำแนกเป็น Ft ขายปลีก และ Ft ขายส่ง {2} Ft ขายปลีก เป็น Ft ที่ กฟน. และ กฟภ. เรียกเก็บจากผู้ใช้ไฟฟ้าทุกประเภท และกฟผ. เรียกเก็บจากผู้ใช้ไฟฟ้าที่เป็นลูกค้าตรงของ กฟผ. และอื่น ๆ {3} Ft ขายส่ง เป็น Ft ที่ กฟผ. เรียกเก็บจาก กฟน. และ กฟภ. {4} Ft จะคำนวณเป็นค่าเฉลี่ย 4 เดือนและปรับเปลี่ยนทุก ๆ 4 เดือน โดยเรียกเก็บในใบเรียกเก็บเงินค่าไฟฟ้า และแสดงในใบเสร็จรับเงินค่าไฟฟ้าเป็นประจำทุกเดือนเป็นรายการพิเศษ และ {5} Ft เป็นอัตราต่อหน่วยการใช้พลังงานไฟฟ้า และเป็นค่าที่ยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และใช้ข้อมูลในการคำนวณจากองค์ประกอบตามข้อ (1) ถึง (8) 

สำหรับหลักการคำนวณค่า Ft จะใช้ <1> ค่า Ft ขายปลีก คำนวณจากค่าใช้จ่ายในด้านค่าเชื้อเพลิง ค่าซื้อไฟฟ้าของ กฟผ. และค่าใช้จ่ายตามนโยบายของรัฐในงวด 4 เดือนข้างหน้า (งวดปัจจุบัน) เทียบกับ ค่าใช้จ่ายที่ใช้คำนวณในค่าไฟฟ้าฐานรวมกับ ค่า Ft ที่เกิดขึ้นจริงต่างจากที่เรียกเก็บ สะสมในงวด 4 เดือนที่ผ่านมา (AF) หารด้วยประมาณการหน่วยขายปลีกในงวดปัจจุบัน และ <2> ค่า Ft ขายส่งให้ กฟน. และ กฟภ. Ft ขายส่งให้ กฟน. คำนวณจากค่า Ft ขายปลีกคูณประมาณการหน่วยขายปลีกที่ กฟน. ขายให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าในงวดปัจจุบัน หักด้วยส่วนต่างของประมาณการกับค่าฐานของค่าใช้จ่ายตามนโยบายของรัฐของ กฟน. หารด้วยประมาณการหน่วยขายส่งที่ กฟผ. ขายให้ กฟน. สำหรับ Ft ขายส่งให้ โดย กฟภ. ก็ใช้วิธีการคำนวณค่า Ft เช่นเดียวกันกับ กฟน. ตามมติคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เมื่อวันที 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 ได้กำหนดค่า Ft ที่หน่วยละ 0.3672 บาท (36.72 สตางค์) ทั้งนี้ยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) สำหรับวิธีการคำนวณค่าไฟฟ้า จะมีวิธีการคำนวณค่าไฟฟ้าอัตโนมัติในเว็บไซต์ทั้งของ กฟน. และ กฟภ.

ในตอนต่อไปจะได้บอกเล่าถึงเรื่องของ ‘ต้นทุน’ ใน ‘ค่าไฟฟ้า’ ว่าประกอบด้วยอะไร และ ‘ผู้ใช้ไฟฟ้า’ ต้องจ่ายเป็นค่าอะไรบ้างใน ‘ค่าไฟฟ้า’ แต่ละหน่วย

‘ไทยออยล์’ ตอกย้ำความเป็นองค์กรที่น่าร่วมงานด้วย คว้าอันดับ 35 จาก 50 บริษัทน่าร่วมงานที่สุดในไทย

(28 ม.ค. 68) นายณัฐพล มีฤทธิ์ รักษาการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ด้านบริหารศักยภาพองค์กร และ นางสุชาดา ดีชัยยะ ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาความเป็นเลิศด้านทรัพยากรบุคคลและองค์กร บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ขึ้นรับรางวัล TOP 50 บริษัทน่าร่วมงานมากที่สุดประจำปี 2024 ที่จัดโดย WorkVenture ซึ่งเป็นที่ปรึกษาและผู้นำด้านการสร้างแบรนด์นายจ้างให้กับองค์กรชั้นนำในประเทศไทย

ไทยออยล์ ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในองค์กรที่คนรุ่นใหม่อยากร่วมงานด้วยมากที่สุด ด้วยการคว้าอันดับที่ 35 จากการจัดอันดับดังกล่าว การจัดอันดับครั้งนี้มาจากผลสำรวจความคิดเห็นของกลุ่มคนรุ่นใหม่จำนวนกว่า 12,559 คน ที่มีอายุระหว่าง 21-35 ปี ซึ่งประกอบไปด้วยนักศึกษาจบใหม่ พนักงานในช่วงเริ่มต้นอาชีพ และกลุ่มคนที่มีประสบการณ์ทำงาน 

การเป็นหนึ่งใน 50 บริษัทที่น่าร่วมงานด้วยในครั้งนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของไทยออยล์ในการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ตอบโจทย์ความต้องการของคนรุ่นใหม่ ด้วยแนวทางการบริหารที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพของพนักงาน ควบคู่ไปกับการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่สนับสนุนความก้าวหน้าในสายอาชีพ โดยคำนึงถึงสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน (Work-Life Balance) 

นายณัฐพล  กล่าวว่า “รางวัลนี้ถือว่าเป็นกำลังใจ และความภาคภูมิใจของพนักงานไทยออยล์ทุกคน เพราะทุกคนมีส่วนร่วมในการสร้างแบรนด์ของไทยออยล์ให้เป็นที่รู้จักและเป็นที่ยอมรับในทุกวันนี้   ไทยออยล์เป็นบริษัทชั้นนำด้านพลังงานที่ให้ความสำคัญมากกับพลังคน  เราพยายามสร้างพลังให้กับคนของเรา เพื่อให้พนักงานของเรามีพลังส่งต่อคุณค่าในตัวให้กับองค์กร  ซึ่งตรงกับปณิธาณของไทยออยล์ที่ว่า “Your Value, Our Priority … เพราะคุณค่าของพนักงานคือคุณค่าของไทยออยล์”

พร้อมย้ำว่า ไทยออยล์เชื่อมั่นในแนวทาง "Happy Employees, Happy Company" โดยมุ่งสร้างความสุขและแรงบันดาลใจให้กับพนักงานทุกระดับ พร้อมขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ไทยออยล์ยังคงเป็นหนึ่งในองค์กรที่คนรุ่นใหม่อยากร่วมงานด้วยมากที่สุดในประเทศไทย

‘พลังงาน’ เดินหน้าตั้งทีมดูแลค่าไฟฟ้า ชี้ 2-3 เดือนได้แนวทางลดราคาค่าไฟที่เหมาะสม

ปลัดกระทรวงพลังงาน จับมือผู้บริหารระดับสูง โชว์ผลงานสำคัญ ปี 2567 พร้อมแผนงานด้านพลังงานปี 2568 เน้นมุ่งกระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมปรับโครงสร้างราคาพลังงานเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชน และเร่งเดินหน้าผลิตพลังงานสะอาด พร้อมระบุกระทรวงพลังงานตั้งทีมพิจารณาแนวทางลดค่าไฟฟ้า คาด 2-3 เดือน จะได้เห็นหลากหลายแนวทาง เพื่อนำมาหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้องพิจารณาลดค่าไฟฟ้าต่อไป  

เมื่อวานนี้ (27 ม.ค. 68) นายประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน นำคณะผู้บริหารแถลงผลงานกระทรวงพลังงานปี 2567 และแผนการดำเนินงานที่สำคัญในปี 2568 ภายใต้หัวข้อ 'New Chapter เปิดศักราชใหม่พลังงานไทย จาก ภาพฉาย สู่ ภาพชัด'

นายประเสริฐ กล่าวถึงความคืบหน้านโยบายการลดค่าไฟฟ้าเหลือ 3.70 บาทต่อหน่วยของรัฐบาลว่า ขณะนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้จัดตั้งคณะทำงานขึ้นมาพิจารณาค่าไฟฟ้า ซึ่งจะมีการพิจารณากรณีที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เสนอแนวทางลดค่าไฟฟ้า 17 สตางค์ต่อหน่วย ด้วยการทบทวนสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับทางผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) และผู้ผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) ที่ได้รับการสนับสนุนเงินส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) และ เงินสนับสนุนตามต้นทุนที่แท้จริง  (FiT)  

โดยที่ผ่านมากระทรวงพลังงานเคยพิจารณาและหารือกับผู้ประกอบการมาก่อน แต่ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ตรงกัน หลังจากนี้คาดว่าคณะกรรมการที่จัดตั้งขึ้นจะมีหลากหลายแนวทางออกมาภายใน 2-3 เดือนนี้ จากนี้จะนำไปหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อทำให้ราคาค่าไฟฟ้าลดลงเท่าที่จะเป็นไปได้ต่อไป  

สำหรับการดำเนินงานในช่วงปี 2567 เป็นอีกหนึ่งปีที่ทั่วโลกยังคงเผชิญกับความท้าทายด้านราคาพลังงานซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ เนื่องจากสถานการณ์สงครามในต่างประเทศที่ยืดเยื้อส่งผลให้ราคาพลังงานทั่วโลกผันผวน แต่ก็ถือว่าสถานการณ์ตอนนี้ผ่อนคลายมากกว่าเมื่อ 2 – 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งในส่วนของกระทรวงพลังงานยังคงออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือและลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน ผ่านมาตรการการตรึงราคาค่าไฟฟ้า ราคาน้ำมันดีเซล ก๊าซหุงต้ม และ NGV รวมทั้งการปรับใช้ราคา Pool Gas การใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง การส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในภาคส่วนต่าง ๆ ทำให้ราคาพลังงานภายในประเทศอยู่ในระดับปานกลางเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งการบริหารจัดการเพื่อลดภาระหนี้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งหลาย ๆ มาตรการก็เกิดจากการบริหารจัดการและระดมสมองจากข้าราชการและเจ้าหน้าที่กระทรวงพลังงาน และได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานในสังกัด ทั้ง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน

ส่วนในปี 2568 นี้ กระทรวงพลังงานได้กำหนดนโยบาย ผ่าน 3 เป้าหมายการขับเคลื่อนด้านพลังงาน ประกอบด้วย 1. ความมั่นคงทางพลังงาน ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญเพื่อให้ประเทศไทยมีความมั่นคงด้านพลังงาน 2. พลังงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ก็จะเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เกิดการจ้างงาน สร้างรายได้ให้กับประชาชนทั่วประเทศ และ 3. พลังงานคาร์บอนต่ำ ซึ่งเป็นไปตามเทรนด์ที่หลายบริษัทชั้นนำระดับโลกพยายามมุ่งหาพลังงานสะอาด

โดยกุญแจสำคัญในการทำให้แผนการขับเคลื่อนด้านพลังงานมีความชัดเจน จากภาพฉายกลายเป็นภาพชัดให้ประชาชนเห็นเป็นรูปธรรม กระทรวงพลังงานได้วางกรอบ 5 นโยบายสำคัญ ได้แก่ 1) การจัดหาแหล่งพลังงานใหม่ในประเทศ โดยจะเร่งสำรวจและผลิตปิโตรเลียมทั้งบนบกและในทะเล 2) บริหารจัดการระบบพลังงานให้มีประสิทธิภาพและยืดหยุ่นเพื่อรองรับพลังงานทุกรูปแบบ ทั้งการพัฒนาระบบสำรองเชื้อเพลิงและการตรวจสอบปริมาณสำรอง การพัฒนาระบบ Smart Grid การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานยานยนต์ไฟฟ้า การพัฒนาระบบ SPR และการยกระดับระบบไฟฟ้าเพื่อรองรับการผลิตแบบกระจายศูนย์

3) ส่งเสริมการลงทุนด้านพลังงาน กระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เร่งขับเคลื่อนพลังงานสะอาดเพื่อเปิดรับการลงทุนจากบริษัทชั้นนำระดับโลก เช่น Data Center ผ่านมาตรการเช่น Direct PPA, UGT และการปรับแผน PDP ให้เหมาะสมมากยิ่งขึ้น 4) เตรียมเสนอมาตรการด้านพลังงานสีเขียว ส่งเสริมการติดตั้ง Solar Roof ผลักดันมาตรการทางภาษี การลดขั้นตอนการขออนุญาตติดตั้ง การส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากชีวมวลเพื่อลดการเผาไหม้ในที่โล่งแจ้ง ก็จะเป็นอีกตัวช่วยในการลดฝุ่น PM2.5 และ 5) สนับสนุนเทคโนโลยีพลังงานรูปแบบใหม่ ทั้งพลังงานไฮโดรเจน การปรับเปลี่ยนเอทานอลมาใช้ในอุตสาหกรรมน้ำมันเครื่องบินหรือ SAF การพัฒนาการกักเก็บ CO2

“จากผลการดำเนินงานของกระทรวงพลังงานในปี 2567 ที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่า กระทรวงพลังงาน ได้ดำเนินทุกมาตรการทั้งระยะสั้นและระยะยาวเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้กับประชาชน ซึ่งก็ต้องขอขอบคุณทุกฝ่ายที่ให้ความร่วมมือ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน รวมถึงภาคประชาชน ที่ตระหนักถึงคุณค่าของการใช้พลังงาน ส่วนในปี 2568 นี้ กระทรวงพลังงานจะเพิ่มความเข้มข้นในการดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้ 'ภาพฉาย กลายเป็น ภาพชัด' ให้ทุกภาคส่วนได้เห็นถึงการบริหารจัดการภาคพลังงานของกระทรวงพลังงาน ทั้งการปรับโครงสร้างราคาเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชน การสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน การกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในประเทศและจากต่างประเทศ การพัฒนาและปรับแก้กฎหมายต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต การปรับเปลี่ยนเชื้อเพลิงในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อรองรับการใช้งานในอนาคต การทำให้ประชาชนเข้าถึงการใช้พลังงานสะอาด ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เป็นนโยบายที่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่กระทรวงพลังงานได้เตรียมดำเนินการอย่างเต็มความสามารถ ผมขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมมือกัน ช่วยให้ประเทศไทยสามารถก้าวผ่านวิกฤตด้านพลังงานในหลายๆ ปีที่ผ่านมา และจะปฏิบัติตามแผนในปี 2568 เพื่อให้ประเทศไทยมีความมั่นคงด้านพลังงานไปพร้อมกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและมุ่งสู่เป้าหมายพลังงานสะอาดต่อไป” นายประเสริฐ กล่าว

นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กล่าวว่า ปี พ.ศ. 2567 ที่ผ่านมา สนพ. ได้ปฏิบัติภารกิจงานด้านการวางแผนนโยบายพลังงานภายใต้หลักคิด (1) ด้านความมั่นคงทางพลังงาน (Security) สนพ. ได้จัดทำแผนบูรณาการการลงทุนและการดำเนินงาน เพื่อพัฒนาระบบโครงข่ายสมาร์ทกริดและโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานไฟฟ้า พัฒนา EV Data Platform และส่งเสริมการใช้ EV ในภาคราชการ โดยในเดือน มิ.ย. 2567 สนพ. ได้จัดให้มีการประชุมรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2567-2580 (PDP2024) และร่างแผนบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติ พ.ศ. 2567-2580 (Gas Plan2024) ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการนำความเห็นที่ได้จากการ Public hearing ไปปรับปรุงเพื่อเสนอ กพช. พิจารณาต่อไป

นอกจากนี้ สนพ. ยังได้เสนอข้อสรุปผลการดำเนินโครงการนำร่องการตอบสนองด้านโหลด หรือ Demand response (DR) ปี 2566 และแนวทางพัฒนาแหล่งทรัพยากร DR ในระยะแรกปี 2567 – 2569 เพื่อตอบสนองการใช้ไฟฟ้าของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น (2) ด้านการดูแลราคาพลังงาน (Economics) สนพ. ได้นำเสนอแนวทางการบริหารจัดการก๊าซธรรมชาติและหลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติ ได้แก่ กำหนดราคา Pool Gas ราคาเดียว (Single Pool) และทบทวนค่าบริการส่งก๊าซธรรมชาติ (ค่าผ่านท่อก๊าซ) ซึ่งช่วยให้ต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับภาคไฟฟ้า ภาคอุตสาหกรรม และ NGV ลดลง

ทั้งนี้ สนพ. ยังได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์โครงสร้างราคาน้ำมันเชื้อเพลิง โครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าของไทย และนำเสนอมาตรการบรรเทาผลกระทบด้านราคาพลังงาน ได้แก่ การรักษาระดับค่าไฟฟ้าปี 2567 ที่ 4.18 บาทต่อหน่วย และช่วยเหลือค่าไฟฟ้ากลุ่มเปราะบาง การคงราคาขายส่งหน้าโรงกลั่น LPG เพื่อให้ราคาขายปลีก LPG อยู่ที่ 423 บาท/ถังขนาด 15 กิโลกรัม ต่อเนื่องมามากกว่า 2 ปี และการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่เกิน 33 บาท/ลิตร สำหรับ (3) ด้านความยั่งยืน (Sustainability) สนพ. มีนโยบายที่คำนึงถึงพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีข้อเสนอแนวทางการดำเนินการโครงการนำร่อง Direct PPA ไม่เกิน 2,000 MW สำหรับธุรกิจ Data Center ที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ซึ่งช่วยส่งเสริมนโยบายรัฐบาลในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศให้มากขึ้น

ในปี 2568 สนพ. ยังคงเดินหน้าสานต่อภารกิจที่ทำในปี 2567 ทั้งในส่วนของความมั่นคงด้านพลังงาน และ การดูแลราคาพลังงานให้มีความเหมาะสมกับประชาชน โดยมีงานสำคัญคือ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และ การปรับปรุงโครงสร้างราคาพลังงานที่เหมาะสมทั้งในส่วนของโครงสร้างราคาก๊าซธรรมชาติ น้ำมัน และ โครงสร้างราคาค่าไฟฟ้าของประเทศไทย ปี 2569 – 2573 เป็นต้น

นางสาวนันธิกา ทังสุพานิช อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) กล่าวว่า การดำเนินงานของ พพ. ในปี 2567 ได้สร้างความยั่งยืนด้านพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง อาทิ ติดตั้งโซลาร์ช่วยเหลือชุมชนในพื้นที่ทุรกันดาร รวม 595 แห่ง 1,588 ระบบ,ประชาชนได้ประโยชน์จากโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ร่วมกับพลังน้ำกว่า 235 ครัวเรือน, กำกับและส่งเสริมให้มีการลดใช้พลังงานในโรงงานอาคารได้กว่า 7,583 ล้านบาท, ถ่ายทอดความรู้ด้านพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ระดับครัวเรือน ชุมชน กว่า 24,606 คน และพัฒนาหลักสูตรด้านพลังงานเพื่อสร้างบุคลากรเข้าสู่ตลาดแรงงาน

และในปี 2568 นั้น พพ. ยังคงเดินหน้าพลังงานสะอาดให้มากขึ้นและลดใช้พลังงานอย่างเข้มข้น ยกระดับคุณภาพชีวิตผ่านการสนับสนุนการลงทุนด้านพลังงาน อาทิ ด้านความมั่นคง : พัฒนากฎหมายเพิ่มการเข้าถึงพลังงานสะอาดให้คล่องตัวขึ้น ให้ประชาชนในพื้นที่ห่างไกลมีไฟฟ้าใช้จากพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานน้ำ ด้านเศรษฐกิจ : เร่งผลักดันมาตรการทางภาษีส่งเสริมการผลิตการใช้พลังงานทดแทนและเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน, ด้านความยั่งยืน : ยกระดับมาตรฐานอาคารประหยัดพลังงาน พร้อมเร่งรัดจัดการเชื้อเพลิงพลังงานทดแทนเพื่อลดปัญหา PM2.5 เป็นต้น

นายสราวุธ แก้วตาทิพย์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) กล่าวถึงผลการดำเนินงานในปี 2567 โดยภาพรวมได้ดำเนินการปรับปรุงอัตราการสำรองน้ำมันดิบ จาก 5% เป็น 6% ควบคู่กับการศึกษารูปแบบการสำรองน้ำมันเชิงยุทธศาสตร์ (SPR) ที่เหมาะสมกับประเทศไทย ขับเคลื่อนการออกกฎหมายรับแจ้งข้อมูลนำเข้า-ส่งออกน้ำมัน ประสานความร่วมมือกับ กกพ. กฟน. และ กฟภ. ในการกำหนดกรอบระยะเวลาการอนุมัติอนุญาตและมาตรฐานการติดตั้ง Charging Station ภายในสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง มีการปรับลดชนิดน้ำมันกลุ่มดีเซลหมุนเร็ว เหลือ 2 ชนิด คือ ดีเซลหมุนเร็วเกรดพื้นฐาน (B7) และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B20

อีกทั้งได้ร่วมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการผลักดันให้การขนส่งน้ำมันทางท่อเป็นโลจิสติกส์หลักของประเทศ และได้แก้ไขปรับปรุงข้อกฎหมายสถานที่เก็บรักษาน้ำมัน ให้เอื้อต่อการเก็บสำรองน้ำมันเพื่อใช้สำหรับเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ตลอดจนปรับเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการแก่ผู้ประกอบการเป็นดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง โดยได้ปรับปรุงบัตรประจำตัวสำหรับผู้ปฏิบัติงานตามกฎหมายควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิงให้เป็นแบบอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงได้ขับเคลื่อนการใช้พลังงานให้สอดคล้องกับเป้าหมาย Carbon Neutrality และ Net Zero Emissions ผ่านการสนับสนุนการใช้เชื้อเพลิงที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ อาทิ ไฮโดรเจน เชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) รวมถึงน้ำมันเตาชีวภาพกำมะถันต่ำมาก

สำหรับแผนการดำเนินงานที่สำคัญในปี 2568 จะมีการนำร่องการเชื่อมโยงข้อมูลปริมาณน้ำมันสำรองผ่าน API Gateway เพื่อให้ภาครัฐมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน และจะขยายการให้บริการระบบอนุมัติอนุญาตแบบออนไลน์ไปยังส่วนภูมิภาค อีกทั้งจะออกมาตรฐานความปลอดภัยของเชื้อเพลิงไฮโดรเจน แอมโมเนีย และการกำหนดมาตรฐานคุณภาพของ SAF เพื่อเป็นการคุ้มครองความปลอดภัยในการใช้เชื้อเพลิง

นายวรากร พรหโมบล อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กล่าวว่าในส่วนของผลการดำเนินงานปี 2567 ที่สำคัญของกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติคือการจัดหาก๊าซธรรมชาติให้เพียงพอต่อความต้องการใช้ภายในประเทศ และส่งเสริมให้ประเทศสามารถพึ่งพาตนเองด้านพลังงานได้อย่างยั่งยืน ประกอบด้วย การเปิดให้ยื่นขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียม สำหรับแปลงสำรวจบนบก (ครั้งที่ 25) ซึ่งขณะนี้ได้ลงนามในประกาศเชิญชวนการเปิดให้ยื่นขอสิทธิฯ เรียบร้อยแล้ว และกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติจะได้เร่งรัดการดำเนินการตามกระบวนการต่าง ๆ ตามขั้นตอนต่อไป รวมทั้งสามารถกำกับ ดูแล สนับสนุนให้การจัดหาก๊าซธรรมชาติจากแปลง G1/61 และ G2/61 ภายใต้ระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิตเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดในสัญญาที่อัตรา 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และ 700 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันตามลำดับ

นอกจากนั้น กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติยังมีการดำเนินงานให้ได้มีการต่อระยะเวลาผลิตปิโตรเลียมของแปลง B8/38 ซึ่งปัจจุบันสามารถผลิตน้ำมันดิบได้ 4,000 บาร์เรลต่อวัน โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติการต่อระยะเวลาเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2567 ด้วยแล้ว นอกจากการจัดหาพลังงานให้เพียงพอต่อความต้องการใช้ภายในประเทศแล้ว กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติยังขับเคลื่อนการพัฒนาเทคโนโลยีการดักจับและการกักเก็บคาร์บอน CCS เพื่อสนับสนุนนโยบายในการให้ประเทศไทยเข้าสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี พ.ศ. 2593 โดยการจัดทำโครงการศึกษากฎระเบียบและโครงการนำร่อง CCS ในแหล่งอาทิตย์ ทะเลอ่าวไทย เพื่อรองรับการดำเนินงานด้าน CCS ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

สำหรับในปี 2568 กรมฯ มีแผนงานสำคัญคือการเปิดให้ยื่นขอสิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียม สำหรับแปลงสำรวจในทะเลอันดามัน (รอบที่ 26) การเร่งรัดการต่อระยะเวลาผลิตปิโตรเลียมในแปลงที่ใกล้สิ้นสุดอายุทั้งในประเทศและพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย ประกอบกับส่งเสริมและประสานความร่วมมือในการจัดหาก๊าซธรรมชาติจากประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งผลักดันการดำเนินงานเพื่อพัฒนาเทคโนโลยี CCS สำหรับโครงการนำร่องพื้นที่อ่าวไทยตอนบนเพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศควบคู่ไปกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

EA มั่นใจเพิ่มทุน 7,426 ล้านบาท ฉลุย! หลังผู้ถือหุ้นเชื่อมั่นการปรับโครงสร้างธุรกิจ

(28 ม.ค. 68) บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จํากัด (มหาชน) (EA) หนึ่งในธุรกิจพลังงานทดแทนชั้นนำของประเทศ ประกาศในวันนี้ว่า แผนการพลิกฟื้นธุรกิจได้รับการสนับสนุนอีกครั้งอย่างท่วมท้น จากความสำเร็จของการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในช่วงวันที่ 17-23 มกราคม 2568 โดยมีการจองซื้อเกินกว่าเป้าหมาย สามารถระดมทุนได้ทั้งสิ้น 7,426 ล้านบาท

นายฉัตรพล ศรีประทุม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จํากัด (มหาชน) กล่าวว่า "เงินทุนที่ได้มาใหม่นี้จากผู้ถือหุ้น แสดงถึงความเชื่อมั่นของผู้ถือหุ้นที่เชื่อว่าการปรับโครงสร้างธุรกิจที่เราได้ดำเนินการตั้งแต่ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีก่อน ช่วยให้ธุรกิจมีเสถียรภาพ และวางรากฐานที่มั่นคงสำหรับการเติบโตในอนาคต เงินทุนเหล่านี้จะถูกใช้เพื่อลดหนี้ เพิ่มความน่าเชื่อถือทางการเงิน และลงทุนในโครงการต่าง ๆ ต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถเดินหน้าได้อย่างรวดเร็วสู่ก้าวต่อไปของแผนในการฟื้นตัว"

"เรายินดีและขอบคุณที่ได้รับการสนับสนุนอย่างท่วมท้นจากผู้ถือหุ้น ส่งผลให้การเสนอขายหุ้นสามัญ เพิ่มทุนครั้งนี้ได้รับการจองซื้อเกินกว่าเป้าหมาย เงินทุนเหล่านี้จะช่วยลดหนี้ เพิ่มความน่าเชื่อถือทางการเงิน และช่วยให้ธุรกิจเราเดินหน้าสู่ก้าวต่อไปในการฟื้นตัว"

EA เปิดเผยว่า ส่วนหนึ่งของแผนการปรับโครงสร้างธุรกิจในภาพรวม คือ EA กำลังมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจที่สร้างผลกำไรสูง ได้แก่ การผลิตไบโอเชื้อเพลิง การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ และการดำเนินธุรกิจสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้าแห่งเดียวในประเทศไทยที่มีกระแสเงินสดเป็นบวก ธุรกิจเหล่านี้รวมกันสร้างรายได้ประมาณ 60% ของรายได้รวมของ EA ในขณะเดียวกัน EA ได้หยุดหรือลดขนาด 2 ธุรกิจที่ขาดทุน ในระหว่างเตรียมการปรับโครงสร้าง ได้แก่ ธุรกิจการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ และธุรกิจการผลิตแบตเตอรี่ โดยจะมีการหาพันธมิตรสำหรับแต่ละธุรกิจที่เป็นรายใหญ่ระดับนานาชาติที่จะช่วยให้ธุรกิจมีความสามารถในการแข่งขันในระดับโลก และช่วยขยายตลาดไปต่างประเทศได้

นายฉัตรพล กล่าวเพิ่มเติมว่า "เรากำลังเดินหน้าที่จะเริ่มการประกอบยานยนต์ไฟฟ้าประเภทพิเศษที่โรงงานฉะเชิงเทราในเดือนเมษายน 2568 โดยร่วมมือกับผู้ผลิตยานยนต์ประเภทพิเศษรายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งของประเทศจีนที่ชื่อ Chengli Special Automobile Co., Ltd. (บริษัท เฉิงหลี่ สเปเชียล ออโตโมบิล) เราจะเป็นรายแรกในประเทศไทยที่ประกอบยานยนต์ไฟฟ้าประเภทพิเศษในจำนวนมาก เช่น รถพยาบาล รถเก็บขยะ และยานพาหนะประเภทพิเศษอื่น ๆ นอกจากนี้ เรากำลังเดินหน้าการเจรจาร่วมทุนกับบริษัทจากประเทศจีนเพื่อเป็นโรงงานแรกขนาดใหญ่ในประเทศไทยในการผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่มีกำลังการผลิต 4 กิกะวัตต์"

จากการเปิดเผยล่าสุดของ EA กระแสเงินสดจากการดำเนินงานในเก้าเดือนแรกของปี 2567 อยู่ที่ 5,610 ล้านบาท ซึ่งปรับตัวดีขึ้นจากติดลบ 1,726 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน และสูงกว่าปีก่อนหน้านี้เกือบสามเท่า


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top