Monday, 24 June 2024
POLITICS

ไปคิดเลขมาใหม่ ! “ชำนาญ” ชี้ผลเลือกตั้งเทศบาล “คณะก้าวหน้า” สะท้อนความนิยมดีขึ้น - ย้ำรณรงค์ล่ารายชื่อแก้ รธน.เป็นสิทธิ - อัด ผช.รมต.ยุติธรรม ละเมิดจริยธรรม - ข่มขู่หรือไม่?

เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2564 นายชำนาญ จันทร์เรือง กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า กล่าวถึงกรณีที่นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์พรรคพลังประชารัฐระบุว่า การเลือกตั้งเทศบาลทีมของคณะก้าวหน้าได้แค่ 10 เทศบาล จากทั้งหมด 2,472 แห่ง คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ ไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ และการตั้งโต๊ะล่ารายชื่อเพื่อแก้รัฐธรรมนูญรายมาตรา ในแคมเปญ ขอคนละชื่อรื้อระบอบประยุทธ์ที่จะเริ่มคิกออฟในวันที่ 6 เมษายนนี้ เย้ยว่าจะถูกประชาชนออกมาขับไล่ และคงไม่มีใครบ้าจี้ไปลงชื่อเพราะกลัวว่าในอนาคตจะต้องเดือดร้อนหรือติดคุกตามไปด้วยนั้น

นายชำนาญ กล่าวว่า เกี่ยวกับผลการเลือกตั้งเทศบาลเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เพราะคณะก้าวหน้า ส่งผู้สมัคร 107 เทศบาล ถ้าได้ทั้ง 107 แห่ง จะเท่ากับ 100 % แต่ผลการเลือกตั้งที่ผ่านมาคือ เราได้นายกเทศมนตรี มา 16 แห่ง จึง (16 x100) / 107 = 14.95 % นอกจากนี้ ยังได้สมาชิกสภาเทศบาลอีกถึง 136 คน ด้วย ซึ่งถ้าจะลองเทียบกับการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อครั้งเป็นพรรคอนาคตใหม่ เราส่ง 349 เขต ได้รับเลือกตั้งมี .. 30 เขต  คิดเป็น (30x100) / 349 = 8.59 % อย่างนี้ คะแนนความนิยมไม่น่าจะเรียกว่าลด แต่ตรงกันข้าม กลับเพิ่มขึ้น ทั้ง ที่การเลือกตั้งท้องถิ่นไม่มีคะแนนจากการเลือกตั้งล่วงหน้า หรือคะแนนจากผู้เลือกตั้งในต่างประเทศ โดยเรามั่นใจว่านั่นคือผู้นิยมในส่วนของเรา  อนึ่ง จำนวนเทศบาลในปัจจุบันจากข้อมูลของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเมื่อ 30 .. 2563 มี 2,469 แห่ง มิใช่ 2,472 แห่งตามที่นายสามารถเข้าใจ

ส่วนกรณีที่ว่าการตั้งโต๊ะล่ารายชื่อเพื่อแก้รัฐธรรมนูญรายมาตรา คงไม่มีใครบ้าจี้ไปลงชื่อเพราะกลัวว่าในอนาคตจะต้องเดือดร้อนหรือติดคุกตามไปด้วย นั้น การลงชื่อเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นการใช้สิทธิตามมาตรา 256 (1) จะได้รับความเดือดร้อนหรือติดคุกไปได้อย่างไร ตัวเองเป็นถึงผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรมพูดอย่างนี้ไม่ถูกต้อง เป็นการละเมิดจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอย่างเห็นได้ชัด และที่บอกว่าไปที่ไหนจะถูกชาวบ้านขับไล่ อย่างนี้ถือเป็นการข่มขู่หรือไม่ ทั้ง ที่การรณรงค์ทำได้ และเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม เราไม่กังวลเรื่องนี้เท่าไหร่ เพราะถ้าไม่เป็นการจัดตั้งมา ส่วนใหญ่แล้วจะอธิบายพูดคุยด้วยดีก็แยกย้ายกันได้ ส่วนจำนวนผู้มาลงชื่อจะมากน้อยแค่ไหนก็ต้องรอดู ถ้ายังจำได้ตอนผลเลือกตั้งปี 2562 ออกมา มีคนลงรายชื่อ 8 แสนกว่าชื่อ เพื่อไล่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็เคยมีมาแล้วนะครับนายชำนาญ กล่าว

 

“บิ๊กป้อม” เร่งช่วยนักกีฬา/นักกีฬาพิการ ประชุม คกก.กองทุนพัฒนาฯ เน้นสวัสดิการ หวังเติมเต็มกำลังใจ หนุนพัฒนากีฬาไทยต่อเนื่อง ย้ำบริหาร งป. โปร่งใส/รวดเร็ว กำชับสมาคม ฝึกซ้อม/ดูแลนักกีฬา ระวังโควิด-19

เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2564  พล.ต.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษกประจำรอง นรม. เปิดเผยว่าพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. ได้เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564 โดยมี นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.กก. เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล

ที่ประชุม ได้รับทราบการดำเนินงาน ของกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ที่สำคัญ ได้แก่การสนับสนุนของกองทุนฯ ด้านสวัสดิการกีฬา จำนวน 3 รายการคือ การเบิกจ่ายเงินรางวัลให้แก่นักกีฬา ที่ชนะเลิศรายการ 14th  IDBF World Dragon Boat Championships และให้ความช่วยเหลือด้านสวัสดิการเงินค่ารักษาพยาบาล ปี64 (ไตรมาส 1) รวมทั้ง สนับสนุนทุนการศึกษาของนักกีฬา และบุคลากรกีฬา ประจำปีการศึกษา2563 จำนวน 284 คน  จากนั้นที่ประชุม ได้พิจารณาเห็นชอบให้ความช่วยเหลือสวัสดิการ กรณีการเจ็บป่วย หรือบาดเจ็บของอดีตนักกีฬา และบุคลากรกีฬา จำนวน 10 ราย รวมทั้งได้เห็นชอบ ให้การสนับสนุนโครงการที่เกี่ยวกับการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อสร้างกระแสกีฬาสู่ประชาชน จำนวน 5 รายการ

พล.อ.ประวิตร  ได้กำชับ กกท. ให้เร่งขับเคลื่อน การส่งเสริมพัฒนาการกีฬา และบุคลากรกีฬา ตามระเบียบ ข้อบังคับ อย่างถูกต้อง เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ต่อวงการกีฬา โดยเน้นการบริหารงบประมาณ จะต้องเร่งรัดให้เกิดความรวดเร็ว โปร่งใส และมีประสิทธิภาพ  พร้อมสั่งแต่งตั้ง คกก.เผยแพร่กีฬามวยไทย เพื่อการประชาสัมพันธ์ และคณะทำงานสวัสดิการเพิ่มเติม เพื่อช่วยเหลืออดีตนักกีฬาทีมชาติ  และเน้นย้ำให้สมาคมกีฬา จะต้องเร่งฝึกซ้อมนักกีฬา เพื่อเตรียมการแข่งขันรายการต่าง ๆ มุ่งเป้าสู่ความเป็นเลิศ และให้ระมัดระวัง การแพร่ระบาดจากโรคโควิด-19 ด้วย

ปลัดกระทรวงกลาโหม ตรวจเยี่ยมการตรวจเลือกทหารกองเกินเข้ารับราชการทหารกองประจำการ ประจำปี 64

เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2564 พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ  ปลัดกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย พล.อ.พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก พล.ท.เจริญชัย หินเธาว์ แม่ทัพภาคที่ 1 พล.ต.ธราพงษ์ มะละคำ รองแม่ทัพภาคที่1 ร่วมตรวจเยี่ยมการตรวจเลือกทหารกองเกิน เพื่อเข้ารับราชการเป็นทหารกองประจำการประจำปี 2564 โดยบรรยากาศที่สถานที่ตรวจเลือกทหารกองเกิน เข้ากองประจำการ เขตบางบอน กรุงเทพมหานคร ได้มีชายไทยที่เกิดในปี พ.ศ. 2543 และ เกิดปี พ.ศ. 2535 ถึง 2542 ซึ่งยังไม่เคยเข้ารับการตรวจเลือก หรือการตรวจเลือกยังไม่แล้วเสร็จทุกกรณี เดินทางไปเข้ารับการตรวจเลือกตั้งแต่เวลา 7 นาฬิกา ที่วัดบางบอน 

ซึ่งทางหน่วยตรวจเลือกทหารได้จัดระบบและขั้นตอนการตรวจเลือกภายใต้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด - 19 อย่างเคร่งครัด โดยมีจุดคัดกรอง รวมถึงมีการแบ่งโซนพื้นที่ต่างๆอย่างชัดเจน ทั้งโซนพื้นที่สำหรับผู้ที่ใช้สิทธิ์ขอผ่อนผัน / โซนพื้นที่สำหรับผู้ที่เข้ารับการตรวจเลือกตามปกติ ตลอดจนโซนพื้นที่สำหรับพักคอยของญาติและผู้ปกครอง สำหรับพื้นที่หน่วยตรวจเลือกเขต บางบอน มียอดผู้ที่ต้องไปเข้ารับการตรวจเลือกทั้งสิ้น 364 คน และมีผู้ที่ใช้สิทธิ์ขอผ่อนผันจำนวน 130 คน 

โดย ปลัดกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงการตรวจเยี่ยมในวันนี้ ว่า เพื่อให้เป็นไปตามข้อบังคับกระทรวงกลาโหม ที่อนุมัติโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กำหนดให้สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม โดยกรมการสรรพกำลังกลาโหม กำกับดูแลการตรวจเลือกทหารกองเกินเข้ารับราชการทหารกองประจําการ 2564  ให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม  ที่กําหนดมาตรการตรวจเลือกให้เรียบร้อยทั้งในด้านสถานที่  จํานวนทหารกองเกินที่เข้ารับการตรวจเลือก และห้วงเวลาในการดําเนินการที่เหมาะสม รวมถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆของทหารใหม่ ต้องเป็นไปตามมาตรฐานที่กองทัพกำหนดไว้  พร้อมจัดให้มีมาตรการต่าง ๆ ในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างเคร่งครัด ทั้งนี้  กระบวนการตรวจเลือก ต้องยุติธรรมและโปร่งใส เพื่อคัดเลือกบุคลากรที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเข้ามาเป็นทหาร

“วิษณุ” ระบุ ร่างแก้ รธน. ของ พปชร. ไม่ใช่ร่างรัฐบาล บอก รอดูรายละเอียดอยู่ 

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯให้สัมภาษณ์กรณีร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่จะยื่นวันที่ 7 เมษายน จะถือเป็นร่างของรัฐบาลหรือไม่ ว่า เป็นร่างของพรรคพลังประชารัฐที่เขาไปล่าลายเซ็น ส.ส. พรรคพลังประชารัฐ 100 กว่าคนตามหลักเกณฑ์ ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ก็จะเสนออีกหนึ่งร่าง แสดงว่าเป็นร่างของสมาชิกรัฐสภา ทั้งนี้ตนยังไม่เห็นเนื้อหาสำคัญของร่างพรรคพลังประชารัฐเห็นแต่ที่เป็นข่าว ซึ่งก็อยากเห็นอยู่เหมือนกันว่ารายละเอียดเห็นเช่นไร 

เมื่อถามว่าประเด็นที่พรรคพลังประชารัฐเสนอสามารถตอบโจทย์การแก้ปัญหาของประเทศได้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ก็แล้วแต่ว่าเป็นโจทย์ของใคร คำว่าโจทย์ของประเทศอาจมองไม่เหมือนกัน แม้กระทั้งการแก้เรื่องบัตรเลือกตั้งที่เสนอเป็น 2 ใบ ตนก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นเรื่องที่เห็นพ้องต้องกันเพราะบางพรรคก็ได้ประโยชน์จากบัตรเลือกตั้งใบเดียว บางพรรคก็ได้ประโยชน์กับบัตรเลือกตั้งสองใบ ดังนั้นอาจทำให้เกิดความเห็นไม่ตรงกันทั้งหมดนี้น่าจะเป็นเหตุผลประการหนึ่งที่แต่ละพรรคการเมืองไม่สามารถทำให้เสนอร่างร่วมกันได้   

เมื่อถามว่าการที่พรรคพลังประชารัฐไม่แก้อำนาจ ส.ว. ในการเลือกนายกฯ จะเป็นที่ยอมรับของสังคมหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ต้องไปถามสังคม จะมาถามอะไรตน เมื่อถามว่าการที่แต่ละพรรคเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของตัวเองแล้วจำเป็นที่รัฐบาลต้องเสนอร่างของรัฐบาลด้วยหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ก็ยังไม่เคยเห็นพูดกันในส่วนนี้ เมื่อถามย้ำว่าก่อนหน้านี้นายกฯเคยบอกว่าจะมีร่างแก้ไขรธน.ของรัฐบาล นายวิษณุ ถามกลับว่า “ท่านพูดเหรอ” สื่อจึงตอบกลับไปว่าพูดก่อนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญจะถูกคว่ำในวาระ 3 นายวิษณุ กล่าวว่า “ไม่ทราบ”

เมื่อถามว่า พรรคพลังประชารัฐเสนอแก้มาตรา 144 เกี่ยวกับการใช้งบประมาณจะทำให้ระบบการตรวจสอบลดลงหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า มาตรา 144 เพิ่งมามีในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เมื่อมีแล้วทำให้ระบบตรวจสอบเข้มข้นขึ้นถือเป็นจุดแข็งอันนึ่งของรัฐธรรมนูญ 60 ซึ่งพอไปแก้ตนก็อยากเห็นเหมือนกันว่าจะแก้อย่างไร ตอนนี้ยังตอบไม่ถูกเพราะยังไม่เห็นร่าง 

เมื่อถามว่าการแก้ไขมาตรา 185 ที่ห้าม ส.ส. เข้าไปแทรกแซงการทำงานของข้าราชการ จะเป็นการเปิดโอกาสให้ ส.ส. เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับราชการหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า สื่อลงไปเช่นนั้นแต่ตนขอดูรายละเอียดก่อนว่าเขาแก้อย่างไร เพราะข้อเท็จจริงแล้ว ส.ส. ก็ไปยุ่งกับข้าราชการไม่ได้อยู่แล้วและหลักของมาตราดังกล่าวก็เป็นเรื่องที่ใช้มานานแล้วในรัฐธรรมนูญหลายฉบับไม่ได้เพิ่งมามีในรัฐธรรมนูญ 60 

เมื่อถามว่า สำหรับมาตรา 270 จากเดิมให้ ส.ว. เป็นผู้ตรวจสอบติดตามการปฏิรูปประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติ แล้วให้ ส.ส. เข้ามามีส่วนร่วมตรงนี้จะมีผลดีผลเสียอย่างไร นายวิษณุ กล่าวว่า ซึ่งตนยังไม่เห็นแต่การให้ ส.ส. เข้ามามีส่วนร่วมก็ถือเป็นเรื่องดีมาก ๆ แต่ก็ต้องดูว่ามาตรานี้มีหลายวรรคว่าเขาจะแก้อย่างไร ซึ่งตนก็อยากให้แก้เรื่องการรายงานรัฐสภาทุกสามเดือนเพราะเป็นภาระแก้ทุกฝ่ายและวรรคอื่น ๆ ที่บอกว่าหากเป็นกฎหมายปฏิรูปต้องเสนอต่อที่ประชุมรัฐสภายังไม่เห็นว่าเขาจะแก้หรือไม่ 

“แรมโบ้" จวก "ตู่ - เต้น" เคลื่อนไหวเพื่อใคร ย้อนถามประกาศ ”จงรักภักดี” หลังออกคุก แต่กลับเคลื่อนไหว ชี้ ไล่ "บิ๊กตู่" ออกจะให้ใครเป็นนายกฯ แทน

วันที่ 2 เมษายน 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี แถลงกรณีที่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เตรียมเคลื่อนไหวชุมนุมชุมนุม ในวันที่ 4 เมษายนว่า ที่จริงมีการพูดคุยกันมาตลอดถึงการเคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งนายจตุพร เคยพูดตอนออกจากเรือนจำว่าถูกทอดทิ้ง ไม่ได้รับการดูแลช่วยเหลืออะไร อยู่ในคุกเหมือนการอยู่ในนรกของคนเป็น ตนจึงต่อสายให้ได้คุยกับผู้ใหญ่ให้ทราบถึงความเดือดร้อนและการสนับสนุนช่วยเหลือ และที่ผ่านมาเตือนตลอดว่าหมดเวลาเป็นแกนนำเสื้อแดงเพราะในที่สุดเราก็ถูกทอดทิ้ง และการกลับมาประกาศชุมนุมต้องถามว่าที่ผ่านมาสู้เพื่อใคร สู้เพื่อตัวเองหรือสู้เพื่อใคร 

สู้เพื่อตัวเองเพื่อจะได้มีตำแหน่งเป็น ส.ส. เป็นรัฐมนตรี และสู้แล้วรวย ที่เคยบอกว่า นปช. มีจุดยืนอยู่ตรงกลางเพื่อประชาชน แต่สุดท้ายก็สู้เพื่อตัวเองให้คนนามสกุลชินวิตรกลับมามีอำนาจ ไม่ได้สู้เพื่อประชาชน คือสิ่งที่สะท้อนให้เสื้อแดงได้รับรู้ว่าใครที่หลอกลวงพาประชาชนไปตายไม่ได้เป็นการปกป้องประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และคนที่เคยออกมาเคลื่อนไหวบอกว่าเพื่อประชาธิปไตย มีใครออกมารับผิดชอบหรือไม่ ตนจึงต้องเอาความจริงมาแฉให้หมด และจะแฉต่อไป หากนายจตุพร รวมถึงนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ประกาศยืนข้างนักศึกษา ม็อบคณะราษฎรหรือนักศึกษาแนวร่วมธรรมศาสตร์ ซึ่งจิตใจของคนพวกนี้ไม่มีสำนักในความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง ประเทศชาติ และประชาชน ออกมาเคลื่อนไหว 

นายจตุพร กล่าวว่า อย่ามาบอกว่าออกมาจากเรือนจำ จะจงรักภักดีและปกป้องสถาบัน แต่พอถึงเวลาอาจถูกใครชักจูงหรือให้งบประมาณ ซึ่งตนก็ไม่ทราบ แต่เมื่อจงรักภักดีต่อสถาบันจะมาเคลื่อนไหวโดยอ้าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว. กลาโหม ว่าไม่มีความจริงใจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างนี้ไม่ได้ เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เคยสั่งการอะไร ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการ แต่การมากล่าวหาว่าเป็นตัวขัดขวางกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จึงไม่เป็นข้อเท็จจริง ถามว่าถ้านายจตุพรและนายณัฐวุฒิ ไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จะให้ใครขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี จะให้นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีหรือ ทั้งที่คนเหล่านี้โดน มาตรา 112 และต้องการที่จะเข้าล่วงจาบจ้วงสถาบัน อย่างไรก็ตามถ้ายังไม่หยุดเคลื่อนไหวตนจะออกมาแฉพฤติกรรมของทั้งคู่เป็นระยะ

“บิ๊กป้อม" ยืนยัน ชายแดนไทย เตรียมพร้อม รับมือ เมียนมาร์หนีภัย พร้อมย้ำ! ไล่บิ๊กตู่ 4 เมษา อย่าทำผิดกฎหมาย

วันที่ 2 เมษายน 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ ถึงกรณีการแก้ปัญหาชายแดนไทย - เมียนมาร์ ซึ่งขณะนี้ มีผู้หนีภัยจากการสู้รบในเมียนมาร์ทะลักเข้ามาเป็นจำนวนมาก ว่า ตอนนี้เราเตรียมทุกอย่างไว้หมดแล้ว ซึ่งนายกรัฐมนตรีก็ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนไปหมดแล้วแล้วจะมาถามอะไรอีก 

นอกจากนี้ยังให้สัมภาษณ์ ถึงกรณี นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ระดม ประชาชนมาร่วมขับไล่นายกรัฐมนตรีในวันที่ 4 เมษายนนี้ ว่า แล้วจะให้ตนทำอย่างไร อย่าทำผิดกฏหมายก็แล้วกัน จะชุมนุมกันอย่างไรก็ว่าไป

ผู้สื่อข่าวถามว่าเป็นห่วงว่าจะเป็นจุดเริ่มต้น ความรุนแรงเหมือนกับเหตุการณ์ในอดีตหรือไม่ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่หรอก ๆ จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่ได้รับการรายงานว่าจะมีความรุนแรงแต่อย่างใดเมื่อถามว่า ทางการข่าวมีการประเมินหรือไม่ว่ามีใครอยู่เบื้องหลังนายจตุพร พล.อ. ประวิตร กล่าวว่า สื่อก็ไปดูเอา

“บิ๊กตู่” ถก ศบค. ชุดเล็ก หารือแอปพลิเคชั่นวัคซีน หมอพร้อม

วันที่ 2 เมษายน 2564 ที่ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้าทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เรียกประชุม ศบค. ชุดเล็กและกระทรวงการคลัง เพื่อหารือเกี่ยวกับแอปพลิเคชั่นวัคซีน (หมอพร้อม) โดยมี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นานอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขา สมช. นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เข้าร่วมประชุม 

คมนาคม ผุดคณะทำงาน ฟื้นฟู ขสมก. ตั้ง “ชัยวัฒน์ ทองคำคูณ” เป็นประธาน

วันที่ 2 เมษายน 2564 นายศักดิ์สยาม  ชิดชอบ รมว.คมนาคม เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายการขนส่งทางบก ครั้งที่ 1/2564 ว่า ที่ประชุมได้มีการหารือถึงความคืบหน้าแผนฟื้นฟูองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) โดยมีมติเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะทำงานฯ ในการพิจารณาเพื่อปรับแผนแนวทางการปฏิรูประบบรถโดยสารประจำทางในเขตกรุงเทพมหานคร (กทม.) และปริมณฑลให้มีความชัดเจนและเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น โดยมีนายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม เป็นประธานการประชุม และนายจิรุฒม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) เป็นเลขานุการคณะทำงาน รวมทั้งสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.)

ทั้งนี้ ในที่ประชุมยังมีข้อเสนอให้ดูสัญญาเพิ่มเติม เนื่องจากในปัจจุบันแผนดังกล่าว จะนำรถร่วมเอกชนเข้ามาให้บริการด้วย โดยทั้ง 2 ฝ่าย ต้องเจรจาในการจ้างเช่าวิ่งตามระยะทางร่วมกัน เพื่อให้ได้ข้อสรุป โดยเชื่อว่า เรื่องดังกล่าว สามารถอธิบายได้ ขณะเดียวกัน ในเรื่องการกำหนดอัตราค่าโดยสาร เป็นอัตราเดียว (Single Price) ในอัตรา 30 บาท/คน/วัน เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชาชนนั้น หากประชาชนที่ใช้บริการรถโดยสารสาธารณะ ซึ่งใช้ค่าโดยสารไม่ถึง 30 บาท/วัน จะเรียกเก็บค่าโดยสารตามเดิมของรถโดยสารสาธารณะในแต่ละเส้นทาง ซึ่งต้องมาพิจารณาด้วย

นายศักดิ์สยาม กล่าวต่ออีกว่า ในส่วนการขอเงินอุดหนุนจากภาครัฐ (PSO) นั้น ที่ผ่านมา ขสมก.ได้เสนอของบประมาณเพื่อขออุดหนุน จำนวน 9,000 ล้านบาท แต่ทางกระทรวงคลัง สภาพัฒน์ฯ และสำนักคณะกรรมการกฤษฎีกา มีความเห็นว่าควรปรับปรุงรายละเอียดของแผนฟื้นฟู ขสมก.ในบางประเด็นให้มีความชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะการขอเงินอุดหนุนนั้นสามารถดำเนินการได้ ต่อเมื่อเป็นราคาที่ถูกจำกัดเพื่อช่วยเหลือประชาชน ซึ่งส่งผลให้ขาดทุนจึงจะสามารถขอเงินอุดหนุนได้ ทั้งนี้ ในปัจจุบันการเสนอขอเงิน PSO ไม่ใช่ราคาที่ถูกจำกัดเพื่อประชาชนเท่านั้น แต่เป็นการเปลี่ยนถ่ายแผนปฏิรูป ขสมก.ในระยะ 7 ปี

ขณะเดียวกัน ขสมก. มีงบประมาณที่ต้องให้ค่าตอบแทนแก่พนักงาน ซึ่งมีอัตราการจ้างที่สูงกว่าปกติ ซึ่งหลังจากนั้นภายใน 7 ปี พนักงาน ขสมก.จะเกษียณอายุราชการ ทำให้ ขสมก.ต้องจ้างพนักงานภายนอก (เอาท์ซอร์ส) เข้ามาเพิ่มในการบริหารจัดการแทน อย่างไรก็ตาม มองว่า หากดำเนินการจัดทำแผนฟื้นฟู ขสมก. ล่าช้า จะทำให้ ขสมก.มีผลประกอบการขาดทุนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยในปัจจุบัน ขสมก. ขาดทุนเฉลี่ยเดือนละ 300 ล้านบาท หรือขาดทุนปีละ 4,000 ล้านบาท

นายศักดิ์สยาม กล่าวว่า คณะทำงานชุดดังกล่าว จะใช้ระยะเวลาดำเนินการพิจารณาภายใน 1 เดือน เพื่อให้ได้ข้อยุติในกรณีที่หน่วยงานต่าง ๆ อาทิ กระทรวงการคลัง สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์ฯ) สำนักงบประมาณ ที่ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับแผนฟื้นฟู ขสมก.ในบางประเด็น หลังจากนั้น ขบ. และ ขสมก.จะดำเนินการพิจารณาสรุปรายละเอียด พร้อมทั้งจัดทำแผนลงทุน เพื่อเสนอต่อสภาพัฒน์ฯ ภายใน พ.ค. 2564 ก่อนที่จะเสนอไปยังคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) และเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบต่อไป แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของสภาพัฒน์ฯ ว่าจะแล้วเสร็จเมื่อใด

“ก้าวไกล” ชี้ พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารฯ ฉบับใหม่ น่ากังวล ใช้หลักการ "ปกปิดเป็นหลัก เปิดเผยเป็นข้อยกเว้น" 

เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2564 นายณัฐวุฒิ บัวประทุม ส.ส. บัญชีรายชื่อ ในฐานะรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ต่อกรณีที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเมื่อวันที่ 23 มีนาคม เห็นชอบเสนอร่างพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ (ฉบับที่...) พ.ศ.... อันเป็นการแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารราชการ พ.ศ. 2540 เพื่อเสนอให้รัฐสภาพิจารณา ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่า ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้กำลังเปลี่ยนหลักการของกฎหมายที่ได้ออกตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ที่เน้นการ “เปิดเผยเป็นหลัก ปกปิดเป็นข้อยกเว้น” กลายเป็น “ปกปิดเป็นหลัก เปิดเผยเป็นข้อยกเว้น” โดยร่าง พ.ร.บ. ที่ ครม.เสนอมีการแก้ไขเนื้อหาสาระสำคัญ 16 ประเด็น เช่น การเพิ่มนิยาม “ข้อมูลข่าวสารสาธารณะ” การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของราชการ การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารผ่านระบบดิจิทัล การกำหนดให้มีคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาต่าง ๆ ไปจนถึงวิธีการอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่ให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสาร 

นายณัฐวุฒิ กล่าวต่อว่า แต่สิ่งที่ตนได้ศึกษา และได้พูดคุยกับนักวิชาการหลายท่านเห็นตรงกันว่ามีเรื่องที่น่าห่วงอยู่หลายประการด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องข้อกำหนดที่ระบุว่าข้อมูลข่าวสารที่เป็นข้อมูลด้านความมั่นคงของรัฐ ด้านการทหาร ด้านการป้องกันประเทศ ไปจนถึงความมั่นคงของรัฐด้านอื่น ๆ ตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนดจะเปิดเผยไม่ได้ เรื่องนี้กลายเป็นผิดหลักธรรมาภิบาลและความโปร่งใสในการทำงานที่รัฐบาลเองพูดมาโดยตลอด เสมือนเป็นการตีเช็คเปล่าให้ ครม. กำหนด ซึ่งอาจมีการกำหนดจนทุกเรื่องกลายเป็นความมั่นคงของรัฐไปเสียหมด

นายณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า อีกเรื่องที่ตนประหลาดใจมาก คือ การที่กฎหมายจะกำหนดว่าหน่วยงานอาจปฏิเสธให้ข้อมูลหากเห็นว่าผู้ยื่นคำขอขอข้อมูลเป็นจำนวนมากหรือบ่อยครั้ง ถึงแม้จะพยายามบอกว่าเฉพาะกรณีก่อกวนการปฏิบัติงานหรือใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องมีการตีความ เรื่องนี้สะท้อนวิธีคิดที่ผิดมาก แทนที่หน่วยราชการจะยินดีที่ประชาชนสนใจในสิ่งที่ตนทำงาน แต่กลับมาหาว่าประชาชนเป็นปัญหาที่จะมาขอข้อมูล มิเช่นนั้นหน่วยราชการจะเก็บข้อมูลจำนวนมากไปทำไม หากไม่ให้ประชาชนใช้ได้ หรือกลัวประชาชนจะตรวจสอบได้ว่าหลายครั้งเป็นการใช้งบประมาณเกินจำเป็น

เรื่องการอุทธรณ์กรณีที่หน่วยราชการไม่ให้เปิดเผยต่อศาล ร่างกฎหมายนี้เขียนบังคับการทำหน้าที่ของศาลโดยได้ระบุว่าให้ศาลพิจารณาเป็นการลับและห้ามมิให้เปิดเผยเนื้อหาสาระของข้อมูล และวิธีการได้มาซึ่งข้อมูลในคำพิพากษาหรือคำสั่ง เรื่องนี้ในแต่ละศาลจะมีกฎหมายที่ระบุไว้อยู่และให้ศาลใช้ดุลยพินิจในการพิจารณาว่าเรื่องใดเป็นเรื่องลับและบันทึกข้อมูลแบบใด กฎหมายไม่ควรไปกำหนดแทรกแซงการทำหน้าที่ของศาล อีกทั้งให้มีการอุทธรณ์ได้ในศาลปกครองชั้นต้นเพียงชั้นเดียวและถือเป็นที่สุด จะทำให้ศาลปกครองสูงสุดไม่มีโอกาสได้ทบทวนและวินิจฉัยคดีวางบรรทัดฐานในการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารของราชการที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศ

อีกทั้ง ครม. เห็นว่าร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ เป็นกฎหมายที่ตราขึ้นตามรัฐธรรมนูญ หมวด 16 ว่าด้วยการปฏิรูปประเทศ ซึ่งระบุให้พิจารณาในที่ประชุมรัฐสภา โดยหลายกฎหมายที่ผ่านมาพบว่าฝ่ายรัฐบาลและวุฒิสภาจะพิจารณาและลงมติไปในทิศทางเดียวกันทั้งในชั้นรับหลักการวาระ 1 และชั้นพิจารณาวาระ 2 ทำให้หากจะมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงในเนื้อหาสาระที่ไม่ถูกต้องจึงเป็นเรื่องที่ยากมาก ดังนั้น นักวิชาการ ภาคประชาสังคม และประชาชน จะต้องช่วยกันส่งเสียงท้วงติงร่างกฎหมายฉบับนี้ตั้งแต่ตอนนี้

"จะเห็นว่า พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารของราชการ ต้องอยู่บนหลักการ “เปิดเผยเป็นหลัก ปกปิดเป็นข้อยกเว้น” ซึ่งร่าง พ.ร.บ.ที่ ครม. มีมติเห็นชอบนี้ไม่ได้อยู่บนหลักการดังกล่าว พรรคก้าวไกลจึงตั้งคณะทำงานศึกษาเนื้อหาสาระที่แก้ไข พร้อมเสนอความเห็นต่อที่ประชุม ส.ส. พิจารณาว่าควรจะรับหรือไม่รับหลักการกฎหมายฉบับนี้ต่อไป” นายณัฐวุฒิ กล่าว

“เทพไท”ข้องใจพรรคร่วมรัฐบาล ไม่เสนอแก้ รธน. ร่วมกัน อัดเป็นแค่ละครตบตา ปชช. หวังลดกระแสเคลื่อนไหว เสนอ “บิ๊กตู่” ชูธงนำ สยบ ม็อบ

เมื่อวันที่ 2 เมษายน นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง ความเคลื่อนไหวในการแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคร่วมรัฐบาลว่า ตอนนี้มีความชัดเจนเรื่องประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้วว่า จะมีการเสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา ทั้ง 2 กลุ่มโดยมีร่างของพรรคพลังประชารัฐที่จะแก้ไขใน 5 ประเด็น 13 มาตรา และในส่วนของพรรคร่วมรัฐบาลอีก 3 พรรค คือ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทยและพรรคชาติไทยพัฒนา ก็จะมีการเสนอญัตติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นรายฉบับ 

ซึ่งมีทั้งหมด 6 ประเด็น 6 ฉบับ นับว่าเป็นท่าทีของพรรคร่วมรัฐบาล ที่สร้างความแปลกใจให้กับประชาชนเป็นอย่างยิ่งจึงเกิดคำถามว่า ทำไมพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมดไม่เสนอญัตติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญร่วมกัน ทั้งที่ประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ที่พรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา ต่างก็เป็นพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน หรือต้องการให้พรรคร่วมรัฐบาลฟรีโหวตเหมือนตอนลงมติวาระ 3 ของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ถูกคว่ำมาแล้ว แต่ไม่มีใคร หรือพรรคการเมืองใดออกมาแสดงความรับผิดชอบเลย

“การเปิดโอกาสให้พรรคร่วมรัฐบาลแต่ละพรรคการเมือง สามารถเสนอญัตติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยอิสระ เป็นการแสดงความไม่จริงใจและไม่เอาจริงเอาจังในการผลักดันนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล เป็นการแสดงละครตบตาประชาชน เพื่อต้องการลดกระแสเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่กำลังเคลื่อนไหวการกดดันให้รัฐบาลอยู่ในตอนนี้ ถ้าหากรัฐบาลมีความจริงใจและต้องการให้นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลเป็นจริงในทางปฏิบัติ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล จะต้องเป็นผู้ชูธงนำการแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วยตัวเอง จะได้สยบความเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองภาคประชาชนที่ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญอยู่ในขณะนี้ด้วย” นายเทพไท กล่าว

ชินวรณ์เผย ผลหารือ 3 พรรค มอบ “ประชาธิปัตย์” ยกร่าง พร้อมหนุนแก้ รธน. เป็นรายมาตรา 

นายชินวรณ์ บุญยเกียรติ ส.ส.จังหวัดนครศรีธรรมราชพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานวิปพรรค ได้หารือร่วมกันกับตัวแทนกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ 3 พรรค ประกอบด้วย นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ พรรคประชาธิปัตย์ นายศุภชัย ใจสมุทร นายภราดร ปริศนานันทกุล พรรคภูมิใจไทย และนายนิกร จำนงค์ พรรคชาติไทยพัฒนา ซึ่งจากการหารือมีความเห็นร่วมกันที่จะเสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมเป็นรายมาตรา โดยจะแยกเสนอเป็นรายฉบับดังนี้ 

ฉบับที่ 1 ประเด็นมาตรา 256 แก้ไขจากยากให้ง่ายขึ้น โดยใช้เสียง 3 ใน 5  
ฉบับที่ 2 ประเด็นมาตรา 272 ส.ว. ไม่สิทธิ์โหวตนายกรัฐมนตรี
ฉบับที่ 3 ประเด็นหมวดสิทธิเสรีภาพและสิทธิชุมชน 
ฉบับที่ 4 ประเด็นหมวดการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐและธรรมาภิบาล 
ฉบับที่ 5 ประเด็นการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น 
และฉบับที่ 6 ประเด็นที่ระบบการเลือกตั้งเป็นระบบบัตร 2 ใบ 

ซึ่งจากการหารือได้มอบหมายให้พรรคประชาธิปัตย์ไปยกร่างและนำกลับมาหารือร่วมกันอีกรอบในสัปดาห์หน้า โดยคาดว่าจะเสนอต่อประธานรัฐสภาได้ในสมัยประชุมที่จะถึงนี้แน่นอน 

นายชินวรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กรณีพรรคพลังประชารัฐ ให้ ส.ส. ลงนามเสนอขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ใน 5 ประเด็น 13 มาตรานั้น ถือเป็นเรื่องที่ดี และได้คุยกับประธานวิปรัฐบาล นายวิรัช รัตนเศรษฐ์ และนายอนุชา นาคาศัย แล้วว่าประเด็นใดที่เห็นพ้องต้องกันก็พร้อมที่สนับสนุนกัน ในส่วน 3 พรรคที่หารือกันนั้นก็มีข้อสรุปตรงกันว่ายินดีร่วมมือกับทุกพรรครวมถึงภาคประชาชนด้วย เพื่อให้แก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศมีความเป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น

กรมท่าอากาศยาน ร่วมลงนาม MOU บันทึกข้อตกลงความร่วมมือการขับเคลื่อน “เปิดเมืองปลอดภัย จัดงานไมซ์มั่นใจ ด้วยมาตรฐาน”

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีลงนาม MOU บันทึกข้อตกลงความร่วมมือการขับเคลื่อน เปิดเมืองปลอดภัย จัดงานไมซ์มั่นใจ ด้วยมาตรฐานจัดขึ้นโดยสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) ร่วมกับหน่วยงานต่าง ที่เกี่ยวข้อง สำหรับกรมท่าอากาศยาน มีนายสมเกียรติ มณีสถิตย์ รองอธิบดีกรมท่าอากาศยาน (ด้านโครงสร้างพื้นฐาน) เข้าร่วมลงนามในพิธีดังกล่าว ในวันที่ 1 เมษายน 2564 ห้องแกรนบอลรูม ชั้น G โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กรุงเทพมหานคร

การลงนาม MOU ในครั้งนี้ มีหน่วยงานต่าง ทั้งหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน จำนวน 23 หน่วยงาน ประกอบด้วย หน่วยงานส่วนกลาง  ได้แก่ กรมอนามัย  สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) กรมท่าอากาศยาน กรมควบคุมโรค กรมการขนส่งทางบก กรมการท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หอการค้าไทย สมาคมโรงแรมไทย บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) สมาคมสายการบินประเทศไทย และหน่วยงานในระดับพื้นที่ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร จังหวัดขอนแก่น จังหวัดเชียงใหม่  จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดพิษณุโลก จังหวัดภูเก็ต จังหวัดสุราษฎร์ธานี จังหวัดสงขลา จังหวัดอุดรธานี และเมืองพัทยา ซึ่งมีเจตนารมณ์เพื่อร่วมกันส่งเสริมและสนับสนุนการจัดงานกลุ่มการจัดประชุมและนิทรรศการและการท่องเที่ยวในเมืองอย่างปลอดภัย  ด้านมาตรฐาน ด้านสุขอนามัยในสถานประกอบการและกิจกรรมต่าง อย่างเป็นระเบียบ และสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนผู้รับบริการ อันจะนำไปสู่การขับเคลื่อนและฟื้นฟูเศรษฐกิจทุกภูมิภาคทั่วประเทศไทย ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019

โดยมุ่งเน้นการยกระดับมาตรฐานระบบบริการและสถานประกอบการต่าง ใน 10 เมืองซิตี้ ซึ่งเป็นเมืองที่มีศักยภาพและความพร้อมในการจัดงาน  ภายใต้กรอบและแนวทางความร่วมมือ โดยมีการส่งเสริมสนับสนุน ขับเคลื่อนให้เกิดการจัดงานในกลุ่มจังหวัด ได้แก่ การประชุม สัมมนา การจัดการแสดงสินค้าและนิทรรศการ การท่องเที่ยว ใน 10 เมืองไมซ์ซิตี้ รวมถึงยกระดับมาตรฐานความสะอาด ปลอดภัย ป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019  ของสถานประกอบการและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องในระบบนิเวศน์ไมซ์ สนับสนุนและพัฒนาบุคลากร ด้านความรู้และเทคโนโลยี เพื่อยกระดับมาตรฐานความสะอาด และการประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนสถานประกอบการที่มีแนวทางปฏิบัติในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ดี และสร้างความร่วมมือในกิจกรรมต่าง ระหว่างหน่วยงาน

นายสมเกียรติ กล่าวเพิ่มเติมในส่วนของกรมท่าอากาศยาน จะให้ความร่วมมือในกรณีการเดินทางในอุตสาหกรรมไมซ์และระบบนิเวศน์ให้ปลอดภัยและเพียงพอ  รวมทั้งมีมาตรการในการควบคุม กำกับติดตามการบังคับใช้มาตรการและแนวปฏิบัติสำหรับการเดินทางให้ปลอดภัย  และจะดำเนินการเผยแพร่มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ท่าอากาศยานที่อยู่ในความดูแลของ ทย. จำนวน 29 ทั่วประเทศ เพื่อให้การลงนามในครั้งนี้เป็นไปตามเจตนารมณ์และเกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน 

เข้าเรื่องแบบฉับไว....วันนี้เอย่ามีเรื่องแนวเลือดข้น คนจางฉบับเมียนมาให้ทราบ...

ฮันเลย์ (HAN​ LAY)​ ชื่อนี้สำหรับคนไทยอาจจะนึกถึงนางงามเมียนมาที่ออกมาบีบน้ำตาพร่ำเรียกแขกพร้อมกับวลีที่ตามมาว่า​ "ฉันกลับประเทศฉันไม่ได้แล้ว"

แต่ในสายตาของคนเมียนมาอย่างเอย่าแล้ว 'ฮันเลย์'​ คือ​ ดารา นางแบบสาวอดีตหวานใจของหนุ่ม​'อ่องเลย์'​ ก่อนที่จะเลิกรากันไป

Han Lay (ภาพขวา) กับอดีตหวานใจ Aung Lay ก่อนเลิกรากัน

 

ในช่วงหลายวันที่ผ่านมาเอย่าพยายามจะดูข่าวว่ามิสแกรนด์เมียนมาผู้เก่งกล้าของเรานั้นจะพยายามกลับมาอยู่เคียงข้างคนเมียนมาในการร่วมสู้ไหม?

แต่ปรากฎว่าเปล่าเลย​ แทนที่นางจะรีบกลับมาเมียนมาร่วมสู้กับพี่น้องชาวเมียนมา​ แต่นางเลือกที่จะอยู่ประเทศไทยต่อ โดย คุณณวัฒน์ อิสรไกรศีล ก็ไม่รอช้ารีบพยายามหางานให้นาง​ เพื่อให้นางสามารถต่อวีซ่าได้อีก 3 เดือน

สำหรับสายตาคนไทยนางอาจจะเป็นนางฟ้ายอดคุณธรรม​ แต่ในสายตาคนเมียนมาแล้ว 'นางคือคนที่ตัดช่องน้อยหนีเอาตัวรอดไปคนเดียว'​ โดยในส่วนที่พูดอะไรออกไปบนเวทีนั้น เพื่อหาความชอบธรรมในการที่จะไม่ต้องเดินทางกลับประเทศเมียนมาหรือเปล่า?

ปัจจุบันในเมียนมาแทบจะเรียกได้ว่ามีการประท้วงกันแทบทุกอาทิตย์ ในส่วนของดาราหลายๆ คนที่เข้าร่วมการชุมนุม​ ก็มีการลงภาพแบบถี่ๆ

(ซ้าย) Wutt Hmone Shewyi ดาราหญิงจาก From Bangkok to Mandalay

(ขวา) Khin Wint Wah Miss Supranational 2013 และ ติดอันดับ 60 ของสาวหน้าสวยที่สุดในโลกปี 2020 ของ TC Candler

 

(ซ้าย) Sai Sai Kham Leng นักร้อง นักแสดง จากภาพยนตร์ From Bangkok to Mandalay

(ขวา) Paing Takhon นักแสดงและนายแบบชื่อดังและติด 1 ใน 100 นายแบบที่หล่อที่สุดในโลกของ TC Candler

 

แต่ในขณะที่เอย่าไปดู Instagram ของ Han Lay ในชื่อ hann_may ซึ่งน่าจะเป็น Official Instagram ของนางกลับพบว่า Han Lay เธอแทบไม่เคยโพสอะไรที่เกี่ยวกับการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยในเมียนมาก่อนที่จะมีภาพเธอไปยืนโศกาบนเวทีเลย แล้วแบบนี้จะให้เราเชื่อได้อย่างไรว่าน้ำตาที่เธอหลั่งออกมานั้นเป็นน้ำตาแห่งความเสียใจหรือน้ำตาจระเข้

ภาพบางส่วนจาก Official Instagram ของ Han Lay

 

อย่างว่าแหละค่ะ เราจะรู้ว่าใครที่เป็นคนรักชาติ หรือรักประชาธิปไตยรึเปล่า? มันสื่อได้จากการแสดงออก แต่จากการแสดงออกของเธอ ไม่ได้บ่งบอกเลยว่าเป็นคนที่ต้องการให้เกิดประชาธิปไตยจริงๆ

น้ำตาของคุณมันก็แค่การแสดงฉากหนึ่งเพื่อให้คุณได้สิทธิพิเศษคือการได้ลี้ภัยอยู่ในประเทศไทยอันสงบสุขนั่นเอง


ที่มา: AYA IRRAWADDEE

ตำรวจเตรียมออกหมายจับ 'ฟอร์ด ทัตเทพ' หลังไม่มารายงานตัว คดีหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ตาม ป.อาญา ม.112 กรณีผู้ต้องหาจัดชุมนุมและปราศรัยในกิจกรรม ‘ไปสภาไล่ขี้ข้าศักดินา’

เมื่อวันที่ 1 เม.ย.64 ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก น.ส.ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล หรือมายด์, น.ส.จุฑาทิพย์ ศิริขันธ์ หรืออั๋ว, นายชนินทร์ วงษ์ศรี หรือบอล และนายเกียรติชัย ตั้งภรณ์พรรณ หรือบิ๊ก แกนนำและแนวร่วมเครือข่ายผู้ชุมนุมกลุ่มราษฎร - เยาวชนปลดแอก เดินทางมารายงานตัวอัยการตามที่พนักงานสอบสวน สน.บางโพ นัดส่งตัวพร้อมสำนวนให้อัยการ คดีหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ตาม ป.อาญา ม.112, มั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปก่อความวุ่นวายฯ ม.215 และฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ กรณีผู้ต้องหาจัดชุมนุมและปราศรัยในกิจกรรม #ไปสภาไล่ขี้ข้าศักดินา ที่หน้ารัฐสภาเมื่อวันที่ 24 ก.ย. 2563

โดยนางสาวภัสราวลี และนางสาวจุฑาทิพย์ ยืนยันว่า การถูกแจ้งข้อกล่าวหาโดยเฉพาะการแจ้งความผิดตามมาตรา112 เกิดจากกรณีที่มีการปราศรัยเกี่ยวกับการร่างรัฐธรรมนูญและมีการนำเสนอเกี่ยวข้อเรียกร้องในการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งที่ความเป็นจริงส่วนตัวเชื่อว่าเนื้อหาการปราศรัยมีเจตนาที่จะก่อให้เกิดผลดีต่อสถาบันฯ

แต่ทั้งนี้ยอมรับว่า ค่อนข้างเป็นกังวลหากคดีถูกนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมหรือกระบวนการการพิจารณาคดีมีความล่าช้าไป เนื่องจากหลายคนที่ถูกตั้งข้อกล่าวหายังมีภาระหน้าที่ การเรียนการศึกษาต้องรับผิดชอบ

ทั้งนี้ แกนนำทั้ง 2 คน ยังยืนยันที่จะสนับสนุนแนวทางการเคลื่อนไหวของทุกกลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยและขอเป็นกำลังใจให้ทุกการต่อสู้

ต่อมา ภายหลังกระบวนการส่งสำนวนและรายงานตัวเสร็จสิ้น พนักงานอัยการได้นัดฟังคำสั่งคดีในส่วนของ น.ส.ภัสราวลี, น.ส.จุฑาทิพย์, นายชนินทร์ และนายเกียรติชัย 4 ผู้ต้องหา เป็นวันที่ 21 พ.ค. 2564 เวลา 10.00 น.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ส่วนกรณีนายทัตเทพ เรืองประไพกิจเสรี หรือ ฟอร์ด แกนนำเยาวชนปลดแอก ผู้ต้องหาที่ไม่ปรากฏตัวเดินทางมารายงานตัวอัยการวันนี้ ทางพนักงานสอบสวน สน.บางโพ เตรียมยื่นขออำนาจศาลออกหมายจับต่อไปภายในสัปดาห์หน้า


สนับสนุนข่าวโดย : รับข้อเสนอพิเศษมอเตอร์โชว์ ในงาน Mazda Motor Show สัมผัสปิกอัพใหม่ All-New Mazda BT-50 และยนตรกรรมสกายแอคทีฟจากมาสด้า ดอกเบี้ยต่ำสุด 0%* รับประกันคุณภาพรถสูงสุด 5 ปี* และบัตรเติมน้ำมัน 10,000 บ.* 24 มี.ค. 64 - 4 เม.ย. 64 ที่บูธและโชว์รูมทั่วประเทศ

ชง กรุงเทพฯ เปิดรับต่างชาติไม่กักตัว เริ่ม ต.ค.นี้

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า กระทรวงการท่องเที่ยวฯ เตรียมหารือกับกระทรวงสาธารณสุข และศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) เพื่อขอให้จัดสรรวัคซีนป้องกันไวรัสโควิดมาฉีดให้กับคนกรุงเทพฯ ภายในเดือน ก.ย.นี้ หลังจากกระทรวงการท่องเที่ยวฯ เตรียมเสนอให้กรุงเทพฯ เข้ามาเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่จะเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนแล้วเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศเริ่มต้นตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564 เป็นต้นไป เนื่องจากกรุงเทพฯ ถือเป็นเมืองหลักที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาจำนวนมาก จึงต้องมีการฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับคนส่วนใหญ่ก่อน

“จากนี้อีก 4 เดือนข้างหน้า คือ มิ.ย. – ก.ย. รัฐบาลจะนำเข้าวัคซีนมาเพิ่มอีก 36 ล้านโดส กระทรวงการท่องเที่ยวฯ จะหารือกับสาธารณสุข และศบค. ขอกันวัคซีนต้านโควิดมาฉีดให้กับคนในกรุงเทพฯ ก่อน ซึ่งถือเป็นเป้าหมายต่อไปในการดำเนินการ เพราะในช่วงสิ้นเดือนก.ย.64 ถ้าสามารถฉีดวัคซีนต้านไวรัสให้กับคนในกรุงเทพฯ ได้กว่า 60% แล้ว ทำให้เมื่อเข้าไตรมาส 4 หรือเดือนตุลาคม ซึ่งกำหนดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาเที่ยวไทยแบบไม่ต้องกักตัว จะสามารถเพิ่มพื้นที่รองรับในส่วนของกรุงเทพฯ เข้าไปเป็น 7 จังหวัดนำร่องด้วย”

นายพิพัฒน์ กล่าวว่า กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ยังเตรียมเสนอให้มีการผ่อนปรนให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมายังจ.ภูเก็ต ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม เป็นต้นไป อาจเดินทางไปยังจังหวัดนำร่องอื่น ๆ ได้ เช่น เดินทางไปเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ได้หรือไม่ในช่วงที่ยังกักตัวอยู่ในพื้นที่ภูเก็ต 7 วัน เพราะช่วงเวลานั้นเป็นช่วงมรสุมฝั่งอันดามัน โดยอาจมีการสนับสนุนค่าเดินทางท่องเที่ยวในพื้นที่เกาะนั้น ๆ ในระยะสั้น เช่น ลดราคาค่าเครื่องบิน หรือร่วมกับโรงแรมจัดโปรโมชั่น หรือการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สนับสนุนค่าใช้จ่าย แต่ทั้งหมดต้องไปหารือกันให้ได้ข้อสรุปก่อน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top