Friday, 5 July 2024
POLITICS

‘บิ๊กป้อม’ แจง จนท.ดูแลเรียบร้อย หลังมาเลฯผลักคนขาดวีซ่าเข้าประเทศ พร้อมมาตรการโควิด “เผย”รับทราบ ส.ส. สุโขทัยติดโควิดหลังร่วมงานเดียวกับสมศักดิ์

วันที่ 23 เมษายน พ.ศ.2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีคนไทยเดินทางกลับไทยหลังมาเลเซียขีดเส้นตายให้คนที่วีซ่าขาดออกจากประเทศก่อน วันที่ 21 เมษายน ว่า ให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องดูแลเรียบร้อยแล้วร่วมทั้งได้มีมาตรการป้องกันโควิด-19 ที่กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนด ทั้งนี้ในส่วนของรัฐบาลได้มีการคุมเข้มผู้กระทำความผิดลักลอบเข้าเมืองอยู่แล้ว 

ยืนยันว่าไม่มีปัญหาอะไร อย่างไรก็ตามได้รับทราบรายงานแล้วว่านายชูศักดิ์ คีรีมาศทอง ส.ส.สุโขทัย พรรคพลังประชารัฐ ติดเชื้อโควิด-19 หลังร่วมงานเดียวกับนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ซึ่งคนป่วยเขาต้องดำเนินการตามมาตรการสาธารณสุข และคงไม่ต้องกำชับส.ส. เพราะเขารู้ตัวกันอยู่แล้ว เป็นถึง ส.ส.ก็ต้องดำเนินการตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขที่ได้ออกข้อกำหนดมา ทุกคนก็ระมัดระวังตัวเองอยู่แล้ว

"ศรีสุวรรณ" ยื่นผู้ตรวจฯ ชงส่งศาลปกครองปมอัยการไม่ฟ้อง"ธนาธร" คดีถือหุ้นสื่อชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

เมื่อวันที่ 23 เมษายน พ.ศ.2564 ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นหนังสือถึงผู้ตรวจฯ กรณีที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญามีคำสั่งไม่ฟ้องนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เพื่อขอให้เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นไปยังศาลปกครองว่าการที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญามีคำสั่งไม่ฟ้องนายธนาธร ถือว่าเป็นคำสั่งหรือการกระทำอื่นใดของหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ อันมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย เป็นคำสั่งทางปกครองที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา231(2) ประกอบ มาตรา230(2) 

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า สืบเนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยในคำวินิจฉัยที่ 14/2562 แล้วว่า นายธนาธร เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ซึ่งประกอบกิจการสื่อมวลชนอยู่ในวันที่ 6 ก.พ.62 ซึ่งเป็นวันที่พรรคอนาคตใหม่ยื่นบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)อันเป็นลักษณะต้องห้ามมิให้นายธนาธรใช้สิทธิรับสมัครเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญ มาตรา98(3) ทำให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของนายธนาธรสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มสตรา101(6) ประกอบ มาตรา98(3) ย่อมเห็นได้ว่าน่าจะเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2561 มาตรา151 โดยชัดแจ้ง

ซึ่งเมื่อ กกต.ได้แจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ดำเนินคดีแก่นายธนาธรตามบทบัญญัติของ มาตรา151 ดังกล่าวแล้ว พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนแล้วมีความเห็นให้สั่งฟ้องนายธนาธร และส่งสำนวนให้พนักงานอัยการพร้อมนำตัวนายธนาธรไปส่งให้พนักงานอัยการ เมื่อวันที่ 12 ม.ค.64 ต่อมาพนักงานอัยการนัดฟังคำสั่งว่า จะสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้องในวันที่ 19 ก.พ.64 แต่เมื่อถึงวันนัดได้เลื่อนนัดมาฟังคำสั่งในวันที่ 22 เม.ย.64 ที่ผ่านมา โดยปรากฎว่า โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ได้ออกมาเปิดเผยว่า จากการตรวจสอบทราบมาว่า “คดีนี้พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญามีคำสั่งไม่ฟ้องนายธนาธร”

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า การที่สำนักงานคดีอาญามีคำสั่งไม่ฟ้องนายธนาธรดังกล่าวอาจขัดหรือแย้งต่อ รัฐธรรมนูญ2560 มาตรา 211 วรรคสี่ ที่บัญญัติไว้ชัดเจนว่า คําวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ

สภาฯระดม ทำความสะอาดห้องนักข่าว-ห้องแถลงข่าว ป้องกันโควิด-19 หลังพบ จนท.ฝั่งส.ว.ติดเชื้อ 1 ราย ขณะร่วมงานโครงการ "Senate Food ส.ว.มาแล้ว"

เมื่อวันที่ 23 เมษายน พ.ศ.2564 ที่รัฐสภา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักรักษาความปลอดภัย สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้นำพนักงานทำความสะอาดจำนวนหนึ่งมาดำเนินการทำความสะอาด โดยมีการพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโรค และน้ำยาทำความสะอาดบนพื้น โต๊ะ เก้าอี้ ประตู โพเดียมแถลงข่าวภายในห้องทำงานของสื่อมวลชนประจำรัฐสภา และห้องแถลงข่าว บริเวณชั้น 1 อาคารรัฐสภา เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่มีความรุนแรงมากขึ้นในขณะนี้

รวมถึงเมื่อวันที่ 22 เม.ย. ที่ผ่านมามีสื่อมวลชนและช่างภาพบางส่วนไปร่วมทำข่าวโครงการจิตอาสาเพื่อสังคมของวุฒิสภา ขับรถจักรยานยนต์ส่งอาหารในโครงการ "Senate Food ส.ว.มาแล้ว" เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ซึ่งมีสมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.)และบุคลากรสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา เข้าร่วมกิจกรรมจำนวนมาก โดยทราบต่อมาภายหลังว่ามีพนักงานทำความสะอาดเพศชาย ที่ทำงานฝั่งสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภามาร่วมกิจกรรมโครงการจิตอาสาเพื่อสังคมของวุฒิสภาในการขับรถจักรยานยนต์ส่งอาหาร ติดเชื้อโควิด -19 จำนวน 1 ราย

"แรมโบ้" ขอ "หมอชลน่าน" อย่าเอาข้อมูลเท็จมาโจมตีนายกฯ สร้างความเข้าใจผิด ยัน! บิ๊กตู่ ไม่เอาความเดือดร้อนของประชาชนมาเกี่ยวข้องกับการเมือง มีแต่ฝ่ายค้านที่ทำกับประชาชนได้ลงคอ

เมื่อวันที่ 23 เมษายน พ.ศ.2564 นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึง กรณี นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.จังหวัดน่าน พรรคเพื่อไทย บอกว่าระบอบประยุทธ์ ทำลายระบบสาธารณสุขไทย พร้อมเรียกร้องให้ชี้แจงใครกั๊กวัคซีน 1.4 แสนโดส ว่า แค่ตัวเลขก็ไม่ตรง ไม่รู้ว่าเจตนาบิดเบือนทำหายไปเอง 2 แสนโดส หรือว่าไม่ติดตามข่าวสาร จนตกข่าว แล้วมาใส่ร้ายรัฐบาล เรื่องการบริหารจัดการวัคซีน ศบค.มีการชี้แจงไปแล้ว ว่าการฉีดวัคซีนโควิด-19 ทั้งเข็ม 1 และ 2 ในพื้นที่ 77 จังหวัด ตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ.- วันที่ 21 เม.ย. 64 ฉีดแล้ว 864,840 โดส แบ่งเป็นผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 จำนวน 746,617 ราย และผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 จำนวน 118,223 ราย และเมื่อวันที่ 21  เม.ย.วันเดียวฉีดได้กว่า 152,230 โดส ที่สำคัญถ้า นพ.ชลน่าน ยังมีความรู้ จิตวิญญาณความเป็นหมอหลงเหลืออยู่ ก็ควรจะรู้ว่าหมอและพยาบาลกำลังทุ่มเทอย่างหนักในการรักษาผู้ป่วยและดูแลผู้เสี่ยงติดเชื้อจากคลัสเตอร์ช่วงก่อนสงกรานต์ รวมทั้งยังต้องเร่งตรวจเชิงรุกและควบคุมการแพร่ระบาดอยู่ ควรเห็นใจและให้กำลังใจเพื่อนวิชาชีพเดิมของตนด้วย 

นายเสกสกล กล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลเดินหน้าเจรจาและหารือกับบริษัทผลิตวัคซีนอีกหลายยี่ห้อ ทั้งเรื่องราคาและเงื่อนไข โดยร่วมกับภาคเอกชนจัดหาวัคซีนทางเลือกเพิ่มเติมอีก ประมาณ 35 ล้านโดส ซึ่งคาดว่าจะทำให้มีวัคซีนเพื่อคนไทย 100 ล้านโดส ภายในปลายปี 2564 นี้ อีกด้วย

“ที่หมอชลน่านบอกว่าระบอบประยุทธ์ทำลายระบบสาธารณสุขของไทยนั้น ผมไม่เห็นว่ามีอะไรที่เป็นระบอบดังกล่าว อย่าพยายามประดิษฐ์วาทกรรมสร้างความแตกแยก สิ่งที่หมอชลน่านพูดน่าจะหมายถึง หลักคิดในการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เน้นการป้องกัน สมเหตุสมผล มีวิสัยทัศน์ และบูรณาการพลังทางสังคม ซึ่งนำมาสู่ความสำเร็จถึงสองครั้งในการรับมือและแก้ปัญหาวิกฤตโควิด จนเป็นที่ยอมรับของนานาขาติ และองค์กรระดับโลก อย่างองค์การอนามัยโลก (WHO) และองค์การสหประชาชาติ (UN) ที่ชื่นชมและยกให้แนวทางการรับมือและแก้ไขปัญหาโควิดของไทยเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ประชาคมโลก แบบนี้ต่างหากที่เรียกว่าระบอบประยุทธ์ ส่วนที่หมอชลน่านพูดน่าจะเป็นคำชมมากกว่า ขอร้องหมอชลน่านอย่า ปั้นน้ำเป็นตัว เอาข้อมูลผิดเพี้ยน มาโจมตีการบริหารจัดการวัคซีนของรัฐบาล กล่าวหานายกฯ หรือสร้างความสับสนให้กับประชาชน ขอให้รอดูสถาการณ์ก่อน ไม่ใช่พอมีวิกฤตขึ้นมาพรรคเพื่อไทย ฝ่ายค้านก็เรียงหน้าออกมากล่าวหา โจมตีนายกฯทันที แบบนี้น่าจะเรียกฝ่ายแค้น ไม่ให้โอกาสนายกฯ และเจ้าหน้าที่ได้ทำงานเลย ออกมาโจมตีรายวันอย่างไร้ข้อเท็จจริง เกรงว่าจะเป็นการบั่นทอนขวัญและกำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ได้ทำงานอย่างหนักในการช่วยประชาชน อย่างทุ่มเทและเสียสละ”นายเสกสกลกล่าว

นายเสกสกล กล่าวว่า การนำงบประมาณแจกจ่ายให้กับประชาชนนั้นก็เพื่อเป็นการช่วยเหลือให้บรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น ขออย่ามองเป็นเรื่องทางการเมืองเพื่อหาคะแนนเสียง เพราะนายกฯไม่เอาความเดือดร้อนของประชาชนมาเกี่ยวข้องกับการเมือง เรื่องแบบนี้มีแต่พรรคฝ่ายค้านเท่านั้นที่ทำกับประชาชนได้ลงคอ ที่สำคัญยามคับขันเช่นนี้ ประชาชนต้องการผู้กล้าหาญ ไม่ต้องการคนพูดพล่าม ประเทศชาติต้องการบัณฑิต ไม่ใช่จระเข้ขวางคลอง หมอชลน่านเป็นหมอ อย่าทำตัวเป็นคนหัวหมอดีกว่า เดี๋ยวประชาชนจะเรียกว่า"หัวหมอชลน่าน"และจะถูกคนตำหนิติเตียนให้เสื่อมเสียชื่อเสียงได้

“บิ๊กตู่” กำชับ ทุกหน่วยดูแลคนไทย ออกจากมาเลเซีย สั่งคุมเข้มช่องทางธรรมชาติ สกัดโควิด ลั่น พร้อมช่วยทุกคนกลับบ้าน วอนอย่าลักลอบข้ามแดน

เมื่อวันที่ 23 เมษายน พ.ศ.2564 รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ห่วงใยคนไทยที่พำนักในประเทศมาเลเซียเกินกำหนด และทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง(ตม.)มาเลเซีย กำหนดให้ วันที่ 21 เมษายน 2564 ที่ผ่านมา เป็นวันสุดท้ายที่ชาวต่างชาติจะได้รับการผ่อนปรนไม่ถูกดำเนินคดี ทจึงสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งช่วยเหลืออำนวยความสะดวกคนไทยให้ทุกคนได้กลับบ้าน ขอให้สบายใจและอย่าลักลอบเข้าทางช่องทางธรรมชาติ เพราะอาจนำไปสู่การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ในวงกว้าง 

สำหรับด่านพรมแดนทางบก เปิดให้คนไทยเดินทางเข้าประเทศทุกวันจันทร์ พุธ ศุกร์ โดยมีโควต้าจำนวนผู้ลงทะเบียนกลับ ขณะนี้ยังมีที่ว่างเพียงพอ และในช่วงปีที่ผ่านมามีคนไทยเดินทางกลับจากมาเลเซีย ทั้งที่ถูกและไม่ถูกกฏหมายจำนวนมาก ผู้เดินทางทุกคนได้รับการตรวจคัดกรองโควิด19 และกักกันตัวในสถานที่ที่รัฐจัดให้ หากรายใดมีอาการผิดปกติจะถูกส่งตัวไปรักษายังโรงพยาบาลทันทีและทำการตรวจหาเชื้อ และการจัดหาเตียงเพื่อรองรับผู้ป่วยโควิด19 ทั้งเตียงในโรงพยาบาล โรงพยาบาลสนาม และสถานพยาบาลที่เป็นโรงแรม ในจังหวัดชายแดนใต้ มีประมาณ 2,000 เตียง 

ขณะที่ เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงได้เพิ่มมาตรการในการเฝ้าระวังอย่างเข้มข้น เพิ่มกำลังพลลาดตระเวนตามแนวชายแดนไทย-มาเลเซีย เสริมกำลังตามด่านตรวจจุดตรวจ เส้นทางหลัก เส้นทางรอง บูรณาการการปฎิบัติงานร่วมกันทั้ง 3 ฝ่าย ระหว่างเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจและฝ่ายปกครอง ตลอดจนอาสาสมัครประจำถิ่นและผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่น เครือข่าย อสม. เพื่อสกัดกั้นการลักลอบเข้าเมืองตามช่องทางธรรมชาติ

นางสาวรัชดา กล่าวว่า สถานทูตไทยในมาเลเซีย ขอให้คนไทยที่พำนักเกินกำหนด ตั้งแต่วันที่1ม.ค.2563 และยังไม่เดินทางออกจากมาเลเซีย รีบลงทะเบียนเดินทางกลับที่เว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศโดยเร็วที่สุด (http://dcaregistration.mfa.go.th) และนำใบรับรองการเดินทางจากสถานทูตฯ ไปติดต่อตม. มาเลเซียโดยเร็ว เพื่อขอ special pass นำไปยื่นต่อเจ้าหน้าที่ด่านพรมแดนในการขอเดินทางออกจากมาเลเซีย ส่วนจะมีค่าปรับด้วยหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ที่จะพิจารณาจากเหตุผลที่ยังไม่เดินทางกลับ 

ส่วนคนไทยที่พำนักเกินกำหนด ก่อนวันที่ 1 ม.ค.2563 หรือก่อนช่วงสถานการณ์โควิด-19 หรือเข้าเมืองผิดกฎหมาย จะไม่ได้รับการยกเว้นโทษในฐานะคนตกค้าง เนื่องด้วยสถานการณ์โควิด19 กฎหมายมาเลเซียได้กำหนดโทษปรับไม่เกิน 10,000 ริงกิต หรือจำคุกไม่เกิน 5 ปี ดังนั้น คนไทยที่เข้าข่ายนี้ทางสถานทูตฯแนะนำให้เข้าร่วมโครงการ Recalibration Program (Repatriation) โดยทำนัดหมายกับตม. มาเลเซีย เพื่อชำระค่าปรับ 500 ริงกิต และจะได้รับ special pass เพื่อใช้เดินทางกลับไทย และจะไม่ถูกจับกุมดำเนินคดี ยกเว้นรัฐซาบาห์ รัฐซาราวัก และเขตปกครองพิเศษลาบวน ซึ่งจะประกาศรายละเอียดโครงการต่างหาก ทั้งนี้ จะต้องเดินทางออกจากมาเลเซียภายในวันที่ 30 มิ.ย. 2564 และควรนัดหมายกับตม. มาเลเซียเพื่อไปชำระค่าปรับแต่โดยเร็วเนื่องจากคิวการนัดหมายมีจำนวนจำกัดในแต่ละวัน

“จุรินทร์” เชื่อโควิด-19 ไม่กระทบแก้ รธน. ขี้เป็นสัญญาณดีมี ส.ว.ส่วนหนึ่งหนุนแก้ม.272 ตัดอำนาจสภาสูงโหวตเลือกนายกฯ

เมื่อวันที่ 23 เมษายน พ.ศ.2564 ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงความพยายามดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19  ว่า  ที่จริง การพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญจะเริ่มขึ้นได้ต่อเมื่อเปิดการประชุมสภาสมัยสามัญแล้ว แต่ในระหว่างนี้เป็นช่วงการเตรียมการสำหรับการยกร่างและการหารือกับตัวแทนของพรรคร่วมรัฐบาลที่สนใจจะร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ในการยื่นญัตติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคภูมิใจไทยและพรรคชาติไทยพัฒนาที่มีความคิดเห็นในเบื้องต้นคล้ายคลึงกับพรรคประชาธิปัตย์ ช่วงนี้ก็จะได้มีการแลกเปลี่ยนความเห็นกัน โดยพรรคประชาธิปัตย์ได้ยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเสร็จแล้ว 6 ฉบับ และจะนำไปพิจารณาร่วมกับทั้งสองพรรค ทั้งนี้ตนคิดว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังไม่ถึงขั้นที่จะส่งผลกระทบกับการเดินหน้าเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะถึงอย่างไรจะต้องรอการพิจารณาเมื่อเปิดการประชุมสภาสมัยสามัญ

นายจุรินทร์ กล่าวอีกว่า  นอกจากนี้ยังมีสัญญาณที่ดีจากกรณีที่มี ส.ว.จำนวนหนึ่งที่แสดงความเห็นด้วยกับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 ในเรื่องที่จะให้ส.ว.มีหน้าที่เฉพาะการควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน แต่ไม่จำเป็นต้องมีอำนาจในการร่วมลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี เพราะการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีควรเป็นหน้าที่ของ ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน เท่านั้นมากกว่า ถ้า ส.ว.จำนวนหนึ่งเห็นด้วยกับการแก้มาตรา 272 ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี และเป็นสัญญาณที่ดี แสดงให้เห็นว่าส่วนหนึ่งก็มีความเห็นใกล้เคียงกับพรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคที่จะร่วมเสนอกันต่อไปในอนาคต

เมื่อถามว่าสัญญาณที่ดีดังกล่าวจะทำให้การผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้มีโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้นหรือไม่  หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า  ก็เป็นไปได้ เพราะการจะทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญสำเร็จได้ นอกจากจะต้องใช้เสียงสมาชิกเกินกึ่งหนึ่งของที่ประชุมร่วมรัฐสภา คือ ส.ส.และ ส.ว. รวมกันแล้ว ในส่วนตรงนั้นต้องมีเสียงส.ว.ไม่ต่ำกว่า 1 ใน 3  และต้องมีเสียง ส.ส.ฝ่ายค้านจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 มาประกอบด้วย เพราะฉะนั้น ถ้าเราได้เสียงส.ว.จำนวนเกินกว่า 1 ใน 3 เห็นชอบด้วย ก็จะทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญประสบผลสำเร็จได้

‘อนุทิน’ เผยผลเจรจา ‘ผู้แทนไฟเซอร์ สำเร็จด้วยดี ได้โควตา 10 ล้านโดส แต่ไม่กำหนดเวลาส่งมอบ ด้านกระทรวงสาธารณสุขยันพร้อมแก้ไขระเบียบให้จัดซื้อเร็วขึ้น แม้ไม่ลงทะเบียนก็ตาม

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข โพสต์เฟซบุ๊ก อนุทิน ชาญวีรกูล ระบุว่า ได้พบผู้แทนบริษัทไฟเซอร์ เจรจาจัดซื้อวัคซีนให้ประชาชน ผู้แทนบริษัทฯ แจ้งว่าพร้อมจัดหาวัคซีนให้ประเทศไทย จำนวน 10 ล้านโดส แต่ยังไม่สามารถกำหนดเวลาที่แน่ชัดได้

จึงขอให้บริษัทฯ รีบจัดทำกำหนดการส่งมอบโดยด่วน พร้อมทั้งราคา และเงื่อนไขต่าง ๆ โดยละเอียด เพื่อประกอบการพิจารณาจัดซื้อของกระทรวงสาธารณสุข

ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันว่าพร้อมจะปรับแก้กฎระเบียบต่าง ๆ ให้จัดซื้อได้เร็วขึ้น แม้จะยังไม่มาขึ้นทะเบียน ก็สามารถซื้อได้ด้วยการใช้กฎหมายพิเศษจัดซื้อวัคซีนในสถานการณ์ฉุกเฉิน

การเจรจาครั้งแรกกับผู้แทนบริษัทไฟเซอร์ เป็นไปด้วยดี และคาดว่าบริษัทจะจัดหาวัคซีน ให้ประเทศไทยได้โดยเร็ว


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

‘บิ๊กตู่’ ปลื้ม รัสเซีย ตอบรับเจรจานำเข้าวัคซีน ‘สปุ๊ตนิค วี (Sputnik V) แล้ว หลังสั่งการให้กระทรวงต่างประเทศเจรจาขอซื้อตรงกับรัฐบาลรัสเซีย พร้อมมอบหมายกระทรวงสาธารณสุขนัดหารือบริษัทตัวแทนเร่งด่วน

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กโดยระบุว่า ตามที่ได้สั่งการกระทรวงการต่างประเทศ เจรจาหารือกับรัฐบาลรัสเซียโดยตรง เรื่องวัคซีนสปุตนิค วี (Sputnik V) ในรูปแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) เพิ่มมาอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาที่ผ่านมา ปัจจุบัน กระทรวงการต่างประเทศได้รับคำตอบจากรัสเซียว่า ประธานาธิบดีรัสเซีย ยินดีให้การสนับสนุนรัฐบาลไทยในเรื่องดังกล่าว เนื่องด้วยไทยและรัสเซียมีความสัมพันธ์ที่ดีมาอย่างยาวนาน และมีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องกับรัฐบาลปัจจุบัน

"ผมจึงได้สั่งการให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการต่อไปให้เป็นรูปธรรม และได้รับทราบว่ากระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินการ ตามสั่งการแล้วโดยได้นัดบริษัทตัวแทนสปุตนิคในไทย มาหารืออย่างเร่งด่วนแล้วครับ" นายกฯ กล่าว


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

‘พรรคกล้า’ ออกแถลงการณ์ 3 ข้อเสนอถึงรัฐบาลไทย แสดงท่าทีในเวทีสุดยอดผู้นำอาเซียนนัดพิเศษ

‘พรรคกล้า’ ออกแถลงการณ์ 3 ข้อเสนอถึงรัฐบาลไทย แสดงท่าทีในเวทีสุดยอดผู้นำอาเซียนนัดพิเศษ “ชี้ความรุนแรงในเมียนมา กระทบชายแดนไทย-ประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งมิติความมั่นคง-การจัดการโควิด19”, “ไม่สนับสนุนการใช้ความรุนแรงในเมียนมา เสี่ยงต่างชาติแทรกแซง”, “เสนอ รัฐบาลทหารเมียนมา-รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ ใช้อาเซียนเป็นตัวกลาง หาทางออกด้วยวิธีทางการเมือง"

พรรคกล้า ออกแถลงการณ์ข้อเสนอถึง “รัฐบาลไทย” ต่อ “การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนนัดพิเศษ” ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 24 เมษายนนี้ ที่สำนักเลขาธิการอาเซียน กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย โดยมีเนื้อหาว่าการรัฐประหารในประเทศเมียนมา (1 ก.พ. 2564) มาถึงวันนี้ผ่านมาเป็นระยะเวลา 2 เดือนเศษ เกิดเหตุการใช้ความรุนแรง และมีแนวโน้มที่จะบานปลายไปสู่การสู้รบระหว่างรัฐบาลทหารกับกลุ่มชาติพันธุ์ที่รวมตัวกันเป็นรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ

แม้เหตุที่เกิดขึ้นจะเป็นการเมืองภายในประเทศเมียนมา แต่ด้วยประเทศไทยมีเขตแดนติดกับประเทศเมียนมาถึง 2,401 กิโลเมตร มีจุดผ่านแดน 16 จุด ย่อมได้รับผลกระทบโดยตรง โดยเฉพาะการเคลื่อนย้ายคนตามแนวชายแดน

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นนี้ รัฐบาลไทยจึงควรต้องแสดงท่าทีที่ชัดเจนในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนนัดพิเศษ ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 24 เมษายนนี้

1.) รัฐบาลไทยในฐานะประเทศเพื่อนบ้าน ต้องชี้ให้เห็นว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในประเทศเมียนมา ไม่ได้เป็นปัญหาความมั่นคงภายในประเทศเท่านั้น แต่จะส่งผลให้เกิดการอพยพย้ายถิ่น หนีร้อนมาพึ่งเย็นประเทศเพื่อนบ้าน เกิดเป็นภาระและความเสี่ยง ทั้งด้านความมั่นคงและการจัดการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งเป็นเรื่องที่ไทยรวมถึงทุกประเทศในอาเซียนกำลังเผชิญอยู่ และไม่เป็นผลดีต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

2.) รัฐบาลไทยควรแสดงท่าทีอย่างแข็งขัน ไม่สนับสนุนการใช้ความรุนแรงต่อประชาชน และชี้ให้เห็นว่าการใช้ความรุนแรงไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาหรือการรักษาความมั่นคงภายใน รังแต่จะทำให้เกิดความไม่สงบมากขึ้น นำไปสู่การสู้รบกลางเมือง หากสถานการณ์รุนแรงขึ้น เสี่ยงต่อการแทรกแซงจากต่างชาติ อันจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงโดยรวมในภูมิภาคอาเซียนไปด้วย

3.) เสนอให้ รัฐบาลทหารเมียนมา กับ กลุ่มชาติพันธุ์ที่รวมตัวกันในนามรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ ใช้วิธีทางการเมือง หารือเพื่อหาทางออกร่วมกันโดยสันติ โดย ASEAN ต้องพร้อมทำหน้าที่เป็นกรรมการตัวกลาง

คาดหวังว่ารัฐบาลไทย จะแสดงท่าทีชัดเจน แสดงบทบาทความเป็นผู้นำในภูมิภาค กำหนดท่าทีร่วมกันกับผู้นำชาติอาเซียนอื่น ๆ เพื่อนำมาสู่การสร้างสันติสุขกลับมาสู่ประเทศเมียนมา และรักษาความมั่นคงของประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

.

“บิ๊กตู่” สั่งด่วน แก้ระบบรับ-ส่ง ผู้ป่วยโควิด ย้ำให้รวดเร็ว พร้อมบูรณาการฐานข้อมูลเป็นระบบ

เมื่อวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2564 นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม รับทราบปัญหาการรับส่งผู้ติดเชื้อโควิด-19 เข้ารับการรักษาในสถานพยาบาล โรงพยาบาลสนาม สถานพยาบาลที่เป็นโรงแรม (Hospitel) ทั้งจากรายงานของกระทรวงสาธารณสุข และได้รับเรื่องร้องเรียนโดยตรงรวมถึงจากโซเชียลมีเดีย ซึ่งนายกรัฐมนตรีไม่ได้นิ่งนอนใจและได้สั่งการให้กระทรวงสาธารณสุข หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะเมื่อตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ให้เร่งประสานบูรณาการส่งตัวผู้ป่วยเข้ารับการรักษา ภายใต้การดูแลของบุคลากรทางการแพทย์โดยเร็ว ในกรณีที่อยู่ในระว่างรอรับตัวต้องแจ้งแนวทางปฏิบัติของผู้ติดเชื้อโควิด-19 ให้ทราบอย่างชัดแจน

นางสาวไตรศุลี กล่าวว่า นายกฯรัฐมนตรี กำชับให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประสานบูรณาการข้อมูลกันอย่างเป็นระบบ ไม่ว่าจะเป็น สถานพยาบาลที่ดำเนินการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ทั้งภาครัฐและเอกชน สถานพยาบาล โรงพยาบาลสนาม ให้แก้ไขปัญหาสายด่วนในการจัดหาเตียง หลังจากที่ก่อนหน้านี้ทราบว่าบุคลากรไม่เพียงพอ จึงได้แก้ไขปัญหาเป็นการด่วนเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน นอกจากนั้นสั่งการให้กระทรวงกลาโหม นำยานพานะในกองทัพ ช่วยในการขนส่งผู้ป่วยด้วย เพื่อให้การนำส่งผู้ป่วยเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

นางสาวไตรศุลี กล่าวว่า นายกฯ ขอให้ประชาชนมั่นใจว่าจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี โดยรัฐบาลระดมทุกสรรพกําลังในการแก้ไขสถานการณ์การระบาดในครั้งนี้จึงขอความร่วมมือประชาชนให้ช่วยกันระมัดระวังตนเอง หลีกเลี่ยงการเดินทางโดยไม่จำเป็น เว้นระยะห่างทางสังคม สวมใส่หน้ากากอนามัย ตรวจสอบตนเองอย่างสม่ำเสมอ เชื่อว่าประเทศไทยจะผ่านสถานการณ์นี้ไปได้โดยเร็ว เมื่อทุกคนร่วมแรงร่วมใจกัน

“บิ๊กตู่” รับทราบรายงานวัคซีน 2.16 ล้านโดส ส่งไปยัง 77 จังหวัดแล้ว ตามแผนการฉีดและการกระจายวัคซีนโควิด-19

วันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2564 นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบการรายงานจากกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งยืนยันการจัดสรรวัคซีนป้องกันโควิด-19  “Sinovac” จำนวน 2,070,279โดสและ “AstraZeneca” จำนวน 89,040 โดส รวมการจัดสรรวัคซีนโควิด-19 ทั้งหมด 2,159,319 โดส  โดยมีการจัดส่งและกระจายวัคซีนทั้งหมดที่ได้นำเข้ามา ส่งต่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั่วประเทศทั้ง 77 จังหวัดเรียบร้อยแล้ว เพื่อเร่งฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมายโดยเร่งด่วน ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้สั่งให้มีการรายงานตัวเลขการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้สื่อมวลชนและประชาชนทราบทุกวัน  พร้อมทั้งจัดหาวัคซีนทางเลือกเพิ่มเติมอีกประมาณ 35 ล้านโด๊ส ซึ่งจะทำให้มีวัคซีนป้องกันโควิด-19 เพื่อคนไทยอย่างน้อย 100 ล้านโดส ภายในปลายปี 2564 นี้

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญเรื่องประสิทธิภาพในการฉีดวัคซีนในแต่ละวันให้กับประชาชนในจุดต่างๆทั่วประเทศด้วย ซึ่งทราบว่าหากไทยได้รับวัคซีนมากขึ้น หน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุขที่จะประสานกับภาคเอกชนที่จะเข้ามาร่วมมือฉีดวัคซีนให้ประชาชนก็จะสามารถดำเนินการฉีดได้มากขึ้นตามลำดับอย่างแน่นอน จึงขอให้ประชาชนได้มั่นใจว่าภายในสิ้นปี 2564 นี้ จะมีวัคซีนเข้ามากว่า 100 ล้านโดส สำหรับฉีดให้กับประชาชนกว่า 50 ล้านคนอย่างแน่นอน

นายอนุชา กล่าวชี้แจงไทม์ไลน์การนำเข้าวัคซีนโควิด-19 ซึ่งทยอยเข้ามาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์แล้วว่า จาก Sinovac จำนวน 200,000 โดส และ AstraZeneca จำนวน 117,000 โดส  เดือนมีนาคมนำเข้าวัคซีนจาก Sinovac จำนวน 800,000 โดส และเดือนเมษายนนำเข้าวัคซีนจาก Sinovac จำนวน 1,000,000 โดส และในเสาร์ที่ 24 เมษายน 64 นี้จะมีวัคซีนเข้ามาจาก Sinovac จำนวน 500,000 โดส และมีแผนนำเข้า Sinovac เพิ่มเติมในเดือนพฤษภาคมอีก 1,000,000 โดส ซึ่งอยู่ระหว่างการหารือร่วมกับรัฐบาลจีน ขณะที่ วัคซีน AstraZeneca ที่ผลิตในประเทศไทย จะเริ่มทยอยส่งได้ตั้งแต่เดือนมิถุนายน เบื้องต้น 6,000,000 โดส และจะเพิ่มจำนวนตั้งแต่เดือนกรกฎาคมไปถึงสิ้นปี 2564 จนครบ 61,000,000 โดส นอกจากนี้ยังมีบริษัทผลิตวัคซีนยี่ห้อต่างๆ เสนอขายวัคซีนแก่ประเทศไทย โดยกระทรวงสาธารณสุขอยู่ระหว่างการพิจารณาหารือราคาและเงื่อนไข นอกจากนี้รัฐบาลเดินหน้าเตรียมพร้อมทั้งการจัดหาวัคซีนทางเลือกภาคเอกชนเพิ่มเติมอีกประมาณ 35 ล้านโดส ซึ่งจะทำให้มีไวรัสป้องกันโควิด-19 เพื่อคนไทย 100 ล้านโดส ภายในปลายปี 2564 นี้

“ทั้งนี้ ความคืบหน้าการฉีดวัคซีนโควิด-19 ตั้งแต่ 28 ก.พ. ถึง 21 เม.ย. 64 มีการฉีดไปแล้วทั้งสิ้นรวม 864,840 โดส  เป็นการฉีดเข็มที่ 1 จำนวน 746,617 ราย และจำนวนผู้ได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์ คือ ครบ 2 เข็ม จำนวน 118,223 ราย ทั้งนี้แบ่งเป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่ฉีดแล้ว 405,291 โดส  เจ้าหน้าที่ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย 117,071 โดส  ผู้มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป 26,669 โดส บุคคลที่มีโรคประจำตัว 37,137 โดส และประชาชนในพื้นที่เสี่ยง 278,672 โดส”นายอนุชา กล่าว

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวยืนยันว่า วัคซีนโควิด-19 ที่นำเข้ามาแล้ว ได้ถูกกระจายส่งต่อไปยังหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องในกรุงเทพมหานคร และจังหวัดต่างๆทั่วประเทศอย่างทันท่วงทีด้วยความเร่งด่วน เพื่อฉีดให้กับประชาชนโดยเร็วที่สุดและรัฐบาลขอขอบคุณ และให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ หมอ พยาบาล และอาสาสมัครทุกๆท่าน ที่ทุ่มเททำงานอย่างหนักมาตลอด เพื่อรักษาและดูแลผู้ติดเชื้อ รวมถึงบุคลากรที่บริหารจัดการฉีดวัคซีนเพื่อลดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ด้วย

คลังออกเกณฑ์คุมรูรั่วข้าราชการเบิกค่ารักษาเกินจริง

นายประภาศ คงเอียด อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางออกหลักเกณฑ์การเบิกเงินค่ารักษาพยาบาลเกินสิทธิและการเรียกคืนเงินใหม่ เพื่อควบคุมการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้เป็นไปด้วยความถูกต้อง มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 3 พ.ค.64 เป็นต้นไป หลังจากที่ผ่านมาตรวจสอบพบว่า ผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวจำนวน 24 ราย มีพฤติกรรมใช้สิทธิระบบเบิกจ่ายตรงผิดปกติ โดยเข้ารับบริการในสถานพยาบาลหลายแห่งระยะเวลาใกล้เคียงกัน หรือมีการเข้ารับบริการเกิน 3 สถานพยาบาลต่อเดือน ด้วยโรคเดียวกัน อีกทั้งได้รับยาประเภทเดียวกัน จนมีปริมาณยาสะสมจำนวนมาก คิดเป็นเงิน 15.8 ล้านบาท ซึ่งกรมบัญชีกลางได้ระงับสิทธิของบุคคลดังกล่าวทุกรายโดยทันทีที่ตรวจสอบพบ

สำหรับหลักเกณฑ์ใหม่ กำหนดให้ผู้มีสิทธิหรือบุคคลในครอบครัวเข้ารับการรักษาพยาบาลประเภทผู้ป่วยนอก ณ สถานพยาบาลของทางราชการแห่งเดียวหรือหลายแห่ง หรือได้รับยาประเภทเดียวกันจนมีปริมาณยาสะสมเป็นจำนวนมาก เกินขนาดที่ให้ผลการรักษาในแต่ละโรค หรือเกินกว่าจำนวนที่กรมบัญชีกลางกำหนด ถือเป็นการใช้สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการเพื่อเบิกค่ารักษาพยาบาลเกินสิทธิ มีพฤติกรรมการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลในระบบเบิกจ่ายตรงผิดปกติ

กรมบัญชีกลางจะระงับสิทธิการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลในระบบเบิกจ่ายตรงทันที และหากเข้าข่ายทุจริตหรือการกระทำความผิดทางอาญา หน่วยงานต้นสังกัดต้องดำเนินการทางวินัยหรือตามขั้นตอนของกฎหมายและเรียกคืนเงินจากผู้มีสิทธิส่งคืนคลังเป็นรายได้แผ่นดิน แต่หากข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าเป็นการทุจริต กรมบัญชีกลางจะอนุญาตให้สามารถใช้สิทธิในระบบเบิกจ่ายตรงประเภทผู้ป่วยนอก ณ สถานพยาบาลของทางราชการเพียง 1 แห่ง เพื่อเป็นการควบคุมพฤติกรรม

ส่วนกรณีสถานพยาบาลของทางราชการ เบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลของผู้มีสิทธิหรือบุคคลในครอบครัวในระบบเบิกจ่ายตรง โดยไม่ปรากฏข้อมูลในเอกสารว่า มารับบริการจริง ส่วนราชการต้นสังกัดต้องดำเนินการตรวจสอบ หากปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐมีพฤติกรรมทุจริตโดยใช้ระบบเบิกจ่ายตรงเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ ส่วนราชการต้นสังกัดต้องดำเนินการสอบสวนทางวินัยกับเจ้าหน้าที่ดังกล่าว  และเรียกคืนเงินจากสถานพยาบาลของทางราชการแห่งนั้น c]tส่วนราชการต้นสังกัดมีหน้าที่ติดตามเรียกคืนเงินที่เบิกเกิน และนำเงินส่งคืนคลังเป็นรายได้แผ่นดิน หากไม่สามารถเรียกคืนเงิน ต้องมีบังคับชำระหนี้ แล้วนำเงินส่งคืนคลังเป็นรายได้แผ่นดินต่อไป

‘ชาวทะลุฟ้า’ บุกสภา ยืน 112 นาที ลั่นใหญ่โตจากภาษี แต่ไม่รับใช้ ปชช.

วันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2564 ที่หน้ารัฐสภา ผู้สื่อข่าวรายงานว่ามีมวลชนหมู่บ้านทะลุฟ้านัดหมายทำกิจกรรม “คนยังคงยืนเด่นโดยท้าทาย”​ ยืน หยุด ขัง 112 นาที โดยชาว “หมู่บ้านทะลุฟ้า”

โดยมีนักกิจกรรมกว่า 10 คนแต่งตัวคล้ายนักโทษยืนเป็นแถวเว้นระยะห่าง 2 เมตร  แต่ละคนสวมหน้ากากอนามัย โดยมีโซ่ตรวนล่ามไว้ที่ขา เพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์การถูกจองจำ บางรายสวมหมวกกันร้อน พร้อมห้อยป้ายข้อความ อาทิ ปล่อยเพื่อนเรา, ยกเลิก 112, ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ และประยุทธ์ออกไป 

ทั้งนี้ กลุ่มหมู่บ้านทะลุฟ้า ระบุว่า ยืน112 นาที ณ รัฐสภา การยืนเป็นการต่อสู้ในรูปแบบหนึ่งของสันติวิธี ปราศจากอาวุธ อาวุธยุทโธปกรณ์ ที่ทหารนำมาใช้นั้นมีไว้เพื่อยึดอำนาจจากประชาชนเพียงเท่านั้น วันนี้เรามายืนหน้ารัฐสภาก็เพื่อเรียกร้องสิทธิการประกันตัว ให้เพื่อนของเรา และสะท้อนว่ารัฐสภาที่ใหญ่โตนี้สร้างมาจากภาษีของประชาชนแต่มิได้ทำงานรับใช้ประชาชน แต่รับใช้โจรที่ปล้นอำนาจจากประชาชน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้ ผู้ร่วมกิจกรรมทุกคนสวมถอดรองเท้าแตะ เพื่อกันความร้อน บางรายมีสีหน้าทรมานจากสภาพอากาศ ขณะที่ทีมงานชาวหมู่บ้านทะลุฟ้า ได้นำเสปรย์น้ำ มาพ่นใบหน้า และร่างกาย เพื่อคลายความร้อน โดยจะยืนจนครบ เวลา 112 นาที ท่ามกลางเจ้าหน้าที่รัฐสภา ไปจนถึงตำรวจ ทั้งในและนอกเครื่องแบบ ยืนเฝ้าสังเกตการณ์รอบบริเวณอย่างใกล้ชิด 

นอกจากนี้ ยังมีการตั้งโต๊ะ จำหน่าย “เสื้อหมู่บ้านทะลุฟ้า” เพื่อระดมทุนทำกิจกรรม ทีมงานหมู่บ้านทะลุฟ้า เปิดเผยด้วยว่า เร็วๆ นี้ อาจจะมีการชุมนุมปักหลัก ส่วนเวลา 17.30 น. วันนี้ จะไปร่วมสมทบ ยืน หยุด ขัง ที่หน้าศาลฎีกา กับ กลุ่มพลเมืองโต้กลับ อีกด้วย

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน ประจำวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2564

สถานการณ์โควิด-19 ประเทศไทยและอาเซียน ไทยเซ่นโควิดเพิ่ม 7 ราย! ขณะที่ในอาเซียนยอดยังคงพุ่ง!

'พิธา' แถลงก่อนการประชุมผู้นำอาเซียนสมัยพิเศษ ย้ำผู้นำอาเซียนต้องไม่ให้การประชุมเป็นเวทีรับรองความชอบธรรมของเผด็จการทหารเมียนมา รัฐบาลประยุทธ์ต้องปกป้องผลประโยชน์ของประเทศและภูมิภาคไม่ใช่รักษาความสัมพันธ์ส่วนตัว

เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2564 พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้แถลงออนไลน์ถึงสถานการณ์ในเมียนมา บทบาทของอาเซียนในการหาทางออกให้กับสถานการณ์ในเมียนมา และบทบาทของไทยในการประชุมผู้นำอาเซียนที่กรุงจาการ์ตาในวันที่ 24 เมษายน 2564

พิธา กล่าวว่า ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมาทั้งโลกได้ติดตามสถานการณ์ในเมียนมาด้วยความสะเทือนใจ เนื่องจากมีผู้ถูกทหารเมียนมาสังหารแล้วกว่า 700 คน เป็นเด็กถึง 50 คน บางคนอายุเพียง 7 ขวบเท่านั้น คนนับพันคนถูกจับกุมหรืออุ้มหาย ซึ่งนี่เป็นปฏิบัติการอย่างเป็นระบบของทหารเมียนมาเพื่อปราบปรามประชาชนให้สยบด้วยความหวาดกลัว

“ถ้าไม่มีการยับยั้ง ทหารเมียนมาก็จะเดินหน้าปราบปรามสังหารประชาชนมือเปล่าและชนกลุ่มน้อยต่อไป ถ้าไม่มีใครทำอะไร คนอีกนับพันอาจถูกสังหาร คนนับแสนอาจต้องพลัดถิ่น และวิกฤติทางมนุษยธรรมที่ตามมาก็จะสร้างผลสะเทือนไปทั้งภูมิภาค”

พิธากล่าวต่อไปว่า เมื่ออาเซียนก่อตั้งขึ้นมาในปี 2510 ด้วยปฏิญญากรุงเทพฯ ก็ได้มีระบุไว้ถึงวัตถุประสงค์ของอาเซียนในปฏิญญาว่าก่อตั้งขึ้นเพื่อรักษาสันติภาพและความมั่นคงของภูมิภาคผ่านหลักนิติธรรมและหลักการของสหประชาชาติ

นอกจากนี้พิธายังกล่าวถึงในกฎบัตรอาเซียนที่เน้นย้ำถึงหลักการสิทธิมนุษยชน ทั้งนี้ในอดีตอาเซียนเคยแสดงบทบาทเป็นตัวกลางเจรจาหาทางออกให้กับความขัดแย้งในภูมิภาคมาแล้วหลายครั้ง และวิกฤติของเมียนมาในครั้งนี้ก็เป็นบททดสอบอีกครั้งหนึ่งของอาเซียน

ในโอกาสของการประชุมผู้นำอาเซียนสมัยพิเศษ ที่กรุงจาการ์ตา ในวันที่ 24 เมษายนนี้ พรรคก้าวไกลเรียกร้องให้ผู้นำอาเซียนจัดตั้งกระบวนการสันติภาพที่นำโดยอาเซียน เพื่อยุติการสังหารประชาชนและนำเมียนมากลับคืนสู่เส้นทางประชาธิปไตย โดยกระบวนการสันติภาพก็มีหลายกลไกที่อาเซียนสามารถใช้ได้ เช่น จัดตั้ง กลุ่มผู้ประสานงานอาเซียน (ASEAN Troika) จัดตั้งทูตพิเศษของอาเซียน (Special Envoy) หรือจัดตั้งกลุ่มเพื่อนประธาน (Friends of the Chair)

พรรคก้าวไกลเชื่อว่าเป็นความจำเป็นทางมโนสำนึกที่กระบวนการสันติภาพจะมีเป้าหมาย ได้แก่ การทำให้เมียนมากลับคืนสู่สภาวะปกติที่ สิทธิ เสรีภาพ ความเป็นอยู่ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ได้รับการคุ้มครอง และทหารเมียนมาต้องยุติการใช้ความรุนแรงและปล่อยตัวนักโทษทางการเมืองทันทีอย่างไม่มีเงื่อนไข นี่คือเป้าหมายอย่างเป็นรูปธรรมขั้นต่ำที่ประชาชนอาเซียนควรเรียกร้องจากผู้นำของตนเอง

พิธาย้ำว่า ผู้นำอาเซียนต้องไม่ปล่อยให้การประชุมผู้นำอาเซียนเป็นเวทีที่ให้การยอมรับและความชอบธรรมกับเผด็จการทหารเมียนมา ผู้นำอาเซียนควรผลักดันผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มได้มีโอกาสหาทางออกร่วมกันในกระบวนการจะเปิดรับทุกฝ่าย ดังนั้นผู้นำอาเซียนจึงควรยื่นคำเชิญให้กับทุกฝ่ายในการหาทางออกร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นตัวแทนจากพรรค NLD คณะกรรมการผู้แทนสมัชชาแห่งสหภาพ (CRPH) ไปจนถึงกองทัพ และกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ เพื่อให้กระบวนการสันติภาพที่เปิดกว้างและมีความจริงใจเกิดขึ้นได้

นอกจากนี้อาเซียนควรยืนยันในหลักการ “ความเป็นแกนกลางของอาเซียน” โดยตระหนักว่าถึงเวลาแล้วที่จะเรียกร้องให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ดำเนินการตามอำนาจในหมวด 6 และจัดตั้งคณะทำงานแสวงหาข้อเท็จจริงของสถานการณ์ในเมียนมา และเพื่อรับมือกับวิกฤติด้านมนุษยธรรม พิธาเรียกร้องให้ผู้นำอาเซียนจัดตั้งคณะทำงานเพื่อประเมินสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมในเมียนมา และเรียกร้องให้ทหารเมียนมายอมเปิดให้การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมสามารถเข้าไปถึงได้ในทุกพื้นที่ของประเทศ

พิธากล่าวว่า ประเทศไทยในฐานะเพื่อนบ้านที่มีความใกล้ชิดและเป็นประเทศผู้ก่อตั้งอาเซียนควรมีบทบาทเชิงรุกในการหาทางออกให้กับสถานการณ์ในเมียนมา แต่รัฐบาลของ พล.อ ประยุทธ์ ก็แสดงออกให้เห็นครั้งแล้วครั้งเล่าว่าไม่ได้มีสำนึกที่จะปกป้องผลประโยชน์ของชาวไทยและชาวเมียนมาในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดเช่นนี้ ซึ่งผลประโยชน์ของประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนนั้นอยู่บนหลักการของความเจริญผาสุกร่วมกันที่จำเป็นต้องมีเมียนมาที่มั่นคงทางการเมืองและเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ ในขณะที่ถ้าเมียนมาเกิดวิกฤติ ก็จะเป็นวิกฤติของประเทศไทยที่มีชายแดนติดต่อกับเมียนมาถึง 2,400 กิโลเมตร เช่นเดียวกัน

“ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาล พล.อ ประยุทธ์ จะต้องทำตามหลักการ “การคำนึงถึงผลประโยชน์ของตนเองในระยะยาวโดยรู้แจ้งถึงสิ่งที่ถูกต้อง” (Enlightened self-interest) และแสดงออกให้เห็นว่าประเทศไทยยืนอยู่ข้างประชาชนชาวเมียนมา ไม่ได้เป็นสหายในสงครามร่วมหัวจมท้ายกับทหารเมียนมา” พิธากล่าวทิ้งท้าย

ที่มา : https://www.facebook.com/timpitaofficial/videos/544792376534565


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top