Sunday, 22 June 2025
POLITICS NEWS

‘สมชัย ศรีสุทธิยากร’ ท้า ‘บิ๊กตู่’ กล้า ๆ หน่อย สั่งการใช้ค่ายทหารเป็นรพ.สนาม ช่วยผู้ป่วยโควิดล้น เหน็บสั่งทุกกระทรวงระดมแก้ปัญหาได้แต่ลืมกลาโหม

เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยการเมืองและการพัฒนา มหาวิทยาลัยรังสิต โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก มีเนื้อหาระบุว่า “ค่ายทหารมีไว้ทำไม” ผู้ใหญ่ใจดีท่านหนึ่ง โทรมาหาแลกเปลี่ยนความคิดว่า ในภาวะที่โรงพยาบาลขาดเตียง คนป่วยล้น คนติดใหม่เป็นหมื่น คนตายรายวันเป็นร้อย โรงพยาบาลและโรงพยาบาลสนามเท่าที่มีอยู่ในภาวะล้นเกินกว่าที่จะรองรับได้อีกแล้ว ทำไมไม่เอาพื้นที่ในค่ายทหาร ซึ่งมีกระจายอยู่ทั่วประเทศมาสนับสนุนเป็นโรงพยาบาลสนาม

เลยลองค้นดูว่า ประเทศไทยมีค่ายทหารและหน่วยงานของทหารมิใช่น้อย ดังนี้

ทัพภาค 1 มี 26 ค่ายทหาร

ทัพภาค 2 มี 16 ค่ายทหาร

ทัพภาค 3 มี 23 ค่ายทหาร

ทัพภาค 4 มี 12 ค่ายทหาร

ทั้งนี้ ยังไม่รวม กทม. ที่ยังเป็นที่ตั้ง พล. 1 รอ. พล. ม. 2 รอ. และเหล่าสนับสนุนการรบ เหล่าช่วยรบ และยังมีสนามกอล์ฟของกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ ที่กระจายอยู่ตามที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ

“วันนี้ยังไม่เห็นการพยายามใช้ทรัพยากรเหล่านี้เพื่อมาช่วยแก้ปัญหา ผู้ใหญ่ใจดี ท่านเลยตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลควรให้ประเด็นนี้เป็นอีกทางเลือกหรือไม่ ผมเลยตั้งข้อสังเกตตามไปว่าอาจเป็นวันนี้ นายกรัฐมนตรีอาจยังไม่มีโอกาสคุยกับรมว. กลาโหม เมื่อวาน (20 กรกฎาคม) ในที่ประชุม ครม. ท่านสั่งทุกกระทรวงให้ระดมทรัพยากรมาแก้ปัญหาโควิด สั่งรัฐมนตรีทุกกระทรวง แต่ลืมสั่ง รมว.กลาโหม” นายสมชัย ระบุ

นายสมชัย ระบุทิ้งท้ายว่า "กล้า ๆ หน่อย คุณประยุทธ์"


ที่มา : https://www.matichon.co.th/politics/news_2840196

https://www.facebook.com/185853798130698/posts/4016186958430677/?d=n


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

"บิ๊กตู่"ขอประชาชนเลี่ยงรวมกลุ่มชุมนุมช่วงนี้ สุ่มเสี่ยงแพร่ระบาดโควิด-19 ภายในกันเอง ยืนยันรับฟังทุกฝ่ายขอมาร่วมพูดคุยกันอย่างสันติ

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จัทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ขอให้ประชาชนคำนึงถึงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในปัจจุบัน ซึ่งขณะนี้มีตัวเลขสูงขึ้นในแต่ละวัน และสิ่งต่างๆที่นายกฯ ต้องดำเนินการโดยเฉพาะการบังคับใช้กฎหมายและการปราบปราม ทั้งการรวมตัวกันอย่างผิดกกฎหมาย การควบคุมราคาสินค้าต่างที่จะ ออกมาในอนาคต เช่น ชุดตรวจโควิด Antigen Test Kit ก็มีความสำคัญ รวมถึงที่ผ่านมาก็ให้ความสำคัญกับเรื่องการปราบปรามการพนัน การหยุดการลักลอบเข้าประเทศโดยผิดกฎหมาย ซึ่งเรื่องเหล่านี้รัฐบาลให้ความสำคัญ

"เรื่องการชุมนุม นายกรัฐมนตรีอยากขอให้ทุกคนหลีกเลี่ยง เพราะอาจเป็นเหตุของการระบาดโควิด-19 ภายในพื้นที่ชุมนุมเอง ซึ่งย้ำว่านายกฯ มุ่งมั่นตั้งใจในการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรี ด้วยความห่วงใยประชาชน ดังนั้นถ้าหากประชาชนมีความคิดเห็นมีข้อเสนอแนะ ย้ำว่านายกฯพร้อมยินดีรับฟังความคิดเห็น แต่ขอให้นำเสนอในแนวทางที่สันติและสามารถพูดคุยกันได้ เพื่อทำให้อุปสรรคต่างๆที่รัฐบาลกำลังดำเนินการแก้ไขในปัจจุบัน สามารถเดินหน้าต่อไปได้และกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติในอนาคตอันใกล้” นายอนุชา กล่าว

รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก การกระทำและการแสดงออกของม็อบ 18 กรกฎา ต่อองค์พระมหากษัตริย์ เป็นสิ่งที่รับไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง

รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Harirak Sutabutr แสดงความคิดเห็นกรณีม็อบ 18 กรกฎาคม 64 ที่ผ่านมา ว่า สำหรับผู้ที่เกิดและเติบโตมาในรัชสมัยในหลวงรัชกาลที่ 9 อย่างผม การกระทำและการแสดงออกของม็อบ 18 กรกฎา ต่อองค์พระมหากษัตริย์ เป็นสิ่งที่รับไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง

นอกจากการกระทำในม็อบ ยังตามมาด้วยการโพสต์ภาพ และข้อความข่มขู่ คุกคามเป็นภาษาอังกฤษแบบงู ๆ ปลา ๆ ซึ่งแม้จะไม่ระบุว่าหมายถึงใคร แต่ทุกคนที่เห็นจะบอกได้โดยไม่ต้องคิดว่า ข้อความและรูปที่โพสต์ต้องการจะสื่ออะไร ถึงใคร

ทั้งชีวิตของเรา ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่เคยเห็นใครเลยที่กล้าทำเช่นนี้กับองค์พระมหากษัตริย์ที่เราเคารพบูชา แบบนี้

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ปรากฏการณ์เหล่านี้ เกิดจากการวางแผน และใช้เครื่องมือทุกชนิด ป้อนข้อมูลจริงบ้างเท็จบ้าง ส่วนใหญ่เป็นเท็จ และปล่อยข่าวลือในทางร้ายผ่านสื่อสมัยใหม่ต่าง ๆ เพื่อสร้างความเกลียดชังต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ให้เกิดขึ้นในกลุ่มเป้าหมายที่เขากำหนด ซึ่งสำหรับคนที่ไม่มีความผูกพันกับสถาบันพระมหากษัตริย์มาตั้งแต่เด็ก จะหลงเชื่อในข้อมูล และข่าวเท็จเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ได้ง่ายมาก

ปฏิบัติการเช่นนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ แต่มีมาตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ แต่มาโหมหนักแบบไม่กลัวฟ้าดินตั้งแต่ที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ยุบพรรคอนาคตใหม่ เป็นต้นมา

ญาติผู้ใหญ่ของผมท่านหนึ่ง เคยถวายงานใกล้ชิดต่อในหลวงรัชกาลที่ 9 เคยเล่าให้ฟังว่า ครั้งหนึ่งเมื่อได้ทรงทอดพระเนตรเห็นในสื่อสมัยใหม่ที่มีการโจมตีพระองค์ด้วยข้อมูลที่เป็นเท็จ พระองค์รับสั่งด้วยความเสียพระทัยกับญาติผู้ใหญ่ของผมท่านนั้นว่า

"เขาเกลียดฉันด้วยเรื่องอะไรหรือ"

ทั้งที่ผมไม่ได้เคยใกล้ชิดกับพระองค์ท่านเลย แต่เมื่อได้ฟัง ยังอดน้ำตาซึมไม่ได้

จำเป็นเร่งด่วนนักหรือ ที่ต้องล้มสถาบัน ล้มราชวงศ์จักรีลงให้ได้ ล้มแล้วสังคมจะดีขึ้นอย่างไร ประชาชนส่วนใหญ่ได้ประโยชน์ หรือใครได้ประโยชน์ พวกเขาบอกนักบอกหนาว่า ธนาคารไทยพาณิชย์ และเครือซีเมนต์ไทย เคยเป็นของประชาชน ลองตรองดูให้ดีว่า เป็นเช่นนั้นจริงหรือ ทั้ง 2 บริษัทเป็นบริษัทมหาชน ประชาชนที่เป็นผู้ถือหุ้นเท่านั้นที่เป็นเจ้าของ เคยค้นหาข้อมูลหรือไม่ว่าใครคือผู้ก่อตั้ง และเป็นเจ้าของแต่เดิม แล้วรัฐบาลไหนที่ออกกฎหมายตั้งสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ แต่ถึงแม้สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ (ชื่อตามกฎหมายเดิม) เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่ บริษัททั้ง 2 ก็ไม่ได้เป็นของประชาชนอยู่ดี ยกเว้นประชาชนที่เป็นผู้ถือหุ้นเท่านั้น

การโจมตีการใช้เงินงบประมาณแผ่นดิน เพื่อดำเนินโครงการตามพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 ว่าไม่มีประโยชน์ เพราะถ้าได้ผลจริง ประเทศไทยต้องไม่มีคนจนแล้ว เป็นการใช้ตรรกะที่ทื่อด้าน แต่น่าหดหู่ที่ยังมีคนหลงเชื่อไม่น้อย

โครงการตามพระราชดำริ เกิดจากการที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จออกเยี่ยมพสกนิกรของพระองค์ในที่ทุรกันดารทั่วประเทศ เมื่อทรงพบปัญหาความเดือดร้อนชองประชาชน พระองค์จึงทรงมีความคิดที่จะแก้ไขปัญหาเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในที่นั้น ๆ การแก้ปัญหาต้องอาศัยความร่วมมือกันของหน่วยราชการต่างกรม ต่างกระทรวง ขึ้นอยู่กับลักษณะของปัญหา แต่ราชการไทยทำงานกันแบบแยกส่วน ตัวใครตัวมันมาแต่ไหนแต่ไร และไม่เคยมีรัฐบาลไหนแก้ปัญหานี้ได้ การปฏิรูประบบราชการที่ผ่านมาทุกครั้งมีแต่ทำให้มีหน่วยราชการเพิ่มขึ้น แทนที่จะลดลง แต่ด้วยพระบารมีของในหลวงรัชกาลที่ 9 หน่วยราชการต่าง ๆ กลับทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น และเดินหน้าได้รวดเร็วกว่าปกติ เกิดการบูรณาการระหว่างหน่วยราชการ นานมากก่อนที่คำว่า บูรณาการจะเป็นที่รู้จักกันเสียอีก

ตัวอย่างที่ดีคือ โครงการหลวงที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงสนับสนุนให้ชาวเขาในภาคเหนือที่มีอาชีพปลูกฝิ่น หันมาปลูกพืชผัก และผลไม้เมืองหนาวแทน เงินทุนเริ่มแรกมาจากพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ จัดตั้งเป็นมูลนิธิ และต่อมาได้รับเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศบ้าง จากภาคเอกชนบ้าง เริ่มแรกก็ประสบปัญหามาก ขาดทุนมาก แต่ด้วยความมุ่งมั่นของพระองค์ และความทุ่มเทของผู้ทำงาน ปัจจุบันต้องนับว่า โครงการหลวงประสบความสำเร็จอย่างดียิ่งจนแทบไม่ได้ใช้งบประมาณแผ่นดิน

นอกเหนือจากงบสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา พวกเรามีโอกาสบริโภคผลไม้เมืองหนาว พืช ผัก เมืองหนาว ที่ผลิตภายในประเทศเราเอง ที่สำคัญคือชาวเขาก็หันมาประกอบอาชีพที่ถูกกฎหมายและยังมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นด้วย

ยังมีตัวอย่างของโครงการตามพระราชดำริอีกมากมายที่ทำให้ชาวไร่ ชาวนา และประชาชนในชนบทมีชีวิตที่ดีขึ้น และแน่นอนว่า โครงการที่มีปัญหาก็ต้องมีบ้างเป็นธรรมดา

ดังนั้น ผู้ที่เกิดไม่ทันยุคที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง และทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจอย่างที่ไม่ทรงเห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย ได้โปรดใช้วิจารณญานก่อนที่จะหลงเชื่อข้อมูลที่ไม่เป็นจริงที่นำเข้าสู่สื่อต่าง ๆ ด้วยจุดหมายทางการเมือง เพื่อจะได้ไม่เป็นเครื่องมือให้นักการเมือง หรือกลุ่มการเมืองบางกลุ่มโดยไม่รู้ตัว

ยิ่งกว่านั้น ความเป็นไปได้ของการที่ขบวนการนี้ เป็นขบวนการที่ได้รับการสนับสนุนจากต่างชาติ เพื่อผลประโยชน์ของชาติหรือ national interest ของเขา ไม่ใช่ของเรา เป็นความเป็นไปได้ที่ไม่อาจละเลยได้อย่างเด็ดขาด

ขอให้ระลึกถึงความเป็นไปได้ข้อนี้ให้จงหนัก


ที่มา : https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=4589719101038609&id=100000016923106


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ครม.ไฟเขียว จัดสรรอัตรา ขรก.ตั้งใหม่ “สธ.-ยต.” 2,411 อัตรา เพิ่มค่าใช้จ่ายปีละประมาณ 760 ล้านบาท

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.อนุมัติจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ ให้กับส่วนราชการ ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงยุติธรรม รวมทั้งสิ้น 2,411 อัตรา ได้แก่ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขจำนวน 2,136 อัตรา และ กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม จำนวน 275  อัตรา เพื่อปฏิบัติภารกิจการให้บริการด้านการแพทย์และสาธารณสุขแก่ประชาชนในส่วนภูมิภาค รวมถึง 3 จังหวัดชายแดนใต้ โดยจะมีค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรเพิ่มขึ้นปีละประมาณ 760 ล้านบาท  

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ส่วนรายละเอียดการจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับส่วนราชการในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงยุติธรรม ประกอบด้วย นายแพทย์ปฏิบัติการหรือชำนาญการ หรือชำนาญการพิเศษ 1,651 อัตรา ค่าใช้จ่าย 511 ล้านบาทต่อปี ทันตแพทย์ปฏิบัติการหรือชำนาญการ หรือชำนาญการพิเศษ 370 อัตรา ค่าใช้จ่าย 114 ล้านบาทต่อปี นายแพทย์ปฏิบัติการหรือชำนาญการ หรือชำนาญการพิเศษบรรจุใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 90 อัตรา ค่าใช้จ่าย 30 ล้านบาทต่อปี และทันตแพทย์บรรจุใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 25 อัตรา ค่าใช้จ่าย 8.4 ล้านบาท  และพยาบาลวิชาชีพปฏิบัติการหรือชำนาญการของกรมราชทัณฑ์ จำนวน 275 อัตรา ค่าใช้จ่าย 95 ล้านบาทต่อปี

“ครม.”ขยายวงเงินเยียวยา ‘นายจ้าง-ลูกจ้างม.33’พื้นที่แดงเข้ม 10 จว.รวม 13,505 ล้านบาท เตรียมเยียวยาอีก 3 จ.เพิ่มเติม

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรีว่า (ครม.) ว่า ครม. อนุมัติกรอบวงเงินโครงการเยียวยานายจ้างและผู้ประกันตนมาตรา 33 ในกิจการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐ  ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด และพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ รวม 10 จังหวัด ให้กิจการที่ได้รับผลกระทบ 9 สาขา จากเดิมที่ได้เห็นชอบไปแล้ว 2,519.38 ล้านบาท เพิ่มเป็น 13,504.696 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 10,985.316 ล้านบาท

นายอนุชา กล่าวว่า นอกจากนี้ครม. เห็นชอบให้ขยายพื้นที่เยียวยาผู้ประกอบการและลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการโควิด เพิ่มเติมจาก 10 จังหวัด เป็น 13 จังหวัด คือ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และพระนครศรีอยุธยา ครม.และจะนำกรอบวงเงินที่เพิ่มขึ้นนำเสนอ ครม. เพื่อพิจารณาต่อไป

ครม.อนุมัติ ขยายระยะเวลาประกาศ “สถานการณ์ฉุกเฉิน” ไปอีก 2 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.- 30 ก.ย. เพื่อ ยับยั้งการแพร่ระบาดโควิด-19

ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม. เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรออกไปอีก 2 เดือนตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2564 และสิ้นสุดในวันที่ 30 กันยายน 2564 ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.)เสนอ  ซึ่งประกาศฉบับเดิมจะสิ้นสุดในวันที่ 31กรกฎาคม 2564 นี้  โดยสมช.ในฐานะศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) ได้เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2564 ซึ่งในที่ประชุมปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้รายงานการแพร่ระบาดว่า สถานการณ์ในระดับโลก ยังพบผู้ติดเชื้อจำนวนมากในหลายภูมิภาค ประเทศไทยพบผู้ติดเชื้ออยู่ในอันดับที่ 62  อันดับหนึ่งคือสหรัฐอเมริกา อันดับสอง อินเดีย และอันดับสาม บราซิล

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในไทยระลอกเดือน เมษายน 2564 ระหว่างวันที่ 1 เมษายน – 9 กรกฎาคม 2564 มีผู้ป่วยติดเชื้อสะสมจำนวน 288,643 ราย  ขณะที่สถานการณ์การแพร่ระบาดในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ปรากฏจำนวนผู้ติดเชื้อจำนวนมากกว่าหลายพันคนต่อวัน และมีอัตราการเสียชีวิตเพิ่มสูงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเชื้อไวรัสโควิด -19 เป็นชนิดสายพันธุ์ใหม่อย่างเดลต้า สามารถแพร่ระบาดและติดต่อกันได้ง่ายมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ในบางพื้นที่ยังพบสายพันธุ์เบต้า ที่มีความรุนแรงมาก อาจส่งผลให้อัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยสูงขึ้น ขณะเดียวกันยังพบการระบาดเป็นกลุ่มก้อนในจังหวัดที่มีสถานประกอบการ โรงงาน ตลาดค้าส่ง  และพบการระบาดต่อเนื่องจากผู้ติดเชื้อที่เดินทางกลับภูมิลำเนา ที่พักแรงงานก่อสร้างชั่วคราว ครอบครัว ตลาด สถานที่ทำงาน และสถานที่ชุมชนต่างๆ

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับแนวโน้มการแพร่ระบาดในระยะต่อไป กระทรวงสาธารณสุขประเมินว่าจะมีผู้ติดเชื้อจำนวน 10,000รายต่อวัน หรือมีผู้ป่วยสะสมมากกว่า 100,000 ราย ภายในระยะเวลา 14 วัน ซึ่งจะส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตในอัตราเกิน 100 รายต่อวัน จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดในการกำหนดมาตรการควบคุมแบบบูรณาการเพื่อควบคุมและแก้ไขสถานการณ์โดยเร็ว เพื่อให้เกิดความมั่นคงทางด้านสาธารณสุข จะช่วยลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาระต่อบุคลากรทางการแพทย์ เตียงรักษา หรืออุปกรณ์ทางการแพทย์ 

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ศปก.ศบค. พิจารณาแล้วเห็นว่า สถานการณ์ทั้งในปัจจุบันและระยะต่อไปยังคงเป็นภัยคุกคามความปลอดภัยในชีวิตของประชาชน ความมั่นคงปลอดภัยทางด้านสาธารณสุข และระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ จึงมีความจำเป็นต้องขยายเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ออกไป เพื่อให้การบังคับใช้มาตรการควบคุมและระงับยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาไว้ซึ่งความปลอดภัยในสุขภาพและชีวิตของประชาชน

ครม.ไฟเขียวเยียวยาประกันสังคมเพิ่มอีก 3 จังหวัดล็อกดาวน์

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม.เห็นชอบให้ช่วยเหลือเยียวยาลูกจ้างและนายจ้าง ที่อยู่ในพื้นที่สถานการณ์ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด เพิ่มเติมอีก 3 จังหวัด คือ จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และพระนครศรีอยุธยา จากเดิมที่ช่วยเหลือไปแล้ว 10 จังหวัด โดยจะช่วยเหลือลูกจ้างและนายจ้างในกลุ่มเป้าหมายเดิม 9 สาขาอาชีพ และผู้ที่อยู่ในระบบถุงเงิน สัญชาติไทย และยังประกอบอาชีพ ซึ่งไม่รวมข้าราชการและข้าราชการบำนาญ ครอบคลุมทั้งผู้ที่อยู่ในระบบประกันสังคมและไม่อยู่ในระบบประกันสังคม เป็นเวลา 1 เดือน 

สำหรับการช่วยเหลือ แยกเป็น แรงงานตามมาตรา 33 ได้รับ 2,500 บาทต่อคน และมาตรา 39 และ 40 ได้รับ 5,000 บาท โดยมอบหมายให้สำนักงานประกันสังคม จัดทำรายละเอียดและนำเสนอครม.ตามขั้นตอนกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยให้นายจ้างและลูกจ้างที่ได้นับเงินช่วยเหลือนี้ ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลและบุคคลธรรมดาจากเงินที่ได้รับการช่วยเหลือด้วย 

ครม. ไฟเขียว ขยาย พื้นที่แดงเข้ม จาก 10 เป็น 13 จังหวัด สั่ง เยียวยาผู้ประกอบการ-ลูกจ้าง ด้วย

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุมเห็นชอบการขยายขอบเขตมาตรการบรรเทาผลกระทบและให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่มแรงงานและผู้ประกอบการที่อยู่ในพื้นที่สถานการณ์ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ วันที่ 13 กรกฎาคม 64 ให้ครอบคลุมพื้นที่จากเดิม 10 จังหวัด เป็น 13 จังหวัด เพิ่มเติมจังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และอยุธยา โดยยังคงกลุ่มลูกจ้างและผู้ประกอบการใน 9 กลุ่มกิจการที่ได้รับผลกระทบ อัตราการจ่ายและวิธีการจ่ายเงินเช่นเดิม เป็นระยะเวลา 1 เดือน

"สถาบันนโยบายก้าวไกล" เสนอ มหาลัยลดค่าเทอม 30% ชี้ รัฐบาลควรอุดหนุนมหาลัยขนาดกลาง-เล็ก เพื่อลดค่าเทอมให้เท่าเทียม

นายเดชรัต สุขกำเนิด ผู้อำนวยการสถาบันนโยบายของพรรคก้าวไกล (Think Forward Center) กล่าวว่า ขอเสนอให้มหาวิทยาลัยลดค่าเทอมลง 30% ช่วงเกิดวิกฤตโควิด-19 และรัฐบาลต้องเข้ามาอุดหนุนมหาวิทยาลัยขนาดกลาง-ขนาดเล็ก เพราะภาระค่าใช้จ่ายในการศึกษาระดับอุดมศึกษาเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับครัวเรือน โดยเฉพาะสำหรับครัวเรือนที่มีรายได้น้อย เมื่อก้าวจากการศึกษาภาคบังคับมาสู่มหาวิทยาลัยจะต้องจ่ายเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่า และเมื่อนำค่าใช้จ่ายในการศึกษาดังกล่าวมาเทียบกับรายได้ของแต่ละครัวเรือนด้วยแล้วจะพบว่าครัวเรือนที่มีรายได้น้อยที่สุด 10% จะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการศึกษาถึง 49% ของรายได้ครัวเรือน ในขณะที่ครัวเรือนที่มีรายได้สูง มีภาระค่าใช้จ่ายประมาณร้อยละ 7 ของรายได้เท่านั้น

นายเดชรัต กล่าวต่อว่า จึงไม่น่าแปลกใจว่าเด็กจากกลุ่มครัวเรือน 40% ล่าง มีสัดส่วนเพียงร้อยละ 16.6 ของนักศึกษาในระดับอุดมศึกษาทั้งหมด ตรงกันข้ามกับสัดส่วนของนักเรียนในระดับชั้นอื่นๆ ยิ่งเมื่อรายได้ของครัวเรือนลดลงจากผลกระทบของโควิด-19 จะพบว่าสัดส่วนของภาระค่าใช้จ่ายทางการศึกษาของครัวเรือนที่มีรายได้น้อยต่อรายได้ทั้งหมดของครัวเรือน จะเพิ่มขึ้นเยอะกว่าครัวเรือนที่มีรายได้สูงมาก ยังไม่ต้องพูดถึงข้อเท็จจริง ที่ว่า ครัวเรือนที่มีรายได้น้อยน่าจะได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากภาวะโควิด-19 มากกว่า นั่นหมายความว่าเด็กๆ จากครัวเรือนที่มีรายได้น้อยอาจต้องหลุดออกจากระบบการศึกษา หรือครัวเรือนก็ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายและหนี้สินมากขึ้น ฉะนั้น ตนขอสนับสนุนให้มีการลดค่าลงทะเบียนและค่าใช้จ่ายในการศึกษาอื่นๆ ของนักเรียน นิสิต นักศึกษา เพื่อไม่ให้กลายเป็นความเหลื่อมล้ำทางการศึกษามากไปกว่านี้

นายเดชรัตน์ กล่าวต่อว่า มหาวิทยาลัยควรลดค่าเทอมเท่าไรเป็นคำถามที่ตอบยาก เพราะแต่ละมหาวิทยาลัยมีโครงสร้างทางการเงินที่แตกต่างกันมาก อาจแยกได้เป็น 3 กลุ่มหลักๆ คือ 1.มหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ที่พึ่งพารายได้จากการจัดการศึกษา หรือค่าเทอมและอื่นๆ ของนิสิตนักศึกษา ไม่ถึง 20% ของรายรับทั้งหมด ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ช่วงปี 63 มหาวิทยาลัยกลุ่มนี้ยังมีรายได้สุทธิเป็นหลักพันล้านบาท และมีรายได้สุทธิสะสมเป็นหมื่นล้านบาทขึ้นไป เช่น จุฬาฯ ธรรมศาสตร์ เชียงใหม่ มหาวิทยาลัยกลุ่มนี้น่าจะลดค่าเทอมได้มากกว่า 30-50% โดยยังรายได้สุทธิเป็นบวก และถึงติดลบบ้างก็ไม่กระเทือนเงินสะสมมากนัก 2. มหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ที่พึ่งพารายได้จากการจัดการศึกษามากกว่า 30% ขึ้นไป เช่น ศิลปากร มศว มหาวิทยาลัยกลุ่มนี้มีรายได้สุทธิสะสมเป็นหลักพันล้านบาทปลายๆ มหาวิทยาลัยกลุ่มนี้น่าจะได้รับผลกระทบจนรายได้สุทธิติดลบได้ ถ้ามีการลดค่าเทอมมากกว่า 30% และ 3.มหาวิทยาลัยขนาดเล็ก กลุ่มนี้ฐานะการเงินในช่วงหลังไม่ดีนัก รายได้สุทธิอาจมีติดลบในบางปี หรือถ้าเป็นบวกก็ไม่มากนัก กลุ่มนี้อาจลดค่าเทอมได้ในอัตรา 10% ถ้าลดมากกว่าอาจกระทบต่อรายได้สุทธิได้ ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยกลุ่มนี้มีรายได้สุทธิสะสมเป็นหลักพันล้านต้นๆ

"ผมเชื่อว่า ทุกมหาวิทยาลัยน่าจะลดค่าเทอมได้ 10% มหาวิทยาลัยขนาดใหญ่อาจลดได้ถึง 15-30% ส่วนที่เหลือ ผมว่าถ้ารัฐบาลเข้ามาช่วยอุดหนุนมหาวิทยาลัยขนาดเล็กและขนาดกลาง เพื่อให้ลดค่าเทอมได้ในสัดส่วนเดียวกันที่ 30% น่าจะเป็นเรื่องที่ดี นอกจากนี้ รัฐบาลและมหาวิทยาลัยควรเตรียมสินเชื่อเฉพาะกิจปลอดดอกเบี้ย สำหรับค่าเล่าเรียนในปีการศึกษานี้" นายเดชรัต กล่าว

‘สิระ’ สุดทน! นอนโลงซ้อมตาย ประชดการช่วยเหลือโควิด ไล่ ‘อธิบดีควบคุมโรค’ พ้นเก้าอี้ จี้ รับผิดชอบปล่อยคนตายแบบหมาจรจัด ซัด เอาแต่โยนขี้กัน แช่ง พวกหากินกับวัคซีนให้เจอภัยพิบัติทั้งการเมืองและครอบครัว

เมื่อวันที่ 20 ก.ค. ที่สำนักงานของนายสิระ ที่ถนนวิภาวดี นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า การซ้อมตายในวันนี้ คือ การออกมาเรียกร้องให้กับประชาชน เพราะเขาไม่รู้ว่าจะมีชีวิตรอดท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 หรือไม่ และไม่รู้ว่าจะตายโดยไม่ได้สั่งลาคนใกล้ชิดเมื่อใด เนื่องจากขณะนี้ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงการรักษาของระบบสาธารณสุขได้เลย ทั้งที่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ภาพที่ปรากฏ คือ คนไทยจำนวนมากนอนรอความตายอยู่ที่บ้าน แม้กระทั่งยาฟาวิพิราเวียร์ก็ไม่ได้กินเพื่อปกป้องชีวิตของตัวเอง

สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และทุกคนที่เกี่ยวข้องต้องรับผิดชอบกับการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่นี้ จะวางเฉยไม่ได้ ในเมื่อเป็นคนที่ได้รับมอบหมายมาให้แก้ไขเรื่องนี้ ถ้าแก้ให้คนไทยไม่ได้ ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขต้องสั่งเปลี่ยนตัว ให้บุคคลที่มีความรู้ ความสามารถมาทำหน้าที่แทน ชีวิตของคนไทยไม่สามารถอยู่ในมือคนไร้ความสามารถได้อีกต่อไป ใครที่ทำไม่ได้ก็พิจารณาตัวเอง ลาออกไปซะ ท่านต้องตอบคำถามกับประชาชนให้ได้ในทุกเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องวัคซีนว่าทำไมต้องเจาะจงเฉพาะยี่ห้อนี้ ทำไมถึงแทงม้าตัวเดียว มีความพิเศษตรงไหน เรื่องนี้ไม่ใช่อำนาจของ ศบค.เพราะเป็นการเซ็นสัญญาซื้อตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว ไปดูคนที่ออกมาแถลงข่าวเก่า ๆ ว่าเป็นอำนาจของใคร

“วันนี้ผมเป็นผู้แทนราษฎร ประชาชนเลือกผมเข้ามาทำหน้าที่ แต่แค่เตียงให้ชาวบ้านไปนอนรักษาตัว ผมยังไม่สามารถทำได้ ผมทำได้เพียงนำถุงยังชีพและยาฟ้าทะลายโจรไปให้เพื่อบรรเทาอาการป่วย และที่สุดแล้วตนกับเพื่อน ๆ ก็รวบรวมเงินมาซื้อโลงศพไว้ สำหรับแจกให้กับประชาชน การที่ต้องไปเห็นคนป่วยนอนรอความตายอยู่ที่บ้าน รอการช่วยเหลือแบบไร้ความหวังเป็นภาพที่น่าหดหู่ นพ.โอภาส มีโอกาสได้เห็นภาพเช่นนี้หรือไม่ ผู้บริหารมัวแต่โยนขี้ใส่กัน ถึงตอนนี้ประชาชนเขาไม่สนใจหรอกว่าใครจะเป็นคนซื้อวัคซีน อำนาจหรือคนรับผิดชอบอยู่ที่ใคร แต่พวกเขาต้องการรู้ว่าเขาจะมีโอกาสรอดตายกี่เปอร์เซ็นต์ ต้องการรู้แนวทางการจัดการวิกฤตนี้อย่างชัดเจน ไม่ใช่คลุมเครือ จับต้องไม่ได้ ชีวิตคนไม่ใช่สุนัขจรจัด ถึงจะปล่อยให้ตายตามยถากรรม” นายสิระ กล่าว

นายสิระ กล่าวต่อว่า วิกฤตวันนี้คือระบบสาธารณสุขกำลังล่มสลาย แต่ทุกคนที่เกี่ยวข้องลอยตัวกับปัญหา ออกข่าวให้ประชาชนใช้ยาฟ้าทะลายโจรเพื่อรักษา แต่กลับไม่มีการควบคุมราคาและคุณภาพ ที่สำคัญคือของขาดตลาด ประชาชนหาซื้อไม่ได้ วันนี้เขาไม่มีทางเลือกแล้ว นอกจากรอว่าตัวเองจะดวงซวยติดโควิดและรับสภาพรอความตายที่จะมาถึงเท่านั้น ตนขอแช่งให้บรรดาบุคคลที่ยังหากิน หาผลประโยชน์จากวัคซีน และเห็นการตายของคนไทยเป็นของเล่นว่า ขอให้พบกับภัยพิบัติทางการเมืองและชีวิตครอบครัว และขอให้กรรมตามทันคนเหล่านี้ภายในภพชาตินี้

“กระทรวงสาธารณสุขมีคนที่มีความรู้ ความสามารถอยู่มาก มีจำนวนกรมมากมายที่เกี่ยวข้องกับวิกฤตในครั้งนี้ เช่น กรมควบคุมโรค เป็นคนทำสัญญาซื้อวัคซีนแอสตราเซเนกา ขณะที่องค์การเภสัชกรรมทำสัญญาซื้อวัคซีนซิโนแวค และหากเอกชนจะซื้อวัคซีนไฟเซอร์หรือวัคซีนโมเดอร์นา จะต้องผ่านองค์การเภสัชกรรม ต้องไปดูว่าใครเป็นประธานบอร์ด และคนที่เป็นบอร์ด นามสกุลดังหรือนักการเมืองทั้งนั้น นี่คือต้นตอปัญหาวัคซีนใช่หรือไม่ เพราะวันนี้แม้กระทั่งคนที่มีกำลังทรัพย์ พร้อมจะควักเงินเพื่อซื้อวัคซีนมาป้องกันไม่ให้ตัวเองตายยังไม่สามารถเข้าถึงได้เลย แล้วประชาชนทั่วไปจะสามารถเข้าถึงวัคซีนพื้นฐานได้เมื่อไหร่ หรือต้องรอให้ตายก่อน

วันนี้ผมโชคดีที่ได้สั่งเสียก่อนที่จะตายแล้ว สงสารก็แต่คนที่ตายไปโดยที่ไม่มีโอกาสได้พบหน้าและกล่าวคำลาคนที่ตัวเองรักแม้สักนาทีเดียว นอกจากนี้ ภาพที่สะท้อนออกมาจากบุคลากรทางการแพทย์ที่ทั้งกระโดดตึกฆ่าตัวตาย ทั้งลาออก เพราะความเครียดจากภาระหน้าที่ที่ต้องแบกรับ ผู้บริหารให้ความใส่ใจบ้างหรือไม่ มีการสร้างขวัญและกำลังใจให้บุคลากรหน้าด่านเหล่านี้หรือไม่” นายสิระ กล่าว


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top