Sunday, 22 June 2025
POLITICS NEWS

'กรกิจ ดิษฐาน' ดึงสติคนไทย!! โจมตีรัฐบาลได้ แต่อย่าด้อยค่าวัคซีน

'กรกิจ ดิษฐาน' นักเขียน / นักค้นคว้าอิสระ ได้นำเสนอบทความ เกี่ยวกับวัคซีนในไทยจากมุมมองประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย ลงในเว็บไซต์ PostToday ว่า...

มาเลย์ไม่มั่นใจ Pfizer-ไทยด้อยค่า Sinovac อีกมุมมองหนึ่งเกี่ยวกับการใช้วัคซีนของสองประเทศ ขณะที่ไทยเรียกหา Pfizer และบ่ายเบี่ยง Sinovac แต่ที่มาเลเซียมีบางคนเห็นตรงกันข้าม

คงจำกันได้ที่ผู้เขียนเขียนเรื่อง 'เมื่อคนสิงคโปร์แก้ต่างให้ไทย แต่คนไทยขอขับเคลื่อนด้วยการด่า' โดยยกข้อมูลเรื่องบุคลากรทางการแพทย์ของไทยที่ได้รับวัคซีนของ Sinovac (คือ CoronaVac) จำนวน 2 โดส ติดเชื้อจำนวน 618 จาก 677,348 คน

ซึ่งคนสิงคโปร์ชี้ว่า สัดส่วนนี้น้อยมากแค่ 0.1% เท่านั้น แต่ในไทยเรากลับไม่ได้ดูที่สัดส่วนแบบนี้ โดยดูที่ตัวเลขลุ่น ๆ คือ 618 เมื่อเห็นหกร้อยกว่าคนก็คิดว่ามันมากแล้ว การอ่านข้อมูลแบบนี้ทำให้กระแสโจมตีวัคซีนของ Sinovac ยิ่งหนักขึ้น

ผู้เขียนไม่ได้เชียร์หรือด้อยค่าวัคซีนตัวไหนเป็นพิเศษ ในเวลานี้ขอให้รัฐบาลจัดสรรและฉีดให้ครอบคลุมก็พอ เพราะปัญหาที่ใหญ่กว่าการซื้อวัคซีนของจีนหรือของตะวันตกก็คือ ที่ไทยผลิตเองมีจำนวนไม่พอและรัฐบาลบริหารวัคซีนได้แย่ อย่างที่หลายคนบอกว่า 'แทงม้าตัวเดียว' คือหวังพึ่งแต่วัคซีนตัวสองตัว แถมยังยักไว้ในปริมาณที่น้อยเกินไปด้วย

เมื่อรัฐบาลทำให้เกิดสถานการณ์แบบนั้น ผู้คนจึงตำหนิและขับไล่ แต่ไม่ใช่เหตุที่จะไม่ฉีดวัคซีนที่มีในตอนนี้คือของ Sinovac

การที่บางคนในไทยพ่วงการโจมตีรัฐบาลโดยด้อยค่าวัคซีนที่รัฐบาลเลือก เท่ากับปลุกกระแสต่อต้านและกลัววัคซีนไปพร้อม ๆ กัน การทำแบบนี้ ทำให้คนยิ่งติดเชื้อมาก สิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือ บอกให้รีบฉีดไปก่อน เมื่อวัคซีนที่ถูกใจมาถึงค่อยใช้บูสเตอร์ในภายหลังได้

ปัญหาในไทยตอนนี้ก็คือ โจมตีรัฐบาลทำให้เกิดกระแส Anti-vaccine ด้วย ซึ่งเป็นเกมอันตรายและใช้คนเป็นเบี้ยหมากในทางการเมือง

วิธีที่ดีที่สุด คือ การโจมตีรัฐบาลที่มีนโยบายวัคซีนที่ล้มเหลว แต่จะต้องไม่ด้อยค่าวัคซีนที่พอหาได้ในตอนนี้ การด้อยค่าวัคซีนที่มีตอนนี้ทำให้คนกลัววัคซีนมากกว่ากลัวติดโควิด ผลก็คือคนติดโควิดมากและตายมาก

ถ้าจะวิพากษ์วัคซีนที่รัฐบาลพอจะสั่งมาได้ก็ควรเทียบแบบคนสิงโปร์ คือใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ ไม่ใช่อารมณ์

มาเลเซียก็มีการถกเถียงกันเรื่องสถิติของบุคลากรทางการแพทย์ของไทยที่ได้รับวัคซีนของ Sinovac เหมือนกันและเซอร์ไพรส์ที่คนมาเลเซียจำนวนหนึ่งคิดเหมือนคนสิงคโปร์ในเรื่องนี้ แต่ยังขยายต่อโดยเทียบระหว่างบุคลากรแพทย์ของไทยกับมาเลเซียด้วยที่รับวัคซีนคนละตัว และผลลัพธ์ก็ต่างกัน

เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคมหรือไล่ ๆ กับที่ไทย มีการเปิดเผยตัวเลขบุคคลากรแพย์ที่ติดเชื้อหลังจากฉีด Sinovac ซึ่งมีการถกเถียงกันในประเด็นนี้ในกลุ่มติดตามโควิดของมาเลเซีย โดยยกตัวอย่างว่า...

"ประเทศไทย - เจ้าหน้าที่สาธารณสุข 677,348 คนได้รับวัคซีน Sinovac ครบถ้วนแล้ว ติดเชื้อโควิด 618 ราย = 0.091% VS มาเลเซีย - บุคลากรทางการแพทย์ 245,932 คนได้รับวัคซีน Pfizer ครบถ้วนแล้วผู้ติดเชื้อ 3,106 ราย = 1.26%"

สรุปสั้น ๆ ก็คือบุคลากรแพทย์ไทยฉีด Sinovac แต่ติดเชื้อ 0.091% ส่วนบุคลากรแพทย์มาเลเซียฉีด Pfizer ติดเชื้อ 1.26% หรือ อัตราการติดเชื้อระหว่างบุคลากรแพทย์ในมาเลเซียกับไทยต่างกันถึง 14 เท่า (1.26/0.091) โดยมาเลเซียสูงกว่า 14 เท่านั่นเอง เทียบกันแบบปอนด์ต่อปอนด์แบบนี้คงชัดเจนมากขึ้น

ในกลุ่มนี้มีการถกเถียงประเด็นนี้ โดยมีความหนึ่งที่น่าสนใจ แม้จะไม่ใช่ความเห็นของคนเด่นคนดัง แต่ก็ตรงกับวิธีคิดของผู้เขียน ความเห็นนี้ (ชื่อ Francis Phang) บอกว่า... "สิ่งสำคัญคือต้องฉีดวัคซีนไม่ว่ายี่ห้ออะไร พวกมันทั้งหมดทำงานได้ดี แต่ทำงานได้ดีเพียงใดขึ้นอยู่กับว่าคุณดูแลตัวเองดีเพียงใดเพื่อหลีกเลี่ยงสายพันธุ์ต่าง ๆ ของโควิด-19"

ที่พูดแบบนี้กัน ก็เพราะมาเลเซียนั้นได้ Pfizer มาถึง 44.8 ล้านโดส แต่ปรากฏว่ามีกระแสกังขามันและต้องการจะฉีด Sinovac เสียอยางนั้น ซึ่งกลับตาลปัตรกับประเทศไทย!!

(ทั้งนี้ Pfizer ล็อตแรกที่ส่งมายังมาเลเซียสงวนไว้สำหรับแนวหน้า ซึ่งรวมถึงเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ตำรวจ และเจ้าหน้าที่กองทัพ โดยเริ่มฉีดเดือนกุมภาพันธ์)

ตัน สรี ดร.นูร์ ฮิชัม อับดุลลอห์ อธิบดีกรมสุขภาพของมาเลเซียยังถึงกับบอก (หลังเผยตัวเลขบุคลากรแพทย์ที่ติดเชื้อถึง 3,106 ราย) ว่า “มีช่วงหนึ่ง หลายคนไม่พอใจกับทวีตของผม เมื่อผมพูดถึงจำนวนบุคลากรทางการแพทย์ที่ติดเชื้อหลังจากฉีดวัคซีนครบแล้ว ถูกต้อง คุณยังสามารถติดเชื้อได้หลังจากฉีดวัคซีนครบแล้ว แต่ไม่เท่ากับที่มีรุนแรง โดยต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลและเสียชีวิตน้อยกว่า"

ไม่ว่าใครก็ตามต่างก็พยายามจะบอกว่าวัคซีนของที่ตัวเองมีอยู่นั้น มีผลน่าพอใจแล้ว เช่น รายงานข่าวของทางการมาเลเซียเอง ก็บอกว่ามีบุคลากรแพทย์ที่ได้รับวัคซีนสองโดสแล้ว "ติดแค่เล็กน้อย" ซึ่งว่ากันตามสถิติแล้ว 1.26% ก็ยังถือว่าไม่สูงมากจริง ๆ

สิ่งที่เลวร้ายกว่าการเชียร์วัคซีนก็คือ การไปด้อยค่าวัคซีนอื่น เพราะไม่ใช่ทุกประเทศที่จะนำเข้าวัคซีนที่มีประสิทธิภาพดีกว่าได้ จะขอยกตัวอย่างกรณีของสำนักข่าว The New York Times เรื่อง "พวกเขาอาศัยวัคซีนจีน ตอนนี้พวกเขากำลังต่อสู้กับการระบาด" เมื่อโพสต์ข่าวในเฟซบุ๊ก แทนที่ผู้อ่านจะโจมตีวัคซีนจีนกลับโจมตีคนรายงานข่าวนี้

ความเห็นที่มีผู้ไลก์มากที่สุด Roxana Nassiri บอกว่า "ประเทศที่ยากจนส่วนใหญ่พึ่งพาวัคซีนจากจีน มันคือสิ่งที่พวกเขาควรทำ เมื่อประเทศร่ำรวยสะสมวัคซีนที่ดีที่สุดเอาไว้ให้ตัวเอง คุณพยายามอย่างเต็มที่เพื่อควบคุมการติดเชื้อด้วยสิ่งที่คุณมีอยู่ในมือ"

อีกคน Jackie Orio บอกว่า "ลองเขียนบทความใหม่เป็น "วัคซีนที่พวกหามาเอาไหม? ผมแน่ใจว่าหากแบรนด์อื่น ๆ มีจำหน่ายในประเทศเหล่านี้ พวกเขาจะรับมันไว้"

ดูเหมือนว่าชาวโลกที่มีเหตุมีผลจะคิดคล้าย ๆ กันว่า "ได้อะไรมาก็รีบฉีดกันตายเอาไว้ก่อน" ส่วนรัฐบาลวางแผนพลาดเรื่องวัคซีน ก็เช็กบิลกันไปตามเนื้อผ้า

วัคซีนที่ถูกด้อยค่านั้นอาจมีผลคือ ถูกสั่งนำเข้าลดลงมีผลต่อรายได้ของบริษัท/ประเทศต้นทาง แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาของประเทศที่สั่งเข้ามาแล้ว ปัญหาของประเทศที่สั่งเข้ามาแล้วคือ ประชาชนกังขามันจนไม่ยอมฉีด ผลก็คือเกิดการระบาดหนัก ต้องสูญเสียชีวิตของคนที่หลงเชื่อขบวนการด้อยค่าวัคซีน

แม้แต่ในสหรัฐฯ ตอนนี้ใช้ Pfizer กับ Moderna เป็นหลักแท้ ๆ ก็ยังมีกระแสกังขา/ต่อต้านมันจนกระทั่งอัตราการฉีดวัคซีนลดลงแบบน่าตกใจ หลายรัฐโดยเฉพาะรัฐภาคใต้จึงมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นมาอีก ยังไม่นับความร้ายกาจของเดลตาที่ทำให้วัคซีน mRNA มีประสิทธิภาพลดลง บางรัฐจึงสั่งให้สวมหน้ากากอีก แม้จะฉีดวัคซีนไปมากแล้ว

ในสหรัฐฯ การด้อยค่าวัคซีนมีปัญหามาจากความแตกแยกทางการเมืองและการเมืองเรื่องสีคล้าย ๆ กับบ้านเรา คือรัฐภาคใต้ที่นิยมพรรคสีแดง (รีพับลิกัน) ฉีดวัคซีนน้อยและต้านวัคซีนมาก ผลก็คือตัวเลขติดเชื้อพุ่งขึ้นมาอีก ส่วนรัฐสีน้ำเงิน (เดโมแครต) ฉีดวัคซีนมากการติดเชื้อน้อย แต่บางรัฐในกลุ่มนี้ต้องสั่งให้สวมหน้ากากอีกครั้ง

ดังนั้น สีเสื้อทางการเมืองไม่มีผลอะไร เพราะเจอไวรัสก็ตายเหมือนกัน ถ้าไม่ระวังตัวหรือเอาแต่กังขาวัคซีน

ในสหรัฐฯ นั้นคนไม่ได้ต่อต้าน Pfizer แต่ต่อต้านมาตรการของรัฐ เพราะยึดมั่นถือมั่นว่าประชาชนอเมริกันมีเสรีภาพที่รัฐจะมาบีบบังคับไม่ได้แม้แต่เรื่องเป็นเรื่องตาย ประมาณว่า "กูจะตายก็เรื่องของกู"

แต่โรคระบาด "ไม่ใช่เรื่องของกูคนเดียว" เพราะถ้า "กู" ติดขึ้นมาไม่จะไม่ติดแค่ "กู" คนเดียวแต่จะลาก "มึง" อีกนับสิบนับร้อยคนซวยไปด้วย

เช่นกัน ในประเทศไทยมีผู้ออกมาด้อยค่าวัคซีนที่มีอยู่เพียงเพื่อจะเชียร์ Pfizer ซึ่งก็เชียร์ได้และควรจะเชียร์ เพียงแต่การเชียร์มิติเดียวของคนพวกนี้ทำให้ประชาชนกลัววัคซีนที่มีอยู่จนบอกกับตัวเองว่า "กูไม่ฉีดล่ะ" ผลก็คือ "กู" ติดเชื้อและทำให้คนอื่นติดไปด้วย

พูดสั้น ๆ ก็คือพวกเชียร์วัคซีน A ด้อยค่าวัคซีน B คือพวกที่ทำให้เกิดกระแสต่อต้าน/กังขาวัคซีนทางอ้อม ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม และความรับผิดชอบต่อเรื่องนี้มันหนักหนาสาหัสมาก

ย้ำว่ารัฐบาลสมควรถูกต่อว่าอย่างหนักหรือแม้แต่สมควรกับการถูกขับไล่เพราะแผนจัดการวัคซีนที่แย่และขาดวิสัยทัศน์ แต่วัคซีนที่รัฐซื้อมาเพื่อใช้ในเวลาฉุกเฉินไม่ใช่จำเลย รัฐบาลต่างหากที่เป็นจำเลยสังคมและการตำหนิรัฐบาลไม่ทำให้คนตายเท่ากับด้อยค่าวัคซีน

รัฐบาลบริหารผิดพลาดเป็นเวรกรรมคนไทยโดยแท้และคนไทยควรจะ "แก้กรรม" นี้โดยเร็ว

แต่การโจมตีรัฐบาลโดยใช้ความกลัววัคซีนของประชาชนเป็นเบี้ยหมากทางการเมืองนั้น ก็สร้างเวรสร้างกรรมเหมือนกัน


ที่มา : https://www.posttoday.com/world/658641


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

รองโฆษกรัฐบาล เผย สธ.-คมนาคม กำหนดมาตรการเข้ม ย้ายผู้ป่วยใน กทม. ปริมณฑล กลับภูมิลำเนา โทรสายด่วน 1330 แจ้งความประสงค์ได้

ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากผลการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 20 ก.ค.ที่ผ่านมา มอบหมายให้กระทรวงทรวงสาธารณสุข ประสานกับรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กำหนดแนวทางการดูแลผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ต้องการเดินทางกลับไปรักษาที่ภูมิลำเนา เพื่อลดความหนาแน่นในการรองรับผู้ป่วยใน กทม.และปริมณฑล ล่าสุดสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ กองทัพบก และกระทรวงคมนาคม ได้ประสานความร่วมมือ จัดรถรับ-ส่งผู้ป่วยโรคโควิด-19 ในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล ที่ต้องการกลับไปรักษายังภูมิลำเนาแล้ว โดยประชาชนที่ป่วยด้วยโรคโควิด-19 อาการไม่รุนแรง ในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล ที่ต้องการกลับไปรักษาตัวยังภูมิลำเนา สามารถติดต่อได้ที่สายด่วน  1330 กด 15  หรือลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ https://crmdci.nhso.go.th/

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับขั้นตอนการดำเนินการนั้น เมื่อผู้ป่วยรับทราบผลการติดเชื้อโควิด-19 แล้วแจ้งไปยังสายด่วน 1330 ประสงค์เดินทางกลับภูมิลำเนาเดิม สปสช.และกระทรวงคมนาคม จะแจ้งประสานไปยังจังหวัดปลายทางเพื่อส่งตัวผู้ป่วยเข้ารักษาที่โรงพยาบาลหรือโรงพยาบาลสนามในจังหวัด โดยมีมาตรการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยที่เข้มงวด ปลอดภัย ซึ่งเป็นข้อกำหนดจากกรมควบคุมโรคและสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ เช่น มีอุปกรณ์กั้นผู้ป่วยแยกกับคนขับ มีมาตรการเว้นระยะห่าง นั่งที่เวรที่ สำหรับรถตู้ให้โดยสารได้ไม่เกิน 5 คน พร้อมมีแพทย์วิดีโอคอลให้คำปรึกษาอาการระหว่างการเดินทาง โดยกระบวนการขนย้ายนี้ เป็นความร่วมมือของกระทรวงคมนาคม การรถไฟแห่งประเทศไทย และกรมการขนส่งทหารบก
 
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับกระทรวงคมนาคม ได้กำหนดมาตรการด้านการขนส่งผู้ป่วยไว้เป็นอย่างดี โดยให้ดำเนินการตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด อาทิ การเว้นระยะห่างภายในรถ การทำความสะอาดตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด รวมทั้งการจัดเตรียมอาหารและเครื่องดื่มให้กับผู้ป่วยระหว่างเดินทาง พร้อมประสานขอให้จังหวัดดำเนินการวางแผนการรองรับผู้ป่วยกลับบ้าน โดยให้มีการคาดการณ์ถึงสถานการณ์ในอนาคตเพื่อดำเนินการเตรียมความพร้อมล่วงหน้าด้วย นอกจากนี้ ยังเพิ่มช่องการอื่น เช่น ไลน์ สำหรับกรณีที่จังหวัดหรือหน่วยงานใด ต้องการการสนับสนุนจากกระทรวงคมนาคม เพื่อให้สามารถดำเนินการได้ทันต่อสถานการณ์

กสร. มุ่งขจัดปัญหาการค้ามนุษย์อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มศักยภาพพนักงานตรวจแรงงาน

กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานเพิ่มศักยภาพพนักงานตรวจแรงงานในการคัดแยกผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์และการบังคับใช้แรงงาน เพื่อยกระดับพนักงานตรวจแรงงานให้มีศักยภาพในการขจัดปัญหาการค้ามนุษย์ด้านแรงงานอย่างมีประสิทธิภาพ

นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวในฐานะประธานเปิดโครงการเพิ่มศักยภาพพนักงานตรวจแรงงานในการคัดแยกผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์และการบังคับใช้แรงงานว่า กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาได้เผยแพร่รายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ ประจำปี 2564 โดยจัดให้ประเทศไทยอยู่ในระดับเทียร์ 2 ซึ่งต้องจับตามอง (Tier 2 Watch List) โดยให้เหตุผลว่าประเทศไทยมิได้ปฏิบัติตามมาตรฐานขั้นต่ำในการขจัดการค้ามนุษย์อย่างเต็มที่ เจ้าหน้าที่ขาดความเข้าใจในเรื่องการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน และขาดขั้นตอนที่เป็นมาตรฐานสำหรับพนักงานตรวจแรงงานในการส่งต่อกรณีการค้ามนุษย์ไปยังหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย กระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่ดูแลในเรื่องการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์โดยตรง และนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ต่างมีความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาและมีความต้องการที่จะพัฒนากระบวนการทำงานเพื่อขจัดปัญหาการค้ามนุษย์ในทุกมิติอย่างต่อเนื่อง

จึงได้มอบหมายให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ในฐานะหน่วยงานที่มีภารกิจหลักในการคุ้มครองแรงงาน จัดโครงการเพิ่มศักยภาพพนักงานตรวจแรงงานในการคัดแยกผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์และการบังคับใช้แรงงาน เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพการตรวจแรงงานให้พนักงานตรวจแรงงานมีความรู้ความเข้าใจในสาระสำคัญของกฎหมาย และการบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองแรงงาน สามารถวิเคราะห์ลักษณะความผิดที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับความผิดฐานค้ามนุษย์ด้านแรงงาน การใช้แรงงานเด็ก และการบังคับใช้แรงงานหรือบริการ จนนำไปสู่การคัดแยกผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ด้านแรงงานสามารถประสานงานและส่งต่อกรณีที่อาจเป็นกรณีการค้ามนุษย์ด้านแรงงานไปยังทีมสหวิชาชีพและหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ผู้เสียหายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อธิบดี กสร. กล่าวเพิ่มเติมว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กรมจึงได้ดำเนินการจัดฝึกอบรมในรูปแบบออนไลน์ผ่านวีดิทัศน์ทางไกล (Cat Conference) โดยมีผู้เข้ารับการฝึกอบรมประกอบด้วยพนักงานตรวจแรงงานจากหน่วยงานในสังกัดทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค จำนวน 100 คน โดยมุ่งหวังยกระดับสถานการณ์การค้ามนุษย์ในประเทศไทยให้ดีขึ้นได้ต่อไป

เรื่องวัคซีน ยิ่งมาเยอะ ยิ่งดี ! “เลขาฯเม้ง” แจงยิบ ปม นำเข้า Sinovac เพิ่ม 

กรณีที่มีคำสั่งเตรียมซื้อวัคซีน Sinovac เพิ่มอีก 10.9 ล้านโดส ท่ามกลางเสียงวิจารณ์จากฝ่ายการเมือง ว่าวัคซีนไม่มีประสิทธิภาพ ล่าสุด 22 กรกฎาคม 2564 นายวัชรพงศ์ คูวิจิตรสุวรรณ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวในประเด็นดังกล่าวว่า 

รัฐบาล กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องการนำวัคซีนที่มีคุณภาพ และความปลอดภัย เข้ามาให้บริการประชาชนในจำนวนที่เพียงพอ และในระยะเวลาที่เร็วที่สุด 

ซึ่งวัคซีนของ Sinovac เป็นวัคซีนที่ผ่านการรับรองโดยองค์การอนามัยโลก เป็นวัคซีนที่ Covax จองซื้อจำนวนมหาศาล ดังนั้น ถ้าจะบอกว่า Sinovac นั้นแย่  ก็เท่ากับ WHO และ Covax เลือกวัคซีนไม่มีคุณภาพมาบริการแก่ชาวโลก ซึ่งในความเป็นจริงไม่เป็นเช่นนั้น เพราะในการใช้กับสถานการณ์จริง ที่มาเลเซียพบว่าประสิทธิภาพของ Sinovac กับวัคซีนแบบ mRNA ก็เท่ากัน ขณะที่ผลการศึกษาของกระทรวงสาธารณสุข พบว่าประสิทธิผลต่อสายพันธุ์เดลตาขณะนี้ ถือว่ายังคงที่คือร้อยละ 75 ปัจจุบันนี้ ประเทศไทย นำเข้าวัคซีนมาหลายชนิด มีทั้งวัคซีนทางหลัก และทางเลือก ในอนาคตจะมีวัคซีนให้คนไทยได้เลือกเป็นจำนวนมาก แต่ก็เห็นกันอยู่ว่า การนำเข้ามาซึ่งวัคซีนนั้น มีปัจจัยที่ไม่แน่นอนมากมายเหลือเกิน และถามว่า ในขณะที่โรคยังระบาดทุกวัน เรายังจะลุ้น และเรารอได้หรือไม่  คำตอบคือ รอไม่ได้ ในสมรภูมิรบ ชุดเกราะที่เอามาได้ก่อน ก็สมควรนำเข้ามา 

นอกจากนั้น วัคซีนที่ไทยใช้เป็นหลัก ยังสามารถปรับสูตรเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันได้อย่างปลอดภัย ล่าสุด  ได้รับการยืนยันจากนพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ว่ามีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยสูง เท่ากับว่าวัคซีนที่ไทยมีนั้น สามารถปรับให้สอดคล้องกับสถานการณ์ได้

“จริงๆ การมีวัคซีนเข้ามาให้มากที่สุด ย่อมเป็นเรื่องดีกว่าการรอวัคซีนที่ถูกใจ  ซึ่งกว่าจะมา ก็อาจไม่ทันการระบาดแล้ว  ผมขอเป็นกำลังใจให้คนทำงาน และคนไทยทุกท่าน ชั่วโมงนี้ ขอให้มองสภาพความเป็นจริงครับ อย่าเพิ่งวิจารณ์คนทำงานซึ่งบางท่านที่วิพากษ์ มีอคติทางการเมืองอยู่เบื้องหลัง” 

“องอาจ” เสนอนายกฯ เร่งดูแลประชาชน 5 ด้าน ช่วงล็อกดาวน์

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค และประธาน ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์ 13 จังหวัดว่า การล็อกดาวน์ครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อประชาชนที่มีรายได้น้อย ผู้ใช้แรงงานนอกระบบ และธุรกิจ SME อย่างรุนแรง เพราะถึงแม้จะไม่มีล็อกดาวน์ คนกลุ่มนี้ก็มีความยากลำบากในการใช้ชีวิตในเมืองใหญ่โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครมากอยู่แล้ว จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่ต้นปีที่แล้วจนถึงการระบาดรอบ 3 ที่กำลังก่อให้เกิดวิกฤติครั้งใหม่อยู่ในขณะนี้

มีการประเมินว่าการล็อกดาวน์คราวนี้จะเกิดการสูญเสียทางเศรษฐกิจวันละประมาณ 3,500 – 4,500 ล้านบาท ถ้าล็อกดาวน์ 2 สัปดาห์จะเกิดความสูญเสียประมาณ 49,000 – 63,000 ล้านบาท ในกรณีที่ล็อกดาวน์ 1 เดือนจะเกิดความสูญเสียไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านบาท

แน่นอนว่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจจากการล็อกดาวน์ ก่อให้เกิดผลกระทบทั่วหน้าตั้งแต่ผู้ประกอบการขนาดใหญ่ไปจนถึงธุรกิจ SME รวมถึงผู้ใช้แรงงานนอกระบบ แรงงานรายวัน ครัวเรือนรายได้น้อยที่ประทังชีวิตด้วยการหาเช้ากินค่ำ

แต่ผู้ประกอบการขนาดใหญ่มีกำลังทุนที่เข้มแข็งไม่เปราะบางมาก มีสายป่านที่ยาวพอจะประคับประคองตัวเองได้ระดับหนึ่ง แต่สำหรับคนหาเช้ากินค่ำควรมีมาตรการช่วยเหลือเยียวยาอย่างถึงที่สุด

การเยียวยารอบนี้ภาครัฐควรเน้นมาตรการและกลไกที่ตอบสนองต่อการแก้ปัญหาได้จริงดังนี้

1. ต้องเน้นช่วยคนที่เดือดร้อนมากที่สุดก่อน และควรคำนึงถึงความเสมอภาคมากกว่าความเท่าเทียม
2. ต้องมีมาตรการเสริมรายได้ลดรายจ่ายให้ชัดเจนเป็นรูปธรรม เพื่อบรรเทาภาระทางการเงินของประชาชนทุกรูปแบบ
3. ต้องช่วยธุรกิจ SME อย่างจริงจัง เพื่อทำให้ไม่กระทบการจ้างงานในวงกว้าง
4. ต้องใช้กลไกทางการเงินการคลังแบบยาแรง เพื่อช่วยเหลือธุรกิจไม่ให้ปิดกิจการ
5. ต้องเร่งใช้เงินกู้ 500,000 ล้านบาทให้เกิดผลสัมฤทธิ์ช่วยเหลือเยียวยา และฟื้นฟูได้จริง ไม่ควรทำแบบใช้เงินกู้ 1 ล้านล้านบาทเหมือนที่ผ่านมา ที่ไม่ตอบโจทย์ของปัญหาที่เกิดขึ้น ธุรกิจ SME คนตัวเล็กตัวน้อยที่ได้รับผลกระทบจากโควิดได้รับการดูแลแก้ปัญหาน้อยมาก

ขอให้นายกรัฐมนตรีในฐานะประธาน ศบค. ลงมาติดตามการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนกลุ่มต่างๆ ในครั้งนี้ด้วย เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้ในสถานการณ์ที่ยากลำบากอย่างมากในขณะนี้

'จิรายุ' ลั่น ดาราคนไหนโดนดำเนินคดี พร้อมเอาตำแหน่ง ส.ส. ประกันตัวให้

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุข้อความว่า ...

"เรียนดารานักแสดง..

ท่านใดโดนคดี call out

ผมขอใช้ตำแหน่ง ส.ส.ประกันตัวให้ครับ.!!"

นายจิรายุ ยังระบุซ้ำด้วยว่า รัฐบาลจะดำเนินคดี ดารา Call out เอาเวลาไปหาวัคซีนก่อนมั้ย!!!


ที่มา : https://www.facebook.com/จิรายุ-ห่วงทรัพย์-804181579762028/


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“ธนกร” ซัด “จิรายุ” ใจอำมหิต เล่นการเมืองบนความเดือดร้อนป้อง “บิ๊กตู่” เยียวยาทุกอย่าง ช่วยทั้งค่าน้ำ-ค่าไฟ-ค่าเทอม

นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวกรณีที่นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย กล่าวหารัฐบาลใจดำอำมหิต ผลักภาระให้ประชาชนและเรียกร้องให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม สั่งรัฐวิสาหกิจแบ่งเบาภาระประชาชน ว่า นายจิรายุเป็นประธานคณะกรรมาธิการกิจการศาล องค์กรอิสระ องค์กรอัยการ รัฐวิสาหกิจ องค์กรมหาชนและกองทุน แต่ยังใส่ร้ายรัฐบาลแบบหน้าตาเฉยไม่เปลี่ยน สิ่งที่พูดไม่เป็นความจริง พล.อ.ประยุทธ์ สั่งการให้หน่วยงานของรัฐช่วยเหลือประชาชนทุกเรื่อง ไม่เคยผลักภาระให้ ทั้งลดค่าน้ำค่าไฟ 2 เดือน ดูแลค่าเทอมนักเรียนนักศึกษา เยียวยาประชาชนลูกจ้าง ตามมาตรา34 39 40ในจังหวัดที่ล็อกดาวน์ พักหนี้ให้ผู้ประกอบรายย่อย ออกมาตรการทางการเงินการคลังในการช่วยผู้ประกอบการ ปรับโครงสร้างหนี้ พักหนี้ สนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำฯ

นายธนกร กล่าวว่า เวลานี้ไม่ใช่เวลาเล่นการเมือง ทุกฝ่ายต้องช่วยเหลือบ้านเมือง คนที่อำมหิตคือนายจิรายุ ไม่ใช่รัฐบาล ที่เล่นการเมืองบนความเดือดร้อนของประชาชน ถ้ามีอะไรนายจิรายุ สามารถส่งมาหรือประสานนายเสกสกล อัตถาวงษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี จะดำเนินการให้ทุกเรื่อง แต่ให้เป็นสิ่งที่ประชาชนต้องการ จึงอยากขอให้นายจิรายุ หยุดการเมืองแล้วมาร่วมแรงร่วมใจช่วยเหลือประชาชนจะดีกว่า ที่ผ่านมานายจิรายุทำหน้าที่ประธานกรรมาธิการฯ ได้ดีมาก อย่าถอยกลับไปเลย ขึ้นลิฟต์ไปแล้ว ไม่ควรออกมาสะเปะสะปะหน้ามืดตามัวโจมตีรัฐบาลแบบไร้เหตุผลเหมือนนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ให้ตัวเองต้องเสียราคา

 

สปน. แจกถุงยังชีพ 19,537 ครอบครัว กลุ่มเปราะบาง ผู้ป่วยติดเตียง 13 จว.สีแดงเข้ม - หนุน อุปกรณ์ป้องโควิด-19 ให้จนท.สาธารณสุข - เปิดรับบริจาค ลดหย่อนภาษีได้

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้มีข้อสั่งการในการประชุมครม.และ ศบค. ให้ทุกหน่วยงานเร่งช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ทวีความรุนแรงขึ้นในปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการดำเนินชีวิต ของประชาชนในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 13 จังหวัด

นายธีรภัทร กล่าวว่า จากการที่นายกฯและครม. ได้บริจาคเงินเดือนเริ่มต้น เมื่อวันที่ 10 มี.ค. 2563 เพื่อเปิดบัญชี “สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อรับบริจาคสนับสนุนการแก้ไขปัญหา โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)” โดยมีภาคเอกชน และภาคประชาชน บริจาคเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ต่อมา นายกฯและครม. ได้เตรียมบริจาคเงินเพิ่มเติมอีก ซึ่งสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้จัดตั้ง คณะกรรมการมาบริหารเงินจากบัญชีดังกล่าว โดยตนเป็นประธานกรรมการ มีผู้แทนของ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เป็นกรรมการ 

นายธีรภัทร กล่าวว่า คณะกรรมการ ได้อนุมัติจัดเงินจากบัญชีดังกล่าวมาช่วยเหลือแพทย์ พยาบาล และ อสม. ที่บาดเจ็บ และเสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิด-19 ในช่วงปฏิบัติงานดูแลผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ได้จัดเงินช่วยเหลือไปแล้ว 126 ราย และกำลังพิจารณาช่วยเหลือเพิ่มเติมในระยะต่อไป 

นายธีรภัทร กล่าวว่า รวมทั้งปัจจุบันนายกรัฐมนตรี ได้ให้จัดถุงยังชีพเพื่อสนับสนุนช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่จังหวัดควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 13 จังหวัด ตามคำสั่ง ศบค. ที่ 10/2564 จึงได้จัดเงินบริจาคจากบัญชีดังกล่าว และจากกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี สนับสนุนรวม 13 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ปทุมธานี นครปฐม นนทบุรี สมุทรปราการ สมุทรสาคร ฉะเชิงเทรา ชลบุรี พระนครศรีอยุธยา สงขลา ปัตตานี นราธิวาส และยะลา ประสานการทำงานร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกรุงเทพมหานคร ในการจัดถุงยังชีพแจกจ่ายให้ครอบครัว กลุ่มเปราะบางผู้ป่วยติดเตียง รวมจำนวน 19,537 ครอบครัว ทั้งนี้ สิ่งของในถุงยังชีพประกอบด้วยเครื่องอุปโภคบริโภค ข้าวสาร อาหารกระป๋อง รวมทั้งได้เพิ่มหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ เจลแอลกอฮอล์ และยาสมุนไพรฟ้าทะลายโจร ซึ่งมีความจำเป็นในสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด – 19 ที่รุนแรงขึ้นช่วงนี้

นายธีรภัทร กล่าวว่า เพื่อส่งมอบกำลังใจ และความห่วงใยต่อพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบ จากสถานการณ์โควิด-19 ในจังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด และจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ รวมทั้งร่วมช่วยเหลือ บุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่สนับสนุนด้านสาธารณสุขที่ติดเชื้อโควิด-19 จากการปฏิบัติงาน และเพื่อการสนับสนุน อุปกรณ์ป้องกันโควิด-19 เพิ่มเติมในระยะต่อไป

นายธีรภัทร กล่าวว่า ขอเชิญชวนร่วมบริจาคเงินสนับสนุนได้ที่ บัญชีเลขที่ 067-0-06895-0 ธนาคารกรุงไทย สาขาทำเนียบรัฐบาล ชื่อบัญชี “สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อรับบริจาคสนับสนุนการ
แก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)” โดยยอดเงินบริจาคสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้

'ณัฐชา' ส.ส.ก้าวไกล ซัดหนัก ติดเชื้อเสียชีวิตข้างถนน ไม่มีใครแล ประเทศไทยมาถึงจุดนี้ เพราะมีนายกชื่อ 'ประยุทธ์'

นาย ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส. เขตบางขุนเทียน กรุงเทพฯ และโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวว่าสถานการณ์ประเทศไทยในขณะไม่สามารถไปต่อได้แล้วจริง ๆ ระบบการจัดการรองรับผู้ป่วยและควบคุมโรคแก้ไขกันวันต่อวัน ไม่มีแผนรองรับอะไรเลย ผมในฐานะส.ส.เขตรับรู้ถึงปัญหา พี่น้องประชาชนแจ้งความเดือดร้อนวันละไม่ต่ำกว่า 100 ราย ถามจริง ๆ ท่านไม่รู้เลยเหรอว่าน้ำตาประชาชนกำลังแปรเปลี่ยนเป็นกองเพลิง สถานการณ์ที่ยืนปากเหวเช่นนี้ นายกรัฐมนตรีกลับ Work From Home

วันนี้สิ่งที่รัฐบาลต้องทำคือเปิดหูเปิดตา ที่ผ่านมาพวกผมฝ่ายค้านสะท้อนปัญหาเสนอแนะทางออกกันทุกวันไม่เคยเข้าสมองอะไรเลย หรืออาจกลัวเสียฟอร์มที่จะนำเอาข้อเสนอของพวกผมไปปฏิบัติ แต่วันนี้เหตุการณ์ล่าสุดที่เกิดขึ้นน่าจะทะลุสมองเข้าหูพวกท่านได้แล้ว เหตุการณ์ที่มีผู้เสียชีวิต ริมถนนในวันเดียวถึง 5 ราย แต่ไม่มีใครกล้ากระทั่งมาเก็บศพ

พี่น้องประชาชนคนไทยตั้งคำถามเป็นเสียงเดียวกันว่า เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร เรายังคงเจอกรณีที่มีผู้เสียชีวิตคาบ้านอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่รัฐมนตรีเคยรับปากว่าจะไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก เรายังเผชิญกับสถานการณ์ที่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่มากกว่าหนึ่งหมื่นคนในทุก ๆ วัน แต่นั่นก็ยังไม่ใช่ตัวเลขที่แท้จริงเพราะยังไม่มีการตรวจอีกเป็นจำนวนมาก และเรายังคงมีผู้เสียชีวิตมากกว่าร้อยคนแทบจะวันเว้นวัน ทั้งที่เราเคยภาคภูมิใจอย่างยิ่งว่าระบบสาธารณสุขดีของเรานั้นดีเป็นลำดับต้นของโลกประเทศหนึ่ง

“ในวันที่เลวร้ายเช่นนี้ เรากลับไม่เห็นผู้รับผิดชอบสถานการณ์คนใดที่เคยกล่าวคำอวดดีและใช้กฎหมายไล่บี้ต่อคำวิพากษ์วิจารณ์กล้าหาญออกมาสบตาประชาชนและแสดงความรับผิดชอบต่อความผิดพลาดอย่างตรงไปตรงมาแม้แต่คนเดียว เรามีผู้นำที่รวบอำนาจทุกอย่างไว้กับตัวเองมาแล้วเกือบสองปี แต่ยังคงเอาแต่หลบอยู่หลังแป้นพิมพ์แล้วเขียนข้อความสวยหรูราวกับว่าอยู่กันคนละโลกกับประชาชน เพื่อบอกว่าเขายังทำงานอยู่

ขณะที่ประชาชนกลับไม่รู้สึกสัมผัสถึงสิ่งนั้นได้เลย เพราะสิ่งที่ประชาชนกำลังรู้สึกอย่างแท้จริงในเวลานี้คือท่านกำลังลอยตัวเหนือปัญหา จนคล้ายเป็นสันดานไปแล้ว และท่านยังหน้าด้านฉวยเอาโอกาสนี้ประกาศ Work From Home เพื่อเลี่ยงที่จะตอบคำถามถึงความล้มเหลวทั้งหมดที่เกิดขึ้น เป็นผู้นำที่มั่นหน้าว่ามาจากกองทัพ แต่ชอบเอาแต่หดหัวอยู่ในบ้านพักหลวง รอรับสวัสดิการที่ไม่ควรได้ในค่ายทหารอย่างหรูหรา

ในขณะที่บุคลากรด่านหน้ายังต้องออกไปเผชิญเสี่ยงทุก ๆ วันด้วยอาวุธที่ประสิทธิภาพน้อยที่สุดที่ท่านเลือกให้ เพื่อไปสู้รบปรบมือในสมรภูมิเชื้อโรค ราวกับยื่นมีดปอกผลไม้แล้วบอกให้พวกเขาไปสู้ให้เต็มที่ท่ามกลางห่ากระสุนหูดับตับไหม้”

ณัฐชากล่าวเพิ่มเติมว่า สถานการณ์ในวันนี้คือ เรากำลังอยู่กับรัฐบาลที่ไม่สนใจใยดีต่อความสูญเสียของประชาชนและไม่เคยยอมรับความผิดพลาดของตนเอง ในทุกครั้งที่มีการระบาด เขาเอาแต่โทษประชาชนว่า หละหลวม การ์ดตก แต่ไม่เคยกล่าวถึงแผนวัคซีนแบบ ‘แทงม้าตัวเดียว’ ที่ผิดพลาดแม้แต่คำเดียว นั่นก็เพราะเขาถนัดแต่ใช้การกฎหมายเพื่อควบคุมประชาชนจึงต้องหาเหตุโทษประชนเอาไว้ก่อน รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลที่มีเป้าหมายในชีวิตเพียง 2 อย่าง คือ การปราบม็อบ และการผลาญภาษีประชาชน

ดังนั้น จึงอย่าแปลกใจเพราะไม่ว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนไปแค่ไหน สิ่งที่รัฐบาลนี้จะทำอย่างแข็งขันคือควบคุมประชาชนด้วยการล็อกดาวน์ แต่หลีกเลี่ยงการเยียวยา จากนั้นก็จะมาขอกู้เงินและของบประมาณเพื่อเอาไปซื้ออาวุธยุทธภัณฑ์บ้าง และเอาไปแบ่งปันประโยชน์กันกับพรรคร่วมรัฐบาลบ้าง จึงมีโครงการต่าง ๆ ออกมามากมายเต็มไปหมด แต่โครงการเหล่านั้นกลับไม่ได้เป็นประโยชน์ใดต่อสถานการณ์โควิดที่ประชาชนกำลังเผชิญเลยเลย

“หากรัฐบาลใส่ใจประชาชนมากกว่านี้ ป่านนี้เราคงมีวัคซีนที่หลากหลาย ไม่ใช่วัคซีนที่มีประสิทธิภาพดีมากในการป้องกันการนำเข้าวัคซีนอื่นที่มีประสิทธิภาพดีกว่าในการป้องกันโรคเข้ามา เราคงไม่ต้องเจอกับคำโกหกหลอกลวงมานานนับปีว่า เราจะมีวัคซีนที่ผลิตได้เองในประเทศ และจะได้ใช้วัคซีนเหล่านั้นก่อน ทั้งที่ไม่เคยมีอยู่ในสัญญา

หากรัฐบาลใส่ใจประชาชนมากกว่านี้ เราคงมีการตรวจเชิงรุกเพื่อให้เจอผู้ติดเชื้อโดยเร็วมาทำการรักษา โดยไม่ต้องกลายเป็นผู้ป่วยสีแดง เราคงมีศูนย์แรกรับเพื่อพักผู้ป่วยและโรงพยาบาลสนามที่เพียงพอ เราคงมีระบบ Home Isolation ที่สามารถส่งยาและอาหารให้ผู้ติดเชื้อถึงที่บ้านได้ เราคงมียาและเครื่องไม้เครื่องมือทางการแพทย์ที่เพียงพอต่อการรักษาผู้ป่วยหนักที่ดีกว่าฟ้าทะลายโจร เราคงมีเครื่อง Oxygen High Flow ที่เพียงพอสำหรับผู้ป่วยหนัก และเหลือเตียง ICU ที่เพียงพอสำหรับผู้ป่วยวิกฤต"

"อีกทั้งสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ในภาพใหญ่ เรามีเวลาถึงเกือบ 2 ปี หากนับจากการระบาดระลอกแรกเพื่อเตรียมการ และหากนับจากการประกาศล็อกดาวน์ครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 12 ก.ค. 64 เป็นต้นมา หรือเรียกได้ว่าเกือบครบรอบ 14 วันของการล็อกดาวน์แล้ว แต่เรากลับยังคงไม่มี Rapid Antigen Test Kit ให้ประชาชนเพื่อรุกตรวจได้อย่างทั่วถึง อีกทั้งยังมีราคาแพงราวกลับว่ากลัวประชาชนจะตรวจเจอเชื้อ ซึ่งการคิดแบบนี้เป็นสิ่งที่ชั่วร้ายและทำลายโอกาสในการรอดชีวิตของพวกเขาลงไปเรื่อย ๆ ในทุกนาทีที่รู้ผลช้าออกไป เรายังไม่มีระบบ Home Isolation และศูนย์แรกรับเพื่อรองรับที่มากพอ เรายังไม่มีระบบรวมศูนย์ข้อมูลเพื่อประสานและจัดสรรเตียงอย่างเป็นระบบ

และทั้งหมดทั้งมวลนี้ การที่มีผู้เสียชีวิตริมถนน หรือมีผู้เสียชีวิตคาบ้านศพแล้วศพเล่า การที่แต่ละวันมีศพที่รอเผาจนล้นเมรุ นี่คือภาพสะท้อนถึงสิ่งที่รัฐบาลควรทำ แต่ไม่ได้ทำ กลับเอาแต่ปล่อยปละละเลยตลอดมา ซึ่งไม่สามารถอ้างได้เลยว่าไม่มีงบประมาณเพื่อนำมาใช้ในเรื่องเหล่านี้ เพราะที่ผ่านมามีการผ่านงบประมาณทั้งปกติและเร่งด่วนในรูปแบบ พ.ร.ก.เงินกู้ ไปให้แล้วอย่างมหาศาลถึงสองครั้ง เรามีทั้งเงินและความพร้อมในระบบสุขภาพที่เข้มแข็ง เรามีประชาชนที่ใส่ใจและร่วมมือกับรัฐบาลมากที่สุดแล้วในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นการสวมหน้ากากอนามัยทันทีที่รัฐบาลประกาศ ทุกคนหมั่นล้างมือและพกเจลแอลกอฮอล์ ทุกคนพยายามรักษาระยะห่างให้มากที่สุด หรือกระทั่งความร่วมมือในการฉีดวัคซีนก็เป็นสิ่งที่พวกเขาพร้อมทำตามตลอดมา แต่กลับเป็นรัฐบาลเองต่างหากที่ไม่สามารถจัดหามาได้ตามแผนที่วางไว้"

“ดั้งนั้น หากจะตอบคำถามแรกว่าเรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ผมคิดว่าทุกคนมีคำตอบเดียวที่ตรงกัน นั่นก็คือ เพราะเรามีนายกชื่อประยุทธ์ จันทร์โอชา นั่นเอง” ณัฐชากล่าว


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

วราวุธ ยืนยัน ปม นายกฯแนะ ช่วยพาผู้ ป่วยกลับรักษาภูมิลำเนา ไม่ใช่เรื่องการเมือง เพราะ โควิด-19 ไม่เลือกรัฐบาล-ฝ่ายค้าน บอก ส.ส.ชทพ.ช่วย ผวจ.สุพรรณอยู่แล้ว

นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ ครม. เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคมที่ผ่านมา หารือถึงการให้รัฐมนตรีแต่ละคนรับผิดชอบพื้นที่เพื่อพาประชาชนกลับไปรักษาตัวในภูมิลำเนา ถูกวิจารณ์เป็นเรื่องการเมืองหรือไม่ ว่า เรื่องการให้ช่วยพาประชาชนกลับบ้าน ตรงนี้อย่ามองว่าเป็นเรื่องการเมือง ปัญหาของโควิด-19 ไม่ว่าจะฝ่ายรัฐบาล หรือฝ่ายค้านต่างโดนเหมือนกันหมด ซึ่งเจตนารมย์ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม คือ รัฐมนตรีคนใดช่วยตรงไหนได้ก็ช่วยกัน คนละไม้คนละมือ  ไม่ใช่เฉพาะแค่กระทรวงสาธารณสุขอย่างเดียว ตัวอย่างของตน ซึ่งเป็นผู้แทนของจังหวัดสุพรรณบุรี และส.ส.ของ พรรคชาติไทยพัฒนาเราทำอะไรได้ ให้กับจังหวัดก็ไปช่วยกันทำ มีเครือข่ายอยู่ที่ใดก็ช่วยกันทำ ซึ่งโรงพยาบาลสนามของสุพรรณ ตอนนี้เต็มไปแล้วทั้ง 2 แห่งแล้ว และโรงพยาบาลหลักก็เต็มเกือบหมดแล้ว จึงเริ่มทำเป็นการกักตัวในชุมชน โดยใช้อาคารเอนกประสงค์ตาม อบต. มีผู้นำท้องถิ่นแต่ละที่ ช่วยเร่งปรับเอาเตียงเข้ามา เราช่วยกันอย่างเต็มที่  พวกเราก็ได้เข้าไปซับพอร์ทการทำงานเป็นระบบช่วยจังหวัด 

"การที่นำคนกลับบ้านไม่ใช่เป็นการกระจายเชื้อแต่เป็นการลดภาระของบุคลากรทางการแพทย์ในกรุงเทพ ฉะนั้นใครช่วยตรงไหนได้ก็ช่วยกัน สิ่งที่สำคัญที่สุดในนาทีนี้คือ อย่ามองทุกอย่างเป็นเรื่องการเมือง นาทีนี้ผมไม่ได้พูดถึงเรื่องการเมือง ผมก็ทำในฐานะประชาชนคนไทยคนหนึ่ง ที่เราอยู่ตรงไหนเราช่วยไป ในสถานะใดได้ก็ช่วยเต็มที่ อย่างพรรคชาติไทยพัฒนาเรามีส.ส.อยู่ในจังหวัดสุพรรณบุรีทุกเขต ก็ช่วยกันประสานงาน เพราะวันนี้เราไม่แบ่งแล้วว่า เป็นเรื่องของรัฐบาลหรือเรื่องของประชาชน ใครช่วยอะไรตรงไหนได้ช่วยเต็มที่ เพราะถ้าทุกอย่างมองเป็นการเมืองไปหมดเดี๋ยวจะกลายเป็นว่า คนนั้นเป็นอย่างนี้คนนี้เป็นอย่างนั้น  แต่โควิดมันไม่ได้เลือกที่จะติดเฉพาะรัฐบาลหรือเฉพาะฝ่ายค้าน หรือเฉพาะคนพรรคนั้นพรรคนี้ มันติดกันหมด ฉะนั้นเวลาแก้ปัญหาใครช่วยกันตรงไหนได้ ก็ช่วยกัน คนละไม้คนละมือ” นายวราวุธ กล่าวว่า


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top