Monday, 30 June 2025
POLITICS NEWS

‘เพื่อไทย’ บี้!! ‘บิ๊กตู่’ ไขก๊อกตัดขาดพรรคเดิม เหน็บอีเวนต์เปิดตัว ไม่การันตีคะแนนนิยม

‘เพื่อไทย’ ซัดจัดอีเวนต์ใหญ่ เปิดตัว ‘บิ๊กตู่’ เหน็บเหยียบเรือสองแคม เป็นสมาชิก รทสช. แต่นั่งนายกฯ ในนาม พปชร. บี้ไขก๊อกตัดขาดพรรคเดิม

(9 ม.ค. 66) น.ส.ตรีชฎา ศรีธาดา รองโฆษกพรรคเพื่อไทย เปิดเผยถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะสมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เย็นวันนี้ ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ว่า การจัดอีเวนต์ใหญ่โตเพียงแค่ต้อนรับ พล.อ.ประยุทธ์ เข้าพรรค ไม่ได้เป็นหลักประกันว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะได้คะแนนนิยมดีขึ้น ตรงกันข้ามจะเกิดคำถามตามมาว่า พล.อ.ประยุทธ์ ดำเนินการตามครรลองครองธรรมของการเมืองที่ควรจะเป็นหรือไม่ หรือสร้างสิ่งแปลกประหลาดขึ้นมาใหม่ให้ผู้คนติฉินนินทาเหมือนการแต่งตั้งนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ มาเป็นเลขาธิการนายกฯ ถ้าพล.อ.ประยุทธ์ ผ่านขั้นตอนตามปกติคงเข้ามาเป็นเพียงสมาชิกพรรค ที่มีเลขาฯ ตัวเองเป็นหัวหน้าพรรคตัวเอง จนไม่รู้ใครเป็นหัวหน้าใคร มีระบบพรรคการเมืองที่ไหนที่ให้สมาชิกพรรคคนหนึ่งมีบทบาทเหนือกว่าหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารทุกคน

‘เพื่อไทย’ แจงปม ‘อดีตรองนายกฯ ฉาว’ ไม่กังวล!! เพราะไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคแล้ว

‘ชลน่าน’ ชี้!! ‘อดีตรองนายกฯ’ เป็นชู้เมียชาวบ้าน โบ้ยสื่อเดาเองเป็นอดีตคนเพื่อไทย ลั่น!! หากไม่ได้เป็นสมาชิก ความรับผิดชอบก็ไม่มี

จากกรณีที่ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ทนายความ ออกมาเปิดเผยเพิ่มเติมกรณีอดีตรองนายกรัฐมนตรี มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับภรรยาของคนอื่น โดยบอกคำใบ้เป็นอดีตรองนายกฯ ที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงมหาดไทย ชอบตีกอล์ฟ แต่ไม่ชอบสนามกอล์ฟอัลไพน์ มีอายุมากแล้ว และเคยเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย เมื่อปี 2551 และพ้นจากสมาชิกไปเมื่อปี 2561

(9 ม.ค. 66) นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงผลกระทบต่อพรรคเพื่อไทย ว่า เป็นการคาดเดาของสื่อ และของคนที่เกี่ยวข้องว่า บุคคลดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทย เรื่องนี้ยังไม่ชัดเจน แต่เมื่อมีการคาดเดาระบุว่า อดีตเคยเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย หากอดีตเคยเป็นสมาชิกพรรค ก็ต้องดูที่ข้อเท็จจริง ถ้าบุคคลท่านนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับพรรค และปัจจุบันไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ในมุมของข้อกฎหมาย ความรับผิดชอบก็ไม่มี หมายความว่า เราเองก็ไม่มีอำนาจ และหน้าที่ที่จะไปตั้งคณะกรรมการสอบเรื่องนี้ตามข้อบังคับพรรค ตรงนี้ทำไม่ได้อยู่แล้ว

‘บิ๊กป้อม’ เปิดกว้างรับฟังทุกความเห็นทุกภาคส่วน มุ่งลดความเสี่ยงจากสาธารณภัยตามหลักสากล

พล.อ.ประวิตร ประธานเปิดสัมมนา ‘แผน ปภ.ชาติ’ ย้ำ รับฟังทุกความเห็น ทุกมุมมอง ทุกภาคส่วน อย่างเปิดกว้าง เน้น ‘สร้างความเข้าใจ ปิดภาวะเสี่ยงร่วมกัน ปฏิบัติได้จริง’ หวังให้ประชาชนปลอดภัยสูงสุด

(9 ม.ค. 65) พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษก รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานพิธีเปิดโครงการสัมมนาเชิงวิชาการ หัวข้อ ‘ลดความเสี่ยงเดิม ป้องกันความเสี่ยงใหม่ สู่สังคมเท่าทันภัย ด้วยแผน ปภ.ชาติ’ ณ ห้องคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ โรงแรมรามา การ์เด้น กรุงเทพฯ โดยมี กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย ก.มหาดไทย เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลัก ภายใต้การกำกับของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว. มท. ในฐานะ ผู้บัญชาการ ปภ. 

ทั้งนี้ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัย ได้กล่าวรายงานพร้อมวัตถุประสงค์การจัดงานในครั้งนี้ โดยโครงการนี้ จะมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ประสบการณ์ และแนวปฏิบัติที่ดี (Best Practice) เพื่อนำไปสื่อสารสร้างการรับรู้และถ่ายทอดแผนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการและภาคประชาสังคม รวมถึงเป็นการสร้างเครือข่ายในการเชื่อมโยง ภารกิจงาน เพื่อผนึกกำลังการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของประเทศ ซึ่งมีกลุ่มเป้าหมายรวม 500 คน จากทุกภาคส่วน

‘บิ๊กตู่’ เปิดทำเนียบต้อนรับ ‘เอกอัครราชทูตอินเดียฯ’ พร้อมหารือ ‘ความร่วมมือ-กระชับสัมพันธ์’ ในทุกมิติ

นายกฯ หารือเอกอัครราชทูตอินเดียฯ กระชับความสัมพันธ์ที่มีมายาวนาน พร้อมผลักดันมูลค่าทางการค้าและการลงทุน ส่งเสริมความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว วัฒนธรรม และความเชื่อมโยง

(9 ม.ค. 66) เมื่อเวลา 11.00 น. ที่ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายนาเคศ สิงห์ (H.E. Mr. Nagesh Singh) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอินเดียประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสเข้ารับหน้าที่

นายกรัฐมนตรี กล่าวกับยินดีกับนายนาเคศ สิงห์ ในโอกาสที่รับหน้าที่ในประเทศไทย โดยไทยและอินเดียมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด และความร่วมมือทุกมิติ หวังว่าเอกอัครราชทูตอินเดียฯ จะช่วยยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างกันในอนาคตให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และเสริมสร้างความร่วมมือในสาขาที่ทั้งสองฝ่ายมีศักยภาพ ทั้งนี้ ไทยพร้อมให้การสนับสนุนเอกอัครราชทูตอินเดียฯ ในการปฏิบัติหน้าที่ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ รวมถึงส่งเสริมความร่วมมือในประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายมีผลประโยชน์ร่วมกัน ทั้งการเมือง ความมั่นคง การค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และความร่วมมือกรอบพหุภาคี พร้อมฝากความปรารถนาดีถึงประธานาธิบดีแห่งอินเดีย นายกรัฐมนตรีอินเดีย และประชาชนชาวอินเดียในโอกาสปีใหม่ด้วย 

ด้านเอกอัครราชทูตอินเดีย กล่าวยินดีที่ได้พบปะกับนายกรัฐมนตรี พร้อมนำคำทักทายและคำอวยพรจากนายกรัฐมนตรีอินเดียมายังรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีด้วย เชื่อมั่นว่าการเข้ารับหน้าที่ในไทยจะเป็นโอกาสกระชับความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น ซึ่งประเทศไทยเป็นมิตรประเทศที่สำคัญของอินเดีย มีความใกล้ชิดระหว่างกันอย่างลึกซึ้งทั้งทางวัฒนธรรม ภาษา ประวัติศาสตร์ และศาสนา โดยนโยบายของไทยที่ดำเนินนโยบายมุ่งตะวันตก (Look West Policy) กับนโยบายรุกตะวันออก (Act East Policy) ของอินเดีย มีความสอดคล้อง เป็นประโยชน์กับไทยและอินเดีย จึงยินดีร่วมมือกับรัฐบาล เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือทุกมิติ

จากนั้น ทั้งสองฝ่ายหารือถึงความร่วมมือด้านต่าง ๆ ดังนี้ 

- ความร่วมมือด้านการเมือง ทั้งสองฝ่ายต่างเห็นพ้องผลักดันการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างกันเพิ่มขึ้นในทุกระดับ ซึ่งนายกรัฐมนตรีหวังเป็นอย่างยิ่งว่านายกรัฐมนตรีอินเดียจะตอบรับการเยือนไทย โดยไทยพร้อมต้อนรับนายกรัฐมนตรีอินเดียเยือนไทย และเข้าร่วมการประชุมสุดยอด BIMSTEC ที่ไทยเป็นเจ้าภาพในช่วงเดือนสิงหาคมปีนี้ ด้านเอกอัครราชทูตอินเดียฯ พร้อมผลักดันการแลกเปลี่ยนการเยือนทุกระดับ รวมถึงยืนยันสนับสนุนการเป็นประธาน BIMSTEC ของไทย

- ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว เอกอัครราชทูตอินเดียฯ ยินดีที่ชาวอินเดียมาท่องเที่ยวไทยเกือบ 1 ล้านคนในปี 2565 ซึ่งชาวอินเดียจำนวนมากนอกจากจะเดินทางมาท่องเที่ยวแล้ว ยังชื่นชอบเดินทางมาไทยเพื่อจัดงานแต่งงานอีกด้วย เอกอัครราชทูตอินเดียฯ จึงยินดีส่งเสริมการเดินทางไปมาหาสู่กันระหว่างประชาชนของไทยและอินเดียให้มากขึ้น ด้านนายกรัฐมนตรีหวังว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายให้นักท่องเที่ยวจากอินเดียมาไทยปีละ 2 ล้านคน เหมือนช่วงก่อนหน้าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19  

- ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ ทั้งสองฝ่ายต่างยินดีที่มูลค่าการค้าไทยและอินเดียเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากปี 2564 โดยในเดือน ม.ค. - พ.ย. 2565 การค้าสองฝ่ายมีมูลค่ากว่า 16.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 21 ซึ่งเอกอัครราชทูตอินเดียฯ กล่าวว่าทั้งสองฝ่ายยังมีศักยภาพที่จะเพิ่มการค้าและการลงทุนในสาขาที่ทั้งสองฝ่ายเชี่ยวชาญและสนใจระหว่างกัน ด้านนายกรัฐมนตรีหวังว่านักธุรกิจอินเดียจะพิจารณาลงทุนใน EEC โดยเฉพาะในธุรกิจด้านยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ หุ่นยนต์ การบิน และโลจิสติกส์ เชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ ดิจิทัล และการแพทย์ครบวงจร

พรรครวมแผ่นดิน ขึ้นเหนือประชุมใหญ่สามัญ ครั้งที่ 1/2566 ชู 10 นโยบาย

(8 ม.ค. 66) เวลา 9:00น. ณ ห้องประชุม ราชพฤกษ์1 ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ เฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษาฯ จังหวัดเชียงใหม่ พลเอก วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา หัวหน้าพรรครวมแผ่นดิน เป็นประธานเปิดการประชุมใหญ่สามัญ พรรครวมแผ่นดิน ครั้งที่ 1/2566 พร้อมแถลงนโยบายพรรค เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. และปฐมนิเทศ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. โดยมี น.ส.กชพร เวโรจน์ หัวหน้าสาขาพรรคภาคเหนือ พร้อมกรรมการบริหาร สมาชิกพรรค ในเขตพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ และพื้นที่ภาคเหนือ รวมถึงประชาชนในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และภาคเหนือ รวมกว่า 1,300 คน

พลเอก วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา หัวหน้าพรรครวมแผ่นดิน เปิดเผยว่า นับตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2565 เป็นต้นมาที่พรรครวมแผ่นดิน ได้ก่อตั้งขึ้นจากแนวคิดพรรคการเมืองที่รวบรวมผู้ที่มีความรู้ความสามารถมากไปด้วยประสบการณ์ทั่วประเทศ ช่วงอายุอาชีพ ทุกเพศทุกวัย แม้ที่มาจะแตกต่างกัน แต่ก็มีอุดมการณ์ไปในทิศทางเดียวกัน คือ มุ่งลดความขัดแย้งทางการเมือง ปรองดอง และพร้อมจะประสานทุกฝ่าย เพื่อรวบรวมสรรพกำลังความรู้ ความสามารถเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของชาติ พร้อมหารายได้เข้าประเทศ ส่งเสริมการท่องเที่ยว พัฒนาการศึกษา พัฒนาคุณภาพชีวิตส่งเสริมสิทธิเด็กและยกระดับบทบาทของสตรี รวมถึงส่งเสริมการส่งออกนำมาตรฐานเกษตรกรของไทยสู่อุตสาหกรรมเกษตรที่สมบูรณ์ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ผ่านระบบโลจิสติกส์ที่เพียบพร้อมด้วยมาตรฐานคุณภาพระดับสากล

ซึ่งตลอดเวลา 5 เดือนเต็ม ในการขับเคลื่อนพรรครวมแผ่นดิน เพื่อเป็นตัวแทนของภาคประชาชนในการพัฒนาประเทศไปทุกมิติองคาพยพ ถึง ณ วันนี้ ทางพรรครวมแผ่นดินได้ดำเนินการสร้างรากฐานอันมั่นคงที่พร้อมเต็มเปี่ยมในการที่จะทำงานรับใช้ภาคประชาชนอย่างเต็มที่ ดังคำขวัญของพรรครวมแผ่นดินที่กล่าวไว้ว่า "พัฒนาเศรษฐกิจ ส่งเสริมประชาธิปไตย รับใช้ประชาชน" ด้วยเหตุนี้ ทางพรรครวมแผ่นดินจึงได้ดำเนินการจัดการประชุมใหญ่สามัญพรรครวมแผ่นดิน ครั้งที่ 1/2566 ในวันอาทิตย์ที่ 8 มกราคม 2566 ที่จังหวัดเชียงใหม่"

ไทยคงอันดับ 1 อาเซียนประเทศพัฒนายั่งยืน 4 ปีซ้อน ตอกย้ำ ‘รัฐบาลประยุทธ์’ บริหารประเทศมาถูกทาง

‘ทิพานัน’ เผยไทยคงอันดับ 1 อาเซียนประเทศพัฒนายั่งยืน 4 ปีซ้อน ย้ำชัดรัฐบาล ‘พล.อ.ประยุทธ์’ บริหารประเทศมาถูกทาง โชว์สหประชาชาติกำหนดหลักใช้ทุกภารกิจในไทยว่า “การไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” เป็นแก่นสำคัญของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG)

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากรายงานการพัฒนาที่ยั่งยืน  Sustainable Development Report 2022 ประเมินจากดัชนีเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติ 17 ข้อ ไทยได้คะแนนรวมทั้งหมด 74.13 จาก 100 ทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีประสิทธิภาพเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนเป็นอันดับที่ 44 ของโลก และเป็นอันดับที่ 1 ในอาเซียนถึง 4 ปีซ้อน ตั้งแต่ปี 2562 โดยที่ดัชนีการประเมินไม่ได้มีเพียงแต่มิติเศรษฐกิจเท่านั้น แต่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน 17 เป้าหมายของสหประชาชาติครอบคลุมมิติการพัฒนามนุษย์ เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม สันติภาพและความยุติธรรม และความเป็นหุ้นส่วนการพัฒนา ซึ่งเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับการพัฒนาของประเทศภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีทั้ง 6 ด้านของไทยที่มุ่งพัฒนาประเทศให้มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง สะท้อนวิสัยทัศน์การพัฒนาประเทศของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่เป็นไปอย่างยั่งยืนสมดุลครบทุกด้าน จนทำให้สหประชาชาติกำหนดหลักการที่ใช้ในทุกภารกิจของสหประชาชาติในประเทศไทยด้วยวลีสั้นๆ ว่า “การไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” เป็นแก่นสำคัญของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG)

รองนายกฯ ผู้ถูกกล่าวหา ‘เป็นชู้’ ยังคงมีชีวิตอยู่ถึง 61 ท่าน!!

สืบเนื่องจากเพจ ‘ทนายตั้ม - ษิทรา เบี้ยบังเกิด’ เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ โดยโพสต์ข้อความผ่านบัญชีเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 7 มกราคมที่ผ่านมา ว่า “...ผัวช็อค เจอภาพเมียเป็นชู้กับอดีตรองนายกรัฐมนตรี คุณ ก. มาปรึกษาผมว่า ช่วงปีที่ผ่านมา ภรรยามีท่าทีเปลี่ยนไป จึงแอบเอาโทรศัพท์มาเช็ค ปรากฎว่าเจอภาพโป๊เปลือยของภรรยา แล้วที่ช็อคยิ่งกว่าคือ คนที่ถ่ายรูปคู่เปลือยด้วยกันนั้นคือ อดีตรองนายกรัฐมนตรีเป็นคนที่ใครๆ ก็รู้จัก จึงมาปรึกษาจะทำอย่างไรต่อไป?”

โดยหลังจากข้อความนี้แพร่ออกไปในโลกโซเชียลมีเดีย จึงเริ่มมีกระแสคาดเดาจากประชาชนชาวเน็ตจำนวนมากว่า ‘รองนายกฯ คนดังกล่าว’ นั้นคือใคร?

จนกระทั่งล่าสุด ทนายตั้มยังได้โพสต์ภาพข้อความแชทผ่านไลน์ของอดีตรองนายกรัฐมนตรีคนที่ว่า พร้อมข้อความ “...คดีนี้มาปรึกษาผมตั้งแต่ปีที่แล้ว ผมก็ทำเรื่องฟ้องหย่าภรรยา ฟ้องชู้ที่เป็นอดีตรองนายกรัฐมนตรีไปแล้ว แต่ปรากฎว่าได้มีการข่มขู่ คุกคามคุณ ก. มาตลอด คุณ ก. เลยอยากจะให้เรื่องนี้ออกสู่สาธารณะ เพื่อป้องกันตัวหากเป็นอะไร และอยากให้ประชาชนได้รู้พฤติกรรมของนักการเมืองใหญ่คนนี้ จึงขอให้ผมช่วยดำเนินการให้ เรื่องนี้ค่อนข้างจะเสี่ยงกับผม จึงไม่อาจทำอะไรให้ถูกใจทุกคนได้ ผมเลยต้องทำทุกอย่างด้วยความระมัดระวัง และพยายามให้กระทบกับพรรคการเมืองที่เกี่ยวข้องให้น้อยที่สุด แต่ทุกคนจะได้รู้แน่นอนครับ”

ต่อประเด็นนี้ทางสำนักข่าว THE STATES TIMES ได้ตระหนักถึงความเสียหายอันอาจจะเกิดขึ้นแก่ผู้ไม่เกี่ยวข้องหลายชีวิตหลายท่าน จึงได้ทำการตรวจสอบ และสืบค้นข้อมูลจนพบว่า ปัจจุบันมีอดีตรองนายกรัฐมนตรีซึ่งยังมีชีวิตอยู่ถึง 61 ท่าน เรียงตามลำดับอาวุโส ตั้งแต่มากไปหาน้อยดังนี้...

รุ่นใหญ่อายุ 90 ปีขึ้นไป มีเพียงหกท่านด้วยกัน ได้แก่ นายบุญพันธ์ แขวัฒนะ (93 ปี) นายเกษม สุวรรณกุล (92 ปี) หม่อมราชวงศ์เกษมสโมสร เกษมศรี (92 ปี) นายเสนาะ อูนากูล (91 ปี) พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ (90 ปี) และนายอำนวย วีรวรรณ (90 ปี)

รุ่นถัดมาอายุ 80 ถึง 89 ปี มี พลตำรวจเอก วิโรจน์ เปาอินทร์ (89 ปี) พลตรี จำลอง ศรีเมือง (87 ปี) นายสุขวิช รังสิตพล (87 ปี) นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล (86 ปี) พลเอก ยุทธศักดิ์ ศศิประภา (85 ปี) นายมีชัย ฤชุพันธุ์ (84 ปี) พลเอก ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา (84 ปี) นายชวน หลีกภัย (84 ปี) นายมั่น พัธโนทัย (81 ปี) พลตำรวจเอก สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ (81 ปี) นายปองพล อดิเรกสาร (80 ปี) นายบัญญัติ บรรทัดฐาน (80 ปี) พลตำรวจเอก ประชา พรหมนอก (80 ปี) และนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ (80 ปี)

‘หมอเก่ง วาโย’ ชี้ ‘อนุทิน’ ไม่ยอมเซ็นงบป้องกันโรคกองทุน สปสช. เป็นการตีความกฎหมายผิดพลาด ทำประชาชนเข้าถึงยาป้องกัน HIV ลำบากกว่าเดิม ถาม บ้านอยู่อวกาศหรือยังไง ถึงชอบสร้างสุญญากาศ จี้กล้าหาญเซ็นอนุมัติงบโดยเร็ว

วันที่ 8 มกราคม 2566 นพ.วาโย อัศวรุ่งเรือง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีหน่วยให้บริการด้านการป้องกันเชื้อ HIV ของภาคประชาสังคมจำนวนมาก ไม่สามารถให้บริการด้านการป้องกันเชื้อ HIV เนื่องจากงบประมาณในส่วนของการป้องกันโรคของกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 4 รายการ ได้แก่ การบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค (PP), ค่าบริการผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ (PP-HIV), ค่าบริการผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน (LTC) และค่าบริการสาธารณสุขร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) งบประมาณรวม 5,146.05 ล้านบาท ไม่ถูกอนุมัติ โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดยอ้างว่าการนำงบที่เกี่ยวกับโครงการป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพ (Prevention and Promotion: P&P) จากกองทุนบัตรทอง ไปใช้ดูแลทั้งผู้ใช้สิทธิบัตรทอง ประกันสังคม และสวัสดิการข้าราชการนั้น อาจไม่สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่และภารกิจตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ทำให้กองทุน สปสช. ต้องออกหลักเกณฑ์การให้บริการใหม่แก่หน่วยบริการสุขภาพ ให้หน่วยให้บริการร่วม จัดสรรสิทธิ์ในการป้องกันเชื้อ HIV ให้เฉพาะคนที่มีบัตรทองเท่านั้น คนที่ต้องการรับยาเพร็พหรือยาเป๊ป (PrEP, PEP) ซึ่งเป็นยาป้องกัน HIV หรือแม้แต่การแจกถุงยางอนามัยฟรี ต้องไปใช้บริการโรงพยาบาลตามสิทธิ์ โดยคนที่มีสิทธิบัตรทองและข้าราชการไปรับได้ที่โรงพยาบาล ส่วนคนที่ไม่มีสิทธิบัตรทองหรือสิทธิข้าราชการ อาจต้องจ่ายค่ายา

นพ.วาโย กล่าวว่า การตีความกฎหมายของอนุทิน ผิดอย่างสิ้นเชิง เพราะโดยหลักการตาม พ.ร.บ.กองทุน สปสช. ถือว่าบุคคลทุกคนมีสิทธิ์ได้รับบริการตามกองทุนประกันสุขภาพแห่งชาติ กฎหมายกำหนดให้ผู้ที่มีสิทธิรักษาพยาบาลตามสิทธิอื่น โดยเฉพาะประกันสังคมและสิทธิข้าราชการ ให้ใช้เงินจากสิทธิที่ตนเองมีก่อน

“การป้องกันเชื้อ HIV และโครงการป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพอื่น ไม่ครอบคลุมอยู่ในสิทธิรักษาพยาบาลของข้าราชการและกองทุนประกันสังคม ดังนั้นคนไทยที่ต้องการใช้สิทธิตรงนี้จึงอยู่ในหน้าที่ของกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติอย่างชัดเจน” นพ.วาโย กล่าว

'อนุทิน' ระบุ ไทยมีความพร้อมรับนักท่องเที่ยวจีน ย้ำ การท่องเที่ยวมีความหมายต่อเศรษฐกิจประเทศ

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังเป็นประธานประชุมเตรียมความพร้อมรับผู้เดินทางเข้าประเทศจากสาธารณรัฐประชาชนจีน สรุปว่า ไทยมีความพร้อมในการรับนักท่องเที่ยวโดยไม่เจาะจงว่าเป็นประเทศใดในทุกมิติซึ่งมาตรการที่มีอยู่ในปัจจุบันเป็นมาตรการที่มีความเหมาะสม ส่วนในกรณีที่ประเทศใดมีข้อกำหนดพิเศษขึ้นมา เช่นต้องตรวจ RT-PCR ให้กับนักท่องเที่ยวก่อนเดินทางกลับประเทศต้นทาง นักท่องเที่ยวต้องซื้อบัตรประกันสุขภาพก่อนเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย โดยต้องครอบคลุมการรักษาโรค โควิด-19 ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่เท่าเทียม เป็นธรรมทั้งประเทศที่เปิดรับนักท่องเที่ยวและประเทศต้นทาง

นายอนุทิน กล่าวว่าขณะเดียวกันก่อนเดินทางเข้าประเทศไทยต้องให้นักท่องเที่ยวฉีดวัคซีนป้องกัน โควิด-19 อย่างน้อยสองเข็มหากมีอาการป่วยทางเดินหายใจควรเลื่อนการเดินทางและรักษาให้หายก่อนเพื่อลดการแพร่ระบาด ทั้งนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการร่วมอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวในช่วงเริ่มต้น ซึ่งมาตรการต่างๆจะมีการปรับเปลี่ยนและลดหลั่นได้ตามความเหมาะสม พร้อมกันนี้ในที่ประชุมได้มีการนำเสนอ ขอความร่วมมือ ให้โรงแรมที่เปิดรับนักท่องเที่ยวจัดซุ้มอำนวยความสะดวกสำหรับตรวจ RT-PCRด้วย

“ประชาธิปัตย์” ไม่ใช่”ตะเกียงไร้น้ำมัน” ที่ ”พรรคการเมืองคู่แข่ง” จะเข้ามา ”ตีป้อมค่าย” เพราะ ปชป.วันนี้ไม่ใช่ปชป.ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 อย่างแน่นอน

 ถึงแม้ “บัญญัติ บรรทัดฐาน” นักการเมืองรุ่น”ลายคราม”ของประเทศไทย และของพรรค”แม่ธรณีบีบมวยผม” จะไม่ออกมา”ร่ายกลอน” เรื่อง”ลิงกินกล้วย” หรือพูดเรื่องการเลือกตั้งในปี 2566  ที่จะถึงในอีกไม่ช้าว่า ที่ชี้ให้เห็นว่าเป็นการเลือกตั้งในระบบ”ธนาธิปไตย” ที่จะมีการ”ใช้เงิน” ในการ”ซื้อเสียง” เป็นจำนวน”มหาศาล”  ประชานทั่วประเทศ ที่ติดตามการ”บริหารประเทศ”ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในตำแหน่ง”นายกรัฐมนตรี” ก็เห็นและรู้อย่างชัดเจนว่า ที่ผ่านมา เพื่อ”การอยู่รอด” และเพื่อการ”เอาชนะ” ต่อการ”อภิปรายไม่ไว้วางใจ” มีการ”ใช้เงิน”เป็น”ยุทธปัจจัย” จำนวน”มหาศาล” เพื่อ”ซื้อเสียง” ใน สภาผู้แทน
ดังนั้นเมื่อยังกล้าที่จะ”ซื้อเสียง” ในสภาผู้แทนอย่าง”โจ๋งครึม” แบบที่ถูก”นิยาม”ว่า”ใช้”กล้วยแจกลิง”เป็น”สวนๆ” โดยมี”กลุ่มทุน” ที่อยู่เบื้องหลัง เพื่อให้” บิ๊กตู่” ไปต่อ ในตำแหน่ง”นายกรัฐมนตรี” จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้าในการ”เลือกตั้ง” ที่จะมาถึง จะมีการ”แจกกล้วย” ให้กับ”ประชาชน” เพื่อให้เลือก สส.ของ พรรคใดพรรคหนึ่ง เพื่อที่จะเป็น”นั่งร้าน” ให้”บิ๊กตู่” ก้าวขึ้นไปสู่”หอคอยงาช้าง” เป็น “นายกรัฐมนตรี” อีกครั้ง เป็นครั้งที่ 3
      โดยข้อเท็จจริง และโดยที่ไม่ต้อง”เหนียมอาย” ทั้ง”นักการเมือง” และ”ประชาชน” ที่เคย”ซื้อเสียง” และเคย”ขายเสียง” ในการ”เลือกตั้ง”ที่ผ่านมาทุกครั้ง ว่าการ”เลือกตั้ง” มีการ”ใช้เงิน” เพื่อการ”ซื้อเสียง” หารือ”แจกเงิน” ทั้งใน”รูปแบบ” การ”สัมมนา” การ”จัดเลี้ยง” และจ่ายเป็น”รายหัว” เพื่อเป็นค่า”เดินทาง” มาฟังการ”ปราศรัย” ที่ต้องยอมรับความจริงว่า การ”เลือกตั้ง” แต่ละครั้ง แต่ละพรรคการเมือง และผู้สมัครรับเลือกตั้ง ล้วนต้อง”ใช้เงิน” จำนวนมาก ในการทำผิด”กฎหมาย” การเลือกตั้ง
     เพียงแต่ ครั้งนี้การใช้เงิน การใช้”อำนาจ” จะเป็นการ”อำมหิต” กว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เพราะเป็นการ”ต่อสู้”ของพรรคการเมือง หลายพรรค ที่ทุกพรรค ต้องการ”กวาด” จำนวน สส.ให้มากที่สุด เพื่อการสร้าง”สมการ” ของการเป็นผู้”จัดตั้งรัฐบาล” หรือการได้”เข้าร่วม” เป็น”รัฐบาล” เพราะไม่มี พรรคการเมือง พรรคไหน ที่อยากจะเป็น”ฝ่ายค้าน” ด้วย”เหตุผล” คือ”อดยากปากแห้ง” นั่นแหละ
    ดังนั้น พรรคที่”นายทุน” หรือ”กลุ่มทุน” ให้การ”อุ้มชู” จึงเป็นพรรคที่”ได้เปรียบ” ในการเข้าสู่”สนามเลือกตั้ง” ครั้งนี้ เพราะมีการเห็นถึง”ปฏิบัติการ” แจกกล้วย” ในสภาฯมาแล้ว และที่เป็นข่าวปรากฏเป็น”ระยะๆ” ของการ”ใช้เงิน” ในการสร้าง”พลังดูด” สส. ที่มี”ชื่อชั้น” มาเข้าสังกัดพรรคที่เรียกว่าเป็นการ”ตกปลาในบ่อเพื่อน”มีการใช้”ยุทธปัจจัย”ถึง 30 กิโล,50 กิโล เป็นข้อ”แลกเปลี่ยน” ในการ”เปลี่ยนพรรค”
     จึงไม่แปลก ที่หลายพรรคการเมือง ทั้งที่เป็นพรรคที่มีอยู่แล้ว และพรรคการเมืองที่”เพิ่งตั้งไข่” จึง”จัดทัพ” มุ่งหน้ามายัง”ภาคใต้” ที่เป็น”ฐานที่มั่นสุดท้าย” ของ”พรรคประชาธิปัตย์” โดยมองว่า”ภาคใต้” เป็น”จุดอ่อน” ของการ”เลือกตั้ง” ในครั้งนี้ เป็นการ”หลีกเลี่ยง” การ”แข่งขัน” ใน สนามของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ( อิสาน) และ”ภาคเหนือ” ซึ่งเป็น”ที่มั่น” ที่”เข้มแข็ง” ทั้งในเรื่อง”ทุน” และ”คน” ที่เป็น สส.
    มีบางพรรคที่เพิ่ง”ตั้งไข่” และ”ตกปลาในบ่อเพื่อน” ถึงกับออกมา”พูดว่า” ภาคใต้พรรคเราได้ สส.ตามที่ต้องการแน่  โดยประเมินว่า พรรคประชาธิปัตย์ ไม่มี”ทั้งกระแส” และ”กระสุน” และ “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์” เป็น “หัวหน้าพรรค” ที่แม้แต่”คนในพรรค” ก็มองว่า”ไร้เสน่ห์” ทุกพรรคจึง”หมายมั่นปั้นมือ” ที่จะเข้ามา”แชร์ตลาด” สส. ในภาคใต้ ซึ่งมี” ที่นั่ง” อยู่ 58 ที่นั่ง
    ส่วนจะเป็นการ”ประเมิน” ที่”ถูกต้อง” หรือ”ผิดพลาด” อย่างไร ในการ”เลือกตั้ง”ครั้งนี้ ล้วนเป็นผลดีกับพรรคประชาธิปัตย์ เพราะ”ยิ่งมายิ่งเด่นชัด” ว่า พรรคการเมืองแต่ละพรรค ที่เข้ามาเพื่อ”ล้มประชาธิปัตย์” ใช้”กลยุทธ์” หรือ”ยุทธวิธี” แบบไหน เช่นบางพรรคที่เป็นพรรคที่เป็น”คู่แข่ง”เดิม ใช้วิธี”สะสมกระสุน” โดยไม่สนใจ”กระแส” เพื่อการ”ยิงสลุต” อย่างเดียว ส่วนพรรคใหม่”บางพรรค” ก็ใช้”บริการ”คนของ”ประชาธิปัตย์” ที่ถูก”ดูดออกไป” ทำการ”แย่งชิง” กลุ่ม”หัวคะแนน” โดยนักการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์กลุ่มนี้เป็น”ไผ่กอเดียวกับประชาธิปัตย์”ที่ทำตัวเป็น”ด้ามพร้า” เพื่อ”ฆ่ากอไผ่” ที่เป็นที่มาของตนเอง และ “กลยุทธ์” ที่ใช้ใน”สนามเลือกตั้ง” ด้วยการ”ตกปลาในบ่อเพื่อน” และอาศัย” กระแสของหัวหน้าพรรค” พร้อมด้วย”กระสุน” ที่มี”บางคน” ในพรรค ออกมา”โอ้อวด” ว่ามีจำนวน “มหาศาล”
      เจ้าถิ่น อย่าง”ประชาธิปัตย์” จะแก้เกมอย่างไร เป็นเรื่องที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะในการเลือกตั้งครั้งนี้”ประชาธิปัตย์” ต้อง”ปิดประตูแพ้” ใน”ภาคใต้”ด้วยการที่จะต้องได้ สส.อย่างน้อย 35 ที่นั่ง หรือทั้งประเทศทั้ง สส.เขต และสส.บัญชีรายชื่อ จะต้องได้ 80 เป็นอย่างต่ำ  ที่สำคัญในการเลือกตั้งครั้งนี้”ประชาธิปัตย์” มีการ”ถอดบทเรียน” ของการ”พ่ายแพ้” ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ที่เป็น”บทเรียน” ที่สำคัญ และทำการปิด”จุดอ่อน” ทุกจุด ที่เคย”ผิดพลาด”มา
    


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top