‘ณัฐวุฒิ’ แซะ ‘บิ๊กป้อม’ อย่างเดียวที่ไม่ปาดหน้า ตอบข้อซักฟอกของฝ่ายค้าน เพื่อช่วย ‘บิ๊กตู่’
(24 ม.ค. 66) เมื่อเวลา 10.30 น. ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย กล่าวว่า ในช่วงปลายเดือนก.พ. ครอบครัวเพื่อไทยเตรียมเปิดเวทีปราศรัยใหญ่หลายจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลาง นำโดยนพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม และรองหัวหน้าพรรค น.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด และกรรมการบริหารพรรค นายจาตุรนต์ ฉายแสง สมาชิกพรรคและตน โดยแต่ละเวทีจะมีการสับเปลี่ยนผู้ปราศรัยตามความเหมาะสมแต่ละพื้นที่ เริ่มเวทีแรกในวันที่ 27 ม.ค. ลงพื้นที่และเปิดเวทีปราศรัยใหญ่ที่สนามกีฬากลาง จ.เลย ในเวลา 13.30-15.00 น. ตามด้วยเวทีที่ลานตลาดนัดเก้าค่ำ ต.กุดดินจี่ อ.นากลาง จ.หนองบัวลำภู วันที่ 28 ม.ค.เปิดเวทีปราศรัยที่ อ.ท่าบ่อ จ.หนองคายในเวลา 09.00 น. จากนั้นจะไปเปิดเวทีปราศรัยใหญ่ที่ อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย
นายณัฐวุฒิ กล่าวต่อว่า วันที่ 29 ม.ค. เปิดเวทีปราศรัยใหญ่ ที่ลานองค์การบริหารส่วนจังหวัด อ.เมือง จ.กาญจนบุรี เริ่มเวลา 17.30 น. โดยก่อนหน้านั้นจะลงพื้นที่พบปะผู้ประกอบการท่องเที่ยวของ จ.จันทบุรี ด้วย โดยทั้ง 3 วันนี้จะเป็นการคิกออฟเวทีปราศรัยใหญ่ของพรรค พร้อมรณรงค์เป้าหมายแลนด์สไลด์เพื่อไทยเท่านั้น เราจะเดินหน้าในพื้นที่จังหวัดที่อยู่ห่างไกลกรุงเทพฯ ที่สามารถเดินทางด้วยเครื่องบิน เดินทางถี่ได้ และเพื่อให้เหมาะสมกับน.ส.แพทองธารที่อยู่ระหว่างการตั้งครรภ์ ซึ่งเจ้าตัวยืนยันว่าไม่เป็นอุปสรรค และแสดงความพร้อมตลอดเวลาในการลงพื้นที่ การเสวนารวมทั้งการขึ้นเวทีปราศรัย
ทั้งนี้ บุคลากรของพรรคเพื่อไทยทุกองคาพยพกำลังทำงานอย่างหนัก เพื่อเตรียมลงพื้นที่พบปะประชาชนและเปิดเวทีปราศรัยใหญ่ในเดือนก.พ.ซึ่งขึ้นอยู่กับการประกาศยุบสภา หากประกาศยุบสภาภายในเดือนก.พ. จะมีการเปิดเวทีปราศรัยใหญ่ในพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งพรรคเพื่อไทยอาจจะมีการประกาศนโยบายในโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้ง
นายณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า แต่หากไม่มีการยุบสภา โปรแกรมการลงพื้นที่และเปิดเวทีปราศรัยใหญ่ทุกอย่างจะเดินหน้าตามแนวทางที่กำหนดไว้ และในเดือนมี.ค.จะเดินหน้านำเสนอนโยบายและแนวทางของพรรคต่อประชาชน มุ่งหวังให้พี่น้องประชาชนไม่ต้องประสบกับวิกฤตปัญหาปากท้องซึ่งเป็นวิกฤตอันดับหนึ่ง พรรคเพื่อไทยซึ่งมีจุดแข็งด้านนโยบายที่สามารถแก้ไขปัญหาได้ตรงกับสถานการณ์ และความต้องการของพี่น้องประชาชน สามารถปฏิบัติได้จริง และเป็นสิ่งที่ทำมาตลอดระยะเวลา 20 ปี
