Tuesday, 24 June 2025
POLITICS NEWS

‘พปชร.’ รักษาแชมป์ ‘เพชรบูรณ์-พะเยา-กำแพงเพชร’ เร่งเดินหน้าขจัดปัญหา พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิต ปชช.

(23 พ.ค. 66) เปิดพื้นที่ 3 จังหวัด ที่พรรคพลังประชารัฐ รักษาแชมป์ไว้ได้ ว่าที่ ส.ส.กวาดทุกเขต พร้อมทำหน้าที่เป็นตัวแทนพี่น้องประชาชนในสภาผู้แทนราษฎร เร่งเดินหน้านำทุกปัญหาเข้าสู่กระบวนการแก้ไข ยืนยันจะทำทันที เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้อยู่ดีกินดี มีอาชีพที่มั่นคง สร้างรายได้ที่ยั่งยืน ตามแนวทางของพรรคพลังประชารัฐ โดยการนำของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ

โดยว่าที่ ส.ส.พปชร. ทั้ง 3 จังหวัด ได้แก่

จังหวัดเพชรบูรณ์   
1.) นายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรค ส.ส.บัญชีรายชื่อ
2.) น.ส.พิมพ์พร พรพฤฒิพันธุ์ เขต 1
3.) นายจักรัตน์ พั้วช่วย เขต 2
4.) นายบุญชัย กิตติธาราทรัพ เขต 3
5.) นายวรโชติ สุคนธ์ขจร เขต 4
6.) นางวันเพ็ญ พร้อมพัฒน์ เขต 5
7.) นายอัคร ทองใจสด เขต 6

จังหวัดพะเยา
1.) ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า เขต 1
3.) นายอนุรัตน์ ตันบรรจง เขต 2
4.) นายจีรเดช ศรีวิราช เขต 3

จังหวัดกำแพงเพชร 
1.) นายไผ่ ลิกค์ เขต 1
2.) นายเพชรภูมิ อาภรณ์รัตน์ เขต 2 
3.) นายอนันต์ ผลอำนวย เขต 3 
4.) นายปริญญา ฤกษ์หร่าย เขต 4

‘บิ๊กป้อม’ ยัน!! ไม่ทิ้งเก้าอี้หัวหน้า ‘พปชร.’ - ไม่ถอยการเมือง ไล่ถามคนปล่อยข่าวยุบพรรคย้ายซบ ‘พท.’ โอดอยู่เฉยๆ แท้ๆ

วันที่ (23 พ.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์หลังประชุมคณะรัฐมนตรีด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม กรณีที่มีกระแสข่าวจะลาออกจากการเป็น ส.ส. บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรค พปชร.ว่า “โอ้โห ยังไม่ได้คิดเลย ต้องไปถามคนที่วิเคราะห์เรื่องนี้ ไปถามเขาดู ออกแล้วผมจะไปไหน”

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะวางมือถอยทางการเมืองหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวย้อนว่า จะไปถอยที่ไหน ยังไม่ได้คิดเลย

เมื่อถามย้ำว่า จะยังทำหน้าที่เป็นหัวหน้าพรรค พปชร.ต่อไปใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “เป็นสิ แล้วผมเป็นอยู่หรือเปล่าล่ะ”

เมื่อถามว่ายืนยันจะไม่ลาออกใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ถามเหลือเกิน

เมื่อถามว่าได้พูดคุยกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการกำหนดแนวทางและยุทธศาสตร์พรรครวมไทยสร้างชาติ จะถอยจากการเมืองหรือไม่ พล.อ.ประวิตร ปฏิเสธตอบคำถามดังกล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า กระแสข่าวที่จะยุบพรรค พปชร.ไปรวมกับพรรคเพื่อไทย แสดงว่าไม่จริงใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ต้องไปถามคนที่คิด คิดแล้วพูดออกมา มาถามตน ทั้งที่ไม่ได้คิด ยังไม่ได้พูดอะไร และอยู่เฉย ๆ แท้ ๆ

เมื่อถามว่า กระแสข่าวที่ออกมาเป็นความพยายามสกัดไม่ให้ร่วมรัฐบาลหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่รู้ ต้องไปถามคนที่พูดดู

ผู้สื่อข่าวถามว่า การออกมาพูดเรื่องแบบนี้ในเวลาที่กำลังตั้งรัฐบาลมีจุดประสงค์ เพื่ออะไร พล.อ.ประวิตร กล่าวย้ำว่า จะไปรู้ได้อย่างไร ต้องไปถามคนพูดดู

เมื่อถามว่ามองอย่างไรกับเอ็มโอยู 23 ข้อของ 8 พรรคที่ร่วมจัดตั้งรัฐบาล พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ได้รับทราบแล้ว แต่จะไปเกี่ยวข้องอะไรกับเขา

เมื่อถามว่า เป็นห่วงกรณีที่พรรคก้าวไกลยืนยันที่จะแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ตนไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขา ต้องไปถามพรรคร่วมกับเขาดู

รัฐบาล 313 เสียงไปต่อลำบาก สว.รองดออกเสียง ‘ภท.-พปชร.’ พลิกเกม หนุนเพื่อไทยชิงประธานสภาฯ

(22 พ.ค.66) ครบรอบ 9 ปี การรัฐประหาร.... ‘เล็ก เลียบด่วน’ เขียนเรื่องนี้ก่อนหน้า 8 พรรค 313 เสียง เขาจะลงนาม MOU กันประมาณ 7 ชั่วโมง..แต่เชื่อว่าการลงนาม MOU ก็คงจะผ่านไปในลักษณะ ‘แสวงจุดร่วมสงวนจุดต่าง’ เท่าที่ทราบมาก่อนหน้านี้เห็นว่าใน MOU มีภารกิจที่จะต้องทำร่วมกัน 23 ข้อ เช่น ยกเลิกการเกณฑ์ทหารเป็นระบบสมัครใจ, สมรสเท่าเทียมเดินหน้า แต่ไม่บังคับกับประชาชนที่เห็นว่าขัดกับหลักศาสนา, เอากัญชากลับเข้าบัญชียาเสพติด เป็นต้น

นอกจาก MOU 20 กว่าข้อแล้ว ยังมีพันธะสัญญาอีก 4-5 ข้อในการบริหารประเทศ ซึ่งดูดี เช่น รัฐมนตรีคนไหนทุจริตต้องออกจากตำแหน่งทันที…

สำหรับปมร้อนอย่างกรณีการแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 นั้นไม่มีใน MOU แปลว่า พรรคไหนใครจะขับเคลื่อนก็ให้เป็นเรื่องของพรรคนั้น ไม่เกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล…

สุดท้ายแล้ว ความคืบหน้าในการจัดตั้งรัฐบาล 313 เสียง แม้อาจจะมีเสียงสนับสนุนจากพรรคเล็กมาเติมให้ฟรี 4-5 เสียง ก็ไม่พออยู่ดี… ต้องอาศัยเสียงสมาชิกวุฒิสภา หรือ สว.อีก 60 เสียง เพื่อให้ผ่าน 376 เสียง ซึ่ง ‘เล็ก เลียบด่วน’ ยังฟันธงว่ายากที่จะไปถึง อย่างเก่งเสียงของ สว.ก็น่าจะอยู่แค่ระดับ 25-30 เสียง…

ต้องบอกว่า ประเด็นแนวทางการแก้ไขมาตรา 112 ที่พรรคก้าวไกลเคยยื่นต่อสภานั้นมันก้าวเกินกว่าการแก้ไข แทบไม่ต่างจากการยกเลิก เช่นเดียวกับการปฏิรูปกองทัพที่ใช้โมเดลของสหรัฐฯ ที่เป็นการด้อยค่า ‘จอมทัพไทย’ ทางอ้อม.. .นี่คือสองประเด็นใหญ่ที่ สว.เขาไม่เล่นด้วยหรือใช้เป็นเหตุ ‘งดออกเสียง’
.
แต่พูดไปทำไมมี… กว่าจะถึงวันโหวตเลือกนายกฯ ที่ สว.จะลงมาร่วมวงด้วยนั้น ต้องผ่านด่านการรับรอง ส.ส.โดย กกต.และจากนั้นคือด่านเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร… ซึ่งขณะนี้ สายข่าวหลายทางวิเคราะห์ตรงกันว่า เกมจะพลิกกันตั้งแต่เลือกประธานสภาฯ… และคนพลิกเกมก็คือพรรคพลังประชารัฐ… และภูมิใจไทย

กระซิบเบาๆ กับแฟนๆ คอลัมน์ ‘เลียบการเมือง’ เป็นการเฉพาะตรงนี้ว่า… ประชุมพรรคพลังประชารัฐเมื่อวันก่อนโน้นนน… ที่ประชุมเห็นพ้องให้ทุกคนรูดซิปปากเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล โดยให้ ‘ผู้กอง’ คนดังเป็นคนคอยประสานงานบอกกล่าวถึงทิศทางการเมือง… ทิศทางการเมืองที่ผู้หลักผู้ใหญ่ในพรรคและในบ้านป่ารอยต่อรับรู้กันว่า… คำตอบสุดท้ายจะออกมาอย่างไร…

และคำตอบสุดท้ายที่ว่าก็คือ… พรรคเพื่อไทยจะจับมือกับพลังประชารัฐเป็นแกนนำ โดยมีพรรคอื่นๆ เข้าร่วมด้วย… ส่วนรายละเอียดใครจะเป็นประธานสภาฯ ‘สุชาติ ตันเจริญ’ หรือ ‘นพ.ชลน่าน  ศรีแก้ว’ และใครจะเป็นนายกฯ อุ๊งอิ๊ง, เศรษฐา หรือลุงป้อม หรือแม้แต่ หนู อนุทิน… เป็นประเด็นที่จะดำเนินไปในทางลึก…

เช่นนี้แล้วก็ต้องขอย้ำว่า ทริปฮ่องกงของ ‘อนุทิน-ศักดิ์สยาม’ ที่มีข่าวว่าไปจิบไวน์กับคนแดนไกลเมื่อสองสามวันก่อนนี้… ก็ไม่ใช่ข่าวลือแต่อย่างใด

สรุปก็คงเป็นความลำบากแสนสาหัสของพรรคน้องใหม่อย่างก้าวไกล ที่จะฝ่าค่ายกลทางการเมืองที่ซับซ้อนและหฤโหดไปได้ แต่จะว่าไปถ้าพรรคก้าวไกลไม่มาติดกับดักมาตรา 112 การปฏิรูปกองทัพปฏิรูปสถาบัน...หันไปขับเน้นนโยบายอย่างอื่น มันก็คงไม่ประสบชะตากรรมเยี่ยงนี้…

กลัดกระดุมเม็ดแรกผิดก็เป็นอย่างนี้แล… และถ้าใครคิดจะขนม็อบปลุกมวลชนออกมากดดัน สว.กดดันประเทศในยามนี้ก็มีแต่จะทำให้ตัวเอง ‘เสียการเมือง’

สวัสดีครับ

เรื่อง : เล็ก เลียบด่วน

8 พรรครัฐบาลลงนาม ‘เอ็มโอยู’ 23 ข้อ 5 แนวทางปฏิบัติร่วมกัน เร่งร่างรัฐธรรมนูญ นำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด ไร้มาตรา 112

(22 พ.ค. 66) ที่ห้องบอลรูม โรงแรมคอนราด กรุงเทพฯ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วยแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลทั้ง 8 พรรค แถลงข่าวการลงนามข้อตกลงร่วม (MOU) ในการจัดตั้งรัฐบาลว่า วันนี้แถลงบันทึกความเข้าใจร่วมกันการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งวันนี้ 22 พ.ค.เป็นวันสำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ครบรอบรัฐประหาร 2557 เป็นวันที่พวกเราเซ็นบันทึก เป็นหมุดหมายที่ดี สะท้อนความสำเร็จของสังคมไทย สามารถเปลี่ยนผ่านสู่ระบอบประชาธิปไตย ระบบรัฐสภาอย่างสันติ

จุดประสงค์การทำเอ็มโอยูเพื่อรวบรวมวาระร่วมที่เราเห็นตรงกันและพร้อมผลักดันผ่านกลไกของรัฐบาลและรัฐสภา และเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของพรรคร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล

นายพิธา อ่านเนื้อหาบันทึกความเข้าใจร่วมกันในการจัดตั้งรัฐบาล เพื่อสร้างพื้นฐานในการจัดตั้งรัฐบาลและการทำงานร่วมกัน ของ 8 พรรค

ทุกพรรคเห็นร่วมกันว่าภารกิจของรัฐบาลที่จะผลักดันนั้น ไม่กระทบรูปแบบของรัฐ การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดละเมิดไม่ได้ขององค์พระมหากษัตริย์ ดังนี้

1.) ฟื้นฟูประชาธิปไตย รวมถึงการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประชาชนให้เร็วที่สุด โดยมีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน

2.) ยืนยันและผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียม เพื่อรับประกันสิทธิสมรสสำหรับคู่รักทุกเพศ โดยจะไม่บังคับประชาชนที่เห็นว่าขัดแย้งกับหลักการของศาสนาที่ตนเองนับถือ

3.) ผลักดันการปฏิรูประบบราชการ ตำรวจ กองทัพ และกระบวนการยุติธรรม ให้สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตย โดยยึดหลักความโปร่งใส ทันสมัย มีประสิทธิภาพ และผลประโยชน์สูงสุดของประชาชน

4.) เปลี่ยนการเกณฑ์ทหารแบบบังคับ เป็นระบบสมัครใจ ทั้งนี้ยังคงไว้ซึ่งการเกณฑ์ทหารหากมีศึกสงคราม

5.) ร่วมผลักดันกระบวนการสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยคำนึงถึงหลักการด้านสิทธิมนุษยชน การอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรม การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน รวมถึงทบทวนภารกิจของหน่วยงานและการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับความมั่นคง

6.) ผลักดันการกระจายอำนาจทั้งในแง่ภารกิจและงบประมาณ เพื่อให้ท้องถิ่นตอบสนองความต้องการของประชาชนในพื้นที่ได้อย่างเหมาะสม มีประสิทธิภาพ ปราศจากการทุจริต

7.) แก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นโดยการสร้างระบบและวัฒนธรรมรัฐโปร่งใส เปิดเผยข้อมูลรัฐในทุกหน่วยงาน

8.) ร่วมฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยยึดหลักเพิ่มรายได้ประชาชน ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างระบบเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างเป็นธรรม

9.) ยกเครื่องกฎหมายเกี่ยวกับการทำมาหากิน และการดำรงชีวิตของประชาชน เช่น ตัด ลด หรือพักใช้ชั่วคราวซึ่งใบอนุมัติ อนุญาตที่ไม่จำเป็นและเป็นอุปสรรคเพื่อปรับปรุงใหม่ ให้ความช่วยเหลือสภาพคล่องทางด้านการเงินและสร้างแต้มต่อให้กับ SME พร้อมกับมุ่งเน้นการเติบโต GDP ของ SME สนับสนุนอุตสาหกรรม และสินค้าไทยให้มีความเข้มแข็ง สามารถแข่งขันกับตลาดโลกได้

10.) ยกเลิกการผูกขาดและส่งเสริมการแข่งขันทางการค้าที่เป็นธรรมในทุกอุตสาหกรรม เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยพรรคประชาชาติขอสงวนสิทธิ์ไม่เห็นด้วยเฉพาะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วยเหตุผลทางศาสนา

11.) ปฏิรูปที่ดินทั้งระบบ ด้วยการผลักดันกฎหมายปฏิรูปที่ดิน กระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรมแก้ปัญหาแนวเขตป่าไม้และที่ดินของรัฐที่ทับซ้อนกับที่ดินของประชาชน รวมถึงการทบทวนคดีที่เป็นผลจากนโยบายทวงคืนผืนป่า

12.) ปรับปรุงโครงสร้างการผลิตไฟฟ้า การคำนวณราคา และกำลังการผลิตที่เหมาะสม เพื่อลดค่าครองชีพประชาชนและสร้างความมั่นคงทางพลังงาน

13.) จัดทำงบประมาณแบบใหม่ โดยเน้นใช้วิธีการจัดงบประมาณฐานศูนย์ (zero-based budgeting)

14.) สร้างระบบสวัสดิการดูแลประชาชนตั้งแต่เด็กแรกเกิดจนถึงผู้สูงวัย โดยคำนึงถึงความเหมาะสมและภาระทางการคลังระยะยาว

15.) แก้ไขปัญหายาเสพติด โดยเร่งด่วน

16.) นำกัญชากลับไปอยู่ในบัญชียาเสพติดให้โทษ ผ่านการออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข โดยมีกฎหมายควบคุมและรองรับการใช้ประโยชน์จากกัญชา

17.) ส่งเสริมเกษตรและปศุสัตว์ปลอดภัย คุ้มครอง รักษาผลประโยชน์ของเกษตรกร ลดต้นทุนการผลิตส่งเสริมการตลาด ส่งเสริมการเข้าถึงเทคโนโลยี และแหล่งน้ำ ส่งเสริมการรวมกลุ่มของเกษตรกร เพื่อวางแผนการผลิตและรักษาผลประโยชน์กษตรกร ส่งเสริมอุตสาหกรรมแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรเพื่อให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจ

18.) แก้ไขกฎหมายประมง ขจัดอุปสรรค เยียวยา ฟื้นฟู และพัฒนาอาชีพประมงให้ยั่งยืน

19.) ยกระดับสิทธิแรงงานทุกอาชีพให้มีสภาพการจ้างงานที่เป็นธรรม และได้รับค่าแรงที่เป็นธรรมสอดคล้องกับค่าครองชีพและการเติบโตทางเศรษฐกิจ

20.) ยกระดับสาธารณสุขเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงระบบสาธารณสุข

21.) ปฏิรูประบบการศึกษาเพื่อยกระดับคุณภาพ ลดความเหลื่อมล้ำ และส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต

22.) สร้างความร่วมมือและกลไกภายในและระหว่างประเทศ เพื่อแก้ปัญหาฝุ่นพิษ รวมถึงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ (Net Zero) โดยเร็วที่สุด

23.) ดำเนินการนโยบายการต่างประเทศ โดยการฟื้นฟูบทบาทผู้นำของไทยในอาเชียน และรักษาสมดุลการเมืองระหว่างประเทศของไทยกับประเทศมหาอำนาจ

ทุกพรรคเห็นพ้องบริหารประเทศด้วยแนวทางการปฏิบัติ ดังนี้
1.) ทุกพรรคจะคุ้มครองสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองของประชาชนทุกคน
2.) ทุกพรรคจะทำงานโดยซื่อสัตย์สุจริต หากมีบุคคลของพรรคใดมีพฤติกรรมทุจริต คอร์รัปชัน ทุกพรรคจะยุติการดำรงตำแหน่งของบุคคลนั้นๆ ทันที
3.) ทุกพรรคจะทำงานโดยให้เกียรติซึ่งกันและกัน จริงใจต่อกัน สนับสนุนการทำงานซึ่งกันและกัน โดยยึดถือผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง มากกว่าผลประโยชน์ของพรรคใดพรรคหนึ่ง
4.)ทุกพรรคมีสิทธิในการผลักดันนโยบายอื่นเพิ่มเติม แต่ไม่ขัดแย้งจากนโยบายในบันทึกข้อตกลงร่วมฉบับนี้ โดยอาศัยอำนาจฝ่ายบริหารของรัฐมนตรีที่เป็นตัวแทนของแต่ละพรรคการเมือง
5.) ทุกพรรคมีสิทธิในการผลักดันนโยบายอื่นเพิ่มเติม แต่ไม่ขัดแย้งจากนโยบายในบันทึกข้อตกลงร่วมฉบับนี้ โดยอาศัยอำนาจนิติบัญญัติของผู้แทนราษฎรที่สังกัดแต่ละพรรคการเมือง

นายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ

นายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ กล่าวในรายการ SONDHI TALK เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2566 เรื่อง ‘พิธา-ก้าวไกล’ จิ๊กซอว์ตัวใหม่ของความวุ่นวาย โดยระบุว่า “จำคำพูดผมเอาไว้เลยว่า

อเมริกาต้องการล้มล้างสถาบันกษัตริย์ในไทย เขามีเครื่องมือที่พร้อมให้ใช้ได้แล้ว คือพรรคก้าวไกล นายพิธา นายธนาธร กับพวกนักวิชาการขายชาติ”

‘พิธา ฟีเวอร์’ ทำเมืองชล แทบแตก ตระเวนขอบคุณ ลั่น ขอขอบคุณความไว้วางใจที่มอบให้ ไม่มีสูญเปล่า

21 พ.ค. 2566 –   เมื่อเวลา 14.00 น.ที่บริเวณหน้าตลาดหนองก้างปลา ต.บ่อวิน อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล  พร้อมด้วยนายสหัสวัต คุ้มคง ว่าที่ ส.ส.เขต 7 ชลบุรี และว่าที่ ส.ส.ชลบุรี พรรคก้าวไกล ทุกเขต  ได้ขึ้นรถแห่ปราศัยขอบคุณทุกคะแนนเสียงที่ประชาชนเลือกพรรคก้าวไกล ในพื้นที่ตำบลบ่อวิน อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี   โดยมีนักเรียน ประชาชน กลุ่มพนักงานโรงงาน และแฟนคลับมารอให้กำลังใจ ส่งเสียงเชียร์ตลอดเส้นทาง

สำหรับขบวนแห่ จะเริ่มจาก ตลาดสดหนองก้างปลาไปยังเส้นทางต่างๆในพื้นที่ตำบลลบ่อวิน  โดยนายพิธา แนะนำตัวว่าเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ขอบคุณทุกคะแนนเสียงจากประชาชนที่ให้ความไว้วางใจ ซึ่งจะไม่สูญเปล่าแน่นอน จะไม่หยุดทำงานและตั้งใจเต็มที่ เข้าไปในสภาฯ จะไม่ทำให้พี่น้องประชาชนผิดหวัง รวมถึงมาสร้างขวัญกำลังใจให้ทีมงาน ส.ส.ด้วย

ควันหลงเลือกตั้ง ประวัติศาสตร์ การเมืองไทย  บัตรโหล – แบ่งเขต - นอกราชฯ กับ ปรากฎการณ์ที่สุ่มเสี่ยง

ปรากฏการณ์ "ก้าวไกล" ชนะเลือกตั้งถล่มทลาย เขี่ยบ้านใหญ่หลายพื้นที่สอบตก และหลายจังหวัดกวาด ส.ส.ครบทุกเขต  นำมาสู่การเดินหน้าฟอร์มรัฐบาล รวมให้ได้ 376 เสียงให้เพียงพอต่อการโหวตเลือกนายกฯ  แต่ขณะเดียวกันก็ยังต้องลุ้น กกต. ส่วนกลางเคลียร์ประเด็นข้อร้องเรียนต่างๆ และรับรองผลคะแนนเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ ให้แล้วเสร็จภายในกรอบระยะเวลา 60 วัน 

แต่หากมองอีกด้าน ในข่วงก่อนเลือกตั้ง กกต. ในฐานะผู้กำกับดูแลการเลือกตั้ง ก็ถูก "ตั้งคำถามดังๆ" ในหลายประเด็น ที่อาจสุ่มเสี่ยงต่อความผิดพลาด และทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้เกิดความอลวน  อย่างไรบ้าง มาดูกัน 

1 "แบ่งเขตเลือกตั้ง"
สำหรับการแบ่งเขตเลือกตั้งครั้งนี้ กกต.ใช้หลักการ “จัดให้มีจำนวนราษฎรในแต่ละเขตใกล้เคียงกัน” โดยแต่ละเขตจะมีจำนวนประชากรมากหรือน้อยจากค่าเฉลี่ยไม่เกิน 10 %  มาใช้คำนวณหา ส.ส. 1 คนต่อจำนวนราษฎร  วิธีการ คือ นำจำนวนประชากรไทยทั้งหมดตามหลักฐานทะเบียนราษฎร ซึ่งมีทั้งหมด 66,090,475 คน มาหารด้วย 400 เขต จะได้สัดส่วน ส.ส. 1 คน ต่อจำนวนราษฎร 162,766 คน เป็นค่าเฉลี่ย  เสร็จสรรพเรียบร้อย ก่อนนำไปแบ่งเป็นเขตเลือกตั้งในแต่ละจังหวัด ทำให้เขตเลือกตั้งหนนี้ ถูกแบ่งพื้นที่ต่างไปจากพื้นที่เลือกตั้งเดิม บางจังหวัดมี ส.ส. เพิ่มขึ้น และบางจังหวัดมี ส.ส.ลดลง 

แต่ต่อมา ก็มีนักวิชาการออกมาตั้งข้อสังเกตว่า การแบ่งเขตเลือกตั้งโดยคิดค่าเฉลี่ยจำนวนประชากรของ กกต. นั้น มีการนำคนที่ไม่มีสัญชาติไทยมานับรวมด้วย จะทำให้การแบ่งเขตเกิดความผิดพลาดหรือไม่

ขณะเดียวกัน มีผู้สมัครรับเลือกตั้ง 4 คนยื่นฟ้อง กกต. ว่าแบ่งเขตเลือกตั้งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายใน 3 จังหวัด รวม 4 คดี ประกอบด้วย กทม. 1 คดี , สุโขทัย 2 คดี และสกลนครอีก 1 คดี  และขอให้ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งเพิกถอนประกาศของ กกต.

อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า หนึ่งในผู้ยื่นฟ้อง กกต. มองว่า การแบ่งเขตเลือกตั้งต้องยึดเขตเลือกตั้งเก่าและเขตปกครอง เพราะกฎหมายกำหนดให้ "รวมอำเภอ" ต่าง ๆ เป็นเขตเลือกตั้ง โดยคำนึงถึงพื้นที่ที่ติดต่อใกล้ชิดกัน ความสะดวกในการเดินทางระหว่างกัน แต่ กกต. กลับนำแขวงมายำรวมกัน แล้วกำหนดให้เป็นเขตเลือกตั้ง ทำให้มี 13 จาก 33 เขตเลือกตั้งของ กทม. ที่มีแต่แขวงล้วน ไม่มีเขตหลัก และยังสร้างความสับสนให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง รวมถึงส่งผลกระทบต่อนักการเมืองเดิมที่ลงพื้นที่มานาน ไม่ผูกพันกับพื้นที่เขตเลือกตั้งใหม่

อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดข้อถกเถียงยุติลงเมื่อ 7 เม.ย. หลังศาลปกครองสูงสุดพิพากษายกฟ้อง โดยเห็นว่าประกาศ กกต. ชอบด้วยกฎหมายและไม่ขัดรัฐธรรมนูญ

2 บัตรโหล ทั้งประเทศ เลือก ส.ส.เขต มีแต่เลข ไม่มีชื่อ ไม่มีพรรค 
สร้างความสับสนไม่น้อย เมื่อการเลือกตั้งครั้งนี้ ผู้สมัคร ส.ส.พรรคเดียวกัน แต่ต่างเขต หมายเลขไม่เหมือนกัน และหมายเลข ผู้สมัคร ส.ส.เขต ก็ไม่ตรงกับหมายเลขพรรค ในระบบปาร์ตี้ลิสต์  เพราะขึ้นอยู่กับผลการจับสลากหมายเลขในวันสมัครรับเลือกตั้ง

สำหรับบัตรเลือกตั้ง "พรรคที่ชอบ"  แม้จำหมายเลขไม่ได้ แต่ก็ยังมีโลโก้พรรคให้เห็น ต่างจากบัตรเลือกตั้ง ส.ส.เขต ที่มีเพียงหมายเลข ไม่มีชื่อผู้สมัคร รวมถึงโลโก้และชื่อพรรค หรือที่เรียกว่า “บัตรโหล” 

ซึ่งทางเลขาฯ กกต. ยืนยันว่าเป็นรูปแบบบัตรมาตรฐานที่ใช้จัดการเลือกตั้งในไทยทุกครั้งที่ผ่านมา ยกเว้นในปี 2562 ที่ใช้บัตรเลือกตั้งแบบเฉพาะเพราะเลือกจบในใบเดียว  และการนำบัตรโหลมาใช้เลือก ส.ส.เขต จะช่วยประหยัดงบประมาณ และ ป้องกันบัตรเสียจากความสับสน กับบัตรเลือกตั้งบัญชีรายชื่อ ที่มีหมายเลข โลโก้ และชื่อพรรคอยู่บนบัตร  ตรงกันข้ามกับความเห็นของหลายพรรคการเมือง ที่วิจารณ์ว่า การใช้บัตรโหลเป็นการผลักภาระให้ผู้ใช้สิทธิ และสับสน เพราะต้องจำทั้ง “เบอร์คน” และ “เบอร์พรรค”

3 "เลือกตั้งล่วงหน้า  นอกราชอาณาจักร" ใส่ชื่อพรรคผิด-หาย ทำผู้มีสิทธิเลือกตั้งในต่างแดนสับสน
นอกจากเรื่องวุ่น ๆ ในการจัดการเลือกตั้งภายในประเทศแล้ว ยังมีความผิดพลาด บกพร่องเกี่ยวกับเอกสารแนะนำผู้สมัครที่แจ้งต่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรในหลายกรณี จากหลายประเทศ ซึ่งอาจทำให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งสับสน เข้าใจผิด และลงคะแนนผิด เช่น 

ภาพผู้สมัคร ส.ส.เขตอยู่สลับพรรคกัน มีการพิมพ์ชื่อพรรคต้นสังกัดของผู้สมัครผิด 

ชื่อพรรคต้นสังกัดของผู้สมัคร ซึ่งมีภาพ หมายเลข และชื่ออยู่ด้านบน แต่ชื่อพรรคดันถูกจัดหน้ามาไว้เหนือภาพผู้สมัคร ส.ส. ที่อยู่ด้านล่าง

รายชื่อผู้สมัคร ส.ส.เขต ไม่มีชื่อพรรคต้นสังกัดในช่องเดียวกับผู้สมัคร เนื่องจากชื่อพรรคถูกจัดหน้าแล้วดันไปไว้ในเอกสารหน้าถัดไป โดยไปปรากฏเหนือภาพผู้สมัครอื่น

ความสับสนทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับเอกสาร ทางสถานทูตหลายแห่งที่เกิดปัญหาที่ปลายทางนั้นไม่สามารถแก้ไขได้ เนื่องจากเป็นเทมเพลตสำเร็จรูปจาก กกต. 

4 กกต. ไม่มีเอกสารประกาศ 400 เขตเลือกตั้ง เป็นทางการ
ช่วงโค้งสุดท้าย ก่อนการเลือกตั้ง 2 วัน  "ยิ่งชีพ อัชฌานนท์" ผู้จัดการไอลอว์ ที่ออกมารณรงค์ให้ประชาชนร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งในการติดตามและตรวจสอบการนับคะแนนเลือกตั้งให้โปร่งใส โดยออกมาเป็นอาสาสมัครสังเกตการณ์กันเลือกตั้งและนับคะแนนตามเขตเลือกตั้งทั้ง 400 เขตทั่วประเทศ   ได้เปิดเผยถึง หนึ่งในอุปสรรคของการทำงานของภาคประชาชน  คือไม่มีเอกสารระบุรายละเอียดของการแบ่งเขตเลือกตั้งทั้ง 400 เขต

ซึ่งก่อนหน้านั้น ตน และทีมงานได้พยายามยื่นเรื่องขอเอกสารจาก กกต. เพื่อนำมาจัดสรรอาสาสมัครลงทำงานในพื้นที่เขตเลือกตั้ง หลายครั้ง แต่ได้รับคำตอบว่าไม่มีเอกสารเป็นทางการให้ ทำให้ภาคประชาชนทำงานได้ไม่คล่องตัว และอาจเข้าไปสังเกตการณ์พื้นที่เลือกตั้งอย่างไม่ทั่วถึง เนื่องจากไม่มีข้อมูลของเขตเลือกตั้งที่แม่นยำและครบทุกเขต เรื่องนี้อาจดูไม่เป็นปัญหาใหญ่แต่ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ กกต. ทำให้ครบ จบ สมบูรณ์กว่านี้ได้ 

การเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม 2566 นอกจากจะถูกบันทึกว่าเป็นการเลือกตั้งที่เกิดปรากฏการณ์ความพลิกผันเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จากกระแสพรรคก้าวไกลแล้ว การเลือกตั้งครั้งนี้ก็นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งครั้งที่เกิดความอลวน และมีความความสุ่มเสี่ยงต่อการผิดพลาดบกพร่องมากที่สุดครั้งหนึ่งด้วยเช่นกัน

กรณ์ โพสต์ยาว เรื่องจริงหลังเลือกตั้ง ไม่เคยขอร่วมรัฐบาล และไม่เคยคิดแตะ ม.112

หลังจากพรรคก้าวไกลออกแถลงไม่ร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคชาติพัฒนากล้า เนื่องจากมีกระแสกดดันโลกออนไลน์ติดแฮชแท็ก #มีกรณ์ไม่มีกู ไม่พอใจที่ดึงพรรคชาติพัฒนากล้า ที่มีนายกรณ์ จาติกวณิช ครั้งหนึ่งเคยร่วมชุมนุมกับกลุ่ม กปปส. มาร่วมตั้งรัฐบาลด้วย ทำให้ขัดกับหลักของก้าวไกลที่มีจุดยืน "มีเราไม่มีลุง"


ล่าสุด วันที่ 20 พ.ค.2566 นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า โพสต์ชี้แจงประเด็นร้อนทางการเมือง ผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า นี่คือ "เรื่องจริง" ที่เกิดขึ้น หลังการเลือกตั้ง ผมมาอยู่กับลูกที่ออสเตรเลีย จนเมื่อวานบ่ายคุณสุวัจน์โทรแจ้งว่า ก้าวไกล ชวนเข้าร่วมรัฐบาล
คุณสุวัจน์กับผมสรุปกันว่าจะคุยกันวันจันทร์ในที่ประชุมกก.บห. เพราะมีประเด็นสำคัญสำหรับเราคือ นโยบายสู้ทุนผูกขาดพลังงาน และจุดยืนไม่แก้ ม.112

โดยผมไม่เคยติดต่อร่วมรัฐบาลกับใครเลย เพราะเรามีเพียง 2 เสียง และไม่ได้แม้แต่คิดจะมีเงื่อนไขต่อรองอะไรมีสื่อโทรมาหาผมที่เมลเบิร์นว่า เราเข้าร่วมรัฐบาลแล้วเหรอ ผมก็ตอบไปว่าเรายัง ต้องคุยเรื่องนี้กันในวันจันทร์ (สื่อลงว่าผม ‘กั๊ก’)

ผมยืนยันเหมือนเดิมว่า พรรคที่รวมเสียงข้างมากได้ ถึงจะมีความชอบธรรมในการตั้งรัฐบาล นี่คือหลักประชาธิปไตยที่เป็นจุดยืนของผม ชาติพัฒนากล้า พร้อมทำงานกับทุกพรรค แต่เราไม่แตะ 112 และเราต้องการเน้นแก้ปัญหาราคาพลังงาน

ผมโดนด่าฟรีจากทั้งขวาและซ้าย ผมรับได้ทุกข้อกล่าวหา ทุกคำหยาบ ทุกข้อมูลเท็จ แต่ที่ผมเสียใจคือผลกระทบที่มีต่อครอบครัวและคนที่ผมรักการเมืองที่ผมสร้าง ผมไม่ได้สร้างบนความเกลียด ความกลัว แต่ผมทำบนความเชื่อ เชื่อที่อยากเห็นความเป็นอยู่ที่ดีของคนไทย

ประชาชนต้องปรับตัว ประเทศไทยกำลังจะเปลี่ยน คนรุ่นใหม่ คนรุ่นเก่า ต้องอยู่กันต่อไป ชาติสำคัญที่สุด

ผู้ใช้ facebook ที่ชื่อว่า Napha Wong ได้โพสต์คลิปชายหนุ่มพูดถึงพรรคส้ม โดยมีใจความว่า

มันเป็นไปตามที่คิดและอยากให้เป็นกับการเลือกตั้งที่พรรคส้มได้ชัยชนะ แต่กลับไม่รู้สึกยินดีที่ไทยนั้นถูกครอบงำโดยชาติตะวันตก และความทันสมัย เห็นดีเห็นงานกับระบอบทุนนิยม มีงาน มีบ้าน มีรถ 

ซีเกมส์ที่ผ่านมาเราเป็นประเทศที่ทุกคนอิจฉา อยากจะเป็นอย่างเรามาก แต่ไม่สามารถเป็นอย่างเราได้เพราะ เราเป็นประเทศที่มีเอกราช และมีคนเก่ง แต่สิ่งเหล่านี้ เราจะสูญเสียไปในทันที ที่เราตกเป็นเมืองขึ้นทางความคิดของทางชาติตะวันตก 

หากเราตกเป็นทาสเขาเมื่อไหร่ เราจะไม่สามารถกำหนดอะไรได้เองเลย ก็หวังว่าสิ่งที่กังวลจะไม่เป็นจริง 

คำคม จาก ว่าที่นายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ของไทย

“ห้ามทำตัวกร่าง ห้ามเจ้ายศเจ้าอย่าง และท่องจำประโยคเหล่านี้ไว้ให้ดีๆ

ใหญ่กว่าเรา คือพรรค ใหญ่กว่าพรรค คือความคาดหวังประชาชน”

 

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์  หัวหน้าพรรคก้าวไกล

กล่าวในการจัดประชุม ส.ส. (19 พ.ค. 2566)


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top