Sunday, 20 April 2025
POLITICS NEWS

‘เทพไท’ ชี้!! ทักษิณ คือ เจ้าของรัฐบาลตัวจริง ฟาด!! ทำงาน สั่งการ ผ่านลูกสาว ที่เป็นร่างทรง

(22 ธ.ค. 67) นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์เฟซบุ๊ก ‘เทพไท – คุยการเมือง’ 

ทักษิณ คือ เจ้าของรัฐบาลตัวจริง  ถ้าใครได้ติดตามความเคลื่อนไหวของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในการรับเชิญเป็นวิทยากร กล่าวบรรยายพิเศษหัวข้อ ‘อนาคตอีสาน โอกาสประเทศไทย’ ในงานสัมมนา ‘ISAN NEXT: พลิกเศรษฐกิจไทย ฝ่าวิกฤตโลก’ ที่หอประชุมราชภัฏรังสฤษฏ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมาแล้ว จะทราบว่ามีเนื้อหาในการบรรยาย พอสรุปได้ดังนี้คือ

1.การสร้างซอฟต์พาวเวอร์ หรือสินค้าโอทอปของภาคอีสาน

2.ปัญหายาเสพติด จัดทำแอปพลิเคชันที่จะรับข้อมูลจากประชาชน เพื่อให้มีการปราบปรามอย่างจริงจัง

3.เสนอให้แปลงการออกพันธบัตรรัฐบาลให้มาสู่ระบบเศรษฐกิจ โดยออกพันธบัตรอายุสั้นขายคนทั่วไปในรูปของเหรียญ ซึ่งประชาชนสามารถที่จะนำไปใช้หรือไม่ใช้ก็ได้ และต้องทำให้จีดีพีโตได้ 4-5% จากที่เป็นอยู่ 2%

ซึ่งเชื่อว่าวิสัยทัศน์ของนายทักษิณ เกี่ยวกับการพัฒนาภาคอีสานในครั้งนี้ จะถูกรัฐบาลชุดนี้นำไปปฏิบัติอย่างแน่นอน เพราะที่ผ่านมาเห็นได้ชัดว่า นายทักษิณพูดอะไร รัฐบาลชุดนี้ก็นำไปปฏิบัติทั้งหมด นับตั้งแต่การแสดงวิสัยทัศน์ของนายทักษิณ บนเวทีสัมมนาของเครือเนชั่น รัฐบาลก็นำไปเป็นนโยบายของรัฐบาล และได้แถลงต่อที่ประชุมรัฐสภาไปแล้ว รวมถึงนายทักษิณได้พูดเรื่องแจกเงินให้กับผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป คนละ 10,000 บาท บนเวทีปราศรัยจังหวัดอุดรธานี นายพิชัย ชุณหวชิร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก็ออกมาขานรับทันทีในวันต่อมา และนำไปปฎิบัติเป็นนโยบายของรัฐบาลแล้ว

แม้แต่การตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจปราบปรามผู้มีอิทธิพล ที่นายทักษิณประกาศให้นางสาวแพทองธาร เป็นประธานนั่งหัวโต๊ะ รัฐบาลยังไม่ทันได้ตั้งกรรมการขึ้นมาเลย แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็ลงพื้นที่ลุยปราบปรามทันที ตามคำดำริของนายทักษิณ ซึ่งมีความศักดิ์สิทธิ์มากกว่าคำสั่งรัฐบาลด้วยซ้ำไป

เพราะฉะนั้นสิ่งที่นายทักษิณพูดทั้งหมดคือ แนวทางการทำงานของรัฐบาลชุดนี้ จึงไม่ต้องสงสัยว่า ระหว่างนายทักษิณกับนางสาวแพทองธาร ใครคือนายกรัฐมนตรีตัวจริง จะบอกว่า ‘พ่อทำลูกซ่อม’ ก็ไม่เป็นความจริง เพราะรัฐบาลชุดนี้ ‘พ่อคิด พ่อกำหนด พ่อกำกับ พ่อสั่งการ’ ผ่านร่างทรงที่เป็นลูกสาว คือนางสาวแพทองธาร ชินวัตร

‘นิพิฏฐ์’ ชี้!! ต้องแยกแยะ ‘การเมืองท้องถิ่น’ ออกจาก ‘การเมืองระดับชาติ’ ลั่น!! รู้จักผู้สมัครจาก ‘พรรคประชาชน’ ในบางจังหวัด มีคุณสมบัติเหมาะสม

(21 ธ.ค. 67) นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีตสส.พัทลุง โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า …

ผมดูรายชื่อผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด และสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดของ ‘พรรคประชาชน’ ในบางจังหวัด ต้องยอมรับอย่างตรงไป-ตรงมา ว่า ในบางจังหวัดที่ผมรู้จักคุณสมบัติของเขาเหนือกว่าคู่แข่งจริง ๆ มีความเหมาะสมในการบริหารท้องถิ่น และประชาชนในท้องถิ่นน่าจะได้ประโยชน์มากกว่า

จึงอยากให้แยกการเมืองระดับชาติ กับ ระดับท้องถิ่นออกจากกัน ประชาชนในพื้นที่จะรู้ดี ว่าใครเป็นอย่างไร ใครเก่ง-ไม่เก่ง,ใครดี-ไม่ดี,ใครซื้อเสียง-ไม่ซื้อเสียง เลือกเอาตามที่ถนัดครับ

เมื่อแยกการเมืองระดับชาติ กับ ท้องถิ่น ออกจากกันแล้ว เราเลือกนักการเมืองท้องถิ่นอย่างไร ก็สะท้อนตัวตนของคนในท้องถิ่นนั้น ๆ ว่า เป็นอย่างไร

‘เกรียงยศ’ จี้!! กทม. ให้คำตอบ สะพานลาดกระบังถล่ม เร่ง!! เดินหน้าโครงการ คืนวิถีชีวิตให้ประชาชน

(21 ธ.ค. 67) นายเกรียงยศ สุดลาภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยว่า 

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงเย็นของวันที่ 10 กรกฎาคม 2566 เกิดเหตุการณ์สะพานอ่อนนุช-ลาดกระบังถล่ม เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และมีผู้ได้รับผลกระทบทั้งบาดเจ็บและขาดรายได้ 356 ราย 

จนถึงขณะนี้เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นนานกว่า 1 ปีแล้วแต่กรุงเทพมหานครโดยนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ยังไม่มีการสรุปผลถึงสาเหตุของเหตุการณ์อันน่าสลดดังกล่าวได้อย่างชัดเจน แม้หลังเหตุการณ์จะมีการให้คำสัญญาว่าจะได้รับคำตอบถึงสาเหตุภายใน 7 วัน

ซึ่งประชาชนบริเวณนั้นได้รับผลกระทบเป็นจำนวนมาก และได้มีการร้องเรียนมายังตน และจากการลงพื้นที่พร้อมกับสมาคมวิศวกร พบว่าสาเหตุสำคัญเกิดจากรอยต่อระหว่างแท่งคอนกรีตไม่ได้มาตรฐาน จึงมีการหักโค่นและถล่มลงมา นอกจากนี้แม้โครงการดังกล่าวจะมีมูลค่าโครงการมหาศาลแต่ไม่มีการว่าจ้างบริษัทควบคุมงาน 

นอกจากนี้แล้วโครงการดังกล่าวผ่านไปนานกว่า 2 ปีแล้วแต่ยังไม่มีความคืบหน้าที่ชัดเจน ตอม่อของโครงการที่จะมีการตั้งอยู่ในพื้นที่กรมชลประทานยังไม่มีการขออนุญาตจากกรมชลประทาน และยังไม่มีการลงโทษหรือการปรับผู้รับเหมาของโครงการดังกล่าว แม้ว่าจะมีความล่าช้ามาไม่น้อยกว่า 8 เดือนแล้ว

ดังนั้นจึงขอฝากไปยังกรุงเทพมหานครให้มีการเร่งรัดการดำเนินการโครงการดังกล่าว และชี้แจงถึงความคืบหน้าในโครงการดังกล่าว

‘เพชร กรุณพล’ โร่แจง ‘สุเมธ’ ที่ถูกจับไม่ใช่ ผอ.พรรค เหน็บพอเป็นเรื่อง ปชน. เปิดข้อมูลหมดไม่สนข้อมูลถูกผิด

(20 ธ.ค.67) จากกรณีตำรวจภูธรภาค 2 ชุดขยายผล ‘กวาดล้างผู้มีอิทธิพลใน จ.ปราจีนบุรี’ บุกค้นจับกุมบ้านผู้ต้องสงสัย พบอาวุธปืนเถื่อน พร้อมเครื่องกระสุนเป็นจำนวนมาก ก่อนจะพบว่าบ้านผู้ต้องสงสัยดังกล่าว คือ นายสุเมธ ผู้อำนวยการพรรคประชาชน ประจำจังหวัดปราจีนบุรี

ด้าน พ.ต.อ.สุรพร เทพเสน ผกก.สภ.ระเบาะไผ่ เปิดเผยว่า ตำรวจภูธรภาค 2 ได้รับคำสั่งกวาดล้างผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ จ.ปราจีนบุรี สืบเนื่องจากคดี นายสุนทร วิลาวัลย์ หรือ โกทร นายก อบจ.ปราจีนบุรี ผู้ต้องหาในคดี การเสียชีวิตของ นายชัยเมศร์ สิทธิสนิทพงศ์ หรือ สจ.โต้ง โดยพบอาวุธปืน 5 กระบอก เป็นปืนที่ไม่มีใบอนุญาต 2 กระบอก และเครื่องกระสุนหลายร้อยนัด และอีก 3 กระบอก เจ้าหน้าที่ได้ยึดไปตรวจสอบ โดยจะมีการดำเนินคดีข้อหาพกอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต และฝากขังต่อศาลจังหวัดปราจีนบุรีต่อไป

ต่อมาเมื่อคืนวันที่ 19 ธันวาคม 2567 นายกรุณพล เทียนสุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ และรองโฆษกพรรคก้าวไกล ทวีตข้อความ ชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้น ดังนี้ จากเหตุการณ์ดังกล่าว น่าจะมีเรื่องเข้าใจผิดหลายเรื่องครับ

1. ผู้อำนวยการกองการเลือกตั้งปราจีนบุรี ชื่อ สุเมธ ไสลวงษ์

2. ผู้ถูกตรวจค้นเป็นสมาชิกพรรคชื่อ สุเมธ เหรียญพงษ์นาม ชื่อเหมือนกัน แต่เป็นคนละคนนะครับ

3. ไม่มีปืนเถื่อน ปืนทั้ง 5 กระบอก มีทะเบียนถูกต้อง 3 กระบอกเป็นของคุณสุเมธ / 1 กระบอกของพี่ชาย / 1 กระบอกของพ่อ

4. ถูกบุกตรวจค้น จากการแจ้งของผู้หวังดีที่ต้องการรางวัลนำจับ (คำนี้ในบันทึกตำรวจ) ไม่ใช่การบุกจับกุม

5. ปืนทุกกระบอกอยู่ในบ้าน และเก็บรักษาในกล่อง ไม่อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานทันที

6. คุณสุเมธ รับสารภาพ จากข้อหาไม่มีใบอนุญาตพกปืน ของพี่ชายและของพ่อ ที่อยู่ในบ้านตนเอง และอยู่ในกล่อง ซึ่งขณะบุกค้นไม่ได้พกปืนอยู่กับตัว

7. การบุกค้นเริ่มตั้งแต่ 6 โมงเช้า ซึ่งกระทำตามหมายศาล แต่ก็แอบแปลกใจว่าไม่เคยมีชื่อเป็นผู้มีอิทธิพล ปืนมีทะเบียน แถมอยู่ในกล่อง ในบ้านตัวเอง บุกค้นเพราะอ้างว่ามีคนแจ้งเพื่อหวังรางวัลนำจับ ช่างเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่ตั้งใจทำงานจนน่าประทับใจคุ้มค่ากับเงินภาษีประชาชนจริง ๆ

อะไรที่เกี่ยวกับพรรคประชาชน ไม่ต้องเดาให้ยาก มาครบทั้งชื่อ ทั้งตำแหน่ง แม้จะมั่วบ้างจริงบ้าง เสียหายไปแล้วก็ช่างมันไม่ต้องสนใจ ไม่ต้องขอโทษ แต่กับคนอื่นพรรคอื่น เขียนให้เดาเอาไว้ฝึกสมองประชาชนสินะครับ

‘รมช.กลาโหม’ ลั่น ‘กองทัพ’ พร้อมรบปกป้องอธิปไตย ย้ำชัด ‘ทหารไทย’ ไม่ได้อ่อน หลังถูกวิจารณ์ปมว้าแดงรุกล้ำเขตแดน

‘รมช.กลาโหม’ ลั่น ทหารไทย ไม่ได้อ่อน หลังถูกวิจารณ์ ปมว้าแดงรุกชายแดน ย้ำ 'กองทัพ' พร้อมปกป้องอธิปไตย ชี้ รบกันไม่ยาก แต่ผลกระทบเกินเยียวยา

(20 ธ.ค.67) ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม กล่าวถึงสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทยเมียนมา กรณีพื้นที่ที่มีการพิพาทเกิดขึ้นกับกลุ่มว้าแดงในขณะนี้ ว่า ประเด็นนี้ไม่ขอลงรายละเอียด แต่ขอให้ประชาชนมั่นใจว่า กองทัพพร้อมปกป้องอธิปไตยหากเกิดการรุกล้ำอธิปไตยเข้ามา เช่นเดียวกับกรณีที่เมียนมายังคงไม่ปล่อยตัว 4 ลูกเรือประมงไทย ไม่อยากจะลงในเรื่องของรายละเอียด เนื่องจากอยู่ระหว่างการพูดคุย ซึ่งอาจกระทบต่อขั้นตอนการเจรจา อาจทำให้คนไทยที่อยู่ฝั่งนู้นได้รับผลกระทบ 

เมื่อถามว่า ยืนยันได้หรือไม่ว่าหน่วยงานความมั่นคง ไม่ได้อ่อนเกินไป พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่ายืนยันอย่างหนักแน่นว่า ไม่ได้อ่อน เราพร้อมปฏิบัติการเมื่อรัฐบาลสั่งการ แต่การพูดคุยจะต้องคำนึงถึงผลกระทบอย่างรอบด้าน ทั้งสังคม เศรษฐกิจ การท่องเที่ยว แต่อยากให้เชื่อใจ หากเป็นเรื่องอธิปไตย กองทัพปกป้องแน่นอน ไม่ยอมให้ใครมารุกล้ำอธิปไตย แต่ในขณะเดียวกัน การพูดคุยก็ต้องคำนึงถึงทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ เศรษฐกิจ สังคม รวมถึงประชาชนที่อยู่ตามแนวชายแดน

"การรบกัน การปะทะกัน เป็นอาชีพของทหาร และความรับผิดชอบอยู่แล้ว แต่ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับพี่น้องประชาชนตามแนวชายแดน เราต้องคำนึงถึงเรื่องนี้ด้วย"

เมื่อถามว่ากลุ่มว้าแดง ไม่ได้รุกล้ำมาเพียงแค่จุดเดียว แต่ตลอดแนวชายแดนไทยเมียนมา มีการรุกล้ำถึง 80 จุด พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่า ไม่ถึงขนาดนั้น ซึ่งพื้นที่ตามแนวชายแดน เช่น เชียงใหม่ เชียงราย ปัจจุบันยังปักปันชายแดนไม่แล้วเสร็จ จึงมีพื้นที่ที่ไม่ชัดเจนหลายแห่ง ก็ต้องมีการพูดคุยกันในคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น ไทย - เมียนมา (TBC)และยืนยันว่าไม่มีเดดไลน์อย่างที่เป็นข่าว 

เมื่อถามว่า กระทรวงกลาโหมมีแนวทางอื่นหรือไม่ ในเมื่อการปักปันเขตแดนไม่สามารถทำได้ในพื้นที่ที่เกิดการสู้รบ เพื่อหาข้อสรุปในเรื่องนี้ พล.อ.ณัฐพล ระบุว่า ที่ผ่านมาก็มีอยู่แล้ว แม้ไม่มีแนวเขตแดน แต่เรามีเส้นปฏิบัติการที่กำหนดว่าทั้งสองฝ่ายจะอยู่กันบริเวณไหน เพื่อเป็นกรอบการปฏิบัติของแต่ละฝ่าย อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันเรามีคนไทยในการพูดคุยอยู่แล้ว และมีความแน่นแฟ้นกับชนกลุ่มน้อย แต่พื้นที่ตรงนั้น เป็นพื้นที่ที่เราไม่ได้พูดคุยกับเมียนมาโดยตรง มีชนกลุ่มน้อย ที่ประกอบด้วยหลายกลุ่มอยู่ตรงนั้น เราจึงใช้กลไกทั้ง TBC และกลไกอื่น ๆ เข้ามาเสริม

นอกจากนี้ พล.อ.ณัฐพล ยังฝากไปถึงสื่อโซเชียลที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ในประเด็นนี้ว่า ขอให้มั่นใจ กองทัพพร้อมปกป้องอธิปไตย และในการพูดคุยเราไม่ได้มองแค่ประเด็นด้านความมั่นคงหรือการทหารเพียงอย่างเดียว มีเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ เศรษฐกิจ ผลกระทบต่อประชาชน การรบการปะทะกันน่ะง่าย แต่เรื่องความเดือดร้อนของประชาชนเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ยากที่จะเยียวยา กองทัพจึงคำนึงถึงเรื่องนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่า คำนึงจนอ่อนอย่างที่สังคมวิจารณ์ เมื่อไหร่ก็ตามที่เกี่ยวข้องกับอธิปไตย เราก็พร้อม ปฏิบัติการได้ทันที

‘พายุ’ โดดป้อง ‘นายกฯอิ๊ง’ ปมหนีตอบกระทู้พลังงาน ซัดพฤติกรรม ‘ไอซ์ รักชนก’ ไร้ความเคารพต่อสภา

เมื่อวันที่ (19 ธ.ค. 67) นายพายุ เนื่องจำนงค์ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กตอบโต้กรณี ‘ไอซ์ - รักชนก ศรีนอก’ สส. กรุงเทพมหานคร พรรคประชาชน โพสต์ ig story เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2567 เพื่อเรียกร้องให้ น.ส. แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มาตอบกระทู้ในสภาฯ เกี่ยวกับปัญหาค่าไฟฟ้าแพง โดยระบุว่า “ตอบนะครับ: สิ่งที่ท่านนายกฯทำอยู่ก็เป็นการแสดงออกถึงความเข้าใจในการบริหารราชการแผ่นดิน ท่านจึงได้มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่มีหน้ารับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรงไปตอบคำถามกระทู้ในวันนี้ 

เนื่องจากท่านรัฐมนตรีจะมีข้อมูลมากที่สุดในฐานะที่เป็นเจ้ากระทรวงเพราะเป็นเรื่องเดียวที่ต้องโฟกัส ซึ่งเทียบกับท่านนายกฯที่ต้องบริหารทั้งรัฐบาลที่มีถึง 20 กระทรวงให้ขับเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน ยังไม่รวมหน้าที่ความรับผิดชอบอื่น ๆ อีกมากมาย”

อีกทั้งยังชี้แจงว่า สาเหตุที่ นายกฯ ต้องเลื่อนการตอบกระทู้นั้น เพราะว่าติดภารกิจช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยน้ำท่วมในภาคใต้ อีกทั้ง นายกฯ ไม่ได้ยกเลิกการตอบกระทู้ เพียงแต่ขอเลื่อนไปเท่านั้น

และตำหนิการใช้ถ้อยคำของ น.ส. รักชนก โดยเฉพาะคำว่า 'เฟียส ๆ' ซึ่งเป็นการแสดงพฤติกรรมเหมือนบุคคลที่ไม่มีสัมมาคารวะและเคารพต่อพื้นที่สภา เพื่อการท้าทายนายกฯ ซึ่ง “เท่ากับว่า ที่จริงแล้วทางฝ่ายค้านไม่ได้ต้องการคำตอบที่มีเนื้อหาสาระที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนจริง”

‘จักรภพ’ ไม่แปลกใจ ‘อันวาร์’ ตั้ง ‘ทักษิณ’ เป็นที่ปรึกษาปธ. อาเซียน เชื่อรวมชาติอาเซียนได้ด้วยใจไม่ใช่กลไกราชการ เหตุรู้จักผู้นำทุกคน

‘จักรภพ’ เผย ผู้นำอาเซียนรู้จัก ‘ทักษิณ’ หมด ไม่แปลกใจ อันวาร์ ตั้งเป็นที่ปรึกษาปธ. อาเซียน เชื่อ อดีตนายกฯ รวมชาติอาเซียนได้ด้วยใจ ไม่ใช่กลไกราชการ

(20 ธ.ค.67) นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตโฆษกรัฐบาล และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี ดาโตะ เซอรี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ได้แต่งตั้ง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นที่ปรึกษาประธานอาเซียน ในปี 2025 ที่รัฐบาลมาเลเซียจะเป็นประธานอาเซียน เพื่อให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการจัดการประชุมระดับนานาชาติ ว่า ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะผู้นำอาเซียนรู้จัก นายกฯ ทักษิณ กันหมด โดยตำแหน่งนี้ก็ตั้งขึ้นเป็นครั้งแรก ไม่มีเงินเดือน ไม่ได้มีตำแหน่งอยู่ในโครงสร้างอาเซียน เป็นตำแหน่งไม่เป็นทางการ นายอันวาร์เชื่อว่า นายกฯ ทักษิณ สามารถรวมชาติอาเซียนได้ด้วยใจ ไม่ใช่กลไกราชการ 

นายจักรภพ กล่าวว่า นายอันวาร์ มองไปล่วงหน้าว่า การแต่งตั้งครั้งนี้ มันน่าจะตรงกับประสบการณ์ของ นายกฯ ทักษิณโดยเฉพาะปัญหาความไม่สงบในประเทศเมียนมาในขณะนี้ อย่าลืมว่า นายกฯ ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี 6 ปี มีเหตุการณ์ใหญ่ ๆ ในเมียนมาหลายครั้ง จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงศูนย์อำนาจในเมียนมา ชนกลุ่มน้อยก็เข้มแข็งขึ้น และนายกฯ ทักษิณ ก็สามารถเจรจาชนกลุ่มน้อยที่อยู่ตามชายแดนได้ เหมือนที่กำลังมีประเด็นว้าแดงอยู่ในขณะนี้  

นอกจากนี้ นายจักรภพ ยังได้ยกเรื่องของความขัดแย้ง ระหว่างอินโดนีเซีย กับฟิลิปปินส์ ที่เห็นไม่ตรงกันในเรื่องน่านน้ำ ก็ต้องให้อาเซียนช่วย เวียดนามเองก็มีปัญหาเรื่องของเกาะที่อยู่ไม่ไกลจากเวียดนาม แล้วก็เป็นที่แย่งชิงของบรรดาอาเซียน นายกฯ ทักษิณ ผ่านเรื่องเหล่านี้มาโดยส่วนตัวคิดว่านายอันวาร์ ก็คงหวังจะได้ประโยชน์จากตรงนี้

“ผมเดาใจท่านอันวาร์ ท่านน่าจะมองว่าคุณทักษิณ เป็นคนที่เก่งในการสร้างงานที่ใหญ่ขึ้น มาเลเซียได้ประโยชน์ ประเทศในอาเซียนได้ประโยชน์ และแน่นอนว่าประเทศไทยก็ได้ประโยชน์ด้วย พูดง่าย ๆ คือคุณทักษิณมองใหญ่เป็น เขาคงรู้ว่าคบกับไทยดีกว่าแข่งกับไทย” นายจักรภพ กล่าว 

นายจักรภพ กล่าวถึงกรณี นายอันวาร์ เรียกนายทักษิณว่าเป็นรัฐบุรุษ ว่า ต่างชาติเขาคิดไม่เหมือนเรา ที่อาจจะมอง นายกฯ ทักษิณ แบบมีอคติ แต่เขามองแบบผู้นำนับถือกัน และที่สำคัญเขามีหน่วยงานข่าวกรองที่รู้มากกว่าเรา เขารู้ว่า นายกฯทักษิณ เป็นอย่างไร อาจมีผิดพลาดบ้าง แต่สำคัญคือเดบิตต้องสูงกว่าเครดิต รายได้สูงกว่ารายจ่าย กิจการนั้นก็จะประสบความสำเร็จ จะมานั่งวัดกันเหมือนส่องกล้องจุลทรรศน์ ก็คงไม่ได้

ศาลสั่งจำคุก 'อานนท์ นำภา’ 2 ปี 8 เดือน ผิด ม.112 และ 116 จากคดีม็อบ 'แฮร์รี่ พอตเตอร์' รวมโทษจำคุกหกคดี 18 ปี 10 เดือน 20 วัน

(19 ธ.ค. 67) iLaw และศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานคำพิพากษาศาลอาญาของอานนท์ นำภา จากการปราศรัยในการชุมนุม 'เสกคาถาผู้พิทักษ์ ปกป้องประชาธิปไตย' หรือม็อบแฮร์รี่ พอตเตอร์เมื่อปี 2563 ผิดกฎหมายอาญามาตรา 112 และ 116 ลงโทษจำคุก 4 ปี ให้การเป็นประโยชน์เหลือ 2 ปี 8 เดือน

วันที่ 19 ธ.ค. 2567 เว็บไซต์ iLaw รายงานอ้างศาลที่พิเคราะห์ว่า การที่กล่าวทำนองว่า มีการแทรกแซงรัฐธรรมนูญที่ผ่านประชามติมาแล้วเป็นการดูหมิ่นกษัตริย์ การเชิญชวนให้มาฟังความคิดเห็นของจำเลยไม่ได้กระทำในความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่การติชมโดยสุจริต  เพื่อสร้างความปั่นป่วนและกระด้างกระเดื่อง

เช่นเดียวกับเฟซบุ๊กศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ที่ระบุว่า การปราศรัยทำให้กษัตริย์เสื่อมเสียพระเกียรติ การกระทำของจำเลยไม่อยู่ในความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ จึงเป็นความผิดตามมาตรา 112 และมาตรา 116 ให้ลงโทษบทหนักที่สุดคือมาตรา 116

คำพิพากษาล่าสุดเป็นคดีตามมาตรา 112 คดีที่ 6 ของอานนท์ นำภา ซึ่ง 5 คดีแรกอานนท์ถูกลงโทษจำคุกแล้ว 16 ปี 2 เดือน 20 วัน ทำให้รวมโทษล่าสุด 6 คดีอยู่ที่จำคุก 18 ปี 10 เดือน 20 วัน

'พิธา' ไม่หวั่นแม้ถูกตัดสิทธิ์การเมือง 10 ปี หวังกลับมาเป็นแคนดิเดตนายกฯอีกครั้ง

(19 ธ.ค. 67) พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ที่โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ว่าเขาคาดหวังว่าจะได้กลับมาเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทยอีกครั้ง หลังจากถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 10 ปี

“ผมกำลังรอวันที่จะได้กลับมา ถ้าพรรคสนับสนุนและประชาชนต้องการ ผมพร้อมที่จะกลับมาเป็นผู้สมัครนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง” พิธากล่าวระหว่างให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวเมื่อวันอังคาร (17 ธ.ค.) ระหว่างเดินทางไปบรรยายที่มหาวิทยาลัยโตเกียว โดยเน้นว่านี่ไม่ใช่การตัดสินใจส่วนตัว แต่เป็นทางเลือกที่เกี่ยวข้องกับสังคมส่วนรวม

เว็บไซต์นิกเกอิเอเชียรายงานว่า ระหว่างการบรรยายที่มหาวิทยาลัยโตเกียว พิธา ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่ง Senior Research Fellow ที่ Harvard Kennedy School กล่าวว่า ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา มีพรรคการเมืองในประเทศไทยถูกยุบถึง 34 พรรค และนักการเมือง 250 คนถูกตัดสิทธิทางการเมือง "การยุบพรรคและการจำกัดสิทธิทางการเมืองกลายเป็นเรื่องปกติในประเทศไทย" เขากล่าว "มันเป็นวงจรร้ายที่ควรยุติ"

เมื่อถูกถามเกี่ยวกับการเลือกตั้งทั่วไปครั้งต่อไป ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นภายในปี 2570 พิธาแสดงความเชื่อมั่นว่าพรรคประชาชนมีโอกาสชนะการเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม เขาเน้นว่าพรรคควรจัดตั้งรัฐบาลผสมเพื่อสร้างการบริหารประเทศที่มีประสิทธิภาพ “การมีรัฐบาลที่ดีไม่ควรยึดอำนาจเบ็ดเสร็จ” เขากล่าว

ในประเด็นความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ พิธาเตือนว่ารัฐบาลไทยต้องระวังไม่ให้สหรัฐฯ มองไทยเป็นทางลัดสำหรับการลงทุนจากจีน โดยคาดว่าจีนอาจถูกเก็บภาษีนำเข้า 60% สำหรับการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ซึ่งอาจทำให้จีนเลือกใช้เม็กซิโกหรือไทยเป็นฐานการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top