Sunday, 22 June 2025
POLITICS NEWS

‘สมศักดิ์-วิสุทธิ์’ นำทีม สส.เพื่อไทย ลุยสุราษฎร์ฯ ช่วยพี่น้องเกษตรกร หารือแนวทางแก้ปัญหาโรคใบร่วงระบาด ทำน้ำยางพาราลดลง 40%

เมื่อวันที่ 5 ส.ค. 66 คณะพรรคเพื่อไทย นำโดย สมศักดิ์ เทพสุทิน สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย วิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทยและคณะลงพื้นที่ชุมชนบ้านเรียบ ตำบลคลองไทร อำเภอท่าฉาง จังหวัดสุราษฎร์ธานี เยี่ยมผู้นำชุมชน เกษตรกรผู้ปลูกยางพาราในพื้นที่ปักษ์ใต้ เพื่อรวบรวมปัญหาที่พบส่งให้รัฐบาลใหม่ที่กำลังจัดตั้ง ได้นำไปแก้ไขปัญหาให้พี่น้องอย่างทันท่วงทีที่สุด

1.) สมศักดิ์ เทพสุทิน กล่าวว่าขณะนี้เกิดปัญหาโรคใบร่วงระบาดในสวนยาง ส่งผลให้ผลผลิตน้ำยางลดลงถึง 40 เปอร์เซ็นต์ รวมถึงทำให้ต้นยางเกิดปัญหายืนต้นตาย โดยวิธีแก้ไขเบื้องต้นสามารถใช้สารแคลเซียมคาร์บอเนตเพื่อลดปัญหาได้ในระดับหนึ่ง แต่จะต้องได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานของรัฐ ที่จะต้องเข้ามาดูแลช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร ไม่ให้เกิดปัญหาเช่นนี้อีก

2.) พรรคเพื่อไทย ห่วงใยปัญหาของพี่น้องเกษตรกรทุกกลุ่ม ไม่ใช่แค่กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกยาง ตลอดเวลาได้ศึกษาวิจัยและรวบรวมข้อมูลและเมื่อจัดตั้งรัฐบาลใหม่เสร็จสิ้น จะสามารถนำมาใช้เพื่อเร่งแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชนได้ทันที

3.) วิสุทธิ์ ไชยณรุณ กล่าวว่าในเรื่องของเกษตรกร ถือเป็นนโยบายหลักของพรรคเพื่อไทย ซึ่งหลังจากนี้ จะต้องเดินหน้าในการจัดอบรมให้ความรู้เกษตรกรในการเพาะปลูก และการเลี้ยงปศุสัตว์แบบถูกวิธี ไม่ว่าจะเป็นการหว่าน หรือ การใช้สูตรปุ๋ยที่เหมาะกับพืชที่ปลูก เพื่อที่จะให้ได้ผลผลิตที่มากขึ้น รวมถึงเพิ่มมูลค่าผลผลิตมากขึ้นกว่าเดิม

4.) สกุณา สาระนันท์ สส.สกลนคร กล่าวว่าหน้าที่รัฐบาลใหม่ที่ต้องทำ คือการพัฒนาผลผลิต หาตลาดใหม่ให้แก่ผู้เพาะปลูก รวมทั้งการส่งเสริมใช้นวัตกรรมเพื่อเพิ่มผลผลิตให้งอกเงยมากขึ้น และเพิ่มทุนให้แก่เกษตรกรเพื่อให้มีสภาพคล่องมากกว่าที่เป็นอยู่ 

5.) คณะพรรคเพื่อไทย ที่ลงพื้นที่ในโอกาสนี้ ประกอบด้วย สมศักดิ์ เทพสุทิน สส.บัญชีรายชื่อ, วิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ และประธานนโยบายด้านการเกษตร พรรคเพื่อไทย, ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย, อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ, สกุณา สาระนันท์ สส.สกลนคร, ประภาพร ทองปากน้ำ สส.สุโขทัย, มนพร เจริญศรี สส.นครพนม, ธัญธารี สันตพันธ์ สส.อุบลราชธานี, สุรพจน์ เตาะเจริญสุข สส.ขอนแก่น, ทินพล ศรีธเรศ สส.กาฬสินธุ์, ศุภจักร บุตรก้ำพี้ และ ดรุฒ คำวิชิตธนาภา

จิ๊บ ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ อดีตผู้สมัคร สส.กทม. เขตบางแค ภาษีเจริญ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.)

เมื่อวันที่ 5 ส.ค. 66 จิ๊บ ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ อดีตผู้สมัคร สส.กทม. เขตบางแค ภาษีเจริญ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวในฐานะอดีตนักศึกษาคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน (JC38) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุว่า…

“ฉันรักธรรมศาสตร์… เพราะธรรมศาสตร์สอนให้ฉันรักประชาชน แต่… ธรรมศาสตร์ไม่เคยสอนให้ฉันก้าวร้าว ธรรมศาสตร์ไม่เคยสอนให้ฉันก้าวล่วง และธรรมศาสตร์ ก็ไม่เคยสอนให้ เหยียบย่ำ หยาบคายกับผู้ที่อาบน้ำร้อนมาก่อน เพียงเพื่อความสะใจ

ฉันมั่นใจว่า ศิษย์เก่าธรรมศาสตร์ทุกคน รักและหวงแหนประเทศชาติ อยากเห็นประเทศเดินไปตามครรลองที่เหมาะสม ด้วยความรักและสามัคคีของคนในชาติ

ในฐานะศิษย์เก่าธรรมศาสตร์ ขอยืนยันว่า จิตวิญญาณธรรมศาสตร์นั้น ไม่เหมือนจิตวิญญาณของก้าวไกล อย่าปล่อยให้ใคร มาทำให้พวกเราชาวธรรมศาสตร์แตกแยกกัน เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองเลยค่ะ”

ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน (JC38) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

‘จตุพร’ หยัน!! ‘เพื่อไทย’ หมดสภาพและไม่เชื่อ ‘ทักษิณ’ จะกลับไทย  ชี้!! พรรคอันดับ 3 ผงาด!! แต่นายกฯ อาจมาจากพรรคอันดับ 4

‘จตุพร’ สงสาร ‘ทักษิณ’ เลื่อนกลับไทย ถามเป็นอะไรหรือเปล่า ฉะตรรกะ “เราไม่ได้ข้ามไปหา แต่เขาข้ามมาเอง” สะท้อน ‘เพื่อไทย’ หมดสภาพ อยู่ในช่วงตกต่ำสุดขีด สูญสิ้นอำนาจต่อรอง ถูกไล่ต้อนให้เป็น ‘พรรคสมุน’ ของพรรคอันดับ 3 คาด นายกฯ อาจมาจากพรรคอันดับ 4

(6 ส.ค. 66) นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์รายการประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน “ดูท่า… ว่าจะ?” เมื่อวันที่ 5 ส.ค. 66 ระบุว่า…

นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่หนีคดีอยู่ต่างประเทศ ไม่ควรประกาศซ้ำสองกรณีเลื่อนกลับไทยอีก 2 สัปดาห์ เพราะฟังดูยิ่งน่าเห็นใจ เป็นห่วง ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น ดังนั้นให้คิดปล่อยจิตว่าง ทำตามที่สบายใจ จะกลับมาวันไหนก็ติดคุกอยู่ดี

นายจตุพร กล่าวว่า การไม่กลับไทยตามเวลานัด 10 ส.ค. ของนายทักษิณ เป็นไปตามที่ตนประเมินไว้ทุกประการ อีกทั้งได้แนะเหตุผลให้อ้างป่วยก็ตรง และยังทำตาม ส่วนการเลื่อนกลับไทยไปอีก 2 สัปดาห์ ยังต้องฟังหูไว้หู เพราะแม้มนุษย์เราไม่มีใครอยากผิดคำพูด แต่แสดงถึงใจยังไม่ปล่อยวางกับการตัดสินใจมาติดคุกโดยดุษฎี จึงได้แต่ฟังคำพูดคนอื่น ทั้งที่ทางปฏิบัติแล้วไม่เคยมีอยู่จริงที่ไม่ต้องติดคุก ความจริงคนระดับอดีตนายกฯแล้ว นายทักษิณไม่จำเป็นต้องประกาศกลับบ้านเป็นครั้งที่สอง เพราะขาดความน่าเชื่อถือ เมื่อประกาศครั้งเดียวก็ให้มาเลย อย่างไรก็ตามขอให้ตัดใจปล่อยวางการติดคุกให้ได้ ตนเสนอให้เอาตามสบายใจ จะมาวันไหนก็มา แต่ต้องติดคุกอยู่ดี

นายจตุพร กล่าวว่า ในช่วง 2 สัปดาห์ที่นายทักษิณระบุจะกลับไทยในวันใดวันหนึ่งนั้น โดยเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 10-24 ส.ค. ซึ่งเป็นช่วงการเจรจาลับตั้งรัฐบาลอย่างเข้มข้น และต้องยกมือไหว้ สว.ในทางแจ้งเพื่อให้ช่วยตั้งรัฐบาลข้ามขั้วอีก จึงเป็นสถานการณ์ที่ชุลมุนในทางการเมืองอย่างหนัก รวมทั้งคาดว่าสถานการณ์จริงทางการเมืองไทยจะเริ่มในวันที่ 16 ส.ค. ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญนัดสั่งคำร้องข้อบังคับการประชุมรัฐสภาขัดรัฐธรรมนูญ (รธน.) หรือไม่ ดังนั้นวันที่ 17 ส.ค.จะโหวตนายกฯ เมื่อได้นายกฯ จะมีเวลาตั้งรัฐบาลอีกเพียง 7 วัน และนายทักษิณจะกลับไทยตามคำประกาศครั้งสอง จึงเป็นไปไม่ได้เพราะกระชั้นชิดมาก และคงต้องเลื่อนอีกครั้งค่อนข้างแน่นอน

“ขอแนะนำอีกว่าหลังจากตรวจร่างกายตามแพทย์บอกแล้ว หมอต้องสั่งห้ามเดินทางเด็ดขาด อีกทั้งระยะเวลาทางการเมืองและการตั้งรัฐบาลยังไม่สอดคล้องกัน จึงเป็นไปไม่ได้จะกลับมาช่วงนั้น เพราะเป็นช่วงชุลมุนตามข้อตกลงตั้งรัฐบาล แต่ถ้าตกลงกันไม่ได้ การโหวตนายกฯ นายเศรษฐา ทวีสิน คงไม่ได้เป็นนายกฯ”

นายจตุพร กล่าวถึง ‘นายภูมิธรรม เวชยชัย’ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ว่า เคยยืนกรานว่านายทักษิณกลับไทยตามวันเวลาเดิม แล้วเมื่อเลื่อนกลับ จะมีการทวงหาคำพูดจากนายภูมิธรรมบ้างหรือไม่ อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญในช่วงนี้คำพูดทางการเมืองแสดงถึงการพูดไม่จริงระหว่างกันทั้งสิ้น โดยหลายคนอธิบายเหตุผลนายทักษิณกลับไทยต้องเชื่อว่าเป็นจริง เพราะ ‘อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร’ ลูกสาว เป็นคนประกาศด้วยตัวเอง ดังนั้น นายทักษิณ คงไม่ยอมทำให้ลูกเสียหายได้ ซึ่งเป็นวิธีคิดที่ผิดที่สุด

“ถ้าลูกรู้ว่า พ่อเข้ามาแล้วติดคุก จะมีลูกคนไหนบอกพ่อให้กลับมาเพื่อช่วยรักษาหน้าตาของลูก ซึ่งในโลกความจริงไม่มีลูกคนไหนยอมให้พ่อมาติดคุกหรอก เพราะพ่อติดคุกเท่ากับครอบครัวต้องติดคุกไปด้วย ดังนั้น สัญชาตญาณของลูกที่รักพ่อ ย่อมทนเห็นพ่อติดคุกไม่ได้”

นายจตุพร ระบุว่า ตนไม่เข้าใจนายทักษิณ พูดเลื่อนกลับไทยอีกทำไม ถ้าไม่ติดใจอะไรแล้ว จะกลับก็มาเลย แต่การประกาศแบบปลายเปิดลักษณะนี้มันน่าสงสารว่า เป็นอะไรมากหรือเปล่า เพราะช่วงเวลาทางการเมืองนั้นมันเป็นเรื่องยากที่สุด ควรต้องตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งเสีย เนื่องจากการขอพระราชทานอภัยโทษเฉพาะรายเป็นเรื่องยากมาก

นายจตุพร กล่าวถึงการตั้งรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย ว่า จากนี้ไปอำนาจต่อรองของเพื่อไทยได้สูญหายไปตามลำดับ และประชาชนที่สนับสนุนจะหดหายไป คงเหลืออีกไม่สักเท่าไร นอกจากนี้แกนนำบางคนให้เหตุผลการตั้งรัฐบาลข้ามขั้วว่า เราไม่ได้ข้ามขั้ว แต่เขาข้ามมาหาเราเอง แสดงถึงการจนปัญญา หมดหนทางอธิบาย เพราะแถมาทุกทิศทางแล้ว จนสีข้างถลอกหมดจึงไม่รู้จะอธิบายอย่างไร

นายจตุพร ประเมินว่า หากเพื่อไทยตั้งรัฐบาลไม่ได้ คงเกิดจากเงื่อนไขไม่มีพรรคสองลุงมาร่วมด้วย ดังนั้น การโหวตนายกฯ ก็จะถูกคว่ำทันที อีกรณีหนึ่งคือ เพื่อไทยอาจไม่ส่งแคนดิเดตนายกฯ ให้สภาฯ โหวต แล้วมอบให้พรรคอันดับ 3 เป็นผู้รวบรวมเสียงตั้งรัฐบาลและเสนอแคนดิเดตนายกฯ ให้สภาโหวตเห็นชอบ

“การให้พรรคอันดับ 3 มาจัดตั้งรัฐบาล เพื่อไทยจะกลายเป็นพรรคถูกชวนเข้าร่วมด้วย แต่พรรคที่ 3 อาจส่งมอบนายกฯ ให้พรรคอันดับ 4 ก็ได้ ซึ่งพร้อมรออยู่ ดังนั้นไม่ว่าอธิบายมุมใดที่เพื่อไทยถูกเชิญมาร่วมรัฐบาลนั้น ก็จะกลายเป็นเพียงพรรคสมุนของพรรคอันดับสามและสี่ไปทันที”

นายจตุพร กล่าวถึงกรณีนายเศรษฐา ถูกตรวจสอบกรณีเลี่ยงภาษีที่ดิน ว่า เมื่อการกล่าวหามีน้ำหนักทางการเมือง โดยเน้นการตรวจสอบคุณสมบัติทางจริยธรรมของบุคคลจะเข้ามามีตำแหน่งทางการเมืองต้องมีความสุจริตเป็นที่ประจักษ์ ดังนั้นในกรณีนายเศรษฐา จึงเสี่ยงกับตำแหน่งนายกฯ เพราะมีแต่เสียกับเสีย และพร้อมเกิดแรงเหวี่ยงกระทบกับชีวตในอนาคตด้วย

“เผลอๆ ไม่กี่วันนี้ คุณเศรษฐา อาจคิดโยนผ้าไม่เป็นนายกฯ หรือจะมีคนอื่นจัดการไม่ส่งก็ได้ เพราะกรณีตรวจสอบจริยธรรมการเลี่ยงภาษีที่ดินจะส่งผลกระทบในวงกว้างมาก ดังนั้นถัดจากนี้ไป คุณเศรษฐา คงต้องกำหนดท่าทีและจุดยืนทางการเมืองว่า จะเอาอย่างไร”

นายจตุพร เชื่อว่า การโหวตนายกฯอาจต้องขยายเวลาออกไปอีก แต่จะออกแบบกันอย่างไรก็จะนำพาสู่วิกฤตใหญ่ เพราะการอธิบายอะไรก็ตามทำให้ผิดเป็นถูก ย่อมเป็นตรรกะที่ยากมากที่สุด เช่น การอธิบายว่า ไม่ได้ข้ามไปหาเขา แต่เขาข้ามมาหาเอง ซึ่งเป็นตรรกะที่วิบัติอย่างยิ่ง การใช้ตรรกะ “เขามาเอง” มาอธิบายการข้ามขั้วนั้น ไม่แตกต่างจากคำพูดหาเสียงประกาศแก้ ม.112 แต่เมื่อจะตั้งรัฐบาลก็บอกไม่แก้แล้ว ม.112 แล้วเหลือแยกทางจากก้าวไกล คิดจะไปตั้งรัฐบาลแบบหมูๆ แต่กลับไม่ง่ายตามหวังหลังจากแยกทางก้าวไกล เพราะอำนาจต่อรองเปลี่ยนไป การเจรจาตกเป็นรองพรรคอื่น และที่สำคัญทำให้ประชาชนเสียไปด้วย

“ดังนั้น อะไรก็ตามที่ท้าทายความรู้สึกคน เอาการร่วมเป็นร่วมตายมาละเลงเล่นดูเสมือนประชาชนไม่มีความรู้สึก คิดว่าทำอะไรก็ได้ จึงเป็นการคิดผิดอย่างมาก อีกทั้งเกิดภาพยกมือไหว้ สว.กลางห้องประชุมสภา เพื่อขอปิดสวิตช์ตัวเอง เป็นการกระทำที่ผิดวิสัย ซึ่งไม่น่าได้เห็น แต่ก็เห็นจนได้ จึงเป็นพฤติกรรมแบบหมดสภาพของพรรคอันดับสอง” นายจตุพร กล่าว

‘พี่เต้’ ชำแหละ ‘รธน.ฉบับคณะก้าวหน้า’ ก๊อปปี้ญี่ปุ่นร่างโดยมะกัน เน้นชงให้ ‘ลด-ยกเลิก-ตัดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์’

เมื่อไม่นานนี้ ผู้ใช้ติ๊กต็อกรายหนึ่ง ชื่อ ‘wakeupthailand’ ได้โพสต์คลิปวิดีโอของ ‘นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์’ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ที่ออกมาพูดถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญของคณะก้าวหน้า โดยในคลิประบุว่า…

“ผมได้มาแล้วครับ ต้นฉบับการแก้ไขรัฐธรรมนูญของคณะก้าวหน้า โดยมอบหมายให้พรรคก้าวไกลเป็นคนดําเนินการในการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้คล้ายๆ ประเทศญี่ปุ่น คือเอารัฐธรรมนูญฉบับที่สหรัฐอเมริกาให้ประเทศญี่ปุ่นไปทํา มาให้เราใช้ เป็นการลอกแบบรัฐธรรมนูญของญี่ปุ่นมาให้รัฐบาลไทยทํานั่นเองครับ”

“รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยปี 2560 หมวดที่ 2 พระมหากษัตริย์ ในมาตรา 6 คือ “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดํารงอยู่ในฐานะที่เคารพสักการะผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดมิได้” อันนี้คือมาตรา 6 ของเก่านะครับ ส่วนในฉบับการแก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวดมาตรา 2 ก็คือเขาให้ยกเลิกนะครับ ยกเลิกหมวดพระมหากษัตริย์ทั้งหมดเลย ยกเลิกตั้งแต่มาตรา 6 ถึง 24 แล้วเขียนมาตราใหม่

ในมาตราเก่าคือ “พระมหากษัตริย์ทรงดํารงไว้เป็นที่เคารพสักการะผู้ใดจะละเมิดมิได้ กล่าวหาฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ทางใดมิได้” จะขอแก้ไขเป็น “พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศ ทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของปวงชนชาวไทยและทรงเป็นกลางทางการเมือง”

อันนี้คือลอกแบบรัฐธรรมนูญญี่ปุ่นมาเลย แต่รัฐธรรมนูญญี่ปุ่นร่างโดยสหรัฐอเมริกานะครับ และอย่าลืมว่าญี่ปุ่นเขาตกเป็นเมืองขึ้นของอเมริกานะครับ มาตรา 8 ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่ใช้อยู่ตอนนี้คือ “พระมหากษัตริย์ทรงดํารงตําแหน่งจอมทัพไทย” ในรัฐธรรมนูญของฉบับนายปิยบุตรนั้นไม่ได้เขียนไว้ อ่านดีๆ นะครับ ทุกท่านสามารถเข้าไปดาวน์โหลดเอกสารฉบับนี้ได้ที่เพจเฟซบุ๊กของคณะก้าวหน้า หรือสามารถไปดาวน์โหลดได้ที่เฟซบุ๊กส่วนตัวของนายปิยบุตรนะครับ”

“ส่วนมาตรา 7 ในหมวดของการปฏิรูปพระมหากษัตริย์ ในส่วนของฉบับอาจารย์ปิยบุตร ฉบับคณะก้าวหน้า ฉบับก้าวไกล ทั้งหมดคืออันเดียวกัน ซึ่งเขาได้ระบุไว้ว่า “การกระทําของพระมหากษัตริย์ทั้งปวง ที่เกี่ยวกับกิจการของรัฐฯ ต้องได้รับคําแนะนําและความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร คณะรัฐมนตรี รัฐมนตรีแล้วแต่กรณี” นั่นหมายความว่า ในรัฐธรรมนูญฉบับของปิยบุตร คณะก้าวหน้านั้น บอกว่า “พระมหากษัตริย์ ต้องฟังคําสั่ง สส. ต้องฟังคําสั่งรัฐมนตรี ต้องฟังคําสั่งคณะรัฐมนตรี หรือนายกรัฐมนตรี”

นั่นหมายความว่า รัฐธรรมนูญของฉบับญี่ปุ่น ลอกแบบมาทั้งหมดเลยนะครับ ยกเลิกมาตรา 6 ถึงมาตรา 24 คือหมายความว่า ยกเลิกมาตรา 11 ถึงมาตรา 14 ไปเลย กล่าวคือในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของคณะก้าวหน้านี้ จะไม่มีองคมนตรีแล้ว ยกเลิกองคมนตรีไปทั้งหมดเลยนะครับ และในวรรคสองของมาตรา 7 ของฉบับนายปิยบุตรนั้น คือ ‘ตัดพระราชอํานาจ’ ที่พระมหากษัตริย์ไทย เคยใช้ตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 คือการใช้อํานาจผ่านนิติบัญญัติบริหารตุลาการ ตั้งแต่ 2475 จนถึง 2539 แต่พอ 2540, 2550 และ 2560 นั้น พระมหากษัตริย์ทรงใช้อํานาจผ่านนิติบัญญัติบริหารตุลาการ และองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญนะครับ เพราะฉะนั้น ฉบับของนายปิยบุตรจะตัดอํานาจในส่วนนั้นทั้งหมดเลยนะครับ”

“ส่วนอีกอันนึง ซึ่งเราไม่เคยมีในรัฐธรรมนูญตั้งแต่ปี 2475 คือก่อนเข้ารับหน้าที่ พระมหากษัตริย์ต้องปฏิญาณตนในสภาผู้แทนราษฎร คือต้องทําเหมือนกับองค์จักรพรรดิญี่ปุ่นนะครับ ซึ่งองค์จักรพรรดิญี่ปุ่นถูกสหรัฐอเมริกายึดอํานาจไปหมดแล้ว คนละแบบกันกับประเทศไทยนะครับ แต่คนกลุ่มนี้ ไปเรียนเมืองนอกมา พอไปเรียนเมืองเมืองนอก โดยเฉพาะประเทศฝรั่งเศส นิสัยก็จะเหมือนกับพวกจอมพล ป.พิบูลสงคราม, พระยาพหลพลพยุหเสนา, พระยาฤทธิอัคเนย์ หรือนายปรีดี พนมยงค์กันหมดเลย ก็เลยจะเอารัฐธรรมนูญฉบับญี่ปุ่นนี้มาเป็นต้นแบบเพื่อใช้ในประเทศไทยนะครับ”

“ต้องทำความเข้าใจก่อนนะครับว่า พระมหากษัตริย์ของประเทศไทยนั้น ไม่เหมือนกับพระมหากษัตริย์ของประเทศอื่นๆ ประเทศของเรายังไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นใครเลย ถ้าเราไม่มีล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 แล้วเราจะเหลือแผ่นดินไหม ถ้าเราไม่มีรัชกาลที่ 5 เราคงปกครองด้วยระบอบสาธารณรัฐ เป็นคอมมิวนิสต์ไปแล้วนะครับ เราคงไม่ได้มีประเทศไทยที่เข้มแข็งเหมือนในปัจจุบันนี้”

“พรรคการเมืองแบบพรรคก้าวไกล คือเขาเกิดมาเพื่ออะไร? เพื่ออเมริกาหรือเปล่า? เกิดมาเพื่อดําเนินการตามนโยบายของอเมริกาที่เคยทํากับญี่ปุ่นหรือไม่? การแก้ไขหมวด 1 หมวด 2 และหมวด 15 จะกระทําได้ตามรัฐธรรมนูญนั้น ต้องผ่านการประชามติของประชาชน 65 ล้านคนก่อนนะครับ เพราะว่ามีหลายเรื่องที่แก้ไขเปลี่ยนแปลงหมดแบบไม่มีชิ้นดีเลยนะครับ”

‘ลอรี่’ ตีแสกหน้า!! นักสร้างคอนเทนต์ชอบชู “สภาล่มใช้เงินเท่าไร?” แต่พอฝั่งตนทำล่มถี่ มูลค่าเสียหายกว่า 45.9 ลบ.กลับไม่พูด

(5 ส.ค. 66) นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘ลอรี่ - พงศ์พล ยอดเมืองเจริญ’ ในหัวข้อ ‘ปชช. ต้องตาสว่าง.. #ใครทำสภาล่ม 🎃’

“สภาล่มใช้เงินเท่าไหร่?” คอนเทนต์เอาหล่อ แต่พฤติกรรมที่ทำไว้สวนทาง ตามกมลสันดาน (DNA) แบบฉบับพรรคก้าวไกล... เมื่อ สส.พรรคท่านนึงออกมาทวงความเป็นธรรม ว่าสภาล่มวันที่ 4 ส.ค. 66 ทำให้มีค่าเสียหาย (เชิงโน้มน้าวให้สังคมวิพากษ์วิจารณ์ สส./สว. ฝั่งอื่น) 

ในฐานะที่ตัวผมนั้นเคลื่อนไหวกับภาค ปชช.เสนอเรื่องแก้สภาล่มมาโดยตลอด… ขอตีแสกหน้าด้วยข้อเท็จจริง ดังนี้…

1.) ความเป็นจริง การประชุมของรัฐสภา 4 ส.ค. 66 ‘ไม่ได้ล่ม’ แต่เป็นประธานสภาใช้สิทธิปิดประชุมตามข้อบังคับการประชุม ต้องศึกษาให้ถี่ถ้วนก่อนทำคอนเทนต์ เพราะอาจพาพี่น้องที่แชร์เป็นหมื่นให้เข้าใจข้อมูลอย่างบิดเบือน

2.) พรรคที่คุณอาศัยอยู่นั่นเอง เป็นเหตุปัจจัยทำให้สภาล่มนับครั้งไม่ถ้วนในสมัยประชุมที่ 25 (จำนวนล่มทั้งหมดราว 20-22ครั้ง) ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่เป็นฝ่ายค้าน

ช่วงแรกผมนับถือเพราะมีสปิริตรักษาองค์ประชุม แต่พอกฎหมายฝั่งตัวเองโดนโหวตตกไป ท่าทีของก้าวไกลก็เปลี่ยน และเล่นเกมการเมืองเก่าๆ ทำให้สภาล่มเหมือนพรรคที่คุณด่าเค้า… พรรคคุณแสดงตนครั้งละ 5 คน จาก สส.ตัวเอง 51 คนแบบนี้ ผมนับได้ไม่ต่ำกว่าครึ่ง ตีไปกลมๆ 11 ครั้ง (อาจมากกว่าหรือน้อยกว่านี้นิดหน่อย) ค่าเสียหาย 4.18 ล้านบาท/ครั้ง รวมมูลค่าเสียหายกว่า 45.9 ล้านบาท

สุดท้ายฝากบอกท่านโรจน์ อย่าไปแซว สว. เค้าเลยครับ ว่ามาแค่ 49 คน

เพราะ สส.พรรคคุณสมัยที่แล้วอาการหนักกว่า จนต้องอุทานดังๆ

“ว้าย มา 5 คน!!”

‘เศรษฐา’ ร่อแร่!! ‘ชัยเกษม’ วอร์มอัป!! จับตาเกมไหล ‘อนุทิน’ แหกโค้งเข้าป้าย

‘เล็ก เลียบด่วน’ แห่ง ‘เลียบการเมือง’ มาตามกำหนดครับ… ทุกวันพุธและเสาร์… ไม่มีการเลื่อน… หนำซ้ำท่านบรรณาธิการบอกห้ามเบี้ยวอีกต่างหาก… อ้าว!! จัดปายยย… 

เมื่อวันศุกร์ที่ 4 ส.ค.ที่ผ่านมา หากไม่มีการเลื่อนวาระการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีออกไป… ป่านนี้คงได้รู้กันไปแล้ว ว่าคนชื่อ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ จะได้สักกี่คะแนน จะถึง 375 พอที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีได้หรือไม่… 

แต่ข่าวของ ‘เล็ก เลียบด่วน’ ยืนยันนอนยันและตีลังกายันมาว่า… ไม่ผ่าน!!

ไม่ผ่านด้วยเหตุผลหลัก 3-4 ประการ… 

ประการแรก – พรรคเพื่อไทยไม่สะเด็ดน้ำเรื่องโครงสร้างพรรคร่วมรัฐบาล

ประการที่สอง – จุดยืนเรื่องไม่แตะมาตรา 112 ตามแถลงการณ์ของพรรคนั้นพอฟังได้ แต่ยังกำกวมอยู่บ้าง ยิ่งไปพ่วงเอาเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การปฏิรูปกองทัพ โน่น นี่ นั่น คล้ายๆ นโยบายพรรคก้าวไกลเข้ามาอีก ทำให้คุณพี่ สว.หลายท่านละล้าละลัง

ประการที่สาม – เรื่องความโปร่งใสธรรมาภิบาลด้านธุรกิจของคุณเศรษฐา ที่ ‘ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์’ แฉรัวๆ ก็มีผลไม่น้อย และ… 

ประการที่สี่ – สว.ส่วนหนึ่งกลัวว่าเพื่อไทยแอบเล่นละคร ‘ลับ ลวง พราง’ กับพรรคก้าวไกล… สว.บางกลุ่มถึงขนาดเล็งเป้าตอนโหวตว่า ในจำนวนสมาชิกรัฐสภา 10 ชื่อแรก ที่มี สส.ก้าวไกล 4 คน คือ ลำดับ 1 นางสาวกมลทรรศน์ กิตติสุนทร, ลำดับ 7 นายกรุณพล เทียนสุวรรณ, ลำดับ 8 นายกฤช ศิลปะชัย และ ลำดับ 10 นางสาวกฤษฎ์ ชีวะธรรมานนท์… หาก 4 คนนี้โหวต ‘เห็นชอบ’ นายเศรษฐา… พวกเขาจะโหวตสวน หรือ งดออกเสียงทันที

นั่น… เขาตั้งป้อมปฏิเสธพรรคก้าวไกล แต่กระทบถึงพรรคเพื่อไทยกันถึงขนาดนั้น!!

ถึงตอนนี้คำถามมีอยู่ว่า… หลังวันที่ 16 ส.ค.หากพ้นผ่านศาลรัฐธรรมนูญต้องโหวตนายกฯ กันต่อ... ‘เศรษฐา ทวีสิน’ ยังจะเป็นนายกฯตัวจริงของพรรคเพื่อไทยหรือไม่… ตอบได้เพียงว่าในห้วงสี่ซ้าห้าวันนี้พรรคเพื่อไทยก็คงจะผลักดันต่อ… ดูกระแสสังคม ดูกระแสลมและพายุคลั่งจากชูวิทย์… ถ้าดูแล้ว ‘เสี่ยนิด ณ แสนสิริ’ ไปไม่ไหว ก็คงต้องหันไปใช้บริการชายชื่อ ‘ชัยเกษม นิติสิริ’ แคนดิเดตคนที่สามของพรรค… 

ทราบว่าตอนนี้อาการด้านสุขภาพของชัยเกษมทำท่ากลับมาฟิตปั๋งอีกครั้ง… ปูมประวัตินอกเหนือจากถูกครหาเรื่องช่วยเหลือเอื้ออวยให้ทักษิณตอนเป็นอัยการสูงสุดแล้ว นอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีอะไรเสียหายมากนัก… แต่ถ้าจะให้แน่ก็ต้องรอวันที่ถูกพรรคประกาศว่าจะเสนอชื่อโน่นแหละ รับรองว่าลำไส้กี่ขดต่อกี่ขดถูกสาวออกมาให้เห็นจนหมดสิ้นแน่… 

ว่ากันว่ากรณีของพรรคเพื่อไทย หากยังเก้ๆ กังๆ ผสมข้ามขั้ว แต่ยังท่องคาถา “มีเราไม่มีลุง” รับรองว่า… เกมจะไหลไปสู่พรรคที่สามอย่างพรรคภูมิใจไทย… ซึ่ง ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยก็ใช่คนอื่นคนไกล เป็นอดีตศิษย์เก่า ได้ดิบได้ดีมาก็เพราะพรรคเพื่อไทยเมื่อครั้งเป็นพรรคพลังประชาชน… ถ้าพรรคเพื่อไทยไปต่อไม่ได้… ก็คงไม่เป็นอย่างอื่น… นายกฯ คนที่ 30 จะจอดป้ายที่ชายชื่อ อนุทิน ชาญวีรกูล ตามที่แม่หมอสมัครเล่น… ฟองสนาน จามรจันทร์ พยากรณ์ยืนยันมาแล้วหลายเพลา… และบรรดาเหล่า สว.เองก็แอบเชียร์อนุทินอยู่ครึ่งค่อนวุฒิสภา

ส่วนโอกาสของ ‘ลุงป้อม – พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ’ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐนั้น ฐานเสียง สว.เหลืออยู่ในระดับ 50 เสียงเท่านั้น หากยังดำรงจุดมุ่งหมายที่จะเป็นายกฯ ให้ได้ ก็ต้องไปเจรจาล็อกคอพรรคเพื่อไทยมาให้ได้เป็นลำดับแรก…

ครับ!! ว่ากันอย่างถึงที่สุด… ทุกอย่างยังไม่ง่าย… โอกาส ‘เศรษฐา’ มีน้อยลง เริ่มน้อยกว่า ‘ชัยเกษม’ ที่เริ่มถูกพูดถึง ขณะที่ ‘อนุทิน’ ปัจจัยชี้ขาดอยู่ที่ความกล้า ในจังหวะที่ดวงดาวเป็นใจ เรียกว่ามีโอกาสมาก ส่วนลุงป้อมโอกาสน้อยกว่าอนุทินหลายเท่า…

ปล. กรณีทักษิณเลื่อนการกลับบ้านจากกำหนดเดิม 10 ส.ค. ออกไปอีกประมาณ 2 สัปดาห์ อ้างว่าหมอขอตรวจร่างกายนั้น… เป็นใบเสร็จยืนยันว่าทักษิณรอความชัดเจนว่า นายกฯ คนที่ 30 เป็นของพรรคเพื่อไทยหรือไม่?... ถ้าไม่ใช่ อาจต้องเลื่อนต่อไปและต่อไป… รอจนกว่าจะถึงช่วงปลอดภัยปลอดโปร่งตามคำทำนายของแม่หมอฟองสนาน คือ หลัง เม.ย. 2567

แต่ถ้าให้ดีกว่านั้นอีกคือ ช่วง พ.ค.2568 - พ.ค.2569

เลื่อนไหวไหม… โทนี่

‘ทนายบอน’ แนะ!! นักศึกษาใหม่ มธ.ที่ฟังบรรยาย ‘พิธา’ ถ้าจะฟังที่พี่เค้าพูด ‘พอได้’ แต่อย่าไปเชื่อที่พวกพี่เค้าทำ

(5 ส.ค.66) นายณัฐนันท์ กัลยาศิริ หรือ ‘ทนายบอน’ อดีตผู้สมัคร สส.กทม. พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ว่า...

[พิธา บรรยายนักศึกษาใหม่ มธ.] ฟังที่พี่เค้าพูดพอได้ แต่อย่าไปเชื่อที่พวกพี่เค้าทำครับ

พี่เค้าพูด ว่า เค้ายึดมั่นในประชาธิปไตย เสรีภาพ ที่พูดหล่อๆ ก็พอฟังได้

แต่ที่เห็น คือ พวกพี่เค้าแต่ละคนนั้นใครเห็นต่างไม่ได้ต้องทัวร์ลง อ้างเสรีภาพไปข่มเหงรังแกคนเห็น ดังนั้น อย่าไปเชื่อที่พวกพี่เค้าทำครับ เราไม่ได้ต้องการประชาธิปไตยแบบนั้น

พี่เค้าพูด ว่า “โลกต้องการคนรุ่นใหม่” ใช่ครับ

แต่ที่เห็น คือ พวกพี่เค้าแต่ละคน ก้าวร้าว หยาบคาย ปลุกปั่นยุยง สร้างความแตกแยก ทำแต่สิ่งผิดกฎหมาย เราไม่ได้ต้องการคนรุ่นใหม่แบบนั้นครับ

พี่เค้าพูดว่า “จิตวิญญาณของธรรมศาสตร์ คือ เสรีภาพ ภราดรภาพ” ใช่ครับ

แต่ที่เห็น คือ พวกพี่เค้าฟาดฟัน ทำลายล้าง สร้างความแตกแยก ทำให้คนเกลียดชังกัน ในขณะที่ภราดรภาพ คือ ความเป็นพี่เป็นน้องกัน กลมเกลียวกัน เราไม่ได้ต้องการสังคมแบบนั้นเพื่อสร้างประเทศครับ สิ่งที่พวกพี่เค้าทำห่างไกลสุดกู่กับคำว่าภราดรภาพ

ที่ธรรมศาสตร์ เค้าสอน ให้ใช้เสรีภาพแบบมีความรับผิดชอบ ไม่ละเมิดสิทธิบุคคลอื่น ไอ้ที่เห็นการอ้างเสรีภาพไปรังแกถล่มคนอื่น ไอ้พวกนั้นไม่รู้ไปเรียนจากที่ไหนมา

ที่ธรรมศาสตร์ เค้าสอน ว่าประชาธิปไตย ไม่ได้มีแค่การเลือกตั้ง แต่ต้องเคารพเสียงข้างน้อย รับฟังความเห็นต่างได้ ไอ้ที่เห็นว่าพวกกูถูกอย่างเดียว คนอื่นผิดหมด ไอ้พวกนั้นไม่รู้ไปเรียนจากที่ไหนมา 

ที่ธรรมศาสตร์ เค้าก็สอนเรื่องภราดรภาพนะ ว่าคือการกลมเกลียว เป็นพี่น้องกัน แต่ที่เห็น ภราดรภาพบ้านพวกพี่เค้า เผา ทำลายล้างทุกอย่าง สรุป ไม่รู้ไอ้พวกนั้นไปเรียนจากที่ไหนมา

สรุปสุดท้าย ที่พี่เค้าบอกว่าพวกพี่เค้า DNA เดียวกับธรรมศาสตร์ ผมว่าพี่เค้าสำคัญผิดไปเยอะ เฉพาะสิ่งที่พี่เค้าพูดหล่อๆ ก็พอจะใกล้เคียง แต่ที่พวกพี่เค้าทำ ห่างไกลสุดกู่ครับ

#ทนายบอน

‘รองโฆษก พท.’ แจงปมราคาที่ดิน เชื่อ แวดวงอสังหาฯ เข้าใจดี ชี้!! ‘ราคาประเมิน’ อาจไม่สัมพันธ์กับ ‘ราคาซื้อขายจริง’ เสมอไป

(5 ก.ค. 66) นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า ตนว่าน่าแปลกใจมากที่ทำไมคนที่เข้าใจการซื้อขายที่ดินดีถึงหยิบเอา ‘ราคาประเมิน’ มาวิพากษ์วิจารณ์ ‘ราคาซื้อขายจริง’ คนที่ทำงานในแวดวงอสังหาริมทรัพย์เข้าใจดี ว่าราคาซื้อขายจริง ไม่สัมพันธ์กับราคาประเมินเสมอไป และการที่เอกชนรายหนึ่งตัดสินใจซื้อที่ดินแปลงใดในราคาใดก็ตาม ไม่ใช่เพราะเค้าเองปั่นราคาขึ้น แต่เพราะ ‘ความต้องการของตลาด’ ที่ปั่นให้ราคาขึ้นไป

ทั้งนี้ ที่ดินในย่านวิทยุ-สวนลุมพินี-หลังสวน เป็นย่านซูเปอร์ลักชัวรี (Super Luxury) หรือบางที่เรียก หรืออัลตร้าลักซ์ชัวรี (Ultra Luxury) ด้วยซ้ำ ทำให้ที่ดินในโซนนี้มีราคาซื้อขายที่ดินที่ทะลุเพดานราคาเดิม (New High) เสมอ แปลงที่เป็นประเด็นอยู่ก็เช่นกัน ภายใต้ปัจจัยหลายอย่าง ได้แก่

1.) เป็นที่ดินกรรมสิทธิ์ขาด หรือ ‘Free Hold’ แปลงท้ายๆในโซนที่ยังไม่ถูกพัฒนา ต่างจากอีกหลายแปลงที่เป็นสิทธิการเช่า หรือ ‘Lease Hold’

2.) เป็นแปลงขนาด 1 ไร่ ติดถนนกว้าง มีขนาดพอเหมาะ พัฒนาอาคารสูงได้ ศักยภาพที่ดินแบบนี้ราคาต่อตารางวา จะโดดสูงกว่าที่ดินแปลงใหญ่หลายๆไร่ ที่จะถัวเฉลี่ยราคาต่อตารางวาลง

3.) เป็นแปลงที่สามารถได้รับวิวสวนลุมพินี ที่คนทำงานอสังหาชอบขายว่าเป็น ‘เซ็นทรัลพาร์กเมืองไทย’ ได้ดีมาก

และด้วยเหตุผลเหล่านี้ต่างหากที่ปั่นให้ราคาที่ดินแปลงนี้สูง และต้องใช้บริษัทที่มีศักยภาพและมีความน่าเชื่อถือเป็นผู้พัฒนา เพราะเมื่อพัฒนาเป็นคอนโดแล้วจะต้องขายอย่างต่ำราว 600,000 บาทต่อตารางเมตร แต่ก็ไม่แปลกที่แสนสิริกล้าซื้อ เพราะโครงการที่เคยพัฒนาไปก่อนนี้ อย่าง 98 wireless ก็มีราคาขายไปแตะ ตารางเมตรละ 1 ล้านบาทมาแล้ว

“ที่พูดมาทั้งหมดนี้ ผมเพียงอยากให้ทุกคนระมัดระวังในการรับข้อมูล และอย่าตกเป็นเครื่องมือในการปั่นให้เข้าใจผิด ผมเชื่อว่าคนทำงานอสังหาฯ เข้าใจตรงกัน ว่าธรรมชาติของราคาที่ดินในย่าน ultra luxury นี้เป็นอย่างไร” นายชนินทร์ กล่าว

ศึกชิงหัวหน้า ‘ประชาธิปัตย์’ ดัชนีชี้วัดการเข้าร่วมรัฐบาล ใต้ความ ‘มืดมน-ไม่ชัดเจน’ บุคคลที่จะลงชิงหัวหน้าพรรค

‘มืดมน’ คือคำตอบที่ได้รับจากปากของแกนนำประชาธิปัตย์ ในการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคในวันที่ 6 สิงหาคม คำว่ามืดมนสะท้อนให้เห็นว่า ยังไม่ชัดเจนเกี่ยวกับตัวบุคคลที่จะลงชิงหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และเป็นบุคคลที่มีแววว่าจะนำพาพรรคไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองได้ ต้องเป็นบุคคลที่กล้าคิด กล้าทำ กล้านำการเปลี่ยนแปลง และที่สำคัญคือต้องยึดมั่นใน 'เจตนารมณ์ อุดมการณ์ของประชาธิปัตย์'

มีวิธีคิด มุมมองใหม่ๆ กับสถานการณ์ที่ ‘ประเทศไทยเปลี่ยนไปแล้ว ไม่มีทางกลับไปเหมือนเดิม ผู้นำพาพรรคจะต้องมากบารมี’ (แคริทม่า)

ก่อนหน้านี้ที่ปรากฏชื่อ โดยที่เจ้าตัวไม่เคยพูดไม่เคยเปิดเผย ‘หล่อใหญ่-อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ’ อดีตหัวหน้า อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งจนถึงนาทีนี้ก็ยังไม่รู้ว่า ‘อภิสิทธิ์’ จะยังยืนหยุดลงชิงอยู่อีกหรือไม่ ซึ่งถ้าอภิสิทธิ์ลงชิง แม้จะไม่ใหม่ซิงๆ แต่ก็ยังพอมีความหวังอยู่บ้าง พอจะเห็นแวว เห็นแนวทาง ซึ่งถ้าเป็นไปตามข่าว ถ้าอภิสิทธิ์มาเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็จะไม่นำพรรคเข้าร่วมรัฐบาล จะใช้เวลากับการคิด การทำงาน เพื่อฟื้นฟูพรรคประชาธิปัตย์ ในบทบาทของฝ่ายค้าน ทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล หรือผลักดันกฎหมายสำคัญๆ ในการแก้ไขปัญหาชาติเป็นด้านหลัก

‘นราพัฒน์ แก้วทอง’ รองหัวหน้าพรรคจากภาคเหนือ ภายใต้การผลักดันของ ‘เฉลิมชัย ศรีอ่อน’ รักษาการเลขาธิการพรรค ‘เดชม์อิศ ขาวทอง’ รองหัวหน้าพรรคภาคใต้ ซึ่งนราพัฒน์ เข้ามาสู่วงการการเมืองสืบทอดต่อจากบิดา ‘ไพฑูรย์ แก้วทอง’ ซึ่งที่ผ่านมาไม่ว่าพรรคจะเฟื้องฟู หรือตกต่ำ ‘แก้วทอง’ ไม่เคยตีจากประชาธิปัตย์ ร่วมยืนหยัดต่อสู้มาตลอด แต่เมื่อเวลาเปลี่ยนไป สถานการณ์เปลี่ยนไป ยังไม่มีใครยืนยันว่า นราพัฒน์ ยังยืนยันจะลงชิงหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์อยู่

มีบางกระแสบอกว่า สายเฉลิมชัยอาจจะส่ง ‘ดร.เอ้-สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์’ ลงชิงแทน แต่ก็เป็นแค่กระแสข่าวเช่นกัน ไม่มีใครยืนยัน ซึ่งถ้าส่ง ดร.เอ้ ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องผ่านด่านข้อบังคับพรรค คนชิงหัวหน้าพรรค ต้องเป็นสมาชิกอย่างน้อย 5 ปี ถ้าข้อมูลไม่ผิดพลาด ดร.เอ้น่าจะเพิ่งเข้ามาเป็นสมาชิกพรรคก่อนลงสมัครชิงผู้ว่าฯ กทม. แต่ก็สามารถเสนอต่อที่ประชุมใหญ่ของดเว้นใช้ข้อบังคับได้ แต่ด่านหินคือต้องใช้เสียงขององค์ประชุม 3/4 ถ้ามั่นใจว่าจะผ่านด่านนี้ไปได้ ก็ลงชิงได้ ถ้ามั่นใจ และไม่กลัวถูกขุดคุ้ยปูมหลัง

ส่วน ‘ติ่ง-มัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข’ ที่เปิดตัวจะลงชิงด้วย ก็เป็นน้ำจิ้ม หรือผักเหนาะ ให้สีสันความเป็นประชาธิปไตยของพรรคประชาธิปัตย์ 

ด้าน ‘อลงกรณ์ พลบุตร’ รองหัวหน้าพรรค ที่เปิดตัวก่อนใคร ก็ถอนตัวไปตั้งแต่วันที่ 9 กรกฎาคมแล้ว โดยไม่รู้ว่าสาเหตุลึกๆ จริงๆ คืออะไร ซึ่งต้องมีเบื้องหน้าเบื้องหลังแน่นอน หรือเป็นการถอนตัวเพื่อส่งต่อคะแนนให้ทีมเฉลิมชัย เพราะต้องไม่ลืมว่าอลงกรณ์ทำงานใกล้ชิดเฉลิมชัยในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะที่ปรึกษาใหญ่ และแสดงบทบาทนำมาโดยตลอด

แต่ประเด็นใหญ่ของประชาธิปัตย์ คือ จะเข้าร่วม หรือไม่เข้าร่วมรัฐบาล ภายใต้การนำของเพื่อไทย มีข่าวหนาหูหลัง ‘นายกฯ ชาย เดชม์อิศ ขาวทอง’ เดินทางไปฮ่องกง และได้พบปะพูดคุยกับทักษิณ ชิณวัตร กับข้อเสนอ 19 เสียง พร้อมสนับสนุนเพื่อไทย แต่เข้าใจว่าเพื่อไทยคงไม่อยากได้ 19 เสียง คงอยากได้ทั้งพรรค 25 เสียง และเข้าร่วมโดยมติพรรค ซึ่งแน่นอนว่าซีกของผู้อาวุโส คงไม่ประสงค์เข้าร่วมรัฐบาลกับเพื่อไทย เพราะถือว่า เพื่อไทยคือคู่แข่ง และสู้รบปรบมือกับระบอบทักษิณมาตั้งแต่ปี 2543 ในยุคทักษิณ ไล่มาจนถึงยุคสมชาย วงศ์สวัสดิ์ สมัคร สุนทรเวช และยิ่งลักษณ์ ชิณวัตร จู่ๆ จะนำทัพไปร่วมสมทบแบบ ‘ลืมอดีต’ น่าจะเป็นไปได้ยาก

แต่ถ้าพิจารณา จุดยืนของพรรค ประชาธิปัตย์ ได้แก่…
1.) ไม่สนับสนุนพรรคการเมืองที่แก้ไขมาตรา 112
2.) ไม่มีพรรคก้าวไกล (ก.ก.)
3.) ไม่มีรัฐบาลเสียงข้างน้อย
4.) พรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลมีแนวทางอย่างไร ตามที่ ชัยชนะ เดชเดโช รักษาการรองเลขาธิการพรรคกล่าว

ถ้าดูเงื่อนไข 4 ข้อกับช่องทางที่เพื่อไทยเปิดไว้ ประชาธิปัตย์ ก็ไม่น่าจะติดตรงไหนในการเข้าร่วมรัฐบาล แต่สภาพความเป็นพรรคประชาธิปัตย์จะเป็นอย่างไร อนาคตจะต่ำสิบตามคำสบประมาทหรือไม่ การเข้าร่วมรัฐบาล ได้นำนโยบายพรรคไปใช้แก้ปัญหาชาติ จะทำให้พรรคประชาธิปัตย์กลับฟื้นคืนชีพจากภาวะสลบไสลได้หรือไม่ เป็นประเด็นที่แกนนำพรรคจะต้องคิดให้จงหนัก นำบทเรียนในอดีตมาถอด อย่างการนำพรรคเข้าร่วมรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็เห็นได้ชัดว่า ไม่ได้ทำให้ประชาธิปัตย์ดีขึ้น นโยบายหลายข้อของประชาธิปัตย์ก็ได้นำไปใช้ เช่น ประกันรายได้เกษตรกร

ประชาธิปัตย์เคยมีคะแนนมากถึง 10 ล้านเสียง แต่พอเลือกตั้งปี 62 ลดลงเหลือ 3 ล้านกว่าเสียง ยิ่งหนักเข้าไปอีกเมื่อการเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม ประชาธิปัตย์ได้คะแนนมาเพียง 9 แสนกว่าคะแนน ได้ สส.บัญชีรายชื่อแค่ 3 คน คือ ‘ชวน-บัญญัติ-จุรินทร์’

ถ้านำพาพรรคเข้าร่วมรัฐบาลกับขั้วที่เคยเป็นคู่แข่ง คู่รักคู่แค้นกันมา น่าสนใจยิ่งว่า อนาคตประชาธิปัตย์จะเป็นอย่างไร จะดีขึ้น หรือตกต่ำกว่าเดิม

การเลือกตั้งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในวันที่ 6 สิงหาคม จะเป็นวันชี้ชะตาว่าอนาคตประชาธิปัตย์จะร่วมรัฐบาลหรือไม่ คงต้องรอชม…

จิตวิญญาณ มันต่างกัน!!

นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา อดีตนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงเยาวชน คนรุ่นใหม่ในยุคปัจจุบัน ว่า…

“สมัยผมเป็น ‘นศ.มธ.’ เราต่อต้าน จักรวรรดินิยมตะวันตก แต่เด็ก นศ.สมัยนี้กลายเป็น ‘เหยื่อ’ และ ‘หมากเบี้ยขุน’ ให้จักรวรรดินิยมเอาไว้ใช้งาน ดิสเครดิตประเทศบ้านเกิดตัวเอง จิตวิญญาณมันต่างกันจริงๆ”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top