Saturday, 21 June 2025
POLITICS NEWS

'อุ๊งอิ๊ง' เผยเจรจา 'พท.-กก.' ไร้ขัดแย้ง ปัดตอบเรื่องช่วยโหวต ส่วนกองเชียร์ 2 ฝั่งอาจทะเลาะกันบ้าง แต่ 2 พรรคไม่เคย

(9 ส.ค. 66) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ระบุหลังหารือร่วมกับนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแกนนำพรรคก้าวไกล ว่า วันนี้ได้รับฟังความเห็นซึ่งกันและกัน ทั้งทางก้าวไกลและทางเพื่อไทย ซึ่งเป็นการมาพูดคุยกันมากกว่า ว่าขณะนี้อยู่ในสถานการณ์ใดกันบ้างเพื่อทำความเข้าใจกันทั้งสองฝ่าย

ส่วนคำตอบที่สื่อมวลชนต้องการนั้น ในวันนี้ยังไม่ได้คำตอบ ขอให้รออีกสักเล็กน้อย เพราะวันนี้ยังไม่พร้อมที่จะให้คำตอบ ที่ผ่านมาการพูดคุยระหว่างพรรคก้าวไกลกับพรรคเพื่อไทยย้ำเสมอว่า แม้บางทีกองเชียร์ของทั้ง 2 ฝ่ายจะทะเลาะกัน แต่ทั้ง 2 พรรคไม่เคยทะเลาะกัน พูดคุยกันด้วยเหตุและผล

ทั้งนี้ จากที่ได้พูดคุยกับนายพิธา มีความเข้าใจกันในหลายส่วน หากจะตั้งคำถามเรื่องความสัมพันธ์ของสองพรรคให้ลองไปถามทางพรรคก้าวไกลด้วยก็ได้ เพื่อยืนยันว่าไม่มีปัญหาแต่อย่างใด เพราะเราทำงานกันแบบผู้ใหญ่ เพื่อทำให้ประเทศชาติเดินหน้า

‘จาตุรนต์’ สยบข่าวลือ ปมยกก๊วนทิ้งเพื่อไทย ชี้!! ใครสงสัยให้อ่านรัฐธรรมนูญ สส.ย้ายพรรคได้ที่ไหน

(9 ส.ค.66) นายจาตุรนต์ ฉายแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ได้โพสต์ข้อเขียนผ่านเฟซบุ๊ก หลังมีกระแสข่าวผ่านโลกโซเชียลว่า นำ สส.เพื่อไทย ย้ายพรรรค โดยมีเนื้อหาดังนี้

“หลายปีก่อน มีนักการเมืองคนนึงไปต่างประเทศแล้วไม่ได้กลับเมืองไทยพร้อมคณะ เขาก็ลือกันว่านักการเมืองคนนี้เสียชีวิตไปแล้ว แกกลับมาก็รีบไปใต้ถุนสภา แถลงข่าวว่าผมยังไม่ตายครับ ความจริงแค่ทักทายผู้สื่อข่าวก็พอแล้ว

ผมไม่น่าจะต้องทำแบบเดียวกัน ในเรื่องที่มีการเต้าข่าวกันอยู่มั้ง

ใครสงสัยก็ให้ไปหารัฐธรรมนูญอ่านเอา สส.ย้ายพรรคได้ที่ไหน”

เผยไต๋!! หงายไพ่ 'มีเรา-ไม่เอาลุง' แต่เอางูเห่า ฟาก สว.ปักธง!! คงค้านแคนดิเดต 'เศรษฐา'

"...การแก้ที่จะแก้วิกฤตครั้งนี้ได้ ต้องสลายขั้วการเมือง ดึงความร่วมมือจากทุกพรรคทุกฝ่าย ทุกกลุ่ม ทุกคน เพื่อร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยและนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำ เพื่อนำรัฐธรรมนูญออกจากวิกฤต เพื่อนำประชาชนให้พ้นทุกข์ เพื่อสร้างความสามัคคี สมานฉันท์ โดยถือเป็นวาระประเทศ ที่สำคัญอย่างสูงสุด..."

ครับ...นั่นเป็นหนึ่งในย่อหน้าสำคัญของการแถลงข่าวการจัดรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยเมื่อบ่ายวันที่ 9 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยมีพรรคประชาชาติและอีก 5 พรรคเล็ก (พรรคชาติพัฒนากล้า, พรรคเพื่อไทรวมพลัง, พรรคพลังสังคมใหม่, พรรคเสรีรวมไทย และ พรรคท้องที่ไทย) มารวมแถลงข่าวด้วย...และวันที่ 10 ส.ค.ก็จะเป็นคิวของพรรคชาติไทยพัฒนา มาร่วมแถลง

หมอชลน่าน ศรีแก้ว และภูมิธรรม เวชยชัย สองแม่ทัพใหญ่ของเพื่อไทยยืนยันว่า ขณะนี้เมื่อรวมเสียงพรรคและกลุ่มต่าง ๆ ที่จะสลายขั้วมาร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลเกิน 250 เสียงแล้ว...โดยแคนดิเดตนายกรัฐมนตรียังจะเป็น 'เศรษฐา ทวีสิน' เหมือนเดิม

'เล็ก เลียบด่วน' ดูภาษากายของ 'หมอชลน่าน' และ 'อ้วน ภูมิธรรม' แล้ว รอบนี้ดูจะมีความมั่นอกมั่นใจในการชูคำขวัญกับการเดินหน้าว่า...นี่คือการสลายขั้ว ในสถานการณ์ทางการเมืองที่มีความพิเศษท่ามกลาง 3 วิกฤต...คือวิกฤตเศรษฐกิจ, วิกฤตรัฐธรรมนูญ และวิกฤตความขัดแย้งแบ่งสี แบ่งขั้ว...

จริง ๆ แล้ว แค่เพื่อไทยไปทาบทามเจรจาพรรครวมไทยสร้างชาติที่ 'ลุงตู่' วางมือไปแล้วสักพรรค แล้วซุ่มเจรจากับมุ้งใหญ่ในประชาธิปัตย์ หรือพลังประชารัฐ คณิตศาสตร์การเมืองก็จบ แถมได้เสียง สว.สายลุงตู่หนุนพรึ่บ...จบข่าว!!

แต่กลับไม่ทำ...ทำไม?

'เล็ก เลียบด่วน' ตรวจสอบข่าวข้างเคียงแล้วพบว่า งานนี้ สส.พรรคเพื่อไทยจำนวนมากยังติดใจคำว่า 'พรรคลุง' อ้างว่าชาวบ้านในพื้นที่ไม่เห็นด้วย รอบหน้าหาเสียงลำบาก

แต่ในความจริง 'สมการ' การเมือง หากเพื่อไทยไม่ได้เอาเสียงจากพรรคลุงมาร่วม การจัดตั้งรัฐบาลก็เดินหน้าไม่ได้ ดังนั้นพรรคเพื่อไทยจึงเดินหน้าดีลลับ...ดึงซุ้มใหญ่ในพรรคพลังประชารัฐและรวมไทยสร้างชาติไปร่วมรัฐบาลเพื่อไทย...

อย่างไรก็ตาม ต้องบอกว่าปฏิบัติดีลลับดึงงูเห่าจากสองพรรคหรือสามพรรครวมทั้งประชาธิปัตย์ด้วยนั้น สุ่มเสี่ยงเป็นยิ่งนัก...

ประการแรก - แน่ใจไหมว่าพรรคภูมิใจไทยจะเออออห่อหมกหรือไม่กับสูตรดึงงูเห่า

ประการที่สอง - ปัญหากรณีงูเห่าก็ไม่แน่ใจว่า สว.จะเห็นด้วยหรือไม่...รวมทั้งกรณีที่เพื่อไทยน้อมใจน้อมกายไปขอคะแนนจากพรรคก้าวไกล ทำให้เกิดความระแวงว่าในอนาคตสองพรรคนี้จะหันมาจูบปากคืนดี ก่อกรรมทำเข็ญให้กับบ้านเมืองหรือไม่...ขณะที่มีกระแสข่าวอื้ออึงว่ามีการใช้ยุทธปัจจัยกันหลายกิโลขีดเพื่อขอความเห็นใจจาก สว.

ประการที่สาม - แม้ฝั่ง สว.จะเบาใจเรื่องไม่แตะต้องสถาบัน ไม่แตะต้องมาตรา 112 แล้วก็ตาม...แต่กรณีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ยังชื่อ เศรษฐา ทวีสิน นั้น สว.จำนวนไม่น้อยยังติดใจในปัญหาจริยธรรม-ธรรมาภิบาล เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (4) นั้นบัญญัติชัดเจนว่าต้องมีคุณสมบัติ… ‘มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์’...สว.บางส่วนยังติดใจเรื่องการเสียภาษีและสะพานข้ามคลองอันอื้อฉาวของบริษัทแสนสิริ...และรอขออภิปรายซักถาม..!!

คาดหมายกันว่าคะแนนของ เศรษฐา ทวีสิน จะสูงกว่า 324 คะแนนของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เมื่อวันที่ 13 ก.ค.อยู่หลายขุม แต่ซาวเสียง สว. ณ วันนี้ดูแล้ว ส่วนใหญ่บอกว่ายังไม่ผ่าน 375 เสียง และนั่นเองที่เป็นเหตุให้พรรคเพื่อไทยอยากได้เสียงจากก้าวไกลซักจำนวนหนึ่ง...แต่ก็อีกนั่นแหละ ถ้าเป็นจริงแค่ได้ยินชื่อ สส.พรรคก้าวไกล ชื่ออักษร ก.ไก่ 4 คนใน 10 ชื่อแรกสมาชิกรัฐสภา...ก็คงทำให้ สว.ชักมือกลับกันหลายคน...

ก็ติดตามกันต่อไปครับ...อีกหลายวัน วันที่ 16 ส.ค. ต้องลุ้นศาลรัฐธรรมนูญกันก่อนว่าศาลจะรับไม่รับเรื่องจากผู้ตรวจไว้พิจารณาหรือไม่...

มีเวลาเหลือเฟือที่จะลากลู่ถูกังกันไปเพื่อสลายขั้ว...ลากกันไปจนขั้วสลาย...ดีไม่ดีสูตรพรรคอันดับ 2 อาจสลาย ไปสู่พรรคอันดับ 3...

อย่ามองข้ามความปลอดภัย!!

‘เนเน่-รัดเกล้า’ สลดใจ!! ‘แก๊งทะลุวัง’ อ้างสิทธิพร่ำเพรื่อ แถมใช้ความเป็นเยาวชนและสตรี เป็นโล่กำบังกระทำผิด

(9 ส.ค. 66) ‘เนเน่’ รัดเกล้า สุวรรณคีรี อดีตผู้สมัคร สส. กทม. เขต 33 บางพลัด-บางกอกน้อย พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) บุตรสาว ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า…

ถ้าคำยอดฮิตของช่วงนี้คือ​ #เพ้อเจ้อ ขอเสริมอีกหนึ่งคำคือคำว่า #พร่ำเพรื่อ

จากสถานการณ์ที่กลุ่ม​ #ทะลุวัง​ ได้ไป #ระราน (ขอไม่ใช้คำว่า​ ‘ต่อสู้เพื่อสิทธิ’ เพราะมันเลยจุดนั้นไปนานแล้ว)​ #พรรคเพื่อไทย​ ที่พยายาม​ #จัดตั้งรัฐบาล2566 และเพิ่งได้มีการแถลงข่าวร่วมกับ #พรรคภูมิใจไทย​ เสร็จสิ้นไป

ได้มีการใช้วาจาที่รุนแรง​ และมีพฤติกรรมที่หยาบโลน ไร้ซึ่งการเคารพในทุกกฎเกณฑ์ และทุกธรรมเนียมปฏิบัติ...หรือกล่าวหยาบ ๆ​ สั่น ๆ​ ได้ว่า #ถ่อย...และสิ่งหนึ่งที่เนเน่​ (และเชื่อว่าอีกหลาย ๆ​ คนก็เช่นกัน)​ สังเกตเห็นได้คือ​ ด่านหน้าของ​ #ม็อบถ่อย คือ ‘เยาวชน’ และ ‘สตรี’ ซึ่งความน่าสลดใจคือเขาใช้ ความเป็นเยาวชนและความเป็นผู้หญิงมาเป็นเกราะกำบังในการกระทำความผิด

หากมีใคร มาโดนเนื้อตัวแม้เพียงน้อยก็จะ​ กรีดร้องออกมาประหนึ่งว่าถูกทำร้ายอย่างรุนแรง ตอนนี้เราเลยตกอยู่ในสถานการณ์ที่ผู้ควบคุมกฎเกณฑ์ไม่กล้ากระทำรุนแรง เพราะ​เกรงกลัวว่าจะโดนรุมประนามจากกลุ่มทัวร์ว่า​ #รังแกเยาวชน #รังแกผู้หญิงอีก​ ทั้ง ๆ​ ที่ถูกก็ควรจะว่าถูก​ ผิดก็ควรว่าผิด...กระบวนการทั้งมวลทำให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่การเป็นอนาธิปไตย​ (Anarchy) หรือคือเป็นบ้านเมืองที่ไร้กฎ​ ไร้เกณฑ์ อย่างช้า ๆ​ แต่ชัวร์ ๆ​...รู้ตัวกันสักทีเถอะว่าคุณ...

ใช้สิทธิความเป็น​ #เยาวชน พร่ำเพรื่อ

ใช้สิทธิความเป็น #ผู้หญิง #สตรี​ พร่ำเพรื่อ

ใช้คำว่า​ #ประชาชน​ พร่ำเพรื่อ

ใช้คำว่า​ #ประชาธิปไตย​ พร่ำเพรื่อ

ใช้คำว่า #สิทธิในการแสดงออก พร่ำเพรื่อ ​

การ​ ‘ใช้’ สิ่งต่าง ๆ​ เหล่านี้อย่างพร่ำเพรื่อ เป็นการลดคุณค่าให้กับตัวคุณเอง​ ลดคุณค่าของสิ่งเหล่านั้น และสร้างความยากลำบากให้กับผู้อื่นที่เขาพยายามต่อสู้เพื่อสิทธิเหล่านี้อย่างถูกวิธี

เราจะสู้เพื่อเสรีภาพในการแสดงออกของเยาวชนได้อย่างไรในเมื่อมีตัวอย่างของเด็กที่คิดไม่ได้ ไร้ซึ่งการเคารพกฎเกณฑ์ ไม่มี วิจารณญาณเรื่องความเหมาะสมใด ๆ เช่นนี้

เราจะต่อสู้เพื่อสิทธิ์ของผู้หญิงในการเมืองได้อย่างไร ในเมื่อมีตัวอย่างของผู้หญิงที่คิดไม่ได้​ และเอาเพศสภาพของตัวเองมาเป็นอาวุธอย่างนี้

เราจะต่อสู้เพื่อให้เมืองไทยมีนักการเมืองที่เป็นตัวแทนของประชาชนได้อย่างไร ในเมื่อมีตัวอย่างของประชาชนที่ไม่เคยรับฟังความเห็นต่างอย่างนี้ คนที่อาสาเป็นตัวแทนของพวกคุณเขาจะได้รับความเชื่อถือได้อย่างไร

และเราจะต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยได้ยังไง ในเมื่อคนที่บอกว่าต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ไม่เข้าใจ​ ไม่รับฟัง​ ไม่ยอมปรับตัว เพื่อที่จะเข้าร่วมสังคมกับคนอื่นได้เลย

คิดค่ะคิด มีสติ และคิดให้ได้สักที ว่าที่ทำอยู่ทุก ๆ​ วันนี้ คุณกำลังทำลายและทำร้ายอะไร...ไม่ใช่พรรคเพื่อไทย ไม่ใช่พรรคภูมิใจไทย​ แต่มันคือตัวคุณเอง และกลุ่มเยาวชน กลุ่มสตรีคนอื่น ๆ ทั่วทั้งประเทศ

คิดได้แล้ว...ช่วยหยุดด้วยนะคะ

ชาวเน็ต จับโป๊ะ!! แกนนำแท็กซี่บุกถอดเสื้อแดง แท้จริงเป็น ‘ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ’ พรรคก้าวไกล

(9 ส.ค. 66) กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงในโลกออนไลน์อย่างมาก หลังแกนนำแท็กซี่ทวงคืนความยุติธรรมนัดรวมพลหน้าพรรคเพื่อไทย และถอดเสื้อแดงส่งคืนให้แก่พรรค โดยอ้างว่าพรรคเพื่อไทยทำคนเสื้อแดงอกหักซ้ำสองที่ยอมไปจับมือกับพรรคภูมิใจไทย

ภายหลังจากมีภาพและข่าวหลุดออกไปแล้ว ก็มีชาวเน็ตตาดีสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่าง โดยผู้ใช้ติ๊กต็อกชื่อ @wn29wn29 ‘เพื่อไทยตลอดไป’ ได้ออกมาโพสต์คลิปพร้อมแคปชันว่า “จ้าาาาา 🤔 #พรรคก้าวไกล #สลิ่ม #ม็อบ” และแคปชันในคลิประบุว่า “บุกไปประท้วงพรรคเพื่อไทย จับโป๊ะสลิ่มเฟส 2 อ้างเป็นแดงเลือกเพื่อไทย”

โดยในคลิปดังกล่าวเป็นภาพของ 1 ในแกนนำแท็กซี่ทวงคืนความยุติธรรมที่กำลังให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ซึ่งเมื่อสืบค้นข้อมูลก็พบว่าเป็น ‘ศดิศ ใจเที่ยง’ ผู้สมัครปาร์ตี้ลิสต์ ลำดับ 64 ของพรรคก้าวไกล

'เพื่อไทย' แถลงจับมือ 6 พรรคจัดตั้งรัฐบาล เดินหน้าแก้วิกฤตประเทศ ดูแลประชาชน

(9 ส.ค. 66) ที่อาคารรัฐสภา พรรคเพื่อไทย (พท.) พร้อมด้วย 6 พรรคการเมือง แถลงข่าวร่วมกันในการจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคเพื่อไทย โดยมีคำแถลง ดังนี้

วันนี้ พรรคเพื่อไทยได้รวบรวมเสียงเพิ่มเติม และได้รับการสนับสนุนจาก 6 พรรคการเมือง ประกอบด้วย พรรคประชาชาติ พรรคเสรีรวมไทย พรรคชาติพัฒนากล้า พรรคเพื่อไทยรวมพลัง พรรคพลังสังคมใหม่ พรรคท้องที่ไทย และรวมเสียงโหวตได้มากกว่ากึ่งหนึ่งแล้ว

พรรคเพื่อไทยและทุกพรรคการเมืองคาดหวังอย่างยิ่งว่า จะสามารถคลี่คลายสถานการณ์ สลายขั้วการเมือง ทุกฝ่าย เดินหน้าขอความร่วมมือจากทุกฝ่าย ทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากหลายพรรคการเมือง และเสียงสนับสนุนจากสมาชิกวุฒิสภา เพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีและจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ สามารถบริหารประเทศ และเร่งแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนได้โดยเร็ว ที่ขณะนี้กำลังเผชิญความเดือดร้อนรุนแรง การประวิงเวลาออกไปยิ่งทำให้เกิดความเสียหายยิ่งขึ้น การจัดตั้งรัฐบาลได้เร็วเท่าไรจะยิ่งแก้ไขปัญหาได้รวดเร็วมากขึ้นเท่านั้น

เรายืนยันจะทำงานการเมืองอย่างสร้างสรรค์ โดยเฉพาะในสถานการณ์ทางการเมืองที่มีความพิเศษ ท่ามกลางวิกฤตรัฐธรรมนูญ วิกฤตเศรษฐกิจ ปัญหาปากท้องของประชาชน และวิกฤตความขัดแย้งในสังคม แบ่งฝักแบ่งฝ่าย แบ่งสีแบ่งขั้ว

การที่จะแก้วิกฤตครั้งนี้ได้ ต้องสลายขั้วการเมือง ดึงความร่วมมือจากทุกพรรคทุกฝ่าย ทุกกลุ่ม ทุกคน เพื่อร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทย และนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำ เพื่อนำรัฐธรรมนูญออกจากวิกฤต เพื่อนำประชาชนให้พ้นทุกข์ เพื่อสร้างความสามัคคี สมานฉันท์ โดยถือเป็น ‘วาระประเทศ’ ที่สำคัญอย่างสูงสุด

เราอยากขอวิงวอน ให้พี่น้องประชาชนมั่นใจในพรรคเพื่อไทย และพรรคการเมืองที่ให้การสนับสนุนในครั้งนี้ เราจะช่วยกันฝ่าวิฤตเพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ และประโยชน์สูงสุดแก่พี่น้องประชาชนทุกคน

เราหวังจะเห็นความสามัคคีของทุกฝ่ายในประเทศ

‘อ.ไชยันต์’ ชี้ ศาสดาทางการเมืองไม่ต่างจากพ่อค้ายา ใช้เด็กเป็นเครื่องมือ ตอบแทนแค่เศษเงิน

(9 ส.ค. 66) ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊ก ‘Chaiyan Chaiyaporn’ ระบุว่า…

ผู้ที่ให้การสนับสนุน-อยู่เบื้องหลังเยาวชนที่ออกมาประท้วงด้วยอาการและอารมณ์ที่รุนแรง จนน่าเป็นห่วงสุขภาพจิตของพวกเยาวชนเหล่านั้น คือ ผู้ที่มีจิตใจอำมหิตมาก

ใช้ช่วงชีวิตและอนาคตของเด็กเป็นเครื่องมือไปสู่สิ่งที่พวกตนต้องการ โดยพวกตนเท่านั้น คือ ผู้ได้ประโยชน์ที่แท้จริง

ส่วนเด็กเหล่านั้น ได้แค่เศษ ที่ไม่มีวันคุ้มค่ากับช่วงชีวิตและอนาคตที่จะต้องเสียไป ผู้ที่ให้การสนับสนุน-อยู่เบื้องหลังนี้ ไม่ต่างจากพวกค้ายาเสพติดที่ทำให้เด็กติดยา แล้วใช้เด็กวิ่งยา ขายยาฯ

เด็กเหล่านี้ถูกทำให้ไม่เชื่อว่า จะมีใครที่จะดีหรือหวังดีต่อพวกเขาจริง ๆ นอกจาก ‘ผู้ที่ให้การสนับสนุนเหล่านั้น’

เด็กจะทำทุกอย่างเพื่อได้รับคำชมและค่าขนมจาก ‘ศาสดา’ ผู้ที่ทำตัวเป็นศาสดาทางการเมือง-ผู้นำมาซึ่งแสงอันเจิดจรัส ที่ทำให้เยาวชนได้ตาสว่าง ปลดปล่อยพวกเขาจากการถูกกดทับกดขี่ พวกศาสดาเหล่านี้ไม่ต่างจากพวกค้ายาเสพติด

'พลอย' แฉยับอดีตชีวิตเหมือน 'หยก' ถูก 'บุ้ง' ลากตัวใช้หาผลประโยชน์  ยอมคาย!! 'โดนบังคับบุกวัง-กระทำรุนแรงให้กลัว-ฮุบเงินทุนไว้กับตัว'

กลายเป็นประเด็นร้อนที่สังคมกำลังวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก สำหรับการเคลื่อนไหวของกลุ่มทะลุวังในช่วงเวลานี้ เพื่อต่อต้านการจัดตั้งรัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทย สังคมวิพากษ์วิจารณ์หนัก หลังล่าสุดบุกไปป่วนพรรคเพื่อไทย ที่แถลงข่าวจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคภูมิใจไทย แม้กระทั่งฝ่ายที่สนับสนุนการเคลื่อนไหวของม็อบ 3 นิ้ว ยังรับพฤติกรรมของกลุ่มทะลุวังไม่ได้

การเคลื่อนไหวของกลุ่มทะลุวังในเวลานี้ จะประกอบไปด้วยตัวละครหลัก ๆ ได้แก่ เนติพร เสน่ห์สังคม หรือ บุ้ง, ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือ ตะวัน, นภสินธุ์ ตรีรยาภิวัฒน์ หรือ สายน้ำ, ธนลภย์ ผลัญชัย หรือ หยก, บังเอิญ ศุทธวีร์ สร้อยคำ มือพ่นกำแพงวัดพระแก้ว โดยผู้ที่เป็นหัวโจกคือ 'บุ้ง เนติพร'

ต่อมาในโลกออนไลน์ได้มีการแฉข้อมูลจากกลุ่มทะลุวังด้วยว่า สมาชิกในกลุ่มไม่ค่อยมีความลงรอยเช่นกัน และชี้เป้าไปที่ 'บุ้ง เนติพร' ว่ามีพฤติกรรมไม่ต่างจากพวกเผด็จการนั้น

ล่าสุด 'พลอย' บุคคลที่เคยอยู่กับกลุ่มทะลุวัง ออกมาทวีตแฉข้อมูลเกี่ยวกับ 'บุ้ง เนติพร' หรือ 'บุ้ง ทะลุวัง' ระบุว่า...

เราเคยเป็นหนึ่งในเด็กที่บุ้งเอามาดูแลเหมือนหยก รู้จักกันตั้งแต่สมัยอยู่นักเรียนเลว ตอนนั้นที่บ้านเรามีปัญหาทำให้ไม่มีบ้านอยู่+โดนคดีมันต้องมีผู้ปกครอง บุ้งมาเป็นผู้ปกครองแทนพ่อแม่ที่ดูแลเราไม่ได้ บุ้งก็รับปากเรากับแม่เราว่าจะดูแลเราอย่างดี

บุ้งดูแลเราอย่างดีในช่วงแรกที่อยู่ด้วยกัน เรายังคงอยู่กับบุ้งเพราะไม่รู้จะไปอยู่ไหน บ้านก็ไม่มีให้กลับ ตอนนั้นเราเริ่มสัมผัสได้ถึงความรุนแรงในบ้านที่อยู่กับบุ้ง การถูก Child Grooming การโดนมินิพูเลท และการขูดรีดผลประโยชน์จากการเคลื่อนไหวในฐานะเยาวชนเพราะเราอายุแค่ 16

ตัวบุ้งมักจะชอบดูแลเด็กที่มีปัญหากับที่บ้านหรือมีปัญหาในชีวิตและมีแสง บุ้งจะรับเด็กมาดูแล อาสาเป็นผู้ปกครอง และค่อยๆ ใช้ประโยชน์จากเด็กคนนั้น เรากับเพื่อนโดนเอาผลงานการเคลื่อนไหวไปขอทุนเคลื่อนไหว แต่เงินทุนกลับส่งไม่ถึงเรา เพื่อนหลายคน และไม่สามารถตรวจสอบบัญชีของบุ้งได้

เรื่องการใช้ความรุนแรงของบุ้งกับเราและเพื่อนๆ เขาทำเหมือนที่ทำกับยามหน้าเพื่อไทย ตอนโมโห เขาจะใช้อารมณ์ทำให้เรารู้สึกหวาดกลัว ด้อยค่า ทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตจะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเขา ตามสไตล์มินิพูเลท ซึ่งตอนนั้นเรารู้สึกแบบนั้นจริงๆ เราโดนมินิพูเลทจนทุกวันนี้ยังกลับมาใช้ชีวิตยาก

บุ้งชอบให้เด็กออกมาเคลื่อนไหว เทคแอคชั่นแรงๆ โดยบุ้งบอกกับเราว่า เรายังเด็ก ต่อให้โดนคดีก็ยังไม่โดนหนักเพราะยังมีศาลเยาวชน และเด็กถ้าเจอความรุนแรงเช่น ตำรวจจับ บลาๆ จะเป็นข่าวง่าย ขอทุนง่าย ไวรัลง่ายกว่า แล้วบุ้งอ้างว่าจะซัพพอร์ตน้องๆ อยู่ข้างหลังแทน

จนเริ่มทำ #ทะลุวัง เราโดนหนักมากขึ้น บังคับให้เราออกไปทำไรเเรงๆ แรงสุดคือ เคยโดนให้ไปบุกคุกวังทวี แต่ตอนนั้นเราบอบช้ำจากการเคลื่อนไหวมามากแล้ว เหนื่อยโดนคดี เราบอกว่าสภาพจิตใจเราไม่ไหว ไม่อยากทำ ก็โดนปิดประตูใส่หน้า อยากจะหนีก็ไม่ได้ เพราะพอรู้ตัวอีกทีก็ไม่เหลืออะไรในชีวิตแล้ว

เราลาออกจากโรงเรียนเพื่อมาเคลื่อนไหว เงินก็ไม่มี ครอบครัวก็ทิ้ง ตอนนั้นเราคิดว่าเราต้องพึ่งพาแค่บุ้งเท่านั้น สุดท้ายหลุดออกมาได้ เพราะเพื่อนรอบตัวให้ความช่วยเหลือ เป็นผู้ปกครองให้แทน จนปัจจุบันเราเป็นผู้ลี้ภัย 112 อยู่ ตปท. เราก็ยังโดนเขาโจมตีในขบวนเสียๆ หายๆ อยู่เรื่อยๆ

ทั้งกล่าวหาว่าเรายักยอกเงิน หนีคดี ขโมยของ ตอแหล โดนแช่งให้ตายระหว่างลี้ภัย บางคนก็เกลียดเราจริงๆ ไปแล้วก็มี เรารู้มาเสมอว่าเรามีปัญหากับหลายฝ่ายในขบวน เรื่องหลายๆ เรื่องที่เราอยากคุยเพื่อคลี่คลาย ขอโทษ ก็ไม่มีโอกาสได้ทำเพราะเรายังโดนโจมตีอยู่ตลอดเวลา

ควรมีการถกกันเรื่องนี้สักที เด็กกับการออกมาเคลื่อนไหวเนี่ย เด็กไม่ได้เจอแค่การคุกคามจากรัฐ ครอบครัว สังคม แต่อาจจะโดนขบวน เห้ๆ ทำร้าย โดนขูดรีด ความเป็นเด็กโดนมินิพูเลท คนที่ได้รับผลกระทบก็คือตัวเด็กเอง มันส่งผลกับการใช้ชีวิตของเด็กระยะยาวมาก นี่ยังเป็นซึมเศร้าอยู่เลย

เลิกด่าหยก เด็กเป็นเหยื่อของเรื่องนี้ คนโดนมินิพูเลทมันไม่รู้ตัวหรอก หยกเจอความรุนแรงมามากตั้งแต่ติดคุก ทั้ง Cyber Bullying โดนคดี สังคมเฮงซวย ต้องมาเจอกลุ่ม #ทะลุวัง หยกเหมือนกระจกสะท้อนตัวบุ้ง หยุดโจมตีเด็กได้ หันมาสนใจ Abuser กันเยอะๆ ว่าพวกมันกำลังทำอะไรกันอยู่

ช่วยเหลือและรับฟังความต้องการของหยก หยุดให้แสงหรือโทษคนที่กำลังโดนมินิพูเลทก่อน มันละเอียดอ่อนทั้งตัวของเหยื่อและคนมินิพูเลทเอง เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าแต่ละวันเหยื่อเจอคำพูด ถูกปฏิบัติแบบไหนมาบ้าง อะไรคือความรู้สึกที่แท้จริง หัวมันปั่นป่วนไปหมดเพราะการมินิพูเลท ใช้ความรุนแรงและแก๊สไล้

เราพยายามสรุปเรื่องราวตลอด 2 ปีที่อยู่กับบุ้ง จริงๆมันมีมากกว่านั้น แต่กลัวทวิตยาวเกิน แต่อย่างนึงที่เพื่อนเราเคยถูกมินิพูเลทบอก การที่ผู้ถูกกระทำหรือตัวเด็กยังอยู่ในวังวนความรุนแรง โดนมินิพูเลท แปลว่า Abuser ประสบความสำเร็จ #ทะลุวัง

อุทาหรณ์ 'นักเลงคีย์บอร์ด' หมิ่น 112 'ในหลวง ร.๙-ร.๑๐' ยังรอด!! หลังพ่อแม่ให้ 'ยอมรับผิด' เพราะหวั่น!! ทนายนำ 'ภา' ไปหาคุก

เห็นสภาพการเดินเกมรุกของบรรดาด้อมส้มสามกีบในช่วงนี้ ที่แบ่งระดับตามสายตาเป็น 3 ระดับ ตั้งแต่ ระดับรุกไล่เชิงการภายก่อภัยคุกคามสถานที่สาธารณสุข และที่ส่วนบุคคล (พรรคเพื่อไทย) โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจตึงใส่เรียบร้อย

ระดับอินฟลูเอ็นเซอร์ผู้ดำเนินรายการ ก็เริ่มโนประชาชี หรือคนมีบารมีทางสังคมเริ่มไม่อ่อนข้อ (วันก่อนโดนลุงสนธิประกาศฟ้องรายการแฮชแตก!!) 

และมาถึงลำดับของประชาชน หรือพวกเยาวชนนักเลงคีย์บอร์ดที่ชอบป้ายสีข้อมูลเท็จลงออนไลน์ โดยเฉพาะการบิดเบือนเรื่องของสถาบันฯ ก็ต้องบอกว่า กระบวนการยุติธรรมที่เห็นเงียบ ๆ แต่ฟาดที ฟาดเรียบ...

โดยทั้งหมดทั้งมวล ต้องขอบอกว่า ถ้าเข้าหมวดหมิ่น ให้ร้ายป้ายสี อย่างมีเจตนา ก็ไม่มีหัวเรือด้อมส้มสามกีบคนไหนช่วยได้ แม้แต่สัมมาชีพที่ขึ้นชื่อเป็น 'ทนาย' ก็ตาม

ล่าสุดมีเรื่องสั้นเสียงจากแฟนคลับ ได้ส่งกรณีศึกษาหนึ่งมายังทีมข่าวการเมือง THE STATES TIMES ให้เป็นอุทาหรณ์สำหรับพวกหมิ่น ม.112 แบบไร้สติและไร้ข้อมูล ฟังเขาเล่ามาแล้วก็มาถ่มถุยหลังคีย์บอร์ด ให้อ่านไปสยองไปสักเรื่อง

เรื่องนี้มาจากคุณญ่า ซึ่งมาทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญในฐานะประชาชนไทย #สืบพยานในคดี ม.112

ตัวละครเคสนี้...

ฝั่งโจทก์ มี 'คุณญ่า' เป็นผู้อยู่ในบัญชีพยานฝั่งโจทก์ลำดับที่ 3 ตามมาด้วย คุณลุงเจ้าของบริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง (ขอสงวนนาม) เป็นพยานลำดับที่ 1 ในฐานะผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ และมีคุณน้า ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทใหญ่อีกแห่ง (ขอสงวนนาม) เป็นพยานที่ 2

ส่วนผู้ถูกกล่าวหาหรือจำเลย คือ ผู้สาวอายุเพียง 26 ปี ได้โพสต์และแชร์ข้อความกล่าวหาด้วยความเท็จใส่ร้ายเรื่องการใช้ภาษีของในหลวง ร.9 ว่าด้วยเรื่องโครงการพระราชดำริ และกล่าวหาใส่ร้ายด้วยความเท็จว่า ร.10 ว่าทรงเอาเครื่องบินไปของการบินไทยไปใช้ส่วนพระองค์และเอาไปจอที่วังสวนจิตร 

แน่นอนแหละว่าจำเลย 'ปฏิเสธ' ทุกข้อกล่าวหาในชั้นพนักงานสอบสวน

และเมื่อวาน (8 ส.ค.66) ณ ศาลจังหวัดสมุทรปราการ ก็ได้มีการสืบพยานฝั่งโจทก์นัดแรก ซึ่งฝั่งโจทก์ก็ได้ทนายจำเลยของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน อย่าง 'อานนท์ นำภา' เป็นทนายความให้

ทว่า ตัวจำเลย (สาววัย 26) พ่อแม่จำเลย ทนายจำเลย อัยการ และพยานโจทก์ ได้บังเอิญเจอกันก่อนศาลจะออกพิจารณา

พีก!! ตรงพ่อแม่จำเลย ดันจำพยาน คือ คุณลุงและคุณน้าได้ว่าเป็นเจ้าของตึกอาคารสำนักงาน ที่บริษัทตัวเองได้ทำงานอยู่สิบกว่าปี (สยอง!!)

ว่าแล้วพ่อแม่จำเลย ก็รีบตรงปรี่เข้ามาไหว้สวัสดี และสอบถาม พยานฝั่งโจทก์...

เรียบ ๆ เคียง ๆ แล้ว ก็พอได้ใจความว่า "อยากจะขอคุยกับอัยการและศาล เพื่อเปลี่ยนใจให้ลูกสาวรับสารภาพ เพราะดูจากสำนวนและพยานที่มาให้การแล้ว 'ไม่น่าจะรอด' ถ้าสู้ตามทนายสามกีบแนะนำ"

สรุป!! ยังไม่ทันได้สืบพยาน พ่อแม่จำเลยเห็นพยานแล้วถอดใจไม่เชื่อทนาย ขอปรึกษาอัยการและศาลให้ลูกสาวให้การเป็นขอสารภาพ

เฮ้อ!! ทนายนำภาไปหาคุกเอ๊ย คุณญ่าในฐานะพยานที่ 3 เลยไม่มีโอกาสได้ปล่อยพลังฝีปากกับอานนท์ นำภาเลยอ่ะ ซึ่งเธอบอกมาว่า "เสียดายจัง" 

สุดท้ายศาลให้เบิกค่าพยาน 500 แต่คุณลุงกับคุณน้าใจดี บอก “เอ้า!! ไอ้ญ่าอุตส่าห์มาเป็นพยานปากเอก เอาทริปค่าน้ำมันค่าขนมไป 10,000 บาท” ขุ่นญ่าก็อารมณ์ดีหายเคือง

ขณะที่พ่อแม่จำเลย ก็ถือว่าเป็นบุญไปที่เจอคนคุ้นเคย และถือเป็นผู้ใหญ่ใจดี (สังคมไทยผู้ใหญ่ใจดีเยอะ) โดยบอกให้น้อง 26 กลับไปปรับปรุงตัว (รอดคุก) แต่ยังไงซะ กลับไปแล้ว ก็หมั่นหาความจริง ไม่เฮเอามันส์ตามกีบ แล้วต้องมายืนตัวลีบหน้าศาลแบบนี้อีก

ส่วนทนายนี่!! #กากฉิบหายเลยว่ะ

ใครมั่นใจในสิ่งที่ถูกปลุกปั่นให้เชื่อ และยอมเป็นเครื่องมือด้วยความคะนองใจ โปรดระวังไว้!!

เพราะไม่ใช่คุณที่จะโชคดีแบบกรณีน้อง 26 รายนี้

‘สมศักดิ์’ ร่วมถก ‘ป.ป.ส.-ตร.’ หาแนวทางขจัดยาเสพติด เล็งใช้มาตรการยึด-อายัดทรัพย์ควบคู่แผนปราบปราม

(8 ส.ค. 66) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และอดีตรมว.ยุติธรรม พร้อมด้วยนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ และประธานยุทธศาสตร์การเกษตร พรรคเพื่อไทย นายปิยะศิริ วัฒนวรางกูร รองเลขาธิการ ป.ป.ส. พล.ต.ต.บรรพต มุ่งขอบกลาง รองผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด และ พล.ต.ต.ธนรัชน์ สอนกล้า ผู้บังคับการตำรวจปราบปรามยาเสพติด 2 ได้หารือกับ สส.พรรคเพื่อไทย เพื่อรับฟังความคิดเห็นถึงแนวทางการปราบปรามยาเสพติดภายใน 1 ปีของพรรคเพื่อไทย

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า จากที่พรรคเพื่อไทยได้หาเสียงนโยบายการปราบปรามยาเสพติดให้หมดไปภายใน 1 ปีนั้น วันนี้ตนจึงเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการปราบปรามยาเสพติด มาอธิบายถึงแนวทางการปราบปรามยาเสพติดที่ผ่านมา เพื่อให้สส.พรรคเพื่อไทยได้ช่วยกันแสดงความคิดเห็น ก่อนจะนำไปปรับเป็นนโยบายที่จะใช้ปราบปรามยาเสพติดภายใน 1 ปี 

ทั้งนี้ สส.พรรคเพื่อไทยส่วนใหญ่ได้สะท้อนว่าอยากให้พรรคเพื่อไทยมีมาตรการที่เด็ดขาดแบบในสมัยรัฐบาลอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ที่สามารถปราบปรามยาเสพติดได้อย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงอยากให้ช่วยแก้ปัญหาที่ต้นตอ อย่างผู้มีอิทธิพลในแต่ละพื้นที่ด้วย ขณะเดียวกันก็เห็นด้วยที่จะเดินหน้ามาตรการยึด อายัดทรัพย์เครือข่ายผู้ค้ายาเสพติด แต่อยากให้ทำควบคู่กับมาตรการปราบปรามด้วย 

ด้านนายปิยะศิริ กล่าวว่า การยึดอายัดทรัพย์เครือข่ายผู้ค้ายาเสพติด ถือเป็นเครื่องมือที่สำคัญมาก เพราะจะช่วยแก้ปัญหายาเสพติดได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยไม่ต้องใช้ความรุนแรง แต่เราใช้มาตรการยึดทรัพย์ไปกดดันเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติด อย่างปี 2562 ยึดอายัดทรัพย์ได้เพียง 956 ล้านบาท แต่หลังมีกฎหมายยาเสพติดใหม่ เพิ่มมาตรการยึดทรัพย์ ทำให้ปี 2564 ยึดอายัดได้ 7,346 ล้าน ปี 2565 ยึดอายัดได้ 11,003 ล้านบาท และปี 2566 ยึดอายัดได้มากกว่า 20,000 ล้านบาทแล้ว จะเห็นได้ว่าแนวทางการยึดอายัดทรัพย์ เห็นผลอย่างชัดเจน จึงควรส่งเสริมแนวทางนี้ ในการปราบปรามยาเสพติดต่อไป 

พล.ต.ต.ธนรัชน์ กล่าวว่า ปัจจุบันขบวนการค้ายาเสพติด ได้หันมาใช้ระบบขนส่งเป็นจำนวนมากขึ้นแล้ว เพราะมีความสะดวก และมีหลากหลายวิธี แต่หลังมีกฎหมายยาเสพติดใหม่ ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ทำการจับกุมพร้อมขยายผลไปสู่การยึดทรัพย์ได้เป็นจำนวนมาก โดยจะไม่ใช่ยึดทรัพย์ซึ่งหน้าเท่านั้น แต่จะคำนวณมูลค่าของยาเสพติด ที่ขนส่งในอดีตมาคำนวณยึดทรัพย์ย้อนหลังด้วย ทำให้มาตรการยึดทรัพย์น่ากลัวสำหรับผู้ค้ายาเสพติดเป็นอย่างมาก 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top