Sunday, 18 May 2025
NEWS

‘สฤณี’ นักวิชาการอิสระ ถูก ‘กัลฟ์’ ยื่นฟ้อง 100 ล้านบาท ปมหมิ่นประมาท ศาลนัดสืบพยาน 24 ก.ค. นี้

เมื่อไม่นานมานี้ นางสาวสฤณี อาชวานันทกุล นักเขียนและนักวิชาการอิสระด้านเศรษฐศาสตร์ ได้โพสต์ภาพหมายเรียกคดีแพ่งสามัญพร้อมข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Sarinee Achavanuntakul – สฤณี อาชวานันทกุล’ ระบุว่า…

“เมื่อเช้านี้เจอหมายมาส่งหน้าบ้าน บริษัท Gulf Energy Development ฟ้องคดีแพ่ง เรียกค่าเสียหาย 100 ล้านบาท จากเจ้าของเพจแล้วค่ะ

เท่าที่เข้าใจ อาจเป็นคนที่ไม่ใช่นักการเมืองคนแรกๆ ที่โดนบริษัทฟ้อง หลังจากที่บริษัทนี้ฟ้อง ส.ส. รังสิมันต์ โรม, ส.ส. เบญจา และหมอวรงค์ไปแล้วก่อนหน้านี้

ไว้มีรายละเอียดในทางคดีที่เล่าได้ จะมาเล่าความคืบหน้านะคะ”

สำหรับหมายเรียกดังกล่าวจากศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ลงวันที่ 15 พฤษภาคม 2566 โจทก์คือ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) โดย เนติพงศ์ โฆมานะสิน ผู้รับมอบอำนาจ และมีฝ่ายจำเลยคือ สฤณี อาชวานันทกุล

ศาลได้กำหนดทำคำให้การแก้คดียื่นต่อศาลภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับหมาย และนัดสืบพยานโจทก์วันที่ 24 กรกฎาคม 2566 เวลา 13.30 น.

พร้อมกันนี้ สฤณีได้แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมกรณีการฟ้องจากโจทก์เดียวกันว่า มีการฟ้อง นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี ใน 2 คดี เมื่อปี 2564 ประเด็นดาวเทียม กับปี 2565 ประเด็นกล่าวหาว่าเขาจะผูกขาด

 

ดี้ นิติพงษ์’ สุดเคือง!! ถูกผู้ประกาศช่องดังโพสต์แขวะ เตือน!! ระวังได้รับตราครุฑจากศาล ระงับความคึกคะนอง

วันที่ (29 พ.ค. 66) จากกรณีที่ รายการเล่าข่าวข้น ทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมท็อปนิวส์ ดำเนินรายการโดย นายกนก รัตน์วงศ์สกุล และนายธีระ ธัญไพบูลย์ เมื่อวันที่ 25 พ.ค. ได้นำเสนอข้อความจากเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Piyanee Thiam-amporn’ ของ น.ส. ปิยณี เทียมอัมพร ผู้ประกาศข่าวในพระราชสำนัก สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 แคปภาพหน้าจอข้อความระบุว่า

“มีสองอย่างที่ไม่ควรปล่อยให้เสรี 1.) กัญชา 2.) ท็อปนิวส์” เจ้าตัวระบุว่า “คอมเมนต์นี้ดีนะคะ ฝากรัฐบาลใหม่นำไปพิจารณาเพิ่มเติมด้วยค่ะ ล่าสุดข่าวปั่นเรื่องอเมริกา (อเมริกา) ที่เราว่าติงต๊องๆ กันนะ มีคนเอาจริงเอาจังอยู่นะคะ ดูอย่างพี่นักแต่งเพลงท่านนั้นสิ แม่ประไพ”

ซึ่งกล่าวพาดพิงถึงนายนิติพงษ์ ห่อนาค นักแต่งเพลงที่มักจะใช้คำว่า “แม่ประไพ” ในเฟซบุ๊กบ่อยครั้ง

ล่าสุด นายนิติพงษ์ ห่อนาค หรือ ‘ดี้’ นักแต่งเพลงชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ชื่อ ‘Nitipong Honark’ ระบุว่า…

“เสียดาย และเศร้าใจ นี่ก็น้องๆ ทั้งนั้นที่ฉันชื่นชม ความจริงก็ไม่ได้เห็น แต่ก็มีผู้หวังดีส่งมาให้ซ้ำกันมากมาย ก็รู้จักกันทั้งนั้น พี่น้องกัน เรื่องท็อปนิวส์ ก็ว่าของเขาไป จะฟ้องจะอะไรก็ตาม แต่น้องมาแขวะอะไรฉันเนี่ย ที่เคืองที่สุดคือ แม่ประไพของฉันมีเป็นแสนคน คะนองอะไรนักหนาหรืออีหนู?

ได้ข่าวว่าท็อปนิวส์เขาจะฟ้องร้อง…ก็ว่าไปฉันไม่ถือสาแล้ว…แต่ก็อยากให้ได้รับบทเรียนที่เป็นยาระงับความคะนองอันไร้ประโยชน์กับทุกฝ่าย อย่าบูลลี่ คะนองอะไรอีกเลย กับคนไทยด้วยกัน สงสารตำรวจ อัยการ ศาลเถิด…ตอนนี้คดีหมิ่นฯ ทางคอมพ์ฯ มันเกิดขึ้นง่าย ชนิดที่ว่า อยากโพสต์ก็พิมพ์เดี๋ยวนี้ อีกสามนาทีก็ด่าได้อีก อีกสิบนาทีก็ด่าได้อีก เหมือนกับว่า ผู้คนสมัยนี้อยากด่าทุกอย่างในโลก โดยไม่เสพสุนทรีย์อย่างอื่น นอกจากการด่าๆๆๆ โทษทุกอย่าง โดยที่ไม่มีความผิดของตัวเอง

ด้วยเครื่องมืออันง่ายดายและไร้ความรับผิดชอบ คือ โซเชียลมีเดีย แต่พอมีผู้เสียหายเกิดขึ้น โดยสามัญสำนึกวิญญูชน ก็ต้องฟ้องตำรวจ รอตำรวจส่งสำนวนอัยการ อัยการพิจารณาว่าจะส่งฟ้องศาลไหม ? ศาลรับมาแล้วจะตัดสินว่าควรส่งหมายให้มาขึ้นศาลไหม ?

ในโซเชียลมีเดีย พิมพ์ด่าได้ทุกวินาที และวินาทีละหลายคน แชร์ได้อีกทีละหลายพันหลายหมื่น แต่กระบวนยุติธรรมของเรา ต้องพิจารณาทีละคดี คดีนึงกว่าจะผ่านตำรวจ ซึ่งก็มีคดีท่วมหัว คดีสำคัญมีเป็นร้อยเป็นพัน แล้วมามีคดีคนด่ากัน นึกถึงใจตำรวจนะ เขาก็ไม่ไหว หรือถึงไหว ก็ส่งอัยการ อัยการก็กลับมาตอแย ขอน้ำหนักสำนวนให้ดีกว่านี้ กูจะได้ส่งให้ศาลท่านประทับรับฟ้องได้…

กว่าจะมีครุฑจากศาลไปถึงจำเลยได้ จากวันแรกที่เกิดเหตุ มาถึงวันที่ไอ้ปากมอมกลายเป็นจำเลย ใช้เวลาประมาณ 2-5 ปี มันด่าคน แค่สองนาที ก็ได้สองเคส ด่าไอ้โน่น ได้อีกสองเคส แต่แต่ละเคส กว่าจะตัดสินได้ก็ประมาณ 2 ปี

แต่…แต่…ช้าแต่…อย่าได้ลำพองไป

คดีหมิ่นประมาท จากนี้ไป ผู้เสียหายจะไม่ผ่านกระบวนการราชการอีกแล้ว เขาจะมีทนาย ทั้งทนายแพง และทนายฟรีผู้ซึ่งรักความเป็นธรรม แบ่งเบางานตำรวจ อัยการ ไปถึงศาลด้วยตัวเองเลย

ซึ่งขั้นตอนจะไวมากขึ้น จาก 2 ปี อาจจะเหลือ 2 เดือน ที่จะเอาคุณจำเลยมารับรางวัลที่ควรจะได้รับ แต่จริงๆ นะ… ถ้าเราไม่เริ่มด้วยการด่ากันแบบคะนองเหมือนเด็กๆ จะเสนอความเห็นอะไร ก็เสนอ มันก็จะไม่เปลืองแรงงานปัญญาของตำรวจ อัยการ ศาล… เพราะยุคนี้ คดีบุลลี่ไร้สาระ มันเปลืองแรงงานเจ้าหน้าที่เหลือเกิน

ผบ.ตร. สั่งเพิ่ม มอบ จเรตำรวจ ประสานข้อมูลสอบสวนกลาง เร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณี “ส่วยทางหลวง”พร้อมรับข้อมูลจากเอกชนทุกช่องทาง กำชับดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา หากพบตำรวจเกี่ยวข้องให้ลงโทษเด็ดขาด

วันนี้ (29 พ.ค. 66 ) พล.ต.ท. อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า “กรณีที่มีการกล่าวอ้างว่ามีการติดสติ๊กเกอร์ที่รถบรรทุก เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่ามีการจ่ายเงินเจ้าหน้าที่เพื่อให้รถบรรทุกสามารถบรรทุกน้ำหนักเกินได้ หรือเป็นลักษณะ “ส่วยรถบรรทุก” ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้จเรตำรวจ ลงตรวจสอบกรณีดังกล่าวโดยเร่งด่วน ว่ามีข้าราชการตำรวจหน่วยใด กระทำความผิดในลักษณะดังกล่าวหรือไม่ อย่างไร

พร้อมให้รายงานกลับมายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติโดยเร็ว โดยให้ประสานข้อมูลกับทางตำรวจสอบสวนกลาง ตรวจสอบหน่วยงานในสังกัดอีกทางหนึ่ง พร้อมรับข้อมูลจากสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย และภาคเอกชนทุกช่องทาง ผบ.ตร.ได้กำชับให้ตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมา หากพบว่ามีข้าราชการตำรวจหรือบุคคลใดทุจริตในเรื่องดังกล่าว หรือเข้าไปเกี่ยวข้องในการกระทำผิดกฎหมาย

หรือให้การช่วยเหลือ สนับสนุน ปล่อยปละละเลย ให้สืบสวนรวบรวมหลักฐานตามอำนาจหน้าที่ แล้วรายงานข้อเท็จจริงให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณาดำเนินการต่อไป หากพบว่าเกี่ยวข้องกับผู้ใด จะดำเนินการตามกระบวนการ ทั้งทางวินัย อาญา และปกครอง อย่างเด็ดขาดตามนโยบายด้วย”

นอกจากนี้ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า  “ผบ.ตร. ได้กำชับการปฏิบัติของตำรวจที่เกี่ยวข้องทั่วประเทศ ให้ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ บังคับใช้กฎหมายกับผู้ขับขี่รถบรรทุกที่กระทำผิดกฎหมาย  และได้สั่งการเพิ่มเติมว่า พร้อมที่จะรับฟังข้อมูล พยานหลักฐาน เอกสารการร้องเรียนจากทุกภาคส่วน เพื่อดำเนินการกับขบวนการส่วยรถบรรทุกอย่างเด็ดขาด

โดยสามารถแจ้งข้อมูลมาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติโดยตรง หมายเลข 1599 หรือ จเรตำรวจ ผ่านระบบ JCOMS

หรือแจ้งร้องเรียนเพิ่มเติมตามช่องทาง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2565 มาตรา 43 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 17 ต.ค.65  ในการร้องเรียนข้าราชการตำรวจประพฤติมิชอบ หรือได้รับความเดือดร้อน ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการกระทำของตำรวจ หรือเห็นว่าตำรวจประพฤติไม่เหมาะสม เสื่อมเสียเกียรติของตำรวจ กระทำผิดวินัย หรือละเมิดประมวลจริยธรรมและจรรยาบรรณของตำรวจ สามารถทำหนังสือร้องเรียน แจ้งไปยังคณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ (ก.ร.ตร.)

ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้แต่งตั้งจากบุคคลดังต่อไปนี้ 1)ผู้ซึ่งผู้ตรวจการแผ่นดินและคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติร่วมกันคัดเลือกหนึ่งคน 2)ผู้ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งตั้งแต่ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์หรือเทียบเท่าขึ้นไป และได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการข้าราชการตุลาการหนึ่งคน 3)ผู้ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งระดับอัยการพิเศษฝ่ายหรือเทียบเท่าขึ้นไป และได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการอัยการหนึ่งคน 4)ผู้ซึ่งเคยรับราชการตำรวจระดับผู้บัญชาการหรือเทียบเท่าขึ้นไปจำนวน 3 คน ที่ผ่านการคัดเลือกของ ก.ตร. 5)ทนายความซึ่งประกอบวิชาชีพทนายความมาไม่น้อยกว่า 20 ปี ซึ่งสภาทนายความคัดเลือกมาหนึ่งคน 6)ผู้แทนระดับจังหวัดของสภาองค์กรชุมชนตำบลจำนวนสองคน

ซึ่งที่ประชุมระดับชาติของสภาองค์กรชุมชนฯคัดเลือก โดยให้อย่างน้อยหนึ่งคนเป็นสตรี  คณะกรรมการ ก.ร.ตร. จะมีจเรตำรวจแห่งชาติเป็นกรรมการและเลขาฯ

โดยเมื่อได้รับเรื่องแล้ว ก.ร.ตร.จะพิจารณาไต่สวนข้อเท็จจริง หากพบเป็นความผิดวินัยจะส่งให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาลงโทษโดยเร็ว โดยไม่ต้องสืบสวนสอบสวนอีก แต่หากพบว่าเป็นการทุจริตต่อหน้าที่จะส่งให้ ป.ป.ช. หรือ ป.ป.ท. แล้วแต่กรณีดำเนินการต่อไป
การร้องเรียนผ่าน ก.ร.ตร.จะเกิดความเป็นธรรม โปร่งใสในการตรวจสอบ ให้กับประชาชนตามเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ. ตำรวจฉบับใหม่  

โดยสามารถร้องเรียนได้ 5 ช่องทางด้วยกัน
1) ผ่านระบบ JCOMS รับร้องเรียนจเรตำรวจทางออนไลน์  http://www.jcoms.police.go.th
2) สายด่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โทร.1599
3) ร้องเรียนด้วยตนเองที่สำนักงานจเรตำรวจ ที่อยู่ 701/701 ถ.รามอินทรา แขวงท่าแร้ง บางเขน  กรุงเทพมหานคร 10220 โทร.025098798
4) ส่งหนังสือมาถึง “ฝ่ายรับเรื่องราวร้องทุกข์ กองบังคับการอำนวยการ สำนักงานจเรตำรวจ เลขที่  701/701 ถ.รามอินทรา แขวงท่าแร้ง บางเขน  กรุงเทพมหานคร 10220”
5) ร้องเรียนกับผู้บังคับบัญชาต้นสังกัดหน่วยโดยตรง
ทั้งนี้จเรตำรวจในฐานะเลขา ก.ร.ตร.จะดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป”

ปิดเกมส์ “ปาย-ปัดคู่แฝด หลังอาละวาดข่มขืนเด็ก ม.ต้น ทั่ว ราชบุรี อ้างหน้าเฉย"อยากเจอเมน ไม่อยากเจอหมาก "เน้นสาวพรหมจรรย์

“เตือนภัยชาวราชบุรีและใกล้เคียง” คู่แฝดออกตระเวนข่มขืนเด็กทั่ว จ.ราชบุรี โดยหลอกเหยื่อผ่านทางเฟสบุ๊ค และในระยะใกล้เคียง ล่าสุดมีผู้ปกครองเหยื่อเด็กหญิงกล้าเข้าแจ้งความ จำนวน 4 ราย  จากการสืบสวนล่าสุด พบว่ายังมีเหยื่ออีก “หลายราย” ที่ยังไม่กล้าเข้าแจ้งความเนื่องจากเกรงกลัวแฝดนรกคู่นี้

บางรายถึงกับเป็นโรคซึมเศร้าไม่กล้าออกจากบ้าน  บางรายพยายามทำร้ายตัวเอง เป็นที่หวาดผวาให้กับเหล่าผู้ปกครองในพื้นที่ จว.ราชบุรี จนได้มีล่าสุดเรื่องถึงหู พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ส่งชุด พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. / หน. PCT ชุดที่ 5 นำกำลังติดตามจับกุมตัวแฝดนรกคู่นี้ได้โดยเร่งด่วน เพราะเกรงว่าเด็กผู้หญิงจะตกเป็นอันตรายเพิ่ม   เหยื่อรายหนึ่งให้ข้อมูลชุดสืบสวนว่า 2 แฝดบอกชอบเด็ก และไม่ชอบคนรุ่นเดียวกันชอบพูดว่า "อยากเจอเมน ไม่อยากเจอหมาก" และเด็ก ๆ น่ารักกว่า และคนร้ายชอบชุดนักเรียน”

เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2566  พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.  พล.ต.ท.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปอส.ตร. (PCT) , พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น., พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. / หน.PCT ชุดที่ 5 , พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง รอง ผบก.สส.บช.น./รอง หน. PCT ชุดที่ 5, พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สส.บช.น. , พ.ต.อ.ณรงค์ฤทธิ์ ทองแพ, พ.ต.อ.พัชรดนัย การินทร์ ผกก.กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.บช.น., พ.ต.ท.ยิ่งยศ ลีชัยอนันต์ รอง ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สส.บช.น. , พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ, ร.ต.อ.ศิวัช ยังอุ่น, ร.ต.อ.พลวัต นาคถมยา, ร.ต.ท.ณัฐวุฒิ อันชูฤทธิ์ รอง สว.(สอบสวน) สน.ดินแดง, ส.ต.ท.จิรวัฒน์ ศรีมั่นมีชัย ร่วมกันกับเจ้าหน้าที่ ศปอส.ตร. (PCT) ชุดที่ 5 และ ชุดสืบสวนนครบาล (บก.สส.บช.น.) นำกำลังสืบสวนติดตามสามารถจับกุมตัว ผู้ต้องหาแฝด 2 ราย

1. นายยุทธนา ทูลศิริ หรือ ปาย(แฝดพี่)อ ายุ 19 ปี อยู่บ้านเลขที่ 142/1 ม.6 ต.สระแก้ว อ.เมือง จว.สุพรรณบุรี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดราชบุรี ที่ จ.222/2566 ลงวันที่ 23 พ.ค. 66
2. นาย วันธนะ ทูลศิริ หรือ ปัด (แฝดน้อง)อายุ 19 ปีอยู่ที่บ้านเลขที่ 142/1 ม.6 ต.สระแก้ว อ.เมือง จว.สุพรรณบุรี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดราชบุรีที่ จ.221 /2566 ลงวันที่ 23 พ.ค. 66

โดยกล่าวหาว่า  พรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร, กระทำอนาจารและกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี ซึ่งมิใช่ภริยาหรือสามีของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม

ผู้ต้องหาที่ 1 ถูกจับกุมได้ ณ บริเวณ ภายในแคมป์คนงานไม่มีเลขที่ ต.หน้าเมือง อ.เมือง จว.ราชบุรี
ผู้ต้องหาที่ 2 ถูกจับกุมได้ที่บ้านเลขที่ 142/1 ม.6 ต.สระแก้ว อ.เมือง จว.สุพรรณบุรี

เบื้องต้นในชั้นจับกุม นายยุทธนาฯ ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา พร้อมทั้งได้โยนความผิดให้แฝดอีกคน  จากนั้นนายยุทธฯฯ สมัครใจพาเจ้าหน้าที่ไปชี้ยังบ้านพักซึ่งนายวันธนะฯ พักอาศัยอยู่ในภูมิลำเนา จว.สุพรรณ เพื่อจับกุมอีกราย จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมตัวนาย วันธนะ ทูลศิริ หรือ ปาย ผู้ต้องหาตามหมายจับ 3 หมายจับ

1.หมายจับศาลจังหวัดราชบุรีที่ จ.219/2566 ลงวันที่ 23 พ.ค. 66 ข้อหา “พรากและพาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี ไปเพื่อการอนาจาร แม้ผู้นั้นจะยินยอมก็ตาม , เพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น พาไปเพื่อการอนาจารซึ่งหญิง แม้ผู้นั้นจะยินยอมก็ตาม กระทำอนาจารและกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี ซึ่งมิใช่ภริยาหรือสามีของตนฯ”

2.หมายจับศาลจังหวัดราชบุรีที่ 221/2566 ลงวันที่ 23 พ.ค. 66 ข้อหา “โดยปราศจากเหตุอันควร พรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล , เพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น พาไปเพื่อการอนาจารซึ่งเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี แม้ผู้นั้นจะยินยอมก็ตาม”
3.หมายจับศาลจังหวัดราชบุรีที่ จ.222/2566 ลงวันที่ 23 พ.ค. 66 ข้อหา “พราก และพาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจารฯ , กระทำอนาจารและกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปี โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตามฯ”

ในชั้นจับกุมนายวันธนะฯ ผู้ต้องหาที่ 2 ยังคงให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งสองนำส่ง พงส.สภ.จอมบึง จว.ราชบุรี เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

พฤติการณ์กล่าวคือ ช่วงเดือน ก.พ. 66 เป็นต้นมาได้เกิดเหตุ เด็กหญิงชั้น ม.ต้น อายุไม่เกิน 15 ปี ได้ถูก “แฝดนรก” ข่มขืนกระทำชำเรา โดยทั้งสองจะล่อลวงเด็กหญิงทางเฟสบุ๊ก ในระยะใกล้ ๆ โดยจะคัดเหยื่อชั้น “ม.ต้น” แล้วทำทีชวนไปเที่ยว “โรบินสัน” แต่สุดท้ายก็จะถูกพาไปข่มขืนในบ้านร้าง ซึ่งเป็นผู้ปกครองของเหยื่อได้พาเด็กหญิงที่ถูกกระทำชำเราเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ    

ซึ่งต่อมาภัยร้ายของสังคมทราบถึงหู พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. จึงสั่งการให้นักวิเคราะห์แผนประทุษกรรมของ PCT ตรวจสอบแผนประทุษกรรมในระบบข้อมูลคดีที่มีลักษณะเดียวกัน ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน ก็ได้มีเหยื่ออีกอย่างน้อย 4 ราย ที่เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่และมีพฤติกรรมการก่อเหตุเช่นเดียวกัน และยังพบเบาะแสว่ายังมีเด็กหญิงที่ตกเป็นเหยื่อมีอีกหลายรายที่ยังไม่กล้าเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ เพราะเกรงกลัว

โดยแผนประทุษกรรมของแฝดนรกรายนี้คือ จะหาเหยื่อจากช่องทาง Facebook โดยเลือกที่อยู่ใกล้ตนเองก่อน และต้องเป็น “สาว ม.ต้น” อายุไม่เกิน 15 ปี หรือที่ “ยังซิง” หรือเป็นสาวพรหมจรรย์      

จากนั้นจะล่อลวงนัดพบจากนั้นจะล่อลวงไปข่มขืน และไม่เพียงข่มขืนกระทำชำเรา แต่หลังลงมือแล้วจะข่มขู่เหยื่อว่าจะกลับมาทำร้ายอีกและให้เหยื่อกลัว ก่อนปล่อยเหยื่อไป โดยเหยื่อทั้งหมดล้วนเป็นเหล่าเด็กหญิง ม.ต้น ในพื้นที่ จ.ราชบุรี บางรายอายไม่กล้าไปโรงเรียน อยากลาออก บางรายถึงกับเป็นโรคซึมเศร้าไม่กล้าออกจากบ้าน และคิดฆ่าตัวตาย เรียกได้ว่า “ตายทั้งเป็น”


พล.ต.อ. ดำรงศักดิ์ฯ เห็นว่าพฤติกรรมของ “แฝดนรก” คู่นี้เป็นภัยต่อสังคมอย่างยิ่ง จึงได้สั่งการให้ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. / หัวหน้าชุด PCT 5 นำกำลังชุด PCT5 ลงพื้นที่ตรวจสอบจนสืบทราบได้ว่าแฝดนรกคู่นี้คือ นายยุทธนา ทูลศิริ หรือ ปาย และ นาย วันธนะ ทูลศิริ หรือ ปัด อายุ 19 ปี ซึ่งเป็นบุคคลตามหมายจับกว่า 4 หมายจับ ในคดีการข่มขืนกระทำชำเราเด็กลักษณะวิธีการกระทำความผิดเดียวกัน

จากการตรวจสอบผู้ถูกจับฝาแฝดทั้ง 2 ปรากฏพบว่า แฝดทั้ง 2 พบประวัติต้องโทษความผิดเกี่ยวกับทรัพย์และความผิดเกี่ยวกับเพศโชกโซน โดย นายยุทธนาฯ (แฝดผู้พี่) พบประวัติต้องโทษจำนวน 6 คดี เป็นความผิดฐาน “ลักทรัพย์” ในพื้นที่ จว.สุพรรณบุรี จำนวน 3 คดี ความผิดเกี่ยวกับเพศในพื้นที่ จว.สุพรรณบุรี อีก 3 คดี  ส่วนนายวันธนะฯ (แฝดผู้น้อง)

ประวัติการต้องโทษก็ไม่ธรรมดา พบประวัติต้องโทษจำนวน 5 คดี เป็นความผิดฐาน “ลักทรัพย์” ในพื้นที่ จว.สุพรรณบุรี จำนวน 3 คดี ความผิดเกี่ยวกับเพศในพื้นที่ จว.สุพรรณบุรี และ กรุงเทพ จำนวน 4  คดี และความผิดเกี่ยวกับเพศในพื้นที่ จว.สุพรรณบุรี อีก 1 คดี

นาย วันธนะ ทูลศิริ หรือ ปาย ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และได้ให้การต่อเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนขณะจับกุมว่า “ตนเองจบการศึกษาชั้น ป.5 และช่วงเป็นเยาวชน เคยอยู่ในแก๊งขโมยรถจักรยานยนต์ และโดนจับกุมในวัยเด็ก 3 ครั้งเรื่องลักทรัพย์ และเคยถูกจับคดีขายยาเสพติด 2,000 เม็ด ทั้งหมดโดยที่ จ.สุพรรณบุรี และพ้นโทษออกมาเมื่อเดือน เม.ย. 65 ปัจจุบันทำงานอยู่ที่อู่ซ่อมรถไม่ได้ศึกษาต่อ ตนเองชอบเด็กไม่ชอบคนแก่ อยากเจอเมน ไม่อยากเจอหมาก และเด็ก ๆ นั้นน่ารักกว่าผู้ใหญ่ โดยหลังเกิดเหตุมีญาติๆผู้เสียหายโทรมาหา มาขอเจรจา ได้ด่าไปว่า ลูกมึง ห. กลิ่นมะลิหรือไงถึงเรียกเงิน เงินไม่มีให้ มีแต่ ค. และลมหายใจจะเอามั้ย จึงน่าจะเป็นเหตุให้ทางผู้เสียหายติดใจเอาความ”

พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. กล่าวว่า “นี้เป็นอีกหนึ่งภัยสังคมที่พี่น้องประชาชนในชุมชนและสังคมที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความรู้สึกปลอดภัยในชีวิตของเยาวชนซึ่งเป็นอนาคตของชาติ แผ่นดินสูงขึ้นเมื่อ คนร้ายทั้งคู่ถูกจับกุม  

จึงขอฝากผู้ปกครองบุตรหลาน รวมถึงบุคคลใกล้ชิดในครอบครัว จำเป็นต้องช่วยกันสอดส่อง เตือนภัย และเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของบุตรหลาน จากกลุ่มเพื่อนหรือบุคคลแปลกหน้าในสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งเข้ามาพูดคุย ตีสนิทและชักชวนอาจทำให้ตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มคนร้ายหรือตกเป็นเหยื่อของกลุ่มเหล่านี้ดังกรณีที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ อันจะส่งผลกระทบบาดแผลทั้งทางร่างกายและจิตใจต่อตัวบุตรหลานในระยะยาว

ซึ่งผมจะเดินหน้าขจัดปัดเป่าภัยในรูปแบบดังกล่าวให้ถึงที่สุด ตามนโยบายของ พล.ต.อ. ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. หากใคร มีเบาะแสของเหยื่อรายอื่นเพิ่มเติม สามารถแจ้งได้ที่เพจ FACEBOOK “สืบนครบาล IDMB” ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

“ความเดือดร้อนของท่าน คือ หน้าที่ของเรา”
 

สมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทย จัดโครงการ "พัฒนาศักยภาพแกนนำเครือข่ายกับการจ้างงานคนพิการทางจิตอย่างยั่งยืน" สุดยิ่งใหญ่แห่งปี

วันที่ 27 พฤษภาคม 2566 ณ ชั้น 4  เดอะมอลล์งามวงศ์วาน ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี ในงานนี้ "น.ส.สราญภัทร อนุมัติราชกิจ" อธิบดีกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ให้เกียรติเป็นประธานเปิดงานโครงการ "พัฒนาศักยภาพแกนนำเครือข่ายกับการจ้างงานคนพิการทางจิตอย่างยั่งยืน" และจัดการประชุมใหญ่สามัญ ประจำปี 2565 ของสมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 20  AMIT 20 Th Anniversary โดย "นางสาวฐิติพร พริ้งเพลิด คณะกรรมการชมรมตะวันทอแสงกล่าวถึงความเป็นมาและวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ให้ทราบพอสังเขป  ดังนี้

1. เพื่อให้ผู้เข้าร่วมอบรม มีความรู้ความเข้าใจเรื่องการจ้างงานคนพิการ การพัฒนาศักยภาพคนพิการ และการขับเคลื่อนงาน Job coach เพื่อให้คนพิการทางจิตมีความยั่งยืนในการทำงาน
2. เพื่อจัดทำแผนขับเคลื่อนงานของสมาคมรวมทั้งเครือข่ายภาคและชมรมตะวันทอแสงประจำปี 2567
3. จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2565 และรายงานผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของสมาคมฯ ​​​​สมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทย ก่อตั้งเมื่อวันที่  27 มีนาคม  2546 จนถึงปัจจุบัน รวมระยะเวลา  20 ปี

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การปรึกษาและช่วยเหลือผู้บกพร่องทางจิตและครอบครัวให้สามารถดำรงชีวิตอิสระในสังคมได้เท่าเทียมกับทุกคน และเพื่อพิทักษ์สิทธิในด้านต่างๆของผู้บกพร่องทางจิต รวมทั้งรณรงค์ให้ครอบครัว ชุมชน สังคม มีความรู้ ความเข้าใจ มีเจตคติเชิงสร้างสรรค์และยอมรับผู้บกพร่องทางจิต ตลอดจนประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อพัฒนาศักยภาพในด้านต่างๆ ของผู้บกพร่องทางจิต ปัจจุบันสมาคมฯ มีเครือข่ายเพื่อผู้บกพร่องทางจิตทั่วประเทศ จำนวน  154 ชมรม มีทั้งชมรมเก่าและชมรมใหม่ และมีการรวมกลุ่มเครือข่ายระดับภาคและเขตอีก จำนวน 5 ภาค 1 เขตและอีก 1 ชมรม คือชมรมตะวันทอแสงซึ่งเป็นชมรมของคนพิการทางจิต โดยคนพิการ และเพื่อคนพิการ
 
ซึ่ง​การจัดโครงการฯในวันนี้ จะดำเนินการระหว่างวันที่  26 – 29 พฤษภาคม 2566  โดยมีกลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วมโครงการ มาจากแกนนำเครือข่ายเพื่อผู้บกพร่องทางจิตระดับภาค/เขต คนพิการทางจิตและผู้ดูแล ผู้แทนจากศูนย์บริการคนพิการจังหวัดนนทบุรี ผู้แทนจากสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดพิษณุโลก และจังหวัดปทุมธานี ผู้แทนจากบ้านกึ่งวิถีหญิงธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี ผู้แทนจากกรมสุขภาพจิต ผู้แทนจากหน่วยงานสาธารณสุข ผู้แทนจากกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ผู้แทนจากจัดหางานจังหวัดนนทบุรี ผู้แทนจากกรุงเทพมหานคร ผู้แทนจาก สปสช. สสส. กอช. สวส. อาสาสมัครจากมูลนิธิพุทธฉือจี้ไต้หวัน บุคคลและองค์กรที่ทำคุณประโยชน์ช่วยเหลือคนพิการ รวมทั้งหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง รวมจำนวน 966 คน  

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2566 "คุณนุชจารี คล้ายสุวรรณ" นายกสมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทย คุณณฐอร อินทร์ดีศรี (ผู้เชี่ยวชาญด้านการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ) ผู้แทนกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ , แพทย์หญิงมธุรดา สุวรรณโพธิ์ (ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศรีธัญญา) , นายแพทย์ไพฑูรย์ สมุทรสินธุ์ (ที่ปรึกษาสมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทย และ รองผู้อำนวยการกลุ่มภารกิจสนับสนุนและพัฒนาเครือข่ายบริการ โรงพยาบาลศรีธัญญา , คุณรัตน์ จิรธรรม (ผู้อำนวยการฝ่ายต่างประเทศ) และผู้แทนสมาคมสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทย และ คุณชัญญ์ญาณ์ ธำรงวินิจฉัย (ผู้จัดการใหญ่ กิจกรรมการตลาดศูนย์การค้า
 
“สำหรับงานในครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อประชาสัมพันธ์ให้สังคมรับรู้ว่า ปัจจุบันผู้บกพร่องทางจิตสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปกติเหมือนคนทั่วไป และมีความสุข อยากจะให้ทุกๆคนในสังคมหันกลับมาให้ความสำคัญและให้ความเท่าเทียมกันเกิดขึ้นในสังคมไทย”

​สมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทย เป็นองค์กรอิสระ ที่ก่อตั้งขึ้นโดย ผู้เชี่ยวชาญ ร่วมด้วย พ่อแม่ ผู้ปกครอง ของผู้ทุพลภาพทางร่างกาย ในปี 2556 ปัจจุบันมีเครือข่ายองค์กรกว่า 200 องค์กร ทั้งในองค์กรส่วนท้องถิ่น หน่วยงานภาครัฐ และหน่วยงานองค์กรชมรม สมาคม ครอบคลุมทุกพื้นที่ของประเทศ โดยมีจุดประสงค์เพื่อ ให้ผู้บกพร่องทางจิตได้รับการยอมรับจากสังคม ได้ดำรงชีวิตอยู่ในสังคมอย่างปกติสุข เท่าเทียม และให้ผู้บกพร่องทางจิตเกิดความเชื่อมั่นต่อตนเองภายในสังคมอย่างบูรณาการ สมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทย ตั้งอยู่ที่ 47 ตึกหญิง 10 โรงพยาบาลศรีธัญญา, กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี

​โครงการ “โครงการพัฒนาศักยภาพแกนนำเครือข่ายกับการจ้างงานคนพิการทางจิตอย่างยั่งยืน" ภายในงานมีกิจกรรมมากมาย เช่น การออกบูธจำหน่ายสินค้าจากผู้บกพร่องทางจิตทั่วทุกภูมิภาค และการออกบูธขององค์กรภาครัฐด้านสุขภาพจิต เพื่อให้คำแนะนำ ปรึกษาทางออกด้านสุขภาพจิตให้กับผู้ที่มาร่วมงานโดยมีทีมจิตเวช ที่จะคอยดูแลตลอดระยะเวลาให้คำปรึกษา ภายในงานมีการแสวนาแลกเปลี่ยนความเห็นจากนักวิชาการ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และผู้บกพร่องทางจิตที่เข้ารับการรักษาฟื้นฟูจนหายกลับมาสู่การใช้ชีวิตปกติ ,การแสดงมากมายจากผู้บกพร่องทางจิตทั่วทุกภูมิภาค ,พบกับศิลปินและอินฟูเลนเซอร์ที่มีชื่อเสียง และกิจกรรมอีกมากมายภายในการจัดงานครั้งนี้

นายกสมาคมเพื่อผู้บกพร่องทางจิตแห่งประเทศไทย ได้กล่าวถึงงานในครั้งนี้ว่า “เป็นโอกาสดีที่สังคมจะได้หันมาให้ความสนใจกับความสำคัญของการอยู่ร่วมกันของคนในสังคม เปิดโอกาสให้ผู้บกพร่องทางจิตได้กลับมาสู่สังคมบนเส้นทางที่พร้อมจะสร้างโอกาส สร้างอาชีพ สร้างรายได้และสร้างตัวตน ยืนยัดในสังคมด้วยความเท่าเทียม และเป็นมิตรกันทุกๆคน”

จากนั้น คุณชัญญ์ญาณ์ ธำรงวินิจฉัย (ผู้จัดการใหญ่ กิจกรรมการตลาดศูนย์การค้าบริษัทเดอะมอลล์กรุ๊ปจำกัด) ได้กล่าวถึงงานในครั้งนี้ว่า “ในฐานองค์กรเอกชน ขอเป็นส่วนหนึ่งในการเปิดโอกาส สร้างพื้นที่ให้กับผู้บกพร่องทางจิตทั่วประเทศ และพร้อมจะสนับสนุนในทุกๆ ด้านทั้งการส่งเสริมอาชีพ ส่งเสริมกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้สังคมนี้ได้เปิดรับและอยู่ร่วมกันอย่างเท่าเทียม “

กู้ชีพฉุกเฉิน! ตำรวจและอาสาจราจรจันทุรีช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินหัวใจหยุดเต้น  “ผบ.ตร. - รอง ผบ.ตร.” ชมเชยเป็นตำรวจมืออาชีพ ยกเป็นตัวอย่าง “สุภาพบุรุษจราจร”

เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2566 พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์  ผู้บัญชาการประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจร ศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ( ศจร.ตร. )  เปิดเผยว่า เมื่อวานนี้ ( 27 พฤษภาคม 2566 ) ตำรวจจราจร สภ.เมืองจันทบุรี ร่วมกับหน่วยบริการทางการแพทย์ ช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินหัวใจหยุดเต้น บริเวณตลาดน้ำพุ ส่งตัวไปรักษาที่ รพ.พระปกเกล้า    

พล.ต.ท.นิธิธรฯ กล่าวว่า เหตุเกิดเวลา 13.37 น. ของวานนี้ ขณะ ร.ต.อ.สมเกียรติ ลิมปิโชติกุล, จ.ส.ต. บรรเทิง ผกามาศ,  ด.ต.ศาสดา ยาวิไชย และ อส.จร.อำพล สุขศรี ตำรวจจราจร และอาสาจราจร สภ.เมืองจันทบุรี กำลังปฏิบัติหน้าที่ ได้มีหญิงสูงอายุที่เพิ่งออกจากคลินิคหมอจักวิดา ตลาดน้ำพุ มีอาการหัวใจหยุดเต้น หมดสติไปบริเวณหน้าคลินิก จึงรุดไปยังที่เกิดเหตุ ประเมินผู้ป่วยแล้วว่า หมดสติ น้ำลายฟูมปาก ไม่หายใจ คลำชีพจรไม่ได้ (ไม่มีชีพจร) จึงได้ช่วยทำการ CPR กับพยาบาลอีก 2 คน สลับกันเปิดทางเดินหายใจ เมื่อรถพยาบาลถึงที่เกิดเหตุ ได้ให้พยาบาลช่วยติด AED (เครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าชนิดอัตโนมัติ) และติด Defibrillator (เครื่องกระตุกหัวใจ) ตลอดจนปฏิบัติตามขั้นตอนการช่วยเหลือในเบื้องต้นอย่างต่อเนื่อง จนสามารถกลับมาตรวจพบสัญญาณชีพจรได้ (มีชีพจรหลังหัวใจหยุดเต้น) จากนั้นได้อำนวยความสะดวกการจราจร นำผู้ป่วยฉุกเฉินส่งยังโรงพยาบาลพระปกเกล้า ได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย (ถึง ร.พ. ปัจจุบันเข้าสู่กระบวนการรักษาของแพทย์ในหอผู้ป่วยวิกฤตของ ร.พ.พระปกเกล้า ต่อไป)

“ตำรวจ และอาสาสมัครจราจร ได้ผ่านการอบรมหลักสูตรปฏิบัติการแพทย์ขั้นพื้นฐานและช่วยปฏิบัติการแพทย์ขั้นสูง EMT 2564 จึงเข้าให้การช่วยเหลือหญิงสูงอายุหัวใจหยุดเต้นอย่างเร่งด่วน โดยเริ่มจากการตรวจดูความปลอดภัยบริเวณรอบๆ ตัวผู้ป่วยว่ามีสิ่งที่อาจเกิดอันตรายหรือไม่ จากนั้นทำการยืนยันว่าผู้ป่วยหมดสติจริง โดยการตีที่ไหล่แล้วเรียกด้วยเสียงดัง 4-5 ครั้ง เมื่อไม่ได้สติและหยุดหายใจ จึงเริ่มทำการกดหน้าอกโดยจับผู้ป่วยนอนหงาย นั่งคุกเข่าข้างผู้ป่วย วางสันมือข้างหนึ่งตรงครึ่งล่างกระดูกหน้าอก และวางมืออีกข้างทับประสานกันไว้ เริ่มการกดหน้าอกด้วยความลึกอย่างน้อย 5 เซนติเมตร ในอัตราเร็ว 100-120 ครั้งต่อนาที จนผู้ป่วยกลับมามีชีพจรอีกครั้ง จึงนำขึ้นรถและนำส่งโรงพยาบาลได้อย่างปลอดภัย”  หัวหน้าคณะทำงานเสริมสร้างภาพลักษณ์ ศจร.ตร. กล่าว  

พล.ต.ท.นิธิธรฯ กล่าวด้วยว่า กรณีช่วยเหลือผู้ป่วยฉุกเฉินครั้งนี้ นับเป็นรายที่ 2 แล้วที่ อส.จร.อำพล สุขศรี ได้เข้าช่วยเหลือ โดยก่อนหน้าได้เข้าช่วยเหลือปฐมพยาบาลเบื้องต้นผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุ หน้ามหาวิทยาลัยเทคนิคจันทบุรี ซึ่ง พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศจร.ตร. ได้ชมเชยการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจจรา สภ.เมืองจันทบุรี และอาสาจราจรที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างมืออาชีพ ได้รับการฝึกฝนจนชำนาญ มีทักษะคล่องแคล่ว สามารถให้ความช่วยเหลือ เป็นที่พึ่งของประชาชน และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน ซึ่งถือเป็นหนึ่งตัวอย่างของตำรวจจราจรที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยจิตอาสาบริการ มีมาตรฐานสากล ตามแนวทางการสร้าง  “สุภาพบุรุษจราจร” ที่ ศจร.ตร.กำลังขับเคลื่อนสร้างมาตรฐานตำรวจจราจรทั่วประเทศ เพื่อยกระดับการบริการประชาชน  สร้างความเชื่อถือศรัทธา และนำไปสู่การลดอุบัติเหตุบนท้องถนนในที่สุด

หัวหน้าคณะทำงานเสริมสร้างภาพลักษณ์ ศจร.ตร. กล่าวเพิ่มเติมว่า ตำรวจจราจรทั่วประเทศ พร้อมดูแลให้การช่วยเหลือประชาชนที่เกิดเหตุฉุกเฉินต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน ไม่ว่าจะเป็นการช่วยทำคลอด ช่วยเหลือปฐมพยาบาล ช่วยชีวิตผู้ป่วยวิกฤตนำส่งแพทย์อย่างเร่งด่วน อำนวยความสะดวกเส้นทางผู้ป่วยฉุกเฉิน รวมทั้งซ่อมรถฉุกเฉิน ฯลฯ ทั้งนี้หากประชาชนต้องการความช่วยเหลือ สามารถติดต่อประสานงานได้ที่สายด่วนตำรวจจราจรโทร.1197  (ในกรุงเทพและปริมณฑล) หรือ โทร. 191 (ทั่วประเทศ)

ตำรวจไซเบอร์ ร่วมกับ กสทช. สรรพสามิต ปูพรมค้นห้างดังกลางกรุง ยึดมือถือ และอุปกรณ์สื่อสารผิดกฎหมาย จำนวนมาก

กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และ กรมสรรพสามิต ร่วมกันตรวจค้นแหล่งจำหน่ายอุปกรณ์สื่อสารและอุปกรณ์โทรคมนาคมผิดกฎหมาย ภายในห้างสรรพสินค้าชื่อดัง ย่านปทุมวัน เพื่อป้องกันกลุ่มมิจฉาชีพนำไปใช้ก่อคดีออนไลน์ โดยสามารถตรวจยึดอุปกรณ์โทรคมนาคมที่ไม่ได้รับอนุญาตนำเข้ามาในราชอาณาจักรจำนวนมาก 

ตามที่ปัจจุบันได้มีการลักลอบนำเข้าอุปกรณ์โทรคมนาคมโดยผิดกฎหมาย และลักลอบจำหน่ายให้แก่บุคคลทั่วไป ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายว่าด้วยวิทยุคมนาคมที่กำหนดไว้ อีกทั้งยังเป็นช่องทางของกลุ่มมิจฉาชีพนำไปใช้ก่อคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เนื่องจากเป็นอุปกรณ์ที่ไม่สามารถตรวจสอบแหล่งที่มาและการขออนุญาตได้ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พล.ต.ต.วิวัฒน์  คำชำนาญ และ พล.ต.ต.อำนาจ ไตรพจน์ รอง ผบช.สอท. จึงได้สั่งการให้สืบสวนปราบปรามผู้กระทำความผิดอย่างต่อเนื่อง โดยประสานข้อมูลกับ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ภายใต้การอำนวยการของ นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการ กสทช. รักษาการแทน เลขาธิการ กสทช. และ กรมสรรพสามิต ภายใต้การอำนวยการของ นายพยุง บุญสมสุวรรณ ผู้อำนวยการสำนักตรวจสอบ ป้องกัน และปราบปราม

โดยในวันนี้ (26 พฤษภาคม 2566) เวลา 12.00 น. พล.ต.ต.ชัชปัณฑกานต์ คล้ายคลึง ผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 พ.ต.อ.กฤษดา มานะวงศ์สกุล ผกก.4 บก.สอท.1 ร่วมกับนายจาตุรนต์ โชคสวัสดิ์ ผู้อำนวยการสำนักกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคม และ นายวิโรจน์รัตน์ แจ่มวรรณา ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านการตรวจสอบสรรพสามิต และฝ่ายป้องกันและปราบปราม 4 สำนักตรวจสอบป้องกันและปราบปราม ได้ร่วมกันนำหมายค้นศาลอาญากรุงเทพใต้ เข้าตรวจค้นบริเวณชั้น 4 ของห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งหนึ่งย่านปทุมวัน ซึ่งเป็นแหล่งจำหน่ายอุปกรณ์มือถือและอุปกรณ์โทรคมนาคมขนาดใหญ่ โดยพบว่ามีการนำสินค้าเครื่องวิทยุคมนาคมที่ไม่ได้รับอนุญาตให้นำเข้ามาในราชอาณาจักร และไม่ผ่านการตรวจสอบและรับรองมาตรฐาน (Type Approval Test) เช่น โทรศัพท์มือถือ , เครื่องติดตาม (GPS Tracker) , อุปกรณ์ปล่อยสัญญาณ Wifi , เครื่องดักฟัง , วิทยุสื่อสาร , โดรนถ่ายภาพ มาวางจำหน่ายจำนวนมาก

โดยผลการตรวจค้น ได้ทำการจับกุมร้านค้าจำนวน 9 แห่ง  และตรวจยึดเครื่องโทรคมนาคมผิดกฎหมายจำนวนมากกว่า 157 รายการ มูลค่ากว่า 707,000 บาท

ทั้งนี้ร้านค้าดังกล่าวไม่ได้รับอนุญาตให้จำหน่ายซึ่งเครื่องวิทยุคมนาคมแต่อย่างใด เป็นการกระทำความผิดในข้อหา “มี และ ค้า ซึ่งเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงาน” ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำและปรับจึงได้ทำการจับกุมตัวผู้กระทำความผิดนำส่งพนักงานสอบสวน   สน.ปทุมวัน ดำเนินคดีตามกฎหมาย

พล.ต.ต.ชัชปัณฑกานต์ฯ ฝากประชาสัมพันธ์ไปยังพี่น้องประชาชน “เนื่องจากปัจจุบันกลุ่มมิจฉาชีพมีการใช้อุปกรณ์โทรคมนาคม ตลอดจนซิมการ์ดโทรศัพท์ผิดกฎหมายเป็นช่องทางในการหลอกลวงประชาชน เจ้าหน้าที่ตำรวจไซเบอร์ กสทช. และ กรมสรรพสามิต จะมีการออกตรวจตรา และกวดขันจับกุมอย่างต่อเนื่อง จึงขอให้ศึกษาและปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบในการใช้อุปกรณ์โทรคมนาคมที่ทางราชการกำหนด”

ทั้งนี้หากพี่น้องประชาชนมีปัญหาข้อสงสัยหรือต้องการสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับการใช้วิทยุโทรคมนาคม สามารถสอบถามได้ที่ สำนักงาน กสทช. Call Center หมายเลขโทรศัพท์ 1200

“เกษตร-พาณิชย์” รุกตลาด5ประเทศโปรโมทสินค้าเกษตรผลไม้ไทยจัดเต็มดึงเน็ตไอดอลติ๊กต็อกปาโกดาร่วมดันยอดขายไลฟ์สดทะลุ3แสน

นายอลงกรณ์ พลบุตรที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เปิดเผยวันนี้ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยสำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศร่วมกับสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์และสถานเอกอัครราชทูตไทย สถานกงสุล กระทรวงการต่างประเทศจัดกิจกรรมเชิงรุกส่งเสริมการส่งออกสินค้าเกษตรและผลไม้ในประเทศที่เป็นตลาดหลักตลาดใหม่ ครอบคลุม4ทวีป5ประเทศได้แก่ สหรัฐอเมริกา จีน รัสเซีย สหภาพยุโรปและออสเตรเลียตลอดเดือนพฤษภาคมประสบความสำเร็จได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม

นายอลงกรณ์กล่าวว่า เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2566 สำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ ประจำสหภาพยุโรป เข้าร่วมการจัดงาน Discover Thailand in Brudges 2023 ร่วมกับสถานเอกอัครราชทูตไทยกรุงบรัสเซลส์ ณ เมือง Brudges ประเทศเบลเยียม มีการนำผลิตภัณฑ์สินค้าเกษตรของไทย อาทิ ผลิตภัณฑ์กาแฟแม่ลาน้อยที่ได้รับการสนับสนุนจากโครงการหลวง มะม่วงน้ำดอกไม้ เงาะ มังคุด มะพร้าว ข้าว ประชาสัมพันธ์ให้ผู้้เข้ารวมงานได้ทดลองชิมรสชาติและรับทราบคุณภาพมาตรฐานพร้อมกับนำเอกสารประชาสัมพันธ์ผัก ผลไม้ไทย รวมทั้งแผ่นพับรายชื่อผู้ประกอบการร้านค้าสินค้าเกษตรไทยในเบลเยียมและลักเซมเบิรก์ รายชื่อผู้จัดจำหน่าย แจกประชาสัมพันธ์ให้ผู้บริโภคชาวท้องถิ่นทราบถึงแหล่งจัดจำหน่ายสินค้าเกษตรไทย เป็นการช่วยกระตุ้นการเข้าถึงตลาดสินค้าเกษตรไทยของผู้บริโภคชาวยุโรปในอีกทางหนึ่ง ซึ่งได้รับความสนใจเป็นอย่างมากโดยมีนายเสข วรรณเมธี เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบรัสเซลส์ เข้าร่วมเปิดงานร่วมกับนายพรเทพ ศรีธนาธร ผู้อำนวยการสำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ ประจำสหภาพยุโรป

เทศกาลผลไม้ไทย ตอกย้ำความเป็นหนึ่งในตลาดจีน ทางด้านสำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศประจำกรุงปักกิ่ง ผนึกกำลังร่วมกับสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงปักกิ่ง บริษัทครือเจริญโภคภัณฑ์และบริษัทเครือโต่วอิน (TikTok) จัดงานมหกรรมทุเรียนไทยประจำปี2023  ณ ห้าง Longfor ParadiseWalk DaXing และห้างSolana ในกรุงปักกิ่ง ระหว่างวันที่ 27 พฤษภาคม- 11 มิถุนายน 2566 โดยนางสาว ปทุมวดี อิ่มทั่ว อัครราชทูตที่ปรึกษา(ฝ่ายเกษตร) ประจำกรุงปักกิ่ง ร่วมกล่าวเปิดงานมหกรรมทุเรียนไทย 2023 ได้เน้นย้ำความชื่นชอบในการบริโภคทุเรียนไทยในตลาดจีน ซึ่งมีปริมาณการนำเข้าทุเรียนไทยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยใน ปี 2565 ขยายตัวจากปี 2562 กว่า30 เปอร์เซ็นต์

การจัดงานครั้งนี้เป็นปีที่2 ของการจัดมหกรรมทุเรียนในปักกิ่ง ซึ่งภายในงานจะมีกิจกรรมบุฟเฟ่ต์ทุเรียนและจำหน่ายผลไม้อื่นๆได้แก่ ลำไย มังคุด มะม่วง ขนุน มะพร้าว และผลิตภัณฑ์ทุเรียน ซึ่งในวันที่10 มิถุนายน 2566  นางสาว ปทุมวดี อิ่มทั่ว จะร่วมกับKOL ชื่อดังทำการไลฟ์สด เพื่อนำเสนอทุเรียนคุณภาพของไทยบนแพลตฟอร์ม TikTok ของโต่วอิน 

ในขณะที่เมื่อวันที่ 19 – 21 พฤษภาคม 2566 สำนักงานที่ปรึกษาฝ่ายเกษตร ประจำสถานกงสุลใหญ่ ณ นครเซี่ยงไฮ้ ร่วมจัดงานเทศกาลไทย ณ นครเซี่ยงไฮ้ (Thai Festival in Shanghai 2023) ร่วมกับสถานกงสุลใหญ ณ นครเซี่ยงไฮ้ สำนักงานพาณิชย์ BOI และ ททท. โดยมีกิจกรรมที่นำเสนอความเป็นไทยในมิติต่างๆ ให้แก่มิตรชาวจีนและชาวต่างชาติ และภายในงานฝ่ายเกษตรฯ ร่วมจัดซุ้มถ่ายรูปกับเรือผลไม้ใน Theme ตลาดน้ำ โดยให้ผู้เข้าร่วมสามารถเปลี่ยนชุดไทยถ่ายรูปกับเรือผลไม้ไทยได้อย่างสนุกสนาน มีการเล่นเกมผลไม้ และมีกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งตลอดการจัดงาน 3 วันมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 5,000 คน

ในวันแรกของการจัดงาน สถานกงสุลใหญ่ ณ นครเซี่ยงไฮ้ มีการ Live streaming ผ่านช่องทาง weibo โดยได้เชิญเนตไอดอลชื่อดัง (KOL) นาย Wang You ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 1.2 ล้านคน มาเป็นพรีเซนเตอร์ นอกจากนี้ นางสาวอาทินันท์ อินทรพิมพ์ กงสุล (ฝ่ายเกษตร) ได้ร่วมไลฟ์แนะนำจุดเด่นและรสชาติของผลไม้ไทยให้แก่ผู้ชมชาวจีน อีกทั้งยังให้ข้อมูลกรรมวิธีการแปรรูปมะพร้าวเผาของไทย นำเสนอความพิเศษของมะม่วงน้ำดอกไม้ เงาะ และส้มโอ เป็นต้น โดยการถ่ายทอดสดครั้งนี้มียอดรีวิวมากถึง 127,000 ครั้ง 

นอกจากนี้ฝ่ายเกษตร ประจำสถานกงสุลใหญ่ ณ นครกว่างโจว ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองหนานหนิง และบริษัท เสิ่นเจอ้นปาโกดา อินดีสตรี(Shenzhen Pagoda Industrial (Group) Co., Ltd. )ซึ่งเป็นบริษัทผู้ค้าปลีกผลไม้รายใหญ่อันดับหนึ่งในประเทศจีน โดยปัจจุบันมีร้านค้าปลีกผลไม้ ภายใต้แบรนด์ Pagoda มากกว่า 5,645 สาขาทั่วประเทศจีน จัดงานเทศกาลผลไม้ไทย ประจำปี 2566 (Thai Fruit Festival 2023) ณ ห้างสรรพสินค้า Hangyang City นครหนานหนิง ภายใต้ธีม “泰爱你” (ไทยรักคุณ) ระหว่างวันที่ 11 - 17 พฤษภาคม 2566 เพื่อประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการตลาดผลไม้ไทยทั้งในแพลตฟอร์มออนไลน์และออฟไลน์

ในโอกาสนี้ นายปรัตถกร แท่นมณี กงสุล (ฝ่ายเกษตร) ประจำนครกว่างโจว ได้เข้าร่วมกิจกรรม Live Streaming ผ่านแพลตฟอร์ม DOUYIN (Tik Tok ) Pagoda แนะนำผลไม้ไทย ได้รับการตอบรับอย่างดีมากจากชาวจีน มีผู้เข้าชมกว่า 300,000 คน

นอกจากนี้ ฝ่ายเกษตรฯ กว่างโจว ได้จัดกิจกรรม Durian tasting ภายใต้งานเทศกาลผลไม้ไทย ประจำปี 2566 ณ นครหนานหนิง โดยได้นำทุเรียนไทย จำนวน 5 สายพันธุ์ ได้แก่ หมอนทอง ชะนี ก้านยาว พวงมณี และนวลทองจันทร์ มาให้แขกผู้ร่วมงาน สื่อมวลชน ผู้มีอิทธิพลทางความคิด (KOL) และผู้มีอิทธิพลในการตลาด (KOC) ได้ลิ้มลองรสชาติ และเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผ่านแพลตฟอร์มโซเซียลมีเดียของจีน ภายใต้แนวคิด “想到榴莲 想到泰国” (Think Durian Think Thailand)

ผลไม้ไทยกระหึ่มวอชิงตัน นายอลงกรณ์ยังเปิดเผยต่อไปว่า 
สำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ ประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. นางกฤษณา สุขุมพานิช อัครราชทูต (ฝ่ายเกษตร) นางสาวธนัฏฐา สุวรรณไพบูลย์ ที่ปรึกษา (ฝ่ายเกษตร) สำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ ประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.  ร่วมจัดคูหาประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์สินค้าเกษตรและผลไม้ไทยในงาน THAI Open House 2023 ณ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงาน Passport DC ที่เปิดให้ประชาชนทั่วไปได้เข้าเยี่ยมสถานทูตของประเทศต่าง ๆ กว่า 20 ประเทศรวมทั้งสถานเอกอัครราชทูตไทย โดยได้จัดนิทรรศการเกี่ยวกับคุณประโยชน์ของทุเรียน และมังคุด พร้อมแจกตัวอย่างทุเรียนสายพันธุ์ต่าง ๆ ได้แก่ หมอนทอง และนกกระจิบ พร้อมกับมังคุดฉายรังสี (ได้รับการสนับสนุนจากกรมวิชาการเกษตร) ให้ผู้เข้าร่วมงานชิม นอกจากนี้ สำนักงาน ได้แจกน้ำมะพร้าวน้ำหอมคว้านทั้งลูกบรรจุถ้วยพร้อมดื่มและน้ำอ้อยพาสเจอร์ไรส์ พร้อมกับรังสรรค์เมนูเครื่องดื่มจากลำไยกระป๋อง ชื่อ "Longan Ruby" ผสมผสานน้ำลำไยกระป๋อง น้ำเลม่อนเนด และน้ำแครนเบอร์รี่ ตกแต่งด้วยเนื้อลำไย  ซึ่งได้รับความสนใจและความนิยมจากแขกผู้ร่วมงานเป็นอย่างมาก 
สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน ยังได้จัดกิจกรรมอื่น ๆ ที่น่าสนใจอีกมากมายเพื่อประชาสัมพันธ์และเผยแพร่วัฒนธรรมไทยให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ได้แก่ การแสดงนาฏศิลป์ไทย ดนตรีไทย ศิลปะแม่ไม้มวยไทย ดนตรี Pop Jazz การสาธิตการทำอาหารไทย การเดินแฟชั่นโชว์ชุดไทยและผ้าไทย กิจกรรมวาดภาพ และกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวประเทศไทย นอกจากนี้ สถานเอกอัครราชทูตและทีมประเทศไทยพร้อมด้วยคู่สมรส ยังได้จัดอาหาร ขนมหวาน ของว่าง และเครื่องดื่มอันเป็นเอกลักษณ์ของไทยเพื่อแจกจ่ายให้ประชาชนที่เข้าร่วมตลอดงาน สร้างความสนุกสนานและประทับใจให้ผู้เข้าร่วมงานอย่างมาก โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมงานกว่า 3,500 คน

ข้าวไทยบุกรัสเซีย ทางด้านสำนักงานที่ปรึกษาฝ่ายเกษตรฯ.ประจำกรุงมอสโกได้จัดกิจกรรมส่งเสริมสินค้าเกษตรไทยในตลาดสุขภาพของรัสเซีย ภายใต้ชื่อ “ข้าวไทย เพื่อสุขภาพที่ดีกว่า (Thai Rice Your Healthier Choice - Тайский рис Ваш здоровый выбор)” ระหว่างวันที่ 25-26 พ.ค. 2566  ในงาน Veg-Life 2023 ณ TVK Tishinka กรุงมอสโก ซึ่งมีบริษัทและผู้ประกอบการสินค้าเพื่อสุขภาพเข้าร่วมกว่า 170 ราย

เปิดตลาดเป็ดไทยสู่ออสเตรเลียสำเร็จ ยิ่งกว่านั้นประเทศไทยประสบความสำเร็จในการเปิดตลาดเป็ดปรุงสุกในออสเตรเลีย ภายหลังการเจรจาเปิดตลาดเป็ดปรุงสุก ซึ่งดำเนินการภายใต้การประชุมคณะผู้เชี่ยวชาญด้านมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชและมาตรฐานอาหาร (SPS Expert Group) ไทย - ออสเตรเลีย มาเป็นเวลา 7 ปี กว่า 
ในที่สุดประเทศไทยก็สามารถส่งออกเป็ดปรุงสุกไปยังประเทศออสเตรเลียได้แล้ว ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
โดยผู้ประกอบการไทยต้องผลิตสินค้าเป็ดปรุงสุกให้สอดคล้องและเป็นไปตามเงื่อนไขข้อกำหนดในการนำเข้าเป็ดปรุงสุกจากประเทศไทย ที่ออกโดยกระทรวงเกษตร ประมง และป่าไม้ ออสเตรเลีย อย่างเคร่งครัด

สานฝัน ปันรักเพื่อน้อง กิจกรรมดีดีที่เข้าถึงพื้นที่ห่างไกล ขับเคลื่อนให้สังคมไทยพัฒนา ด้วยการเพิ่มโอกาสทางการศึกษา

เมื่อวันที่ 26 พ.ค. 66 นายภุชพงค์ โนดไธสง เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) พร้อมด้วยนางสุรีพร พรโสภณวิชญ์ ผู้อำนวยการกองบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และนายภาณุวัฒน์ สุขสบาย ผู้อำนวยการกลุ่มนโยบายและแผนกองทุน พร้อมด้วยข้าราชการและเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ลงพื้นที่จัดกิจกรรม ‘สานฝันปันรักเพื่อน้อง ครั้งที่ 2’ ณ โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนอินทรีอาสา (บ้านปาเกอะญอ) อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี เพื่อสร้างขวัญกำลังใจ และรอยยิ้มให้กับน้อง ๆ รวมถึงเพิ่มโอกาสทางการศึกษา ด้วยการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลแก่นักเรียนและชุมชนในพื้นที่ห่างไกลให้ทั่วถึงมากยิ่งขึ้น

นายภุชพงค์ โนดไธสง เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวว่า “สดช. มีวิสัยทัศน์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลอย่างยั่งยืน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน แม้จะอยู่ในพื้นที่ห่างไกล เพราะเป็นการสร้างโอกาสในการเข้าถึงเทคโนโลยี เพื่อวางรากฐานการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลประสิทธิภาพสูง รองรับรูปแบบและปริมาณการใช้งานในอนาคต และยังช่วยส่งเสริมให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการสร้างสรรค์นวัตกรรมในพื้นที่ห่างไกลทั่วประเทศ”

การจัดกิจกรรมสานฝัน ปันรักเพื่อน้อง ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ในรอบปี 2566 ที่ได้ลงพื้นที่เยี่ยมเยียนเพื่อรับทราบความต้องการของนักเรียน โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนอินทรีอาสา (บ้านปาเกอะญอ) ซึ่งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลอย่างแท้จริง โดยพบว่า เส้นทางการเดินทางมาโรงเรียนเป็นการเดินทางที่ยากลําบากและใช้ระยะเวลานาน รวมถึงการเข้าถึงสาธารณูปโภคยังมีความขาดแคลน เช่น มีข้อจํากัดเรื่องไฟฟ้า บางส่วนต้องใช้โซลาร์เซลล์เข้ามาช่วยเหลือ ซึ่งอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทําให้นักเรียนเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลได้ยากกว่าปกติ ทําให้การลงพื้นที่ครั้งนี้ได้เก็บข้อมูลที่เป็นประโยชน์ เพื่อนำไปพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลต่อไป

ขณะเดียวกัน ก็ได้มีการจัดตั้ง ‘ศูนย์ดิจิทัล ชุมชนอินทรีอาสา’ ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนดิจิทัลเพื่อสังคมตามนโยบายและยุทธศาสตร์ของ สดช. เพื่อให้เกิดการรู้จัก เข้าใจ ใช้ได้ ใช้เป็น และมีโอกาสเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลมากยิ่งขึ้น

โดยนายภุชพงค์ กล่าวว่า “ในวันนี้ สดช. ได้นํากิจกรรมให้ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีดิจิทัล มาสอนให้เด็กๆ ให้ทราบถึงประโยชน์ การใช้งานอย่างระมัดระวังที่เหมาะสมกับวัย รวมถึงให้เด็กๆ ได้เรียนรู้วิธีการเข้าถึงเครือข่ายอินเทอร์เน็ตผ่านอุปกรณ์ แท็บเล็ต เพื่อใช้ค้นคว้าหาความรู้ และเล่นเกมส่งเสริมทักษะต่างๆ ซึ่งเป็นภาพบรรยากาศที่มีสีสันและเห็นถึงความสุขของทุกคนที่ได้มาเข้าร่วมกิจกรรม”

ส่วนนางสุรีพร พรโสภณวิชญ์ ผู้อำนวยการกองบริหารกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า “การจัดกิจกรรมในครั้งนี้นอกจากจะมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัล และโอกาสทางการศึกษาให้แก่นักเรียนในพื้นที่ห่างไกลมากขึ้นแล้ว ยังได้สร้างรอยยิ้มและขวัญกำลังใจ ด้วยการทำสาธารณะประโยชน์ เช่น ทาสีอาคารเรียน และมอบสิ่งของบริจาคที่จําเป็นแก่นักเรียนและชุมชนรอบข้าง ได้แก่ อุปกรณ์กีฬา เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ถุงเท้านักเรียน ข้าวสารอาหารแห้ง และขนม เป็นต้น รวมไปถึงการสนับสนุนของใช้ที่จําเป็นแก่โรงเรียน ได้แก่ อุปกรณ์เครื่องเขียน กระดาษสำหรับถ่ายเอกสาร อุปกรณ์ทำความสะอาดห้องน้ำห้องครัว และเจลแอลกอฮอล์ เป็นต้น เพื่อให้โรงเรียนนําไปต่อยอดบริหารจัดการในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของนักเรียนต่อไป”

ทั้งนี้ กิจกรรมสานฝันปันรักเพื่อน้อง เป็นส่วนหนึ่งของการดําเนินงานเพื่อสร้างความรับผิดชอบต่อสังคม ของ สดช. และกองทุนดิจิทัลฯ โดยนายภุชพงค์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “ขอขอบคุณผู้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมทุกท่าน ที่ได้ร่วมบริจาคสิ่งของมากับ สดช. น้ำใจจากทุกท่านที่ได้รวบรวมมาในวันนี้ ได้ส่งต่อให้น้องๆ เยาวชน ได้มี อุปกรณ์การเรียน และสิ่งของจําเป็นต่างๆ ไว้ใช้ทํากิจกรรมที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิต ซึ่งการจัดกิจกรรมในครั้งนี้มุ่งหวังให้เด็กนักเรียนและเยาวชน รวมถึงประชาชนทั่วไปได้รับทราบข้อมูลข่าวสาร เกิดการรับรู้ เข้าใจถึงบทบาทการดําเนินงานของ สดช. และขยายผลไปสู่การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างถูกต้องและเหมาะสม พร้อมทั้งยังได้ร่วมสนับสนุนการศึกษาและสังคม โดยจะมีการจัดกิจกรรมในพื้นที่อื่นต่อไป”

สวนนงนุชพัทยาจัดโปรเปิดเทอมเดือนมิถุนายน ซื้อ 10 ฟรี 2  

สวนนงนุชพัทยา ทำการต่อโปรโมชั่นสำหรับเดือนมิถุนายน 2566 ซื้อบัตรผ่านประตู 10ท่าน ฟรี 2ท่าน สำหรับท่านที่สนใจชมการแสดงนงนุชโชว์และช้างแสนรู้ ซื้อบัตรเพิ่มได้ในราคาเพียง  200 บาทต่อท่าน มีวันละ 3 รอบ รอบเช้า 10.30 น. รอบบ่าย 13.30 น. และ 15.00 น.

สวนนงนุชจัดเป็นสวนพฤษศาสตร์แห่งการเรียนรู้ แห่งต้นๆของโลกที่สามารถเข้าชมเนิร์สเซอรี่ที่เก็บรวบรวมพันธุ์ไม้ต่างๆมากกว่า 18,000 ชนิด และมีสวนสวยมากกว่า 50 สวนและติดอันดับ 1ใน10 สวนสวยที่สุดในโลก มีรถชมวิวให้บริการนักท่องเที่ยว เพราะประหยัดเวลา สะดวกสบายไม่เหนื่อย ผู้สูงอายุและคนพิการก็สามารถขึ้นรถชมสวนได้ เพราะเรามีรถชมวิวที่ออกแบบมาไว้สำหรับรับรอง ทั้งผู้พิการและผู้สูงอายุ
         
ทั้งนี้ เพื่อการกระตุ้นการท่องเที่ยว แบบไทยเที่ยวไทย สำหรับเดือนมิถุนายน สวนนงนุชพัทยายังคงโปรโมชั่นเดิมสำหรับเด็กที่มีส่วนสูงไม่เกิน 140 ซม. เข้าชมสวนฟรี และผู้สูงอายุ ตั้งแต่ 60 ปี ขึ้นไปชมสวนฟรี ทุกวันศุกร์ สวนงนุชพัทยาเปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00 น. - 18.00 น. ในส่วนของการแสดงนงนุชโชว์และช้างแสนรู้ สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.nongnoochpattaya.com

ตำรวจไซเบอร์เตือนภัย SMS ระบาดแอบอ้าง Kerry Express ส่งหม้อชาบูมาให้ที่บ้านจริงเพื่อให้เหยื่อตายใจ แนะนำอย่าหลงเชื่อหลอกทำภารกิจสูญเงิน

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ โฆษก บช.สอท. ขอฝากเตือนภัยมิจฉาชีพ มิจฉาชีพส่งข้อความสั้น (SMS) แอบอ้างบริษัท Kerry Express ส่งของขวัญมาให้ จากนั้นหลอกให้ทำภารกิจ หรือกิจกรรมต่างๆ สุดท้ายสูญเสียทรัพย์สิน ดังนี้

ได้รับรายงานว่าจากการตรวจสอบในระบบการรับแจ้งความออนไลน์พบว่า มีผู้เสียหายหลายรายได้รับข้อความสั้น (SMS) จากมิจฉาชีพที่แอบอ้างเป็นบริษัท Kerry Express แจ้งว่า “คุณมีประวัติใช้งาน 5 ครั้ง บริษัทจึงขอมอบของขวัญหูเป็นฟังบลูทูธเพื่อเป็นการขอบคุณ” พร้อมแนบลิงก์ให้เพิ่มเพื่อนทางไลน์ ซึ่งบัญชีไลน์ดังกล่าวได้อ้างตัวเป็นแอดมินจาก บริษัท TAIYANG MEDIA (ไท่หยาง มีเดีย) แจ้งผู้เสียหายว่าขณะนี้หูฟังบลูทูธหมด แต่จะส่งหม้อชาบูขนาดเล็กมาให้แทน โดยไม่มีการเรียกเก็บเงินปลายทาง และไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ เมื่อผู้เสียหายส่งชื่อที่อยู่ให้จากนั้นอีกไม่กี่วันผู้เสียหายก็ได้รับหม้อชาบูดังกล่าวจริง ต่อมาแอดมินให้แอดไลน์กับฝ่ายบริการลูกค้าเพื่อรับเงินโบนัส 38 บาท และรับของขวัญเป็นโทรทัศน์ดิจิทัล ขนาด 32 นิ้ว เมื่อผู้เสียหายแอดไลน์ไปแอดมินได้ขอชื่อและที่อยู่ รวมถึงขอหมายเลขบัญชีธนาคารเพื่อโอนเงินโบนัสมาให้ ปรากฏว่าผู้เสียหายได้รับเงินโบนัสเล็กน้อยจริง จากนั้นผู้เสียหายถูกหลอกลวงให้เข้ากลุ่ม Open Chat Line เพื่อทำภารกิจ หรือกิจกรรมต่อไป โดยการให้ไปกดติดตามบัญชีผู้ใช้ตามสั่งในแอปพลิเคชัน Tiktok การกดติดตาม 1 ครั้ง จะได้เงิน 20 – 50 บาท ผ่านการลงทะเบียนในเว็บไซต์ปลอมชื่อ ASIA MEDIA ที่มิจฉาชีพสร้างขึ้นมา ซึ่งผู้เสียหายก็ได้รับเงินจริงมาประมาณ 300 บาท ทำให้ผู้เสียหายยิ่งหลงเชื่อ ต่อมาแอดมินได้ให้แอดไลน์ไปยังบุคคลอ้างตัวว่าเป็นอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญในการทำกิจกรรม กระทั่งได้ส่งใบรายการเพื่อส่งเสริมการโปรโมทเพื่อการตลาด ในระดับต่างๆ จำนวน 6 ระดับ เช่น 888 บาท จะได้เงินรวมกำไร 1,110 บาท 12,188 จะได้เงินรวมกำไร 16,453 บาท เมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินไปแต่กลับไม่สามารถถอนเงินออกมาได้ ถูกอ้างว่าทำกิจกรรมไม่ครบตามจำนวน หรือทำผิดกติกาต่างๆ เป็นต้น ผู้เสียหายเชื่อว่าถูกหลอกลวงและได้รับความเสียหาย จึงแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับมิจฉาชีพตามกฎหมายต่อไป

ตามนโยบายของรัฐบาล โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร., พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. ซึ่งรับผิดชอบงานในด้านการป้องกันปราบปราม ได้ให้ความสำคัญ และมีความห่วงใยต่อภัยการหลอกลวงประชาชนผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์  โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงประชาชนให้ทำภารกิจ หรือทำงานออนไลน์เพื่อหารายได้เสริม โดยได้กำชับไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งวางมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดในโลกออนไลน์ทุกรูปแบบอย่างต่อเนื่อง และจริงจัง เพราะถือเป็นการซ้ำเติมความเดือดร้อนของประชาชน

ที่ผ่านมา บช.สอท. โดย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้ขับเคลื่อนตามนโยบายของรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดในโลกออนไลน์ทุกรูปแบบมาโดยตลอด มุ่งเน้นการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ

โฆษก บช.สอท. กล่าวอีกว่า การหลอกลวงในลักษณะดังกล่าวมีประชาชนได้รับเดือดร้อนสูงเป็นลำดับที่ 2 ของการหลอกลวงทั้งหมด รองจากการหลอกลวงขายสินค้าหรือบริการ โดยนับตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.65 – 14 พ.ค.66 มีผู้เสียหายแจ้งความออนไลน์ จำนวน 35,377 เรื่อง หรือคิดเป็น 13.69% มีความเสียหายรวมกว่า 4,281 ล้านบาท สูงเป็นลำดับที่ 2 รองจากการหลอกลวงให้ลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้แล้วการหลอกลวงในลักษณะดังกล่าวแล้ว ยังพบว่ามีหลอกลวงในลักษณะอื่นๆ ที่คล้ายกันอีก เช่น การหลอกลวงให้กดไลก์ (Like) กดแชร์ (Share) ดูคลิปวิดีโอจากยูทูบ (YouTube) กดรับออร์เดอร์สินค้า รีวิวสินค้า พับถุงกระดาษ ร้อยลูกปัด หรือทำกิจกรรมอื่นๆ ตามแต่ที่มิจฉาชีพออกอุบาย โดยการประกาศเชิญชวนโฆษณาผ่านสื่อสังคมออนไลน์ หรือการส่งความสั้น (SMS) ไปยังเหยื่อโดยตรง ให้กดลิงก์เพิ่มเพื่อน แล้วเข้ากลุ่มทำงานที่มิจฉาชีพสร้างขึ้นมา โดยในช่วงแรกจะได้เงินคืนมาเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นมิจฉาชีพก็จะให้ทำภารกิจพิเศษ หลอกให้เหยื่อโอนเงินเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตามระดับภารกิจ ทั้งนี้เหยื่อมักเสียดายเงินที่เคยโอนไปก่อนหน้านี้ อยากได้เงินทั้งหมดคืน ก็หลงเชื่อโอนเงินไปเพิ่มอีกหลายครั้ง มิจฉาชีพก็จะมีข้ออ้างต่างๆ รวมไปถึงการสร้างความน่าเชื่อถือโดยให้หน้าม้าในกลุ่มไลน์แสดงหลักฐานปลอมว่าได้รับเงินจริง กระทั่งเมื่อเหยื่อรู้ตัวว่าถูกหลอกลวงก็จะปิดการติดต่อหลบหนีไป เพราะฉะนั้นการทำกิจกรรม หรือธุรกรรมใดๆ บนโลกออนไลน์ต้องรู้เท่าทันกลโกงของมิจฉาชีพและมีสติอยู่เสมอ

ฝากเตือนถึงแนวทางการป้องกันการถูกหลอกลวงหารายได้จากการทำกิจกรรมผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ดังนี้
1.เมื่อพบคำเชิญชวนให้ทำงานออนไลน์ ผ่านทางข้อความสั้น (SMS) หรือประกาศ โฆษณาผ่านสื่อสังคมออนไลน์ เช่น Facebook, Instagram, Tiktok อย่าเข้าไปติดต่อสมัครทำงานเป็นอันขาด มักจะมีการแอบอ้างสัญลักษณ์ของหน่วยงาน หรือบริษัทที่เกี่ยวข้องมาเพิ่มความน่าเชื่อถือ
2.หลีกเลี่ยงข้อเสนอที่ฟังดูดี หรือมีผลตอบแทนสูง ทำง่าย มีขั้นตอนไม่ซับซ้อน
3.หากต้องการจะทำงานจริงๆ ให้ปรึกษาสายด่วนของตำรวจไซเบอร์ ที่หมายเลข 1441 หรือ 08-1866-3000 เพื่อปรึกษา สอบถามว่างานดังกล่าวเข้าข่ายหลอกลวงเป็นมิจฉาชีพหรือไม่
4.หากมีการให้โอนเงินมัดจำ หรือเงินลงทุน หรือสำรองเงินใดๆ ก่อน สันนิษฐานได้ทันทีว่ากำลังโดนมิจฉาชีพหลอกลวง อย่าโอนเงินไปเด็ดขาด
5.ไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัว ข้อมูลทางการเงินใดๆ มิจฉาชีพมักให้เหยื่อส่งหลักฐาน ข้อมูลส่วนบุคคล อ้างว่าใช้ในการสมัครงาน เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
​6.ไม่หลงเชื่อเพียงเพราะว่ามีการส่งสิ่งของ หรือให้เงินให้ในจำนวนเล็กน้อยก่อนจริง
​7.ระมัดระวังการโอนผ่านบัญชีของบุคคลธรรมดา โดยควรตรวจสอบหมายเลขบัญชีธนาคาร หรือชื่อนามสกุลเจ้าของบัญชี ก่อนโอนเงินทุกครั้งว่ามีประวัติไม่ดีหรือไม่ ผ่าน https://www.blacklistseller.com หรือ https://www.chaladohn.com เป็นต้น

“ม.หัวเฉียวฯ” พลิกโฉม!! เปิด 19 ศูนย์บริการด้านสุขภาพและด้านจีนศึกษาแบบครบวงจร 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทางผู้บริหารของทางมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ หรือ ม.หัวเฉียวฯ ได้ประสานความร่วมมือกับทางศูนย์การค้ามาร์เก็ต วิลเลจสุวรรณภูมิ จัดงานบริการด้านสุขภาพ พร้อมทั้ง ให้ความรู้ด้านต่างๆ โดยเฉพาะด้านจีนศึกษาแก่ประชาชน ภายใต้ชื่องาน "ม.หัวเฉียวฯ เป็นมากกว่ามหาวิทยาลัย

โดยเป็นการเปิดมุมมองใหม่ของมหาวิทยาลัยที่ไม่ใช่แค่จัดหลักสูตรการเรียนการสอนเท่านั้น แต่ได้พลิกโฉมนำประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ ความเข้มแข็งทางวิชาการผนวกกับอุดมการณ์ปณิธานรับใช้สังคม จัดตั้งเป็น ศูนย์บริการด้านสุขภาพและด้านจีนศึกษาครบวงจรออกให้บริการ
ในครั้งนี้ 

โดย ได้รับเกียรติจาก รศ.ดร.อุไรพรรณ เจนวาณิชยานนท์  อธิการบดี มฉก. พร้อมด้วย คุณวทัญญู วิสุทธิโกศล รองกรรมการผู้จัดการกลุ่มพัฒนาธุรกิจ บริษัทโฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) คุณปรีดา เทิดทินวิทิต ผู้จัดการ ศูนย์การค้ามาร์เก็ต วิลเลจ สุวรรณภูมิ ตลอดจนรองอธิการบดี ผู้ช่วยอธิการบดี คณะผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ของทั้งสองหน่วยงานร่วมพิธีเปิดงาน 

เมื่อวันเสาร์ที่ 27 พฤษภาคม 2566 ณ บริเวณลาน ชั้น 1 ศูนย์การค้ามาร์เก็ต วิลเลจสุวรรณภูมิ โดย รศ.ดร.อุไรพรรณ เจนวาณิชยานนท์  อธิการบดี มฉก. กล่าวว่า การจัดงานในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนทุกเพศทุกวัยได้รับความรู้ในการดูแลรักษาสุขภาพแบบ 4P คือ Health
Predictive, Health Promotion, Health Prevention และ Personalized Health Care เป็นการผสานระหว่างศาสตร์การแพทย์แผนจีนและแพทย์แผนปัจจุบัน 

ซึ่งจัดอยู่ในโซนสุขภาพ ประกอบด้วย คลินิกกายภาพบำบัดหน่วยฟื้นฟูผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง คลินิกการแพทย์แผนจีน ศูนย์ดูแลสุขภาพบุรุษและสตรีด้วยศาสตร์การแพทย์แผนจีน HCU Wellness Center ศูนย์สุขภาพ ศูนย์นวัตกรรมเครื่องสำอางและสมุนไพร ศูนย์ยา มฉก. คลินิกเทคนิคการแพทย์ หัวเฉียวสหคลินิก และเสริมทักษะเพิ่มพูนความรู้ในโซนภาษาและบริการ ได้แก่ สถาบันขงจื่อการแพทย์แผนจีน สถาบันภาษา ศูนย์แต้จิ๋ววิทยา ศูนย์ข้อมูลการลงทุนธุรกิจไทย-จีน ศูนย์ข้อมูลสมุนไพรไทย-จีน สถาบันวิทยาการผู้นำไทย-จีน ศูนย์บริการวิชาการ ศูนย์ให้คำแนะนำกฎหมายสำหรับประชาชน และศูนย์ปฏิบัติการโรงแรมศรีวารี พาวิลเลียน รวมทั้งสิ้น 19 หน่วย 

รับบริการฟรีโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายตลอดการจัดงาน พร้อมลุ้นรับของรางวัล ซึ่งงานจัดขึ้นระหว่างวันศุกร์ที่ 26 - วันอาทิตย์ที่ 28 พฤษภาคม 2566 เวลา 10.00-20.00 น. มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ เรามีความตั้งใจช่วยดูแลด้านสุขภาพและให้ความรู้แก่ทุกท่านด้วยทีมอาจารย์และบุคลากรของมหาวิทยาลัยที่มีความเชี่ยวชาญยินดีให้คำปรึกษา คำแนะนำ ตอบคำถาม และช่วยเหลือท่านสอบถามรายละเอียดได้ที่ แผนกสื่อสารองค์กร มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ หมายเลขโทรศัพท์ 
02-713-8100 ต่อ 1138 และ 1140 -41 หรือแอดไลน์พูดคุยที่ @commuhcu

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

เรื่องเล่าจาก ‘เงินถุงแดง’ ย้อนไทม์ไลน์วิวัฒนาการของ ‘ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์’ ผ่านเหตุการณ์สำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ของไทย

(27 พ.ค. 66) จากประเด็น ‘ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์’ ที่ได้เกิดขึ้นมาตลอดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หลัง ‘กลุ่มราษฎร’ ได้ประกาศจุดยืนในการเปลี่ยนแปลงประเทศ จึงทำให้ทางรายการข่าววันศุกร์ ข่าวช่องวัน ได้ออกมานำเสนอข่าว ‘วิวัฒนาการของทรัพย์สินพระมหากษัตริย์’ ว่ามีความเป็นมาอย่างไร

โดยได้สรปุอย่างคราวๆ เพื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจ ไล่ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 จนถึงรัชกาลที่ 10 โดยระบุว่า…

วิวัฒนาการของทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ เริ่มต้นจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาล 1 ซึ่งนับเป็นยุคกรุงรัตนโกสินทร์ ตอนต้น ทรัพย์ราชสำนัก กับรัฐบาลที่ทับซ้อนกัน พระมหากษัตริย์ทรงใช้จ่ายได้อย่างอิสระ เนื่องจากในยุคนั้น ยังมีการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ดังนั้น รัฐบาลจึงหมายถึง ตัวขององค์พระมหากษัตริย์ ซึ่งทรงเป็นทั้งประมุขและผู้นำฝ่ายบริหาร ยังไม่มีการจัดการเกี่ยวกับเรื่องของทรัพย์สินของรัฐฯ เพราะในยุคสมัยนั้น ยังไม่มีการจัดตั้งกระทรวง ทบวง กรม ในการรับผิดชอบ ดูแลเรื่องต่างๆ ในประเทศ

จนกระทั่ง ได้มีวิวัฒนาการก่อกำเนิดที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ซึ่งทรงมีปรีชาสามารถในเรื่องเกี่ยวกับการค้าขาย ทรงออกทะเลไปทำการเจรจาทางการค้ากับต่างประเทศ เมื่อได้เงินกลับมาจากการค้า จึงได้นำมาใส่ไว้ใน ‘ถุงแดง’ พระองค์ได้ทำการเก็บสะสมเงินเหล่านี้ไว้ เมื่อมีมากขึ้นจึงต้องสร้างห้อง ซึ่งติดกับพระแทน หรือ พระที่ เพื่อเก็บเงินถุงแดงเอาไว้ จนเรียกกันติดปากว่า ‘เงินข้างที่’ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของคำว่า ‘พระคลังข้างที่’ นั่นเอง และเงินส่วนนี้ นับเป็นเงินส่วนพระองค์ เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ออกเรือไปทำการค้าขาย ยังไม่นับว่าเป็นเงินของประเทศไทย หรือ ‘สยาม’ ใน ณ ขณะนั้น

จนเมื่อถึงรัชสมัยของรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้เกิดเหตุการณ์ ‘รัตนโกสินทร์ศก’ หรือที่เรียกกันว่า ‘ร.ศ.112’ ที่เกิดการปะทะกันระหว่างประเทศไทยและจักรวรรดินิยมของโลกในขณะนั้น อย่างประเทศอังกฤษ และฝรั่งเศส โดยเฉพาะฝรั่งเศส ที่มีการปะทะกันอย่างรุนแรง จนทำให้รัชกาลที่ 5 ต้องนำเงินถุงแดงมาจ่ายให้กับรัฐบาลฝรั่งเศส เพื่อเจรจาต่อรองให้กองทัพของฝรั่งเศส ถอดทัพออกจากปากแม่น้ำเจ้าพระยา และยังต้องยอมแลกแผ่นดินบางส่วนของประเทศให้กับฝรั่งเศส เพื่อรักษาแผ่นดินผืนใหญ่ของชาติเอาไว้

หลังจากเหตุการณ์นั้นทำให้รัชกาลที่ 5 ท่านทรงเล็งเห็นความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการจัดการการปกครองต่างๆ ในประเทศมากขึ้น โดยได้เปลี่ยนจากรูปแบบเวียง วัง คลัง นา เป็นการจัดตั้งกระทรวงต่างๆ ขึ้นมาใหม่ และได้มีการตั้ง ‘กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ’ เพื่อจัดเก็บภาษี เป็นเงินแผ่นดิน นับเป็นการแยกทรัพย์สินของแผ่นดินสยาม และทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ออกจากกันเป็นครั้งแรก ที่ได้มีการบันทึกไว้

นอกจากนี้ ยังได้ตั้ง ‘กรมพระคลังข้างที่’ ขึ้น เพื่อคอยดูแลจัดการทรัพย์สินส่วนพระองค์ และยังเริ่มทำการลงทุนในด้านอสังหาริมทรัพย์อีกด้วย ซึ่งทำให้รายได้หลักของกรมพระคลังข้างที่นั้น มาจากการปล่อยให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ จึงเป็นที่มาของการก่อตั้งธนาคารไทยพาณิชย์ และการก่อตั้งบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ‘SCG’ ในสมัยรัชกาลที่ 6 ทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นเงินจากกรมพระคลังข้างที่ ถือการลงทุนมหาศาลจนกลายเป็นหน่วยงานที่มีการครอบครองที่ดินมากที่สุดในประเทศไทย นอกจากนี้ ยังได้งบประมาณจากการจัดเก็บภาษี ปีละ 15% จากกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ เข้ากรมพระคลังข้างที่

ต่อมา ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ที่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทำให้กรมพระคลังข้างที่ ที่เคยมีบทบาทอย่างมากในรัชสมัยของรัชกาลที่ 5 ถูกลดบทบาทลงมาจนกลายเป็น ‘สำนักงานพระคลังข้างที่’ ซึ่งขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรี อีกทั้งยังเป็นรัชสมัยที่สำคัญที่ทำให้ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์นั้นเกิดความสั่นคลอน โดยคณะ ‘อภิวัฒน์สยาม 2475’

ทำให้ในอีก 4 ปีต่อมา ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 ได้เกิดการต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจกันอย่างดุเดือด ระหว่างฝ่ายอํามาตย์ และคณะราษฎร ว่าใครจะเป็นผู้ได้ทรัพย์สินจากกรมพระคลังข้างที่ ใครจะได้ทรัพย์สินที่เป็นของพระมหากษัตริย์ และอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุด คือการออกฎกหมาย พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สิน ฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2479 และได้จัดตั้ง ‘สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์’ ซึ่งเป็นสำนักงานภายใต้การดูแลของกระทรวงการคลัง โดยได้ทำการแยกทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่

1.) ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ คือ ทรัพย์สินของสถาบันพระมหากษัตริย์ 
2.) ทรัพย์สินส่วนพระองค์ คือ ทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์ ในฐานะบุคคลคนหนึ่ง
3.) ทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของสํานักงานพระราชวัง

จนกระทั่ง ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 ได้มีการปรับเปลี่ยน และแก้ไข พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สิน ฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2491 ในภายหลังจากที่กลุ่มคณะราษฎรนั้นได้เริ่มอ่อนกำลังลง จนกระทั่งสิ้นสุดอำนาจลง หลังจากการจากไปของจอมพล ป. พิบูลสงคราม สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้ถูกยกระดับ จากหน่วยงานราชการ ขึ้นเป็น ‘นิติบุคคล’ มีอิสระจากรัฐบาล โดยมีประธานกรรมการ คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ทำให้สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ‘ไม่ต้องเสียภาษี’ แต่ทรัพย์สินส่วนพระองค์ ‘ต้องเสียภาษี’ และทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ขึ้นตรงกับสํานักงานพระราชวัง

ทำให้นับจากนั้นเป็นต้นมา จนถึงในรัชสมัยปัจจุบันของ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ มหิศรภูมิพลราชวรางกูร กิติสิริสมบูรณ์อดุลยเดช สยามินทราธิเบศรราชวโรดม บรมนาถบพิตร พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ได้มีการเปลี่ยนแปลง พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2561 โดยไม่มีการแบ่งฝ่ายในการจัดการอีกต่อไป ได้มีการรวมเอาทรัพย์สินทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกัน และได้ให้มีการเสียภาษี

ทั้งหมดนี้ คือ วิวัฒนาการของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ใครจะมีความเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วยอย่างไร หรือจะตีความอย่างไร กับสิ่งที่ได้นำเสนอมานั้น เป็นเรื่องปัจเจกบุคคลที่ทุกท่านต้องใช้วิจารณญาณในการศึกษาเพิ่มเติมด้วยตัวเองกันต่อไป

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งซับน้ำตา..มอบเงินช่วยเหลือค่าฌาปนกิจแก่ญาติผู้เสียชีวิต และเงินปลอบขวัญแก่ผู้บาดเจ็บจากเหตุพายุถล่มอาคารโดมโรงเรียนวัดเนินปอ จังหวัดพิจิตร

ตามที่ได้เกิดเหตุการณ์พายุถล่มอาคารโดมโรงเรียนวัดเนินปอ อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 7 ราย และมีผู้บาดเจ็บอีกหลายราย เมื่อวันที่  22 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา โดยภายหลังเกิดเหตุ อาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง จุดจังหวัดพิจิตร ได้ลงพื้นที่เพื่อให้ความช่วยเหลือนำผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาล และเคลื่อนย้ายร่างผู้เสียชีวิตออกจากจุดเกิดเหตุ

วันนี้ (วันเสาร์ที่ 27 พฤษภาคม 2566) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล รองประธานกรรมการ พร้อมด้วย นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ นายนิพนธ์ โชคภิรมย์วงศา กรรมการปฏิคม  และนางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นำทีมเจ้าหน้าที่สาธารณภัยลงพื้นที่ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์และให้ความช่วยเหลือสาธารณภัย วาตภัย อำเภอสามง่าม เพื่อเข้าพบพร้อมให้กำลังใจ และมอบเงินช่วยเหลือค่าฌาปนกิจแก่ญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าวจำนวน 7 รายๆ ละ 20,000 บาท  และมอบเงินปลอบขวัญแก่ผู้บาดเจ็บในเหตุการณ์ดังกล่าวจำนวน 5 รายๆ ละ 5,000 บาท รวมงบประมาณการช่วยเหลือทั้งสิ้น  165,000 บาท (หนึ่งแสนหกหมื่นห้าพันบาทถ้วน) โดยมี นายสุภโชค ศิลปคุณ นายอำเภอสามง่าม ร่วมในพิธี พร้อมด้วย มูลนิธิพิจิตรสามัคคีการกุศลสงเคราะห์ จังหวัดพิจิตร เป็นผู้ประสานงานและร่วมในพิธี ณ บริเวณเทศบาลตำบลเนินปอ อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร   

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ขอแสดงความเสียใจ และขอส่งกำลังใจไปยังครอบครัวผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ และผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวทุกท่านมา ณ ที่นี้

ตลอดระยะเวลากว่า 113 ปี มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา  เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลาย ๆ ทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ดังปณิธานมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง “ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

กาฬสินธุ์พร้อมจัดใหญ่เทศกาลวิสาขปุณณมีบูชา ชมทะเลธุงหนึ่งเดียวในโลก

จังหวัดกาฬสินธุ์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพร้อมใจจัดใหญ่งานเทศกาล “วิสาขปุณณมีบูชา” โบราณสถานเมืองฟ้าแดดสงยางพระธาตุยาคู ชูวัฒนธรรมอีสาน ชมทะเลธุง และอุโมงค์ธุงแห่งแรกหนึ่งเดียวในโลก  3-7 มิถุนายน 2566 นี้ พร้อมเชิญชวนพุทธศาสนิกชน และนักท่องเที่ยวมาสัมผัสกับกิจกรรมที่รังสรรค์ด้วยความตั้งใจ ด้านผู้ว่าฯกาฬสินธุ์รับประกัน อิ่มตา อิ่มใจ อิ่มบุญ และอิ่มท้องแน่นอน
ที่โบราณสถานเมืองฟ้าแดดสงยางพระธาตุยาคู  ต.หนองแปน อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์  นายศุภศิษย์ กอเจริญยศ ผวจ.กาฬสินธุ์ นางเฉลิมขวัญ หล่อตระกูล นายก อบจ.กาฬสินธุ์ นายขัตติยา ชัยมณี วัฒนธรรม จ.กาฬสินธุ์ นายสมบัติ ชัยรัตน์ ประชาสัมพันธ์ จ.กาฬสินธุ์  พ.ต.ท.นครินทร์ ศรีอัครวิเนต

รอง ผกก.สภ.กมลาไสย และนายเอนก บรรณสาร นายกเทศมนตรีตำบลหนองแปน พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมแถลงข่าวการจัดงานประเพณีเทศกาล "วิสาขปุณณมีปูชา" โดยมีส่วนราชการ ผู้นำชุมชน และประชาชนเข้าร่วม

นายศุภศิษย์ กอเจริญยศ ผวจ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า การจัดงานเทศกาล “วิสาขปุณณมีบูชา” กำหนดขึ้นระหว่างวันที่ 3-7 มิถุนายน 2566 ณ โบราณสถานเมืองฟ้าแดดสงยางพระธาตุยาคู ต.หนองแปน อ.กมลาไสย จ.กาฬสินธุ์ โดยจัดให้มีพิธีเปิดอย่างยิ่งใหญ่ท่ามกลางทะเลธุงที่สวยงาม หนึ่งเดียวในโลก ร่วมพิธีอัญเชิญน้ำสรงพระราชทานสรงน้ำพระธาตุยาคู การแสดงแสงสีเสียง ชุดฮอยเสมาพิมพาพิลาป ตื่นตากับการแสดงของหมอลำกาฬสินธุ์เฟสติวัล โดยจะรวบรวมศิลปินหมอลำชื่อดังจำนวนมากมาเปิดการแสดง นำโดยวีระพงษ์ วงศ์ศิลป์ ศิลปินภูไท  การแสดงโปงลางสังคีตอีสานจากโรงเรียนร่องคำ และการประกวดสาวงามภูษิตาฟ้าหยาด พร้อมจับจ่ายซื้อของในตลาดโบราณ เฮือนอีสาน

นายศุภศิษย์ กล่าวอีกว่า การจัดงานดังกล่าวยังเป็นไปตามหลักการทำงานของ จ.กาฬสินธุ์เป็นจังหวัด 3 รวย รวยวัฒนธรรม รวยน้ำใจ และรวยสุขภาพ  ซึ่งวัฒนธรรมด้านศาสนา มีความโดดเด่นมาก มีวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ในงานเทศกาลต่างๆ จะได้เห็นทะเลธุงที่สวยงาม งานปีนี้จะมีจุดเช็คอินเพิ่มขึ้น มีอุโมงค์ธุง นำมาผสมผสานวัฒนธรรม ความหลากหลายของแต่ละอำเภอ 

โดยการผลักดัน "Soft PoWer” อารยธรรมทวารวดี จ.กาฬสินธุ์ สู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ สร้างคุณค่า และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ทำดี ทำงาน และทำเงิน สืบสานภูมิปัญญาพื้นถิ่น กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก สร้างรายได้ให้แก่ชุมชน และสร้างความร่วมมือส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมระหว่าง จ.กาฬสินธุ์และจังหวัดใกล้เคียง ได้ร่วมอนุรักษ์ไว้เป็นมรดก ภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม จึงขอเชิญชวนประชาสัมพันธ์พุทธศาสนิกชน และนักท่องเที่ยวทั่วโลก ได้มาสัมผัสกับกิจกรรมที่ จ.กาฬสินธุ์ได้รังสรรค์ด้วยความตั้งใจ  ท่านจะได้อิ่มตา อิ่มใจ อิ่มบุญ และอิ่มท้อง ในงานเทศกาล “วิสาขปุณณมีบูชา” ครั้งนี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top