Thursday, 29 May 2025
NEWS FEED

เชียงใหม่-สัมมนาผู้เชี่ยวชาญด้านการอนุรักษ์พลังงานภาคเหนือเตรียมพร้อมเผยแพร่ผลสำเร็จโครงการ Energy Points 3

สถาบันพลังงานเพื่ออุตสาหกรรมฯ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จับมือสภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ จัดสัมมนาผู้เชี่ยวชาญด้านการอนุรักษ์พลังงานภาคเหนือ เตรียมพร้อมเผยแพร่ผลสำเร็จโครงการ Energy Points 3 ภายใต้โครงการสนับสนุนการอนุรักษ์พลังงานและลดต้นทุนในอุตสาหกรรมขนาด SME ภายในเดือนมีนาคมนี้ ณ กรุงเทพมหานคร
 
เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2566 เวลา 09.00 น. ณ ห้องบุษราคัม ชั้น 1 โรงแรมฟูราม่า จ.เชียงใหม่ สถาบันพลังงานเพื่ออุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยสนับสนุนโดยกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน จัดเสวนาแลกเปลี่ยนความรู้ (Knowledge Sharing) ระหว่างคณะทำงานโครงการฯ และที่ปรึกษาด้านการอนุรักษ์พลังงานกลุ่มจังหวัดภาคเหนือ เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและเตรียมพร้อมเผยแพร่ผลสำเร็จโครงการสนับสนุนการอนุรักษ์พลังงานและลดต้นทุนในอุตสาหกรรมขนาด SME โดยมี นายรุ่งเรือง สายพวรรณ์ ผู้อำนวยการสถาบันพลังงานเพื่ออุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ,ผศ.ดร.ชลธิศ เอี่ยมวรวุฒิกุล คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีประทุม และนายกิตติ์ จิรกิตยางกูร  รองประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ ดำเนินการเสวนาร่วมกับที่ปรึกษาฯ จากกลุ่มจังหวัดในภาคเหนือ ประกอบไปด้วยภาคเหนือตอนบน 1 (เชียงใหม่), ภาคเหนือตอนบน 2 (เชียงราย), ภาคเหนือตอนล่าง 1 (พิษณุโลก), ภาคเหนือตอนล่าง 2 (นครสวรรค์) โดยช่วงบ่ายเป็นการเข้าเยี่ยมชมโรงงานตัวอย่างด้านอนุรักษ์พลังงาน ณ โรงงานน้ำแข็งธารทอง

โรคระบาดเพิ่มขึ้น!! ‘หมอยง’ เตือนระวัง ‘ยุงลาย-ชิคุนกุนยา-ไวรัสชิกา’ แนะทำลายแหล่งเพาะพันธ์ยุง เพื่อลดการกระจายโรค

ระบาดเพิ่มขึ้น!‘หมอยง’เตือนระวัง‘ไข้ปวดข้อยุงลาย-ชิคุนกุนยา-ซิกา’

(10 มี.ค.66) ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Yong Poovorawan มีเนื้อหาดังนี้...

ไข้ปวดข้อยุงลาย ชิกุนกันย่า ซิกา

ยง ภู่วรวรรณ

ราชบัณฑิต

10 มีนาคม 2566

ในช่วงปีที่ผ่านมา มีการระบาดของไข้ปวดข้อยุงลาย ชิคุนกุนยาและไข้ไวรัสชิกา เพิ่มมากขึ้น

การระบาดของไข้ปวดข้อยุงลายตั้งแต่ปี พ.ศ.2561 เป็นต้นมา เกิดจากยุงลายบ้าน เช่นเดียวกับไข้เลือดออก จึงพบมากในเขตเมืองรวมทั้งกรุงเทพมหานคร ทำให้มีไข้ ผื่นขึ้น และปวดตามข้อ พบได้ทุกอายุแต่ในเด็กจะมีไข้ ออกผื่น อาการปวดข้อ อาจจะไม่เด่น ในผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุ อาการปวดข้อจะเป็นค่อนข้างรุนแรง และคงอยู่หลายสัปดาห์ หรืออาจเป็นเดือนก็มี

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ร่วมประชุมคณะกรรมการบริหาร ศรชล. นำเสนอแนวทางบูรณาการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย (IUU) แบบยั่งยืน

วันนี้ (10 มี.ค.66) พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง (ศพดส.ตร.) ได้เดินทางเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการบริหารศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) ครั้งที่ 1/2566 ณ โรงแรมดุสิตธานี พัทยา จ.ชลบุรี โดยมี พล.ร.อ.เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผบ.ทร. เป็นประธานการประชุม และมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมประกอบด้วย กรมประมง กรมเจ้าท่า กรมศุลกากร กรมสรรพสามิต และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง

ในการประชุมครั้งนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้นำเสนอเกี่ยวกับการดำเนินการปราบปรามการทำประมงผิดกฎหมายในหลายมิติ ได้แก่ การบังคับใช้กฎหมายกับเรือประมงพาณิชย์จำนวน 27 ลำ ที่ลักลอบทำประมงในเขตอุทยานแห่งชาติตะรุเตา จ.สตูล ซึ่งคดีอยู่ในระหว่างการดำเนินการสอบสวน และการตรวจสอบกรณีเรือประมงที่ใช้อวนล้อมจับปลากะตักจำนวน 52 ลำ ซึ่งการดำเนินการจำเป็นจะต้องบูรณาการร่วมกับ ศรชล และกองทัพเรือ ในการใช้เครื่องมือพิเศษและกำลังพลเข้าดำเนินการตามกฎหมาย รวมไปถึงการดำเนินการล่าสุด กรณีตรวจพบเรือประมงสัญชาติเกาหลีชื่อ Sun Flower 7 ขนปลาทูน่าจำนวน 4,000 ตัน มาขึ้นท่าเพื่อส่งให้โรงงานปลากระป๋อง ซึ่งมีพฤติการณ์ในการทำประมงผิดกฎหมายโดยการเก็บทุ่นลอยน้ำสำหรับเป็นแพล่อปลาในพื้นที่มหาสมุทรแปซิฟิก ในการดูแลของคณะกรรมาธิการประมงแปซิฟิกตะวันตกและแปซิฟิกกลาง (WCPFC) โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งทางการไทยได้แสดงออกอย่างชัดเจนในการต่อต้านการทำประมงผิดกฎหมาย โดยการไม่อนุญาตให้นำปลาที่ได้จากการทำประมงผิดกฎหมายเข้ามาในราชอาณาจักร และได้ผลักดันเรือออกจากน่านน้ำไป ซึ่งในเรื่องนี้ จำเป็นจะต้องมีการกำหนดมาตรการในระยะยาว เพื่อแก้ไขปัญหาการรับสินค้าสัตว์น้ำที่ได้มาจากการทำประมงผิดกฎหมาย โดยคำนึงถึงภาพลักษณ์ของประเทศ และผลกระทบต่อธุรกิจการนำเข้าส่งออกสัตว์น้ำของประเทศไทยต่อไป

ไม่ดูก็ไม่ตาย!! ‘ชาวโซเชียล’ ความเห็นตรงกัน!! เรียกร้อง ‘กกท.’ ไม่ต้องซื้อลิขสิทธิ์ซีเกมส์ ถ้าต้องจ่ายแพงกว่าเพื่อนบ้าน

หลังจากมีประเด็นลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดมหกรรมกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ระหว่างวันที่ 5-17 พฤษภาคม 2566 โดยก่อนหน้านี้ฝ่ายจัดการแข่งขันออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้เรียกค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดกับไทย สูงถึง 800,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 28 ล้านบาท

โดย “บิ๊กก้อง” ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย หรือกกท. ออกมาเปิดเผยว่าตัวเลขที่เจ้าภาพกัมพูชาเสนอเข้ามานั้นแม้จะไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่ถือเป็นยอดที่สูงจนเกินไป และใกล้เคียงกับยอดที่มีข่าวมาก่อนหน้านี้ ซึ่งประเทศไทยถือเป็นชาติที่ต้องจ่ายแพงที่สุดในอาเซียนเป็นจำนวนเงินที่มากกว่าเวียดนามเสียอีก

ล่าสุดมีกระแสจากชาวเน็ตในโลกออนไลน์ที่เข้าไปคอมเมนต์ในเพจ ‘กองประชาสัมพันธ์ กกท.’ เป็นไปในทิศทางเดียวกัน มีมติเป็นเอกฉันท์ว่าถ้าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดซีเกมส์ 2023 แพงหูฉี่ขนาดนี้ แฟนกีฬาชาวไทยก็พร้อมที่จะไม่ดู และประเทศไทยก็ไม่ควรจ่ายค่าลิขสิทธิ์ดังกล่าวแพงขนาดนั้นตามที่เป็นข่าว ซึ่งหลายคนบอกว่า "ไม่ดูก็ไม่ตาย"

วาระแห่งชาติ ‘บิ๊กตู่’ สั่งเข้ม!! ทุกหน่วยงาน แก้ไขปัญหา PM 2.5 แนะปชช. เลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง-สวมหน้ากากอนามัย

นายกฯ กระตุ้น ทุกหน่วยงาน เข้ม แก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ตามแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ ขอประชาชนดูแลสุขภาพ หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง 

เมื่อวันที่ 10 มี.ค.66 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ความสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ที่เกิดขึ้นทั้งในกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบทั่วทั้งประเทศ โดยเน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง ตามแนวทางปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” ภายใต้ 3 มาตรการสำคัญ คือการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ การป้องกันและลดการเกิดมลพิษที่ต้นทาง (แหล่งกำเนิด) และการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการมลพิษ เพื่อให้การแก้ไขปัญฝุ่นละอองตามบทบาทของแต่ละหน่วยงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดประสิทธิผลเป็นรูปธรรมตามแผนที่วางไว้ เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบและความเดือดร้อนให้กับประชาชน 

นายอนุชา กล่าวว่า ข้อมูลล่าสุดของศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ กองจัดการคุณภาพอากาศและเสียง กรมควบคุมมลพิษ ได้รายงานผลการคาดการณ์สถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็กในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล ระหว่างวันที่ 10-16 มี.ค. 66 ระบุว่า วันที่ 10 มี.ค. 66 พื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลอาจมีแนวโน้มฝุ่นละอองขึ้นสูงได้ในบางพื้นที่ โดยหลังวันที่ 11 มี.ค. 66 เป็นต้นไป สถานการณ์ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีแนวโน้มที่ดี เนื่องจากลมทางใต้ช่วยพัดพาฝุ่นละอองออกจากพื้นที่ อย่างไรก็ตามช่วงระหว่างวันที่ 14-16 มี.ค. 66 ยังเป็นช่วงที่ควรเฝ้าระวังของพื้นที่ เนื่องจากมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบจากฝุ่นละอองข้ามพื้นที่ได้ ขณะที่พื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือมีแนวโน้มฝุ่นละอองขึ้นสูงในพื้นที่ภาคเหนือทั้งตอนบนและล่างระหว่างวันที่ 10-14 มี.ค. 66 ทั้งนี้ เมื่อเข้าสู่ฤดูร้อน สถานการณ์ฝุ่นจะค่อย ๆ ลดลง คาดว่าจะยังมีปัญหาอยู่อีก 1-2 สัปดาห์ 

นายอนุชา กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีย้ำให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพิ่มความเข้มข้นในการแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ตามแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” ในทุก ๆ มาตรการ เน้นแจ้งเตือนแนะนำข้อปฏิบัติตนแก่ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง และสวมใส่หน้ากากอนามัย กำหนดสถานที่พักชั่วคราว หรือ Safety Zone ระบบแจ้งเตือนสถานการณ์และบริการสาธารณสุข เข้มงวดตรวจจับรถควันดำ เร่งระบายการจราจรไม่ให้ติดขัด ส่งเสริมการใช้ระบบขนส่งสาธารณะ ตรวจสภาพ/บำรุงรักษายานพาหนะขนส่งสาธารณะ ทำความสะอาดพื้นผิวถนน รวมทั้งควบคุมการเผาในที่โล่ง/พื้นที่เกษตรอย่างเคร่งครัด ตรวจสอบและควบคุมการปล่อยมลพิษจากโรงงาน ป้องกันและลดปริมาณฝุ่นละอองจากการก่อสร้าง 

นายอนุชา กล่าวว่า ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเฝ้าระวัง ติดตาม ตรวจสอบคุณภาพอากาศ ขยายเครือข่ายแจ้งเตือน สร้างการรับรู้ถึงข้อมูลและสถานการณ์ที่ถูกต้องแก่ประชาชน จัดระเบียบการเผาตามลักษณะพื้นที่ แบ่งช่วงเวลาที่เหมาะสมให้สอดคล้องตามหลักวิชาการ ส่งเสริมการมีส่วนร่วมความตระหนัก และปรับพฤติกรรมประชาชนในการลดการเผาในที่โล่ง พื้นที่การเกษตร และการเผาขยะในชุมชนหรือเมือง อย่างไรก็ตาม แหล่งกำเนิดฝุ่นละอองมาจากพวกเราทุกคน ดังนั้น การแก้ไขปัญหาต้องมาจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน

คอกาแฟเฮ!! ผลวิจัย ชี้ ดื่มกาแฟวันละ 2-3 แก้ว ทั้ง 'ใส่-ไม่ใส่' น้ำตาล เลี่ยงการเสียชีวิตได้ลดลง 30% จากทุกสาเหตุ

(10 มี.ค.66) ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ในหัวข้อ 'คอกาแฟได้เฮ ชีวิตอยู่ยาว?' ว่า...

มนุษย์โลกได้รับทราบสรรพคุณของกาแฟมาเนิ่นนาน เช่นเดียวกับคนไทยและคนทำงานที่ไม่เป็นเวลา เป็นกะกลางวันบ้าง กลางคืนบ้าง ทั้งอาชีพยาม อาชีพหมอ ที่ต้องพึ่งกาแฟเป็นอาจิณ นัย ว่า เป็นกลายๆ ทำงานติดกัน 36 หรือไม่ก็ยาวถึง 48 เกือบ 72 ชั่วโมงก็มี ใช้วิธียืนหลับ นั่งหลับ และได้กาแฟเป็นที่พึ่ง

สรรพคุณของกาแฟนั้น หมอดื้อได้เคยเล่าให้ฟัง ในคอลัมน์สุขภาพหรรษา มา ก่อนหน้านี้ และมีการศึกษาในเรื่องของการดื่มกาแฟและทำให้ชีวิตยืนยาวขึ้นหรือความเสี่ยงในการตายน้อยลง  เช่น การศึกษาในกลุ่มประเทศยุโรป 10 ประเทศ รายงานในวารสาร สมาคมอายุรแพทย์ของอเมริกา (Ann Intern Med) ในปี 2017 และในปีเดียวกันนั้นเอง ในวารสาร เดียวกัน แต่เป็นการศึกษาในคนที่ไม่ใช่ผิวขาว และจนกระทั่งการศึกษาที่เกี่ยวพันกับภาวะสุขภาพ และการเกิดโรคหัวใจ มะเร็ง และนิ่วในถุงน้ำดีรวมทั้งโรคต่าง ๆ ในวารสารทางด้านโภชนาการของยุโรปในปี 2022 ก็พบว่ามีประโยชน์คล้ายกัน

อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของกาแฟ ยังเป็นเรื่องที่มีผู้คนอยากรู้ว่า จะดื่มกาแฟแบบไหนดี ชนิดคั่ว หรือต้ม แบบชนิดกรองหรือไม่กรอง  และประการสำคัญก็คือ ถ้าใส่น้ำตาลหรือน้ำตาลเทียมลงไปจะลดความดีของกาแฟลงหรือไม่

โดยที่มีการประเมินในปี 2022 ว่าคนอเมริกันดื่มกาแฟวันละ 517 ล้าน แก้ว และเมื่อสอบถามเป็นรายตัวก็ยังพบว่า 66% รายงานว่าเมื่อวานก็ยังดื่มกาแฟอยู่

กาแฟนั้น มีสารที่มีคุณประโยชน์อยู่หลายชนิด และทั้งนี้ เชื่อว่ากลไกในการทำให้สุขภาพดีต่อสู้โรค มีส่วนเกี่ยวพันกับความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระ ที่ได้จากคาเฟอีน และ chlorogenic acids และยังมีคุณสมบัติในการต้านเลือดข้น โดยผ่านกลไกทางเกร็ดเลือด

ดังนั้น น่าจะช่วยอธิบายที่กาแฟนั้น ทำให้ช่วยลดความเสี่ยงของโรคเส้นเลือดหรือลิ่มเลือดอุดตันต่าง ๆได้ และแม้กระทั่งในปัจจุบัน กาแฟเป็นอีกตัวหนึ่งที่มีการศึกษาว่าจะสามารถป้องกันโรคสมองเสื่อมได้หรือไม่

ศรชล.จัดกิจกรรม “รักษ์ทะเลไทย ไปกับ ศรชล.ภาค 3 เก็บขยะชายหาด” จังหวัดสตูล เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนา ศรชล. ประจำปี 2566

ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล จังหวัดสตูล /ผอ.นก.พตต.ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภาค 3/ศูนย์ควบคุมความมั่นคงท่าเรือจังหวัดสตูล ร่วมกับ ศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลจังหวัดสตูล กองสารนิเทศ สน.ฝอ.ศรชล.ภาค 3 ร่วมกันจัดกิจกรรม “รักษ์ทะเลไทย ไปกับ ศรชล.ภาค 3 เก็บขยะชายหาด” จังหวัดสตูล เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนา ศรชล. ประจำปี 2566 ณ ชายหาดทะลดาว (บ้านบ่อเจ็ดลูก) หมู่ที่ 1 ต.ปากน้ำ อ.ละงู จังหวัดสตูล โดยมี น.อ.แสนย์ไท บัวเนียม รอง ผอ.ศรชล.จว.สต.ฯ/ผบ.นก.พตต.ศรชล.ภาค 3 เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรมฯ และ น.ส.อรุณี  แสงหยัง ผอ.ศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลจังหวัดสตูล เป็นผู้กล่าวรายงานวัตถุประสงค์ในการจัดกิจกรรมฯ

ซึ่งมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมจากหน่วยงานในพื้นที่จังหวัดสตูล ประกอบด้วย ศรชล.จว.สต. ศคท.จว.สต. ศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลจังหวัดสตูล ทัพเรือภาคที่ 3 ศูนย์ควบคุมความมั่นคงท่าเรือจังหวัดสตูล สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาสตูล สำนักงานประมงจังหวัดสตูล สถานีเรือละงู ด่านศุลกากรสตูล สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดสตูล สถานีตำรวจน้ำสตูล ศูนย์บริหารจัดการทรัพยากรป่าชายเลนจังหวัดสตูล อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา สถานีเรือละงู องค์การบริหารส่วนตำบลปากน้ำ ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชน ครูและนักเรียนโรงเรียนบ้านบ่อเจ็ดลูก และประชาชนในพื้นที่ จำนวน 200 คน สำหรับการจัดกิจกรรมฯ ประกอบด้วย

การให้ความรู้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมฯ เกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง แนวทางการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง

กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ฯ จัดพิธีประกาศผลและมอบรางวัล โครงการประกวดทำคลิป 'สัญจรดี วิถีไทย' ปีที่ ๓ มอบโล่เกียรติยศ-เงินรางวัลรวมกว่า 8 แสน บาท แก่เยาวชน

(วันที่ ๙ มีนาคม ๖๖ เวลา ๑๓.๓๐) นายโกวิท ผกามาศ อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีประกาศผลและมอบรางวัลโครงการประกวดทำคลิป 'สัญจรดี วิถีไทย ปีที่ ๓ จอดรถให้ถูกที่ ขับขี่ให้ถูกทาง' เพื่อปลุกจิตสำนึกให้คนรุ่นใหม่และประชาชนทั่วไป ตระหนักถึงการใช้มารยาทไทยและรักษาวินัยจราจร สร้างวัฒนธรรมการใช้รถใช้ถนนให้สังคม โดยมีนางสาววราพรรณ ชัยชนะศิริ รองอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม พร้อมผู้บริหาร ซึ่งมีผู้ส่งคลิปเข้าประกวดประเภทบุคคลและประเภททีมเข้ารับรางวัลโดยพร้อมเพรียง ณ หอประชุมเล็ก ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย 

นายโกวิท ผกามาศ อธิดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ประธานมอบรางวัล กล่าวว่า โครงการประกวดทำคลิป 'สัญจรดีวิถีไทย' นี้ ได้จัดขึ้นเป็นปีที่ ๓ แล้ว เป็นการทำคลิปวิดีโอในการส่งเสริมให้เกิดวินัยจราจรการขับขี่อย่างปลอดภัย การใช้ความคิดสร้างสรรค์จากการทำคลิปวิดีโอ ถือเป็นอีกปี ที่น้อง ๆ ทั้งในระดับอุดมศึกษา และมัธยมศึกษา ได้ส่งผลงานเข้ามาประกวด ในหัวข้อ “จอดรถให้ถูกที่ ขับขี่ให้ถูกทาง” ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากน้อง ๆ ทั่วประเทศจำนวนถึง ๒๗๔ ผลงาน ที่แสดงให้เห็นถึงความคิดสร้างสรรค์ ความตั้งใจ ในการทำคลิปเพื่อที่จะรณรงค์การขับขี่ให้ปลอดภัย มีสำนึกที่ดีต่อสังคม โดยผลงานคลิปที่ได้รับรางวัล จะได้รับการเผยแพร่ในสื่อต่าง ๆ ของกรมส่งเสริมวัฒนธรรม และเครือข่าย  จึงขอชื่นชมทุกคนและทุมทีมที่ส่งผลงานเข้าประกวด และขอแสดงความยินดีกับคลิปที่ได้รางวัล ที่จะสร้างความภาคภูมิใจและเป็นแรงบันดาลใจต่อไปในการศึกษาเรียนรู้ การเป็นตัวอย่างที่ดี เป็นอนาคตเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติต่อไป

ด้าน นางสาววราพรรณ ชัยชนะศิริ รองอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม เปิดเผยว่า โครงการประกวดทำคลิป 'สัญจรดี วิถีไทย' ปีที่ ๓ หัวข้อ 'จอดรถให้ถูกที่ ขับขี่ให้ถูกทาง' ครั้งนี้เป็นการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐหลายภาคส่วน เพื่อสร้างวัฒนธรรมการใช้รถใช้ถนนให้สังคม แก้ไขปัญหา ปลุกจิตสำนึกการใช้รถใช้ถนน นำความเป็นไทย สร้างวินัยจราจรให้สังคม เร่งจัดทำแนวทางกิจกรรมการรณรงค์ส่งเสริมวัฒนธรรมไทย ประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ความเข้าใจ ให้ประชาชนตระหนักและเห็นคุณค่าในการใช้รถใช้ถนนด้วยความปลอดภัย มีจิตสำนึก รับผิดชอบ มีน้ำใจ และเอื้ออาทรให้แก่กัน มีมารยาทที่ดีในขับขี่ ควบคู่กับการรักษาวินัยจราจร ซึ่งกรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เห็นผลเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ต้องอาศัยกำลังจากทุกภาคส่วนทำงานร่วมกันอย่างจริงจังและต่อเนื่อง จึงจะสำเร็จผลอย่างยั่งยืน สวธ.จึงขอขอบคุณสถาบันการศึกษาที่ได้สนับสนุนให้นักเรียน นักศึกษาส่งผลงานร่วมประกวด พร้อมทั้งขอบใจเด็ก ๆ ทุกคน ที่สร้างสรรค์ส่งผลงานอันมีคุณค่าเข้าประกวดในครั้งนี้เป็นจำนวนมาก ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า มารยาทไทย สามารถใช้ในการขับขี่ การใช้รถใช้ถนนร่วมกันได้เป็นอย่างดี มารยาททางสังคม เป็นวัฒนธรรมของคนไทยควรยึดมั่นและปฏิบัติ เพื่อให้สังคมไทยน่าอยู่ยิ่งขึ้น 

รองอธิบดีสวธ. เปิดเผยต่อว่า โครงการประกวดทำคลิป 'สัญจรดี วิถีไทย ปีที่ 3 จอดรถให้ถูกที่ ขับขี่ให้ถูกทาง' มีเงินรางวัลมูลค่ารวมกว่า 800,000 บาท แบ่งการประกวดเป็น 2 ระดับ เป็นรายบุคคล หรือทีม สมาชิกในทีมไม่เกิน ๓ คน ประกอบด้วย ระดับมัธยมศึกษา ๑ - ๖ ประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) หรือเทียบเท่า และระดับอุดมศึกษา ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) หรือเทียบเท่า โดยทีมที่ส่งผลงานเข้าร่วมทั้งหมดในปีนี้ มีจำนวน ๒๗๔ ทีม ซึ่งมีการคัดเลือกทีมที่ผ่านเข้ารอบมาทั้งหมด 26 ทีม ซึ่งทั้ง 26 ทีม ได้รับการอบรมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) จากผู้บริหารของกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ผู้กำกับภาพยนตร์ และ Youtuber ชื่อดัง เพื่อให้ผู้ประกวดที่ผ่านเข้ารอบ สามารถต่อยอดความรู้ เพิ่มความสามารถในการผลิตงาน และปรับปรุงพัฒนางานให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยผลงานของผู้ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 และอันดับ 2 ทั้ง 2 ระดับ จะได้เผยแพร่ผลงานทางสื่อ Social Media สู่สาธารณะในวงกว้าง ต่อไป

มูลนิธิรักษ์ไทยและมูลนิธิเพื่อนหญิง ร่วมกันจัดกิจกรรมเนื่องในวันสตรีสากล (International Women’s Day)

มูลนิธิรักษ์ไทย มูลนิธิเพื่อนหญิง จับมือร่วมกับกรุงเทพมหานคร ศูนย์การค้า ดิ เอ็มควอเทียร์ เครือข่ายองค์กรภาคประชาสังคม และพันธมิตรภาคธุรกิจเป็นภาคีในการจัดงานวันสตรีสากล (International Women’s Day 2023) โดยมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ การเสริมสร้างพลังผู้หญิงและการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Women Empowerment and Sustainable Development) การสร้างความเท่าเทียม และ ยุติความรุนแรง (Gender Equality and Stop Violence) ณ ศูนย์การค้า ดิ เอ็มควอเทียร์ ลานควอเทียร์อเวนิว ในวันที่ 8 มีนาคม 2566  เวลา 10:00-20:00 น. 
ในการนี้มูลนิธิฯ ได้รับเกียรติจาก รองศาสตราจารย์ ดร.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานในพิธีเปิด ร่วมกับ คุณอรธิรา  ภาคสุวรรณ กรรมการผู้จัดการอาวุโส ศูนย์การค้า ดิ เอ็มโพเรียม และ ดิ เอ็มควอเทียร์  คุณสุพรทิพย์ ช่วงรังษี กรรมการมูลนิธิรักษ์ไทย พร้อมทั้งร่วมพูดคุยกับแขกรับเชิญกิตติมศักดิ์ ได้แก่ แพทย์หญิง คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์, คุณแอนนา เสืองามเอี่ยม (Miss Universe Thailand 2022), 

คุณแอนชิลี สก๊อต-เคมมิส (Miss Universe Thailand 2021), คุณญดา นริลญา (เจ้าของรางวัล Thailand National Film Association 2021), การสาธิตสอนศิลปะป้องกันตัวด้วยมือเปล่า โดย พ.ต.อ.หญิง กัญญา แดนมะตา, ทพญ. กัญจน์ภัสสร สุริยาแสงเพ็ชร์ กรรมการและผู้ก่อตั้ง Ooca application ที่เป็น platform สำหรับปรึกษานักจิตวิทยาและจิตแพทย์แห่งแรกในไทย และปิดท้ายด้วยมินิคอนเสิร์ตจากศิลปินชื่อดังของไทย นำโดย คุณพรีน รวิสรารัตน์ และ คุณที วง Jetset’er โดยมีพิธีกรมากความสามารถอย่างคุณนาขวัญ รายนานนท์ มาสร้างสีสันบนเวทีตลอดทั้งงาน

นอกจากนี้ผู้เข้าร่วมยังได้รับความรู้และความสนุกสนานจากนิทรรศการ SHE IS ME ในการสร้างแรงบันดาลใจจากพลังผู้หญิง 

รวมถึงการมีส่วนร่วมในการรณรงค์ลดการเลือกปฏิบัติ และสร้างความเท่าเทียม ยุติความรุนแรง เสริมสร้างพลังผู้หญิงเพื่อการพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน ในสังคมไทย พร้อมทั้งสามารถสนับสนุนผลิตภัณฑ์ชุมชนผู้หญิง ที่มูลนิธิรักษ์ไทย และ มูลนิธิเพื่อนหญิงร่วมสนับสนุน พัฒนา และเคียงข้าง สร้างสังคมเท่าเทียมมาตลอดระยะเวลากว่า 25 ปี 

ทั้งนี้ผู้ที่เข้าร่วมยังได้เพลิดเพลินกับจับจ่ายซื้อของ และ ได้รับผลิตภัณฑ์จากกิจกรรมในบูธอีกมากมายไม่ว่าจะเป็น บูธจากสำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร แบรนด์กระเป๋าไทยชื่อดังอย่าง NaRaYa แบรนด์ชุดชั้นใน Wacoal  บริษัท ทิพยประกันภัย สินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ชาวบ้านในพื้นที่ห่างไกล ที่มูลนิธิฯได้ทำการสนับสนุนและช่วยเหลือ และอื่นๆอีกมากมาย พร้อมด้วยกิจกรรมเวิร์คช็อปจากชุมชนและครอบครัวหญิงสาวชาวบ้านที่มูลนิธิรักษ์ไทยร่วมเคียงข้าง ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มผ้าเขียนเทียน ต.ป่ากลาง อ.ปัว / กลุ่มวิสาหกิจชมชน บ้านดอนมูล ต.คู่ใต้ อ.เมืองน่าน การทำใบไม้ยัดนุ่น / กลุ่มส่งเสริมอาชีพบ้านกูยิ ต.ตะปอเยาะ อ.ยี่ง้อ จ.บุราธิวาส

ม.แม่โจ้ จัดพิธีลงนาม อนุญาตให้ใช้สิทธิผลงานวิจัย พร้อมต่อยอดเชิงพาณิชย์เตรียมสร้างผลิตภัณฑ์คุณภาพ

วันพฤหัสบดีที่ 9 มีนาคม 2566 อุทยานวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีการเกษตรและอาหาร (MAP) มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จัดให้มีพิธีลงนามอนุญาตให้ใช้สิทธิในผลงานวิจัย ระหว่าง มหาวิทยาลัยแม่โจ้  กับ บริษัท อุตสาหกรรม เทคโนโลยีชีวภาพ (ประเทศไทย) จำกัด โดยได้รับเกียรติจาก รองศาสตราจารย์ ดร.เกรียงศักดิ์ ศรีเงินยวง รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่โจ้ เป็นประธานและกล่าวต้อนรับ โดยมี รองศาสตราจารย์จักรพงษ์ พิมพ์พิมล รักษาการรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่โจ้ กล่าวรายงาน ณ Co-Working Space สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยแม่โจ้

รองศาสตราจารย์ ดร.เกรียงศักดิ์ ศรีเงินยวง รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยแม่โจ้ กล่าวว่า “การลงนามสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิในผลงานวิจัย ภายใต้แนวคิดโดยการนำนวัตกรรมไปใช้ในเชิงธุรกิจ โดยการเชื่อมโยงองค์ความรู้และภูมิปัญญาจากผลงานวิจัยให้สามารถนำไปต่อยอดและขยายผลให้เกิดประโยชน์ได้อย่างเป็นรูปธรรม เป็นการประกาศเกียรติคุณสำหรับนักวิจัยและผู้ประกอบการที่มีส่วนส่งเสริมสนับสนุนให้มีนำผลงานวิจัยสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมของมหาวิทยาลัยไปสู่ภาคธุรกิจอย่างมีศักยภาพ  ขอขอบคุณ บริษัท อุตสาหกรรม เทคโนโลยีซีวภาพ (ประเทศไทย) จำกัด ที่เห็นถึงคุณค่าของผลงานวิจัยของมหาวิทยาลัยแม่โจ้ และนักวิจัยที่ร่วมทุ่มเทสร้างงานวิจัยคุณภาพ จนได้เข้าร่วมลงนามในสัญญาอนุญาตใช้สิทธิ ที่ภาคเอกชนนำไปต่อ

ยอดใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ได้อย่างเป็นรูปธรรม และการแสดงผลิตภัณฑ์ต้นแบบจากบริษัทที่จะถูกผลิตและจำหน่ายออกสู่ตลาดต่อไปในอนาคต  ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ยินดีที่จะสนับสนุนการทำงานร่วมกับภาคเอกชนและประชาชนในรูปแบบอื่นอีก หลากหลายช่องทางเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและชุมชนให้มีความเข้มแข็งต่อไป”

ด้าน รองศาสตราจารย์จักรพงษ์ พิมพ์พิมล รักษาการแทนรองอธิการบดี กล่าวเพิ่มเติมว่า “พิธีลงนามสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิในผลงานวิจัยครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของกระบวนการถ่ายทอดเทคโนโลยี (Technology Transfer)ระหว่างมหาวิทยาลัยและภาคธุรกิจ โดยความรู้และงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ถือเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญ ที่จะขับเคลื่อนประเทศให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันกับนานาประเทศเพิ่มมากขึ้น ช่วยให้เศรษฐกิจเจริญเติบโต อย่างมีเสถียรภาพ ยั่งยืน มีการกระจายรายได้ไปสู่สังคมการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างและต่อยอดองค์ความรู้ให้มีความเท่าทันต่อโลกสมัยใหม่ ซึ่งการลงนามสัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิระหว่างมหาวิทยาลัยแม่โจ้กับบริษัท อุตสาหกรรม เทคโนโลยีชีวภาพ (ประเทศไทย) จำกัด จำนวน 3 สัญญา เป็นการต่อยอดงานวิจัยเป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพสู่ตลาดต่อไป  เวทีนี้จึงเป็นการสร้างความเข้าใจและเชื่อมโยงกันระหว่างภาครัฐภาคการศึกษา ภาคธุรกิจ และภาคประชาชน นำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน”

 ผลงานวิจัยที่จะเข้าร่วมลงนามอนุญาตใช้สิทธิในผลงานครั้งนี้มี จำนวน 3 สัญญา ได้แก่ เรื่อง กระบวนการผลิตถั่วเหลืองหมักด้วยหัวเชื้อ

ผลงานโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ไพโรจน์ วงศ์พุทธิสิน และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปิยะนุช  เนียมทรัพย์  สังกัด คณะวิทยาศาสตร์


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top