Monday, 13 May 2024
NEWS FEED

Huawei บริษัทเทเลคอมส์ อภิมหายักษ์ใหญ่ของจีน ตัดสินใจทุกกระปุก สร้างโรงงานเต็มรูปแบบนอกบ้านตัวเองเป็นแห่งแรกของโลก

โดยเลือกเมืองบรูแมธ ที่ตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกของฝรั่งเศส ใกล้กับรอยต่อพรมแดนของประเทศเยอรมันเป็นฐานการผลิต

ซึ่งการเปิดโรงงานในยุโรปครั้งนี้ไม่ได้มาเล่นๆ เหริน เจิ้งเฟย ประธานบริษัท Huawei ทุ่มเม็ดเงินลงทุนถึง 200 ล้านยูโร (ประมาณ 7.3 พันล้านบาท) สร้างโรงงาน Huawei เป็นฐานการผลิตของบริษัท และสร้างตลาดผลิตภัณฑ์ 5G เพื่อป้อนสู่ตลาดทั่วทั้งยุโรป คาดว่าสามารถสร้างงานให้คนในท้องถิ่นได้ไม่น้อยกว่า 300 อัตรา

นอกจากนี้ ยังทำงานร่วมกับศูนย์วิจัยพัฒนา 23 แห่ง และมหาวิทยาลัยในยุโรปอีกกว่า 100 แห่ง เพื่อร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ รวมถึง ซัพพลายเออร์อีกกว่า 3,100 เจ้า โดยตั้งเป้าหมายที่จะขยายฐานลูกค้า 5G ในยุโรป ที่อาจมีมูลค่าสูงถึง 1 พันล้านยูโรต่อปี

นายฌอง ร็อตเนอร์ ประธานแคว้นกร็องแต็สต์ ทางภาคตะวันออกของฝรั่งเศสให้ความเห็นว่า การลงทุนของ Huawei ถือเป็นข่าวที่วิเศษมาก ซึ่งเขาเชื่อมั่นว่าการลงทุนในครั้งนี้จะสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจข้ามพรมแดนได้เลยทีเดียว

ถึงแม้ว่าการรุกตลาดยุโรปในครั้งนี้ มีความเสี่ยงจากสงครามการค้าจีน-สหรัฐ ที่ยังคงคุกรุ่นตั้งแต่สมัยประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมพ์ ที่บีบให้ประเทศพันธมิตรให้ร่วมกันคว่ำบาตร Huawei โดยการยกเลิกสัญญาการใช้ระบบ 5G ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยของข้อมูลด้านความมั่นคง และมีบางประเทศในยุโรปที่แสดงท่าทีชัดเจนแล้วว่าจะไม่ใช้ระบบเทคโนโลยีของ Huawei อย่างแน่นอน เช่น อังกฤษ และ สวีเดน

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ตลาดยุโรปถือเป็นตลาดต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดของ Huawei และหลายประเทศยังคงอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาสัญญา 5G ของบริษัท รวมทั้งรัฐบาลฝรั่งเศสยังไม่ได้แสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่าจะร่วมแบน Huawei กับสหรัฐอเมริกาหรือไม่

การแถลงข่าวเปิดโรงงานใหม่นอกประเทศครั้งแรกของ Huawei จึงเป็นการรุกตลาดยุโรปอย่างเต็มตัว ซึ่งทาง Huawei มั่นใจว่าน่าจะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า แต่ต้องแบกรับความเสี่ยงที่ยังคาดเดาไม่ได้ หลังจากที่สหรัฐอเมริกากำลังจะเปลี่ยนผ่านรัฐบาลใหม่ในปีหน้า ว่าจะมีมาตรการกดดันจีนอย่างไร เพื่อไม่ให้จีนก้าวขึ้นมาเป็นเจ้าตลาดด้านเทคโนโลยี 5G เบอร์ 1 ของโลก


แหล่งข่าว

https://www.france24.news/en/2020/12/huawei-to-set-up-its-first-factory-outside-china-in-eastern-france-2.html

https://today.rtl.lu/news/business-and-tech/a/1631954.html

http://www.xinhuanet.com/english/2020-12/18/c_139598602.htm

“ซิโก้” อดีตนักฟุตบอล และหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย เดินทางไปคุมสโมสรดังในเวียดนามแล้ว

เมื่อวันที่ 17 ธันวาคมที่ผ่านมา "ซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ได้ออกเดินทางสู่ประเทศเวียดนาม โดยได้โพสต์เฟซบุ๊กอำลาครอบครัว ทั้งนี้ถือเป็นการกลับไปที่สโมสรฮองอันห์ยาลายแห่งนี้อีกครั้งเป็นครั้งที่ 3 หลังจากก่อนหน้านี้เคยไปทำหน้าที่ทั้งนักฟุตบอล และเป็นโค้ชให้กับยอดทีมแห่งวีลีกมาแล้ว

โดย "ซิโก้" กล่าวถึงการไปคุมทัพฮองอันห์ยาลายครั้งนี้ ว่า "ส่วนตัวนั้นก็หวังพาทีมไปเล่นเอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก ให้ได้ เพราะว่าสมัยที่มาค้าแข้งที่นี่เคยไปลุยบอลเอเชียมาแล้ว 2 ครั้ง"

"การมาเป็นโค้ชก็อยากพาทีมกลับไปเล่นเอเอฟซี แชมป์เปี้ยนส์ลีก ให้ได้เหมือนกัน"


ขอบคุณภาพเฟซบุ๊ก Kiatisuk Senamuang

รมว.กระทรวงแรงงาน "สุชาติ ชมกลิ้น" ยันงาน Job Expo ประสบความสำเร็จ หลัง 3เดือน จ้างงานแล้วเกือบ 4 แสนตำแหน่ง พร้อมแจงตัวเลขจ้างเด็กจบใหม่น้อย เพราะเพียงเสี้ยวเดียวของการจ้างงานทั้งระบบ

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวถึงความคืบหน้าการจ้างงานภายหลังการจัดมหกรรม Job Expo Thailand 2020 ว่า สำหรับการจัดงานดังกล่าวจำนวน 1 ล้านตำแหน่ง ถือเป็นนโยบายที่ยิ่งใหญ่ของรัฐบาล

ซึ่งตัวเลขบรรจุงานล่าสุด คือ 399,072 อัตรา หรือประมาณร้อยละ 40 โดยเป็นการจ้างงานของภาครัฐ 2 แสนอัตรา เอกชน 1 แสนตำแหน่ง และส่งแรงงานไปต่างประเทศ 3 หมื่นอัตรา เป็นต้น โดยใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือนหลังการจัดงานจ็อบเอ็กซ์โป ปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก

แต่จากข้อมูลของบางสื่อได้วิเคราะห์ อาจโฟกัสไปที่นักศึกษาจบใหม่ ซึ่งถือเป็นเสี้ยวหนึ่งของการจัดงานดังกล่าว มีการจ้างงาน 4 กลุ่ม และนักศึกษาจบใหม่เป็น 1 กลุ่มเท่านั้น

"เราตั้งเป้าจ้างนักศึกษาจบใหม่ 2.6 แสนอัตราก็จริง แต่การจ้างงานนักศึกษาจบใหม่ตั้งแต่เดือน เม.ย.-ต.ค. มีจำนวน 182,000 คน และ ภายหลังการจัดงานจ็อบเอ็กซ์โปเมื่อปลายเดือนกันยายน ซึ่งเป็นตัวเลขระหว่างวันที่ 1 ต.ค.-31 ต.ค. มีการจ้างงานคนที่มีอายุต่ำกว่า 25 ปีลงมา 2 หมื่นกว่าอัตรา แต่เข้าระบบ Co-payment หรือจ้างงานเด็กจบใหม่ ที่มีบางสื่อ ระบุว่า จ้างงาน 2,000 อัตราเท่านั้น

ทั้งนี้ เมื่อเข้าไปตรวจสอบพบว่า มีหลายบริษัทที่ไม่เข้าร่วมโครงการจ้างนักศึกษาจบใหม่ เพราะอยู่ในภาคธุรกิจที่ยังแข็งแรงอยู่แล้ว และต้องการสร้างความมั่นคงในชีวิตให้พนักงาน เช่น ธุรกิจยานยนต์ อุตสากรรมรถยนต์ สิ่งทอ ซึ่งขณะนี้ฟื้นตัวแล้ว

ดังนั้นหากจ้างนักศึกษาจบใหม่ เข้าโครงการนี้ อาจจะไม่ได้รับความมั่นคงในชีวิต เนื่องจากเป็นการจ้างงานระยะเวลาเพียงปีเดียว ซึ่งบริษัทต่าง ๆ มีความแข็งแรง จึงสามารถจ้างแรงงานปกติได้ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังมีงบประมาณเพื่อรับนักศึกษาที่จบใหม่ในเดือน เม.ย. ปี 2564 แน่นอน"

สำหรับโครงการ Co-payment รัฐบาลทำขึ้นเนื่องจากมีความเป็นห่วงธุรกิจสตาร์ทอัพ ธุรกิจ SME ที่มีกำลังเม็ดเงินจำนวนน้อย และถือเป็น 1 ใน 4 ของงานจ็อบเอ็กซ์โปเท่านั้นเอง

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน ( 18 ธันวาคม พ.ศ.2563)

ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน โดยประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 16 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 4,297 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมยอดผู้เสียชีวิต 60 ราย รักษาหายเพิ่ม 16 ราย รวมผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 4,005 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 232 ราย

ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 16 ราย เป็นคนไทย 11 ราย สัญชาติสวิส 2 ราย อินเดีย 1 ราย เบลารุส 1 ราย เนเธอร์แลนด์ 1 ราย

ขณะเดียวกันสถานการณ์ COVID-19 ของประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการอัพเดทดังนี้

ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 152 ราย รักษาหายแล้ว 148 ราย เสียชีวิต 3 ราย

ประเทศกัมพูชา ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 362 ราย รักษาหายแล้ว 341 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศอินโดนีเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 6.44 แสน ราย รักษาหายแล้ว 5.27 แสน เสียชีวิต 19,390 ราย

ประเทศลาว ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 41 ราย รักษาหายแล้ว 36 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศมาเลเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 89,133 ราย รักษาหายแล้ว 74,030 ราย เสียชีวิต 432 ราย

ประเทศพม่า ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.13 แสน ราย รักษาหายแล้ว 91,537 ราย เสียชีวิต 2,377 ราย

ประเทศฟิลิปปินส์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 4.54 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.2 แสน ราย เสียชีวิต 8,850 ราย

ประเทศสิงคโปร์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 58,377 ราย รักษาหายแล้ว 58,252 ราย เสียชีวิต 29 ราย

ประเทศเวียดนาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1,407 ราย รักษาหายแล้ว1,263 ราย เสียชีวิต 35 ราย

ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. ได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ พร้อมเตรียมติดกำไลอีเอ็มคุมประพฤติ หลังศาลพิพาษาจำคุกเป็นเวลา 2 ปี 8 เดือน โดยคุมขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 26 มิถุนายน 2563

หลังจาก ‘ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช.’ ที่ถูกศาลพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 2 ปี 8 เดือน และคุมขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 26 มิถุนายน 2563 ในคดีการชุมนุมหน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ เมื่อปี 2550

ล่าสุดวันนี้ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้รับการปล่อยตัวแล้ว

โดยจะมีการติดกำไลอีเอ็มระหว่างการพักโทษและถูกคุมประพฤติอีกระยะ โดยไม่ได้ระบุระยะเวลาสิ้นสุดที่ชัดเจน สำหรับการปล่อยตัว ในครั้งนี้

ด้าน วิตถวัลย์ สุนทรขจิต อธิบดีกรมคุมประพฤติ กล่าวว่า “เงื่อนไขการปล่อยตัวของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แล้วแต่คดี โดย ณัฐวุฒิ เป็นผู้ต้องหาคดีการชุมนุมทางการเมือง หากได้รับการพักโทษเข้าสู่กระบวนการคุมประพฤติ การไปร่วมชุมนุมอีกครั้งอาจไม่เหมาะสม”

ซึ่งโครงการสำหรับพักการลงโทษนักโทษชั้นกลางขึ้นไป ต้องได้รับโทษมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของกำหนดโทษ และเหลือโทษที่ต้องได้รับต่อไม่เกิน 5 ปี โดยกรณี นายณัฐวุฒิ ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร นับเป็นนักโทษเด็ดขาดชั้นดีมาก

ฝุ่นพิษ PM 2.5 ยังหนัก! นิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย นำทีมทุกหน่วยงานในสังกัด ปฏิบัติการ Big Cleaning day ล้างถนนสายหลักพร้อมกัน 50 เขตทั่วกทม.

เมื่อคืนวันที่ 17 ธ.ค. 2563 ที่ผ่านมา นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.) พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รองผบช.น. นำเจ้าหน้าที่ในสังกัดกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กองอาสารักษาดินแดน (อส.) สังกัดกระทรวงมหาดไทย เจ้าหน้าที่เทศกิจและสำนักรักษาความสะอาด กทม. ตลอดจนเจ้าหน้าที่ทหาร และตำรวจร่วมทำกิจกรรมทำความสะอาด (Big Cleaning day) ล้างฝุ่นและมลพิษทางอากาศที่บริเวณถนนสายหลักกลางเมือง เพื่อบรรเทามลพิษจากฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน หรือ พีเอ็ม 2.5 (PM2.5) โดยเริ่มต้นที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

"เนื่องด้วยทางรัฐบาลโดยท่านนายกรัฐมนตรี และท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมีความห่วงใยต่อสถานการณ์ซึ่งการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ก็ได้มีการหารือถึงสถานการณ์ดังกล่าวว่ามีรุนแรงและต้องเร่งแก้ไขโดยด่วน จึงมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย(มท.)และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) บูรณาการร่วมกันจัดการแก้ปัญหา โดยกระทรวงมหาดไทย ซึ่งกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยภายใต้สังกัดกระทรวงมหาดไทยนั้น จึงได้จัดประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ปัญหา

สำหรับกรุงเทพมหานครช่วงเวลานี้ เมื่ออากาศไม่เอื้ออำนวย ไม่มีลมพัดผ่าน ทำให้ฝุ่นละออง PM 2.5 ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของพี่น้องประชาชน จึงได้จัดการแก้ไขสาเหตุของการเกิดฝุ่นละอองเพิ่มเติม เช่น การลดความหนาแน่นของการคมนาคมสัญจร โดยเฉพาะอย่างยิ่งยานพาหนะที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล กว่า 45% ก่อให้มลพิษทางอากาศ การควบคุมกิจกรรมที่ก่อให้เกิดฝุ่นในพื้นที่ก่อสร้าง โดยจะให้มีการชะลอการก่อสร้างในช่วงเดือนมกราคมและเดือนกุมภาพันธ์

นอกจากนี้ยังขอความร่วมมือไปยังจังหวัดข้างเคียง ปริมณฑลในการเผาขยะและจุดไฟเพื่อการเกษตร อีกด้วย โดยในวันนี้เป็นการเริ่มต้นในกรุงเทพ รวมกันพร้อมกันทั้ง 50 เขต และจะดำเนินการต่อเนื่องพร้อมติดตามประเมินทุกระยะ" นายนิพนธ์กล่าว

วิจารณ์หนักหลังกองทัพอากาศหั่นงบร่วม 54.43 ล้านบาท ปรับปรุงห้องน้ำเครื่องบิน ‘วีวีไอพี’ A340-500 รหัส HS-TYV จำนวน 1 ห้อง โดยอ้างราคาสมเหตุสมผล เนื่องจากห้องน้ำนี้มีความซับซ้อนในด้านวิศวกรรมและต้องใช้เทคนิคขั้นสูง

สำหรับเครื่องบินลำดังกล่าวเป็นเครื่องบินมือสองที่ซื้อต่อมาจากบริษัทการบินไทย จำกัด และได้มีการปรับปรุงครั้งแรกไปแล้ว 1 ครั้งด้วยการเปลี่ยนเก้าอี้ที่นั่ง เพราะของเดิมผ่านการใช้งานมานาน และครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ในการปรับปรุงห้องน้ำ

ทว่าทันทีที่เอกสารโครงการปรับปรุงห้องน้ำเครื่องบินดังกล่าว ได้เผยแพร่สู่โลกออนไลน์ ก็กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่า มีความเหมาะสมหรือไม่ เนื่องจากตอนนี้ประชาชนกำลังเผชิญกับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 จนรัฐบาลเองก็ยังต้องกู้เงินมาใช้จ่าย

จากกระแสวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าว ทำให้ทางกองทัพอากาศ ต้องออกมาชี้แจงถึงสาเหตุในการปรับปรุงห้องน้ำบนเครื่องบินลำนี้ว่าไม่ใช่ห้องน้ำทั่วไป หากแต่เป็นห้องน้ำบนเครื่องบิน ที่มีความซับซ้อนในด้านวิศวกรรมและต้องใช้เทคนิคขั้นสูง

นอกจากนี้มีการเปิดเผยข้อมูลในเว็บไซต์กรมช่างอากาศที่ประกาศตามกฎหมายป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ซึ่งราคา 54.43 ล้านบาทนั้น ไม่ได้แพงเกินความจำเป็นจากราคาท้องตลาด สามารถตรวจสอบได้จากเว็บไซต์ดัดแปลงอากาศยานที่มีการเปรียบเทียบราคาไว้อย่างสมเหตุสมผล

ยิ่งไปกว่านั้น การปรับปรุงห้องน้ำบนเครื่องบินไม่ได้ปรับปรุงง่ายเหมือนกับห้องน้ำบ้าน เพราะจะต้องมีการวางระบบท่อและออกแบบใหม่ ถือเป็นวิศวกรรมราคาสูง ใช้เทคนิคของประเทศเยอรมัน

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า จับมือกับ Shopee จัดแคมเปญ "พาณิชย์ลดกระหน่ำ New Year Grand Sale 2021" จำหน่ายสินค้าของดีชุมชนบนแพลตฟอร์ม Shopee ในราคาพิเศษ

เพียงใช้ Code ‘MOC20’ เริ่ม 24 ธันวาคม 2563 - 1 มกราคม 2564 หวัง ! งานนี้ช่วยเงินหมุนเวียนในท้องถิ่นพร้อมลดรายจ่ายผู้บริโภค

วีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า "กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้จับมือกับ Shopee ตลาดกลางออนไลน์ขนาดใหญ่ระดับโลก เปิดตัวแคมเปญ "พาณิชย์ลดกระหน่ำ New Year Grand Sale 2021" ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 24 ธันวาคม 2563- 1 มกราคม 2564 สามารถเข้าเลือกซื้อสินค้าได้ที่ www.shopee.co.th/dbdonline หรือเลือกที่หัวข้อ All Campaigns ผ่านทางแอปพลิเคชั่น Shopee และยังสามารถกรอกรหัส "MOC20" เพื่อใช้เป็น Code ส่วนลดได้ถึง 20%"

วีรศักดิ์ กล่าวต่อว่า "ตลอดปี 2563 ได้ดำเนินกิจกรรมในลักษณะนี้มาอย่างต่อเนื่องนับเป็นครั้งที่ 3 แล้ว โดยที่ผ่านมาได้ช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการชุมชนที่ผ่านการคัดสรรและสินค้าชุมชนคุณภาพดีจากทั่วประเทศ ให้สามารถขยายช่องทางการขายสินค้าได้ จากเดิมที่ขายผ่านหน้าร้านหรือการออกบูทกิจกรรมต่างๆ ก็สามารถขยายเข้าสู่ช่องทางออนไลน์ ซึ่งจะกลายเป็นประตูบานใหม่ของผู้ประกอบการชุมชนให้มีโอกาสจำหน่ายสินค้าได้มากขึ้น

ไม่ใช่เฉพาะแค่ในประเทศแต่อาจจะก้าวไปสู่ต่างประเทศได้ด้วย กิจกรรมพาณิชย์ลดกระหน่ำ New Year Grand Sale 2021 ได้รวบรวมสินค้าชุมชนมากกว่า 1,000 รายการ จาก 176 ร้านค้า ประกอบด้วยสินค้าหลากหลายประเภท อาทิ ขนมขบเคี้ยว เครื่องใช้ภายในบ้าน ความงาม ของใช้ส่วนตัว เครื่องประดับ และสินค้าแฟชั่น โดยการจัดกิจกรรมที่ผ่านมาพบว่า สินค้าชุมชนที่เป็นสินค้ายอดนิยมจากผู้บริโภคจะเป็นผลไม้แปรรูป เช่น กล้วยทอด ทุเรียนทอด เป็นต้น ซึ่งการจำหน่ายผ่านทางออนไลน์ได้ช่วยสร้างยอดขายให้กับผู้ประกอบการชุมชน ได้อย่างเป็นรูปธรรม”

“ความร่วมมือระหว่างกรมฯ กับ Shopee ในครั้งนี้ จะเกิดประโยชน์ในหลายมิติทั้งด้านการสร้างโอกาสและผลักดันให้ผู้ประกอบการชุมชนสามารถขยายตลาดเข้าสู่ช่องทางการออนไลน์ได้ นำไปสู่พื้นฐานที่เข้มแข็ง ต่อยอดธุรกิจในอนาคต สำหรับกลุ่มผู้บริโภคที่ถือเป็นฟันเฟืองหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้หมุนเวียน ในประเทศจะได้จับจ่ายสินค้าชุมชนในราคาที่ถูกลงโดยไม่ต้องเดินทางออกไปยังแหล่งผลิตทั่วประเทศ และยังเป็นช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ทุกคนกำลังมองหาของขวัญเพื่อนำไปมอบให้กับคนใกล้ชิดอยู่แล้ว

จึงเป็นโอกาสดีที่ผู้บริโภค จะได้ซื้อสินค้าชุมชนออนไลน์ที่มีคุณภาพดีแบบพรีเมี่ยมจากผู้ประกอบการโดยตรงและง่ายขึ้น อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมสินค้าที่เป็นอัตลักษณ์ของไทยไปสู่กลุ่มคนที่หลากหลายมากขึ้น รวมถึงสร้างรายได้กระจายสู่ท้องถิ่น และส่งผลดีไปยังหลายครอบครัวทำให้มีความอยู่ดีกินดีขึ้นตามมา"

"กระทรวงพาณิชย์มุ่งมั่นที่จะสร้างผู้ประกอบการสินค้าชุมชนให้มีความเข้มแข็ง พัฒนาองค์ความรู้ด้านการพัฒนาสินค้าและการตลาด พร้อมกับมองหาช่องทางการตลาดใหม่ ๆ เพื่อผลักดันผู้ประกอบการเติบโตขึ้นมากไปกว่านั้นจะเร่งขยายความร่วมมือกับภาคเอกชนในส่วนต่าง ๆ มากขึ้น สร้างพลังในการขับเคลื่อนระหว่างผู้ประกอบธุรกิจขนาดใหญ่และเล็กให้เดินหน้าด้วยเทคโนโลยีไปพร้อมกัน

สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจจะพัฒนาธุรกิจเข้าสู่ตลาดออนไลน์ สามารถสอบถามรายละเอียดและข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ส่วนนวัตกรรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ กองพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า สายด่วน 1570 โทรศัพท์หมายเลข 02-547-5961 และ www.dbd.go.th"

กงสุลใหญ่ฯ และทีมประเทศไทย ณ เมืองมุมไบ ร่วมแสดงความยินดีกับ บ. ITD Cementation India กับความสำเร็จในการเจาะ breakthrough อุโมงค์สุดท้าย Mumbai Metro Line 3 Krishna -1

เป็นความภาคภูมิใจของคนไทย วิศวกรไทย และบริษัทไทย ที่ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับชาวมุมไบ ประเทศอินเดีย


Credit : Facebook Page : สถานกงสุลใหญ่ ณ เมืองมุมไบ Royal Thai Consulate-General, Mumbai

หลังจากเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2563 ได้มีการเปิดลงทะเบียนโครงการคนละครึ่งเฟส 2 ขึ้น ซึ่งมีผู้ให้ความสนใจเข้าร่วมลงทะเบียนเป็นจำนวนมาก โดยมีผู้ลงทะเบียนเต็มภายในเวลา 2 ชั่วโมง

อย่างไรก็ตาม พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึง การลงทะเบียนในเฟส 2 นี้ว่า ระบบจะต้องตรวจสอบคุณสมบัติอีกครั้งว่าถูกต้องหรือไม่ หากไม่ตรงตามคุณสมบัติจะถูกตัดสิทธิ์ให้ผู้อื่น

นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงโครงการคนละครึ่ง ในเฟสต่อไป หรือ ‘เฟส 3’ ว่า จะมีต่อหรือไม่ ซึ่งนายกฯ กล่าวว่า อาจจะเป็นไปได้ แต่ต้องพิจารณาอีกครั้งทั้งในด้านงบประมาณ, สถานการณ์โควิด-19 และสถานะการเงินการคลังของรัฐบาลด้วย

ทั้งนี้จากความสำเร็จของโครงการคนละครึ่ง ได้มีประชาชนบางส่วนตั้งคำถามว่าเป็นแนวคิดของใคร โดยนายกรัฐมนตรี ให้คำตอบว่า “โครงการคนละครึ่งเป็นแนวคิดของตน เป็นคนคิดนโยบายและหลักการ จากนั้นก็ให้คณะทำงานนำไปสานต่อ”


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top