Saturday, 5 July 2025
NEWS FEED

ผบ.ฉก.นราธิวาส เปิดการจัดกิจกรรมฝึกอบรมเพิ่มประสิทธิภาพชุดปฏิบัติการลาดตระเวนทางน้ำ ตามแนวลำน้ำชายแดนไทย-มาเลเซีย 

ที่ฐานปฏิบัติการกองร้อยชุดควบคุมป้องกันชายแดน ที่ 4 บ้านศรีพงัน ตำบลเกาะสะท้อน อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส พลตรี เฉลิมพร ขำเขียว ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 15 ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส เดินทางลงพื้นที่ เป็นประธานพิธีเปิดการจัดกิจกรรมฝึกอบรมเพิ่มประสิทธิภาพชุดปฏิบัติการลาดตระเวนทางน้ำ ตามแนวลำน้ำชายแดนไทย-มาเลเซีย โดยมีพันเอก จตุพร ธานีพัฒน์ รองผู้บังคับชุดควบคุมป้องกันชายแดน, หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธิน กองทัพเรือ, ตำรวจตระเวนชายแดน และส่วนที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมกิจกรรม 

สำหรับกิจกรรมฝึกอบรมเพิ่มประสิทธิภาพชุดปฏิบัติการลาดตระเวนทางน้ำ ตามแนวลำน้ำชายแดนไทย-มาเลเซีย จัดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เจ้าหน้าที่มีความรู้ความสามารถในการขับเรือยนต์ลาดตระเวนทางน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนมีความรู้ในการบำรุงรักษาเครื่องยนต์เรือให้สามารถใช้การได้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าใจยุทธวิธีของฝ่ายตรงข้าม กรณีถูกซุ่มโจมตี สามารถตอบโต้ได้อย่างทันท่วงที เพื่อให้กำลังพลรู้หลักและยุทธวิธีการตรวจค้นเรือ และตรวจค้นสิ่งผิดกฎหมายเพิ่มขึ้น  

ตลอดจนเพื่อให้กำลังพลรู้หลักการช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางน้ำ และสามารถทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นได้ ซึ่งกิจกรรมดังกล่าว มีกำลังพลผู้เข้าการอบรมทั้งสิ้น จำนวน  50 นาย จัดจาก เจ้าหน้าที่ทหาร ชุดควบคุมป้องกันชายแดน ที่ 3 และ ชุดควบคุมป้องกันชายแดน ที่ 4 จำนวน 20 นาย, เจ้าหน้าที่ ตำรวจตระเวนชายแดน จัดจากชุดเฝ้าตรวจชายแดน ในพื้นที่ อำเภอสุไหงโกลก และ อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส จำนวน 30 นาย ได้แก่ ชุดเฝ้าตรวจที่ 4412, ชุดเฝ้าตรวจที่ 4413 และ ชุดเฝ้าตรวจที่ 4414 จำนวยหน่วยละ 10 นาย ที่ปฏิบัติภารกิจในพื้นที่ตามแนวชายแดน ด้านจังหวัดนราธิวาส โดยมี วิทยากรชุดครูฝึก จัดจาก หน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธิน กองทัพเรือ เป็นผู้อบรม ให้ ความรู้ แก่กำลังพลผู้เข้ารับการฝึกทุกนาย 

‘ชัชชาติ’ เผยกทม. พบเสพกัญชาดับ 1 ราย ยังนอนร.พ.อีก 3 มีเด็กอายุ 16 ด้วย

ผู้ว่าฯ ชัชชาติ เผยข้อมูลสำนักการแพทย์ พบผู้ป่วยใช้กัญชามากเกินขนาดถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล 4 ราย และ หนึ่งในนั้นเสียชีวิต 1 ราย เล็งประกาศให้โรงเรียนในสังกัดปลอดกัญชา ขอพิจารณากฎหมายทำได้หรือไม่

เมื่อวันที่ (14 มิ.ย.2565)  นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยข้อมูลในการประชุมคณะผู้บริหารกรุงเทพมหานคร กรณีพบข้อมูลผู้ป่วยใช้กัญชามากจนเกินไปภายหลังปลดล็อกกัญชาออกจากยาเสพติดเมื่อวันที่ (9 มิ.ย.2565) ที่ผ่านมา ว่า   สำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร รายงานข้อมูลผู้ป่วย Overdose  กัญชาที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลสังกัดสำนักการแพทย์ พบ 4 ราย มี 1 รายเสียชีวิต ประกอบด้วย

1. รพ.ตากสิน ผู้ป่วย 2 ราย เพศชายอายุ 17 ปี และ 25 ปี อาการใจสั่น คาดว่าเกิดจากผลข้างเคียงของการเสพกัญชา

2. เจริญกรุงประชารักษ์ 1 ราย เพศชาย อายุ 51 ปี แน่นหน้าอกหลังเสพกัญชา มาด้วย heart failure และมี cardiac arrest ผู้ป่วยเสียชีวิต

3. รพ.หลวงพ่อทวีศักดิ์ ชุตินธโรอุทิศ 1 ราย เพศชายอายุ 16 ปี 6 เดือน เสพกัญชามาก  Overdose  ขณะนี้ On ET  tube อยู่ icu

นายกฯ ตรวจราชการจังหวัดสกลนคร ติดตามงานนโยบายรัฐบาล15 มิ.ย.นี้

นายกฯ ตรวจราชการ ‘สกลนคร’ (15 มิ.ย.) นี้ ตามติดโครงการพระราชดำริ เยี่ยมชมเกษตรมูลค่าสูง สมุนไพรปลอดสารเคมี พบกลุ่มผู้เลี้ยงโคขุนโพนยางคำ พร้อมกราบนมัสการหลวงปู่อว้าน สักการะองค์พระธาตุเชิงชุมวรวิหาร และหลวงพ่อพระองค์แสน

ในวันที่ 15 มิถุนายน 2565 พลเอก ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมคณะฯ มีกำหนดการเดินทางลงพื้นที่ตรวจราชการที่จังหวัดสกลนคร โดยเวลา 07.00 น. นายกฯ พร้อมด้วยพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและคณะฯ จะเดินทางออกจากท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) ดอนเมือง กรุงเทพฯไปยังสนามบินกองทัพบกค่ายกฤษณ์สีวะรา ต.ธาตุเชิงชุม อ.เมืองสกลนคร จ.สกลนคร โดยเครื่องบิน Superjet ของกองทัพอากาศ และลงสนามบินกองทัพบกค่ายกฤษณ์สีวะรา เวลาประมาณ 08.00 น.

จากนั้นจะเดินทางด้วยขบวนรถยนต์ ไปยังโรงพยาบาลพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร ต.พรรณา อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร เพื่อตรวจเยี่ยมความก้าวหน้าการเป็นศูนย์กลางสมุนไพร โดยนางจุรีรัตน์ เทพอาสน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร ให้การต้อนรับ ก่อนรับฟังรายงานผลการดำเนินงานด้านเกษตรมูลค่าสูง สมุนไพรอินทรีย์ปลอดสารเคมี (มหานครแห่งพฤษเวช) โดยโรงพยาบาลพระอาจารย์ฝั้น อาจาโร แผนแม่บทว่าด้วยการพัฒนาสมุนไพรไทย (ปี 2560 – 2564) โดยสำนักงานสาธารณสุข จังหวัดสกลนคร

เวลาประมาณ 10.00 น. นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะจะเดินทางไปยังศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ต.ห้วยยาง อ.เมืองสกลนคร จ.สกลนคร เพื่อตรวจเยี่ยมโครงการพระราชดำริ ของจังหวัดสกลนคร ณ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อ.เมืองสกลนคร โดยจะชมวีดิทัศน์ผลการดำเนินงานตามโครงการพระราชดำริ ของจังหวัดสกลนคร พร้อมเยี่ยมชมโครงการพระราชดำริด้านปศุสัตว์ อาทิ หมูดำ, ไก่ดำ, โคดำ, กระต่ายดำ, แพะ ฯลฯ
 

ห้างวอลมาร์ทเลิกขาย ‘กะทิชาวเกาะ’ ของไทย หลัง PETA แฉใช้แรงงานลิงเก็บมะพร้าวเยี่ยงทาส

‘วอลมาร์ท’ ค้าปลีกยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯตามอย่างห้างดังอื่น ๆ ในอเมริกาสั่งยกเลิกขายกะทิชาวเกาะแบรนด์ดังจากไทยหลัง PETA เปิดเผยการใช้แรงงานลิงบังคับขึ้นเก็บมะพร้าวในไทย 

บิสซิเนสอินไซเดอร์ รายงานวันพฤหัสบดี(9 มิ.ย)ว่า ในรายงานการสอบสวนของ PETA จำนวน 2 ชิ้นค้นพบว่ามีการใช้ลิงล่ามโซ่เก็บมะพร้าวโดยลิงเหล่านี้โดนขังกรงในอุตสาหกรรมการผลิตน้ำกะทิกระป๋องชื่อดังจากไทย

ห้างยักษ์ใหญ่วอลมาร์ท(Walmart)ชื่อดังที่มีสาขาทั่วสหรัฐฯล่าสุดยกเลิกการจำหน่าย "กะทิชาวเกาะ" แบรนด์ดังจากไทย ยอมเดินตามอย่างห้างยักษ์ใหญ่ต่าง ๆ ในอเมริการายอื่น ๆ ก่อนหน้า

ทั้งนี้ห้างในอเมริกาอื่น ๆ ที่ตัดสินใจยกเลิกการจำหน่ายกะทิชาวเกาะเป็นต้นว่า ห้างทาร์เก็ต(Target) ที่มีสาขาทั่วอเมริการาว 1,931 สาขา ห้างโครเกอร์ (Kroger) มีสาขาเกือบ 2,800 สาขา ห้างอัลเบิร์ตสันส์(Albertsons) มีราว 2,253 สาขา ห้าง Stop & Shop มีราว 415 สาขา ห้างฟู๊ดไลออน (Food Lion) มีราว 1,100 สาขา ห้างพับลิกซ์ (Publix)มีราว 1,288 สาขา ส่วนห้างเว็กแมนส์( Wegmans)มีราว 107 สาขา และห้างคอสต์โก(Costco)มีราว 572 สาขาทั่วสหรัฐฯ ต่างพร้อมใจยกเลิกการจำหน่ายกะทิชาวเกาะเช่นกันเป็นผลมาจากการเผยแพร่การสอบสวนของ PETA ในเรื่องนี้

สำหรับวอลมาร์ทพบว่ามีสาขาทั่วอเมริการาว 10,500 สาขา ซึ่งทั้งห้างวอลมาร์ท ห้างทาร์เก็ตและห้างคอสต์โกนั้นเป็นห้างที่มีสาขาเปิดทั่วโลก

บริษัทเทพพดุงพรมะพร้าวจำกัดเป็นผู้ผลิตกะทะชาวเกาะมีฐานการผลิตอยู่ในไทย 

โดยบนเว็บไซต์ทางการในรายงานการสอบสวนของ PETA ภายใต้หัวข้อ “10 เหตุผลที่ลิงต้องการให้พวกเราต้องไม่ซื้อกะทิชาวเกาะ” (https://www.peta.org/features/chaokoh-coconut-milk-monkeys/) กล่าวยืนยันว่า กะทิชาวเกาะที่มีจำหน่ายในบางห้างทั่วสหรัฐฯนั้นมีการใช้แรงงานทาสจากลิงเกิดขึ้น

โดยในรายงานกล่าวว่าลิงที่ถูกใช้เก็บมะพร้าวเพื่อนำมาผลิตเป็นน้ำกะทินั้นถูกล่ามโซ่ตลอดเวลา ทำการฝึกสอนอย่างทารุณ และบังคับให้ลิงขึ้นต้นมะพร้าวเพื่อเก็บมะพร้าว

ซึ่งหนึ่งในเหตุผลหลักที่ทาง PETA ให้กับผู้บริโภคจนนำมาสู่การบอยคอตจากห้างชื่อดังหลายห้างในสหรัฐฯคือ ลิงจำนวนมากในไทยที่ถูกใช้ในอุตสาหกรรมมะพร้าวมีรายงานว่าเป็นลิงเถื่อนที่ถูกพรากมาจากครอบครัวของพวกมัน

นอกจากนี้ในเหตุผลอื่น ๆ ยังรวมไปถึงลิงเหล่านี้ถูกปฎิบัติอย่างไร้มนุษยธรรมด้วยการที่ลิงพวกนี้ไม่สามารถมีอิสระในการเคลื่อนไหวร่างกายหรืออยู่รวมกลุ่มกับลิงอื่นๆเหมือนตามธรรมชาติ ส่งผลทำให้ลิงเหล่านี้อยู่ในสภาพไม่สามารถควบคุมตัวเองได้

นอกจากนี้ทางกลุ่มสิทธิสัตว์ยังยกตัวอย่างไปถึงการขนย้ายลิงในกรงใหญ่กว่าตัวที่ลิงไม่มากนักและยังถูกบรรทุกบนหลังรถปิ๊กอัพไปท่ามกลางฝนที่ตกลงมาอย่างหนักโดยที่ไม่มีสิ่งป้องกัน ประการสุดท้ายที่สำคัญที่สุดที่ PETA ชี้ให้เห็นคือ "ลิงถือเป็นสัตว์ป่าที่มนุษย์ไม่สมควรที่จะแสวงหาประโยชน์ ทารุณ หรือนำไปใช้งาน"

ซึ่งในรายงานกลุ่มสิทธิสัตว์กล่าวไปว่า การสนับสนุนผลิตภัณฑ์น้ำกะทิก็เท่ากับว่าเป็นการซื้อสิ่งที่ใช้แรงงานลิงบังคับ
 

'จีน' สั่งแบน!! ปลาเก๋านำเข้าจากไต้หวัน ฟากรัฐบาลไทเปสู้กลับ ขู่ฟ้อง WTO

ความตึงเครียดระหว่างจีน และไต้หวัน ยังคงร้อนแรงต่อเนื่อง และเมื่อวันศุกร์ (10 มิ.ย. 65) ที่ผ่านมา กรมศุลกากรจีนแถลงว่า ตรวจพบสาร Oxytetracycline ในปลาเก๋าที่นำเข้าจากไต้หวัน ซึ่งเป็นสารเคมีต้องห้าม ทำให้ทางการจีนออกคำสั่งแบนการนำเข้าปลาเก๋าจากไต้หวันทันที มีผลตั้งแต่วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายนนี้เป็นต้นไป 

แน่นอนว่าเรื่องนี้ได้กลายเป็นประเด็นร้อนแรงในไต้หวัน เนื่องจากพอทางการไต้หวันได้นำปลาเก๋ามาตรวจเอง ก็ไม่พบสารเคมีอันตราย หรือต้องห้ามแต่อย่างใด และเชื่อว่าคำสั่งห้ามนำเข้าปลาเก๋าจากไต้หวันของจีน จึงน่าจะเป็นการกดดันทางการเมืองอย่างไม่ต้องสงสัย

เมื่อไม่นานมานี้ รัฐบาลจีนก็เคยแบนผลผลิตทางการเกษตรของไต้หวันมาแล้วหลายครั้ง ตั้งแต่สับปะรด และแอปเปิ้ล ที่เป็นผลไม้ขึ้นชื่อจากไต้หวัน ที่จีนสั่งห้ามนำเข้าและตีกลับทั้งล็อต จนรัฐบาลไทเปต้องเร่งออกแคมเปญขนานใหญ่ ทำการตลาดหาผู้ซื้อรายใหม่ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกร และมาคราวนี้เป็นปลาเก๋า ที่เพาะเลี้ยงจากบ่อในไต้หวันอีก

แม้ว่าปลาเก๋าไต้หวันกว่า 90% จะบริโภคกันเองในประเทศเป็นหลัก และมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ส่งออก ทำให้ผลกระทบกับตลาดปลาเก๋าไต้หวันค่อนข้างน้อย แต่ทว่าจำนวนปลาเก๋าที่ส่งออกทั้งหมดนั้น ถูกส่งเข้าตลาดจีนถึง 90% หรือคิดเป็นปริมาณถึง 6 พันตันต่อปี

นั่นจึงสร้างปัญหาให้แก่ผู้ส่งออกชาวไต้หวันไม่น้อย ที่ต้องเร่งหาตลาดแหล่งใหม่ระบายปลาเก๋าในส่วนของตลาดจีนโดยทันที 

ผู้ช่วย ผบ.ตร. ลงพื้นที่เร่งแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน พร้อมขับเคลื่อนการสร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือ

เชียงใหม่ - พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. เปิดเผยว่า ตามนโยบายรวมไทยสร้างชาติและขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน (Stronger Together) ของรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม  และ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่มุ่งการบูรณาการความร่วมมือของส่วนราชการ ภาคเอกชน และประชาชนทุกภาคส่วน รวมพลังกันเพื่อทำนุบำรุงสถาบันหลักของชาติ ได้แก่ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ตอบสนองความต้องการและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ในทุกมิติ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายใต้การนำของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. รับผิดชอบงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ได้นำนโยบายรัฐบาลมาสู่การปฏิบัติ โดยดำเนินโครงการ “สร้างเครือข่ายการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันอาชญากรรมระดับตำบล เพื่อสนับสนุนการป้องกันอาชญากรรมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามนโยบายขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน (Stronger Together)” โดยมีเป้าหมาย “เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเสนอและแก้ไขปัญหา ชุมชนสังคมมีความสงบเรียบร้อย ประชาชนมีอาชีพ มีรายได้ ส่งเสริมวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว เพื่อความผาสุกของประชาชนอย่างยั่งยืน” โดยมอบหมายให้ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข และ พล.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้ช่วย ผบ.ตร. ร่วมกันขับเคลื่อนโครงการ   

พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวว่า ในวันนี้ ตนได้เดินทางลงพื้นที่ จ.เชียงราย เพื่อขับเคลื่อนและตรวจติดตามผลการดำเนินการ ให้คำปรึกษาและเสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหาข้อขัดข้องการดำเนินการตามโครงการฯ ในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 5 โดยได้ร่วมประชุมสรุปผลการดำเนินการร่วมกับตำรวจภูธรภาค 5 ทั้ง 8 จังหวัดในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน พร้อมหัวหน้าสถานีตำรวจและข้าราชการตำรวจในสังกัด ภ.จว.เชียงราย และตัวแทนเครือข่ายภาคประชาชนในพื้นที่ โดยในปีงบประมาณ พ.ศ.2565 ตำรวจภูธรภาค 5 ได้มีการอบรมเครือข่ายประชาชนที่เป็นผู้นำ และผู้มีบทบาทในสังคมทุกสาขาอาชีพ จาก 159 สถานีตำรวจ สถานีตำรวจละ 50 คน รวม 7,950 คน ซึ่งตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2565 ถึงปัจจุบัน ได้รับรายงานปัญหาที่ประชาชนเดือนร้อน จำนวน 640 เรื่อง และได้ติดตามขับเคลื่อนและเร่งรัดให้หน่วยดำเนินการแก้ไขปัญหาเสร็จสิ้นแล้ว 608 เรื่อง ได้แก่ ปัญหาด้านสังคม จำนวน 476 เรื่อง ปัญหาด้านเศรษฐกิจ จำนวน 21 เรื่อง ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม จำนวน 80 เรื่อง และปัญหาความขัดแย้ง จำนวน 31 เรื่อง และอยู่ระหว่างหน่วยดำเนินการแก้ไข โดยคาดว่าจะแก้ไขได้ จำนวน 32 เรื่อง

จากนั้น พล.ต.ท.ประจวบฯ ได้เดินทางลงพื้นที่พบปะเครือข่ายภาคประชาชนในพื้นที่รับผิดชอบของ สภ.แม่จัน จ.เชียงราย เยี่ยมเยียนและพบปะประชาชนทั้งในพื้นที่และผ่านทางแอปพลิเคชันคลับเฮาส์การมีส่วนร่วมของชุมชนบ้านโพธนาราม และมอบสิ่งของให้กับประชาชนที่ได้รับการช่วยเหลือตามโครงการฯ สอบถามและรับฟังความคิดเห็น รับทราบสภาพปัญหาและความต้องการ ตลอดจนข้อเสนอแนะแนวทางในการแก้ไขปัญหาจากเครือข่ายภาคประชาชนในชุมชนบ้านโพธนารามและชุมชนบ้านสันกอง พร้อมทั้งตรวจติดตามผลการแก้ไขปัญหาของทุกชุมชนใน อ.แม่จัน จ.เชียงราย

พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวต่อว่า ผลการปฏิบัติของ สภ.แม่จัน ในการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนตามโครงการฯ ในพื้นที่ อ.แม่จัน จ.เชียงราย ที่น่าพอใจในห้วงเวลาที่ผ่านมา เช่น...

1.ด้านเศรษฐกิจ ประสานสำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอแม่จัน ดำเนินโครงการจัดหาแหล่งน้ำ พร้อมการบริหารจัดการเส้นทางน้ำอย่างยั่งยืน และประสานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคสาขาอำเภอแม่จัน ดำเนินโครงการขยายไฟฟ้าเพื่อการเกษตรของหมู่บ้านเพื่อลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มคุณภาพผลผลิต ประสานเกษตรอำเภอแม่จันส่งเสริมการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรเพื่อเพิ่มรายได้และกำหนดราคาที่คุ้มทุนได้ ลดการกู้หนี้นอกระบบและลดปัญหาหนี้สิน

2.ด้านสิ่งแวดล้อม แก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังบ่อยครั้งบนถนนทางการเกษตรและถนนสาธารณะ และจัดชุดจิตอาสา สภ.แม่จัน ร่วมกิจกรรมปรับปรุงเส้นทางร่วมกับชาวบ้านในชุมชนจนแก้ไขปัญหาได้สำเร็จลุล่วง

3.ด้านสังคม ติดตั้งเครื่องหมายและสัญลักษณ์จราจรแจ้งเตือน ประสานเทศบาลตำบลสันทราย เพื่อทาสี ตีเส้นบนผิวทางและเสาไฟฟ้าเพื่อลดอุบัติเหตุ แก้ไขปรับปรุงระบบไฟฟ้าส่องสว่างในชุมชน วางระบบป้องกันภัยหมู่บ้าน และติดตั้งระบบกล้องวงจรปิดทั่วพื้นที่ชุมชน

4.ด้านความขัดแย้ง ได้ดำเนินโครงการวางท่อระบายน้ำและทำพนังกั้นน้ำ เพื่อแก้ปัญหาข้อขัดแย้งเรื่องการใช้น้ำจากแม่น้ำห้วยน้ำขุ่นเพื่อการเกษตร ระหว่างชาวบ้านสันกอง และกลุ่มชาติพันธุ์ได้สำเร็จ

5.จัดตั้งแอปพลิเคชันคลับเฮาส์ของทุกชุมชน เป็นช่องทางในการสื่อสารสภาพปัญหาและความต้องการของเครือข่ายภาคประชาชนกับเจ้าหน้าที่ภาครัฐผู้มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง เพื่อลดขั้นตอน อำนวยความสะดวกและความรวดเร็วในการเข้าถึงและแก้ไขปัญหา พร้อมทั้งให้ความรู้ทางกฎหมายและแนวทางการระวังป้องกันตนเองในอาชญากรรมรูปแบบใหม่ เช่น แก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ และอาชญากรรมไซเบอร์ ซึ่งสามารถสร้างการรับรู้ได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึง 

พล.ต.ท.ประจวบฯ ได้กำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดชุมชนสัมพันธ์และเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ประสานงานเครือข่ายของ 8 จังหวัดในสังกัดตำรวจภูธรภาค 5 และทุกสถานีตำรวจทั่วประเทศ ให้เร่งประสานงานกับเครือข่ายภาคประชาชนที่ได้รับการคัดเลือก ให้สะท้อนสภาพปัญหาและความต้องการของชุมชนและประชาชนในพื้นที่ เพื่อประสานหน่วยงานผู้รับผิดชอบ เข้าช่วยเหลือและทำการแก้ไข พร้อมทั้งเร่งรัดการแก้ไขปัญหาของคณะกรรมการในแต่ละระดับ ตั้งแต่ระดับท้องถิ่น อำเภอ และจังหวัด สำหรับสถานีตำรวจที่ยังมีผลการปฏิบัติน้อย ให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับลงไปตรวจสอบ กำชับและกำกับดูแล ให้มีผลการปฏิบัติเพิ่มมากขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการและแก้ไขความเดือดร้อนของประชาชน

‘หมอธีระวัฒน์’ เปิดงานวิจัยมีเซ็กซ์ 21 ครั้ง/เดือน ช่วยท่านชายปลอดมะเร็งต่อมลูกหมาก

ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา เปิดงานวิจัยจากต่างประเทศ เผยว่ามีเซ็กซ์ 21 ครั้งต่อเดือน ปลอดมะเร็งต่อมลูกหมาก นอกจากนี้พบคนกลุ่มนี้ไม่ค่อยเป็นกลุ่มรักสุขภาพนัก กินเยอะ ดื่มเยอะ

วันนี้ (13 มิ.ย.) เฟซบุ๊ก ‘ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha’ หรือ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ได้ออกมาโพสต์งานวิจัยจากต่างประเทศ โดยระบุว่า ปั่มปั๊ม 21 ครั้งต่อเดือน ปลอดมะเร็งต่อมลูกหมาก

ชายเราถึงอายุหนึ่งจะมีปัญหาเรื่อง ‘ฉี่’ กล่าวคือ ยืนตั้งนานไม่ออกสักที ออกก็ไม่ค่อยจะพุ่ง เสร็จแล้วก็เหมือนไม่เสร็จ มีปัญหาจนไม่ค่อยอยากจะฉี่ ยอมอดน้ำเลยลุกลามไปจนเลือดข้นหนืด ไปมีปัญหาต่อไต ต่อหัวใจ อัมพฤกษ์ต่อ

สำหรับบุรุษเพศสาเหตุใหญ่สำคัญคือ ต่อมลูกหมากโต และมีเยอะที่เป็นมะเร็ง ถ้ายังไม่เป็นและยังไม่อยากผ่าตัด คว้านต่อม ก็มียาซึ่งเดิมเป็นยาลดความดัน แต่ความที่ทำให้หูรูดในการฉี่บานได้ เลยเอามาใช้ในการนี้ แต่ควรต้องระวังความดันตก หน้ามืด ยาประเภทนี้ออกฤทธิ์ต้าน alpha receptor

ยาอีกกลุ่มทำให้ต่อมลูกหมากเล็กลง ผ่านกระบวนการยับยั้งฮอร์โมน DHT ที่มาจากฮอร์โมนเพศชาย (5-Alpha Reductase Inhibitor) เช่น ยา Finasteride (Proscar) Dutasteride (Avodart) แต่แถมผลข้างเคียง คือ ลดความต้องการทางเพศ ไม่ค่อยแข็งตัว การขับเคลื่อนน้ำกาม (ejaculation) แปรปรวน แต่ที่ต้องระวังเป็นสำคัญคือยากลุ่มหลังนี้ทำให้การตรวจหามะเร็งต่อมลูกหมากที่ชื่อว่า PSA ได้ค่าลดลงจนถึงตรวจไม่เจอ เลยตายใจว่าไม่เป็นมะเร็งทั้ง ๆ ที่เป็น

รายงานในปี 2011 พบว่าแม้ยากลุ่มหลังนี้จะลดการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากได้บ้าง แต่ถ้าเป็นแล้วยากลุ่มนี้อาจกลับทำให้เป็นมะเร็งแบบชนิดที่มีความรุนแรงลุกลามมากขึ้น อาหารเสริมที่อ้างว่าทำให้ต่อมเล็กลงชื่อ Saw Palmetto สกัดจากผลของ Serenoa Repens พบว่าไม่มีประสิทธิภาพจริงและอาจทำให้การตรวจค่ามะเร็ง PSA ได้ผลลบปลอม

ถึงตอนนี้มาถึงคำโบราณที่พูดกันมาในกลุ่มผู้ชายทั้งหลายว่า หนทางสุขภาพ รวมทั้งกันต่อมลูกหมากโต กันมะเร็ง คือปฏิบัติการ “ล้างท่อบ่อยๆ” (keep the pipes clean!) และเป็นที่มาของการศึกษาฮือฮาทั่วโลก นับแต่มีการเสนอผลงานในที่ประชุมประจำปีของสมาคมระบบทางเดินปัสสาวะของอเมริกา และตีพิมพ์ในวารสาร European Urology (29 มีนาคม 2016)

ผลการศึกษาจากการติดตามโดยคณะศึกษาทางระบาดวิทยามะเร็งที่บอสตัน ในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ จำนวน 31,925 คน ตั้งแต่ปี 1992 จนถึงปี 2010 โดยที่ ณ ปี 1992 อายุเกณฑ์เฉลี่ยอยู่ประมาณที่ 59 ปี ในช่วง 18 ปีของการติดตามมี 3,839 รายเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก และ 384 รายรุนแรงถึงชีวิต ขั้นตอนในการวิเคราะห์เจาะลึกตั้งแต่เริ่มต้นในปี 1992 มีการให้รายงานปริมาณจำนวนของการขับเคลื่อนน้ำกาม (แทนในที่นี้ด้วยปั่มปั๊ม) ในช่วงเวลาตั้งแต่อายุ 20-29, 30-39, 40-49 และ 50 เป็นต้นไป ทั้งนี้มีการวิเคราะห์ปัจจัยอื่นๆ ที่อาจมีส่วนให้เกิดมะเร็ง

ปทุมธานี ฝึกอบรมโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริสำหรับประเทศเพื่อนบ้าน

​เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2565 เวลา 09.00 น. ณ ศูนย์ประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริและความมั่นคง อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี พลเอก สุวิทย์ เกตุศรี ผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริและความมั่นคง ให้การต้อนรับ พลจัตวา อก เฮือนปิเซีย รองเจ้ากรมพัฒนา กองทัพราชอาณาจักรกัมพูชา 

โดยได้นำกำลังพลจากกองทัพราชอาณาจักรกัมพูชา เข้าเยี่ยมคำนับในโอกาสเข้ารับการฝึกอบรมโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จากนั้น พลเอก สุวิทย์ เกตุศรี เป็นประธานเปิดการฝึกอบรมโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริสำหรับประเทศเพื่อนบ้าน ให้กับคณะนายทหารกองทัพราชอาณาจักรกัมพูชา รุ่นที่ 5 จำนวน 14 นาย โดยเป็นการเรียนรู้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ตามแนวพระราชดำริ ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวง รัชกาลที่ 9 ซึ่งเป็นแนวทางสู่การพัฒนา อย่างยั่งยืนและเป็นหัวใจสำคัญของการฝึกอบรม 

'โบว์ ณัฏฐา' เตือนสติ ‘ฝ่ายสลิ่ม’ ชี้ไม่ควรผลัก 'ชัชชาติ' ให้เป็นสมบัติคนอีกฝั่ง

โบว์ ณัฏฐา มหัทธนา นักกิจกรรมอิสระ และนักเคลื่อนไหวทางการเมืองของไทย โพสต์ข้อความในทวิตเตอร์ ว่า

ฝ่าย ‘สลิ่ม’ หลายคน ไม่ควรผลักชัชชาติให้เป็นสมบัติของคนอีกฝั่งนะ ดูให้ละเอียด ๆ คุณต้องรู้ว่าเขาแค่เป็นตัวเอง คนที่เลือกเขาก็ไม่ได้มีฝ่ายเดียว ให้เขาเป็นผู้ว่าของทุกคนตามที่มาของเสียงโหวตที่เขาได้รับนั่นแหละ ขยายพื้นที่ของการใช้เหตุผลให้ทุกคนรับฟังกันได้ต่อไปค่ะ อย่าลากกลับไปที่เดิม

อย่างการพูดถึงการชุมนุมเมื่อวานก็พูดไปตามบทบาทหน้าที่หลักการ ไม่ได้หมายความว่าจะสนับสนุนความรุนแรงโดยฝั่งใด เพราะเจ้าตัวคงไม่ทราบรายละเอียดว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ส่วนตัวโบว์สนับสนุนให้ผู้ว่ากทม.ทำหน้าที่ในการรักษาสิทธิของทุกคน อะไรไม่ถูกต้องกล้าพูดไปเลย เชื่อว่าคนกรุงเทพมีเหตุผลพอ


ที่มา : https://twitter.com/NuttaaBow/status/1535888094808854528

รองนายกรัฐมนตรี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ ตรวจเยี่ยมติดตามและมอบนโยบายให้จังหวัดแม่ฮ่องสอน

พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ ตรวจเยี่ยมติดตามและมอบนโยบายให้จังหวัดแม่ฮ่องสอน มอบสมุดประจำตัวผู้ได้รับการคัดเลือกในที่ดินทำกินในชุมชนตามนโยบายรัฐบาล หรือ คทช.ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติจังหวัดแม่ฮ่องสอน จำนวน 902 ราย เครือข่ายองค์กรชุมชนการจัดทรัพยากรธรรมชาติลุ่มน้ำจังหวัดแม่ฮ่องสอน ยื่นหนังสือขอคัดค้านโครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนเขื่อนภูมิพล (แนวผันน้ำยวม)

พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีพร้อมคณะเดินทางไปตรวจเยี่ยมเข้ารับฟังบรรยายสรุปและพบปะส่วนราชการ ณ ห้องประชุมศาลากลางจังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยมี นายเชษฐา โมสิกรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน และส่วนราชการ ให้การต้อนรับ จากนั้น พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปยังห้องประชุมสหกรณ์ออมทรัพย์ครู อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน พบปะกับประชาชนที่เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติ มอบสมุดประจำตัวผู้ได้รับการคัดเลือกในที่ดินทำกินในชุมชนตามนโยบายรัฐบาล หรือ คทช. ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติจังหวัดแม่ฮ่องสอน จำนวน 5 ป่า ให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัด ประกอบด้วย 'ป่าแม่สุรินทร์' 'ป่าแม่เงาและป่าแม่สำเพ็ง' 'ป่าสาละวิน' 'ป่าแม่ยวมฝั่งซ้าย (อำเภอขุนยวม)' และ 'ป่าแม่ยวมฝั่งขวา' เนื้อที่  7,762 ไร่ 52 ตารางวา 

พร้อมทั้งมอบสมุดประจำตัวผู้ได้รับการคัดเลือกให้ทำกินในชุมชนตามนโยบายรัฐบาลในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ให้กับประชาชนในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่เงา และป่าแม่สำเร็ง จำนวน 902  ราย ในพื้นที่ตำบลขุนยวม ตำบลแม่อูคอ ตำบลแม่เงา และตำบลแม่กิ๊ อ.ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน โดยมีผู้แทนประชาชน จำนวน 4 ราย เป็นตัวแทนรับมอบ และเยี่ยมชมนิทรรศการผลการดำเนินงานโครงการเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนเขื่อนภูมิพล ตามมาตรการป้องกันไฟป่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ PM 2.5 ของสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดแม่ฮ่องสอน ส่งเสริม พัฒนาอาชีพและการตลาดให้กับประชาชนที่ได้รับการจัดที่ดินให้มี คุณภาพชีวิตที่ดีต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top